(คอลัมน์ประชาธิปไตยสงฆ์)
จะปฏิรูปการปกครองสงฆ์ไปทำไม ?
ปัญหาสมณศักดิ์สงฆ์ ปัญหากฎหมายกับการปฏิรูปการระบบสงฆ์
คำถาม กรณีธัมมชโย ยันตระ อมโร ภาวนาพุทโธ นิกร ธัมมวาที เป็นต้น นั้นเกิดขึ้น มาจากสาเหตุใด ในอนาคตจะมีอีกหรือไม่ ?
คำตอบ เกิดจาก ระบบสงฆ์ ระบบสงฆ์ทุกวันนี้ไม่ใช่วิถีทางที่อาจชำระล้างสังหารกิเลส ราคะ ตัณหา อุปาทานได้ ไม่ใช่วิถีทางที่จะไปสู่พระพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่วิถีทางที่จะบรรลุความเป็นพระอริยบุคคล นับแต่ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ไปจนถึงสูงสุดคือ อรหันต์ ได้ การได้ตำแหน่งพระสังฆาธิการ และสมณศักดิ์ พระครูก็ดี พระราชาคณะก็ดี สมเด็จพระราชาคณะก็ดี หาใช่เครื่องหมายแห่งการชำระกิเลส ราคะ ตัณหา หรือมรรคผลแต่อย่างใดไม่ หากยังไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนระบบสงฆ์เสียใหม่แล้ว เหตุการณ์เช่นเดิมก็ย่อมจะเกิดขึ้นมาอีก และอาจจะได้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในระบบ ระดับสูง ๆ ก็อาจก่อปัญหาชนิดนี้ขึ้นได้เช่นเดียวกัน
คำถาม ระบบยศศักดิ์ หรือ สมณศักดิ์สงฆ์ รวมทั้งตำแหน่งทางการปกครองหลายชั้นหลายระดับ ในหมู่สงฆ์ เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ยังมองไม่เห็นว่า มีความเสียหายอย่างไร อยากให้มองในแง่ดีบ้าง อย่ามองโลกในแง่ร้าย เอาตัวเองเป็นใหญ่เกินไป สงฆ์เราถึงอย่างไรก็ปกครองโดยหลัก พรหมวิหารธรรมอยู่แล้ว ทอดทิ้งหลักนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
ตอบ ระบบเองเป็นอันตรายอยู่ในตัวเอง กล่าวคือ ระบบจะค่อย ๆ กัดกร่อนทำลายตัวเองลงไป ไม่มีผู้ใดทำลายระบบและหมู่สงฆ์หรอก นอกจากตัวระบบเองทำลายตัวเอง เหมือนแท่งเหล็กที่มีสนิมขึ้นจากตัวมันเอง นานเข้าก็จะค่อยชำรุดสึกกร่อนไปจนสูญสิ้นสภาพ ไม่อาจเป็นอยู่ได้ สมัยใดมีสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิเปลี่ยนแปรไปในทางที่ให้โทษ เพิ่มโทษ อันตรายก็จะเร่งเร็วและแรงขึ้น
และสมัยเช่นว่านั้นก็มาถึงแล้ว
คือขณะนี้ ระบบสงฆ์ได้กัดกร่อนทำลายตัวเอง จนถึงจุดที่สังคมภายนอกวงการสงฆ์ ต้องประหลาดใจไปทุกทีแล้ว
เหตุผลในเรื่องนี้ มองจากสัจธรรมอันเป็นกรอบใหญ่ก็คือ การนำเอาวิถีโลกไปใช้กับวิถีธรรม คือกำหนดให้ธรรมเดินไปตามวิถีโลก ธรรมก็เดินผิดทิศทางของตนเองและย่อมเสื่อมลง แทนที่จะไปสู่ทิศทางของพระธรรมเอง ก็กลับไหลไปสู่โลก คุณภาพธรรมก็ค่อยเสื่อมลงไป ๆ
ข้อบกพร่องที่สำคัญของระบบสงฆ์ก็คือไม่สามารถดำรงความยุติธรรมใดใดได้ ไม่ว่าความยุติธรรมในหมู่สงฆ์เอง ต่อองค์รวมของพระพุทธศาสนา และทั้งความยุติธรรมต่อประชาชน หรือสังคมในหมู่สงฆ์เอง เช่น การได้ตำแหน่งและสมณศักดิ์ รวมไปถึงการเลื่อนไปตามขั้นวิ่งแห่งตำแหน่ง หรือสมณศักดิ์ ไม่มีความเป็นธรรม ไร้หลักการ เกิดปัญหาระหว่างหมู่สงฆ์ในส่วนกลางคือ ในกรุงเทพมหานคร กับภูมิภาค คือสงฆ์ 76 จังหวัดอันกว้างใหญ่ กรณีปัญหาชนิดนี้ ยังเป็นเรื่องใหญ่พิสดาร แตกสาขาปัญหาออกไประหว่างธรรมยุติกนิกาย กับมหานิกายอีกด้วย
