5. ประเทศไทยน่าสงสารและไร้เกียรติลงไปในสายตาต่างประเทศหากแต่คนในประเทศไทยไม่รู้สึก
จะไปรู้สึกเอาเมื่อถูกนานาชาติรังแกเอารัดเอาเปรียบ เขามองว่าชาติที่ขี้ขลาดงมงาย และไร้ สติปัญญา
ภาพที่เห็นมานานจนถึงทุกวันนี้ บ่งบอกถึงความด้อยพัฒนาการในระบอบประชาธิปไตย อย่างค่อนข้างสิ้นเชิง หมายความว่าสังคมไทยทั้งหมดยังเป็นสังคมที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในระบอบประชาธิปไตย เลย ไม่เข้าใจหลักการของประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นหมายถึงไม่เข้าใจวิถีทาง ที่พัฒนาไปของระบอบประชาธิปไตยอย่างไร อะไรเป็นประเด็นหลักของการพัฒนาของระบอบนี้ ในประเทศของเราที่เริ่มขึ้นด้วยความอ่อนแอ และความเขลา แม้ว่าในระยะหลัง ๆ นี้ ได้มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และระดับปริญญา ถึงปริญญาเอกมากจนดูเกลื่อนกล่นไปในสังคมไทยแล้ว แต่มหาวิทยาลัยและระดับการศึกษาชั้นสูงกลับไม่ได้มีบทบาทที่ถูกต้อง ในการที่จะพัฒนาวิถีทางประชาธิปไตยของประเทศให้ก้าวหน้าไปอย่างไรเลย ประชาธิปไตยไทยมีแต่การสั่งสมแนวคิดที่ผิด ๆ และหลงทางประชาธิปไตยมาโดยตลอด และครั้นเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้นในระยะนี้ ก็เป็นการเกิดขึ้นด้วยความเข้าใจผิด หรือหลงทางประชาธิปไตย ทำไทยกลายเป็นประเทศที่ชุลมุน สับสน ไม่รู้ทางเหมือนเดินไปในสายประชาธิปไตยมืดเลยทีเดียว นั่นก็คือ ไม่ได้มีการคิดนำวิธีการประชาธิปไตย และความมีเสรี(อย่างที่นายบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวต่อประชาชนอเมริกา) มาใช้เป็นเครื่องมือของชัยชนะของประเทศแล้ว แต่หลงทางประชาธิปไตยไปอย่างสุด ๆ
เริ่มแต่ภาพที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล เข้ายึดรัฐสภา เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ เข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และบังอาจแม้กระทั่งปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนินขององค์พระมหากษัตริย์ องค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงเป็นมหาราชของชาติเป็นที่รักของประชาชนไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นพฤติกรรมโจรแท้ ๆ แต่เมื่อเขาอ้างว่าเขาเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการแอบอ้างหรือเอาประชาธิปไตยบังหน้าทำการก่อการร้ายดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่ามีคนไทย เข้าใจว่านั่นมิใช่วิถีทางประชาธิปไตยเลย เป็นแต่เพียงการแอบอ้าง เอาสถาบันบังหน้าทำการก่อการร้าย นั่นคือการหลอกลวงประชาชนโดยซึ่งหน้า โดยเฉพาะนักวิชาการในมหาวิทยาลัย และสื่อมวลชนไทย ก็เรียกชื่อโจรกลุ่มนี้ว่าเป้นกลุ่มประชาธิปไตย มาอยู่จนถึงทุกวันนี้ แสดงว่าคนไทยไม่เข้าใจหลักการของประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย กระทั่งแยกไม่ออกว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ประชาธิปไตย ผลเสียหายก็คือทำให้ประชาชนสับสนในหลักการของประชาธิปไตย และฉุดสถาบันประชาธิปไตยไทยให้ตกต่ำ เสื่อมเสีย และมัวหมอง
