ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2551 ต้นปี

 ในปี 2536 ประเทศไทยได้ประสบความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมอย่างหนัก มีคำว่า ตกเขียว และ โสเภณีเด็กไทย เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก และยังมีวารสารต่าง ๆ ต่างประเทศเช่น Longman จารึกเอาไว้ว่า ประเทศไทยได้ชื่อว่า มีโสเภณีมากที่สุดในโลก  มีตนติดเอดส์มากที่สุดในโลก  คนไทย-สังคมไทยมีความนิยมวัฒนธรรมกามปรากฏอย่างออกหน้าออกตาทางสื่อมวลชนทุกแขนง โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ทุก ๆ ช่องในขณะนั้น  จนกระทั่งพระสงฆ์รูปหนึ่งทนดูอยู่ไม่ได้ จึงเปิดฉากการรณรงค์ต่อต้านทำสงครามวัฒนธรรมเพื่อปกป้องสังคมและวัฒนธรรมของชาติ รวมความถึงการปกป้องเปลือกที่หุ้มห่อของพระพุทธศาสนาอันสูงสุดในประเทศนี้  จึงเกิดแผนงาน  แผ้วสังคมด้วยธรรม นี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 ตราบปัจจุบันนี้  และการรณรงค์ระยะแรก ๆ มุ่งหมายเผชิญหน้าแบบตรงไปตรงมาเพื่อให้แตกหักไปข้างหนึ่ง ปรากฏในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสังคมไทยเป็นเวลายาวนานกว่า 16 ปี ต่อไปนี้

แผนงานแผ้วสังคมด้วยธรรมะ

ของ ปัญญาธโรภิกขุ(พระพยับ ปญฺญาธโร : อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ)

เริ่มงานครั้งแรกวันที่ 23 ตุลาคม พุทธศักราช 2536

ด้วยผลงานการวิเคราะห์สังคมใน เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

 

ต่อต้านเอดส์ต่อต้านอนารยธรรม

เพื่อร่วมมือกันต่อสู้สงครามรุกรานทางวัฒนธรรม

 

 

 

 

 

 

 

 

สารบาญ

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2551   

 

 

0.   เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว แผนงานแผ้วสังคมด้วยธรรมะ

1.   บทกวีอำนวยพรวันปีใหม่ พุทธศักราช 2551

2.   สมเด็จพระพี่นางฯ สิ้นพระชนม์

3.   อาลยวาณี  คำไว้อาลัย

4.   จดหมายถึงบรรณาธิการ2

5.   จดหมายถึงบรรณาธิการ3  

6    ต่างประเทศ  การเลือกตั้งขั้นต้นในอเมริกา  บารัค โอบามา นำ ฮิลลารี คลินตั้น

7.   ข่าวทีไอทีวี  วันนี้โดนคำสั่งให้หยุดการแพร่ภาพข่าวสาร

8.   บทวิเคราะห์พิเศษ ข้อสังเกตการเมืองไทย 2 จริยธรรมทางการเมือง

9.     ASTV News1 วันนี้ วันครู 16 มกราคม 2551   

10.      การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหนแรก ภาพที่เห็น


 

11.    ละคร สงครามนางฟ้า วงการแอร์โฮสเตสต่อต้าน

11.1  นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 25 เป็นบุคคลแห่งปี คนที่ 25

12.    จดหมายถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายสมัคร สุนทรเวช

13.    ปราสาทเขาพระวิหาร  ท่องเที่ยว ชมภาพสด  

14.    จดหมายถึงบก. จากจาน ประครองจิต 

15.    ขอบคุณมาก ๆ ที่ผ่อนหนี้สินให้ประชาชน

16.      ASTV News1วันนี้2 มองจากทัศนะแห่งธรรม

17.      โครงการ2แสนล้าน อุโมงค์ผันน้ำอีสาน  

18.      RAMESES ฟาโรห์กับการลงโทษ10อย่างของพระเจ้าจริงหรือ?  

19.      รายงานเรื่องวันวาเลนไทน์ 

20        Aljazeera สื่อสงคราม  ทำไมจึงต้องมีการตรวจสอบสื่อ? 

 

21       การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา 

22       ทักษิณกลับไทย กราบแผ่นดินสุวรรณภูมิ
23.      วิเคราะห์การเลือกตั้งชั้นต้นในสหรัฐอเมริกา 

24.      กระบวนการยุติธรรมไทยที่ใช้กับการยุบพรรคการเมืองยังไม่ยุติธรรม

25.      ประชาธิปไตยไทยยังหลงทางอยู่  ยังคง ล้าหลังสุด ๆอยู่

26.      สงกรานต์ศรีสะเกษมองระบบวัฒนธรรมใหม่จากเทศกาลสงกรานต์

 

27.    ประชาธิปไตยไทยต้องมียุทธศาสตร์

 

        ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอน     ของระบอบ

 

 

 

 

28.    จดหมายถึงบก.1 แสดงความจงรักภักดีโอเวอร์เกินไปน่าสงสัยอยู่
29.    จดหมายถึงบก.2 เห็นด้วยกับจาน ประครองจิต

30.    บันทึกสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตร ต้านความคิดขายชาติ

31.    บันทึกเรื่องASTVไม่เคารพธงชาติ 

32.    ข่าว เฉลิมขอพบสนธิลิ้มอีกครั้ง 

 
33     จดหมายถึงบรรณาธิการ3ถึงชลัมพุช โหรชนบทให้ดูดวงเมือง
           บันทึกบก.ให้ช.โหรชนบทพิจารณา 

 

34.    ถามจริงตอบตรง ขบวนการจำลอง-ประชาธิปัตย์-สนธิต้องการอะไร?

35.    สรุปประชาธิปไตยไทย บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์  
36          บันทึกประเทศไทย 1  เป้าหมายของกลุ่มสนธิ-จำลองคืออะไร?
37          บันทึกประเทศไทย 2  พลังสีขาวบริสุทธิ์

 

 

39   บันทึกประเทศไทย 4  สงครามครั้งสุดท้ายม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาะปัตย์ 

 

40   ศรีสะเกษประชุมวิเคราะห์เขาพระวิหาร การเป็นมรดกโลกศรีสะเกษได้อะไร?

 

 41.    นายนภดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศออกรายการชี้แจง
ปัญหากัมพูชานำเขาพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลก

 

 

42  มองตรงมองจริง ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์

 

สนธิ ลิ้มทองกุล คือบ่างช่างยุ ตัวอันตรายของประเทศชาติ

 

 

 

 

  

 

 

43  โอวาทของท่านปัญญาธโรภิกขุ
   ต่อเหตุการณ์ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2551 

 

44   กรณีปราสาทพระวิหาร
ในทัศนะของคนศรีสะเกษแท้คนหนึ่ง

 

45   ผลการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อ27มิ.ย.2551

 

 

46 ภาพที่เห็นจากสภาผู้แทนราษฎร

 

ในการประชุมพิจารณารับหลักการ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2552

วันที่ 28 มิ.ย.2551 เวลา 16.00 น.

 

 

 

 

 

47  ข่าว

 

คณะสงฆ์เป็นห่วงชาติบ้านเมือง
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสามัคคีและเอื้อซึ่งกันและกันเพื่อช่วยชาติให้รอด

 

 

 

 

48   ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์บุกศรีสะเกษ
ยึดเวทีตลาด ถนนคนเดิน

 

49  บอลยูโร 2008 สเปญแชมป์เหนือเยอรมัน 

 

50  ASTV วันนี้ ภาพอารยะขัดขืนที่เห็นน่าสังเวชใจ
จากรายงานทีวีทั่วไป

4 ก.ค.2551, 07.30 น.

 
51   วันนี้มีปัญหา ประเทศไทยจะทำอย่าง ไร? คนไทยไม่ทะนุถนอมเลี้ยงดูประชาธิปไตย มีขบวนการเข่นฆ่าประชาธิปไตย กวาดล้างสายเลือดประชาธิปไตย

 

52   จากสาวน้อยบ้านนาชนบทเสนอ ประเทศไทยจะทำอย่างไร 5 ข้อ

53   สนธิ ลิ้มทองกุล วันนี้ 

 

54.   การเมืองวันนี้  ฟังสาวน้อยจากชนบท20ประการการปฏิวัติ 

 

55    กรณีปราสาทพระวิหารวันนี้ จงรักเพื่อนบ้านยิ่งกว่ารักตน 

56   กรณีปราสาท  ฯ 2 จงรักศัตรู
57.   บทกวีม็อบแค้น 23 ก.ค.2551 

58.   ประเด็นคำถาม  วุฒิสมาชิก มีวุฒิภาวะอยู่อย่างไร? 
 

59.   ขอให้พยากรณ์ชาตาสนธิ ลิ้มทองกุล   

60.   โหราศาสตร์ ดวงชะตาสนธิ ลิ้มทองกุล
 

61.   กรณีเขาพระวิหาร เหตุการณ์ตลุมบอนที่ศรีสะเกษ 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  บทกวีอำนวยพรวันปีใหม่ พุทธศักราช 2551

ผู้ขุนเลี้ยงแผ่นดิน

 

ให้วันใหม่ใจใสสว่างจ้า  

ธรรมคู่หล้าควรด้วยจักสวยสม

มีเมตตาอาวรณ์ผ่อนอารมณ์

ศีลงามสมสามเณรพุทธสุดเรืองรอง

 

ธรรมนั้นล้ำน้ำค่ากว่าทวยทรัพย์

มิอาจนับคณนาค่าทั้งผอง

เปรียบแสงฟ้าผ่องใสลำใยยอง

ที่ลาดส่องคลองสวรรค์อันปรานี

 

ประพฤติพร้อมจริยาวิชาครบ

ช่างน่านบนรนาถชาตินรสีห์

นี่แหละหนอหน่อเนื้อเชื้อความดี

ผู้ขุนเลี้ยงแผ่นดินนี้นิรันดร 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 สมเด็จพระเจ้าพี่นางสิ้นพระชนม์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ เวลา 02.54 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2550 ณ ร.พ.ศิริราช  พระชันษา 84 ปี

 อาลยวาณี 

 

ขอพระองค์ทรงสู่สวรรยาตร

ด้วยอำนาจบุญฤทธิ์อธิษฐาน

ตราบพุทธะมาตรัสพระโพธิญาณ

จึ่งค่อยคืนสู่สถานพิมานดิน ฯ

 

ทรงผ่อนพักพระวรกายสบายจิต

ทรงสถิตสืบศาสตร์ประสานศิลป

ตราบบรรลุพระอรหังดั่งใจจินต์

จึ่งจบสิ้นสู่สวรรค์ชั้นนิพพาน ฯ

  • บานไม่รู้โรย/2ธ.ค.2550

 

ประชาชนชาวศรีสะเกษ ตกตะลึงกันทั้งจังหวัด ทั้งหมู่บรรพชิตนักบวช ข้าราชการ  พ่อค้า ประชาชน  ในการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระพี่นาง เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ใน เวลา 02.54น. วันที่ 2ม.ค.2550  ประชาชนน้ำตาคลอในการจากไปของพระองค์ท่าน  ขอให้พระองค์จากไปดีเถิด ตามคติธรรมว่า  สุคติ  ทุกขคติย่อมเป็นไปตามกรรม  ทรงประกอบกรรมดีมาชั่วชีวิต  จึงหวังว่าพระองค์จะทรงเสด็จไปดี  สู่สวรรค์ชั้นดุสิตเบื้องบนด้วยเทอญ

  •    ประชาชนศรีสะเกษ/3 ม.ค.2550

 

 

     เผณูปมํ  กายมิมํ  วิทิตฺวา

     มรีจิธมฺมํ  อภิสมฺพุธาโน

     เฉตฺวาน  มารสฺส  ปปุปฺผกานิ

     อทสฺสนํ  มจฺจุราชสฺส  คจฺเฉ

 

เมื่อรู้ว่าร่างกายนี้แตกสลายง่ายและว่างเปล่า

เช่นเดียวกับฟองน้ำ   และพยับแดด

ก็ควรทำลายบุษปศรของกามเทพ(มาร)

ไปให้พ้นทัศนวิสัยของมัจจุมารเสีย

 

Percieving this body to be similar unto foam

And comprehending its mirage-nature,

One should destroy the flower-tipped arrows of Love

And pass beyond the sight of the King of Death.

 

 

 

 

     ชีรนฺติ  เว  ราชรถา  สุจิตฺตา

     อโถ  สรีรมฺปิ  ชรํ  น  อุเปติ

     สตญฺจ  ธมฺโม  น  ชรํ  อุเปติ

     สนฺโต  หเว  สพฺภิ  ปเวทยนฺติ

 

     ราชรถอันวิจิตรงดงามยังเก่าได้

     แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่พ้นชราภาพ

     แต่ธรรมของสัตบุรุษหาแก่ไม่

     สัตบุรุษทั้งหลายย่อมกล่าวสอนกันเช่นนี้แล

 

Splendid royal chariots wear away,

The body too comes to old age.

 But the good's teaching knows not decay,

 Indeed, the good teach the good in this way. 

  • ธรรมบท แปลโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก พุทธวจนะในธรรมบท หน้า55,176

 

 

 

 

 

 

 

 จดหมายถึงบรรณาธิการ 2
จาก  จาน   ประครองจิต แห่งอีสานบน

ผมได้อ่านความรู้สึกของบัวระย้า ชบาบุญเสฏฐ์ แห่งอีสานใต้แล้ว  ถึงใจคนอีสานจริง ๆ  เห็นด้วยครับ เห็นด้วยครับ  ผมคนอีสานบนขอประสานเสียงรับว่าเห็นด้วยทุกถ้อยคำเลย  โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า  นักการเมืองยังเข้าไม่ถึงจิตใจคนอีสาน  ลองศึกษาคนอีสานและวัฒนธรรมอีสานให้ลึกซึ้งสักหน่อยเถิด ก่อนที่จะประนามเขาว่าโง่เง่าเต่าตุ่น เลือกผู้แทนโง่ ๆ รัฐบาลโง่ ๆ มาให้ชาวกรุงล้มแล้วล้มอีก   เห็นคนอีสานเป็นพลเมืองชั้นทาสหรืออย่างไร? ถามหน่อย เป็นนักวิชาการการเมืองได้อย่างไร?  วันนี้ประชาชนก็ได้ทำหน้าที่ของเขาแล้ว เลือกผู้แทนให้แล้ว เขาก็จะไปทำมาหากิน  นักการเมืองมาทำเละเทะกันเอง   เห็นใจด้วยเถิดประชาชนเขาไม่มีเวลามาทะเลาะกับพวกท่าน เข้าของแพง เงินทองไม่พอใช้  ลูก ๆ ต้องเข้าโรงเรียน  รีบจัดตั้งรัฐบาลแล้วรีบทำงานกันเสียที  ตรงนี้เป็นหน้าที่ของนักการเมือง ใช่หรือเปล่า   รู้หรือเปล่าว่าประชาชนเดือดร้อน พวกท่านมาเถียงกันหาอะไร ?   เอาเท่านี้ก่อนนะครับบก. หากยังไม่เรียบร้อยจะเขียนมาใหม่ ขอบคุณมากครับ 

  • จาน ประครองจิต  

 

 

 

 

 

 

 

 

 จดหมายถึงบรรณาธิการ 3
จาก สาวอีสานชนบทนครราชสีมา

เรียนบก.นสพ.ดี   อยากให้การเมืองนิ่งเสียที  นักการเมืองหยุดทีเถอะน่า  อย่าช่างขี้ ฟ้องนักเลย    นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ฟ้อง  อย่างนี้ประเทศชาติก็เสียหาย และไม่รู้จบรู้สิ้น บรรลัยกันไปทั้งประเทศ  ท่านไม่รู้หรือว่าจะต้องเสียเงินเสียทอง เสียดายงบประมาณ เสียดายเงินทอง  จะต้องใช้จ่าย เงินจำนวนมากมายหลายล้าน ประเทศเราก็เสียเวลา  ประชาชนเขาก็เบื่อหน่าย   เขาเลือกไปแล้วก็รีบตั้งเถอะ  ยอมรับกันว่า  ใคร ๆ ก็มีความผิด  ไม่มีใครจะถูกทั้งหมด  ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซนต์  หนักนิดเบาหน่อยควรให้อภัยกัน พรรคการเมืองควรจะประนีประนอมกัน  ตั้งใครเป็นรัฐบาลก่อนไปเถอะ จะได้  รีบทำงาน  รีบให้เกิดความสงบในประเทศเรา  ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศเขามองอยู่   อย่าแก่งแย่งกันเลยน่า  มาดูความจริงหากรัฐบาลทำไม่ดี แล้วเขาอยู่ไม่ได้หรอกน่า เห็นมาแล้วตั้งแต่ยุคทักษิณ  ทั้ง ๆ ที่ท่านทำความดีเหมือนกัน  ท่านยังอยู่ไม่ได้เลย  ซีดีของทักษิณ ก็อย่าเอามาวุ่นวายเลย  คนที่เขาอ่านเขาดูเขาพิจารณาเอง เขามอง เขามีสติปัญญารู้ว่าดีรู้ว่าชั่ว  อย่าให้ยุ่งยากและอยากกันมากนักเลย  ให้ใครเป็นไปก่อนเถอะ  เห็นแก่ในหลวง  เพราะจะทรงตรอมพระทัย พระพี่นางก็เพิ่งเสด็จไป คนทั้งชาติกำลังเศร้าโศรก  มีแต่นักการเมืองนี่แหละยังแก่งแย่งกันอยู่    ขอร้องให้ร่วมมือกัน  อย่าอยากได้ตำแหน่งกระทรวงนั้นกระทรวงนี้เลย  ขอให้ทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อในหลวง   รีบให้การศึกษาแก่ประชาชน  รู้ไหมขนาดจบม.6ทุกวันนี้เขายังไม่เอาไปล้างจานร้านก๋วยเตี๋ยวเลย เขาเอาชั้นปริญญาไปล้างจานร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว   อย่าให้คนอื่นเขาดูถูกเลย ขอให้ทบทวนกันดูดี ๆ  มาช่วยกันทำงานทำหน้าที่แต่ละคน อยากให้แบ่งหน้าที่กันให้ถูกต้อง  อย่าเกี่ยงงอนเลย  ประชาชนเขารักทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน  ไม่ใช่เขาไม่รักฝ่ายค้าน เขาก็รักเหมือนกัน  ขอแต่ให้แบ่งหน้าที่ให้ดี ร่วมมือกันบริหารทุกฝ่าย   ขอเสียทีเถิดอย่าให้ใบแดงใบเหลืองต่อไปเลย  มาร่วมมือกันดีกว่า   ถ้ายุ่งยากนักก็ให้เสียสละกันบ้าง  ขอวิงวอน กกต.และผู้มีหน้าที่พิจารณาได้ไหม  ให้รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว  อย่าถือสาหาความมากเลย  มันจะไม่รู้จบรู้สิ้น  สงสารประเทศไทยเรา สงสารประชาชน ประชาชนเขาสับสน  เขาไม่ทราบไม่เข้าใจว่านักการเมืองทำอะไรกัน?อยากให้ลูก ๆ ของท่านทำเพื่อในหลวงได้ไหมที่พระองค์ตรัสเรื่องความสามัคคี หากท่านไม่ร่วมมือกันแล้วจะเดินไปได้อย่างไร เหมือนคนมีขาเดียวจะเดินได้อย่างไร  ขอร้อง  ท่านอาจจะมึนหัวไป ก็ช่วยบอก ว่าประชาชนอยากให้ท่านทำอย่างนี้ ?

  • จาก สาวอิสาน ชนบท
    4 ม.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าวทีไอทีวี 

 

ทีไอทีวีTITVได้รับคำสั่งให้หยุดการถ่ายทอดข่าวสารวันนี้(14 ม.ค.2551)ตั้งแต่เวลา24.00น.เป็นต้นไป   โดย คำสั่งนายปราโมท รัฐวินิต อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ลงนามวันนี้  นารากร ติยายน ในนามพนักงาน 900กว่าคน บอกอำลาผู้ชม ณ เวลา 22.20 น.  และว่าจะปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข   จากเวลานี้  ฉายภาพผลงานที่ผ่านมา ของทีไอทีวี  และภาพพนักงานเก็บข้าวของ ขนข้าวของกลับบ้าน  เราขอให้กำลังใจ อย่าได้ท้อถอยแก่ชีวิตของนักสู้ เพื่อสัจธรรมเลย  โอกาสจะต้องมีแก่เราในวันหนึ่ง สำหรับผู้ที่ไม่งอมืองอเท้า  จริงไหม?  จากเราผู้เฝ้าติดตามจนถึงวาระสุดท้าย ทีไอทีวี

 

-บก.นสพ.ดี(อินเทอเนต)/14ม.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทวิเคราะห์พิเศษ ข้อสังเกตการเมืองไทย 2

 

การเมืองไทยขณะนี้ เป็นเวลาหลังการเลือกตั้งมา 22 วันแล้ว ก็ยังเปิดสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้  และทั้งยังมีสมาชิกสภาอีกส่วนหนึ่งคือว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนที่ต้องข้อกล่าวหาว่าทุจริต  และวุฒิสมาชิกสภาใหม่ ก็ยังดำเนินการเข้าสู่ตำแหน่งยังไม่เสร็จเรียบร้อย  แต่ทั้งนี้เป็นผลจากรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับคมช. 2550 ระยะนี้จึงน่าที่จะได้มาวิเคราะห์การเมืองไทยในประเด็นหลักที่สำคัญ ๆ กันดูบ้าง เพื่อทราบตัวปัญหาที่สำคัญ ๆ และการพิจารณาแก้ไข  ให้เกิดความถูกต้องและเป็นผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองเรา และประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการเมือง ตามเจตนารมณ์ของระบอบที่อำนาจการปกครองเป็นของประชาชน

 

ประเด็นสำคัญก็คือ  การเมืองไทยเป็นการเมืองที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง  โดยเสี่ยงอย่างสำคัญต่อการแตกแยกของประชาชนออกเป็นฝักเป็นฝ่าย อันเป็นผลจากความไม่ลงตัวและความวุ่นวายที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในวงการเมืองไทยอย่างเดิม ๆ ที่ไม่เคยจบสิ้นลง  นั้นหมายความว่า  การเมืองไทยไม่เคยเข้าสู่ระบอบที่แท้จริงของการปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชนในความหมายหลัก ที่ว่าอำนาจการปกครองที่แท้จริงเป็นของประชาชนเลย     ตั้งแต่มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศนี้  จึงดูประหนึ่งว่า  เอาประเทศไทยมาทดลอง ครั้งแล้วครั้งเล่า  และเป็นการทดลองไปเปล่า ๆ  อย่างไม่มีการศึกษา วิจัย  หาข้อสรุปออกมาไม่ได้ เมื่อมีการเสวนาทางสื่อมวลชนภายหลังการเลือกตั้งทุกครั้ง ๆ  โดยเฉพาะในระยะหลัง ๆ นี้ ยิ่งแสดงถึงการไร้หลักการของนักวิชาการที่ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของประชาธิปไตยในประเทศนี้ ทั้ง ๆ ที่ถูกมองว่าเป็นผู้นำทางการเมืองของประชาชน เพราะสิ่งที่สะท้อนออกมาเหมือนว่าหาจุดยืน หาความมีอุดมการณ์ทางการเมืองในสังคมนี้ไม่ได้นั่นเอง  จึงเกิดวงจรอันตรายขึ้นมา  สิ่งที่ปรากฏมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ในวงการเมืองไทยวันนี้ ก็คือ  การเมืองทำให้ประชาชนทุกระดับในประเทศไทยแตกแยกกันมากขึ้น  ไม่ว่าการเมืองระดับชาติ หรือระดับท้องถิ่น  ลงไปถึงล่างสุดคือ ระดับหมู่บ้าน  อันเป็นสังคมชนบทที่เคยสงบเยือกเย็นมีสามัคคีธรรมมาแต่ก่อนก่อนที่จะมีการจัดตั้งองค์กรปกครองระดับล่าง ๆ ที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยขึ้นมา   บัดนี้แม้หมู่บ้านหมู่เล็ก ๆ มีประชานอยู่เพียงไม่กี่ร้อยคน ก็ยังเกิดแตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย การพูดการจากันหาร่องหารอยอันสมานฉันท์ไม่มี ที่เกิดขึ้นในกลุ่มการเมืองที่เกิดจากการแบ่งกันเพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในแต่ละระดับ   ในระยะปัจจุบันนี้  มีคนไทยพูดกันไปแล้วหัวเราะกันไป(บุคลิกภาพที่ไม่เคยคิดทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ ของคนไทยทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังจะเข้าตาจน) ก็คือ  แม้ระดับครอบครัว คือในบ้านหลังหนึ่ง  พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูก ๆ หลาน ๆ ก็ยังแตกแยกกันไป  เป็นฝักเป็นฝ่ายเข้าไปแล้ว 

 

 

 

(โปรดติดตามไปดู ข้อสังเกตทางการเมืองไทย คลิ๊กที่นี่)  ว่า นักการเมืองไทยไร้น้ำใจ เพราะในการเลือกตั้งคราวที่แล้วนั้น และเมื่อมองจริยธรรมและวัฒนธรรมทางการเมืองแล้ว ก็น่าจะลองมองทางแก้ไขที่สอดคล้องกับหลักธรรมะในศาสนา

พรรคการเมืองและนักการเมืองเป เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้งของกกต. เป็นขั้นต้นแล้ว  นักการเมืองแต่ละพรรค ต่างออกมาพบประชาชนของตนเอง  แต่ไม่มีใครเลยที่แสดงถึงความมีจริยธรรมทางการเมือง   ประชาชนทั้งหลายจะไม่มีใครได้ยินคำว่า  ยอมรับในความพ่ายแพ้   และ  คำว่า   ยินดีด้วย   จากนักการเมืองของเขา นอกจากนั้น  ยังมีท่าทียุยงส่งเสริมให้ประชาชนฝ่ายที่ลงคะแนนให้ตน ผูกยึดติดอยู่กับทิฏฐิที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้  และไม่ยอมมีจิตใจยินดีกับผู้ชนะ  ต่อไปอีกด้วย  ซึ่งนี่    เป็นประเด็นของอันตรายอันยิ่งใหญ่    ในแง่ที่จะไปทวีให้เกิดการแตกแยกในหมู่ประชาชนของชาติของประเทศสืบไปให้กว้างขวางออกไปอีกเรื่อย ๆ โดยไม่ชอบธรรม   และยังเป้นประเด็นที่บอกไปถึงความรู้และการศึกษาของนักการเมืองไทยที่บอกไปถึงการขาดความเข้าใจในประเด็นที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง   โดยไม่เข้าใจประเด็นของคุณและโทษทางจริยธรรมทางการเมือง  เหมือนเช่นประเทศที่มีความก้าวหน้าของประชาธิปไตยในอเมริกา และยุโรป (ดูอเมริกา ดูจิตใจเขา ที่กล้าเอ่ยยอมรับความพ่ายแพ้ของเขาเองต่อหน้าประชาชนของเขา(เขาไม่อายประชาชนที่สนับสนุนเขา เพราะประชาชนเขาก็เข้าใจและยอมรับในความพ่ายแพ้)  ยุโรปดู นายโทนี่ แบล อดีตนรม.อังกฤษเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องจริยธรรมทางการเมือง)

 

 

 

 

            สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ

            อเวเรน จ สมฺมนฺติ            

            เอส ธมฺโม สนนฺตโน

            แต่ไหนแต่ไรมาในโลกนี้   

            เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร

            แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร 

            นี่เป็นกฎตายตัว

            At any time in this world,

            Hatred never ceases by hatred,

            But through non-hatred it ceases.

            This is an eternal law.

 

·         สุไหงปาดี วิเคราะห์
/15 ม.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ASTV News 1 วันนี้

วันครู 16 มกราคม 2551

 

ออกทางเคเบิลช่อง 2 บ้างช่อง 13 บ้าง วันนี้พบที่ช่อง 2  ถ่ายทอดจากดาวเทียม

เป็นทีวีข่าวและวิเคราะห์ข่าวการเมืองล้วน ๆ โดยทีวีช่องนี้มีธงการวิเคราะห์ของตนเอง  มีเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง  และใช้สื่อนี้สนับสนุน    เอานักการเมือง พรรคการเมืองที่ตนเองชอบ ที่เป็นเป้าหมายของตนเองมาสรรเสริญ  ในขณะเดียวกันโจมตีพรรคการเมืองอื่น และนักการเมืองคนอื่น ๆ  ที่เป็นฝ่ายที่เอเอสทีวี มอง ด้วยสติปัญญา วิจารณญาณของตนว่าไม่ดี   หรือที่ตนเองมองด้วยอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ว่าชอบ ไม่ชอบ  เหมาะสม ไม่เหมาะสม  ดี ไม่ดี   และพยายามขุดคุ้ยหาหลักฐานมากล่าวหานินทา หรือกล่าวหา ให้ร้ายได้อย่างเปิดเผย จนทำให้น่าคิดว่าสื่อเช่นนี้มีความเป็นกลางทางการเมือง  และทำข่าวสารอย่างไร  มีความน่าเชื่อถืออย่างไร  และรัฐบาล หรือผู้บริหารสื่อสารมวลชนของชาติ  หรือสถาบันสื่อมวลชนเองไม่ได้มองทางหลักวิชาว่า  สื่อจะต้องเป็นกลาง มีความน่าเชื่อถือ  และมีจริยธรรมคือ การเสนอข้อมูลและบทวิเคราะห์วิจารณ์อย่างเป็นธรรม(FairePlay)ตามหลักวิชาการสื่อสารมวลชนหรือไม่ อย่างไร เพียงไร  และที่สำคัญ ไม่เกรงกรณีที่การกล่าวหารุนแรงจะเข้าข่ายความผิดทางหมิ่นประมาท ที่อาจจะถูกฟ้องร้องเสียหายแก่ตนเองได้

 

และที่น่าสังเกตก็คือการวิเคราะห์ การเมือง ของเอเอสทีวี แสดงออกถึงความที่มิได้คำนึงสัจธรรมพื้นฐานทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเลยว่า  คนเรามีความคิดเห็นแตกต่างกันไปทุกคน ๆ  จะหวังให้คนเรามีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้หรอก  เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เนื่องจากคนมิใช่สัตว์หรือควายที่จะต้องคิดอะไรทำอะไรเหมือนกันหมด เพราะทั้งหมดของระบอบนี้คือความคิด ความคิดเป็นหลักการทั้งหมดของระบอบประชาธิปไตย   คนในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีสำนึกเบื้องต้นและลึกซึ้งที่สุดก่อนว่า    เราต้องเคารพในความคิดทุกความคิด  และทั้งความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากเราอย่างตรงกันข้าม  ก็ต้องเคารพด้วย     

 

ฉะนั้น เมื่อไปยึดมั่นว่าความคิดของเราเท่านั้น ๆ ๆ ๆ ถูกต้อง หรือถูกที่สุดแล้ว ก็เท่ากับไม่เคารพครรลองของประชาธิปไตย  ไม่เคารพหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย หากเราไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง  โดยมุ่งโจมตีทุกความคิดเห็นที่เขาเห็นไม่เหมือนเรา   โจมตีทุกนโยบายที่แตกต่างจากเรา  นั่นก็จะเท่ากับว่าเราไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตยเลย  และถ้าเป็นนักการเมืองก็เท่ากับเล่นการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยไม่เป็น ก็มีแต่จะก่อความสับสน ยุ่งยากแก่ระบอบประชาธิปไตยไปยิ่งขึ้น ไม่รู้จบ  

 

แต่บทบาทของ เอเอสทีวี เห็นได้ว่า ยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนอย่างเหนียวแน่น มิได้ยอมรับความคิดอื่น เมื่อเอเอสทีวีสนับสนุนใครก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่ โดยไม่เผื่อไว้สำหรับความคิดอื่นบ้างเลย  ในระยะหลัง มาพบว่าเอเอสทีวี ทุ่มเทให้กับ พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร  คราวที่กำลังพิจารณาเลือกตัว ผบ.ทบ.คนใหม่  ทุ่มให้กับอภิสิทธิ เวชชาชีวะ มาตั้งแต่ยุคทักษิณ  และมีระยะหนึ่งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล  กล่าวสรรเสริญนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อย่างกับว่าเป็นเจ้านายของเขา และประนามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยว่าไม่ใช่โคตรโกงแต่โกงทั้งโคตร(ทั้ง ๆ ที่เคยชื่นชมพ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงเหมาะแก่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยยุคพัฒนาทุกด้าน) แล้ววาทะนี้ก็มีคนเห่อว่าตามไปอีกหลายคน รวมทั้งราษฎรอาวุโสคนหนึ่งด้วย (ถึงวันนี้ ทั้งนายประชัย และนายสนธิ สองคนนี้ถูกศาลสั่งจำคุก ไม่รอการลงอาญาทั้งสองคน กำลังอุทธรณ์กันอยู่ โปรดคลิ๊กดูข่าวประชัย  แล้วดูข่าวสนธิ)   ดูปัจจุบันขณะนี้เอเอสทีวีก็ทุ่มให้พรรคประชาธิปัตย์  โดยถลำไปสุดตัว แม้เมื่อพ่ายแพ้ไปแล้ว ก็ไร้น้ำใจนักกีฬา ที่รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อันเป็นลักษณะความคิดทางการเมืองที่ด้อยพัฒนาอย่างยิ่ง  เพราะไม่ตระหนักในสิ่งที่ควรตระหนักในประเด็นของความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมและประชาชน อันเนื่องมาจากไม่เข้าใจพื้นฐานแห่งสัจธรรมของระบอบประชาธิปไตย ว่าด้วยความคิด  แม้เบื้องต้นที่ว่า คนเรามีความคิดแตกต่างกันเป็นธรรมดา  คนในระบอบประชาธิปไตยจะต้องเข้าใจเป็นอย่างดีว่า  เราต้องเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างนั้น และยอมรับโดยกติกา  จึงจักไม่เป็นการก่อโทษแก่ตนเอง และไม่ก่อเวรขึ้นในหมู่ประชาชนทั้งหลายของแผ่นดิน

 

วันนี้  16 ม.ค.2551  เอเอสทีวีออกรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ตั้งแต่เวลา 20.00 น.ถึง 21.30 น.  สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่  สโรชา พรอุดมศักดิ์ กับ พิธีกรชายอีกคน (ไม่ขึ้นป้ายชื่อตัวเอง เข้าใจว่าเป็นอาจารย์ปานเทพ)  2 พิธีกร ที่ซุบซิบพูดคุยวิเคราะห์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ ฯลฯ กันอยู่  รวมทั้งนายชัยวัฒน์ สินสุวงษ์ ผู้สมัครส.ส. สอบตก พรรค ปชป. แล้วยื่นฟ้องให้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นโมฆะ(ซึ่งเขาย่อมหวังผลได้ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวายขนาดไหนหากเขาชนะคดี)  ที่มาแสดงความรู้อันเปรื่องปราดของเขา  แต่ยังมี  เอสเอ็มเอสที่เข้ามาสู่ทีวีนี้   และเสียงที่เข้ามาต่างด่าทอคนอื่นและใช้ภาษาที่ค่อนข้างไม่สุภาพ และทำภาษาวิบัติไปหมด (ออกชื่อยามแม่สาย,ยามเล็ก,ยามนนท์, ยามน่าน,ยามMK ฯลฯ)  ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง  ดังนี้

 

-บรรหาณ สุวิทย์ ประชัย  รักชาติจนน้ำตาไหล

-ปลาไหลก็ยังเป็นปลาไหล จะเป็นมังกรได้อย่างไร

-ให้อ.เสรีไปสาบาญพระแก้วมรกตก่อนจึงจะเชื่อ

-ก๊วนSMSรักชาติ จงจับมือกันไว้ให้เหนียวแน่น

-คนโกงคนถ่อย คนไม่ดีมาเป็นรัฐบาล สิ้นชาติแน่

-คงมีแต่พวกมารอยู่เต็มสภาคิดแล้วเศร้าใจ

-ปลาไหลขอกินซากศพที่เขาโยนมาให้ ดีกว่าอดหยากปากแห้ง

-กลับมาโกงประเถทอีกแล้ว

-ปชป.ไม่ได้เห็นอย่างที่วิเคราะห์แน่ แต่ให้สิทธิคุณชัยวัฒน์

-สุภาษิตวันนี้ ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน คนมีอำนาจอยู่ไปวัน ๆ

-รบ. รัฐบาลคือรกบาล

-ชาวน่านว่าระบอบทักษิณอิ่มแต่ระบอบอื่นอดหยาก

-พปช.คือปิงดูดเลือดทั่วแผ่นดิน

-ทักษิณจะสามัคคีกับพวกโกงกินชาติเท่านั้น พี่น้องรู้ไว้

-บัณหานลิ้นสองแฉก

-อ.ปานเทพวิเคราะห์เข้มและเฉียบมาก

-ทหารตายที่ภาคใต้ทุกวัน ตาแก่สุรยุทธยังเฉย

-คนอื่นพลีชีพเพื่อชาติแต่บรรหาณพลีชาติเพื่อชีพ

-พลังประชาชนคือพังประชาชน

-กกต.ขี้ขลาดมีไว้ทำไม

-ไอทีวีชอบดูถูกช่องอื่นว่าไม่เก่ง

-กรณีTITVเหมือนชาวนากับงูเห่า

-แพ้แล้วอย่างไร  ชนะแล้วอย่างไร

-เทพกับมารร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลแล้วประชาชนจะหันไปพึ่งใคร

-อยากชวนหมักไปเที่ยวภูชี้ฟ้า แล้วถีบลงเหว

-หมักจะสร้างพระพิทักษ์มารเพื่อพิทักษ์คุณหญิงพจมาร

-เราจะมีนายใหญ่ นายหญิงเป็นผู้ยิ่งใหญ่กลับเข้าโกงประเทศต่อ

-ขอให้กำลังใจ ASTV

-ยุคพลังประชาชนทุกอย่างจบ

-ปชป.สู้สู้สู้ รักปชป.