และครั้นเมื่อพยายามแก้ไข แนวทางที่แก้ไขกันอยู่ของฝ่ายสงฆ์ขณะนี้ ก็ไม่เป็นธรรมแก่สังคม ไม่เป็นธรรมแก่ประชามหาชนทั้งหลาย ไม่เป็นธรรมทั้งต่อพระธรรมวินัยเองและสังคม วิถีทางเช่นนี้แหละที่ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาบดบังวิถีทางมรรคผลนิพพานเสีย โดยนำนักบวชออกจากความสันโดษ และความสมถะ ไปสู่การแข่งขันแสวงหาความร่ำรวยมั่งคั่ง เพื่อแสวงหาตำแหน่งและสมณศักดิ์ที่สูงขึ้นไป ในที่สุด คำว่ามรรคผล นิพพานก็เป็นแต่เพียงเครื่องมือของการโฆษณาเท่านั้น หาของจริงปรากฎมิได้
จึงไม่เป็นธรรม ในความหมายของความเป็นธรรมต่อสังคมโดยรวม
และยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ต่อเมื่อมาถึงวันหนึ่ง ประชาชนฉลาดขึ้น ก็จักมามองเห็นเองว่า การเลี้ยงพระในระบบสงฆ์ปัจจุบันนี้ เป็นงานใหญ่ที่เหน็ดเหนื่อยและสิ้นเปลืองของสังคม อย่างน่าใจหาย พระสงฆ์สาวกที่แท้ ตามธรรมตามวินัย ไม่ว่าพระธรรมดา พระอริยบุคคล เสขบุคคลหรือ อเสขบุคคล ก็ตาม อันเป็นพระสงฆ์ที่แท้ พระจริง ๆ นั้น ท่านเลี้ยงง่าย เพราะท่านต้องการพอให้อยู่ได้เพื่อการต่อสู้ประพฤติธรรมชำระกิเลสให้สิ้นไปเท่านั้นก็พอแล้ว จักมิมีโอกาศในการเบียดเบียนสังคมแต่อย่างใดเลย และที่สำคัญ ระบบสงฆ์ที่ถูกต้องตามธรรมตามวินัยจริง ๆ จะมีแต่ทำคุณประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสงฆ์เองก็จะละคลายจากกิเลสได้ เพราะไม่มีทางอื่นใดเลยที่พระสาวกจะเอาชนะราคะ ตัณหาได้ นอกจากเดินตามทางพระธรรมวินัย สละโลกธรรมทั้งสิ้น มาถือสันโดษประพฤติสมถะ บำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานให้เป็นผล ตราบชนะกิเลสเท่านั้นจึงจะสามารถ ประพฤติตามคำสั่งของบรมศาสดาที่ว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขของมหาชนโดยส่วนเดียว ถ้ายังเอาชนะราคะไม่ได้ด้วยมรรคผล ไปทำราชการสงฆ์ หรือการที่ระบบพาเดินไปตามวิถีทางโลกธรรม ที่ต้องออกไปคลุกคลีวัตถุกามต่าง ๆ กลับจะเป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งขึ้น การละเมิดต้องอาบัติก็มีขึ้น ๆมากขึ้น ๆ ตามที่เห็นอยู่แล้วในปัจจุบันนี้
ฉะนั้น ระบบตำแหน่งและสมณศักดิ์สงฆ์ปัจจุบัน ตัวระบบเองเป็นตัวก่อปัญหาขึ้นเองทั้งสิ้น และเมื่อระบบเดินไปโดยโลกธรรม 4 มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็กลายเป็นวิถีแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่คำนึงผลประโยชน์ และความชอบธรรมของส่วนรวม ก็ไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน ไม่เป็นธรรมแก่สังคม ไม่เป็นธรรมแก่ประเทศชาติ ไม่เป็นธรรมแก่ผู้อุปัฏฐากค้ำจุนเลี้ยงดูอยู่ และ ไม่เป็นธรรมแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดา
นอกจากปัญหาความไม่เป็นธรรมแล้ว ยังมีปัญหาอื่นอีกมาก เช่นปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการบริหารงานของคณะสงฆ์ ไม่ว่าด้านการปกครอง และ การศึกษา ซึ่งได้มีกรณีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นกรณีเกิดอธิกรณ์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าที่ระบบสงฆ์ไม่แสดงออกถึงสำนึกในภาระหน้าที่และขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอธิกรณ์นั้น ๆ ด้วยตัวระบบของหมู่สงฆ์เอง และยังมีกรณีที่ระบบสงฆ์ไม่สามารถจัดการพระบวชเข้ามาอยู่ในระบบแล้วมีการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนล้วน ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยไม่ชอบด้วยธรรมด้วยวินัย อันเป็นข้อบ่งไปว่าในระบบเองก็เป็นเช่นนั้นด้วย เป็นต้น
ฉะนั้น เมื่อมีการวิเคราะห์ศึกษาวิจัย ของปัญญาชนคนยุคใหม่ของสังคม รู้เหตุและผลว่าสิ่งใดเป็นธรรม สิ่งใดไม่เป็นธรรม อะไรคือวิถีธรรม อะไรคือวิถีโลก แล้ว ขบวนการที่เคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมของคนทั้งหลายผู้มีความยุติธรรมในหัวใจก็จะเกิดขึ้น ย่อมนำไปสู่การวิพากษ์ ก่อเกิดเป็นกระแสแห่งการศึกษาค้นหาสัจธรรมที่แท้ ที่เป็นแก่นแห่งพระพุทธศาสนา และขณะนี้ สังคมปัญญาชนส่วนหนึ่ง รวมทั้งสื่อมวลชนของชาติ ก็เริ่มประหลาดใจและกำลังเพ่งมองอยู่ ด้วยความสงสัย และในที่สุดก็จะนำความคิดของสังคมไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า เหตุใดมหาชน จึงสร้างระบบสงฆ์ขึ้นมาเช่นนี้ คือระบบที่ไม่เกื้อกูลทั้งต่อหมู่สงฆ์เองและสังคมเลย หากแต่รบกวนบั่นทอนตนเอง เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนสังคมอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ และที่สำคัญก็ยังเบียดเบียนบ่อนทำลายระบบที่แท้จริงคือวิถีทางมรรคผลของพระพุทธศาสนาอีกด้วย และ ย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขระบบอย่างใหญ่หลวงต่อไป และเพื่อการเตรียมรับสถานการณ์เช่นนี้ จึงต้องมีมันสมองส่วนหนึ่งของสังคมและของระบบสงฆ์เอง มาทำหน้าที่เพื่อการตระเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะการปฏิรูปหรือปฏิวัติ ดังกล่าว เพื่อการนำการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่จะต้องถูกต้องตามครรลองแห่งพระพุทธศาสนา คือ พระธรรมวินัย และครั้นเมื่อมีการจัดการระบบให้เป็นธรรม ถูกต้องตามธรรมตามวินัยขึ้น เกิดความเป็นธรรม ทั้งต่อสังคมและต่อพระพุทธศาสนา เมื่อการพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ก็จักยังสังคมให้เจริญด้วยธรรม ยังศาสนบุคคลหรือนักบวชพุทธสาวกให้บรรลุความเจริญอย่างสูงสุด
กล่าวคือ ย่อมมีการบังเกิดของอริยบุคคล 8 เหล่าของพระพุทธศาสนาพร้อมเพียงขึ้นมาอีกหนหนึ่งในโลก นั่นหมายถึงสังคมย่อมได้ประโยชน์ล้วน ๆ สังคมจะไม่มีการลงทุนลงแรงอะไรเลยเพื่อให้ท่านเหล่านั้นออกปฏิบัติงาน ไม่จำต้องเอาอกเอาใจท่านเหล่านั้น ด้วยลาภ ก็ดี ด้วยยศ สมณศักดิ์ ก็ดี ด้วยของย่องยอสรรเสริญ ต่าง ๆ นานาก็ดี ด้วยการประจบประแจงต่าง ๆ ก็ดี อันเป็นภาระหนักของสังคมอยู่ทุกวันนี้ และที่สุด ย่อมอาจชะลออายุพระพุทธศาสนาให้สืบไปนานเท่า 5000 พระวัสสาได้ตามพุทธประสงค์
คำถาม ตามร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.
.. ฉบับของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ นสพ.ดี วิเคราะห์ไปในฉบับที่แล้ว (ดี เดือน ก.ย.-ต.ค.42) ที่เสนอให้
......จัดส่วนงานทั้งส่วนกลางและส่วนจังหวัดขึ้นมาอีก 3 ระดับส่วนงาน ทำหน้าที่บริหารงานด้านการศึกษาส่วนคันถธุระและวิปัสนาธุระ แยกจากพระสังฆาธิการออกไปโดยเฉพาะ ดังนี้
1. ให้มีสำนักงานกลางการวิปัสนากรรมฐาน เพื่อบริหารงานระดับชาติ
2. ให้มีสำนักงานกลางการวิปัสนากรรมฐานส่วนจังหวัด เพื่อบริหารงานระดับจังหวัด
3. ให้มีสำนักงานกลางการวิปัสนากรรมฐานส่วนตำบล เพื่อบริหารงานระดับตำบล
โดยมีกรรมการบริหาร อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี กรรมการมาจากพระวิปัสนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ หรือพระผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เป็นเถระ มหาเถระแล้ว ที่ไม่มีฐานะเป็นพระสังฆาธิการ และ ไม่มีสมณศักดิ์ จำนวน 20 - 50 รูป ให้มีหน้าที่จัดหาจัดการเกี่ยวกับงานวิปัสนาธุระ วางแผนงานประจำปี ประจำเดือน ฯลฯ จัดสถานที่สำหรับการเจริญธุดงค์กรรมฐาน โดยการประสานงานกับรัฐบาล และองค์การการกุศลต่าง ๆ รวมทั้งประชามหาชนทั่วไป และรัฐบาล รวมทั้งองค์การการกุศลต่าง ๆ ประชามหาชนเหล่านั้นให้การสนับสนุนเครื่องมือ และสถานที่ที่ถูกหลักการเจริญธรรมเจริญวิปัสนากรรมฐานชั้นสูง ประสานงานให้มีการจัดหาสถานที่อันเป็นธรรมชาติ เช่น การอุทธยานแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นที่สำหรับการเรียนการสอนกรรมฐานทุกแบบในพระพุทธศาสนา รัฐบาลต้องเปิดอุทธยานทุกแห่งเพื่อให้เป็นที่เข้าไปจำเริญวิปัสนากรรมฐานได้ตามหลักการพระธรรมวินัย นอกจากนี้ รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีอุทธยาน สำหรับส่วนศาสนบุคคลโดยเฉพาะ เพื่อเป็นที่รวมการปฏิบัติธรรมทุกชนิดโดยหวังผลอย่างสูงสุด ให้มีการบรรลุธรรมได้ มีผู้สามารถพิสูจน์ผลธรรม ได้แก่การบรรลุมรรคผลนิพพานตามธรรมตามวินัยได้จริง นั้น
อยากขอให้อธิบายเพิ่มเติมไปว่า การที่กำหนดเฉพาะพระที่ไม่มีตำแหน่งและไม่มีสมณศักดิ์ ให้เข้าสู่ระบบนั้นจะมิเป็นการจำกัดตัวเองเกินไปหรือ เพราะโดยสภาพความเป็นจริง พระธรรมดาที่ไม่มีตำแหน่งและไม่มีสมณศักดิ์นั้น ความหมายที่เห็นอยู่โดยทั่วไปก็คือพระ นวก คือพระบวชใหม่ เมื่อมีภูมิรู้ภูมิการศึกษาขึ้นมาหน่อยก็ต้องมีตำแหน่ง มีสมณศักดิ์ขึ้นมา ส่วนน้อยที่สุดจริง ๆ จึงจะดำรงตนเป็นพระธรรมดาที่ทรงธรรมทรงคุณวุมิ อยู่ต่อไปได้ แม้พระฝ่ายวิปัสนากรรมฐาน พระป่า ทุกวันนี้ก็ล้วนถูกครอบงำโดยระบบตำแหน่งและสมณศักดิ์ไปตาม ๆ กันแล้ว และมีแนวโน้มว่าพระป่าเหล่านี้ก็พลอยเห่อเหิมตามไปด้วย ฉะนั้น พระธรรมดาทุกวันนี้ ก็คือความหมายของพระที่อ่อน ด้อย ทุกด้าน ไม่ว่าด้านการศึกษา อาวุโส หรือพรรษา พระที่กล้าแกร่งแข็งแรงกลับมองเห็นได้จากพระที่มีตำแหน่ง มีสมณศักดิ์ ฉะนั้นน่าจะเปิดโอกาสให้พระที่มีตำแหน่ง และสมณศักดิ์ ได้เข้ามาสู่ระบบงานฝ่ายวิปัสนากรรมฐาน ตามที่เสนอมาข้างต้นนั้น จึงจะสามารถทำความฝันให้ใกล้เคียงความจริงได้