นักวิชาการในมหาวิทยาลัย ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ ถึงศาสตราจารย์ ผู้มีหน้าที่สอนเรื่องราวเหล่านี้ กลับไม่กล้ายืนยันความสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ว่าโดยประชาธิปไตยนี้ จักทำให้ไทยเราชนะ และนำหน้าประเทศอื่นที่มิใช่ประชาธิปไตย มีบุคคลเหล่านี้ถึงขนาดหลงผิดไปก็มี เช่นมีคณะบดี หรือหัวหน้าสถาบันการศึกษาคนหนึ่ง ที่เคยเข้าร่วมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เลื่องชื่อของเยาวชนนิสิตนักศึกษาไทยในกรณี 14 ต.ค. 2516 ในฐานะผู้นำนิสิตนักศึกษาด้วยซ้ำ ได้ตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็กลับไปสนับสนุนให้เลือกคณะรัฐบาลตามแบบเผด็จการ โดยการชี้นำของทหาร ด้วยซ้ำ ในวงการความมั่นคงของชาติคือเหล่าทหาร 3 เหล่า ต่างไม่เข้าใจหน้าที่ของตนตามระบอบประชาธิปไตย ปฏิบัติไปอย่างไร้ยุทธศาสตร์ของการพัฒนาการของประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ประชาธิปไตยไทยวันนี้จึงตกต่ำ แต่คนไทยทั้งหลาย แม้เพียงได้ยินชื่อว่าประชาธิปไตยมีเพียงความเลื่อมใสความเชื่อจากชื่อของประชาธิปไตยเท่านั้น ก็ยังคงยืนยันกันเป็นส่วนใหญ่อยู่ว่าประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย ซึ่งแสดงถึงความหวังว่าไทยมีโอกาสที่จะก้าวหน้าไปได้ด้วยพลังของประชาชนส่วนใหญ่
ภาพที่เห็นจากการพิพากษายุบพรรคการเมือง 3 พรรค บ่งไปถึง ความกะปริดกะปรอยของภูมิปัญญาที่นำมาใช้ในการวินิจฉัยปัญหา กล่าวคือ เรื่องพรรคการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยไม่ควรที่จะถูกตัดสินโดยภูมิปัญญาสาขากฎหมายเพียงสาขาเดียว เพราะพรรคการเมืองมีความใหญ่เกินกว่าจะมองเพียงด้านเดียว อุปมาเหมือนตาบอดคลำช้าง มองไม่เห็นช้างทั้งตัว จะตัดสินได้อย่างไรว่าช้างมีรูปร่างอย่างไร มีพฤติกรรมมาอย่างไรบ้าง ถูกและผิดของช้างมีอะไรบ้าง
ฉะนั้น จะต้องมีการปรับปรุงประชาธิปไตยไทยกันอย่างขนานใหญ่ โดยเริ่มกันแต่บทต้น ๆ ทางวิชาการประชาธิปไตยกันเลยทีเดียว
และเราเห็นว่า ควรมาเริ่มที่นักการเมืองกันเลย เราได้เห็นภาพถ่ายของนักการเมืองระดับผู้นำ คนหนึ่ง ในช่วงปี 2549 มานี้ เห็นเขาเปลี่ยนพรรคอยู่ตลอดเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ คือออกจากพรรคนี้ ไปอยู่พรรคนั้น แล้วออกจากพรรคนั้นไปอยู่พรรคนู้น และแม้ขณะนี้เขาก็ละจากขั้วหนึ่งไปยืนถ่ายรูปร่วมอยู่กับอีกขั้วหนึ่ง และยังมีนักการเมืองอีกคนหนึ่ง ถึงขนาดกล่าวว่า แม้จะทรยศต่อเพื่อน ต่อพรรค และต่อนาย ก็ต้องทำ เพื่อย้ายตนไปเข้ากับฝ่ายที่เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ยอมเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นี่เป็นภาพที่เห็นล่าสุดในระยะปัจจุบัน ซึ่งคนไทยก็ไม่เห็นว่า พฤติกรรมอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นสมบัติของนักการเมืองเลย