-เบื่อนายก

-เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็รวมหัวกันได้  เศร้า ๆ ๆ ๆ ๆ

-เราจะได้พวกนอมินีมาบริหารตามคำสั่งนายใหญ่ นายหญิง

-คุณลีน่าแกเพี้ยน ๆ ยังไงก็ไม่ทราบ

-เหวงและนางประทีปรับใช้ใครอยู่

 

  • สุไหงปาดี     ผู้วิเคราะห์
    16 ม.ค. 2551
    -เก็บแฟ้ม ASTV New1 วันนี้.doc-Microsoft Word

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหนแรก

ภาพที่เห็น

 

วันที่ 21 ม.ค.2551 มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร  ส.ส.ต่างแต่งเครื่องแบบเต็มยศ  ภาพดูเหมือนนิสิต นักศึกษาที่จบปริญญา ต่างสวมครุย เดินกรีดกราย ดูโอ่อ่า แล้วถ่ายรูปหมู่กันกลางแจ้ง ทางนักข่าวนักจัดรายการทีวี ที่หาเลี้ยงชีพของเขาทางนี้ ก็รายงานเรื่องเหรียญที่ประดับอก บ้าง สายสะพายบ้าง  ว่าบางคนก็สายแดง สายน้ำเงิน  บางคนก็สะพายเฉียงไปทางขวา  บางคนก็สะพายเฉียงไปทางซ้าย  มีความหมายอย่างไร  ดูแล้วเหมือนภาพดอกไม้บานยามเช้า ๆ  ก็ดูสด ดูอลังการดีในรูปแบบ และที่สะท้อนออกมาจากความภาคภูมิใจ  ทุกคนคงมีจุดความภาคภูมิใจตรงกันที่ว่า  เราเป็นตัวแทนของประชาชน  เป็นสถาบันอันทรงเกียรติยศยิ่ง  ในฐานะสถาบันของประชาชน   ดูแล้วก็มีความหวังอยู่เหมือนกันว่า  ความภูมิใจอันนี้คงจะไม่ฝ่อลงไป  จนที่สุดเหี่ยวหรือแห้งแล้งดุจดังดอกไม้จันทน์ที่ใช้วางหน้าหีบศพก่อนที่สัปเหร่อจะเผาจริง  ก็เพราะการเมืองไทยของเรา  ยังล้าหลัง  นักการเมืองของเราเองยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย  พวกเขาค่อนข้างปราศจากวินัยทางการเมือง  อะไรที่ได้เกิดมาแล้ว ล้วนมีสาเหตุมาจากปัญหาดังกล่าวนี้  และหากการเมืองไทยจะเป็นอะไรไปในอนาคต ก็ยังคงจะมาจากสาเหตุอันเดิมนี้  คือ ความไม่เข้าใจประชาธิปไตย และความที่ไร้วินัยทางการเมือง    

 

  • บานไม่รู้โรย วิเคราะห์
    21 ม.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บทวิเคราะห์ละคร สงครามนางฟ้า

ช่อง 5

21 ม.ค.2551, 2030 น.

 

1.    เหมือนหนัง ละครไทยทั่วไป ที่เป็นที่ตำหนิมาตลอดนับสิบ ๆ ปีที่ผ่านมาว่า เป็นหนัง ละครน้ำเน่า   มีการพัฒนาไปในทางน้ำเน่ายิ่งขึ้นไปอีก

2.    แต่ สงครามนางฟ้า เป็นยิ่งกว่าน้ำเน่า เพราะ

       2.1   ทำให้ภาพลักษณ์วงการอาชีพของเขาเสียหาย เราไม่มีสิทธิ์ที่จะสร้างผลประโยชน์บนความเสียหายของคนอื่น

       2.2   ทำภาพลักษณ์หญิงไทยเสียหายไปทั่วโลก(ผู้หญิงแก่แดด จัดจ้าน ใจง่าย ไร้อุตสาหะ ไร้ปัญญา  โง่เขลา  และ     เห็นแก่เงิน )

       2.3   ทำภาพลักษณ์ประเทศไทย สังคมไทยเสียหาย

       2.4   ทำให้สินค้าไทย คือบริการการบินของประเทศไทยเสียหาย

3.    สาเหตุมาจาก

       3.1   นักประพันธ์ต้นเรื่องขาดวิสัยทัศน์  อ่อนหัด  เขียนนวนิยายไม่เป็น  นักเขียนบทก็พอ ๆ กัน

       3.2   สถาบันที่สร้างสรรค์วงการนี้ ไม่เคยสอนให้ใครทำอะไรเป็น

       3.3   เป็นมันสมองของชาติสาขาที่สำคัญยิ่ง  ที่พิการมานานแล้ว

       3.4   เป็นประเด็นปัญหาสำคัญระดับชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดคิดแก้ไข  ผู้มีหน้าที่คือรัฐบาล  นักการเมือง  ที่ต้องสร้างสรรค์นโยบายทางด้านการประพันธ์ หรือมันสมองในด้านนี้   และสถาบันการศึกษาที่สอนวิชาการเกี่ยวกับการอักษรศาสตร์ วารสารศาสตร์ สังคมศาสตร์  ให้เกิดนักประพันธ์ผู้มีความเข้าใจการประพันธ์ มีความเข้าใจสังคม และ มีความรับผิดชอบสมควรแก่วิชาชีพทางนี้

4.    ควรระงับละครเช่นนี้เสีย เพราะทำความเสียหาย

       4.1   ให้คนตื่นและนิยมการสร้างเรตติ้งอย่างไม่ถูกต้อง

       4.2    ทำความเสียหายแก่ภาพพจน์ของประเทศไทย  ภาพพจน์ของสตรีไทย  และทำความเสียหายแก่สินค้าไทยในต่างประเทศ

5.    ข้อควรระวัง   ควรหางานสำรองแด่ผู้ตกงานด้วย

6.    ข้อควรพิจารณา  หนังเกาหลี   เขาสร้างหนังคุณภาพที่ขายวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวได้อย่างไรรัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันอย่างไร? และทำให้เป็นที่นิยมทั้งตัวละครเองและประเทศของเขาไปทั่วโลก(แม้คนไทยก็ติดกันตรึม)ได้อย่างไร? อีกกี่ศตวรรษจะตามเขาทัน เคยคิดหรือไม่?

 

·         ดอกงิ้วแดง 
ผู้วิเคราะห์/22 ม.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 จดหมายถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่

เราได้รับโทรศัพท์จากสาวบ้านชนบทอีสาน ดังนี้

 

ข้าพเจ้าขอร้องในเมื่อท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้ท่านใช้ความคิดที่แตกต่างจากนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ได้ไหม  เพราะประชาชนที่รอคอยอยู่  การศึกษาของชาวไร่ชาวนาในชนบทน้อยนิดเดียว พวกเขาจบชั้นป.5 ป.6 ม.3 ก็ยังทำอะไรไม่ได้  เพราะเขายากจนไม่มีเงินค่าเทอม ค่าหนังสือ  ต้องใช้ทุกอย่าง ทั้งชุดแต่งตัว  จึงอยากให้ช่วยเขาให้เรียนฟรีถึงม. 6 อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีส่งครูที่มีการศึกษาสูง ๆ ไปช่วยหน่อย   อยากให้ครูตั้งใจสอน และมีวัฒนธรรม  ไม่อยากให้มีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย   ให้เขาได้ความรู้จริง ๆ   ให้มีครูอยู่ในพื้นที่ มีประชาชนทุกแห่ง  ให้ครูมีความรู้และการรับผิดชอบของคุณครูอย่าสอนแต่ในโรงเรียน ไม่ว่าในโรงเรียน หรือนอกโรงเรียนก็ให้เอาใจใส่  ครูสามารถตอบปัญหาของนักเรียนได้ทุกแห่ง ให้เอาใจใส่สอนให้รู้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าสอนไปวัน ๆ อยากให้อาจารย์ที่ท่านสอนรักเขาเหมือนลูกของท่าน  เพราะเด็กแต่ละคนเขามีความรู้ไม่เท่ากัน  เขาอาจจะไม่อยากเดินมาหาครู เพราะเขาเกรงใจครู แต่อยากให้ครูเดินไปหาเขา  อยากขอร้องอย่างนี้   คุณครูของเราเป็นแม่พิมพ์ของชาติ  พวกเรามีความรู้ความสามารถก็เพราะคุณครู ขอฝากไว้ ถึงหนักหน่อยก็ทนเอา  ไม่อยากให้ตีเด็ก ๆ แรง ๆ  ไม่อยากเห็นข่าวรุนแรงเพราะคุณครูเป็นพ่อแม่ของเราคนหนึ่ง ตรงนี้  อยากให้ออกไปในบ้านเรือนเขาและช่วยสอน  ครูต้องมีความรู้ดีจึงจะสอนได้  ใช่ว่าสอนไป ๆ ความรู้ก็ไม่มีให้เด็ก ๆ

 

ในเมื่อท่านเป็นรัฐบาล ท่านให้ราษฎรยืมเงิน  ก็อยากให้ท่านส่งคนไปดู ถ้าท่านจะแจกจ่ายเงินงบประมาณ  ให้ท่านออกไปแจกให้ถึงมือของราษฎรเอง  ได้ไหม และให้ถามว่าเขาจะเอาไปทำอะไร พอไหม   เขาจะได้ไม่ไปขายยาเสพติดเอามาใช้หนี้ท่าน อยากให้รู้จริง ๆ ว่าเขาเอาไปทำอะไร  บางคนก็เอาไปทำสวน  ทำไร  เขาทำจริง ๆ หรือเปล่า  เขาได้พอไหม หรือได้คนละนิดละหน่อย คนละพันสองพัน ไม่พอทำอะไร   เขามาพักหนี้ที่ธกส.เยอะ ตอนที่เขาพักหนี้เขาไปทำอะไร  ท่านไม่ตามดู  พอธนาคาร เจ้าหนี้ไปเร่ง ไม่มีเงิน ก็ต้องเสียทรัพย์สิน เสียไร่ นา อสังหาริมทรัพย์  จึงอยากให้ดูพื้นฐานว่าเขาเอาเงินไปทำอะไร ทำไมเขาจึงขาดทุน แล้วช่วยแนะนำ ช่วยแก้ไขให้เขาได้ประโยชน์  ไม่ใช่ว่าให้กู้ยืมไปแล้วก็ไม่ติดตามดู ว่าเขาเอาไปทำอะไรกัน  พอเขาขาดทุนเสียหายหมดในกิจการของเขา พวกท่านก็คอยแต่จะยึดไร่นาเขา อย่างนี้ ก็มีแต่เสียหายและเพิ่มความทุกข์ให้ประชาชน  ให้ท่านหันดูข้างหลังท่านบ้าง ว่าเขาตามท่านทันหรือไม่  พวกที่เดินตามท่านเขากำลังจะตาย เขาตามไม่ทัน   อย่าให้เขาหวังพึ่งผู้ใหญ่บ้าน หรือ อบต.  ไร้สาระสิ้นดี เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

 

นี่แหละคือการที่ประชาชนรอคอย เขาต้องการให้นายกรัฐมนตรีแก้ไขให้  อยากให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี เพราะเขาทำงานลำบากกันเหลือเกิน

 

อย่าได้เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนอยากกินลูกตาล ในเมื่อท่านปีนขึ้นไปเอามาได้แล้ว เฉาะตาลกินได้หรือเปล่า  ทำเป็นไหม   ข้าพเจ้าเป็นคนบ้านนอกบ้านนาอยากให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนเก่งที่คิดทันวันพรุ่งนี้ ถ้าถามไปแล้วขอให้ตอบให้ได้  ไม่ใช่ผัดวันประกันพรุ่ง  ข้าพเจ้าหวังว่า นายกเป็นคนฉลาด เป็นคนมีการศึกษาสูง เราขอสิ่งที่ท่านให้ได้   อยากให้แนะนำกลุ่มอาชีพในหมู่บ้าน  ให้พวกประชาชน ผู้หญิงได้มีงานทำในท้องถิ่น  เขาจะได้ไม่จากหมู่บ้านเดินทางไปหางานทำต่างถิ่นที่อยู่ไกลและไม่มีความปลอดภัย  ถ้าเขาออกไปต่างถิ่นต่างแดน แล้วก็จะไม่มีความสุข ไม่มีความปลอดภัย ได้รับอันตราย โดนข่มขืน  โดนรังแกจากคนชั่ว ๆ ในเมือง ในกรุง  ทางบ้านก็รอคอยด้วยความเป็นห่วง  ชีวิตครอบครัวก็ไม่มีความสุข

 

ไม่อยากให้ใช้งบประมาณอย่างสุรุ่ยสุร่าย เปล่าประโยชน์  ขอให้ไปดูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  ไปปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาพัฒนาท้องถิ่น  เขาพากันหลับอยู่ ยังไม่ลืมตาขึ้นมา  ขอร้องพวกพี่ ๆ ในสามจังหวัดภาคใต้ให้ตื่นขึ้นมา อย่าหลับอยู่นานเลย  ตื่นเถิด  คนข้างหลังคอยอยู่  ทำไมจึงให้เขาครอบงำ    นายกรัฐมนตรีเป็นคนดี ถ้าไม่ดีเขาไม่เลือกตั้งเข้ามาหรอก  บัดนี้เราได้นายกคนใหม่ ให้ลุกขึ้นมา  ตื่นมาเถอะเพราะเรามีพ่อแม่เดียวกัน  มีนายกรัฐมนตรี  และมีในหลวงของเรา  มาทำเพื่อในหลวงเถิด   คิดว่าเรามาคุยกันแบบพี่น้อง  พวกเราไม่เคยคิดว่าพี่น้องสามจังหวัดภาคใต้เป็นอื่นมู่บ้าน  ให้พวกประชาชน ผู้  เราไม่เคยคิดว่าพวกพี่ ๆ หลงผิด  ถ้าท่านตื่นขึ้นมาร่วมกันพัฒนาประเทศชาติแล้ว  จะมีแผ่นดินใดน่าอยู่เท่าแผ่นดินไทยไม่มีในโลก  ขอให้อภัยซึ่งกันและกัน  ไม่มีใครที่บริสุทธิ์  ทุกคนเคยทำความผิดมาทุกคน ๆ

 

ขอให้นึกว่าแผ่นดินนี้สุขสบาย ไม่มีแผ่นดินอื่น  พี่ ๆ อย่าให้คนอื่นมาครอบงำเลย  ถ้าเราร่วมมือกันแล้วไม่มีแผ่นดินอื่นจะมีความสุขเท่าแผ่นดินไทยเราเลย  กลับมาเถิดพี่ ๆ  ทุกคนก็จะได้กลับบ้าน  กลับไปหาลูกเมีย พี่น้องเขาที่รอคอยอยู่

 

สำหรับทักษิณ เราก็ยังชื่นชมท่านอยู่  และขอให้นายกคนใหม่ทำตามท่านทักษิณ ในเรื่องยาเสพติด และ หวยใต้ดิน  อยากให้เคร่งเหมือนทักษิณ เพราะยุคทักษิณไม่มียาบ้าเลย  สงบจริง ๆ  แต่เดี๋ยวนี้ยาบ้าเริ่มจะโผล่ออกมาทุกซอกแดนดินอีกแล้ว  ขอให้นายกคนใหม่เอาจริงเอาจัง  ทุกคนมีดีมีเสีย  ทักษิณไม่ดีอย่างไร ท่านก็ยังเอาชนะยาบ้าได้  ไม่มีคนติดยาบ้าเลย 

 

ขอให้นายกคนใหม่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ

 

  • จาก  สาวบ้านชนบทอีสาณ

            29  ม.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 จดหมายถึงบรรณาธิการ

เรียน บก.นสพ.ดี 

ผม จาน ประครองจิต เคยแสดงความเห็นด้วยกับวิธีการมองของ บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์  เรื่องการเมืองอันตรายของประเทศไทย  วันนี้ผมได้อ่านจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีของ สาวบ้านชนบทอีสาน  แล้ว  มีความประทับใจมากครับ อยากรู้จัก รู้ชื่อจริง  ผมเองอยากให้เน้นประเด็นยาเสพติด และให้มองเรื่องหนี้สินของประชาชนประกอบกัน  ว่าอาจจะเป็นเหตุผลซึ่งกันและกันได้เหมือนกัน ดังเช่นสาวบ้านชนบทบอกไว้  แต่อย่างไรก็ตาม  เรื่อง ขบวนยาเสพติดของตำรวจชายแดนนั้นผมรับไม่ได้ครับ  รับไม่ได้จริง ๆ  เพราะพวกผมเป็นประชาชนที่ยากลำบาก แต่สู้กัดก้อนกินเกลือ เพื่อเห็นแก่แผ่นดิน แต่ท่านเป้นข้าราชการผู้มีหน้าที่โดยตรงในการปกป้องประชาชนและแผ่นดิน ท่านยังทำได้ขนาดนี้  และผมขอตัดสินเองเลยว่า ดังนี้  พวกเขามีความผิดจริง สมควรให้รับโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิต    ครับ  แต่ขอแถมหน่อยครับ เพื่อเตือนรัฐบาล  ท่านจะใช้กำลังปราบปรามอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ  ใช้มาตรการกฎหมายไม่สำเร็จดอกครับ  อย่าคิดแบบทะนายความคิดเลยนะครับ พวกทนายความคิดแคบเกินไป  ผมไม่เคยเห็นคนกลุ่มใหนที่แคบเท่าพวกทนายความเลย คือคิดเพียงว่า  เดี๋ยวกูฟ้อง เดี๋ยวกูฟ้อง   เราต้องมองกว้างกว่านั้นครับ   รู้หรือเปล่าที่มีโจรกรรม ฆาตกร และ เหตุภัยร้ายเกิดขึ้น  ล้วนเป็นผลจากเศรษฐกิจ  แม้กระทั่งพระในวัดวาอารามก็มีเรื่องมีราวก็เพราะพระกระหายเงิน เงินไม่พอ  อยากได้เงินไปสนองกิเลส  เหมือนกันนั่นแหละครับ  เศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องใหญ่  ท่านนายกรัฐมนตรีต้องเร่งทำให้สิ่งนี้ดีขึ้นโดยเร็ว จึงจะบรรเทาการโจรกรรมลงได้ เชื่อผมเถอะครับ  สวัสดีครับ  

 

จากผม 

จาน  ประครองจิต / 31 ม.ค. 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ปราสาทเขาพระวิหาร

 

เราจะไปท่องเที่ยวปราสาทเขาพระวิหาร  ในวันพรุ่งนี้ (2 ก.พ.2551)

จะออกเดินทางจากวัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เวลา 06.00 น.

เดินทางโดยรถยนต์ ของ  ทองสูรย์ ทองวิเศษ บริการรถรับจ้างหลังสถานีรถไฟศรีสะเกษ  ในราคา 2,000 .-บาท  ระยะทางประมาณ 105 กม.   ติดต่อขอรับบริการโทร. 081-7185087 เราจะรายงานต่อเนื่องไปที่นี่ และถ่ายทอดรูปถ่ายของปราสาทที่เราเยี่ยมชม ใน อัลบั้มรูป โปรดคอยชม

 

เราต้องการการเดินทางแบบท่องเที่ยว ที่รื่นรมย์และสะดวกสบาย  แล้วเยี่ยมชม และถ่ายรูปปราสาท  ที่ขึ้นชื่อว่ามีลายสลักหินที่สวยงามละเอียดอ่อน และดูสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง  และบริเวณไหนที่เป็นของกัมพูชา และบริเวณไหนที่เป็นของไทย  และบริเวณไหนที่จะเป็นมรดกโลก(คลิกอ่านรายงานการท่องเที่ยวของเราที่นี่ 

แล้วคลิกอีกทีชมชมรูปถ่ายสด ๆ ที่เราได้เห็นวันนี้ในอัลบั้มรูป>>>>>>>>>)

 

ประวัติศาสตร์

ปราสาทเขาพระวิหารที่โด่งดังไปทั่วโลกนี้ มีประวัติศาสตร์โดยสังเขป ตามที่ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ รายงานไว้เมื่อปี พ.ศ.2548  ดังนี้

 

ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา จากอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษไปทางทิศใต้ ตามทางหลวงหมายเลข  221  ททท.อุบลราชธานี   0  4524  3077 จากอุบลราชธานีไปกันทรลักษณ์แล้ว ต่อรถสองแถว   ทุกวัน

 

ปราสาทหินโบราณบนยอดผาของเทือกเขาพนมดงรัก ในเขตกัมพูชา นับเป็นสถาปัตยกรรมเขมรที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งนอกจากนครวัด  มีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่านครวัดก็เป็นได้  ในอดีต ไทยกับกัมพูชาเคยถกกันว่าปราสาทเขาพระวิหารควรเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร  กระทั่ง  พ.ศ. 2505  ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้การดูแลของกัมพูชาเนื่องจากตัวปราสาทตั้งอยู่ในเขตแดนกัมพูชา  แม้ว่าทางขึ้นจะอยู่ในเขตแดนไทยก็ตาม

 

ในยุคที่เขมรแดงปกครองกัมพูชา เขาพระวิหารถือเป็นเขตต้องห้าม  แต่ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2521 ช่วงที่เวียดนามสู้รบกับกัมพูชา พื้นที่บริเวณนี้กลับกลายเป็นสมรภูมิรบ จนท้ายที่สุด เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน มีการกำจัดกับระเบิดรอบพื้นที่ และเปิดให้เข้าชม   แต่เนื่องจากสงครามกลางเมืองในกัมพูชายังไม่สงบ จึงต้องสั่งปิดบ้างเป็นครั้งคราว

 

หากเจ้าหน้าที่เปิดให้ชม  นักท่องเที่ยวจะผ่านจุดตรวจทหารขึ้นไปตามบันไดศิลาขนาดกว้าง ผ่านโคปุระ หรือศิลาสลักตลอดทางเดินยาว 850 ม.  มีนาค 7 เศียร ทอดยาวจนถึงตัวปราสาทตอนกลาง  เชื่อกันว่าปราสาทนี้สร้างขึ้นถวายพระศิวะ แต่ปัจจุบันสภาพค่อนข้างทรุดโทรม โดยเฉพาะองค์พระปรางค์ที่จำเป็นต้องบูรณะเมื่อมองจากปราสาท  จะได้ชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงามฝั่งเขมร ในกรณีที่ทางการเขมรสั่งห้ามเข้าก็ยังมองเห็นภาพสลักหินของปราสาทบนหน้าผาได้จากชายแดนฝั่งไทย

(จาก  รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เที่ยวเมืองไทย 2548 หน้า 292)

คลิกเพื่อชมอัลบั้มรูป>>>>>>>>>>>>

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ASTV News 1 วันนี้(ตอนที่ 2)

มองจากทัศนะแห่งธรรม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  Rameses : ภัยพิบัติทั้ง 10 ของพระเจ้าต่ออียิปต์

TPBS ช่อง 6

12 ก.พ. 2551 เวลา 21.30-22.30 น.

 

ขณะที่ทีวีไทยหลายช่องกระหยิ่มยิ้มย่องเนื่องในวันแห่งความรัก วันกามารมณ์ตามประเพณีที่ผิด ๆ ของชาวคริสต์ ที่กำลังมาถึง  รายการของ TPBS คืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลาประมาณ 21.30-22.30 น. เป็นงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เรื่อง RAMESES ฟาโรห์แห่งอียิปต์กับภัยพิบัติทั้ง 10 ของพระเจ้า  เป็นประเด็นการศึกษาทางศาสนาสากลที่น่าสนใจมาก  และการศึกษาวิจัยแนวศาสนาสากลเช่นนี้ นับวันทวีมากขึ้นไปตามลำดับ จนเป็นเชิงรุกของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อการหักล้างความเชื่อทางศาสนาที่เหลวไหล(ยุคแรกเริ่มจากกาลิเลโอมา)  ในที่นี้หมายถึงการเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาคริสต์โดยตรง  นักวิทยาศาสตร์เห็นภัยพิบัติในพระคัมภีร์ไบเบิล และรวมถึงอัลกูรอาน และภาพยนตร์ศาสนา อันแสดงถึงอำนาจของพระเจ้า โดยเฉพาะในไบเบิล รามเสส ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ดื้อด้านต่อพระเจ้าและได้รับการลงโทษ แล้วนักวิทยาศาสตร์ ก็กังขาว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ 

 

แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มศึกษาพิศูจน์โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ภัยพิบัติอันที่ (1)  คือแม่น้ำไนล์กลายเป็นโลหิต ใช้ดื่มกินไม่ได้  (2.)  ภัยพิบัติจากกบ ๆ จะอาละวาด ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ เข้าไปในบ้านเรือนคน เต็มไปหมด(ครั้นรามเสสยอมแก่โมเสส กบก็ตายหมด)   (3) ภัยพิบัติจากริ้น  ว่าพระเจ้าสั่งให้เอาไม้เท้าตีดิน ฝุ่นก็กลายเป็นริ้น มาตอมมนุษย์ทั้งอียิปต์  ฐานที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า   (4)  ภัยพิบัติจากเหลือบ  (5)  ภัยพิบัติเกิดกับฝูงสัตว์  ฝูงม้า ลา อูฐ โค  แพะ แกะ  ตายหมด  (6)  ภัยพิบัติจากฝี  ฝีต่างเกิดในคนในสัตว์ แตกลามไปหมด ทรมานกันทั้งเมือง  (7) ภัยจากลูกเห็บ ตกกระหน่ำเพราะพระเจ้าสั่ง   (8)  ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน มากินข้าว พืชพันธ์ต่าง ๆ เกลี้ยงแผ่นดิน  (9) ภัยพิบัติจากความมืด  ดวงตะวันหายไปจากโลกเป็นเวลาถึง 3 วัน คนมองไม่เห็นหน้ากัน ได้ยินแต่เสียง   และ (10)  ภัยพิบัติคือ  มรณกรรมของลูกชายคนหัวปี  ของฟาโรห์ และของประชาชนทั่วอียิปต์  ตามที่พระเจ้าได้ตรัสต่อโมเสสว่าดังนี้ 

 

“Around midnight I shall move in the midst of Egypt and every first-born in the land of Egypt shall die, from the first born of Pharoah on his throne to the first –born of  the slave girl behind the hand mill and all the first born of cattle.  Throughout the land of Egypt there shall be loud wailing, the like of which never occurred and never will be again.[โปรดดู Holy Bible Exodus 11,4-5-6  เวลาประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปท่ามกลางอียิปต์ และพวกลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิง ซึ่งโม่แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรัจฉานด้วยจะต้องตาย  แล้วจะมีการพิลาปร้องไห้ทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน] 

 

ชาวไทยและประชาชนผู้ชื่นชมการบันเทิงทางภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ ก็คงจะเห็นและได้ชมมาแล้วจากภาพยนต์ขนาดยิ่งใหญ่ที่ทางศาสนาคริสต์สร้างขึ้นเพื่อการโฆษณาศาสนาคริสต์ นับตั้งแต่   บัญญัติ 10 ประการ(The Ten Commandments)    ที่มียูล บรินเนอร์ แสดงเป็นรามเสส  และ ชาร์ลสตัน เฮสตัน แสดงเป็นโมเสส  และล่าสุด  จีซัส ไครส์ (Jesus Christ) ประวัติของพระเยซู  ซึ่งภาพยนต์เหล่านี้จักแสดงให้มนุษย์เห็นอำนาจของพระเจ้า    สำหรับภาพยนต์เรื่องบัญญัติ10ประการ ที่เกี่ยวข้องกับงานศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์นี้ พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิผ่านทางไม้เท้าของโมเสส  เพื่อเอาชนะฟาโรห์ รามเสส แห่งอียิปต์ เพื่อให้ปล่อยทาสชาวเฮบบรูไปเสียภายใต้การนำของโมเสส  และในที่สุดด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระโอรสหัวปี  แต่ยังทรงพระเยาว์(ชนมายุเพียง 3 พรรษา) ทำให้ฟาโรห์ต้องจำยอมปลดปล่อยทาสไปในที่สุด

 

แต่สารคดีของ TPBS ช่อง 6 ไทยวันนี้ เรื่อง RAMESES วันนี้ ได้เปิดเผยการทำงานของนักวิทยาศาสตร์หลายสาขา เพื่อที่จะพิศูจน์ความจริงของเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิลและในภาพยนตร์เรื่อง  บัญญัติ 10 ประการ :  The Ten Commandments ทั้ง 10 เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น  มีการเปิดเผยวิธีการทำงานเชิงวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด และสามารถพิศูจน์ออกมาได้ ว่า  ภัยพิบัติที่อ้างว่าอำนาจของพระเจ้านั้น แท้จริง เป็นเพียงภัยธรรมชาติ ที่มีเหตุการณ์สะสมต่อเนื่องมาจนพอดีให้บังเกิดขึ้นในคราวนั้น นับตั้งแต่แม่น้ำเป็นเลือด แท้ที่จริงเป็นเพราะฝนได้ชะดินสีแดงมาแต่ทางเหนือ  เป็นสีของฝุ่นแดง ทำให้แม่น้ำไนล์ยุคนั้นเป็นสีแดงไปหมด  แล้วมีเรื่องโรคระบาดตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากแม่น้ำเป็นพิษ แล้วกลายเป็นปรากฎการณ์ลูกโซ่ ตาม ๆ กันไปนับแต่เหตุการณ์ที่ 1 ถึงเหตุการณ์ที่9   ที่พิศูจน์ได้โดยง่ายว่ามิใช่อำนาจการดลบันดาลของพระเจ้าแต่อย่างใด

 

แต่ประเด็นสำคัญที่ยากแก่การพิศูจน์  ที่ท้าทายความสามามารถของนักวิทยาศาสตร์ยุคนี้อย่างยิ่ง นั่นก็คือภัยพิบัติข้อที่ 10  ที่ว่าพระเจ้าจะบันดาลลงโทษชาวอียิปต์ให้บุตรหัวปีแรกเกิดตาย นับแต่ราชโอรสแรกเกิดของฟาโรห์ ไปจนถึง บุตรชายของหญิงทาสในโรงงานทาส  และซึ่งปรากฎในภาพยนต์โฆษณาชวนเชื่อของคริสต์เรื่องบัญญัติ10ประการอย่างน่าสยองพรั่นพรึงในอำนาจของพระเจ้า  

 

แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ได้คำตอบว่า  แท้จริงเป็นเรื่องที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ของอียิปต์   เพราะไบเบิลเขียนขึ้นภายหลังประวัติศาสตร์ และพวกข้าทาสของพระเจ้าฉวยเอาประวัติศาสตร์นั้นมาบิดเบือน   เริ่มบิดเบือนข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่เรื่องจำนวนคนทาส ที่ถูกปลดปล่อยให้เดินตามโมเสสไปสู่ทะเลแดงคราวนั้น  ว่ามีจำนวนมหึมาถึงกว่าหกแสนคน ปรากฎในไบเบิลว่า 

 

The Israelites moved from Rameses to Succoth, about  600,000  men and their households. A great motley throng went up with them, too; also flocks and herds, very much livestock.[โปรดดู  Exodus12, 37-38 : ชนชาติอิสราเอลยกเดินออกจากเมืองรามเสสไปถึงเมืองสุคคทนับแต่ผู้ชายได้ประมาณหกแสนคน  มีฝูงชนชาติอื่นเป็นจำนวนมากติดตามไปด้วยพร้อมทั้งฝูงสัตว์ คือฝูงแพะแกะและโคจำนวนมากมาย]   

 

แต่ความจริงที่พิศูจน์ได้  มีทาสที่ติดตามโมเสสไปคราวนั้นอยู่ระดับพัน ราว 2-3พันคนเท่านั้นเอง  

 

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ไปบิดเบือนประวัติศาสตร์ว่าด้วยอภินิหาริย์พระเจ้าตอนข้ามทะเลแดง  ที่พระเจ้าสั่งให้ลูกไฟตกลงมาขวางทางฟาโรรามเสส และบันดาลให้ทะเลแหวกทางออกไป ให้โมเสสพาทาสฮิบรูข้ามทะเลไป แล้วพอรามเสสยกทัพม้าไล่ตามทะเลก็ปิดท่วมทหารตายหมดเกลี้ยงทุกคนรวมทั้งฟาโรห์ด้วย ในบัญญัติ10ประการสร้างฉากนี้ได้อลังการยิ่งใหญ่มาก   แต่การศึกษาพบว่า เหตุการณ์เช่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย  เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะพิศูจน์จากโครงกระดูกพบว่าฟาโรห์รามเสสมีอายุยืนถึง 90 ปี  ในตอนท้ายชีวิตได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้า ตามลัทธิความเชื่อของอียิปต์ดั้งเดิม ที่กษัตริย์ไปสู่ขั้นสูงสุดด้วยการสถาปนาเป็นเทพเจ้า  ดังหลักฐานที่ปิรามิด มีรูปปั้นฟาโรห์รามเสสนั่งกลางระหว่างเทพเจ้าคนสำคัญของอียิปต์  และฟาโรห์มิได้ออกไปตามล่าชาวฮิบบรูและเสียชีวิตลงในครั้งนั้น  แต่เป็นโอรส รัชทายาทของรามเสส  และโอรสองค์นี้ได้ตายในสงครามกับชาวฮิบบรูของโมเสสคราวนั้น  เมื่ออายุสามสิบกว่าปี  นักวิทยาศาสตร์ค้นไม่พบว่าฟาโรห์มีบุตรแรกเกิดแล้วสิ้นพระชนม์ไปด้วยคำสาปของพระเจ้า ตั้งแต่แรกเกิด

 

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เชื่อเรื่องทะเลแดงแหวกทางออกไปให้โมเสส ตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์ และภาพยนตร์เรื่องบัญญัติ 10 ประการ  คิดว่ามีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่  จึงได้ย้อนกลับไปศึกษา  ตำบลปีหะหิโรท ระหว่างมิกดลและทะเลหน้าตำบลอัลเซโฟน ที่ปรากฏในไบเบิลว่าเป็นที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสพาพวกทาสฮิบบรูไปพักพลไว้  ก่อนที่จะข้ามไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง   ความตอนนี้มีว่า  

 

The Lord then said to Moses,  “Tell the Israelites to turn about and make camp facing Pi-Hahiroth, between Migdol and the sea, opposite Baal-Zephon make camp, fronting it by the sea.”  [Exodus14, 1-2 : พระเจ้ารับสั่งแก่โมเสสว่า จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้ย้อนกลับไปยังค่ายหน้าตำบลปีหะหิโรทระหว่างมิกดลและทะเลหน้าตำบลบาอัลเซโฟน แล้วตั้งค่ายตรงนั้นใกล้ทะเล]   

 

และพบว่า ตำบลนั้นไม่ใช่ทะเลแดง  ตามที่อ้างกันทั่ว ๆ ไปถึงเรื่องทะเลเปิด แม้กระทั่งในบัญญัติ 10 ประการก็ตาม    หากแต่เป็นตำบลที่ตื้นเขินเปียกชื้นน้ำ  สามารถเดินข้ามได้โดยปกติของชนเผ่าฮิบบรูผู้รู้ทางอยู่แล้ว  และหมายถึงเป็นจุดยุทธศาสตร์การรบที่ดีของฮิบบรู  และการสู้รบระหว่างโมเสสกับโอรสรามเสสเกิดขึ้นที่บริเวณนี้  และโอรสรามเสสถูกทุบด้วยของแข็งที่ศีรษะ ล้มคว่ำสิ้นพระชนม์ ที่นี่  จึงปรากฎรอยเดาะที่ด้านหลังของกระโหลกศีรษะปรากฎอยู่ถึงทุกวันนี้และจากรอยเดาะนี้นักวิทยาศาสตร์ยุคนี้สามารถพิศูจน์ทราบความลับในประวัติศาสตร์ช่วงเวลานั้นได้อย่างกระจ่าง  และที่สุดไขความลับเรื่องอภินิหาริย์ของพระเจ้าเกี่ยวกับลูกไฟและทะเลเปิดทางให้โมเสส  รวมทั้งภัยพิบัติข้อที่ 10 เรื่อง พวกลูกอ่อนหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์จะต้องตายลง

 

โดยสรุปว่า นั่นเป็นเรื่องที่คนฝ่ายสาวกพระเจ้าเขียนขึ้นภายหลัง และเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการโฆษณาเผยแผ่ขยายความเชื่อของตนเองออกไป  เท่านั้นเอง  โดยอาศัยชัยชนะต่อโอรสรามเสสระหว่างยุทธการข้ามทะเลครั้งนั้น   ซึ่งการตายของโอรสรามเสส องค์รัชทายาท นี้  จะต้องเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายโมเสส  และเป็นเรื่องสูญเสียของอียิปต์อย่างยิ่งใหญ่เช่นเดียวกันจนประหนึ่งว่า เป็นการตายของลูกหัวปีของแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด 

 

ผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่พิศูจน์เรื่องราวที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลนี้  นับว่ามีความหมายต่อศาสนาสากลเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการลบล้างความเชื่อเดิมต่ออำนาจและอภินิหาริย์ของพระเจ้า 10 ประการต่ออียิปต์ยุคฟาโรห์รามเสส โดยพิศูจน์ได้ว่า  ข้อความในพระคัมภีร์ เป็นความเท็จและบิดเบือนเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ไปทั้งหมด    การที่นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามหาทางพิศูจน์เรื่องราวต่าง ๆ ออกมาตามลำดับ นั้นก็เพื่อศึกษาหาความจริง และน่าคิดว่า พวกเขาคงทนไม่ได้ต่อการที่จะปล่อยให้เรื่องที่น่าสงสัย หรือเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเช่นนี้  ครอบงำความคิดของประชาชนยุคใหม่ต่อไป

 

เช่นเดียวกับเรื่อง  การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ท้าทายการค้นคว้าพิศูจน์ความจริงของนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่  ซึ่งในที่สุดก็ได้พบว่าที่จริงพระเยซูมิได้เสด็จคืนสู่สวรรค์ชั้นบนประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ตามที่กล่าวไว้ในไบเบิลแต่อย่างใด  เพราะซากพระศพของพระองค์ได้ถูกฝังไว้ใต้แผ่นดินโลกนี้มาตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว  ขณะนี้ได้ปรากฏออกมาเป็นภาพยนตร์ เชิงการบันเทิง   เมื่อใดที่มีการเปิดเผยของนักวิทยาศาสตร์ออกมาโดยตรงอย่างเอกสารวิชาการแล้ว  ก็ย่อมหมายถึงความเป็นความตายของศาสนาคริสต์ทั้งหมด  เพราะเท่ากับการพิศูจน์ว่าพระคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถ้อยคำที่ไม่เป็นความจริง ต่อประชากรโลกทั้งโลก

 

 

  • บานไม่รู้โรย  รายงาน/วิเคราะห์

            13 ก.พ.2551

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง   The Body :ล่าสมบัติซากเทวดา,ภาพยนต์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ทักษิณกลับไทย  กราบแผ่นดินสุวรรณภูมิ 

ทักษิณ กลับไทยวันนี้28 ก.พ.2551ขึ้นเครื่องที่ฮ่องกงทีจี603 มีประชาชนไทยในฮ่องกงไปคอยส่งเป็นจำนวนมาก มีสส.พรรคพลังประชาชนจำนวนหนึ่งคอยส่งด้วย

เครื่องบินจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว เดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองทันที มีประชาชนมาคอยต้อนรับคอยให้กำลังใจพ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำนวนมาก

1040 น. มาถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญา  มีผู้สื่อข่าวและตำรวจดูแลอย่างอบอุ่น พ.ต.ท.ทักษิณโบกมือให้ประชาชนแล้วเข้าไปในอาคารศาลฎีกา  จะใช้เวลาไม่เกิน1ชม. ศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่อย่างไร

 กราบแผ่นดิน ทักษิณเดินผ่านประตูออกมาด้านหน้าห้องรับรองวีไอพี ก็ได้ก้มลงกราบที่พื้น 1 ครั้ง ก่อนที่จะเดินไปโบกมือให้กับประชาชนที่มาคอยต้อนรับอยู่บริเวณด้านหน้าห้องรับรองดังกล่าว ชมข่าวไทยรัฐละเอียดคลิกที่นี่>>>>>>>>>>>>>

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 วิเคราะห์การเมืองอเมริกาวันนี้

 

Hillary Clinton wins Ohio, Texas and Roste Island. Barak Obama wins Vermont.

การเลือกประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาชั้นต้นใน 4 รัฐใหญ่ วันนี้(เวลาไทย)  มีขึ้นในมลรัฐ Ohio, Texas, Roste Island และ Vermont ซึ่งนับเป็นวันระทึกใจที่สุดสำหรับคนที่เชียร์นางฮิลลารี คลินตั้น  ถ้าเธอไม่อาจจะชนะในโอไฮโอ  หรือเทกซัส  รัฐใดรัฐหนึ่งแล้วคงจบลงทันที เพราะกระแสโอบามากำลังแรงและได้ทิ้งคะแนนห่างไปไกลถึง 110 คะแนนเดลิเกตส์ไปแล้ว    ในเมื่อโอบามาได้ไว้แล้ว 1,389 คะแนน  ฮิลลารี ได้ 1,279 คะแนน ซึ่งไล่ทำให้นางคลินตั้นไล่ตามหลังเขาห่างถึง 110 คะแนน

 

แต่แล้วการต่อสู้ในวันนี้ ฮิลลารี คลินตั้น สามารถคว้าชัยชนะมาได้ถึง 2 รัฐใหญ่  1 รัฐเล็ก คือ โอไฮโอ  เทกซัส  และ โรสต์ไอส์แลนด์ ทำให้เธอได้คะแนนเดลิเกตส์เป็น 1,406 คะแนน ส่วนคู่แข่งนายบารัค โอบามา ได้ชัยชนะใน เวอร์มอนต์ แล้วยังมีคะแนนคณะเดลิเกตส์นำอยู่ที่ 1,495 คะแนน   นั่นเองทำให้การต่อสู้ขับเคี่ยวระหว่าง 2 คู่แข่งเดโมแครตนี้ยืดเยื้อไปอีก และยังเหลือ 10 รัฐที่จะต้องขับเค่ยวกันต่อไป   ขณะที่ฝ่ายพรรครัฐบาล คือ รีพับลิกัน  จอห์น แมคเคน ชนะเด็ดขาดไปแล้ว และเข้าไปรอคู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นใครระหว่างนายบารัค โอบามา กับ นางฮิลลารี คลินตั้น

 

ถ้านายบารัค โอบามา ได้เป็นตัวแทนดีโมแครต ไปชิงชัยกับ จอห์น แมคเคน แล้ว  เขาคงถูกมองอย่างเดียวกับ นายจอห์น แครี่  ในการเลือกตั้งปี 2547  เพราะ 2 คนนี้ มีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกันมาก และที่เหมือนกันเลยก็คือมีประสบการณ์ต่างประเทศน้อยมาก และดูเหมือนเขาไม่รู้จักประเทศไทยเอาเลย  โดยเฉพาะไม่มีประสบการณ์ทางการทหาร และและสถานการณ์ตะวันออกกลางดีพอ  นั่นคือ ไม่เข้าใจเรื่องสงครามตะวันออกกลาง ที่สหรัฐ ยุคยอร์จ บุช ถือเป็นนโยบายสำคัญและกำลังดำเนินการอยู่   และนี่เป็นประเด็นการเลือกที่สำคัญของประชาชนชาวอเมริกา ระดับยุทธศาสตร์  ที่น่ามองอย่างยิ่ง   เพื่อดูว่าประชาชนชาวอเมริกัน ที่ทุกคนเป็นประชาธิปไตยระดับก้าวหน้า  มีเหตุผลในการเลือกตั้งของพวกเขาอย่างไร  โอบามาอาจจะแพ้จอห์น แมคเคน ด้วยเหตุผลเดียวกับที่จอห์น แครี่เคยพ่ายแพ้แก่ยอร์จ บุช ในปี 2547 หรือไม่?   แต่ถ้านางฮิลลารี คลินตั้นเป็นฝ่ายได้เข้าชิงชัย กับ จอห์น แมคเคน แล้ว น่าจะสูสี หรือถึงกับได้ชัยชนะหรือไม่  และสำหรับชาวไทย ฮิลลารี่ คลินตั้น น่าจะเหมาะสมมากกว่านายโอบามา เพราะอย่างน้อยเธอก็เคยเดินทางมาประเทศไทยในคณะของประธานาธิบดีคลินตั้นยุคนั้น.

 

  • เหยี่ยวขาว
                5 มี.ค. 2551

 

 

 

 

 

 กระบวนการยุติธรรมไทยที่ใช้กับการยุบพรรคการเมืองยังไม่ยุติธรรม
เป็นเรื่องบ้องส์ส์ส์ ๆ ของตาบอดคลำช้าง นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ผิดฝาผิดตัว

ยกประโยชน์ให้จำเลยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรแก่กระบวนการยุติธรรม

 

เมื่อใช้วิสัยทัศน์โดยสามัญสำนึก(Common Sense) หรือด้วยวลีธรรมะคำว่า ญาณสัมปยุต  หรือญาณทัศนะ คือการมองโดยระบบปัญญาองค์รวมทั้งหมด ต่อปัญหาการยุบพรรคการเมือง (พรรคที่กำลังพิจารณาอยู่ก็คือ พรรคชาติไทย กับ พรรคมัชฌิมาธิปไตย)   ดังนี้

 

1.     ระบบกฎหมายไทยในองค์รวมยังล้าหลังอยู่มาก  ข้อบกพร่องที่ปรากฏจากเชิงการวิจัยทางสังคมศาสตร์อย่างง่าย ๆ  ก็คือ ไม่สนับสนุนให้สังคมก้าวออกไปสู่วิสัยใหม่ ๆ  แต่มีลักษณะรัดรึง ดึง และยึดติดกับความเก่า   ถ่วงความมีสปิริตจิตใจที่ใฝ่ก้าวไปข้างหน้า ไม่เอื้อต่อสาขาความเจริญยุคใหม่ มีการพาณิช  เศรษฐกิจ  การเงิน การคลัง และโลกไซเบอร์ เป็นต้น  แต่กระนั้น  ก็ได้ปรากฏมาตลอดว่านักกฎหมายหรือวงการกฎหมายไทยกลับบอดต่อความบกพร่องอันนี้  อุปมาเหมือน  นกไม่เห็นฟ้า  ปลาไม่เห็นน้ำ  ฉะนั้นตลอดเวลาอันยาวนานของการเมืองไทยยุคใหม่ นักกฎหมายไทยเองจึงมิได้เคยมีความรู้สึกในความบกพร่องของวงการตนเอง เป็นแต่เพียงผู้มีชีวิตอยู่เพื่อการอาชีพ เพื่อวาทะ  คือมีกิจกรรมบทบาทและความพอใจอยู่เพียงการเอาชนะกันเชิงวาทะ  จากตัวบทกฎหมาย  ความรู้เรื่องกฎหมายที่ล้าหลังนี้  และด้วยความล้าหลังเช่นนี้ใช้เป็นทุนพื้นฐานการตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ไปถึงเรื่องใหญ่ ๆของสังคมมาตลอด จึงเป็นส่วนหนึ่งแห่งความถ่วงความเจริญของประเทศชาติยุคประชาธิปไตยอีกประเด็นหนึ่ง  

 

2.   การเมือง  พรรคการเมืองเป็นเรื่องขนาดใหญ่เกินกว่าเรื่องกฎหมายหรือนักกฎหมายอันเป็นเพียงเสี้ยวส่วนนิดเดียวขององค์รวมของการเมืองและพรรคการเมือง  เพราะหมายถึงประชาชนทั้งหมดของประเทศ  มีนโยบาย  และยุทธศาสตร์เพื่อความคงอยู่และความก้าวหน้า ความอยู่ดีกินดีของสังคมทั้งหมด ของประเทศทั้งประเทศ  มีองค์ประกอบแห่งนามธรรมทั้งสิ้น คือความรู้วิชาการ ทุก ๆ แขนง ที่ต้องระดมมาสู่พรรคการเมืองนี้   และยังมีองค์ประกอบส่วนที่เป็นรูปธรรมทั้งสิ้นเป็นเครือข่าย นั่นคือ  ระบบราชการทั้งหมด  ระบบการเมืองเองทั้งหมด  ระบบสังคมทั้งหมด ระบบกฎหมายและความยุติธรรมเองด้วย รวมทั้งระบบความเชื่อ ทางศาสนาและวัฒนธรรมทั้งสิ้น อันหมายถึงความเป็นสากลศาสนาด้วย และหมายถึงทรัพยากรทั้งสิ้นของแผ่นดิน บุคคล  สัตว์ พืช ที่ดิน สินแร่ บรรดามีเป็นผืนแผ่นดินไทยทั้งหมดด้วย

 

3.     เมื่อเอานักกฎหมายทั้งห้าคน  ผู้ที่จะตัดสิน ขึ้นตาชั่งข้างหนึ่ง  และเอา  ปัญหาการยุบพรรคการเมือง ขึ้นตาชั่งอีกข้างหนึ่ง   จึงเห็นขนาดน้ำหนักแตกต่างกันมากเหลือเกิน  การที่เราให้อำนาจแก่คนกลุ่มหนึ่ง คือ กกต. ซึ่งล้วนเป็นนักกฎหมายทั้ง 5 คน บนวัฒนธรรมแห่งระบบกฎหมายที่ล้าหลังของไทยเช่นนี้   จึงมองเห็นได้ว่านี่เป็นความไม่เหมาะสมซึ่งกันและกันโดยแท้จริง   กกต.เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสติปัญญาที่แคบ ๆ ที่ไม่ครอบคลุม  หรือมองไม่เห็นส่วนของทั้งหมดของปัญหาของการเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน  จะให้มาตัดสินพรรคการเมือง หรือสวมลงบนปัญหาการยุบพรรคการเมืองของประชาชน   จึงเป็นสิ่งที่จะสวมกันไม่ได้     นั่นคือ  ไม่ถูกฝาถูกตัวกันเสียเลย(ฝากระจิริดจะปิดปากตุ่มยักษ์ได้อย่างไร)  และนั่นคือ  เสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง  ชนิดที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งความบ้องส์ส์ส์ของกระบวนการยุติธรรม เลยทีเดียว

 

เราจึงไม่เห็นด้วยกับการมอบอำนาจให้บุคคลที่โดยคุณภาพของบุคคลหมู่คณะนั้นไม่สมบูรณ์ในศักยภาพการมอง (ไม่สมบูรณ์ในญาณสัมปยุต หรือญาณทัศนะ)ที่ไม่อาจมองปัญหาได้ทั่วถึง ตามสภาพของตัวปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เกินสายตาของผู้มองไปเป็นอันมาก  จะอุปมาก็เหมือนตาบอดคลำช้างนั่นเอง  ซึ่งเมื่ออุปมาตาบอดคลำช้างแล้วจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ่น   

 

และแท้จริง กระบวนการยุติธรรมนี้ได้กระทำผิดพลาดมาแล้ว นั่นคือครั้งยุบพรรคไทยรักไทยนั่นเอง  สิ่งที่พิศูจน์ก็คือ ประชาชนไม่เห็นด้วย  เมื่อพรรคพลังประชาชนมาสวมนโยบายพรรคไทยรักไทยเดิม จึงได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น จนได้เป็นรัฐบาล อีกครั้งหนึ่ง   เราคิดว่าเมื่อกระบวนการไม่อาจสมบูรณ์ ให้ความเป็นธรรมไม่ได้เช่นนี้แล้ว  ทางกฎหมายเองก็มีทางออกอยู่ นั่นคือการยกประโยชน์ให้จำเลย   นั่นก็ไม่เห็นจะเสียหายอย่างไรแก่กระบวนการยุติธรรม   ดีกว่าจะให้ประวัติศาสตร์จารึก เรื่องราวของตาบอดคลำช้าง นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ อันจะจารึกความบ้องส์ส์ส์ ไม่ถูกฝาถูกตัวของกระบวนการยุติธรรมไทยไปชั่วกาลนาน

 

  • ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร.
    11  มี.ค. 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  ประชาธิปไตยไทยยังคงหลงทางอยู่

 

เป็นที่ทราบกันดีว่าประชาธิปไตยไทย เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2475 โดยการหักอธิปไตยระบอบเก่า แล้วสถาปนาระบอบใหม่ขึ้นทันทีบนพื้นฐานวัฒนธรรมและจริยธรรมแห่งระบอบเก่า วันที่ 24 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2551 จะเป็นวันครบ 76 ปีประชาธิปไตยไทย แต่กระนั้นประชาธิปไตยไทยก็ยังไม่ก้าวหน้า หรือแท้จริงยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย สาเหตุโดยทั่วไปเป็นเพราะวิสัยทัศน์การมองของสังคมไทยยังคับแคบ เพราะเรามองประชาธิปไตยในประเด็นสำคัญเพียงประเด็นเดียวคือ  อำนาจ  และมองว่าเป็นสิทธิของประชาชน ของพรรคการเมือง ของกลุ่มบุคคลที่จะแก่งแย่งเอาอำนาจนั้น  และจากนั้นมาจนถึงบัดนี้  ประชาชนไทย พรรคการเมือง กลุ่มการเมืองไทยจึงมีแต่การแก่งแย่งอำนาจของแผ่นดินมาโดยตลอด  โดยไม่คำนึงว่าการแก่งแย่งอำนาจของประชาชนนั้น  เป็นสิ่งที่ชอบตามหลักประชาธิปไตยเพียงใด  จึงน่าเป็นประเด็นปัญหาสำหรับการศึกษาวิจัยต่อเนื่องไปอีกว่า  ประชาธิปไตยมีหลักการที่ดี  แต่เราได้เดินตามหลักการที่ดีนั่นเพียงไรหรือไม่  ทำไมประชาธิปไตยไทยจึงสร้างแต่ความระส่ำระสาย  ความหวาดวิตก  ไร้ความสงบแม้กระทั่งความสงบใจ  ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องมองด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างขวางรอบด้าน ซึ่งเราได้เคยเสนอบทวิเคราะห์มาบ้างแล้ว  และพอจะเสนอผลการศึกษาจุดอ่อนของประชาธิปไตยไทยเพิ่มเติมไป ดังนี้

 

 

1.    หลักการว่าด้วยนโยบาย ซึ่งมีพรรคการเมืองเป็นตัวแทนนโยบาย เพื่อเสนอ เพื่อการเลือกของประชาชนทั่วประเทศ  แต่ตลอดเวลา75ปีที่ยาวนาน  พรรคการเมืองไทย ยังไม่สามารถสร้างสรรค์นโยบายที่ชัดเจนขึ้นมาได้เลย นั่นหมายถึงการเมืองไทยไม่มีการพัฒนาก้าวหน้าออกไปจากจุดเดิม  อย่างไรก็ตาม   จนกระทั่งในเร็ว ๆ นี้ เราจึงได้เห็นเค้าของสิ่งที่เรียกว่า นโยบาย ของพรรคการเมือง  และพบว่า ประชาชนเริ่มเข้าถึงนโยบาย  โดยประจักษ์ชัดว่านโยบายย่อมเป็นผลต่อการอยู่ดีกินดีของประชาชนค่อนข้างชัดเจนขึ้น เห็นได้จาก  พรรคไทยรักไทย  ที่เสนอนโยบายหลายหลากมากมายในการเลือกตั้งระหว่างนั้น ครั้งหลังสุดที่ชัดเจนก็คือ นโยบาย  30 บาททุกโรค,    หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์,  ทุนการศึกษาคนจน- ผู้อยากเรียนได้เรียน, เรียนก่อนจ่ายทีหลัง, ทุนแพทย์ 1 อำเภอ, นโยบายบ้านเอื้ออาทร,  นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง, สหกรณ์การเกษตร,  ระดับราคาที่มีเสถียรภาพ,  การไฟฟ้าสาธารณูปโภค,  การคมนาคมของท้องถิ่น,  ระบบน้ำดื่มน้ำใช้,  ระบบน้ำเพื่อการเกษตรกรรม,  ขจัดความยากจนทั่วประเทศ, เมกกะโปรเจกต์เพื่อการมีงานทำ, กองทุนหมุนเวียน,   SML,  และนโยบายด้านการตลาดต่างประเทศ อีกมากมาย ฯลฯ 

 

ในขณะเดียวกันพบว่าพรรคคู่แข่ง แทบไม่มีการเสนอนโยบายอะไรเลยแม้แต่ข้อเดียว จนทำให้น่าคิดว่าบางทีพรรคการเมืองอาจจะยังไม่เข้าใจว่านโยบายคืออะไรด้วยซ้ำ(ยังล้าหลังสุดกู่อยู่)     เมื่อการเลือกตั้ง สิ้นสุดลงจึงพบว่าประชาชนจำนวนมหาศาลได้ให้การสนับสนุนนโยบายของพรรคไทยรักไทย จนสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ และเห็นได้ว่าผลของนโยบายเหล่านี้ ยังได้สืบสร้างความนิยมให้แก่พรรคพลังประชาชน ผู้สวมนโยบายของพรรคไทยรักไทยต่อมา  ทำให้ สามารถชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นประวัติศาสตร์ที่ก้าวหน้าขั้นตอนหนึ่งของการเมืองไทยยุครัฐบาลทักษิณ  ฉะนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า  การเมืองโดยนโยบาย กำลังจะมีความหมาย และถูกหลักการประชาธิปไตยยิ่งขึ้น  และเพื่อความก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง เราจะต้องก้าวหน้าไปตามหลักการนี้ และการต่อสู้ของพรรคการเมืองจำเป็นต้องต่อสู้โดยนโยบาย อ้างนโยบายขึ้นมาหักล้างกัน ในเวลาที่ชอบธรรม คือเวลาที่มีการหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งทั่วไป (เช่นที่เราเห็นการเมืองของอเมริกา ที่เป็นแบบอย่างประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าอยู่ในขณะนี้) และสัจธรรมนั้นคือ เราจะต้องเดินตามวิถีทางของการสร้างสรรค์นโยบายนี้อย่างยาวนานจนเป็นวัฒนธรรมการต่อสู้ของระบอบประชาธิปไตยไทย  การเมืองไทยจึงจะสามารถสร้างสรรค์เป็นคุณประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติได้   หากพรรคการเมืองยังไม่เน้นหรือถือหลักการต่อสู้กันด้วยนโยบาย หรือไม่สามารถสร้างสรรค์นโยบายขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลประการใดใดก็ตาม  การเมืองที่สร้างสรรค์ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้   

 

2.   วัฒนธรรมและ  จริยธรรมทางการเมือง   เรื่องนี้เป็นเรื่องเบื้องต้นของประชาธิปไตย ที่มีความสำคัญเป็น อย่างยิ่ง   และการรังสรรค์สิ่งนี้ขึ้น ย่อมต้องใช้เวลา  นั่นคือวิวัฒนาการ  ซึ่งเราควรจะตระหนัก คือฉลาดในความเข้าใจว่าเราจะต้องกำหนดแนวทางแห่งวิวัฒนาการที่ถูกต้องอย่างไร   

 

เมื่อพูดถึงหลักการด้านวัฒนธรรมทางการเมือง  นั้นย่อมหมายถึง  ประชาชนมีอิสรภาพในความคิด  ความคิดของมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตย ต้องไม่ถูกครอบ  โดยความเป็นทาสทางความคิด หรือโดยการชี้นำ  หรือโดยสถานการณ์ที่จำยอม   แต่จะมีการตัดสินใจบนเหตุผล  บนฐานข้อมูล การศึกษา การวิจัย ของตนเอง  มีความเห็นตรงกันด้วยเหตุและผลที่ตรงกัน  มิใช่ถูกกดขี่  เช่นประเด็นแห่งกลุ่มผลประโยชน์ ที่ต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน เป็นต้น    ในขณะนี้  ประชาธิปไตยไทยแทบไม่มีพื้นฐานวัฒนธรรมทางการเมืองเช่นนี้อยู่เลย เพราะประชาชนไทยตกอยู่ภายใต้ระบอบทาส  และระบอบเผด็จการราชาธิปไตยมาเป็นเวลานานก่อนปี พ.ศ. 2475 และทุกวันนี้ ก็ยังมีระบอบขนาดใหญ่ที่ซ้อนตรึงครอบความคิดของประชาชนมหาศาลอยู่ในระบอบทาส และระบอบเจ้าขุนมูลนายอยู่อย่างไม่ขยับเขยื้อน    อันเป็นเหตุให้ประชาชนขาดอิสรภาพทางความคิด รวมทั้งไม่มีการพัฒนาการทางความคิดที่เป็นอิสระ แม้คำสอนของพุทธศาสนา ได้มีหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอยู่  แต่ก็มิได้มีการพัฒนาไป นั่นคือกาลามสูตร  ทรงตรัสหลักการวิจัย  10 อย่างคือ

 

            (1)   อย่าเชื่อ โดยการฟังตามกันมา

            (2)   อย่าเชื่อ โดยการถือสืบ ๆ กันมา

            (3)   อย่าเชื่อ โดยการเล่าลือ

            (4)   อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา

            (5)   อย่าเชื่อ โดยตรรก

            (6)   อย่าเชื่อ โดยการอนุมาน

            (7)   อย่าเชื่อ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

            (8)   อย่าเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน

            (9)   อย่าเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ

            (10) อย่าเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

 

นั่นหมายถึงอิสรภาพของปัจเจกบุคคล ที่จะต้องรู้ด้วยตนเอง  และที่ไม่สนับสนุนให้เกิดการครอบงำทางความคิด นั่นคือแนวทางการพัฒนาทางวัฒนธรรมการเมือง   และประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีพื้นฐานความเป็นมนุษย์  และความคิดของมนุษย์ประชาธิปไตย ต้องได้รับการเคารพเสมอ   คือ  เคารพในความคิดเห็นของคนอื่น แม้ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเราด้วย  

 

สิ่งที่เราควรยอมรับว่าบกพร่องอยู่อย่างมากก็คือ  จริยธรรมทางการเมือง  ในระบอบประชาธิปไตย  นอกจากเรื่อง การรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย  ซึ่งนักการเมืองจะต้องทำให้ประจักษ์แด่ประชามหาชน  แล้ว เรายังส่อแววว่าอาจจะยังไม่เข้าใจเชิงจริยธรรมทางความคิด ในระบอบประชาธิปไตยข้อสำคัญอีกข้อหนึ่ง   นั้นคือ  สิทธิของฝ่ายผู้ชนะผู้ที่กำเสียงประชาชนส่วนใหญ่  หรือฝ่ายที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศรับรอง   เมื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งแล้ว  เขาก็มีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ที่จะนำเอาความคิดของพวกเขา ของพรรคของเขา  ไปใช้จัดการกับปัญหาของประเทศได้  และเขามีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ที่จะปฏิเสธความคิดของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน   หรือความคิดของกลุ่ม พวกใดใด    มองอีกแง่หนึ่งก็คือ  นโยบาย ที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ภายหลังการเลือกตั้งแล้ว    แต่สิ่งที่ปรากฏในการเมืองไทยขณะนี้ก็คือ  ฝ่ายที่พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง หรือม็อบการเมืองก็ตาม  ยังพยายามที่จะยัดเยียดความคิดของตนให้ฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งไปดำเนินการ โดยเหตุผลที่หนักแน่นเสมอไปว่าความคิดของตนจะเป็นประโยชน์ต่อประชามหาชนอย่างมหาศาล

 

ถ้าเราไม่ยอมรับในจริยธรรมเชิงกติกาว่า แม้ฝ่ายค้านจะมีความคิดดีเลิศประเสริฐสักเพียงใดก็ตาม ทางที่ถูกก็คือฝ่ายค้านต้องเก็บความคิดดี ๆ (นโยบายดี ๆ) นั้นเอาไว้ทำเอง  เพื่อเสนอแด่ประชาชนในคราวเลือกตั้งคราวต่อไป และครั้นประชาชนยอมรับ ได้เป็นรัฐบาล ก็จะมีโอกาสนำความคิดของตนไปบริหารประเทศอย่างเต็มที่ โดยที่จะไม่พะวงกับความคิดคนอื่นพรรคอื่นที่ยังจะพยายามยัดเยียดความคิดของเขาให้เราทำเช่นเดียวกัน  

 

ซึ่งการพยายามยัดเยียดความคิดของตนให้รัฐบาลยอมรับหรือนำไปปฏิบัตินั้น ย่อมจะเป็นเหตุของการก้าวก่ายหน้าที่ ทำให้เกิดความสับสนในการบริหารงานของชาติ  จะเกิดข้อครหาได้ว่า มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ จริงอยู่ฝ่ายค้านย่อมมีสิทธิเสนอความคิดของตนได้  แต่ต้องยอมรับว่า  หากเขาไม่เอาไปพิจารณา ก็ย่อมเป็นสิทธิของเขา    ในเชิงจริยธรรมก็คือ  เราจะต้องเข้าใจว่าเป็นสิทธิ  ทีใครทีมัน   เราต้องยอมรับ  และไม่โกรธ  ไม่พาล ไม่เคียดแค้น ไม่อ้างว่าความคิดของตนนั้นล้ำเลิศประเสริฐจริง ๆ และตรงความต้องการของประชาชน แต่รัฐบาลเมินความคิดดี ๆ เช่นนี้เสีย  หรือถึงกับหาเรื่องพาลว่า รัฐบาลเช่นนี้ไม่ฟังความคิดเห็นของประชาชน เป็นเผด็จการทางความคิด  เป็นต้น   เพราะนี่ไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยเชิงจริยธรรม  จะเป็นเหตุของความขัดแย้งในสังคม ไม่มีที่สิ้นสุด และประชาธิปไตยไม่มีการสร้างสรรค์ และจะไม่ใช่ ไม่มีการวิวัฒนาการไปในทางที่ถูกต้องของประชาธิปไตย

 

ฉะนั้น  พรรคการเมือง จะต้องยอมรับว่า เราจะต้องเก็บเอาความคิดที่ดี ๆ นั้นไว้ทำเอง อย่าไปยัดเยียดให้เขาทำ  เพราะไม่เป็นการถูกต้องตามหลักการของระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลดังกล่าว 

 

 

 

ฉะนั้น จึงยุติลงที่ข้อสรุป การเมืองเชิงจริยธรรม ดังนี้

 

1.    นักการเมืองจะต้อง รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย  เราจะต้องพูดคำ 3 คำนี้ต่อหน้าประชาชน คือคำว่า  ยอมรับในความพ่ายแพ้ของเรา   ยอมรับในชัยชนะของท่าน  และ  ขอแสดงความยินดีด้วย  เฉกเช่นเดียวกับวงการกีฬานั่นเอง เพียงแต่นักการเมืองและสถาบันการเมืองจะต้องทรงจิตใจที่สูงส่งสมบูรณ์ไปอย่างที่สุดกว่าสถาบันใดใด เพราะสถาบันการเมืองคือสถาบันอันสูงสุดของประเทศผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อประเทศและประชาชนไทยทั้งหมด  นี่คือสัจธรรมที่สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาในประเด็นที่ว่า การปลดปล่อยเวรานุเวรของประชาชนทั้งชาติ  หรือการจองเวรจะจบสิ้นลงด้วยธรรมะข้อนี้ คือรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย    และในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราก็คงจะเข้าใจดีเมื่อระบุว่า  นักการเมืองจะต้องเล่นการเมืองด้วยจิตว่าง   ส่วนท่านที่นับถือศาสนาอื่น  ก็คงไม่ยากหากลองฟังดูว่า ความหมายของ  คำว่า  จิตว่าง  และการเล่นการเมืองด้วยจิตว่าง นั้นมีนัยความหมายสำคัญอย่างไร?

 

2.     ความคิดของเรา ถึงจะล้ำเลิศประเสริฐสักเพียงใด ก็มีเราเท่านั้นที่จะบริหารไปอย่างดี ตรงเป้าหมายยิ่งกว่าคนอื่น  ประชาธิปไตยจึงเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ทรงสิทธิ์อันสมบูรณ์ที่จะนำความคิดของเขาไปบริหารประเทศ  (ความคิดในที่นี้ย่อมหมายความรวมถึงหลักการว่าด้วยนโยบายด้วย) นี่ย่อมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพรรคการเมือง  เขาย่อมทำไปตามความคิดของเขา   ไม่ใช่ทำตามความคิดของเรา (ทำตามนโยบายของเขา ไม่ใช่ทำตามนโยบายของเรา  เพราะตอนประชาชนพิจารณาเลือก  ประชาชนเลือกและยอมรับนโยบายของเขา  ไม่ได้ยอมรับนโยบายของเรา)   ไม่มีประเทศไหนเลยในโลกประชาธิปไตยที่พรรครัฐบาลจะบริหารประเทศไปตามความคิด(หรือนโยบาย)ของคนอื่นพรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน (ดูตัวอย่างในอเมริกา เรื่องความคิดสงครามตะวันออกกลาง เป็นต้น)  ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดา และเป็นธรรมที่นักการเมืองฝ่ายที่ประชาชนส่วนใหญ่ไว้วางใจจะต้องยืนยันว่า ความคิดของเรานั้นถูกต้อง  และต้องพยายามพิศูจน์ให้แจ้งชัดว่าความคิดของตนถูกต้อง  รวมความถึงการพิศูจน์ว่าความคิดของรัฐบาลมีประสิทธิภาพกว่าความคิดของอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นฝ่ายค้าน เพื่อยืนยันความศรัทธาของประชาชนอย่างยาวนาน ต่อไป  โดยทำให้ประชาชนมีความสุขขึ้นมาได้จริง ๆ  นี่คือกติกาเชิงจริยธรรมที่จำเป็นของระบอบประชาธิปไตย  

 

เมื่อเรายอมรับสัจธรรมประชาธิปไตยเชิงจริยธรรม อย่างนี้  จึงจะเป็นการเชิดชู  ไม่ดูถูกประชาธิปไตย  การดูถูกประชาธิปไตยนั้นก็คือการก่อกวนระบอบให้เดินไปไม่ได้  ให้ล่มสลายลง  แล้วเราก็วิ่งไปกราบอ้อนวอนเผด็จการทหารให้เข้ามาช่วยครั้งแล้วครั้งเล่า  และพอเขาช่วยไว้แล้ว  เราก็กลับมาดูถูกตนเองต่อไปด้วยวงจรแห่งความโง่เขลาเช่นนี้ไม่รู้สิ้นสุดลง ก็เสียเวลาเสียโอกาสของประชาชนและประเทศชาติไปเปล่า ๆ อย่างมหาศาล 

 

ฉะนั้น  พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนี้  จะยอมรับเสียแต่แรกว่า เมื่อเราถูกปฏิเสธ โดยประการแรกถูกปฏิเสธจากประชานส่วนใหญ่ของประเทศในการเลือกตั้ง   และประการที่สอง โดยการยัดเยียดความคิดของเราให้ฝ่ายรัฐบาลแต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธ   ก็ควรจบลง  ไม่ตอบโต้  ไม่สืบความยาวสาวความยืด ต่อไปอีก และทางที่ปฏิบัติอันสร้างสรรค์ก็คือ เก็บเอาความคิดของตนไว้เมื่อมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลจึงนำความคิดที่เลอเลิศนี้มาปฏิบัติ และถือโอกาสศึกษาหาข้อมูลวิเคราะห์วิจัยนโยบายใหม่ ๆ ออกมาเตรียมไว้  นี่จึงจะเป็นไปตามหลักการสร้างสรรค์โดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง   ฝ่ายค้านก็จะได้รับการชื่นชมเหมือนกันว่า รู้จริยธรรมแห่งระบอบการเมืองดี มีความอดทนอดกลั้นสูง ประเทศชาติ ประชาชนก็จะไม่มีการขัดแย้งกัน ไม่ก่อเวรกัน  ไม่โกรธกัน  ไม่ทำร้ายกัน  ฯลฯ  ก็มีการก้าวไปในวิวัฒนาการที่ถูกต้องของประชาธิปไตย  ประชาธิปไตยจึงจะสร้างสรรค์และเป็นความก้าวหน้า พัฒนาการไปสู่ความสุขสงบ และทรงคุณค่าห่างไกลจากเผด็จการทุกรูปแบบ ตลอดกาลนาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  สงกรานต์ศรีสะเกษ

 

มองระบบวัฒนธรรมใหม่จากเทศกาลสงกรานต์

 

เทศกาลสงกรานต์ไทยในแต่ละปี ที่ผ่านมา ได้มีประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายไม่น่าจะนิ่งเฉยดูดาย นั่นคือเรื่องอุบัติเหตุซึ่งทำให้คนตายปีละไม่น้อยกว่า 200 คนเสมอไป ในปีนี้ นับสถิติระหว่าง 11-14 เม.ย. 2551 มีคนตายไปแล้ว 229 คน  การที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก  เพราะเป็นเรื่องของชีวิตและคุณค่า  ชีวิตย่อมมีคุณค่าและความหมายมากมายมหาศาลเกินการประมาณได้  แต่เราไม่ได้มองชีวิตอย่างมีคุณค่า ตามที่ควรจะเป็น   ฉะนั้นรัฐบาลและหน่วยงานเอกชน องค์การต่าง ๆ ของชาติ จึงควรจะมาร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อเร่งเร้าให้คนหันมามองคุณค่าของชีวิต ให้สมกับคุณค่าของชีวิต ตามที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นได้มาโดยยากยิ่งนัก(กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ) เมื่อได้เป็นมนุษย์แล้ว จึงควรถนอมความเป็นมนุษย์ไว้ให้ดี  และแท้ที่จริงรัฐบาลไทยมีกระทรวงอยู่กระทรวงหนึ่งคือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นผลจากบทบัญญัติที่เชิดชูความเป็นมนุษย์ในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540  จึงน่าจะให้กระทรวงนี้ มีหน้าที่พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตมนุษย์  การดูแลงานวันสงกรานต์น่าจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงนี้โดยตรงอยู่ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการถนอมและพิทักษ์คุณค่าของชีวิต   

 

อีกประเด็นหนึ่งเป็นเรื่องวัฒนธรรม ซึ่งไทยเรามักมองที่ผู้หญิงมานานแล้ว ซึ่งมักมีการวิพากษ์วิจารณ์กันเสมอ ๆ เรื่องการแต่งตัวและความประพฤติ หรือการแสดงออกในเทศกาลสงกรานต์  ควรจะแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมอันดีของชาติ  ได้แก่การนุ่งห่มมิดชิด และความประพฤติเรียบร้อย อ่อนโยน ฯลฯ แต่เมื่อคำนึงถึงเนื้อหาจริง ๆ ของวัฒนธรรมสงกรานต์ไทยเป็นของดื่มด่ำลึกซึ้งด้วยการเล่นการแสดงออกแห่งความสนุกสนานจริง ๆ  และส่วนที่เพิ่มรสชาติให้สนุกสนานนั้นก็มีปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ เรื่องของหนุ่มสาวนี่เอง และทั้งเป็นโอกาสที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ จะหยอกเย้า แหย่กันเล่นได้บ้าง นี่ก็น่าจะเป็นธรรมดา  ไม่น่าจะมองว่าเลวทราม หรือไร้วัฒนธรรม  เมื่อมีการมองวัฒนธรรมว่า ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว เพราะวัฒนธรรมคือชีวิต เมื่อมาสู่ยุคใหม่แล้ว  ก็ควรเป็นความสุขสนุกสนานแบบยุคใหม่  แต่วัฒนธรรมยุคใหม่ควรจะเป็นอย่างไร  เราเคยวิเคราะห์ปัญหาวัฒนธรรมยุคใหม่ไว้  ที่น่าพิจารณามองในบทวิเคราะห์เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วเรื่อง เซกเวอร์เกอร์สาธิตเพศศึกษาบนเวทีเอดส์โลก ที่อาจจุดประกายการปรับปรุงระบบวัฒนธรรมไทยไปสู่ยุคใหม่ได้ โปรดคลิกเพื่อเข้าไปอ่านที่นี่>>>>>>>>>>>>>>>

 

  • บุษบา
    16 เม.ย.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

27 ประชาธิปไตยไทยต้องมียุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบ

 

ระบอบหมายถึงระบอบประชาธิปไตย  การก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย หมายถึงการพัฒนาการหรือวิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นไปอย่างมีขั้นมีตอน  และเมื่อเรามาถึงขั้นตอนไหนแล้ว เราก็ไม่ควรที่จะถอยกลับลงไป ควรจะต้องพยายามรักษาระดับพื้นฐานแห่งประชาธิปไตยเอาไว้ให้ได้  และพยายามเดินหน้า หรือก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นไปอีก  นั่นจึงจะหมายถึงความเจริญของประเทศไทยและประชาชนไทย   

 