ตอบ เราต้องยอมรับความจริงว่า ทางที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยเท่านั้น จึงจะสามารถกลับหันเหทิศทางของเรือใหญ่ ที่เดินฝีจักรไปเรื่อย ๆ สู่หายนะดือกระแสหมุนวนในมหาสมุทรใหญ่ข้างหน้าได้ การที่เราเสนอให้มีเฉพาะพระไม่มีสมณศักดิ์หรือตำแหน่งใด ๆ ที่ถาวรไปชั่วชีวิต ก็เพื่อสถาปนาระบบที่ถูกต้องขึ้นนั่นเอง จริงอยู่พระที่มีความรู้ขึ้นมา มีความสามารถขึ้นมาก็เอาไปเป็นพระราชการหมด เอาไปรับใช้ราชการหมด แต่ความจริงที่เห็นกันชัดเจนทุกวันนี้ก็คือ แม้กระนั้นพระราชการเหล่านั้นก็พากันไปตีบตันกันหมด คือสุมหัวตายกันหมด ตายด้วยกิเลส ราคะ ตัณหา ตายด้วยลาภ ด้วยยศ ด้วยสรรเสริญ และสุข เพราะไม่สามารถเดินไปสู่วิถีมรรคผลนิพพานได้ เพราะวิถีมรรคผลนิพพานถูกกั้นโดยระบบราชการเสียแล้ว แท้ที่จริง เส้นทางที่ระบบราชการสงฆ์ปัจจุบันเดินนั้นก็คือทางเดินไปสู่กาม มีเงิน กับสตรี เป็นเบื้องหน้า เป็นที่หวัง ที่ต้องพานพบ มิใช่ทางแห่งการหลุดพ้น มิใช่ทางที่ระงับกาม มิใช่ทางที่ไปสู่พระพุทธเจ้าได้ ฉะนั้น จะต้องกลับมาสู่ระบบพระธรรมดา ไม่มียศ ไม่มีสมณศักดิ์ ไม่มีตำแหน่งทางราชการ มาสู่การสละโลกธรรม แล้วมุ่งหมายปฏิญาณตนตามรอยพระพุทธเจ้าไปจริง ๆ จึงจักสามารถปฏิบัติธรรมกรรมฐานชั้นสูงสุดจนบรรลุความพ้นทุกข์ เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดได้
และเมื่อระบบที่ปฏิรูปแล้วได้เปิดโอกาสให้ พระผู้ทรงธรรมทรงประสิทธิภาพสูงสุดที่มีอยู่ขณะนี้ก็จักปรากฎตัวออกมาทำหน้าที่ของท่าน แต่ที่สำคัญ การเป็นพระธรรมดานั้น พระสาวกรูปใด ๆ ก็สามารถเป็นได้ เพียงแค่ สละสมณศักดิ์ หรือสละตำแหน่งที่มีเสีย ด้วยจิตใจที่เสียสละอันแท้จริง เท่านี้เองก็จะสามารถได้พระดีมีคุณธรรมสูงอยู่ในระดับหนึ่งมาช่วยกันสร้างดำรงระบบที่ถูกต้องตามธรรมตามวินัยต่อไปได้ ฉะนั้น การที่กำหนดให้มีเฉพาะพระที่ไม่มีตำแหน่งและสมณศักดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งทางวิปัสนากรรมฐาน จึงมิได้จำกัดดังที่มีข้อสงสัย หากแต่สามารถเปิดกว้างได้โดยวิธีที่แยบคาย เพราะเพียงแต่ สละสมณศักดิ์และตำแหน่งมาเป็นพระธรรมดา ๆ เสียก่อน เท่านั้นเอง และก็จะใกล้เคียงความเป็นจริงของการปกครองโดยระบบสภาสงฆ์ 4 ระดับเข้าไปอีก เพราะโดยระบบนี้การอยู่ในตำแหน่งจะมีการหมุนเวียนเข้าออก ไม่ติดตาย และมีเกษียณอายุ เปิดโอกาสทางการศึกษาเพื่อความหลุดพ้น เพื่อมรรคผลนิพพาน อันเป็นวิถีทางที่มีแต่ความเพิ่มพูนความสงบ สันติสุข ไม่ตีบตัน ก่อทุกข์ด้วยราคะตัณหาต่าง ๆ เหมือนระบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และย่อมก่อเกิดกระแสอันใหญ่อันแรง ไหลหลากไปสู่ทิศทางแห่งมรรคผลนิพพานได้อย่างเต็มที่ ด้วยการจัดวางระบบได้ดั่งนี้ การบรรลุธรรมของคนหมู่มากจึงย่อมสามารถมีเป็นขึ้นมาพร้อมกันได้ แม้ในยุคปัจจุบัน