คนในระบอบประชาธิปไตยจะต้องประณามเขาอย่างรุนแรง และไล่เขาออกจากความเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไปเสียทันที แต่การที่คนเช่นนี้ ยังคงอยู่ในวงการเมืองไทยได้นั้นก็แสดงให้เห็นว่าวงการนักการเมืองไทยไม่มีการพัฒนาการทางความคิดประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าเลย โดยเหตุผลก็คือ คนในสังคมไทยวันนี้ ไม่มีความเข้าใจประชาธิปไตยและวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยเลย นั่นเอง
และนี่ เป็นบทต้นที่สุดและมีความสำคัญที่สุด ก็คือเราจะต้องเรียนรู้ศึกษาให้เข้าใจว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองนั้น เป็นสถาบัน พรรคการเมืองต้องมีความเป็นสถาบัน และนักการเมืองก็ต้องมีความเป็น หรือพยายามสร้างตนให้เป็นสถาบัน เช่นเดียวกัน จึงจะไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ทรงคุณค่าประโยชน์แก่ปวงชนได้ ถ้าเราไม่เข้าใจความสำคัญของสถาบันนี้แล้ว พรรคการเมือง และนักการเมือง จะมีการพัฒนาการไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ได้อย่างไร
และต้นบทที่สุดก็คือ คนไทยเราเข้าใจคำว่า สถาบัน ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร?
คำว่าสถาบัน ( institution ) นิยามเบื้องต้นให้ความหมายในทางนามธรรม มิใช่รูปธรรม กล่าวคือ institution ไม่ได้หมายถึงวัตถุ คืออาคารสูง ใหญ่โต มีชื่อว่า สถาบัน นั้นนี้ แต่หากเป็นการจัดระเบียบ จัดวินัย จัดข้อบังคับ (รวมเรียกว่า Discipline) ในองค์การนั้น ๆ ในบุคคลนั้น ๆ เมื่อมองจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว จะเห็นความสำคัญของคำว่า institution นี้ ในฐานะ พระธรรมวินัย หรือ Discipline สำหรับหมู่สงฆ์ นับแต่หมู่สงฆ์ธรรมดาไปถึง พระอริยบุคคล ความสำคัญของพระธรรมวินัยสำหรับหมู่สงฆ์มีเพียงไหน ความสำคัญของ ความเป็นสถาบัน ก็มีสำหรับนักการเมืองเพียงนั้น พอ ๆ กัน ในทางสงฆ์ มีอาบัตินับแต่อาบัติขนาดหนักคือ ปาราชิก (ต้องพ้นจากความเป็นสงฆ์) ไปจนถึง ลหุกาบัติ ฉันใด นักการเมืองก็ต้องมีบทลงโทษ ขนาดหนัก-เบา เหมือนหมู่สงฆ์ เช่นนั้น
และสถาบันนี้ ก็เหมือน พระธรรมวินัย ที่มีไว้เพื่อปฏิบัติสืบเนื่องไปตราบกาลนาน จนกว่าจะบรรลุมรรคผล พรรคการเมือง และนักการเมือง ก็เช่นเดียวกัน ที่จะต้องมีธรรมวินัย ต้องสร้างตนให้มีความเป็นสถาบัน มี Discipline คือกฎระเบียบอันสูงสุดที่คุมความประพฤติตนเองที่นำไปสู่ความมั่นคงและความเลื่อมใสขององค์การหรือสถาบัน และต้องมีสัจจะในการถือปฏิบัติไปอย่างไม่ละเลิกเสียจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของทางการเมือง หรือความเป็นสถาบันได้ตั้งมั่นขึ้นแล้ว แล้วพรรคการเมือง และนักการเมืองก็จะเป้นเครื่องมือที่ดีของประชาชน ของประเทศในระบอบประชาธิปไตย อย่างแน่นอน
นี่เป็นข้อเสนอทางพัฒนาความเป็นสถาบันในพรรคการเมือง และนักการเมืองไทยในระดับต้น ๆ ที่ต้องเริ่มกันเลยเดี๋ยวนี้