อธิบายอย่างง่าย ๆ ก็คือ  ขณะนี้ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยที่เราได้สถาปนารัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน  เราได้สถาปนารัฐสภาที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน  เราเพิ่งได้ยกระดับการเมืองของเราจากเผด็จการครั้งล่าสุดขึ้นมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งแล้ว ใหม่ ๆ อย่างสมบูรณ์ โดยการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2551    นี่ถือว่าเป็นการก้าวขึ้นมาจากจุดศูนย์  เราหมายความว่า เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย ตั้งแต่นี้ไปยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบ

 

เพราะในอดีตกาล 75 ปีที่ผ่านมาแล้วของระบอบประชาธิปไตยไทย  ระบอบถูกกระชากลากถึง ตรึงให้เข้าสู่เผด็จการครั้งแล้วครั้งเล่า โดยครั้งล่าสุดมีขบวนการนอกระบอบกระทำให้เกิดเหตุเป็นไส้ศึกให้แก่เผด็จการ  มาทำลายระบอบประชาธิปไตยไป  จนกระทั่งสัจธรรมคือเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ที่บันดาลให้ ไทยเราได้ประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  ก็ยังคงมีกลุ่มบุคคลผู้ทำตนเป็นใส้ศึกให้แก่ระบอบเผด็จการ ทำการลดทอนประชาธิปไตยไทยอยู่ในขณะนี้  เมื่อเราก้าวเดินไปไม่ได้  แต่กลับถอยหลังลงไปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า  นั่นหมายถึงความสับสน หลงทาง และไร้ยุทธศาสตร์  ฉะนั้นเราต้องมียุทธศาสตร์ โดยหลักการทางทหารก็คือ เราจะเอาชนะ หรือไปสู่เป้าหมายไม่ได้หากไม่สามารถเดินรุกเข้ายึดพื้นที่และครอบครองรักษาไว้อย่างมั่นคง แม้จะต้องลงทุนหรือสูญเสียไปเท่าไรก็ยอม  นั่นคือยุทธศาสตร์ทางทหาร

 

ทางการเมือง ที่ว่าเป็นยุทธศาสตร์ก็หมายความว่า  จะอย่างไรเราต้องยึด ครอบครองรักษาระดับตรงนี้เอาไว้ให้ได้  นั่นคือ เมื่อเรามาสู่ประชาธิปไตย คือสถาบันอำนาจการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนได้แล้ว  เราก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้  ต้องทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจของประชาชนนี้ไว้ให้ได้  อย่าให้หวลถอยลงไปสู่จุดศูนย์ หรือจุดเริ่มต้นอีก นั่นคือจุดที่ปลอดจากประชาธิปไตย หรือที่ร้ายแรงก็คือเผด็จการโดยการปฏิวัติ ยึดอำนาจ  หรือโดยการล้มล้างรัฐบาลของระบอบประชาธิปไตยโดยวิธีใด ๆ  

 

ฉะนั้น เมื่อเรามาเข้าใจร่วมกันถึงยุทธศาสตร์ประเทศไทย เพื่อการมีประชาธิปไตยแล้ว เราคือสถาบันและประชาชนทั่วประเทศ ก็ควรร่วมมือกัน  ว่าอย่างไร ๆ ก็ตามจะต้องร่วมมือกันพิทักษ์มิให้ประเทศไทยถอยกลับลงไปอีก

 

แต่สถานการณ์การเมืองที่เห็นอยู่ทุกวันนี้(ล่าสุดการชุมนุมกลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ เมื่อ 25 เม.ย.2551)  เห็นได้ว่าเดินไปอย่างขัดแย้งยุทธศาสตร์ประเทศไทยที่ควรเป็น  นั่นคือพยายามที่จะดึงฉุดกระชากประเทศไทยให้กลับไปสู่จุดเดิม จุดเริ่มต้นอีกครั้งแล้ว โดยเหตุผลที่ไม่สามารถจะเป็นไปได้

 

นั่นคือข้อกล่าวหาที่ว่า  เราต้องได้รัฐบาลที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง มือสะอาด  ต้องไม่มีรัฐบาลที่โกงชาติ โกงแผ่นดิน  เราต้องได้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม  อย่างเต็ม 100 %   อย่างนี้เป็นต้น  แล้วไม่ยอมให้ก้าวเดินต่อไปบนวิถีทางประชาธิปไตย

 

ซึ่ง นับว่าเป็นการเพ้อฝัน   หากเราดำเนินนโยบายแบบนามธรรมที่เพ้อฝันเช่นนี้ไป กี่ปีกี่ชาติ  เราก็ไม่อาจจะบรรลุความเป็นประชาธิปไตยที่ดี ที่มีเสถียรภาพมั่นคงได้เลย

 

เพราะสัจธรรมมีว่า  สังคมมนุษย์เป็นสังคมอวิชชา  เป็นสังคมของคนบาป  ไม่ใช่สังคมของพระอริยเจ้า ซึ่งมีความดีบริสุทธิ์  แต่สังคมมนุษย์ แทบหาพระอริยเจ้าสักหนึ่งองค์ก็ยังไม่มีอยู่แล้ว  (มีแต่สังคมเพ้อฝันที่หลงตนเอง ฝันว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า อย่างสันติอโศก หรือ จำลอง ศรีเมือง)  เราจึงต้องดำเนินไปแบบสอดคล้องวิถีมนุษย์ หรือวัฒนธรรมมนุษย์ในโลก  มิใช่การยึดมั่นถือมั่นในนามธรรมหรือสร้างกฎเกณฑ์ที่ล้ำเลิศเหนือความเป็นมนุษย์ปุถุชน แต่เพื่อให้มนุษย์ปุถุชนหรือมนุษย์ที่มีกิเลสเดินตามไป(ก็จะเดินไปไม่ได้ ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน เพ้อเจ้อได้เท่านั้น)

 

ดังที่เห็นกลุ่มต่อต้าน ล้มล้างรัฐบาล กลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้  ซึ่งถ้าเขาเคลื่อนไหวได้สำเร็จ สามารถบีบบังคับให้รัฐบาล ลาออก  สิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดตามมาก็คือได้รัฐบาลใหม่ และรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็จะเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกัน  นั่นคือ จะมีกลุ่มบริสุทธิ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้าน โดยเหตุผลเช่นเดียวกันนี้   ไม่รู้สิ้นสุด ก็วนไปวนมาอยู่เช่นนี้ ซึ่งเป็นการพร่าเวลาที่ทำลายประเทศไทย   หรืออย่างร้ายแรงที่สุด  ผลงานของกลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ นี้ก็คือใส้ศึกที่เปิดทางให้เผด็จการทหารเข้ามา เหมือนคราวที่แล้วที่ล้มรัฐบาลทักษิณ(ซึ่งเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย)แล้วเปิดทางให้เผด็จการคมช.ของ สนธิ บุณยรัตกลินเข้าครองอำนาจ ซึ่งนี่เป็นปรากฎการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉุดดึง ตรึงประชาธิปไตยไทย มิให้ก้าวออกไป

 

ทางเราได้ทำการวิเคราะห์แล้ว พบว่า เพื่อความก้าวหน้า ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปของประชาธิปไตยไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันศึกษายุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง  นั่นคือ ทำยุทธศาสตร์ประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปตามครรลองของประชาธิปไตยให้ได้ก่อน อย่าให้ล้มลงกลางคัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม โดยจะต้องทำการรักษาหรือตรึงยุทธศาสตร์ประเทศไทยนี้เอาไว้ให้ได้ก่อน  ซึ่งหมายความว่า  ประการแรก ให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีรัฐสภา ที่ประกอบด้วยตัวแทนของประชาชน และองค์ประกอบแห่งอำนาจสูงสุด เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย  อย่างที่เราได้มาแล้วในขณะนี้  เรารักษายุทธศาตร์อันนี้เอาไว้  ทุกวิถีทาง  

 

ซึ่งตามยุทธศาสตร์นี้ การจะเดินไปอย่างไรก็ตาม  ไม่พึงถือเป็นความสำคัญมากนัก  คือหมายความว่าถึงจะเป็นประชาธิปไตยอ่อน ๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวมากนักหรือกล่าวอย่างนามธรรมว่าไม่ค่อยจะดีนัก เหมือนลูกปูหัดเดินอยู่ เปาะ ๆ แปะ ๆอยู่ ก็ไม่พึงจะถือสาหาความกันมาก เพราะประชาธิปไตยไทย มิใช่สันดารของประชาชนไทย แต่เป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่คุ้น  จะต้องให้เวลาสำหรับการเรียนรู้ และความค่อยเป็นค่อยไป ต้องต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน  ต่างต้องช่วยประคับประคองไปด้วยกัน ไม่ให้ล้มเสียก่อนจึงจะถูกต้อง   เพราะไม่มีงานใด ประชาธิปไตยชาติไหนที่พอเริ่มต้นก็ก้าวถึงระดับขั้นที่สมบูรณ์ทันที 100 %  โดยปราศจากข้อตำหนิ (โดยรูปธรรมก็คือ  ไม่มีใครพ้นไปจากการนินทาได้  ตามสุภาษิตจากวรรณกรรมไทยว่า แม้องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะพ้นคนนินทา) แต่ต้องมีเวลาสำหรับการเรียนรู้ ใช้เวลาสำหรับการวิวัฒนาการ  และหากการวิวัฒนาการชงักแล้วชงักอีก  ประชาธิปไตยไทยก็ไม่ไปถึงไหน  ก็คงจะอยู่ในวังวนแห่งความป่าความเถื่อนต่อไปชั่วนิรันดร 

 

ฉะนั้น   ประชาชนไทยและประเทศไทยจะต้องมียุทธศาสตร์ของประเทศสำหรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย  และนี่คือ  ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบ และในการดำเนินยุทธศาสตร์นี้ จะต้องมีรัฐบาลเป็นผู้นำดำเนินการ  รัฐบาลพร้อมสถาบันอำนาจสูงสุดอื่น จะต้องนำประเทศไทยเดินไปตามยุทธศาสตร์นี้ และต้องขจัดอุปสรรคปัญหาทุกประการ ด้วยการระดมเครื่องมือของรัฐทุกชนิดทุกอย่างทุกสรรพกำลัง เพื่อขจัดสิ่งกีดขวางของยุทธศาสตร์นี้ 

 

หากมีบุคคลหนึ่งใดหรือกลุ่มบุคคลใดมากระทำการใด โดยที่การกระทำการนั้นไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทยนี้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและสถาบันอำนาจสูงสุดของประชาธิปไตย ที่ต้องดำเนินการให้ยุติลงเสียโดยพลัน โดยใช้เครื่องมือทุกชนิดของรัฐ  เพื่ออำนวยให้ยุทธศาสตร์ประเทศไทยไม่ก้าวถอยหลัง แต่ต้องให้เดินไปให้จงได้  ประชาธิปไตยไทยจึงจะตั้งขึ้นได้และบังเกิดความมั่นคง  และมีการก้าวหน้าไปตามครรลองของประชาธิปไตย นั่นคือการเดินหน้าไปสู่ความมีรัฐบาลโดยนโยบายที่ประชาชนยินยอมแล้ว    และนั่นหมายถึงนำประเทศไทย และประชาชนไทยไปสู่ความสุขสงบและเจริญงอกงามทางเศรษฐกิจ การกินดีอยู่ดีโดยนโยบายของรัฐบาลของประชาชน ด้วยระบอบประชาธิปไตยได้เสียที 

 

 

  • บุษบา บุญเสฏฐ์
    27 เม.ย. 2551

 * แฟ้ม: ยุทธศาสตร์ประเทศไทย ประเทศ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 28 จดหมายถึงบรรณาธิการ 1
แสดงความจงรักภักดีโอเวอร์เกินไป น่าสงสัยอยู่


เรียน  บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ดี   

ผมมีอะไรในใจมากจนอึดอัดในขณะนี้ ขอพูดหน่อยครับ  ตามสิทธิเสรีภาพของคนประชาธิปไตย

 

มีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้?  ช่วงก่อนวันวิสาขบูชา ตราบมาถึงวันนี้ ซึ่งผ่านวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของโลกมา 2-3 วันแล้ว  เพราะเห็นสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ ออกข่าวกันอย่างเกรียวกราว ขรมไปทั่วประเทศไทย กับทั้งมีบุคคลสำคัญออกมาปรากฏตัวกันหลายคน จนเกลื่อนอย่างน่าตกใจทีเดียว

 

เสาะไปเสาะมาจึงถึงบางอ้อ    อ๋อ !   เรื่อง  สถาบัน      

 

เมื่อก่อนวันวิสาขบูชาสักสองวัน  ได้ปรากฏว่ามีใครสักคนหนึ่ง ( กุ๊ยการเมืองเจ้าเก่า)  ออกมาแถลงความจงรักภักดีของตนต่อสถาบัน  ซึ่งมีมากล้นเหลือเหนือคนอื่นใดในประเทศไทยนี้  จนกระทั่งมีคนในรัฐบาลไปพูดพลาดผิดเข้าเล็กน้อยที่ไม่เกี่ยวกับสถาบันเลย    หมอก็เห็นว่าเกี่ยวกับสถาบัน  และเป็นเรื่องใหญ่โต  เรื่องที่อภัยไม่ได้  ต้องตัดหัวทิ้งเจ็ดชั่วโคตร  ขนาดนั้น !!!!      

คำถามก็คือ  มิเกินไปหน่อยหรือ?   มีคนจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยน้อยกว่าเขาคนนั้นอยู่หรือ ?  และทำไมคนอื่นเขาจึงไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไร

 

โดยข้อเท็จจริงก็เห็นกันอยู่ ว่าไม่มีประชากรไทยคนใดหรอกที่มิได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันกว้างใหญ่และยาวนาน  ไม่มีหรอกคนไทยที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน   คนที่เขาไม่พูดออกปากออกมาก็ใช่ว่าเขาไม่มีความจงรักภักดี ตรงกันข้ามเขาอาจมีความจงรักภักดียิ่งกว่าคนที่อวดอ้างว่าจงรักภักดีก็ได้    

 

และทุกคนก็มีความจงรักภักดีไม่น้อยไปกว่าหมอนั้น  อย่างแน่นอน  ผมรับประกันได้  แม้ตัวผมเองก็มีไม่น้อยไปกว่าหมอนั่นแน่


ทำไมเขาต้องแสดงความจงรักภักดีเหลือเกิน  จนกระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องเลย ก็พยายามเอามาเกี่ยวกับสถาบัน  ให้เป็นเรื่องใหญ่โต เนื่องเพราะเป็นประเด็นละเอียดอ่อน  ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่เขาไม่ควรพูด แต่เขาก็เอามาพูด

 

เขามีประสงค์อะไร?

น่าศึกษาว่าเหตุใดเขาจึงดูมีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างล้ำหน้าคนไทยทั้งหลายเสียเหลือเกิน  ?

 

ผมว่ามีพิรุธอยู่ น่าสงสัยเหลือเกิน  สาธุ  ถ้าคนทรยศมีจุดประสงค์ไม่สุจริตขอให้ล่มจม ตายโหงโดยเร็ว  จากผม คนอีสานบน

 

  • จาน  ประครองจิต 
    22 พ.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



 

 

 

  29 จดหมายถึงบรรณาธิการ 2

จากดอกงิ้วบาน คนอีสานใต้

 

เรียน บก.นสพ.ดี

ผมคนอีสานใต้เห็นด้วยกับ จาน ประครองจิต คนอีสานบน ครับ  แต่เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด คำในวงเล็บว่า กุ๊ยการเมือง นั้น คงจะเข้าใจตรงกับผม ที่ต้องหมายถึงคนปากสว่างคนหนึ่งในทีวีช่องหนึ่งของเมืองไทย หมอยังมีชื่อว่า  กุ๊ยข้างถนน อีกชื่อหนึ่ง เพื่อให้สมกับปากของหมอ  หมอเองบอกว่าหมอเป็นคนเจ๊กคนจีน  มาจากเมือง กุ๊ยเหลียง หรือ  กุ๊ย ๆ อะไรในจีนนี่แหละครับ(ผมไม่เคยสนใจประวัติหมอนี่เลย)    ฉะนั้น จึงแปลกใจที่หมอเป็นคนเจ๊กคนจีนแต่ไฉนแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน จนคนเลือดเนื้อเชื้อไทยแท้ ๆ อย่างคุณอย่างผมรู้สึกได้   ว่าเกินไปหน่อยนะ  ข้ามหน้าข้ามตากันไปหน่อยนะ  และเรื่องที่ไปกล่าวหาเขาก็เป็นเรื่องนิดเดียวที่หมอว่าต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร  นั่นมันเกินไปหน่อยนะผมเห็นด้วยกับจาน ประครองจิต  แต่ส่วนของผมเอง ผมอยากเสริมหน่อยว่า  หมอยังแสดงความจงรักภักดีอย่างยิ่งใหญ่ที่เกิน ๆ ไปเหมือนกัน ต่อสถาบันสงฆ์ด้วย คือ  ไปยกย่องหลวงตามหาบัว จนเลิศลอย ว่าเป็นถึงพระอริยบุคคลชั้นอรหันต์อภิญญา แล้วอ้างว่าตัวเอง(นายสนธิ ลิ้มทองกุล)เป็นศิษย์เอกหลวงตามหาบัว หลวงตามหาบัวรักและไว้วางใจมาก  แล้วจึงรู้ดีว่าหลวงตาเกลียดชังคน ๆ หนึ่งเข้ากระดูกดำ ถึงกับสาปแช่งเอาไว้ว่าว่า  มันไม่ใช่ลูกศิษย์เรา มันเลวยิ่งกว่าเทวทัต  ให้มันล่มจม  มีทรัพย์เป็นถึงมหาเศรษฐีก็ให้วอดวายกลายเป็นกระยาจก    ดูเถอะ แม้คนไร้การศึกษาคนหนึ่งก็รู้ว่าการพูดเช่นนั้นมันผิดวิสัยพระอรหันต์  ผมเองกล้ายืนยันเลยว่าหลวงตามหาบัว ท่านเป็นถึงพระโสดาบัน ท่านไม่พูดอย่างนั้นแน่  และถ้าไปอ้างว่าเป็นอรหันต์แล้วพูดสาปแช่งใคร  ยิ่งไม่ถูกอีก  ผมว่าอย่าไปดึงสถาบันอรหันต์ลงมาพูดเลย  ที่หมอนั่นพูดไปก็เป็นการอวดอ้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน ที่เกินไปอีกสถาบันหนึ่ง คือสถาบันศาสนา     จึงน่าสงสัยจริง ๆ ว่าหมอมีประสงค์อะไรแน่ ๆ   ชอบดึงฟ้าลงมาต่ำ  ดึงพระธรรมลงมากลั้วกิเลสอยู่เรื่อย ๆ   อีกพวกหนึ่งก็คือพวกประชาธิปัตย์ อยากขอร้องว่า  เอาแต่ก่อกวนตลอดเวลาเช่นนี้ ใครจะมีสมาธิทำงาน ถ้าเรามีแต่ความอิจฉาริษยาแล้ว ไม่มีวันเจริญได้หรอก  ช่วยกันดูด้วยนะครับ ผมมีอีกอย่างครับคือเรื่องเขาพระวิหาร อย่าประมาทนะครับ รัฐบาลต้องติดตามเรื่องเขมรจะให้เป็นมรดกโลก  เพราะมีพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่กับไทย  ระวังมายุ่งอยู่แต่ทางนี้ ทางนู้นจะเสียแผ่นดินอีก ระวังคราวเสียเขาพระวิหารคราวนั้นก็เนื่องจากทนายความขี้โม้ คุยจนคนไทยเชื่อทั้งประเทศ  แต่พอเอาจริงเข้าก็เหลว อ้าปากไม่ออก(เพราะไม่เคยรู้เลยว่าเขมรใช้แผนที่ฝรั่งเศส เรารู้แต่เรื่องของเรา  ไม่รู้เขารู้เราเลย)  ไทยต้องเสียแผ่นดิน คนไทยเช็ดน้ำตากับหัวเข่า  เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีครับ  ผมจึงไม่อยากให้เชื่อพวกนี้นัก  พวกนี้ดีแต่พูด ทำอะไรไม่เป็น จากผม 

ดอกงิ้วบาน
   คนอีสานใต้
25 พ.ค. 2551

 

 

 

 

 

  30 บันทึกเรื่อง สมศักดิ์ ต้านความคิดขายชาติ
สุไหงปาดี

 

 

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์การเกษตร  ทำให้เกิดกระแสปั่นป่วนไปหมดในวันสองวันนี้ เนื่องเพราะออกมาให้ข่าวด้วยตนเองทางโทรทัศน์(เมื่อเช้าวันที่ 23 พ.ค.2551)ว่า  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเอาแขกมายึดแผ่นดินไทยไปทำนา และว่าตนจะต่อต้าน ยอมไม่ได้กับความคิดนี้  เพราะเป็นความคิดขายชาติ  คำว่าขายชาติ ได้เป็นสิ่งเร้าใจอย่างแรงขึ้นมาทันที สำหรับเครือข่ายสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ที่กำลังเตรียมระดมพลชุมนุมต่อต้านล้มล้างรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังทำการไม่สำเร็จในคราวก่อน  กระแสกำลังเป็นไปในทางที่น่าหวาดหวั่นสำหรับฝ่ายรัฐบาล เพราะข่าวแพร่ออกไปว่าทักษิณจะใช้อำนาจเงินยึดที่นาทั่วประเทศให้ต่างชาติทำหมด เพราะชาวนาเป็นหนี้ล้นพ้นตัวกันทั้งประเทศ  แล้ววันนี้(24 พ.ค.2551) นายบรรหาร ศิลปะอาชา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาให้ข่าวพร้อมนายสมศักดิ์ ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนายสมศักดิ์  มีการตำหนินายสมศักดิ์ต่อหน้านายสมศักดิ์เองเลยว่านายสมศักดิ์เข้าใจผิด ชาวต่างประเทศนั้นเขาเพียงต้องการมาดูสาธิตการทำนาของไทยเท่านั้นเอง  มีรายละเอียดในคำให้ข่าวทีวีของนายบรรหารมากไปกว่านี้ ซึ่งนายบรรหารกล่าวว่า  ความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นำชาวตะวันออกกลางมาดูการทำนาไทยนั้น เป็นความคิดที่ดี น่าสนับสนุน  นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าชมเชยนายบรรหาร ศิลปะอาชา ที่มีน้ำใจนักกีฬา กล้าแก้ไขในสิ่งผิด  ส่วนนายสมศักดิ์ นั้น นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่น่าบ่งบอกถึงความอ่อนด้อยในพลังสติปัญญาและความแก่กล้าในวิชาการ  ครั้งก่อนที่เคยเป้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เคยทำความผิดไว้ คือเรื่องการให้ยกเลิกไม้เรียวในโรงเรียนมัธยม มาจนถึงบัดนี้  เมื่อด่านไม้เรียวหายไป  นักเรียนก็ผ่านสะดวก  ไปถึงโรงพัก ถึงคุกเลยทีเดียว  นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะนโยบายที่ผิดพลาด แล้วไม่มีการรับผิดชอบ

 

สุไหงปาดี  บันทึก
25 พ.ค.2551

 

 

 

 

 31 บันทึกเรื่อง ASTV1 ไม่เคารพธงชาติ
สุไหงปาดี

เวลา 0800 น.ทีวีทุกช่องในประเทศไทย คนไทยทั้ง 60 ล้านคน หยุดเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติ  แต่เอเอสทีวีวันที่ 26 พ.ค.2551 เวลา 0800 น.ขณะที่นายพิภพ ธงชัย หนึ่งในแกนนำ5ขบวนการจำลอง-ประชาธิปัตย์ กำลังพล่ามน้ำลายแตกฟอง เรื่องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่นั้น ไม่มีการหยุดเคารพธงชาติ พร้อมกับประชาชนไทยและสถาบันที่รักชาติทั้งประเทศ  จนกระทั่งเพลงชาติที่กระหึ่มทั่วประเทศจบลง นายพิภพ ก็ยังพล่ามต่อไปอย่างไร้สำนึกจริง ๆ   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอเอสทีวีไม่เคารพธงชาติ แต่บ่อยมากทีเดียวที่คนในเอเอสทีวี เวลาพล่ามเรื่องรักชาติอย่างมาก ๆ เป็นพิเศษนี่แหละ  ไม่เคยเปิดเพลงชาติ  คราวนี้นายพิภพ ธงชัย ยังพล่ามต่อไปเป็นชั่วโมงเลย ทั้ง ๆ ที่มีคนฟัง 2-3 คน เหลืออยู่คนหนึ่งบนเวที เป็นผู้หญิง ใส่เสื้อขาว ๆ คงถูกทิ้งไว้คนเดียว  คอยเหลียวหน้าเหลียวหลัง  (กลัวโดนขวดอีกละมัง
!!!)   เรื่องนี้ น่าขำนะ  ตลกจริง ๆ   ส่วนขบวนการสันติอโศกของโพธิรักษ์ ขนผักมาให้กิน พวกนี้ ชอบอวดพลังผัก  ถัดไปมีคนบ๊องสส์ ออกมาร่ายบทกวีบ๊องส์ส์ส์ ๆ มีคำว่า  สส.หัวดอ ด้วย ซึ่งคนฟัง ๆ ไม่รู้เรื่อง  แล้วก็มีคนบ๊องสส์อีกคน จาก กองทัพธรรม(ไม่รู้กองทัพของใคร ที่ไหน)  ว่า  พี่น้องครับ เราอยากให้รัฐบาลอยู่หรือครับ คราวนี้เราทำไม่สำเร็จอย่ากลับบ้านนะครับ ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง  อ้าว ไหนว่าประพฤติธรรม มาไล่รัฐบาลกับเขาด้วยหรือนี่   ตาหลกจัง  ฮิ !!!!

 

 

 

 32  ข่าวเฉลิมขอพบสนธิลิ้มอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

 

 

33 จดหมายถึงบรรณาธิการ 3
ถึง ชลัมพุช โหรชนบท

ฉะนั้น มองไปข้างหน้าของประเทศไทย  จึงเป็นปัญหาการเมืองแบบที่เป็นมาแล้วและกำลังเป็นไปอยู่นี้ น่าหวาดหวั่น น่ากลัว และน่าชิงชัง   เพราะหากเป็นไปเช่นนี้ต่อไปแล้ว  นั่นหมายถึงการเมืองอันตราย   เพราะเหตุที่มิได้สร้างสรรค์  แต่กลับก่อผลเสียหายในการทำให้สังคมประเทศชาติ ประชาชนแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายมากขึ้น(โดยยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ชอบธรรม)   ดังเค้าที่ปรากฏชัดขึ้นทุกทีในระดับการเมืองระดับชาติก็คือ  การแบ่งแยกเป็นประชาชนของภาคต่าง ๆ  มีประชาชนภาคกลาง   ประชาชนภาคใต้  ประชาชนภาคอีสาน ประชาชนภาคเหนือ ประชาชนภาคตะวันออก และประชาชนกรุงเทพเป็นต้น  ซึ่งต่างก็มีแนวทัศนะการยึดมั่นถือมั่นของตน ๆ อย่างไม่คำนึงหลักการที่ถูกต้อง  โดยไม่สอดคล้องหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง 

ประเด็นสำคัญ  ๆ อันเป็นจุดบกพร่องทางการเมืองไทยมาตลอด ประการแรกก็เป็นเรื่องนโยบาย   เห็นได้จากสถาบันการเมืองที่ไม่อาจจะสร้างสรรค์นโยบายให้เป็นประโยชน์อันใดขึ้นมาได้เท่าที่ควรเลยตลอดเวลาอันยาวนานของประชาธิปไตยไทย  มีแต่สร้างความเสียหาย ให้เกิดการสูญเสียโอกาสทางการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศชาติ (บางรัฐบาล บางคน ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ตลอดเวลาที่มีการเลือกตั้ง แต่ไม่เคยสร้างผลงานอะไรเลย  มีแต่วาทะและลิ้นลมเพื่อการเอาตัวเองรอดเท่านั้น) จนกระทั่งสร้างหายนะอันยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติ(เช่นก่อหนี้ไอเอ็มเอฟ  เป็นต้น)   ยังคงกล่าวได้ว่า สถาบันการเมืองยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้  มีแต่การเป็นภาระของประชาชน เป็นสถาบันถ่วงชาติที่ประชาชนต้องโอบอุ้มอยู่ตลอดเวลา ได้พึ่งพาอาศัยประชาชนอยู่ตลอดมา (นับตั้งแต่ได้อาชีพการงาน ได้ตำแหน่ง ได้เงินเดือน ได้การทำมาหากินเลี้ยงตนและครอบครัวตน ได้หน้าตา ได้การสรรเสริญ ได้ความพินอบพิเทาจากประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจ  เป็นต้น แล้วไม่ได้ทำคุณงามความดีอะไรสมแก่รางวัลของประชาชน) นักการเมืองและสถาบันการเมืองนั่นเองที่ เอาภาระการเมืองมาสู่ประชาชนไม่รู้จบสิ้น  และแท้จริงในขณะนี้ ทางการเมืองไทยยังแสดงถึงความบกพร่องในความรอบรู้ ในสิ่งที่ควรรอบรู้ นั่นคือประเด็นสำคัญที่ไม่ได้มองเรื่องวัฒนธรรม จริยธรรมทางการเมืองกันเลย  และไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีสำนึกในประเด็นสำคัญของระบอบประชาธิปไตยระดับพื้นฐานและขั้นตอนเริ่มแรกของประชาธิปไตย   นั่นคือ  จริยธรรมทางการเมืองที่ต้องเป็นวินัยข้อสำคัญที่นักการเมืองจะต้องปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง   ที่ขาดเสียมิได้

เราได้เคยให้ข้อสังเกตเอาไว้ ในข้อสังเกตทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550

ฉะนั้น นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญต่อการดำรงอยู่และก้าวหน้าของประชาธิปไตย นักการเมืองจะต้องเพิ่มพูนจิตใจให้หนักแน่นด้วยจริยธรรม ตามแบบแผนการต่อสู้ที่มีคุณธรรม นั่นคือเป็นนักกีฬา  รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย   และเป็นผู้นำประชาชนฝ่ายที่สนับสนุนตน ให้มาเข้าใจจริยธรรมนี้ด้วย  คือ  ให้ประชาชนของตนรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยตามตนไปด้วยเท่านั้น  จึงจักสามารถระงับอันตราย  จากการแตกแยกของประชาชนในชาติ   และมีแต่จะต้องดำเนินการการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ให้จริยธรรมทางการเมือง ที่รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย  นี้ลงไปในทุกระดับการเมืองของประเทศ  แม้กระทั่งในระดับหมู่บ้านและครอบครัวโดยทั่วถึง แล้วให้เข้าใจความหมาย การเลือกโดยนโยบาย โดยกติกาว่าด้วยการเลือกนโยบาย (เมื่อเลือกเสร็จก็กลับคืนดีกัน) จึงจักสามารถสมานอันตรายจากการแตกแยกของประชาชนในทุกระดับการเมือง อันเป็นผลจากการเมืองไทยยุคปัจจุบันนี้ได้ 

และนั่นแหละ เราจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ และพุทธธรรมที่เป็นต้นตำหรับประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์ และทำประโยชน์แก่ประชาชน  ได้ดั่งใจประชาชนจริง ๆ  เพราะหลักธรรมในเรื่องนี้ก็คือ  หลักว่าด้วยเวร  หากเราไม่กล้ากล่าวคำว่า   ยอมรับความพ่ายแพ้ของผม   และ   ยินดีด้วยกับผู้ชนะ ต่อหน้าประชาชนฝ่ายตน ๆ เองแล้ว  นั่นคือการจองเวรคงดำเนินต่อไป  นั่นหมายถึงสถาบันการเมืองและนักการเมืองนั้นเองที่ก่อเกิดอันตรายแก่ประชาชนและประเทศชาติ อย่างยิ่งใหญ่ คือการทำลายความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินและประชาชนด้วยการจองเวรไม่รู้สิ้นสุด  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้แล้วว่า  การไม่จองเวร เป็นเหตุของความสมานฉันท์และสามัคคีธรรมอันยิ่งใหญ่ของมหาชน นี่คือส่วนแห่งหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยสากล

นั่นคือบทสรุปการเมืองไทย ลงด้วยพุทธภาษิตในพระธรรมบทว่า

            น หิ เวเรน เวรานิ             

·     พระธรรมบท, เสฐียรพงษ์ วรรณปก แปลใน พุทธวจนะในธรรมบท หน้า 7

 

จาก  จาน  ประครองจิต

 

เรียน บก.นสพ.ดี ที่นับถือยิ่ง  ผมได้อ่านคำทำนายประเทศไทย ของชลัมพุช โหรชนบทนานมาแล้ว  ท่านทำนายประเทศไทยไว้  บัดนี้ปรากฏว่าทุกอย่างที่ทำนายเอาไว้ถูกต้องหมดทุกอย่างอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง   โปรดดู 

ผมเกิดความคิดขึ้นมาว่า  ถ้าท่านลองพยากรณ์เหตุการณ์ที่เป็นอยู่ ขณะนี้ว่าเป็นอย่างไร  จะจบลงอย่างไร  ก็คงจะแม่นยำอีกเช่นเคยแน่ ๆ   ทำไมไม่ลองให้ท่านแย้ม ๆ สักหน่อยว่าอะไรเป็นอะไร และใครจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศไทยนะครับ   จากผมเอง 

จาน ประครองจิต
27 พ.ค. 2551



บันทึก บก.

เรื่องที่ จาน ประครองจิต ขอมานี้ ความจริงยังมีคนอีกมากมายขอให้ชลัมพุช โหรชนบท พยากรณ์ออกมา  แต่เราเป็นสถาบันโหร จึงได้พิจารณาว่าเป็นการไม่ค่อยเหมาะสมนัก  เนื่องด้วยจริยาของสถาบันโหรหลายประการ เช่นนี่เป้นการทำนายตามเหตุการณ์เกินไป  ทางเราจะทำนายอะไรต้องทำนายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น  และเราก็ปฏิบัติอย่างนี้ เป็นจริยาโหร  หมายถึง  สถาบัน  เสมอไป  อีกประการหนึ่งเราพยากรณ์ไม่ให้ร้ายฝ่ายใด แม้ว่าจะจริงอย่างนั้นก็ต้องระวัง การพยากรณ์เช่นนั้นต้องมีเมตตาเสมอ
อย่างไรก็ตาม  จะขอให้ชลัมพุช โหรชนบท พิจารณาตามอัธยาศัยของท่าน  โปรดคอยพบ ชลัมพุช โหรชนบท ต่อไปนี้ 

บก.
28 พ.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

34.   รายการ ถามจริง-ตอบตรง :  ขบวนการจำลอง-ประชาธิปัตย์-สนธิ ต้องการอะไร?

ช่อง 11,

29 พ.ค.2551 เวลา 20.20 – 20.45 น.

 

จอม เพชรประดับ ถาม วีระ สมความคิด ทนายความฝ่ายต่อต้าน  ที่นายวีระ เสนอว่ารัฐบาลไม่มีทางเลือกจนกว่าจะ ถอนญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาเรื่องจึงจะจบลงทันที  ยังน่าสงสัย เพราะ วีระ สมความคิด มิได้มีฐานะ เขามิได้เป็นหนึ่งในคณะผู้นำของขบวนการล้มรัฐบาล ทั้ง 5 คือ จำลอง ศรีเมือง, สนธิ ลิ้มทองกุล, สมศักดิ์ โกสัยสุข, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์) และสุริยะใส กะตะศิลา จะต้องให้คณะผู้นำนี้ลงมติเสียก่อน วีระ สมความคิดจึงจะกล่าวยืนยันได้เช่นนั้น  เช่นเดียวกัน วีระ สมความคิด ก็ยืนยันไม่ได้อีกว่า  พวกเขาเปลี่ยนจุดยืน จากการต่อต้านรัฐธรรมนูญ เป็นโค่นล้มรัฐบาลเลยทีเดียว ดังปรากฏชัดเจนจากเวทีโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา ที่ASTV1 ถ่ายทอดสู่สาธารณชนอย่างเปิดเผยตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.2551 เป็นต้นมา  พวกเขาเน้นจุดยืน 3 จุดคือ 1. คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2. รัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร ในฐานะรัฐบาลนอมินีจะต้องออกไป และ 3. ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  และมีนายวีระ สมความคิดนี้เอง เป็นผู้ที่เอ่ยวาทะนี้อันเหี้ยมเกรียมคือ  ภารกิจอันยิ่งใหญ่ คือการขับไล่รัฐบาลโจร แต่วันนี้เขาปฏิเสธ อย่างไม่มีฐานะ ก็เพื่อชั้นเชิงการโฆษณาชวนเชื่อ คือสะใจ(ด้วยการกล่าวคำถ่อยเล่นงานสถาบันการเมืองคือ นายกรัฐมนตรีเลยทีเดียวว่า คุณสมัครก็กะล่อนปลิ้นปล้อนของแกไปเรื่อย   และกำกวมไปเรื่อย  แท้จริงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ นั้น  โดยความเป็นธรรม เป็นปัญหาใหญ่เกินไปที่จะไปกล่าวโทษใครคนใดคนหนึ่ง จนต้องลงโทษอย่างรุนแรงได้  หรือจะถามหาความรับผิดชอบอย่างเต็มตัวนั้นไม่ได้หรอก จะเป็นการอยุติธรรม เพราะมีสาเหตุใหญ่มาจากนอกประเทศ เป็นปัญหาระดับโลกที่กระทบรัฐบาลทั่วโลกใคร ๆ ก็เข้าใจอยู่ สิ่งที่จอมเพชรประดับไม่ได้ถามก็คือ  ทำไมพวกนายวีระ จึงใช้การสื่อสารด้วยวาจาที่หยาบคายเหลือเกิน พวกเขาถนัดการด่า และเปล่งซึ่งผรุสวาทกันทุกถ้วนหน้า   และกล่าววาจายุยงให้คนไทยแตกกัน ยิ่งแตกไปแรงเท่าไรเขายิ่งพอใจ ได้ดีมาก  และคนในเป้าหมายของพวกเขา  ตั้งใจทิ่มแทงคนอื่นด้วยวาจาคำพูดอยู่ตลอดมา  ซึ่งแท้จริงก็เป็นความผิดไม่น้อยไปกว่าการทิ่มแทงด้วยอาวุธ  เป็น ความเลวทรามอีกประการหนึ่งเหมือนกัน  ชาวไทยจึงนิยมเรียกชื่อพวกทำผิดทางวาจาเช่นนี้ว่า พวกกุ๊ย;  กู้ยข้างถนน หรือ กุ๊ยการเมือง เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม ในเรื่องวาจา การวางตัว เรายกให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ว่าใช้ได้   เราต้องการบุคลิกภาพเช่นนี้ สำหรับแบบอย่างการต่อสู้ที่ขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง,  เวลานี้ บัดนี้(21.40 น.) ASTV1 เราได้ฟัง พิภพ ธงไชย กล่าวปลุกใจบนเวทีว่า ทักษิณ ออกไป  สมัคร ออกไปกไ ด้ฟัง พิภพ ธงชัย กล่าวปลุกใจบนเวทีว่า  ไล่รัฐบาลไม่แล้วไม่เลิก ใช่ไหมครับ  ไม่ลิกภาพนี้ เคียดแค้นให้คนอื่น และฝ่ายตร  ไล่รัฐบาลไม่แล้วไม่เลิก ใช่ไหมครับ   แล้วสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาโห่ปลุกใจคนของเขา ว่าครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว ดีเดวันพรุ่งนี้ ไม่ฝ่ายรัฐบาล ก็เขา จะต้องพินาศไป ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง นี่เขาคงไม่พูดเล่น ๆ แม้ว่ามีเสียงสะอื่นร่ำไห้ระริกระรี้อยู่ภายในหัวอกของเขาเป็นระลอก ๆ  ขณะแม้เปล่งวาจาที่ห้าวหาญก็ตามรัฐบาลก็โปรดรับทราบไว้ด้วย


สุไหงปาดี 
29 พ.ค. 2551
/22.20 น.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  35.  สรุปประชาธิปไตยไทย

จาก บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์

เรียน บก.นสพ.ดีที่นับถือยิ่ง

 


ผมเก็บตัวอยู่ในไร่ กลางดงดิบ หลายเดือน พอโผล่ออกมาก็รู้สึกพิศวงมาก กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยสรุปแล้วเป็นเรื่องประชาธิปไตยไทย  สรุปได้ดังนี้

 

1.     รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร  ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550  ยังไม่ทันได้เริ่มบริหารงานแผ่นดินก็โดนมรสุมม็อบเข้าแล้ว     เหตุการณ์กำลังจะซ้ำรอยประชาธิปไตยไทยล้มเหลว แม้กระทั่งเอาตัวให้รอด เช่นกรณีรัฐบาลทักษิณ การปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549  ที่แสดงว่า การปฏิวัติเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลอ่อนแอ เอาตัวไม่รอด  ทั้ง ๆ ที่มีเครื่องมือและกองทัพที่ปกป้องรัฐพร้อมทุกอย่าง ทำให้น่าวิตกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยไทยเป็นรัฐบาลโง่ ๆ  ที่ทุจริต ขายชาติ  มีเบื้องหลังมากมายจึงไม่สามารถกระทำการที่กล้าหาญเพื่อรักษาสถาบันประชาธิปไตย และเพื่อเอาตัวรอดของสถาบันประชาธิปไตย และบุคคลในสถาบันประชาธิปไตยเอง ได้ และทำให้วิตกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย  สภาผู้แทนราษฎรประชาธิปไตยไม่มีความคิดในการที่จะเชิดชูรักษาสถาบันประชาธิปไตย  ไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นสถาบัน ของประชาชน  ไม่เข้าใจภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชน  ไม่เร่งรีบแก้ไขปัญหาในฐานะตัวแทนของประชาชนที่เลือกเข้ามาให้รับภาระหน้าที่

2.     รัฐบาลทำให้ประชาชนนอนตาไม่หลับ เพราะทำให้บ้านเมืองอลเวง และประชาชนไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ ประชาชนต้องการให้รัฐบาลรีบเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว คือปัญหาที่เผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะปัญหากลุ่มม็อบการเมือง ที่ไร้เหตุผลจริงๆ  ตัวเป็นใคร สังกัดสถาบันไหน  มีกฎหมายอะไรรับรองฐานะ จึงกล้ามาขับไล่รัฐบาลของประชาชน  ที่ได้ประกาศยกระดับการต่อสู้ไปแล้วโดยเปิดเผยว่าเป้าหมายต่อไปคือการไล่ล้มล้างรัฐบาล รัฐบาลยังไม่ออกไปก็จะต่อสู้ไปอย่างยืดเยื้อ  เรื่องนี้รัฐบาลฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร  เขาจะเอาไฟมาแยงตูดเข้าแล้ว ยังไม่รู้สึกอยู่หรือ

3.     ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์เป็นเพียงม็อบที่ปลุกระดมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ โดยน่าสงสัยว่ามีเป้าหมายที่รับใช้ใครคนใดคนหนึ่ง     ที่มีเป้าหมายใฝ่ใหญ่โตทางการเมือง  หรือเพื่อให้พ้นจากคดีที่มีผู้ฟ้องร้องทั่วประเทศ   เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีสถาบัน  ไม่ใช่สถาบัน ไร้สังกัด  หลอกลวงประชาชนเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ไป ได้คืบจะเอาศอก  ได้ศอกจะเอาวา ไม่มีใครรู้เป้าหมายที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง  บัดนี้ฝ่ายม็อบกล้าแข็งจนถึงกล่าวคำว่ารัฐบาลไม่มีเกียรติพอที่จะเจรจากับม็อบ นั่นคือการดูหมิ่นสถาบันประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลเป็นสถาบัน  สภาผู้แทนราษฎรเป็นสถาบัน  และ กกต.จะทราบหรือไม่ว่าเป็นการดูหมิ่น กกต.ด้วย เพราะ กกต. เป็นสถาบันที่รับรอง การเลือกตั้ง  ในขณะที่ประกาศว่าจะชุมนุมอย่างสงบและสันติ แต่ปากกล้า ท้าทาย ด้วยคำพูดโตใหญ่ อวดฤทธิ์อวดเดช  เตรียมตัวเองอย่างเตรียมกองทัพ  ประกาศการต่อสู้เรียกร้องว่าเป็นสงคราม และนี่เป็นสงครามครั้งสุดท้าย  ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊งแล้ว   และทางรัฐบาลก็ปล่อยให้ฝ่ายม็อบสามารถใช้สื่อปลุกระดมมวลชนได้ตลอดเวลา 24 ชม.โดยสื่อที่ถ่ายทอดไปได้ทั่วโลก พวกเขาสร้างความเลื่อมใสให้แด่ประชาชนในวงกว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมีระบบ  แต่รัฐบาลกลับปิดปากเงียบไม่โต้ตอบ นอกจากนั้นรัฐบาลยังยับยั้งขบวนการที่คิดจะโต้ตอบ ที่คิดแก้ข้อกล่าวหาของพวกม็อบอีกด้วย  คนก็ยิ่งไม่รู้ความจริงมากขึ้น เพราะไม่มีข่าวสารที่เป็นความจริงออกมาจากฝ่ายรัฐบาล  คนก็เชื่อฟังข่าวสารการโฆษณาชวนเชื่อมากยิ่งขึ้น ขณะนี้สถานการณ์ม็อบคือถูกปั่นหัวให้หมุนติ้วไปตามลมปากของผู้นำ สุดแต่จะสั่งให้ไปไหน แม้สั่งให้ไปตาย ก็ยอม   

4.       ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยมีปัญหาใหญ่ที่เผชิญอยู่คือปัญหาเศรษฐกิจ  การจัดการกลุ่มม็อบไม่น่าจะยากเย็นอะไรนัก แต่ต้องสลายไปเสียก่อน เพื่อที่จะรีบเร่งแก้ไขปัญหาอันใหญ่โตมโหฬารคือปัญหาเศรษฐกิจ  รัฐบาลไม่จำเป็นต้องคิดเจรจากับม็อบที่ก่อกวนเมืองมาตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลอีกต่อไป  เพราะบัดนี้ฝ่ายม็อบได้ประกาศอย่างแน่ชัดแล้วว่าพวกเขาจะไม่มีการเจรจากับรัฐบาล เขาเองบอกว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี นั่นก็คือ การกล่าวว่ารัฐบาลไม่มีเกียรติพอที่จะเจรจากับพวกเขา พวกม็อบ นั่นคือการดูหมิ่นสถาบันประชาธิปไตยไปอย่างสุด ๆ   ประชาชนไทยทั่วไปก็คงจะเข้าใจดีว่า เพราะรัฐบาลเป็นสถาบัน  สภาผู้แทนราษฎรเป็นสถาบัน  โดยมี กกต. ซึ่งเป็นสถาบันตามรัฐธรรมนูญ เป็นสถาบันที่รับรอง  จึงควรรีบจัดการเสียโดยเร็ว โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องฟังความเห็นประชาชนอีกครั้ง เพราะการที่ได้เป็นรัฐบาลหมายถึงการได้รับมอบหมายจากประชาชนมาแล้ว ประชาชนที่เลือกท่านกำลังคอยดูอยู่ว่าท่านจะทำหน้าที่รักษาประชาธิปไตยอย่างไร  ท่านจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างไร และรักษาตัวเอง ในฐานะสถาบันของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอย่างไร    ขอบคุณครับ บก.

 

จากแดนอีสานใต้

บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์

30 พ.ค.2551/ 02.00 น.


 

 

 

 

 

 


 

 

 

 36 บันทึกประเทศไทย 1

เป้าหมายของขบวนการสนธิ–จำลอง คืออะไร?

 

แน่นอนทีเดียว เป็นเรื่อง ลับ ลวง พราง  มุ่งหมายใช้วิธีการปลุกระดมมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ประชาชนตามไม่ทัน และเป้าหมายที่แท้จริง คือการล้มล้างรัฐบาล ตามที่5แกนนำได้ประกาศให้ยกระดับการต่อสู้ไปสู่การขับไล่รัฐบาล  ซึ่งคำว่ารัฐบาลนี้เป็นคำลับ ที่พรางความหมายเอาไว้  เพราะโดยแท้ที่จริงหมายถึงทุก ๆ รัฐบาลที่ขึ้นมาปกครองประเทศ หากการเลือกตั้งคราวหน้า  แม้ว่าประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล กลุ่มสนธิ-จำลองนี้ ก็จะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์    ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน ฉะนั้นแม้ขณะนี้จะเห็นว่าภาระของเขาคือ  ล้มล้างรัฐบาลสมัคร  แต่ก็ได้ซ่อนความหมายของทุก ๆ รัฐบาลถัดไป และเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ก็คือ ความทะเยอทะยานทางการเมืองไปอย่างสูงสุด  โดยมีเป้าหมายที่ การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย  (เขาซ่อนความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงให้เป็นระบอบสาธารณรัฐ  มีนายตั๊บ แซ่ลิ้ม เป็นประธานาธิบดี) 

 

ในเชิงการใช้เหตุผลทางวิชาการอันเป็นสากลของประเทศประชาธิปไตยแล้ว  เป้าหมายนี้ใช่ว่าจะนำมาคิดตรึกตรองกันไม่ได้  เมื่อยึดผลประโยชน์และความสุขของประชาชนเป็นหลัก แต่ในกรณีประเทศไทย ท่านไม่สามารถจะทำได้  แม้กระทั่งการที่จะคิด เพราะความมุ่งหมายทางการปกครองของประชาชนทุกยุคทุกสมัยแห่งประชาธิปไตยไทยถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ที่บัญญัติไว้แน่นอนลงตัวในมาตรา 2 ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ดูมาตรา2ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 และ พุทธศักราช 2550 ซึ่งมีข้อความเดียวกัน)     นั่นคือ ความจริงที่ว่า  ประชาชนไทยได้ข้อยุติลงอย่างหนักแน่นไม่คลอนแคลนแล้วในเรื่องเป้าหมายของการปกครอง   นั่นคือ  ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข    และจะไม่มีการเสนอระบอบอื่นใดนอกไปจากระบอบนี้ การเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยไทย โดยนายตั๊บ แซ่ลิ้ม(สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง)เป็นประธานาธิบดี จึงไม่อาจมีขึ้นได้


เพราะฉะนั้น เมื่อกลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ มาพูดขึ้นว่าการต่อสู้จะไม่มีวันยุติ
จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย  และประกาศอย่างกร้าวแกร่งแข็งข้นว่า ไม่มีการเจรจาอีกต่อไป เพราะ รัฐบาลไม่มีเกียรติพอจะเจรจากับฝ่ายม็อบ  นั้น จึงเป็นแนวทัศนะที่ขัดวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน  และนายตั๊บ แซ่ลิ้ม ลูกเจ๊กลูกจีน(คำว่าลูกเจ๊กลูกจีน เป็นคำพูดของเขาเอง) ไม่มีสิทธิ์คิดฝันถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอีกต่อไป เพราะคนไทยรู้ทันหมดแล้ว

 

  • สุไหงปาดี
    6 มิ.ย. 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 37 บันทึกประเทศไทย 2

พลังสีขาวอันบริสุทธิ์ ต่อต้านสงครามปาก

 

บัดนี้ เป็นที่น่ายินดีว่า ได้มีพลังของเยาวชน นิสิต นักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย พร้อมคณาจารย์ ได้ออกมาแสดงสัญลักษณ์สีขาว อันบริสุทธิ์ ที่สื่อความหมายไปถึงสันติภาพ โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอย่าได้ใช้วิธีการรุนแรง  มีสิ่งที่น่ายินดีเป็นพิเศษก็คือ  บัดนี้ทุกคนเข้าใจความหมายของคำว่า  รุนแรง  นั้น  หมายความรวมถึง การใช้คำพูดที่รุนแรง ที่ยั่วยุ หยาบคาย ที่ถากถาง ดูหมิ่นเยาะเย้ย คนอื่นด้วย เพราะการทำร้ายด้วยวาจามิต่างจากการทำร้ายด้วยอาวุธ  และเป็นประเด็นที่ประชาชนไม่ได้เอาใจใส่มาก่อน จึงปล่อยให้ม็อบจำลอง –สนธิ ใช้อาวุธนี้ฟาดฟันคนทั้งหลายมาอย่างเจ็บปวดอยู่ถึงบัดนี้ โดยสังคมไม่ได้มองว่านั่นเป็นอาชญากรรมชนิดหนึ่ง  ที่มีความร้ายแรงพอ ๆ กับการใช้อาวุธ 

เรื่องความผิดทางวาจามี พูดโกหก(เอาเรื่องไม่จริง หรือที่คนไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่จริงมาเล่า)หนึ่ง  พูดคำหยาบ(คือที่มาของคำว่ากุ๊ย)หนึ่ง  วาจาส่อเสียดสับปลับ(คือพูดยุแยกคนให้แตกสามัคคีกัน ไปพูดกับคนหนึ่งว่าอย่างหนึ่ง แล้วไปพูดกับอีกคนหนึ่งว่าอย่างหนึ่ง ทำให้เขาเข้าใจกันผิดและแตกกัน  เรารู้ดีจากเรื่องวัสการพราหมณ์ที่ไปยุแยกกษัตริย์ลิจฉวีให้แตกกัน นั่นเอง )หนึ่ง  และวาจาเพ้อเจ้อ(คือวาจาที่ไร้เหตุผล ฝันหวาน)หนึ่ง ถือว่าเป็นความบาป ชั้นพื้นฐานของสังคมมนุษย์ เป็นเหตุของการทะเลาะวิวาท และการแตกแยกของสังคม


ซึ่งพล.ต.จำลองศรีเมือง  ลูกศิษย์เอกของโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก หรือ สนธิ ลิ้มทองกุล (นายตั๊บ แซ่ลิ้ม) ผู้ประกาศตนว่าเป็นสานุศิษย์เอกของหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน วัดบ้านตาด(ไม่ทราบว่าหลวงตารับเป้นศิษย์เอกจริงหรือไม่ สงสัยแอบอ้างมากกว่า ตาบัวหรือจะรับคนเยี่ยงนี้เป็นสานุศิษย์)  ก็คงเข้าใจดี รู้ว่ามีโทษสถานใด  ฉะนั้น จึงขอให้ประชาชนทั้งหลายเอาใจใส่กลุ่มสนธิ-จำลอง ที่เคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชน โดยการใช้วาจาเป็นอาวุธ ทิ่มแทง ฟาดฟันคนอื่นที่เป็นเป้าหมายการทำร้ายของพวกเขามาโดยตลอด  ว่านั่นเป็นการประกอบอาชญากรรมชนิดหนึ่งที่ร้ายแรงพอ ๆ กับการใช้อาวุธ  
เราหวังว่าจะมีการมองด้านความผิดทางวาจา และร่วมต่อต้านและลงโทษผู้ทำความผิดทางวาจาในสังคม เพิ่มมากขึ้น

 

  • สุไหงปาดี
    7 มิ.ย. 2551

 

 

 

 

 38บันทึกประเทศไทย  3

มาแล้ว อารยะขัดขืน
วจีธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย


อารยะขัดขืน วจีที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้เป็นสานุศิษย์เอกหมอบราบกราบกรานรับเอามาจากโพธิรักษ์เจ้าสำนักสันติอโศก มาให้นายตั๊บ แซ่ลิ้ม
(สนธิ ลิ้มทองกุล)  ศิษย์เอกที่หลวงตามหาบัว วัดบ้านตาด รักและเป็นห่วงมากดังลูกในอุทธร  รับนำไปปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยต่อไป   อารยะขัดขืน ไม่มีคำอธิบาย  ต้องรอให้ท่านอารยะโพธิรักษ์มาอธิบายเอง  แต่ทางปฏิบัติให้ขัดขืน ไม่ให้เสียภาษีแก่รัฐบาล, ไม่ทำงานตามปกติ,  ไม่ให้เชื่อฟังคำสั่งรัฐบาล ฯลฯ นั้น  จะเป็นอารยะได้อย่างไร ? และเมื่อขัดขืนไม่ทำงานแล้วจะเอาเงินเดือนหรือเปล่า?   ในความหมายของคำภาษาไทยคำหนึ่ง  อารยะ หมายถึงผู้เจริญ แต่ในทางศาสนา โพธิรักษ์คงหมายถึง อริยะ คือ ความหมายถึงผู้ที่บรรลุมรรคผล คือ อริยบุคคล ละกระมัง ? เพราะโพธิรักษ์นี้เชื่อว่าตนเองบรรลุธรรมเป็นพระอริยะบุคคลชั้นโสดาบันแล้ว  นั่นเอง   จึงเป็นการขัดขืนแบบโสดาบันละกระมัง  น่าจะให้พระโสดาบันโพธิรักษ์ มาอธิบายหน่อย

 

บุษบา บุณเสฏฐ์

9 มิ.ย. 2551

 

 

 

 

 

 

 

 39.  บันทึกประเทศไทย 4

สงครามครั้งสุดท้ายของม็อบ สนธิ-จำลอง- ประชาธิปัตย์
ASTV1, 14 มิ.ย.2551

 

ภาพที่เห็นวันนี้ เสาร์ที่ 14 มิ.ย. 2551 ชนที่มาชุมนุมดูด้อยไป เมื่อเปรียบกับเสรีชนช่อง 5 รายการเวทีไท เวลาเดียวกัน นำโดยจินตหรา พูนลาภ ที่มหาชนมาอย่างล้นหลาม เต็มพะลานและร่าเริงเป็นอิสระ เบิกบาน สบายและเสรีดุจนกบนฟ้า  เทียบกันไม่ได้เลย

 

ฟังจากวาจา คำพูด และท่าทางที่ใช้ประกอบการพูดของสนธิ ลิ้มทองกุล(นายตั๊บ แซ่ลิ้ม) บนเวทีม็อบกวนเมืองกลุ่มนี้ วานนี้ถึงวันนี้นั้น  มีความรุนแรงจริง ๆ  คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยค เปรียบดุจดังอาวุธปล่อย  ออกไปดังห่าฝน  แต่กระนั้นกลับปรากฎว่าห่ากระสุนของม็อบ หว่านไปทั่วอย่างสะเปะสะปะ พวกเขาด่าคนทั้งแผ่นดิน  ใครทำอะไร ๆ ไป ไม่มีเลยที่จะถูกใจพวกเขา ย่อมมีแต่ข้อตำหนิติเตียนไปทั้งสิ้น อุปมาเสมือนสุนัขบ้า[Mad Dogs]น้ำลายฟูมปากเทียวกัดไปทั่วไม่เลือกหน้า  พวกเขาพยายามโจมตีผู้นำของประเทศไทย และบุคคลที่เข้มแข็ง อย่างถี่ หวังยั่วยุ ให้หงุดหงิด ก่อกวนทางอารมณ์จิตใจ ไม่ให้สงบลงให้ได้ แล้วยังมุ่งหมายให้ร้ายต่อเครดิต คือความน่าเชื่อถือของประชาชนต่อรัฐบาล และเพิ่มพูนความโง่งมงายหลงผิดลงไปในประชาชนหน้าเวทีของเขา   ว่าพวกเขาคือวีรบุรุษสงครามอย่างห้าวหาญที่สุดแห่งยุคนี้

และนี่คือสงคราม ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ประกาศอย่างหลงไหลเพ้อเจ้อว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของเขา ซึ่งการประกาศนี้ แท้จริงเป็นวาจาที่เชื่อถือไม่ได้  เพราะสงครามครั้งสุดท้าย โดยธรรมะ ย่อมหมายถึงสงครามผ่านสู่ด่านอรหันต์ นั่นคือพระอรหัตมรรค อันล้ำเลิศประเสริฐ และย่อมเป็นโลกุตตระ ใช่ว่ามุ่งหมายอย่างอามิสในโลกอันต้อยต่ำ ซึ่งเขาย่อมไม่ทราบความหมาย ว่าสงครามครั้งสุดท้ายนั้น หมายถึงอะไร   จึงเป็นการเพ้อเจ้อ และอวดอุตริมนุสสธรรม ไปอย่างสุด ๆ ด้วยเขลาและอวิชชา ย่อมเป็นจตุตถปาราชิก (ปาราชิกข้อที่ 4) ฝ่ายฆราวาส


และในความหมายทางโลกเองสงครามเช่นที่ม็อบทำอยู่นี้ เป็นสงครามที่ไม่มีความเป็นนักรบเลย ไม่มีความยุติธรรมตามระบอบของนักรบทั้งหลาย เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า  จริยธรรมแห่งสงครามอยู่ในหมู่พวกม็อบเหล่านี้เลย   เพราะพวกเขาต่อสู้ด้วยถ้อยคำที่เยาะเย้ยถากถางหมิ่นแคลนนักรบด้วยกัน ไม่มีคำว่าให้เกียรติแด่ศัตรูอยู่เลยแม้แต่น้อย  แม้แค่พฤติกรรมอันบกพร่องข้อนี้ พวกเขาก็ขาดไปแล้วซึ่งความหมายของนักรบ และความเป็นวีรชน  นอกจากนี้ยังใช้ยุทธวิธีการป่าเถื่อน และไร้น้ำใจของนักรบเพราะพวกเขาได้หลอกลวงคนชรา สตรีและเด็กมาใช้งานการโฆษณาชวนเชื่อ และทั้งใช้ผู้หญิง คนชรา เด็ก ๆ เยาวชน แม้กระทั่งเด็กอ่อนในอ้อมอกมารดาที่เขาหลอกลวงมาเป็นเป็นโล่ป้องกันตนเอง  ย่อมหมายถึงความขลาดเขลา ไม่มีความเคารพในนักรบ ในสถาบันแห่งนักรบ คือ ความเป็นนักรบ ซึ่งเป็นจริยธรรมพื้นฐานของการต่อสู้อย่างนักรบ และวีรชน

 

แต่ที่สำคัญที่สุด อันเป็นสุดแห่งอวิชชาของพวกเขาก็คือ ไม่รู้ในสัจธรรมของสงคราม ทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายประกาศสงคราม  เสียงโห่ดุจเสียงร้องไห้   และธรรมดา เมื่อสงครามสิ้นสุดลง นักต่อสู้อย่างป่าเถื่อนย่อมได้รับการกำจัดไปอย่างเกลี้ยงเกลา   เรียบและราบดั่งหน้ากลองเพล  แต่นักรบแห่งคุณธรรมย่อมได้รับการปลดปล่อย    และลิงโลด

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งเน้นลงไปว่า การณ์ย่อมเป็นไปตามธรรมดา  ภายหลังสงคราม  นักสู้ป่าเถื่อนย่อมถูกกำจัดไป นักรบผู้มีจริยธรรมแห่งนักรบ ย่อมได้รับการเชิดชูไปชั่วฟ้าดินสลาย 

 

ซึ่งย่อมจะมาถึงในวันหนึ่ง  อย่างแน่นอน!!!

  

 

  • ทองเด็ด ม้วน  ทองอุไร
    ห่งอีสานบน
    15 มิ.ย. 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

  40  ศรีสะเกษ

การประชุมเสวนาของประชาชนวิเคราะห์กรณีเขาพระวิหาร
และนัดหมายการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อผลักดันรัฐบาล
 

 

มีการประชุมคณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ(คปส.)เสวนาเรื่อง ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกจังหวัดศรีสะเกษได้เสียอะไร ในวันที่ 15 มิถุนายน 2551 ณ หอประชุมบริษัทนิววิทยาเซนเตอร์ สะพานขาว อ.เมือง จ. ศรีสะเกษ  โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น. ไปจนถึงเวลา 14.00 น. ในการประชุมนี้ นายทิวา รุ้งแก้ว ประธานคณะกรรมการประสานงานฯ ได้อาราธนานิมนต์พระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กลฺยาโณ) เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ไปเป็นองค์บรรยายนำเรื่อง  กรณีพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร เป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ ๆ ซึ่งองค์บรรยายได้กล่าวสุภาษิตอีสานเตือนใจประชาชนขึ้นก่อนว่า  นุ่งผ้าลายหมาเห่า เล่าเรื่องเก่าคนผิดกัน(คนนุ่งผ้าลายเดินไปตามถนนหมาเห็นมักจะเห่า เรื่องเก่า ๆ แต่หนหลังร้อขึ้นมาพูดคุยกันจะทำให้คนทั้งหลายแตกแยกกัน)  หลังจากนั้นมีการเปิดประเด็นเสวนาสัมมนาเรื่องตามประเด็นหัวข้อที่ตั้งไว้   โดยทางผู้จัดรายการได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ของศรีสะเกษ จำนวน 5 คนขึ้นเวทีเสวนา  ท่ามกลางผู้เข้าประชุมซึ่งประกอบด้วยทนายความ นักกฎหมาย ครูสอนประวัติศาสตร์จากโรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ ประชาชนผู้อาวุโส ในพื้นที่เขาพระวิหาร และนักเรียน จำนวนประมาณ 300 คนเศษ

ที่ประชุมมีการเสนอว่า กรณีเขาพระวิหารยังไว้ใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้  ว่าจะรักษาผลประโยชน์ได้จริง  มีเงื่อนงำเกี่ยวกับผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง เช่นผลประโยชน์ที่เกาะกง และอื่น ๆ  มีคณะบุคคลเดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร ในนามขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ พุทธศักราช 2551ได้เสนอเรื่องราวน่าสนใจและเอกสารแจกจ่ายคือ ความจริงของสถานการณ์ เขาพระวิหารเป็นของเขมร? ซึ่งอ้างว่าเมืองพระตะบอง และเมืองพิบูลสงครามยังเป็นเป็นของไทยอยู่ ตามอนุสัญญาโตเกียว พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) พร้อมระบุว่ารัฐบาลอ่อนแอเช่นนี้ย่อมไม่อาจจะทวงแผ่นดินคืนมาได้   ฉะนั้นประชาชนชาวศรีสะเกษจะต้องเคลื่อนไหวในครั้งแต่อ ๆ ไป โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวและนัดหมายการชุมนุมกันต่อไป  การประชุมในคราวนี้ปรากฏว่าได้เป็นที่สนใจของประชาชนและของสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะแม้ชาวศรีสะเกษบริเวณเขาพระวิหารก็ยังไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับคดีเขาพระวิหาร พื้นที่ทับซ้อน ใครได้ใครเสียอย่างไร ระหว่างกัมพูชากับไทย และการดำเนินการของรัฐบาลดำเนินการไปอย่างไรบ้าง

 

  • 001 รายงาน

โปรดดู อัลบั้มรูปท่องเที่ยวเขาพระวิหารวันนี้ คลิก>>>>>>>

 

 

 

 

 

 

 

 

 41.    นายนภดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศออกรายการชี้แจง
ปัญหากัมพูชานำเขาพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลก

 

นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ไปออกรายการ ถามจริงตอบตรง ของ NBT เมื่อ 17 มิ.ย.2551 เวลา 2030 น. มีนายจอม เพชรประดับ เป็นผู้ดำเนินรายการ   เป็นการคลายข้อสงสัยของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะประชาชนชาวศรีสะเกษ ว่าไทยจะเสียแผ่นดินที่ทับซ้อนให้แก่กัมพูชา  นายนพดลได้ชี้แจงว่า  เนื่องจากศาลโลกได้ตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาในปี 2505 แล้ว เราต้องยอมรับการตัดสินของศาลโลก เดิมกัมพูชาคิดจะเอาพื้นที่ส่วนที่เป็นปราสาทเขาพระวิหาร รวมกับส่วนที่เป็นเขตทับซ้อนไทย- กัมพูชา ซึ่งมีเนื้อที่ 4.6 ตร.กม.ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ไทยจึงได้ทักท้วง และทางกัมพูชายอมรับฟังโดยเปิดการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา ขึ้นที่กรุงปารีสโดยฝ่ายไทยมีนานนพดล ปัทมะ เป็นผู้ไปเจรจาเอง  และขอให้กัมพูชานำเอาเฉพาะส่วนที่เป็นปราสาทเขาพระวิหารซึ่งเป็นของกัมพูชาไปจดทะเบียนเป็นมรดกโลก  ตามแผนที่สีม่วง ซึ่งส่วนนี้เป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก และอย่าเอาส่วนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนตามแผนที่สีเขียว เพราะเป็นพื้นที่ที่เป็นปัญหาระหว่างประเทศทั้งสองอยู่  กัมพูชาก็ตกลง และนำเอาแผนที่ไปเขียนขึ้นใหม่ และได้ส่งแผนที่ให้ ไทยในวันที่ 13 มิ.ย.2551  ไทยได้ให้กรมแผนที่ทหาร ไปตรวจสอบ  กรมแผนที่ทหารไปตรวจสอบที่เขาพระวิหารแล้วยืนยันว่า ไม่มีแม้แต่ตารางเซนติเมตรที่รุกล้ำเขตไทย  ส่วนที่กัมพูชาจะเอาไปขึ้นเป็นมรดกโลกเป็นปราสาทเขาพระวิหาร ส่วนที่ศาลโลกตัดสินให้เป็นของกัมพูชา  และวันนี้ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติเห็นชอบแผนที่กัมพูชาส่วนที่จะเอาไปยื่นยูเสโกเพื่อเป็นมรดกโลก   ส่วนปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ทาง รมว.ต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ได้ตกลงกับกัมพูชาว่าจะทำการเจรจากันภายใน 2 ปี  โดยตกลงกันให้แล้วเสร็จและส่งผลการเจรจาให้ยูเนสโก ในเดือน ก.พ. 2553  ซึ่งมีเวลาที่จะเจรจาอย่างรอบคอบ และรับรองว่าไม่มีฝ่ายใดเสียแผ่นดิน  นายนพดลกล่าวว่าจะได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ทับซ้อนให้ทราบใน 2-3 วันนี้ ขอให้ประชาชนอดใจรอคอย

 

  • 001 รายงาน



 

 

 

 

 42.  มองตรงมองจริง ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์

สนธิ ลิ้มทองกุล คือบ่างช่างยุ ตัวอันตรายของประเทศชาติ

 

พราหมณ์ผู้เดียวรับใช้ไปยุแหย่  

สาระแนยุแยกให้แตกฉาน 
ครั้นถึงคราวศัตรูจู่ไปราน 

         มัวเกี่ยงกันเสียการเสียนคร  

พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ที่เตือนจิตเตือนใจคนไทยมาเนิ่นนานให้ระวังคนที่ยุแหย่ หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อและโกหกพกลมเพื่อหลอกลวงคนทั้งหลายให้เกิดแตกความสามัคคีธรรมกันทั้งประเทศ  นั่นคือ วาสการพราหมณ์ในอดีต และองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเป็นอุทาหรณ์ สำหรับมองอันตรายทางวาจา   พอมายุคนี้ขณะนี้ดูละม้ายเหมือนขบวนการม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ที่กระทำการปลุกปั่นประชาชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมีระบบ ให้กระด้างกระเดื่องต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องเพราะกระหายอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้พ้นไปจากระบอบปัจจุบัน เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยไทย โดยมีนายตั๊บ แซ่ลิ้มเป้นประธานาธิบดี คนแรก   

 

แผนการใช้วาจาเป็นอาวุธของนายตั๊บจึงหนักหน่วง โดยมุ่งหมายก่อเกิดความแตกแยกในแผ่นดินไทย เป็นสองฝักสองฝ่ายให้ได้ เขาเน้นคนทุกสถาบันให้เลือกฝ่าย    และท้ายที่สุดเขาได้ทำการยุยงทางวาจา เพื่อให้เกิดการระแวงกันเองของกกต. 5 คน โดยทำการประณามอย่างองอาจ ซึ่งหน้า ณ อาคารที่ทำการ กกต.เลยทีเดียว ว่า มีกกต.3คนรับสินบน ทำการช่วยเหลือพรรคพลังประชาชนให้ได้เป็นรัฐบาล และกีดกันพรรคประชาธิปัตย์ให้พลาดโอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาลไปอย่างน่าเสียดาย  เขาแยกกกต.ไปตามลมปากของเขาว่ามีกกต.ฝ่ายดี 3 คน และกกต.ฝ่ายชั่ว 2 คน   ฝ่ายดีคือพวกที่เข้าข้างเขา 3 คน  และฝ่ายชั่วคือพวกเข้าข้างรัฐบาล 2 คน  และกกต 2 คนที่เข้าข้างรัฐบาลเป็นพวกหลงผิด จะต้องกำจัดออกไป 

 

นี่คือข้อกล่าวหาอย่างไร้หลักฐาน เป็นการอุกอาจหมิ่นแคลนสถาบันสูงสุดของประชาธิปไตย ต่อหน้ากกต.โดยตรง ซึ่งแน่นอน ได้กลายเป็นหลักฐานที่ผูกมัดลงโทษตัวเองต่อไปของ สนธิ ลิ้มทองกุลอย่างหนาแน่น  และล่าสุดยุแยกให้ไทย-กัมพูชาแตกทางพระราชไมตรีกันระหว่างประเทศ โดยกรณีเขาพระวิหาร  นั่นเป็นความพยายามที่ชั่วร้ายที่ให้ร้ายแก่ประเทศชาติและประชาชนไทย ซึ่งประชาชนไทยน่าจะได้มาพิจารณากันอย่างมีสติต่อบทบาทของคนผู้นี้  

 

สถานการณ์วันนี้ เมื่อมองไปที่ประชาชนผู้ที่ถูกหลอกลวงมาเป็นม็อบต่อต้านล้มล้างรัฐบาล หรือ เป็นนักรบแห่งสงครามครั้งสุดท้ายของนายตั๊บ แซ่ลิ้มผู้นี้แล้ว น่าสงสารและน่าสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง ซึ่งประชาชนไทยทั้งหลายต้องช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรจะช่วยพาประชาชนผู้หลงผิดออกมาเสียจากห้องอบรมโฆษณาชวนเชื่อของม็อบกลุ่มนี้ คือถนนราชดำเนินโดยเร็ว  เพราะในความเป็นจริงแท้มหาวิทยาลัยราชดำเนินก็คือ มหาวิทยาลัยเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองประชาชน ให้เห็นถูกเป็นผิด และเห็นผิดเป็นถูก หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว  โดยทำการอบรมล้างสมองประชาชนตลอดวันตลอดคืน แม้ถูกธรรมชาติลงโทษโดนฝนกระหน่ำทั้งวันทั้งคืนแต่เขาก็หลอกลวงประชาชนว่าเป้นการทดสอบ และเป็นการได้คะแนน แต่แท้จริง แผนของสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแผนหลอกลวงหลอกใช้ประชาชน โดยหวังว่าเมื่อสามารถหลอกลวงประชาชนมาร่วมชุมนุมได้มากพอแล้วมีมวลชนออกมาร่วมชุมนุมตากแดดตากฝนภายใต้การสั่งการของเขาเป็นแสนเป็นล้านคนแล้ว  รัฐบาลนี้ก็อยู่ไม่ได้ ทักษิโนมิคอันกร้าวแกร่งก็ต้องยอมพ่ายแพ้  ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเขาทุกอย่าง

 

นี่คือแผนการเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย  ที่ง่าย ๆ แค่นี้เอง   นายตั๊บ แซ่ลิ้มก็จะได้เป็นประธานาธิบดี คนแรกของสาธารณรัฐไทย

นึกดูแล้ว มีความหวังอยู่ที่สถาบันแห่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และประชาชนไทยทั้งสิ้นพากันตระหนักให้หนักแน่นไปกว่านี้สักหน่อย ว่า นี่คือรัฐบาลและรัฐสภา และสถาบันทั้งปวงนั้นเป็นตัวแทนของประชาชน โดยประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งขึ้นสู่อำนาจ โดยมีเป้าหมายเพื่อการจัดการบริหารประเทศไทยไปตามความปรารถนาของประชาชนผู้เลือกเขาเข้าไปเป็นรัฐบาล เป็นผู้ตรวจสอบรัฐบาลในรัฐสภา  และเป็นสถาบันตัวแทนของประชาชนทั้งหลาย   และสถาบันทั้งหลายของประชาชน นับแต่รัฐบาลเป็นต้น ถึงสถาบันทั้งหลายมีหน้าที่ต้องทุ่มเทการปกป้องคุ้มครองรักษาประชาธิปไตยไว้อย่างเป็นหน้าที่อันจำเป็นสูงสุดของระบอบประชาธิปไตย   ตามที่รัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดได้ให้อำนาจไว้  และที่สำคัญรัฐบาลย่อมตระหนักในหน้าที่ของตนที่ต้องดำเนินการทุกประการเพื่อรักษาปกป้องคุ้มครองสถาบันประชาธิปไตยทุกสถาบันให้ยั่งยืน ปราศจากอันตรายที่มาย่ำยีโดยทุกประการ

 

และแน่ละ การกำจัดบุคคลผู้ทำผิดทางวาจา เป็นบ่างช่างยุ เพื่อให้ประชาชนไทยแตกความสามัคคีกันทั้งประเทศ ก็ย่อมจำเป็น  และย่อมจะมองละเลยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

 

·         สุไหงปาดี

            18 มิ.ย. 2551

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 43 โอวาทของท่านปัญญาธโรภิกขุ
ต่อเหตุการณ์ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2551 

 

น่าจะพอแล้ว

น่าจะมาคิดทบทวนดูการกระทำและเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตราบถึงเมื่อวานนี้

เพื่อการตั้งสติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์

 

การเห็นคนไทยด้วยกันเองเกลียดชัง ด่าทอกัน ยกพวกเข้าห้ำหั่น เข่นฆ่ากัน อย่างนองเลือดนั้น เป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินกว่าที่จะอภัยให้แด่ชีวิตตัวเองทั้งชีวิตนี้

เป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินที่ชาวไทยคนหนึ่งจะยอมรับได้  สำหรับประชาชาติไทยในวันนี้

 

และโชคชะตาหรือแท้จริง คือสามัญสำนึกอันลึกซึ้งของชาวไทยผู้มีศาสนาเป็นสรณะ ได้ให้โอกาสแด่ประชาชนไทย จึงได้ผ่านเหตุการณ์มาอย่างน่าตื่นระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2551

 

มาเริ่มต้นกันใหม่เถิด

ด้วยความรักสามัคคีกัน
และร่วมในการต่อสู้กับศัตรูตัวร้าย ซึ่งเป็นศัตรูตัวจริงของพวกเราทั้งหลาย
ขอให้เราคืนมาสู่สติอันสมบูรณ์

และพิจารณาการกระทำของเราเองอย่างมีวิจารณญาณอันละเอียดอ่อนสุขุม
ว่า  แท้จริง เรายังมีข้าศึกศัตรูที่ร่วมกันอันยิ่งใหญ่

มิใช่ข้าศึกศัตรูที่ต้องต่อสู้ทางการเมือง เพื่อแก่งแย่งอำนาจ

มิใช่การต่อสู้เพื่อเอาชนะคะคานกัน

มิใช่เพื่ออะไรทั้งสิ้นที่พวกเราคิดไปอย่างหลงผิด

แต่เราต้องร่วมกันต่อสู้กับความยากความจน  ต่อสู้กับภัยร้ายของธรรมชาติ  ต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจ  ที่ต้องร่วมกับประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก

และเพื่อชาวไทยทั้งหมดอยู่ร่วมกันไปได้อย่างดี และมีความสุขเพียงพอตามอัตตภาพ

 

แค่นี้ ก็เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว และเป็นศัตรูของเราที่โตยิ่งใหญ่เหลือเกินอยู่แล้ว

เพราะเป็นศัตรูซึ่งไร้ซึ่งความอภัย ไร้จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์
ถ้าเรามัวแต่ต่อสู้กันเอง มองคนไทยด้วยกันเองเป็นศัตรูกัน แยกฝักแยกฝ่ายกันต่อสู้ห้ำหั่นกันเองแล้ว

 

นั้นย่อมเหมือนกวางตัวน้อยในป่าใหญ่ ที่โกรธเกลียดชัง ทะเลาะต่อตีกันเอง
และมีเสือใหญ่เฝ้ามองอยู่
  ก็ยิ่งจะเป็นเหยื่อของศัตรูอย่างง่ายดาย

 

ฉะนั้น จงพากันคืนสู่สติ มาคิดดูให้ดี ๆ

และอย่าได้จองเวรกันต่อไปอีกเลย

 

  • ปัญญาธโรภิกขุ
    21 มิถุนายน 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 44 กรณีปราสาทพระวิหาร
ในทัศนะของคนศรีสะเกษแท้คนหนึ่ง

 

เรียน บก. นสพ.ดี

ผมเป็นคนศรีสะเกษแท้จริง ขณะนี้มีอายุเลยเกษียณไปแล้ว  ในวันที่ 15 มิถุนายน พุทธศักราช 2505 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  มีนายถนัด คอมันต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  ปีที่เราเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาโดยศาลโลกที่กรุงเฮก สวิตเซอร์แลนด์ตัดสินนั้น ชาวศรีสะเกษต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะชาวศรีสะเกษมีความคุ้นเคยกับพื้นที่นั้นดุจดั่งบ้านเกิดตนเอง เมื่อถูกตัดสินไปเช่นนั้นเสียแล้วก็เหมือนแผ่นดินแยก เสียบ้านเสียเมืองให้แก่ข้าศึก  ในระยะนั้นระดับประชาชนของทั้งสองประเทศเองก็ไม่ได้เกิดความแตกแยกไปตามการแตกของแผ่นดิน ก็ยังคงปฏิบัติถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนดั่งญาติ 

กระนั้นเราก็มีความทรงจำที่ขมขื่นมาก และมีสิ่งที่เราไม่เข้าใจก็คือ เรื่องทนายความ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหน.พรรคประชาธิปัตย์ ว่าท่านเป็นคนอย่างไร เพราะก่อนที่จะไปว่าความนั้นท่านคุยใหญ่คุยโตเหลือเกิน ให้ความหวังพวกเราไปอย่างสุด ๆ  เราได้อ่านหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวว่าประชาชนไทยอย่าห่วง ให้ร่วมกันบริจาคคนละ1บาทไปสู้ความกับเขมร รับรองชนะแน่ ๆ ซึ่งผมเองได้บริจาคไป 2 บาท โดยหวังว่าจะได้มีส่วนแห่งชัยชนะ ทางทนายความก็มั่นใจมาก และยังใช้วิธีการไสยศาสตร์ไปต่อสู้อีก ว่าทนายฝ่ายนั้นขี้แตกขี้แตนไปแล้ว แพ้เราตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว จนคนหัวเราะงอหงายไปกันทั้งแผ่นดิน พูดขึ้นมาคราวใดก็ยังหัวเราะกันอยู่  แต่เมื่อเสร็จความลง ปรากฏว่าเราแพ้เขา  แล้วทางทนายของเราก็ได้แต่แก้ตัวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แก้ตัวมาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ และร้ายไปกว่านั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังจะมากล่าวหารัฐบาลอื่นเขาว่าทำให้เราต้องเสียปราสาทพระวิหาร อย่างที่นายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ (ส.ส. ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์) พูดในกลุ่มม็อบสนธิ-จำลอง เราจึงไม่เข้าใจว่า ท่านหมายความว่าอย่างไร  แต่สำหรับชาวศรีสะเกษ ความอาลัยอาวรณ์ในปราสาทเขาพระวิหารไม่มีวันจบสิ้น  ชาวศรีสะเกษทุกคนดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่ตรงกันอย่างลึกซึ้ง เป็นความลับในจิตใจของชาวศรีสะเกษทุกคน ที่ว่า วันหนึ่งเราจะต้องเอาของเราคืนมา 

ในปี พ.ศ.2541 ได้มีการร่วมประชุมทำงานของนักปราชญ์-นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ของชาวจังหวัดศรีสะเกษครั้งใหญ่ เพื่อจัดทำหนังสือประจำจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาลขณะนั้น(รัฐบาลนายชวน หลีกภัย) ที่สั่งให้ทุกจังหวัดจัดทำหนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัด ... เป็นการเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนม์พรรษา 6 รอบ ซึ่งผมก็ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการดำเนินงานด้วย  โอกาสนั้นจึงเป็นการรำลึกประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นเกี่ยวกับการเสียดินแดนไทย ปราสาทพระวิหารขึ้นมาครั้งใหญ่ แม้เวลาจะล่วงไป 36 ปีแล้วก็ตาม  และยังมีความคิดกันลึก ๆ ว่า  จะต้องเอาของเราคืนมา   ซึ่งนี่มิใช่การเสแสร้ง แต่เป็นสิ่งที่บาดลึกซึ้งในจิตใจ  โดยเรามองว่า การตัดสินของศาลโลก ไม่มีความเป็นธรรม  ให้ร้ายลำเอียงต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง และเราพาลเกลียดจักรพรรดินิยมฝรั่งเศสอย่างเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว    

แล้วครั้นถึงปี พ.ศ. 2548 จังหวัดศรีสะเกษร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ สภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ  สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ หอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดทำโครงการประชุมสัมมนาทางวิชาการเรื่อง โครงการชำระประวัติศาสตร์เมืองศรีสะเกษในโอกาสจัดงานย้ายศาลากลางเมืองศรีสะเกษครบ 100 ปี ในวันที่ 25-26 มิถุนายน 2548  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและรำลึกในโอกาสย้ายเมืองมาตั้งเป็นจังหวัดศรีสะเกษครบรอบ 100 ปี  โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการประกอบด้วยหน่วยนงานภาครัฐ เอกชน สถาบันอุดมศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ในท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์  หลายหน่วยงาน ซึ่งผมเองก็ได้รับหนังสือเชิญจากนายถนอม ส่งเสริม ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ขณะนั้นให้เข้าร่วมประชุมด้วย  จึงได้พบว่า เมื่อรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ศรีสะเกษขึ้นคราวใด ก็หลีกไม่พ้นเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร    ในการสัมมนาครั้งนั้น เนื่องจากมีนักประวัติศาสตร์จากท้องถิ่นเข้าร่วมประชุมส่วนหนึ่ง ส่วนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับคอมมิวนิสต์บ้านคูซอด และคอมมิวนิสต์สากล และพวกหัวรุนแรงศรีสะเกษ จึงมีข้อเสนอที่รุนแรงมาก ถึงขั้นคิดทำทุกอย่างเพื่อเอาปราสาทพระวิหารคืนมาสู่แผ่นดินศรีสะเกษ ซึ่งแม้นายศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร ที่ได้รับเชิญมาเป็นผู้บรรยายพิเศษ ก็ยังคล้อยตามโดยอ้างหลักการว่า เรื่องประวัติศาสตร์เป็นของท้องถิ่น  ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนในท้องถิ่น  เรื่องนี้จึงอยู่ที่ประชาชนในท้องถิ่น    และล่าสุดก็มีการประชุมเรื่อง กัมพูชาจะเอาปราสาทพระวิหารไปเสนอยูเนสโก เป็นมรดกโลก ในวันที่ 15 มิถุนายน 2551 ตามที่เวบไซต์ของท่านได้นำเสนอไปแล้ว ซึ่งผมก็ได้เข้าร่วมศึกษาและสังเกตการณ์ด้วยเช่นเดียวกัน  ซึ่งต่อมามีประชาชนชาวศรีสะเกษ กลุ่มกันทรลักษ์ศรีสะเกษจำนวนหนึ่ง ไปร่วมกับม็อบไล่รัฐบาลสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ในวันที่ 20 มิถุนายน 2551

ผมอยาจะสรุปว่า  เรื่องราวที่เกิดวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ในส่วนของประชาชนชาวศรีสะเกษนั้น เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจ  และน่าเป็นอุทาหรณ์ว่า  คนเรารักความยุติธรรม  เรามองว่าศาลโลกตัดสินความอย่างไม่ยุติธรรมต่อชาวไทยและชาวศรีสะเกษ จะต้องเอาแผ่นดินของเราคืนมา  จึงน่าที่ทุกฝ่ายที่มองสถานการณ์อยู่ขณะนี้  จะได้เข้าใจ  และอย่าเพิ่งกล่าวโทษประชาชนชาวศรีสะเกษ   ด้วยเหตุผลดังนี้จึงหวังว่าจะได้ใช้สติตริตรองให้จงดีว่าปัญหานี้เป้นปัญหาที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ที่ไม่ควรจะบุ่มบ่าม  และการแก้ปัญหาก็ให้ถือหลักการแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา และมองที่เหตุผลความจริง และความที่จะเป็นไปได้  ว่าการที่เราคิดการที่เราทำนั้นจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้เพียงไร   จะได้ไม่เสียเวลาของชีวิตเราเอง  เวลาของประเทศชาติ

 

·         ศรีสะเกษรำลึก
23 มิ.ย. 2551

 

 

 

 

 

 

 45 ผลการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของ
สภาผู้แทนราษฏร เมื่อ 27 มิย.51

นายยกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช                       280-162-1
นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รอง นายก รมต.+รมว.คลัง       279-161-1
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายก รมต.+รมว.พาณิช 279-161-1
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รมว.มหาดไทย                     279-162-0
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม                     280-162-0
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คมนาคม                      279-162-0
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม                      280-162-0
นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ                      
278-162-1

คะแนนเกณฑ์ ไว้วางใจ 236

 

 

 

 

 

 

 46 ภาพที่เห็นจากสภาผู้แทนราษฎร

ในการประชุมพิจารณารับหลักการ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2552

วันที่ 28 มิ.ย.2551 เวลา 16.00 น.

ส.ส.นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ผมไม่ได้ยอมจำนน แต่ผมขอร้องให้เกิดความเป็นธรรม  ภาคใต้ 14 จังหวัด เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความสำคัญที่สามารถทำรายได้เป็นอันดับ 3 ของประเทศ  นายนิพิฏฐ์ลำดับว่าภาคไหนมีความสำคัญอยู่อันดับ 1-2-3 อย่างไร แต่ไม่ได้เอ่ยถึงภาคอีสาน แต่คนก็ย่อมรู้ว่านายนิพิฏฐ์หมายความว่าอย่างไรในการที่ละเว้นไม่เอ่ยถึงภาคอีสาน  นายนิพิฏฐ์ข่มขู๋รัฐบาลว่าให้จัดสรรงบประมาณ 1.8 ล้านล้านบาทนี้ให้ดี ให้เป็นธรรม  ถ้า 14 จังหวัดได้รับจัดสรรงบไม่เป็นธรรมแล้ว รัฐบาลจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมเลยทีเดียว เขาเอ่ยถ้อยคำอุกอาจว่า  ถ้าผมเป่านกหวีดแล้ว รัฐบาลจะเข้าทำเนียบไม่ได้   จากการอภิปรายของนายนิพิฏฐ์ ส.ส.พัทลุงนี้ ทำให้น่าตกใจน่าคิดว่า ท่าทีเช่นนี้เป็นท่าทีทั้งหมดของส.ส.ภาคใต้ 14 จังหวัดหรือไม่? เพราะย่อมหมายถึงการดูแคลนไปถึงการเมืองอีสาน และแสดงถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ถูกต้องต่อประชาชนชาวอีสานด้วย คำพูดว่า ให้ฟังเสียงนกหวีดจากเขาคนเดียว ถ้าเขาเป่านกหวีดแล้ว รัฐบาลจะเข้าทำเนียบไม่ได้  กรณีที่รัฐบาลเข้าทำเนียบไม่ได้ก็มีอยู่ขณะนี้กรณีเดียว นั่นคือม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ที่ปิดล้อมทำเนียบอยู่ คำพูดของนายนิพิฎฐ์ ก็จะต้องหมายความว่านายนิพิฏฐ์ก็เป็นหนึ่งในแกนนำม็อบตัวแทนประชาธิปัตย์อีกคนหนึ่ง ถ้านายนิพิฏฐ์เป่านกหวีดแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะระดมมวลชนที่เป็นสมาชิกพรรคมาชุมนุมเพิ่มขึ้นหรืออย่างไร? ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะวันนี้ทางม็อบก็รอสัญญาณเป่านกหวีดอยู่   แต่กรณีนี้ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะป็นไปได้ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นกหวีดอาจเป็นสัญญาณตอกโลงลงอย่างสนิทสำหรับการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ในภาคอีสานเลยก็ว่าได้    แต่เราเห็นว่า  การที่นายนิพิฏฐ์ระบุรายได้ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวนั้น  ไม่ถูกต้อง เพราะมีปัจจัยเหตุอย่างอื่นประกอบมากไปกว่าเรื่องรายได้ด้วย  เช่นปัจจัยภัยธรรมชาติ  และการก่อการร้าย ในภาคใต้ ตั้งแต่วาตภัยแหลมตะลุมพุก เมื่อ ประมาณ 40-50 ปี มาแล้ว ภาคใต้เราก็ไม่เคยว่างเว้นจากภัยพิบัติ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นภัยพิบัติประจำปี และหลังสุดก็สินามิ เดือนธันวาคม2547 ซึ่งภัยพิบัติเหล่านี้ได้สิ้นเปลืองงบประมาณของชาติของแผ่นดินไปเป็นอันมากถึงต้องรื้อฟื้นแผ่นดินใต้ทั้งแผ่นดิน   แล้วภาคใต้ก็มีคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะที่พัทลุงนี้เอง ที่มีคอมมิวนิสต์อย่างแรงมาก่อน  แล้วต่อมาก็มีกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่รัฐต้องทุ่มงบเพื่อการแก้ปัญหาอย่างมหิมา ซึ่งแตกต่างจากภาคอีสาน ที่ค่อนข้างสงบ และเราซื่อสัตย์ ไม่เคยใช้ความคิดแบบฉลาดแกมโกงสร้างสถานการณ์ร้าย ๆ ขึ้นเพื่อดึงเงินงบประมาณ จริงอยู่ ภาคอีสานมีรายได้น้อย แต่ภาคอีสานก็มิได้รบกวนงบประมาณมากเหมือนภาคอื่น  เราอยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงตามทฤษฎีของในหลวง  นายนิพิฏฐ์พูดอย่างนี้จึงเหมือนคนเนรคุณประชาชนไทยทั้งประเทศที่คอยช่วยเหลือท่านในคราวได้รับภัยพิบัติ (ลองพิจารณากรณีแหลมตะลุมพุก-และสินามิ ก่อนนะครับ ว่าใครมาช่วยท่านบ้าง แม้รัฐบาลอเมริกายังส่งบุชกับคลินตั้นมาดูเหตุการณ์เลย เพียงแต่รัฐบาลทักษิณขณะนั้นไม่อยากให้ไทยเป็นหนี้บุญคุณชาติอื่นรัฐบาลอื่น จึงไม่อยากรับความช่วยเหลือเพื่อแสดงว่าไทยช่วยตนเองได้เท่านั้นเอง)  ณ บัดนี้เราเพียงสงสัยว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และประชาชนชาวใต้ ที่เราคิดว่าเป็นมิตรกับเราในระดับประชาชนด้วยกัน จะคิดอย่างเดียวกับนายนิพิฏฐ์คิดหรือไม่ เพราะคิดอย่างนายนิพิฏฐ์คิดเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาและขี้ขลาด และไม่สร้างสรรค์แต่อย่างใดเลย  ท่านไม่เคยรู้สัจธรรมเต๋าเลยหรือว่า ฟ้ามีอายุยืนนาน แผ่นดินก็มีอายุยืนนาน ประเทศไทยก็มีอายุยืนนาน(วรรคนี้ผมว่าเองนะครับ)  วันหนึ่งเมื่อน้ำท่วมแผ่นดินใต้ (เริ่มด้วยปัญหาโลกร้อนมาแล้ว) ท่านจะไปอยู่ไหน ถ้าไม่ไปอยู่ภาคอีสาน การที่ท่านคิดนี้ท่านคิดสั้นแค่หางอึ่ง  แม้ขณะนี้ท่านก็ได้พึ่งพาอาศัยคนอีสานทุกอย่างอยู่แล้ว  แม้ชีวิตตำรวจทหารอาสาสมัครที่ไปต่อสู้เพื่อแผ่นดินใต้ขณะนี้ ก็ล้วนเลือดเนื้อชาวอีสาน อย่าผยองนักเลย กล้านักมักบิ่นนะท่านนะ  ถ้าท่านอยากเป็นรัฐบาลท่านไม่มีทางเลือก นอกจากต้องทำความเข้าใจการเมืองอีสานให้มากกว่านี้ และขอร้องเถิดเพื่อเห็นแก่ประเทศไทยและเห็นแก่สถาบันประชาธิปไตย โปรดอย่าเป่านกหวีดเลย เราชาวอีสานจะไม่ขอร้องอะไรจากท่านเลย รัฐบาลจงทุ่มทุกอย่างของงบประมาณปีนี้ ไปสู่ภาคใต้ เพียงเพื่อให้แผ่นดินสงบ ประชาชนชาวใต้เรามีความสุขเสียที เราก็พอใจและยินดีด้วยแล้ว

 

  • บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
    28 มิ.ย.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 47 ข่าว

คณะสงฆ์เป็นห่วงชาติบ้านเมือง
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสามัคคีและเอื้อซึ่งกันและกันเพื่อช่วยชาติให้รอด

 

คณะสงฆ์ไทยได้แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ในประเทศไทย ได้เตือนทุก ๆ ฝ่ายให้ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทางฝ่ายคณะสงฆ์ขอให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการให้กำลังใจฝ่ายญาติโยมด้วยเนื่องเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤติ ฝ่ายประชาชนลำบากยากอย่างยิ่ง ฝ่ายญาติโยมก็ให้ระวังการแตกแยกทะเลาะเบาะแว้งกันเอง  และระวังการดุด่ากันและกัน ทั้งนี้ เนื่องในการประชุมพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส ตามมติมหาเถรสมาคมที่ 143/2546  จังหวัดในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค 10 สังกัดคณะสงฆ์หนตะวันออก 6 จังหวัด คืออุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, นครพนม, ยะโสธร, มุกดาหาร, และอำนาจเจริญ  ได้จัดการประชุมขึ้น ในระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน 4 กรกฎาคม พ.ศ.2551  ณ ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ตำบลหนองเมือง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระธรรมปริยัติโสภณ เจ้าคณะภาค 10 เป็นประธาน ในการประทานโอวาท เปิดและปิดการประชุมของพระสังฆาธิการจังหวัดศรีสะเกษวันนี้ (วันที่ 25 มิ.ย.2551)
นอกจากนั้นเจ้าคณะชั้นสูงมีพระราชโมลี รองเจ้าคณะภาค 10 ได้เรียกร้องให้หมู่สงฆ์เอาใจใส่ในอาจาระ ในฐานะพระผู้ต้องปฏิบัติธรรมกรรมฐาน โดยเฉพาะพระวิปัสสนาจารย์ ให้ประพฤติตนเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น และรำลึกเป้าหมายของการบวชของพระสงฆ์ทุก ๆ รูป คือการปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพื่อเอาชนะกิเลส  จึงจะเอาตัวรอดและเชิดชูส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้ปรากฏไปในโลก

 

 

 

 

 

 

 

 48   ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์บุกศรีสะเกษ
ยึดเวทีตลาด ถนนคนเดิน

 

ขบวนการม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ส่งชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บุกถึงศรีสะเกษ โดยเปิดการระดมโฆษณาชวนเชื่อที่เวทีตลาด ถนนคนเดิน หน้าสถานีรถไฟศรีสะเกษ ในช่วง19.00 น. 25 มิ.ย.2551 โดยมีพิธีกรท้องถิ่น 2 คนร่วมเปิดรายการ โดยเน้นประเด็นทวงเขาพระวิหารของเรากลับมา ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ มีคนที่รอรถไฟสองทุ่ม พากันมองดูอย่างแปลกใจและสงสัย ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร และคนดูก็หรอมแหรม ไม่ปรากฏว่านายชัยวัฒน์ สินสุวงศ์พูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก  เพราะคนศรีสะเกษสนใจการทำมาหากินและเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า และแท้จริงคนศรีสะเกษก็ยังมีความเป็นมิตรกับประชาชนกัมพูชาอยู่เหมือนเดิม จึงกลับจะไม่ค่อยพอใจการเปิดอภิปรายครั้งนี้เสียอีก ฐานทำให้คนไทย-กัมพูชา และประเทศไทย-กัมพูชา หมางเมินกันและกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 49   บอลยูโร
ถึงรอบเข้าชิงชนะเลิศ

เยอรมันชนะตุรกี 3:2  รอชิงกับคู่ สเปน-รัสเซีย ซึ่งจะดวลกันคืนนี้(26 มิ.ย.2551)

 

  • 001 รายงาน

 

 

 

 

 

 

 

 50 ASTV วันนี้ ภาพอารยะขัดขืนที่เห็นน่าสังเวชใจ
จากรายงานทีวีทั่วไป

4 ก.ค.2551, 07.30 น.

หลังจากที่ศาลแพ่งสั่งให้เปิดช่องทางจราจรถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลกตลอด 24 ชั่วโมง  และให้งดการใช้เครื่องขยายเสียงระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร เวลา 0730 16.30 น. ตั้งแต่วันที่ศาลแพ่งสั่งยกเลิกคำร้องของฝ่ายม็อบที่ขอให้ถอนคำสั่ง ในวันที่ 3 ก.ค.2551 แล้วนั้น

ต่อมาในเย็นวันเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ทำการซักซ้อมความเข้าใจกับม็อบว่าตำรวจไม่มีสิทธิ์รื้อถอนเวทีปราศรัยของฝ่ายตน เพราะมาตรา 69 รัฐธรรมนูญแห่งราชมาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550  ให้สิทธิในการชุมนุมไว้ จะต้องใช้หลักอารยะขัดขืนอย่างเต็มที่ ซึ่ง พล.ต.จำลอง ได้ใช้เวลานานทีเดียวในการซักซ้อมบทอารยะขัดขืนนี้ โดยประชาชนจะต้องเข้าไปกอดเสาเวทีเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ปล่อยมืออย่างเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดใด  โดยเน้นให้สตรีและเด็กไปกอดเสาเวทีเอาไว้ก่อนคนอื่น  เพื่อตำรวจจะได้เจอข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ  ต่อมาเวลาดึก ก็ได้มีการปฏิบัติอารยะขัดขืนกันตามที่ซักซ้อมไว้อย่างพร้อมพรักเต็มที่  พอเห็นตำรวจแวบเข้ามาทุกคนต่างก็เผ่นเข้าไปหาเสาที่ตนจับจองเอาไว้ และปฏิบัติตามที่ซ้อมไว้อย่างเต็มที่  เห็นภาพข่าวในเช้าวันที่ 4 ก.ค.2551 ที่ทีวีเสรีแทบทุกช่องถ่ายทอดออกมาพบว่า บางคนกอดเสาร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่หลับตาปี๋ ดูน่าเวทนา  แต่ตำรวจกลับบอกว่าพวกเขาไม่มีหน้าที่มาถอนรื้อเวทีม็อบแต่อย่างใด เพียงมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้เท่านั้น  เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จะทำการบังคับคดี แต่ก็ได้ถ่ายรูปไว้เพื่อเป็นพยานว่ามีการขัดขืนคำสั่งศาล แม้ว่าจะเป็นการขัดขืนแบบอารยะขัดขืนก็ไม่เป้นเหตุให้พ้นความผิด

จะเห็นว่าประชาชนเหล่านี้ ที่กล้าตาย อาสามาร่วมรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลที่มาโดยชอบตามหลักการและกติกาของระบอบประชาธิปไตย  ร่วมกับแกนนำตัวการคือสุริยะใส-สมเกียรติ์-สมศักดิ์-สนธิ-พิภพ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ นี้ เป็นบุคคลที่น่าเห็นใจ น่าสงสาร เพราะถูกหลอกลวงให้มาชุมนุมในเขตที่ถูกกีดกันทางความคิด แล้วมีการระดมกระบวนการอบรมล้างสมองไปทั้งวันทั้งคืน  พวกเขาไม่มีสิทธิ์เสมอภาคกับประชาชนผู้เป็นเสรีไทยทั้งประเทศ เพราะถูกปิดกั้นข่าวสารกระแสอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง  พวกเขาไม่มีเสรีแม้จะพูดอะไรที่แตกต่างไปจากคำพูดของพวกแกนนำม็อบ  มีแต่ต้องรับฟัง และเอออวยตามอย่างเต็มที่ สุดแต่คำถามนำจะนำไปทางไหน  และยังได้รับการยัดเยียดข้อมูลอันสกปรก ลำเอียงที่เพิ่มความโกรธ เกลียดชัง ด้านเดียวให้ตลอดเวลา เพื่อผลทางพฤติกรรมที่ต่อต้านเกลียดชังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มิต่างจากการใส่โปรแกรมสั่งให้เกลียดชังและให้เข่นฆ่าคนอื่นๆที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเลย

ทำอย่างไร ภาพอันน่าสังเวชนี้ จักหายไปจากสังคมประชาธิปไตยไทยเสียที

 

  • บุษบา บุญเสฏฐ์
    4 ก.ค. 2551

 

 

 

 51 วันนี้มีปัญหา ประเทศไทยจะทำอย่างไร?  

 

 

 

 

 

 

 

 

 53  สนธิ ลิ้มทองกุล วันนี้
ASTV1, 10 ก.ค.2551, 2000 น.
เวทีม็อบถนนราชดำเนิน

 

ขณะที่ครอบครัว พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร พากันชื่นมื่นรื่นรมย์ด้วยการรับขวัญความสำเร็จการศึกษาของลูกสาว น.ส.แพธารทอง ชินวัตร  และขณะที่นิตยสารฟอจน์ ยังประกาศระดับมหาเศรษฐีโลก ซีงมีคนไทยหลายคนและรวมทั้งพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงติดอันดับมหาเศรษฐีโลกอยู่  บนเวทีม็อบถนนราชดำเนินสะพานมัฆวานรังสรรค์ พบสนธิ ลิ้มทองกุล ระบายความคั่งแค้น ความอิจฉาริษยาของเขารุนแรงอย่างระเบิด  ภาพที่เห็นเขาคั่งแค้นเหมือนคนบ้าเสียสติ  เขาตะโกนก้องลงไปสู่หมู่ม็อบที่นั่งสลอนฟังเขาอย่างลูกเล็กเด็กแดงบนพื้นถนนที่เปียกชื้นด้วยฝน อย่างกับว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นถังขยะที่รองรับอารมณ์เคียดแค้นของเขา

ลูกจีนอย่างผม ยังมีชีวิตอยู่ผมต้องเอานายนพดล ปัทมะตายให้ได้  ..... จะไปอยู่ไหนก็ตามผมจะลากคุณมาติดคุกให้ได้.....เจอนายนี่ที่ไหนให้เรียกมันว่าไอ้ขายชาติ  ...ให้มันรู้ว่าเงินทองที่มันได้มามันไม่คุ้ม.....   เขามักมีภาพหลอนที่ฝังใจว่าคนรัฐบาลทำงานด้วยเงินค่าจ้างที่ทุจริต  เขาสวมเสื้อยึดสีขาวมีอักษร  ลูกจีนรักชาติ(น่าจะเป็นลูกเจ๊กรักชาติมากกว่า)……ที่หน้าอกเสื้อ 

 

เหมือนกับที่เคยกล่าวคำอาฆาตจองเวร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไว้ตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยคราวที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจรระยะแรกในหอประชุมธรรมศาสตร์  ว่าเขาจะคอยตามไปดู ไม่ว่าคน ๆ นี้จะไปถึงไหน  เขาจะให้ทีมข่าวของเขาตามไปรายงานอย่างละเอียดทุกแห่งหนที่เขาไปอยู่  ดูว่าคนอย่างทักษิณ ผู้ขายชาติ โกงกิน โกงชาติ  โคตรโกง โกงทั้งโคตร จะต้องพบกับความวิบัติล่มจม เงินที่โกงชาติไปจะต้องวิบัติฉิบหาย  มันเองจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ……

 

วันนี้เขาเริ่มบอกมาตรการกักขละใหม่ ๆ แก่ม็อบว่าให้ถุยน้ำลายใส่หน้าคนโกง คนขายชาติ โดยเริ่มถุยใสนพดล ปัทมะ   คุณเดินผ่านมัน ให้ถุยน้ำลายใส่หน้ามัน ... หรือออกคำ ถุย  ถุย  ถุย   ใส่มัน  (ธรรมเนียมคนจีนรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาเมืองไทยจะ  ขาก...ถุย  กันเป็นธรรมดา)   เขาไม่เพียงระบุอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ  ผู้แสดงสปิริต ลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว พร้อมคำยืนยันว่าตนได้ทำคุณประโยชน์แด่ประเทศชาติโดยได้ปกป้องเขตแดนไทย มิให้สูญเสียแม้เพียงตารางเซนติเมตร    (ตรงกับคำยืนยันของฝ่ายทหาร)    แต่เขาอาฆาตไปถึงรัฐมนตรีทั้งคณะ   เสียงของเขากึกก้องเมื่อระเบิดคำว่า  ..........มันต้องติดคุกตลอดชีวิต สมควรไหมพี่น้อง ........ ทุกคนตั้งแต่นายสมัครลงไป ต้องติดคุกตลอดชีวิต .....

 

นี่คือการปลุกระดมมวลชน โดยหวังเพิ่มพูนความศรัทธาจากประชาชนต่อเขา  และเพิ่มความเกลียดชัง พยายาทอาฆาตจองเวรแด่คนอื่นโดยไม่ชอบธรรม  กระนั้นภาพของสนธิ ลิ้มทองกุลวันนี้ เหมือนดูหมิ่นดูแคลนประชาชน เขาเห็นประชาชนข้างล่างของเวที เป็นที่ระบายอารมณ์อันรุ่มร้อนที่เคียดแค้นพยาบาทฝังใจอันสาหัสฉกรรจ์ของเขาซึ่งเป็นภาพความน่าสังเวชของประชาชนเหล่านั้น

แต่วันนี้ เขามิกล้าเอ่ยออกชื่อคน ๆ หนึ่ง คือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อันลดทอนสถานะวีรบุรุษลูกเจ๊กลูกจีนรักชาติของเขาลงไปเป็นผู้ระย่อระยอบ (เหมือนสุนัขได้กลิ่นสาบของเสือใหญ่)
   แต่กระนั้นวันนี้เขายังไม่ละหันหลังพิงสถาบันกษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่เคารพบูชาของประชาชนไทย  โดยหลักการโฆษณาชวนเชื่อว่า  The Sun Also Rises  (ดวงอาทิตย์ก็พลอยส่องแสงจ้ากับหมู่ดาวทั้งหลายด้วย)

เขาเคยกล่าวคำยุยงส่อเสียด ให้ประชาชนเข้าใจผิดจนเจียนเกิดการแตกแยกอย่างแรงมาแล้ว คราวรัฐบาลทักษิณจัดพิธีกรรมทำบุญประเทศไทยในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)   โดยพูดให้ประชาชนทั่วประเทศตะลึงมาแล้วในยุครัฐบาลทักษิณนั้นว่า นายกรัฐมนตรีไทยกระทำการลบหลู่หมิ่นแคลนพระมหากษัตริย์ เพราะกระทำการเสมอกษัตริย์และเกินไปกว่าที่กษัตริย์ทรงกระทำ  นับแต่สวมรองเท้าเข้าไปในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ในอุโบสถวัดพระแก้ว อันเป็นการกระทำเสมอพระมหากษัตริย์  ไม่ให้ความเคารพด้วยการสวมเสื้อแขนสั้นไปร่วมพิธีกรรม  และจัดที่นั่งของตนทับที่พระมหากษัตริย์  เป็นต้น  จนแทบอลเวงกันไปทั้งประเทศ คนทั้งประเทศแทบลุกขึ้นมาปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งสำนักพระราชวังต้องออกมาอธิบายว่า  การทำบุญประเทศไทยคราวนั้น ทางรัฐบาลจัดพิธีกรรมไปถูกต้องตามแบบแผนประเพณีทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เป็นการดูแคลนพระมหากษัตริย์เลย   จึงสงบลง

 

วันนี้  ในขณะที่สถานการณ์ฝ่ายม็อบได้เปรียบอย่างยิ่ง  เขาจึงมิละเว้นที่จะฉวยโอกาสเอาจากสถาบันกษัตริย์ มายุยงส่งเสริมโดยหวังให้เกิดแตกแยกอย่างเป็นเสี่ยง ๆ ในฉับพลันทันที อีกครั้งหนึ่ง โดยกล่าวว่า  ...... การเมืองกำลังร้อนแรง  กำลังจ้องทำลายพระมหากษัตริย์  ..........คุณรู้หรือเปล่าว่าสถาบันกษัตริย์กำลังอยู่ใต้อันตราย...   เขาจูงจมูกม็อบไปทุกอย่าง  แน่ละม็อบในที่นั่น เชื่อเขาทุกถ้อยคำ  ด้วยผลของการโฆษณาชวนเชื่อล้างสมองม็อบซ้ำแล้วซ้ำอีกในที่นั้นมายาวนานกว่า 45 วันแล้ว

 

วันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล หลวมตัวเบ่งอำนาจคับแผ่นดิน  เขาทำการกล่าวหา และตัดสิน ทุกคน ทุกสถาบันที่เขารังเกียจ ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา  ทุกอย่างผิด และถูกบนปลายลิ้นของเขาแต่เพียงคนเดียว

 

แต่เราเองต้องการความเป็นธรรม และเรารู้ความจริงจึงต่อสู้ เพื่อให้เห็นว่า  สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวอันตรายของประเทศชาติในยุคนี้โดยแท้จริง

เขาคือขบวนการบ่างช่างยุ ผู้ทำลายสามัคคีธรรมของประชาชนไทยทั้งชาติ   และเขาคือขบวนการเข่นฆ่าประชาธิปไตย ผู้ตามล้างตามผลาญสายเลือดประชาธิปไตยไทยมิให้ผุดให้เกิด  เพราะแท้จริง เขาต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อเขาได้เป็นใหญ่ในฐานะ  ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไทย นายตั๊บ แซ่ลิ้ม  ลูกเจ๊กลูกจีนผู้อ้างว่ารักชาติ คนนั้น

 

และวันนี้ เรายังมีความหวังที่ไม่สิ้นสุด กับวิถีทางประชาธิปไตย  เมื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงแข็งแกร่งขึ้นมา ขบวนการบ่างช่างยุนี้ก็จะต้องสิ้นไปทันที

 

สุไหงปาดี
10 ก.ค.2551

 

 

 

 

 

 

 54 การเมืองวันนี้
ฟังเสียงสาวน้อยการศึกษาแค่มัธยมต้นบ้าง

ให้ช่วยสรุปเอาเองนะคะ บก.นสพ.ดี

 

1.    อย่ายุบสภาเลย  ประชาชนเบื่อหน่าย  และเสียเวลาทำมาหากิน  เสียงบประมาณของแผ่นดิน

2.    ให้ตั้งรัฐบาลผสม เอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลด้วย  ทุกพรรคต้องละเลิกความเห็นแก่ตัว   ต้องทำเพื่อชาติ

3.    อย่ายุบพรรคการเมืองเลย  ให้คนผู้ทำผิดรับผิดไปแต่เพียงคนเดียว เพราะพรรคไม่ได้ทำความผิดด้วย

4.    เรื่องใดใดในระดับชาติควรให้มีการประชุมร่วมกันทุกฝ่ายทุกสถาบัน  เช่นให้ ฝ่ายค้าน, กกต., ศาลรัฐธรรมนูญ  ,ศาลปกครอง และสถาบันการศึกษา รวมทั้งเอาคนเก่ง ๆ มาร่วมประชุมด้วย

5.    เห็นแก่ประเทศไทยเถอะนะ ควรเลือกคนดี  คนดียังมีอีกเยอะในประเทศไทย  และให้ เอาเศรษฐกิจ   ในหลวงมาบริหารประเทศ ประชาชนพออยู่พอกินก็ไปรอดได้

6.   อยากขอร้องว่า  ไม่ว่าเขาจะถอดถอนรัฐบาลอย่างไรอย่าให้ยุบสภาและไม่ให้นายกสมัครลาออก

7.   ไม่อยากให้นายกสมัครและรมว.เฉลิม อยู่บำรุงวางตัวแข็งเกินไป  หรืออ่อนเกินไป  ขณะนี้รัฐบาลวางตัวแข็งเกินไปไม่ดูแลพรรคฝ่ายค้านเลย

8.   เห็นใจคุณนภดล ปัทมะ  ถึงท่านจะลาออก อย่าได้คิดว่าท่านทำผิด  ถ้าต่อไปพิศูจน์ได้ว่าท่านไม่ได้ทำผิด ควรคืนอำนาจให้ท่าน

9.    ขอร้องคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอย่าได้ยื่นถอดถอนรัฐบาลทั้งคณะ เลย  งานรัฐบาลกำลังเดินหน้า  ถ้ามีคณะใหม่มางานจะชงัก เป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน


10.
   ฝ่ายคณะรัฐประหาร(คือม็อบสนธิ-จำลอง)ขอร้องอย่าได้ขออะไรเยอะเลย  ควรจะพอ  อย่าได้คืบเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา  ประเทศอื่นดูประเทศไทยอยู่ อายเขา  ควรจะร่วมมือกันเป็นสามัคคีทั้งประเทศดีกว่า

 

11.   ไม่ว่าพรรคชาติไทย  พรรคมัชฌิมาประชาธิปไตย หรือพรรคพลังประชาชน  ขอร้องว่าอย่ายุบพรรคเลย  ไม่มีผลดีทั้งสิ้น  ขอบอกเลยว่า เลือกตั้งอีกรัฐบาลก็ได้อีก อย่าให้บอกเลยว่าได้เพราะอะไร ไม่อยากให้ทำการยุบสภายุบพรรค

12.   หากไปไม่รอดจริง ๆ ให้เป็นรัฐบาลผสมได้ไหม อยากขอร้องคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่นับถือจริง ๆ ว่าท่านพูดดีพูดน่าฟังมีเหตุผลมาก ๆ  แต่ท่านจะทำอย่างที่พูดได้หรือเปล่า  ทำกับพูดไม่เหมือนกันนะ

13.
   เรื่องเหล้า บุหรี่ ขออย่าให้มีในประเทศ ถ้ามีขอให้ยึดทรัพย์เหมือนรัฐบาลทักษิณที่ยึดทรัพย์พวกขายยาบ้า   ไม่เห็นดีด้วยเรื่องได้ภาษีจากเหล้าและบุหรี่มามาก ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมไม่รณรงค์ว่าให้ประชาชนดื่มเหล้ากันมาก ๆ ทั่วประเทศเป็นการสนับสนุนรายได้ของรัฐบาล

14.   ถ้าเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง เขาได้เป็นรัฐบาลอีก จะมีการถอดถอนเหมือนเดิมหรือไม่  รับรองได้เลยว่ามีการเลือกตั้งอีกเมื่อไรรัฐบาลก็กลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

15.   ให้ทุกพรรคการเมือง ทุก ๆ ฝ่ายจับมือกันเถิด ประเทศไทยเราบอบช้ำไปมากแล้ว  ขอร้องอย่าให้ถอดถอนรัฐบาลเลย

16.   อยากให้ครูบาอาจารย์ตั้งใจสอนศิษย์ อย่าให้มีการข่มขืน ไม่อยากให้มีการรับน้องใหม่อย่างเจ็บปวด เช่นเอาไปเกลือกหนาม เอาน้ำมันราดแล้วเอาไฟจุดกลางหลังตามที่เป็นข่าว   อยากถามว่าอาจารย์ไหนเป็นต้นคิดนี้ พ่อแม่ทุก ๆ คนเขาก็รักลูกเขาทั้งนั้นแหละ  เมื่อมีการจับกุมกันไปก็ทำให้เสียความรู้สึกกันไปทั่วหน้าทำให้แตกสามัคคีกันไปเงียบ ๆ

17.   ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน  แต่เราไม่ว่าใครไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่เรื่องการขึ้นค่าแรง  อยากให้ถามก่อนว่าโรงงานเขาสู้ได้หรือเปล่า ถ้าเขาสู้ไม่ได้เขาก็ยุบโรงงาน  ไม่รู้หรือขณะนี้โรงงานยุบไปแล้วเท่าไร  จะขึ้นค่าแรงก็ขึ้นพอให้ทุกฝ่ายอยู่ได้  ถ้าโรงงานอยู่ไม่ได้คนงานก็ตกงาน และนับวันตกงานไปมากขึ้น ๆ  ให้ขึ้นค่าแรงพออยู่ด้วยกันไปได้ไม่ดีกว่าตกงานหรือ  ถ้าโรงงานยุบตัวเองไปแล้ว ก็ต้องตกงาน แล้วว่างงานแล้วไม่มีรายได้ จะกินอะไร จะอยู่อย่างไรต่อไป   ทุกฝ่ายจึงควรประนีประนอมกันให้พอดี

18.   ชาวนาก็ลำบากเพราะข้าวของแพง  อยากให้รัฐบาลทำปุ๋ยชีวภาพ  อยากให้นักเรียนเกษตรไปช่วยชาวนาทำปุ๋ยชีวภาพ  แต่จะทำอะไร ๆ ก็ต้องใช้เงิน รัฐบาลจ่ายเงินไปในโครงการใดควรติดตามไปดู  โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ตามไปดู อบต.ว่าเขาใช้เงินถูกต้องหรือเปล่า  เขาทำอะไรจริงตามที่ขอเงินไปหรือเปล่า

19.   เรื่องอบต. มีปัญหาเพราะมีตำแหน่งหลายตำแหน่ง กว่าจะเซ็นหนังสือกันเสร็จก็เสียเวลานาน งานก็ซ้อนกันอยู่ มีประธาน อบต.  อบต.  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  ผู้ช่วย  อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน พวกนี้ไม่ได้ทำงานทำการอะไร  ได้แต่เดินโต๋เต๋ไปมา ไม่เห็นมีใครทำงานจริง ๆ สิ้นเดือนก็ไปรับเงินเดือนกลับไปนอนสบาย พวกนี้เลียแข้งเลียขาเจ้านายเก่งทุกคน ๆ เลย  ทำไมไม่เอาไว้แค่ประธานอบต.และ อบต.  ไม่ต้องมีกำนันผู้ใหญ่บ้านให้สิ้นเปลืองงบประมาณ

20.   วัฒนา อัศวเหม  ลงข่าวเยอะไป น่าสงสารแก เพราะแกแก่ผมหงอกแล้ว ถ้ารู้ว่าแกทำผิดทำไมราชการจึงไม่ทำการห้ามปรามและกล่าวโทษเสียตั้งแต่แรก ๆ  ราชการไม่มีความรู้  ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยหรือ? 

 

21.   อยากให้นายกสมัครลงไปดูธนาคาร ธกส.  ให้ผ่อนปรนเรื่องหนี้ 5 ปีได้ไหม  เพราะการให้ 1 ปีไม่พอช่วยอะไรได้  เพราะการลงทุน 1 ปี ไม่พอที่จะเกิดผลอะไร  เช่นเลี้ยงโค โคก็ยังไม่โตพอที่จะขาย  แต่ถ้าให้เขาค้างชำระได้ 3-5 ปี  ให้ชำระแค่ดอกเบี้ยในปีแรก ปีที่ 2 พอถึงปีที่ 3 ชำระทั้งต้นและดอก  ถึงปีที่ 5 ก็เสร็จ   รับรองว่าชาวนาไม่โกง  หนี้ทั้งต้นและดอกจะได้คืน 100 %   มั่นใจว่าเขาทำได้ รับรองว่าชาวนาตั้งใจดี  เขาไม่ทิ้งแผ่นดินไปไหนหรอก  เขาซื่อสัตย์  เพียงแต่เปิดโอกาสให้เขาอย่างเพียงพอเท่านั้น  ก็จะช่วยรัฐบาลได้เยอะ เพราะเมื่อประชาชนมีงานทำ มีอยู่มีกิน อะไร ๆ ก็ดีขึ้น

22.     การรักเขาพระวิหาร ใคร ๆ ก็รัก   แต่เราควรจะคิดว่า  ถ้าเราเสียอะไรไปนิดหนึ่ง ในวันหน้าเราสะดวกในเรื่องความร่วมมือกันกับกัมพูชาดียิ่งขึ้น เป็นมิตรกันยิ่งขึ้นก็น่าจะร่วมมือกัน  อย่าคิดว่าเสียแม้แต่นิดหน่อยก็ไม่ได้  เพราะเราต้องมีการยืดหยุ่นได้บ้าง ไม่ยืดหยุ่นเลยไม่ได้หรอก แบบว่ายอมไม่ได้  ต่างฝ่ายต่างยอมไม่ได้เช่นนี้ก็จบไม่เป็น  ไม่อยากให้วางอำนาจข่มขู่เขา  อยากให้มีมิตรไมตรีกันมากกว่า  เพราะถึงอย่างไร ๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านกัน  ประชาชนเขมรก็ไม่เห็นเขารังเกียจประชาชนไทย  และยังอาจร่วมมือกันทางการท่องเที่ยวด้วย  มองทางการทำมาหากินร่วมกันจะไม่ดีกว่าหรือ

 

 

 

 

  • จากสาวน้อยชนบทบ้านนา นครราชสีมา
    13 ก.ค.2551

 

 

 

 

 55   กรณีปราสาทพระวิหารวันนี้

จงรักเพื่อนบ้านยิ่งกว่ารักตนเอง

 

คนเราเป็นสัตว์สังคม  นี่เป็นสัจธรรมทางรัฐศาสตร์  โดยการรับรองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก  ซึ่งมีความหมายถึงชีวิตที่ต้องสัมพันธ์เป็นอันดีกับคนอื่น บ้านอื่น เมืองอื่น ประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดเรา  ยุทธศาสตร์ชายแดนเพื่อนบ้านจะต้องยืดหยุ่นเสมอ วันนี้คนไทยต้องคำนึงถึงลาว พม่า มาเลเซีย และกัมพูชา  ว่าเป็นเพื่อนบ้านของเรา

แต่สัจธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อนในเรื่องนี้ ได้มีมาก่อนยุครัฐศาสตร์ โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงเทศนาสั่งสอนให้รักศัตรูของเราและเพื่อนบ้านไว้หลายประการ  ดังต่อไปนี้


 

 

1.  ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
You have heard that it was said, “An eye for an eye  and a tooth for a tooth”
But I tell you not to resist an evil person. But whoever slaps you on your right cheek, turn the other to him also.

ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาต่อตาและฟันต่อฟัน

ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย

[Holy Bible; Matthew 5:38-39]



2.  บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตน ย่อมขาดสามัญสำนึก
He who despises his neighbour lacks good sense and a man of understanding will hold his peace.
บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตน ย่อมขาดสามัญสำนึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะอยู่อย่างสงบ
[Holy Bible; Proverbs 11:12]

 

 

 

3.   อย่าพูดคำว่าจะให้พรุ่งนี้กับเพื่อนบ้าน ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว

Say not to your neighbour, “Go and come back and tomorrow I will give;”  when you already have it.

อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่าไปเถอะแล้วกลับมาอีก พรุ่งนี้ฉันจะให้ ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว

[Holy Bible; Proverbs 3:28]

 

 

 

4.   อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า

Do not devise harm against your neighbour, for trustingly he lives beside you.

อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า ผู้อาศัยอย่างไว้วางใจอยู่ข้าง ๆ เจ้า

[Holy Bible; Proverbs 3:29]

 

 

 

5.   อย่าโต้แย้งกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล

Strive not with a man without cause,when he has done you no wrong.

อย่าโต้แย้งกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล ในเมื่อเขามิได้ทำอันตรายอย่างใดแก่เจ้า

[Holy Bible; Proverbs 3:30]

 

 

 

6.   คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้าน  คือคนบ้า

Like a madman who hurls firebrand, arrow and death,    so is the man who deceives his neighbour and says,”Was I not joking?” 

คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขาและกล่าวว่า ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง  ก็เหมือนกับคนบ้าที่โยนดุ้นไฟ ลูกธนู และความตายออกไป เพราะขาดฟืนไฟก็ดับ 

[Holy Bible; Proverbs 26:18-19]

 

 

 

7.   ที่ไหนที่ไม่มีคนซุบซิบการทะเลาะวิวาทก็หยุดไป

For lack of wood the fire goes out, and where there is no whisperer, contention ceases.

และที่ไหนที่ไม่มีคนซุบซิบการทะเลาะวิวาทก็หยุดไป 
[Holy Bible; Proverbs 26:20]

 

 

 

8.   คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อการวิวาทฉันนั้น 
As charcoal to hot embers, and wood to fire, so is a contentious man for keeping a strife aflame.
ถ่านเป็นเชื้อเพลิง และฟืนเป็นเชื้อไฟฉันใด คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อการวิวาทฉันนั้น 

[Holy Bible; Proverbs 26:21]

 

 

 

9.  ถ้อยคำของคนปากบอนเป็นอาหารอร่อย

The words of a whisperer are like delicious morsels; they go down into the inner parts of the body.

ถ้อยคำของคนปากบอนเป็นอาหารอร่อย มันลงไปในส่วนข้างในของร่างกาย 

[Holy Bible; Proverbs 26:22]

 

 

 

10.   ริมฝีปากกับใจที่ชั่วร้ายเหมือนน้ำยาเคลือบที่อาบอยู่บนภาชนะดิน
Fervent lips and a wicked heart are like an earthen vessel overlaid with silver dross.
ริมฝีปากที่ราบรื่นกับใจที่ชั่วร้ายก็เหมือนน้ำยาเคลือบที่อาบอยู่บนภาชนะดิน
[Holy Bible; Proverbs 26:23]

 

 

 

11.  บุคคลที่เกลียดผู้อื่น ก็สอพลอด้วยลิ้นของตน

He who hates, pretends with his lips, but he  harbours deceit within;

บุคคลที่เกลียดผู้อื่น ก็สอพลอด้วยลิ้นของตน และตอแหลอยู่ในใจ
[Holy Bible; Proverbs 26:24]

 

 

 

12.   อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่ง ๆ จะนำอะไรมาให้บ้าง

Do not boast about tomorrow for you do not know what a day will bring forth.
อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่ง ๆ จะนำอะไรมาให้บ้าง
[
Holy Bible; Proverbs 27:1]

 

 

13.    จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า  และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง 

Let another praise you , and not your own mouth; a stranger, and not your own lips.

จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า  และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง  ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง

[Holy Bible; Proverbs 27:2]

 

 

ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก่อน แต่ถ้าท่านนำคำสอนนี้ไปปฏิบัติในบัดนี้แล้ว ประเทศไทยและคนไทยจะได้รับความนับถือ ศรัทธาและความรักความไว้วางใจจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้เป็นอย่างดี และปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเรื่องปราสาทพระวิหารวันนี้ก็จะจบลง

 

  • Edwards L. Peterson 
    July 15,2008

 

 

 

 

 56.กรณีปราสาทพระวิหารวันนี้ [2]

จงรักศัตรู และรักเพื่อนบ้านยิ่งกว่ารักตนเอง

 

กรณีกัมพูชาและไทย ต้องนับว่าเป็นกรณีญาติสนิท เพราะมีปราสาทหินโบราณเป็นจุดที่เชื่อมโยง และมีพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อหนึ่งเดียวกันฝังอยู่ลึกซึ้งในปราสาทโบราณนั้น  เราจึงควรมองการศาสนาให้เป็นสากล  หมายความว่า ศาสนาพุทธมิใช่เพียงของคนไทยแต่เป็นของชาวกัมพูชา และมิใช่เพียงของไทยและกัมพูชา แต่เป็นของทั้งโลกและเป็นสากล  นั่นหมายถึงความเมตตา ต้องไม่มีจำกัด  พระสงฆ์หมายถึงผู้มีเมตตาไม่จำกัด

 

และความเมตตาอันไม่จำกัด จักเห็นได้จากคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  จงน้อมรับเอาไปปฏิบัติเถิด

 

 

1.   จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
You have heard that  it was said, ‘You shall love your neighbor and hate your enemy.’
”But  I say to you, love your enemies, bless those who curse you, do good to those who hate you, and pray for those who spitefully use you and presecute you.

ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า  จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู
ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน จงอำนวยพรแด่ผู้ที่ด่าท่าน จงทำดีเพื่อผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน

[Holy Bible; Matthew 5:43-44]

 

 

 

 

 

2.   จงอย่าตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน
Do not speak evil of one another, brethren. He who speaks evil of a brother and judges his brother, speaks evil of the law and judges the law. But if you judge the law, you are not a doer of the law  but a judge.
There is one Lawgiver, who is able to save and to destroy. Who are you to judge another?

ท่พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อธรรมบัญญัติ  และตัดสินธรรมบัญญัติ  แต่ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน
มีผู้ทรงตั้งธรรมบัญญัติและผู้ทรงพิพากษาตัดสินแต่เพียงองค์เดียว คือองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้  แต่ท่านเป้นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน

[Holy Bible; James4:11-12]

 

 

 

 

 

3.   ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่เท่าผู้สละชีพเพื่อเพื่อนของเขา
Greater love has no one than this, than to lay down one’s life for his friends. 

ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของเขาเพื่อมิตรสหายของตน

[Holy Bible; John 15:13]

 

 

 

 

 

4.   จงละความชั่วทั้งปวง และคำพูดส่อเสียด
Therefore,  laying aside all malice,  all deceit, hyprocricy, envy,  and all evil speaking.

เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง  การอุบายต่าง ๆ  ความไม่จริงใจ  ความริษยา  และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

[Holy Bible; Peter 2:2]

 

 

  • Edwards L. Peterson

            July 21,2008

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 57.บทกวี 23 ก.ค.2551
:ม็อบแค้นกำศรวล



วันนี้ม็อบแค้นกำศรวล
ล้วนน้ำตาริน
ทหารเสือทั้งสิ้น
ผินเป็นทหารแมว

ก้มหน้าโศกา
ผวาทั้งแถวทั้งแนว
ยามใหญ่ตายเสียแล้ว
พากันสะอื้นฮักฮัก
!!!!!

ฝ่ายว่ามหาจำลอง
กับผองพวกพลังผัก
ก็พลอยสะอื้นฮักฮัก
!!!!!
ด้วยรักเจ้านายมานาน


ฝ่ายว่าพล.อ.ปฐมพงษ์
ทำท่าองอาจหาญ
ขึ้นหน้านำบริวาร
ทหารแมวกล้าตาย 

หมอนี่ดึงฟ้าต่ำ
ทำตนต่ำอัปยศหลาย
แต่งเครื่องแบบไปกรีดกราย
รับใช้ทรชนคนทรพี ฯ


 

 

·         กวีซีลายส์ส์ส์ส์
24 ก.ค. 2551

 

 

 

 

 

 58. วุฒิสมาชิกและวุฒิภาวะ วันนี้

ข่าว น.ส.รสนา โคสิตระกูล ส.ว.กทม.กับพวก 2-3 คน ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ  ทำให้เสียความรู้สึกต่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยไทยหลายประการ


1.  แสดงถึงหลักการว่า แม้ตนเองก็เป็นสถาบันประชาธิปไตยสถาบันหนึ่ง แต่ก็ตั้งหน้าห้ำหั่นกันเอง แม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พาลถือเอาเป็นเหตุสำคัญที่ต้องทำอะไรเพื่อตนเองได้ประโยชน์ทางการฉกชิงผลประโยชน์ทางชื่อเสียง ความเด่นและดังขึ้นในสังคมไทย  ในสถานการณ์ที่ประชาธิปไตยไทยอ่อนแออยู่ ซึ่งมิได้เป็นการสร้างสรรค์แต่อย่างใดเลย

2.   แสดงถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจของฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายนิติบัญญัติไม่กลมกลืนกันในวัตถุประสงค์และนโยบายที่จะสร้างสามัคคีธรรมให้เกิดขึ้นในส่วนรวมระหว่างสถาบันประชาธิปไตยเองและระหว่างความหมายของประชาชนเจ้าของอำนาจ  

3.  แสดงถึงความคิดอันตรายอย่างยิ่งคือความอิจฉาริษยา ในเมื่อรัฐบาลเพิ่งประกาศมาตรการ 6 มาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนและกอบกู้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำดิ่งลงสู่ความหายนะ  ซึ่งพอประกาศมาตรการนี้แล้วได้ปรากฏว่าความนิยมของนายกรัฐมนตรีได้เพิ่มขึ้น  จากการสำรวจของเอแบคโพลที่ได้พบเร็ว ๆ นี้ว่า  มีความนิยมของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวชเพิ่มขึ้น ในระหว่างปี 2551 โดยชัดแจ้งดังนี้คือ เดือน มีนาคม  30.7 %, มิถุนายน  52.0 % และเดือนกรกฎาคม 57.1%

เพราะเหตุว่า ประชาชนไทยยังว้าเหว่ เพราะมีความหวังจากสถาบันประชาธิปไตยเองยังไม่ได้นั่นเอง และ เพราะส.ว.แห่งวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งนี้ ก็คือสถาบันเดียวกันกับรัฐบาล  น่าที่จะช่วยทุ่มเทประคับประคองสถาบันประชาธิปไตย โดยมองจากกาลเทศะ เหตุ ผล บุคคล เวลา อันเหมาะสมอย่างไร  หนักนิดเบาหน่อยก็ควรจะอภัยกันไปก่อนเพื่อความเติบโตของระบบประชาธิปไตยไทย  และมองจากสถานการณ์องค์รวมของประเทศว่าเป็นอยู่อย่างไร ผู้ใดจักเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยได้บ้าง  เหมือนเรือลำเดียวกันกำลังจมสู่ความหายนะ แต่เมื่อตั้งใจขัดแย้งกันเองเช่นนี้ มุ่งหมายทำลายกันเองให้พินาศไปเช่นนี้ จึงย่อมแสดงถึงวุฒิภาวะอย่างไร  ในเมื่อความพยายามเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อความวิบัติของประชาธิปไตยไทย   ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่เติบโต     และที่สำคัญย่อมกีดกันขัดขวางการบริหารงานของรัฐ ในความหมายของการเร่งกอบกู้ประเทศและประชาชนไทยที่กำลังจมดิ่งลงไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจของโลกอย่างน่าหวาดหวั่นอยู่ในขณะนี้

 

วันนี้ จึงชอบที่จะถามถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ  วุฒิสมาชิก  ท่านมีวุฒิภาวะอยู่อย่างไร?

 

 

 

  • สิงห์ดง
    23 ก.ค.2551





 

 



 59.  ขอให้พยากรณ์ชาตาสนธิ ลิ้มทองกุล

เรียน บก.นสพ.ดี
 

 

ผมอยากขอร้องให้ท่านพยากรณ์ดวงชะตาคนสำคัญขณะนี้คนหนึ่งคือ สนธิ ลิ้มทองกุล  จะได้ไหมครับ  ชลัมพุช โหรชนบทพยากรณ์แม่นอย่างเทวดาตาทิพย์ขอชมเชย   

จากผม 
จาน ประครองจิต/24 ก.ค.2551

 

 

 

 

 

60.  ดวงชะตาสนธิ ลิ้มทองกุล

 

 

 

 61 บันทึกกรณีเขาพระวิหารศรีสะเกษ
เหตุเกิดในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่บ้านภูมิชรอล ต.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

 

วันที่ 17 กรกฎาคม พุทธศักราช 2551 เป็นวันอาสาฬหบูชา วันสำคัญของพระพุทธศาสนา ประชาชนทั่วประเทศต่างเข้าวัดทำบุญทำทานต่าง ๆ นับแต่ภัตตาหาร ผ้าอาบน้ำฝน และเทียนเข้าพรรษาเป็นต้น  นักเรียนนักศึกษา ครูอาจารย์ก็เข้าวัดเวียนเทียนกันทั้งวันทั้งคืน  อันเป็นประเพณีสำคัญในเทศกาลเข้าพรรษาทุกปี ๆ  ที่จะต้องจัดทำอย่างยิ่งใหญ่  เช่นอุบลราชธานีมีประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นต้น  

ในเช้าวันนั้น ที่วัดมหาพุทธาราม อำเภอเมืองจังหวัดศรีสะเกษ เนืองแน่นไปด้วยพุทธบริษัทนำโดยนายเสนีย์ จิตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็มิได้ละเลยในการทำหน้าที่ของชาวพุทธ  พากันมาเข้าวัดฟังธรรมกันในเช้าวันนั้น  แต่แล้วขณะที่ประกอบการบุญการกุศลอยู่นั่นเอง ก็ได้มีข่าวเรื่องราวที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นที่ชายแดน หมู่บ้านภูมิชรอล ตำบลเสาธงชัย(บึงมะลู) อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ  จนผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  ต้องรีบเร่งออกไปจากวัดมหาพุทธาราม  แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ปะทะกันที่บ้านภูมิชรอล 

ข่าวท้องถิ่นรายงานว่า มีฝ่ายม็อบจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์  เดินทางมาจากกรุงเทพฯตามแผนแบ่งแยกแบบดาวกระจายของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง  นำโดยนายวีระ สมความคิด ทนายความคนหนึ่งของม็อบฯ เป็นหัวหน้าพาเคลื่อนขบวนมาตามถนน  สาเหตุจริง ๆ ก็คือชาวบ้านมีความไม่พอใจอยู่แต่เดิมหลายประการ ตั้งแต่ม็อบกลุ่มนี้มาเคลื่อนไหวในศรีสะเกษในวันที่ 15 มิถุนายน 2551 โดยเปิดการประชุมขึ้นที่สะพานขาว อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เป็นต้นมา ทำให้พวกเขาตกงาน พวกนี้ไปซ้ำเติมการเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองชักหน้าไม่ถึงหลังของประชาชนให้ยิ่งลำบากไปอีก นอกจากนี้แล้วพวกม็อบยังไปด่าเพื่อนบ้านชาวเขมร ลำเลิกมาตั้งแต่สมัยพระยาละแวก ทำให้ชาวกัมพูชาและชาวศรีสะเกษเสียไมตรีที่เคยแนบแน่นมาแต่เดิม  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือชาวบ้านเอือมระอาและเบื่อหน่ายม็อบเชื้อสายสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์นี้ที่เอาแต่ด่า  ด่าประชาชน ด่าคนทั้งประเทศ ด่ารัฐบาลของประชาชน ด่าคนของประชาชน ฯลฯ ฉลาดในเรื่องการยั่วยุให้เกิดการแตกแยกในแผ่นดิน  ไม่เคยพูดถึงเรื่องการทำมาหากินของประชาชน ในขณะที่ประชาชนต้องการคำแนะนำชี้ช่องทางร่ำรวย   มีแต่พูดถึงเรื่องสิทธิของตน จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้  ม็อบไม่เคยพูดถึงสิทธิของคนอื่น และไม่เคยรู้ว่าสิทธิจริง ๆ ที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร  จึงเป็นม็อบอนารยชนโดยแท้จริง เพราะสิทธิจะต้องหารส่วนท้องถิ่นั่วหน้า  ไม่มีใครปรารถนาทุบหม้อข้าวตนเองชาชนเป็นอย่างดืมีความหมายถึงการเคารพสิทธิของคนอื่นด้วย  การใช้สิทธิของเราจะต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่นจึงจะเป็นสิทธิที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย  และยังมีเหตุปัจจุบันทันด่วนก็คือเรื่องการถูกยั่วยุอารมณ์ให้โกรธแค้น เพราะเป็นช่วงที่ประชาชนขัดเขิน ระกำลำบากเพระความอดอยากยากจน  และความหิว  คนกำลังโมโหหิวก็ย่อมทำอะไรก็ได้  คนกำลังโมโหหิวอยู่มีใครพูดผิดหูไปนิดเดียวก็อาจจะถึงฆ่ากันได้ นี่เป็นสัจธรรม จึงเกิดเรื่องขึ้นเป็นธรรมดา    ผลก็คือ ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ต้องเปิดกลับไปกรุงเทพตั้งแต่คืนนั้น(สำนวนชาวบ้านว่ามาทางไหนก็ไปทางนั้น)

นายไมตรี อินทสูต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้เล่าให้ญาติโยมฟังที่วัดมหาพุทธาราม เนื่องในโอกาสที่มาทำบุญเช้าวันเข้าพรรษา วันถัดไปนั่นเอง ว่าเหตุการณ์เรียบร้อยลงแล้วตั้งแต่วันนั้น ความจริงกลุ่มที่ต่อต้านม็อบมาจากต่างถิ่น ไม่ใช่ชาวบ้านศรีสะเกษ เป็นพวกที่ตามกำจัดม็อบจำลอง-สนธิโดยเฉพาะ ซึ่งทางจังหวัดศรีสะเกษไม่สามารถควบคุมได้   ทางจังหวัดศรีสะเกษเองกำลังเร่งพัฒนาหลาย ๆ ด้าน ด้วยความร่วมมือของประชาชนกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นอย่างดืพวกเขาสนใจการทำมาหากินกันทั่วหน้า  ไม่มีใครปรารถนาทุบหม้อข้าวตนเอง

สิ่งที่ชาวศรีสะเกษต้องตั้งคำถามก็คือ  ทำไมพวกม็อบจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์ จึงเดินทางมาก่อเหตุถึงที่ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการก่อกวน และรบกวนบรรยากาศแห่งความสุขสงบในการทำบุญปฏิบัติธรรมกรรมฐานของประชาชนชาวศรีสะเกษ และประชาชนทั่วประเทศ

ต้องการให้เกิดความแตกแยกทางศาสนาอีกสถาบันหนึ่งหรืออย่างไร?
 

  • ศิรารุจิรัฐ  เติมใจ      รายงานข่าวท้องถิ่น
    001            ผู้บันทึก/28 ก.ค.2551

 

 

 

 

 

 

บันทึกประเทศไทย
9 กรกฎาคม 2551

วันนี้มีปัญหา  ประเทศไทยจะทำอย่างไร?



1.
   ปัญหาระบอบการปกครอง  เราจะตั้งคำถามอย่างไรดีระหว่าง 3 คำถามนี้

1.1  ประเทศไทยไม่เหมาะสมต่อระบอบประชาธิปไตยแล้ว ใช่หรือไม่?  หรือ

1.2
  คนไทย ไม่เห็นความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอีกแล้ว ใช่หรือไม่?  หรือ

1.3  คนไทย  สถาบันสังคมแม้แต่สถาบันการศึกษาและสถาบันการเมืองเองก็ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ใช่       หรือไม่? 

 

2.   เราไม่เข้าใจหรือว่า ระบอบประชาธิปไตยไทย เป็นระบอบที่เกิดใหม่ เหมือนทารก  ถ้าคนไทยเข้าใจระบอบประชาธิปไตยไทย เหตุใดจึงฆ่าประชาธิปไตยลูกอ่อน ๆ ของตนไปคนแล้วคนเล่า  เหตุใดจึงไม่ปรากฏสัญลักษณ์เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลา 76 ปีแห่งประชาธิปไตยไทย ถึงการต่อสู้เพื่อชีวิตของประชาธิปไตย ที่ทะนุถนอม ประคับประคองโอบเลี้ยงประชาธิปไตยให้เติบใหญ่ขึ้นมาเลย  เห็นมีแต่หนักนิดผิดหน่อยก็ตั้งท่าจะเข่นฆ่าลงโทษถึงประหารชีวิตไปทุกครั้งทุกคราว แม้ในระยะหลังสุดมานี้ก็ปรากฏชัด  เช่นนี้ประชาธิปไตยจะเติบใหญ่ได้อย่างไร? 

ไม่เข้าใจหรือว่าประชาธิปไตยต้องการเวลาสำหรับการวิวัฒนาการ และในเวลาแห่งการวิวัฒนาการนั้น ทุกสถาบัน โดยเฉพาะสถาบันประชาธิปไตยเองจะต้องช่วยกันประคับประคองโอบเลี้ยงอย่างทะนุถนอม มิต่างจากเลี้ยงลูกอ่อนที่แม้ริ้นไม่ให้ไต่ ไรก็ไม่ให้ตอมนั่นทีเทียว?

3.
    วันนี้ บัดนี้ คนไทยกำลังจะทำเหมือนเดิมอีก คือตั้งหน้าตั้งตาเข่นฆ่าประชาธิปไตย อันเปรียบเสมือนลูกอ่อนของตน เพิ่งเกิดมาดูโลก จะไม่ยอมให้ลืมหูลืมตาเติบโตขึ้นมาได้    นี่เป็นข้อพิศูจน์ว่าอะไร และอย่างไร?  

เราคือบิดามารดาที่โง่เขลายิ่งกว่าโคกระบือ ม้าลา สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ใช่หรือไม่?

เพราะคนไทยได้แสดงเจตนารมณ์อันชัดเจนไว้แล้วว่า ต้องการประชาธิปไตย และทั้งหวังว่าประชาชนจะได้พึ่งประชาธิปไตยต่อไปอย่างมั่นคงของชีวิต แต่การณ์กลับแสดงถึงความต้อยต่ำแห่งสติปัญญา ที่เป็นข้อพิศูจน์ว่าคนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น เมื่อคลอดลูกแล้วไม่ทันไรก็ฆ่าทิ้งเสีย ไม่รู้จักความมีชีวิต ไม่อาทรต่อความมีชีวิต จึงไม่เคยคิดถึงการเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ ไม่ช่วยกันทะนุถนอมประคับประคอง ป้องกันภัยไปกว่าจะเติบใหญ่ ปีกกล้าขาแข็งดั่งลูกนก แต่กลับรุมฉีกทึ้ง เข่นฆ่า เมื่อไม่พอใจ เช่นนี้แล้ว  จึงเป็นต้นเหตุสำคัญอย่างแท้จริงที่ทำให้การเมืองไทยมีแต่ความอลเวงกันมาตลอดเวลา 76 ปีเข้าแล้ว ? และจักหวังว่าประเทศชาติพบความสุขสงบได้อย่างไร?  

 

4.   ถ้าต้องการประชาธิปไตย  คนไทยจะต้องอดทน เสียสละ และรู้จักประนีประนอมเพื่อประชาธิปไตย ต้องเข้าใจประชาธิปไตย ต้องทะนุถนอม ต้องเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างดี และต้องให้อภัยแด่ประชาธิปไตย ดุจดังเลี้ยงบุตรผู้เยาว์นั่นเทียว และประชาธิปไตยไทยต้องได้เวลาพอสำหรับการการวิวัฒนาการ  ฉะนั้นประชาธิปไตยไทยจึงต้องมียุทธศาสตร์  ไม่เช่นนั้นแล้วประชาธิปไตยไทย จะเติบโตแข็งแรงเฉลียวฉลาดและมีปัญญาได้อย่างไรเล่า?

 

และในระหว่างทางเดิน การแก้ปัญหาต้องเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย  ต้องใช้เครื่องมือประชาธิปไตย  และทั้งด้วยจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตย

5.
   ถ้าคนไทยไม่ต้องการประชาธิปไตย คนไทยต้องการอะไร?  มีคำตอบหรือไม่?  หรือว่าคนไทยทั้งสังคมล้วนคนตาบอด กำลังมะงุมมะงาหราคลำทางเดินไปในความมืด?

 

  • บานไม่รู้โรย
    9 ก.ค.2551

 

 

  52 ฟังเสียงสาวน้อยการศึกษาแค่มัธยมต้นบ้าง

ให้ช่วยสรุปเอาเองนะคะ บก.นสพ.ดี

 

1.    อย่ายุบสภาเลย  ประชาชนเบื่อหน่าย  และเสียเวลาทำมาหากิน  เสียงบประมาณของแผ่นดิน

2.    ให้ตั้งรัฐบาลผสม เอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลด้วย  ทุกพรรคต้องละเลิกความเห็นแก่ตัว   ต้องทำเพื่อชาติ

3.    อย่ายุบพรรคการเมืองเลย  ให้คนผู้ทำผิดรับผิดไปแต่เพียงคนเดียว เพราะพรรคไม่ได้ทำความผิดด้วย

4.    เรื่องใดใดในระดับชาติควรให้มีการประชุมร่วมกันทุกฝ่ายทุกสถาบัน  เช่นให้ ฝ่ายค้าน, กกต., ศาลรัฐธรรมนูญ  ,ศาลปกครอง และสถาบันการศึกษา รวมทั้งเอาคนเก่ง ๆ มาร่วมประชุมด้วย

5.    เห็นแก่ประเทศไทยเถอะนะ ควรเลือกคนดี  คนดียังมีอีกเยอะในประเทศไทย  และให้ เอาเศรษฐกิจในหลวงมาบริหารประเทศ ประชาชนพออยู่พอกินก็ไปรอดได้

 

  • จากสาวน้อยชนบทบ้านนา นครราชสีมา
    9 ก.ค.2551

 


 

  

 

สารบาญโหราศาสตร์  ค้นคำพยา กรณ์ ดวงชะตาผู้นำชาติและดวงเมืองยุคปัจจุบัน และคำพยากรณ์บุคคลสำคัญอื่น ๆ ของชลัมพุช โหรชนบทได้ที่นี่ ทุกเรื่องราวตั้งแต่ปีเริ่มพยากรณ์ พ.ศ.2546 ถึงปัจจุบัน

 

 

 

ประชาชนมีความสุข สนุกกับสงกรานต์ประจำปี  บนถนนสงกรานต์ที่เลื่องชื่อของศรีสะเกษ ถนนขุขันธ์  ภาพต่อไปนี้เป็นบริวเณหน้าวัดมหาพุทธาราม กับ โรงเรียนวัดพระโต วันที่ 14 เมษายน 2551 เวลา 17.00-19.00 น.

 

  รายงาน เรื่องวันวาเลนไทน์

 

มีหนังฝรั่ง ที่บอกให้รู้ที่ไปที่มาของวันวาเลนไทน์ นี้ เข้ามาฉายที่เมืองไทยนานมาแล้ว  วาเลนไทน์ เป็นชื่อของบาทหลวงในคริสต์ศาสนา  บวชมานานจนเลยวัยกลางคนไปแล้ว  แล้วอาสาไปปฏิบัติศาสนกิจในประเทศอินเดีย  ในโบสถ์ กลางชุมชนชาวตะวันตกที่ไปแสวงโชคที่นั่น แล้วไปพบกับสตรีชาวยุโรปด้วยกัน ก็เริ่มชอบกันตั้งแต่แรกพบ  แล้วพบกันบ่อยที่โบสถ์  จนในที่สุดก็ได้เสียกัน จนสตรีตั้งครรภ์  ต่อมาสามีของสตรีนางนั้นเดินทางไปเยี่ยมภรรยาที่อยู่อินเดีย  ก็พบว่าภรรยาตนไม่เหมือนเดิม จึงสืบไปพบว่าเอาใจออกห่างไปปันใจให้บาทหลวง  ก็โกรธ และบังคับให้บอกชื่อผู้ชายที่มาลักลอบได้เสียกัน  แต่ภรรยาไม่ยอมบอก กลัวว่าจะเสียชื่อไปถึงบาทหลวงที่ตนรัก  ต้องการให้ภาพของบาทหลวงเป็นคนดีบริสุทธิ์ในสายตาประชาชน  จนสามีต้องลงโทษอย่างรุนแรงด้วยการกักขัง ให้อดข้าวอดน้ำ ทำทรมานต่าง ๆ  โดยข่มขู่ว่าจะทรมานไปจนสิ้นชีวิตหากไม่ยอมเปิดเผยความจริง   แล้ววันหนึ่งคนใช้ก็มาช่วยให้ออกไปจากที่คุมขัง  เตรียมรถม้าจะห้อไป ก็พอดีบาทหลวงโผล่มาสมทบ บอกว่าขอรับผิดชอบด้วยกัน กับสิ่งที่ทั้งคู่ร่วมก่อขึ้น  ก็เลยไปด้วยกัน    ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า  ความรักของบาทหลวงวาเลนไทน์ สมควรแก่การยกย่องอย่างไร  ในเมื่อแท้จริงเป็นเรื่องผิดศีลธรรม เป็นเรื่องของนักบวชและสีกาหน้าด้าน ไร้ยางอายด้วยกันทั้งคู่  และที่สำคัญก็คือ เป็นการทรยศต่อพระเจ้าและประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีดีเลย ไม่น่าเอาอย่าง.

 

  • บุษบา 
    รายงาน 13 ก.พ.2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 อัลจาชีรา(Aljazeera) สื่อสงคราม

ทำไมจึงต้องมีการตรวจสอบสื่อ?

 

โทรทัศน์ อัลจาชีรา(Aljazeera) ถ่ายทอดข่าวและความเห็นผ่านดาวเทียม Intelsat 7&1 โดยรายงานเป็นภาษาอังกฤษ   อัลจาชีร่าน่าชื่อว่า  โทรทัศน์สงคราม  เพราะเรื่องราวเหตุการณ์ที่นำมารายงานล้วนเป็นเรื่องสงคราม และเหตุการณ์รุนแรงทั้งสิ้นในโลก แม้กระทั่งโลกอดีตอัลจาชีราก็นำมาเสนอ   อัลจาชีร่ามีจมูกสำหรับดมกลิ่นสงครามและคาวเลือดโดยแท้จริง ฉะนั้น ที่ใดมีเหตุการณ์รุนแรง มีเค้าความแตกแยกขนาดใหญ่ อัลจาชีราจะได้กลิ่น และตามไปอย่างกระชั้นชิด    แบบกัดไม่ปล่อย

 

ในวันนี้(21 ก.พ.2551) อัลจาชีร่ารายงานเหตุการณ์รุนแรงในตะวันออกกลาง  และอาฟกานิสถาน ที่มีระเบิด 2 ครั้งติดต่อกัน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2551 ตายทันที 80 คน  ครั้งที่ 2 เมื่อรถบรรทุกระเบิดชนรถทหารคานาดากลางตลาด ตาย 38 คน   เราจะเห็นภาพการระเบิดและคนตายหมู่  ภาพปรักหังพังของสถานที่ และรถยนต์  รถสงคราม  อาคารบ้านช่อง   ภาพคนเดินขบวนถือป้าย  และแห่โลงศพ   ภาพคนวิ่งกระเจิดกระเจิง  กระจัดกระจายเพราะตื่นหนีภัย  ภาพเด็กกำพร้า  แม้เรื่องการเมือง ฮิลลารี-โอบามา  ก็ปรากฏในอัลซาจีร่า  

 

สด ๆ วันนี้ยังมีรายงานการเกิดแผ่นดินไหวบริเวณเกาะสุมาตรา อินโดเนเซีย  เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2551 เวลา 15.00 น.เวลาไทย รายงานว่า มีคนตายเพราะเหตุแผ่นดินไหว จำนวน 3 คน บาดเจ็บ 11 คน    

 

เมื่อวันที่ 7 ก.พ.2551 เวลา 19.00 น.เวลาไทย อัลจาชีรา รายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลไทยที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี  โดยตั้งชื่อให้ว่าเป็นรัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณ (Thai Pro Taksin Cabinet)  ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.พ.2551 อัลจาซีรา ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ของสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีไทย ต่อนักข่าวสาวอัลจีราเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (นายสมัครพูดว่า only one killed in Thammasat University: มีคนถูกฆ่าตายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพียง 1 คนเท่านั้นเอง)   ซึ่งรายงานเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลสมัคร เริ่มต้นระวังเหมือนกันว่า  การรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศต่อประเทศไทย ให้ความรอบคอบ และให้ความเกรงอกเกรงใจประเทศไทยเพียงไร  โดยระวังว่าสื่อต่างประเทศก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้เสมอไป  และเมื่อเขารายงานหรือวิเคราะห์อะไรที่ผิดความจริงไป ก็ต้องมีความกล้าหาญและเหตุผลดีพอที่จะตอบโต้ ุผลที่จะ่ผิดความจริงไป ก็ต้องมีการตอบโต้เมื่อเขากระทำผิด่าวของสื่อต่างประเทศต่อประเทศไทย ให้ความรอบคอบ และให้คว ถ้าเขาทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศเราก็ต้องตอบโต้ไปอย่างเด็ดขาด  อย่างเช่นกรณีหนังสือพิมพ์ Far Eastern Economic Review ร่วมกับหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านสิงคโปเร็ว ๆ นี้ ได้ลงพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทรัฐบาลสิงคโปร์ จนถูกฟ้องร้องแล้วพ่ายแก่รัฐบาลสิงคโปร์ ต้องเสียค่าปรับให้รัฐบาลสิงคโปอย่างมหาศาล  จนหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านไม่มีเงินค่าปรับให้ต้องเข้าคุกแทนค่าปรับ เป็นต้น  ซึ่งนี่ย่อมเป็นความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยอีกกรณีหนึ่ง

 

สื่อมวลชนในประเทศไทยเอง ก็ยังมีความด้อยตกต่ำอยู่มาก จำเป็นต้องมีการปรับปรุงคุณภาพสื่อ โดยเหตุผลเชิงวิชาการว่าด้วยสื่อ  เพื่อการให้สามารถทำหน้าที่ของสื่ออย่างถูกต้อง มีคุณภาพ  และไม่มีอคติ   ซึ่งเหตุผลเชิงวิชาการว่าด้วยสื่อนี้  เป็นสิ่งที่คนทั่วไป คนไทยไม่ค่อยจะสนใจและไม่เข้าใจ  จึงขาดการควบคุมตรวจสอบสื่อจากภาคประชาชนมาโดยตลอด ๆ  ครั้นเมื่อรัฐบาลหรือผู้มีความรู้กล่าวขึ้น ก็มักมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อ  ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน 

 

สิ่งที่ภาคประชาชนจะต้องช่วยกันตรวจสอบสือก็คือ 

 

1.  การกล่าวความเท็จ และใช้ภาษาหยาบเป็นอันมาก  วจีทุจริตต่าง ๆ ในหลักศีลธรรม จริยธรรมทางศาสนา นับแต่ คำหยาบ  คำส่อเสียด  คำเพ้อเจ้อ และ คำเท็จ ซึ่งเห็นได้จากโทรทัศน์บางช่องอยู่แม้เวลาที่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว มีรัฐบาลที่มาอย่างถูกต้องตามวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว 

 

2.    การตั้งคำถามนำของผู้สื่อข่าว เพื่อให้เข้าจุดประสงค์ส่วนตนของสื่อแห่งนั้น ซึ่งเป็นลักษณะที่เสี่ยงต่อการได้ข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง  จะเป็นเหตุของอคติ  ซึ่งจะเห็นว่า แม้สื่อเองก็ไม่ได้เข้าใจในเรื่องนี้ จึงมักมีการอบรม หรือโต้กลับสื่ออย่างแรง ๆ อยู่เสมอ ๆ แต่ประชาชน หรือองค์การสื่อเองไม่เข้าใจ  

 

3.   การวิจารณ์ข่าว  เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้  สื่อไม่มีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบน้อย ถึงไร้สำนึกในความรับผิดชอบในเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง   โดย  เอาข่าวที่มีค่าความเชื่อถือน้อย มาเป็นฐานการวิจารณ์ของตนเอง  พบในทีวีช่องหนึ่งเป็นประจำ  ทำให้ไม่มีความเป็นธรรม  ไม่เป็นกลางด้วยเทคนิกการวิจารณ์ที่ผิดพลาด    บางครั้งบางสื่อ เอาข่าวเดาสุ่มมาเป็นฐานการวิจารณ์ของตนเองด้วยซ้ำ   เช่นเดาความคิดของเขา หรือตั้งตนเป็นผู้มีญาณทิพย์อ่านใจคนได้ แล้วเดาว่าเขาคิดชั่วร้าย เขาไม่ได้คิดดีเลย  แล้วเอาเรื่องเดาเอาเช่นนี้ไปเป็นฐานการวิจารณ์ต่อไป เช่นนี้ ย่อมไม่เป็นธรรมและขัดจริยธรรมอาชีพการสื่อสารมวลชนอย่างยิ่ง   แล้วยังมีการรายงานข่าวผสมปนเปไปกับความคิดเห็น อย่างที่ประชาชนคนฟังแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นข่าวอะไรเป็นความคิดเห็น  ทำให้สับสน และมองได้ว่าสื่อมีเจตนาไม่สุจริต มุ่งหมายทำการแบบการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงประชาชน   บางแห่งรายงานข่าว วิจารณ์ข่าวโดยใช้สุ้มเสียงประกอบ  เร้าอารมณ์คนฟัง  อย่างนี้ก็ทำให้เกิดอคติ และ สุญเสียความเป็นกลางของสื่อได้เช่นเดียวกัน  และไม่ถูกตามหลักการการสื่อสารมวลชน คนอาจมองได้ว่าผู้ทำรายงานข่าวนี้ ไม่มีความรู้แม้เบื้องต้นของการสื่อสารมวลชน

 

4.    วิชาการทางการสื่อสารมวลชนยุคนี้ ล้ำหน้าไปมาก  แต่ประชาชนอาจจะตามไม่ทัน  เช่นการนำเทคนิกการโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda)มาใช้ในการปลุกเร้าระดมมวลชน เป็นต้น   

 

ฉะนั้น นี่เป็นประมวลเหตุโดยย่อที่ทำให้วงการสื่อสารมวลชนของไทยยังตกต่ำและไร้คุณค่า   จึงน่าที่วงการทุกฝ่ายจะมาตระหนักว่าปัญหาของการสื่อสารมวลชนของประเทศไทย ก็ควรจะถึงเวลาแล้วที่จะปฏิรูปฟื้นฟูระดับคุณภาพของสื่อเสียที  เพื่อคุณค่าและความสง่างามของวิชาชีพการสื่อสารมวลชนเอง  และเพื่อประโยชน์ที่จักเกิดจากสื่อที่มีคุณภาพแด่ประเทศไทยในส่วนรวม   และควรมีการร่วมมือของภาคประชาชนตรวจสอบสื่ออย่างเป็นการเป็นงานยิ่งขึ้น

 

  • ธรรมาชีพ  ธรรมาชน
    21 ก.พ. 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

 

18 ก.พ.2551 นายกรัฐมนตรี นายสมัครสุนทรเวช แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา

19 ก.พ.2551 รัฐสภา มีอภิปรายนโยบายรัฐบาลวันที่ 2 ช่อง 11 ถ่ายทอดสด

20 ก.พ.2551  รัฐสภา มีการอภิปรายนโยบายรัฐบาลวันที่ 3 ช่อง 11 ถ่ายทอดสดวันสุดท้าย  โดยรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี นายจักรภพ เพ็ญแข ชี้แจงนโยบายเรื่องสื่อและรมว.มหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  ชี้แจงเรื่อง 3 จว.ภาคใต้ เวลาประมาณ 21.00 ทำให้มีการประท้วงหลายครั้ง หลายคน รวมทั้งนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคฝ่ายค้านที่พูดเรื่องเผาโรงเรียนวันเดียว54โรงเรียนในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ แล้วมีไกรศักดิ์ ชุณหวัณ ขอใช้สิทธิพาดพิงเมื่อวาน แต่อธิบายไม่ได้ว่าพาดพิงเรื่องอะไร ประธานสภาเลยให้นั่งลง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รายการ อุโมงค์ผันน้ำ ไอเดียสมัคร ?

ทีไอทีวี เนชั่นแชเนล เคเบิลช่อง 1

11 ก.พ.2551 21.30-22.40  น.

 

ตั้งชื่อเรื่องว่า อุโมงค์ผันน้ำ ไอเดียสมัคร แก้ปัญหาน้ำอีสาน จอมขวัญ หลาวเพชร เป็นพิธีกร  เอาเจ้าหน้าที่เกษตร-ชลประทานมา 3 คน ฟังจบแล้วดูเหมือนจะมีข้อสรุปว่าไม่ควรทำ อะไรทำนองนั้น  พิธีกรมีท่าทีกระตือรือร้นที่จะตรวจสอบรัฐบาลเต็มเหนี่ยว  ใคร ๆ ก็อยากแสดงความเป็นฮีโร ก่อนคนอื่น  แต่ตลอดเวลาของ 1 ชม.เต็ม ๆ รายการนี้ ฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรเป็นอะไร   พิธีกรคนถามไม่มีพื้นความรู้เลยว่า อีสาน เป็นอย่างไร  ไม่รู้เรื่อง อีสานเขียว โขงชีมูลมาก่อนเลย  จึงถามเรื่องราวไม่มีประเด็น  ไม่ต่อเนื่อง  ทำให้สับสน  ฟังไม่รู้เรื่องเลยก็ว่าได้    แถมออกไม้ออกมือ ทำหูทำตา ให้รกตาคนดูไปอีก โดยเธอคิดว่าเท่ หานึกไม่ว่าคนฟัง ๆ อย่างจดจ่อในสาระ เนื้อหา ว่าจริงเพียงใด ส่วนคนที่มาในรายการ เขาเป็นระดับปฏิบัติ  ถามเขา ๆ ก็บอกว่าทำไม่ได้ดอก เช่นนี้เอง เพราะการมองเขาแคบกว่าระดับนโยบาย แค่ถามเรื่องการประสานงานกับลาว เขาก็ยังกริ่งเกรง  ว่าลาวจะไม่ยอม  คนระดับนี้จึงไม่ควรจะถามเขาในเรื่องนโยบาย  เพราะเขาไม่มีวิสัยระดับนโยบาย  เราเพียงแต่อยากบอกว่า  การเอาเรื่องขนาดใหญ่เช่นนี้มาพูดก่อนเวลาที่สมควรนั้น  ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะทางรัฐบาลก็ยังศึกษาอยู่  รายการนี้คน ที่มาพูดกันทั้ง 3 คน ก็ดูงง ๆ กันตั้งแต่คำถามแรก จนเวลาสุดท้ายของรายการก็ยังไม่สร่างว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน  เขายังบอกอีกว่าจะยังไม่ถาม ถ้าเขาเป็นเจ้าของรายการเอง เลยน่าเสียดาย ที่ 1 ชม.ของรายการนี้ไร้ประโยชน์จริง ๆ คนชมก็เสียเวลาเปล่า    พอพูดขึ้นก็ตั้งท่าจะขัดแย้งเลย อย่างนี้ไทยจึงได้ชื่อว่า คิดได้ก่อนเขาทุกทีแต่ทำไม่เคยเสร็จ  แล้วเราไม่สุขุมราอบคอบ พอ  เดี๋ยวก็เสียหายในด้านการประชาสัมพันธ์  ผลเสียจะเกิดแด่ประชาชนชาวอีสาน   

 

 

บทบาทของ ASTV1 วันนี้  คงดำเนินต่อจากอดีต คือเป็นสื่อการเมืองภาคประชาชนส่วนหนึ่ง

 

ในอดีต การเมืองภาคประชาชนนี้ กอปรด้วยองค์กรอิสระต่าง ๆ มากมาย  มารวมตัวกันโดยร่วมในความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่ตรงกัน  และความรู้สึกที่ตรงกันที่สำคัญก็คือ  ความรู้สึกอันเกิดจากความพ่ายแพ้ ทางการเมือง  และความเคียดแค้นต่อฝ่ายที่ชนะ โดยความเข้าใจว่าตนเป็นฝ่ายธรรมะ และอีกฝ่ายผู้ชนะคือรัฐบาลเป็นฝ่ายอธรรม

 

ความรู้สึกอันนี้ ยังคงสะสมต่อเนื่องมาถึงขณะนี้  นั่นคือ  ASTV1 ยังคงถูกรุมเร้าด้วยความรู้สึกว่าพ่ายแพ้ทางการเมือง  ทางการงานอาชีพ และความเคียดแค้นต่อฝ่ายที่ชนะ และมองตนเองขาวบริสุทธิ์ มองฝ่ายอื่นดำสนิท

 

และแน่นอน  ได้มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่ง ได้มีส่วนร่วมในความรู้สึกอันนี้ไปด้วย แม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยในระบอบประชาธิปไตยก็ตาม  แต่สิ่งที่ไม่ชอบธรรมก็คือการที่พวกเขาได้ต่อสู้อย่างไม่ชอบด้วยวิถีทางประชาธิปไตย   เพราะจะเห็นได้ชัดเจนว่า  ในระยะหลังการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2551 มาแล้ว  คนกลุ่มนี้มิได้แสดงถึงการยอมรับในกติกา ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ.2550  และตามกฎระเบียบของกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง  และกฎระเบียบขององค์กรอิสระคือ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่จัดการเลือกตั้งของประเทศ เพราะพวกเขาได้โจมตี ต่อต้าน ทั้งด่าทออย่างหยาบคายไร้เหตุผลมาโดยตลอดทางสื่อสาธารณะนี้

 

และแม้ภายหลังประกาศจัดตั้งรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแม้เพียงวันเดียว ASTV1 ก็มิได้แสดงออกถึงการยอมรับรัฐบาลใหม่  ไม่แสดงความร่วมมือร่วมใจในการทำนุบำรุงประเทศ  ด้วยการเปิดฉากการปลุกระดมต่อต้านล้มล้างรัฐบาลทันที  ดังปรากฏในทีวีช่องนี้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551 ที่เอาภาพเก่า ๆ บรรยากาศก่อนการปฏิวัติยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549 มาปลุกระดมการต่อต้านรัฐบาล ทำนองให้สัญญาณแด่พรรคพวกหรือสาวกของทีวีช่องนี้ แล้วรายการต่าง ๆ เช่นอัญชลีพร  เติมศักดิ์ ก็เริ่มเจาะไช ซุบซิบ กล่าวหานินทา นายกรัฐมนตรี รมว.มหาดไทย ฯลฯ คนใหม่ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมออกท่าทีเยาะเย้ยถากถาง อย่างไร้สมบัติผู้ดี  และไร้จริยธรรมการสื่อสารมวลชนอย่างยิ่ง (ด่าเขาอย่างไม่ยั้งคิดว่า คุณสมบัติเลว ๆ นั้นเราเองก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่มีใครดี บริสุทธิ์ในพรหมจรรย์ล้วนสักคนหรอกแม้กระทั่งคนที่ด่าเขานี่แหละ) เป็นการเติมความเกลียดชัง ให้แด่หมู่กลุ่มของตน ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องสำหรับวิถีทางประชาชนกับประชาธิปไตย เพราะไม่ยอมรับวิถีทางการพัฒนาและวิวัฒนาการโดยสถาบันของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย กระทำผิดกฎหมายฐานดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นต่อสาธารณชน  และทั้งผิดมารยาททางการเมือง เพราะรัฐบาลเพิ่งจัดตั้ง ตามมารยาทประชาชนก็ต้องคอยดูผลงานรัฐบาลของตนเสียก่อน  มิเช่นนั้นบ้านเมืองก็อลเวง ปั่นป่วน หาข้อยุติมิได้  คนที่ทำงานก็ไม่มีสมาธิที่จะทำงาน เราควรจะอดทนกันให้มาก ๆ  ถ้าเขามีความผิดจึงดำเนินการไปตามกฎหมาย อันเป็นขื่อเป็นแปของบ้านเมือง(อย่างที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวว่า ขอให้โอกาสในการทำงานของรัฐบาลไประยะหนึ่งก่อน)  นั่นจึงเป็นวิถีทางของจริยธรรมแห่งประชาธิปไตย

 

แต่ประเด็นทางการเมืองนี้ ยังไม่ใช่ประเด็นของเราในวันนี้ หากแต่ประเด็นในวันนี้เป็นเรื่องจิตวิญญาณของบุคคล ระดับผู้นำของ ASTV1 ผู้คุมเกมทั้งหมด ผู้ซึ่งมีพลังอำนาจควบคุมวิถีแห่ง ASTV1 นี้ไปทั้งหมด นั่นคือ สนธิ ลิ้มทองกุล  เพราะบัดนี้เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เขามิใช่นักการเมืองผู้แสดงบทบาททางการเมืองเท่านั้นแล้ว แต่เขาไปไกลกว่านั้น  นั่นคือ ความคิดทางศาสนาและการเมือง  โดยมุ่งหมายจะนำการศาสนามาสนองความต้องการส่วนตัวของเขาเอง

 

และเรามองว่านั่นคือ อันตราย  อันเนื่องมาจากสติปัญญาที่มีอยู่นั้น ถูกสร้างมาอย่างไม่ชอบธรรม เพราะบุคลิกภาพของคนมองโลกในแง่ร้าย  ครั้นเขาเกิดความรู้สึกที่ท้อแท้ เพราะความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิต เขาก็ยอมมองโลก สังคม การเมืองทั้งหมดเลวทราม เป็นสภาพเลวร้ายสำหรับเขาไปทั้งหมด  นั่นหมายความว่า  โลกนี้ สังคมนี้ การเมืองนี้ไร้ค่าสำหรับเขา  มีอุปมาเหมือนเศษสิ่งปฏิกูรที่เน่าเหม็น ฟอนเฟะ สมควรสถานเดียวแก่การทำลายล้างเสีย  ซึ่งตรงกับคำพูดของเขาเองผ่าน ASTV1 เร็ว ๆ นี้ว่า   การเมืองฟอนเฟะ เขาอยากให้มันเน่าเหม็นไปมาก ๆ จนในที่สุดเน่าเหม็นไปทั้งหมดทั้งระบบ จะได้ทำลาย กวาดล้างเสียพร้อมกันทีเดียว 

 

ซึ่งเมื่อมองจากหลักการศาสนธรรมแล้ว บ่งบอกถึงความหลงผิดของเขา อันเกิดจากความเข้าใจตนเองและความเข้าใจธรรมเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่ไม่กระจ่างภายในจิตใจของเขา นั่นคือเข้าใจตนเองว่าบรรลุมรรคผล มีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นแล้ว และย่อมหลงผิดในตัวตนของตนว่าเลิศเลอเหนือกว่าหมู่มนุษย์

 

ซึ่งเรามีข้อเท็จจริงสิ่งพิศูจน์จากการบวชของสนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง  การบวชของเขาทำให้คนทั้งหลายบังเกิดความศรัทธา เลื่อมใสขึ้นอย่างล้ำลึกว่าเขามีญาณทัศนะวิเศษเกิดขึ้นในทางธรรมอันสูงสุดแล้ว   แต่แล้วระยะทางก็พิศูจน์ม้า ระยะเวลาก็พิศูจน์คน เพราะในเวลาไม่นานนัก เขาก็อยู่ในสมณวิสัยสืบต่อไปไม่ได้  ต้องลาสิกขาออกมา   กลับคืนมาสู่ความเป็นมนุษย์ผู้เสพกาม ผมดกดำเหมือนเดิมทุกอย่าง  ซึ่งบ่งบอกว่า เขาไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่ได้  เพราะตามหลักสัจธรรมว่าด้วยมรรคผล หากบุคคลบรรลุมรรคผลแล้วก็บวชเลยไม่หวลกลับมาอาลัยโลกอีก (เหมือนสุชาติ โกศลกิตติวงศ์ อดีตคนทรงสำนักปู่สวรรค์ และเจ้าสำนักหุบผาสวรรค์ที่เลื่องชื่อ ที่ภายหลังบวชแล้วก็หายไปจากโลก เป็นอริยวงฺโสภิกขุมาตราบปัจจุบันนี้)

 

แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล แม้ทั้ง ๆ ที่พ่ายแด่สมณวิสัยมาเป็นฆราวาส  เขาก็ยังคงหลงผิดว่าได้นิพพิทาญาณ   หลงในการบำเพ็ญความดี และบุญทานของตนเอง (เขาโอ้อวดว่า ยังกระทำกิจอยู่ทุกวันไม่เคยขาด มีวัตรสวดมนตร์เช้า สวดมนต์เย็น ฯลฯ)  จึงได้ประณามสังคม การเมือง และระบบทั้งหมดของสังคมว่ากำลังเน่าเฟะไปหมด  และทางแก้ไขมีทางเดียวคือ  กวาดล้าง ทำลายเสียทั้งหมด  อันเป็นผลให้เขามองโลกในแง่ร้ายอย่างลึกซึ้งลงไปอีก และ นั่นเป็นอันตราย คล้าย ๆ ลักษณการของเผด็จการฮิตเลอร์ ในอดีต

 

ซึ่งนี่เป็นลักษณะความเข้าใจผิดในการบรรลุธรรม ระดับนิพพิทาญาณ

 

ในสมัยพระพุทธเจ้า เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้ว  คือกรณีพระสาวกบรรลุนิพพิทาญาณที่ผิด  แล้วมองโลกน่าเบื่อหน่าย เลวทราม ความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา  เป็นสิ่งที่ไม่น่าอยู่ไปหมด  ก็พากันไปกระโดดหน้าผาสิ้นชีพ   นั่นเป็นการบรรลุแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ และหลงผิด  น่าสังเกตมากว่า ขณะนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็กำลังมองโลกแบบผิด ๆ เช่นนั้น เมื่อเขาพร่ำเพ้อถึงกฎแห่งไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา  อย่างไม่ถูกต้อง  เขามิได้มีนิพพิทาญาณที่แท้จริง แต่เป็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่เป็นอันตราย

 

การมองโลกในแง่ร้าย  อันเป็นผลจากชีวิตที่ประสบแต่ความผิดหวัง อันเกิดจากการได้สะสมความรู้สึกของผู้แพ้มาอย่างต่อเนื่อง  จนขณะนี้ ความคิดของเขาคือการทำลายล้าง และมีการมองบุคคล องค์กร และ สถาบันต่าง ๆ รัฐบาล อดีต ปัจจุบัน เลวทรามไปหมด  จนลงสู่ข้อสรุปว่า สังคมฟอนเฟะ การเมืองไร้ความเป็นธรรมไปทั้งสิ้น และโลกกำลังจะพินาศเพราะคนเหล่านี้   ความคิดในทางร้าย การก่อการร้ายจึงเกิดขึ้น  และนั่นแหละอันตราย    

 

เพราะความคิดทำลายล้างโลกลง  อย่างนั้น  นั่นเป็นเพียงความฝัน ในความจริง จะไม่มีใครหรืออำนาจใดใด อาจทำลายโลกได้   หากไม่บรรลุญาณทัศนะที่แท้จริงแล้ว คนผู้หลงผิดเช่นนี้ก็จะหลงผิดต่อไปจนถึงขั้นเห็นผิดต่อสังขาร ตัวตนของตน จนคิด อัตวนิบาตฆาตกรรมตนเองได้  ดังนัยแห่งสงฆ์สาวกหมู่หนึ่งในอดีต ดังกล่าวมา

 

เพราะโดยสัจธรรม  ญาณทัศนะ  นิพพิทาญาณ  จะต้องประกอบด้วยความเข้าใจ 2 ระดับ  คือ ระดับที่ 1  ความหน่าย ความเห็นโลกเป็นทุกข์ อนิจจัง และ อนัตตา  แล้ว  ยังต้องประกอบด้วยความเข้าใจระดับที่ 2 แห่งญาณทัศนะ  คือความรู้แจ้งทางที่แก้ไขปัญหานั้น  ไปด้วย (จะต้องรู้ทุกขอริยสัจ และ มรรคอริยสัจ พร้อมกันไป หรือรู้อย่างสมบูรณ์ด้วย  อริยสัจ 4)  นั่นคือ มรรคญาณ  จะต้องคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ที่สอดคล้องต่อสภาพความเป็นจริงของโลก ของสังคม ของมนุษย์   ไม่ใช่การทำร้ายตนเอง  ทำลายโลกหรือสังคม หรือการเมือง  หรือคิดเปลี่ยนแปลงโลกจากที่โลกเป็นอยู่ 

 

โดยจะต้องบรรลุญาณทัศนะว่า  โลกเป็นเช่นนี้เอง  ไม่มีใคร หรืออำนาจใดจักเปลี่ยนแปลงให้โลกเป็นไปต่างจากที่มันเป็นอยู่เช่นนี้ได้   ความรู้แจ้งเช่นนี้จึงจะเป็นนิพพิทาญาณที่แท้จริง   และเป็นญาณทัศนะที่ถูกต้อง  กล่าวคือมีการสร้างสรรค์ และการเจริญงอกงาม เติบใหญ่  ไปในวิถีทางที่ถูกต้องเป็นวิวัฒนาการ

 

ฉะนั้น  การสังคมไทยทุกวันนี้  จึงกำลังเผชิญปัญหายิ่งไปกว่าการเมือง ที่เป็นการเมืองด้อยพัฒนาเชิงประชาธิปไตย แล้วยังเป็นการเผชิญปัญหาลัทธิหลงผิด  ซึ่งหากสังคมที่บอบช้ำ ไม่มีทางออก เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้ว ไม่ระมัดระวังตั้งแต่ต้นเสียแล้ว  แม้จักเป็นเพียงคนกลุ่มนิดเดียว ก็อาจจักก่อปัญหาอันร้ายแรงขึ้นในภายหลังได้

 

เหมือนกับญี่ปุ่น มีลัทธิโอมชิรินเกียวเกิดขึ้นมา อ้างหลักฌาน-สมาธิสร้างความสุขไปอย่างหลงผิดจนทำให้เกิดความเสียหาย  เสียชีวิตทรัพย์สินประชาชน และวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของชาติ  เกิดภัยวินาสน์ครั้งใหญ่(กรณีรมยาพิษในสถานีรถไฟใต้ดินคนตายหลายร้อยคน)   จึงได้เริ่มมีการจับกุมปราบปรามลัทธิหลงผิดจึงสลายไป.

 

 

 

  •  อรบุศป์ ละอองธรรม
     11 ก.พ.2551

 

 ขอบคุณมาก ๆ ที่ผ่อนหนี้สินให้ประชาชน

เราได้รับโทรศัพท์จากสาวบ้านชนบทอีสาน ดังนี้

ขอบคุณมาก ๆ ที่รัฐบาลท่านเห็นใจประชาชน  เรื่องการกู้ยืมเงินของ ธกส. และ ธนาคาร  ท่านได้แบ่งเบาภาระของประชาชนปีนี้ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ย  ถ้าไม่มีเงินต้นก็ยืดให้เวลาราษฎร    พวกเราขอขอบคุณมาก ๆ   แต่ไม่รู้รัฐบาลใหม่หรือรัฐบาลเก่าที่ออกกฎหมายนี้มา  ดูท่าได้อย่างเนียบเฉียบขาดมาก พวกราษฎรดีใจในผลงานอันนี้ของท่าน  แต่มีเฉพาะนครราชสีมาเขาทำแล้วนะ เอาเงินดอกไปเสียแล้ว  ต้นยังไม่ส่ง    จังหวัดอื่นทำหรือยัง    พอใจมาก ๆ  ขอบคุณมาก ๆ  อยากให้ท่านพิจารณาช่วยราษฎรจังหวัดอื่น ๆ ให้ทั่วถึงทั่วประเทศเหมือนนครราชสีมา  แต่ไม่ทราบว่าจังหวัดอื่นทำแล้วหรือยัง  ถ้ายังไม่ทำขอให้ทำอย่างจังหวัดนครราชสีมา  เพราะราษฎรจังหวัดไหนก็คนเหมือนกัน  ก็คงเดือดร้อนเหมือนกัน เมื่อให้เวลาเขา เขาก็จะได้สบายใจ ตั้งใจทำงานหาเงินอย่างสบายใจ  ผลงานก็จะได้มาก ได้ผลดี   ถ้าทางอื่นให้แล้ว  ทำดีแล้วเราขอขอบคุณ   รัฐบาลไหนทำเราก็ขอชื่นชม และให้ทำความดีต่อไป  ขอขอบคุณบก.นสพ.ดีด้วยที่เป้นสื่อกลางให้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 25

ผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 28 มกราคม2551 เวลา 12.40 น.

นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 25ได้แก่ นายสมัคร สุนทรเวช

โดยนายสมัคร สุนทรเวชได้ 310 คะแนน

และคู่แข่งนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะได้ 163 คะแนน

งดออกเสียง 3 คน  ไม่อยู่ในที่ประชุม 1 คน

 

นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย ได้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2545 เป็นลำดับบุคคลที่ 25 ของหนังสือพิมพ์ดี  ด้วยโปรดคลิกเข้าไปดูบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีพ.ศ.2545 ลำดับที่ 25 

 

 

 

 

 ต่างประเทศ

วาระการเมืองในอเมริกา ประเทศมหาอำนาจต้นแบบประชาธิปไตยโลก กำลังเข้มข้น โดยเริ่มการคัดเลือกตัวแทนพรรคกันก่อน โดยตามระบบอเมริกาให้มีการเลือกตั้งขั้นต้น ตามรัฐต่าง ๆ ไปตามลำดับ  ขณะนี้พรรคที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีโอกาสเข้ามาแทนพรรครีปับลิกัน ที่มี  นายยอร์ช ดับเบิลยู บุช ครองอำนาจอยู่ก็คือ พรรคดีโมแครตซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน มีการต่อสู้ทางนโยบายเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในขณะนี้ และทั้งมีการทำโพลทดสอบเป็นระยะ  ปรากฎว่า ผลการเลือกตั้งขั้นต้นรัฐแรก นาย บารัค โอบามา  วุฒิสมาชิกจากมลรัฐอิลลินอยส์  อเมริกันเชื้อสายเคนยา ได้คะแนนนำนางฮิลลารี คลินตั้น ค่อนข้างห่าง  ถึงกว่า 10 % จนเป็นข่าวใหญ่ที่ผิดความคาดหมายของโลก    นางฮิลลารีคลินตันจะกลับมาเป็นฝ่ายนำชนะโอบามา ได้หรือไม่จึงเป็นเหตุการณ์ที่น่าติดตามต่อไปอย่างยิ่ง  สำหรับคนไทย ได้รู้เรื่องของวุฒิสมาชิกบารัค โอบามาค่อนข้างน้อยมาก      หรือแทบไม่ได้ยินชื่อเลยก็ว่าได้    ส่วนนางฮิลลารี รอดแฮม คลินตั้น  เธอเคยเดินทางมาเมืองไทย กับประธานาธิบดีคลินตั้น หลายครั้งจนเป็นที่รู้จักดีของชาวไทย และ ยังได้มีเหตุการณ์ที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือกรณี คลินตัน-ลูวินสกี้ คราวนั้น  ฮิลลารี คลินตัน ได้ชื่อว่าทำหน้าที่พิทักษ์เสาเอกทำเนียบขาวไว้ได้อย่างดี  เราได้บันทึกเหตุการณ์คราวนั้นไว้อย่างค่อนข้างละเอียด โปรดคลิกเพื่อตามไปอ่านเรื่องราว ฮิลลารี กับกรณีอื้อฉาวของสามีเธอ คลินตั้น-ลูวินสกี้>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

 

 

 

โดย เปาฉือยุ่น

(..จำเริญ ศรีบุญเรือง).๑ ร..วัดมหาพุทธารามวิทยา

 

อ่านบทกวีอำนวยพรเพิ่มเติมคลิกที่นี่>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

 

 

 

 

38.     บันทึกประเทศไทย  3

 

          มาแล้ว อารยะขัดขืน
          วจีธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

 

 

 




เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ระหว่างเดือน เมษายน 2553 - ปัจจุบัน
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ระหว่างเดือน ก.พ.- 22 เม.ย.2553
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วระหว่าง ก.ย.2552 - ก.พ. 2553
เฝ้าดูฯ มิ.ย.-ก.ย.2552
เฝ้าดูฯม.ค.-มิ.ย.2552
เฝ้าดูฯธ.ค.2551
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วพ.ศ.2551 ภาคปลายปี ก.ย.- ธ.ค.2551
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วพ.ศ.2551 กลางปี
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2549-2550
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2546-2548
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2543-2545
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2542
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2541
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2540
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2539
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2538
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2537
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2536
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว หน้าโฮมเพจ article
Headline



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----