หนังสือพิมพ์ดี The Good Paper
วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน
เล่มที่ 8
ประจำเดือน ธันวาคม 2540
เพื่อการศาสนาสากล : FOR ALL THOUGHT
1. บทกวีแห่งความสว่างใจ
2. หน้าบอกสถานะของเรา
3. บาลีนิพนธ์ ปัญฺญาธรเถรปูชา
4. 5 ธันวาคม 2540 ภูมิพลมหาราชสดุดี
5. มิถิลายังไม่สิ้นคนดี พระราชนิพนธ์ มหาชนก
6. คอลัมน์บันทึกการท่องเที่ยว เสือไฟ
7. บทบรรณาธิการ รายงานการสำรวจความคิดเห็นปฏิรูปการคณะสงฆ์
8. คอลัมน์เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
81 รู้ธรรมนำชีวิต จินตคณิต
82 รักษ์มนุษย์ เอดส์ภัยมนุษย์ยุคใหม่
9. ยิ้มสำรวม
10. จดหมายถึงบรรณาธิการ ; ปัญหาอริยบุคคล-โสดาบัน
11. ประชาธิปไตยสงฆ์ : จะปฏิรูปไปทำไม ปัญหาการปกครองบวกการศึกษา
12. กัลยาณมิตร ท่านยังไม่รู้จักพุทธทาสภิกขุ 5
13. สากลจักรวาล สากลศาสนา
14. ประวัติของผมฯ พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3
15. ใบสำรวจข้อมูล ครั้งที่2
16. เจ้าภาพประจำเดือน
บทกวีแห่งความสว่างใจ
ใช่รวิวรรณจันทร์กระจ่าง ใช่สว่างอัคคีใด
พระธรรมผ่องอำไพ สว่างในจิตตาทร
สว่างแล้วพลันผ่องแผ้ว แม้นนางแก้วชุลีกร
โอมอ่านพระธรรมสอน ทั่วนครได้เคลื่อนคลา
พระธรรมหากแฝงอยู่ ปราชญ์ผู้รู้ดูลีลา
ระเบียบแห่งภาษา สะท้อนแสงสว่างใจ ฯ
หน้าบอกสถานะของเรา
เล่มที่ 8
วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน รายคาบ
วัตถุประสงค์ : เพื่อการนำความคิดไปสู่ความดีงาม,
เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา :
FOR ALL GOOD, FOR ALL THOUGHT
ประจำเดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐
คณะที่ปรึกษา ดร.นันทสาร สีสลับ
-กรรมการอำนวยการ และ เลขานุการองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์ แห่ง โลก (พ.ส.ล.)
-อดีตกรรมาธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นและประชาสัมพันธ์ สสร. ศรี สะเกษ
-อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
-ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ
-เลขาธิการสมัชชาศิลปวัฒนธรรมไทย
บรรณาธิการ : พระพยับ ปญฺญาธโร
-ปญฺญาธโรภิกฺขุ พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3
-อดีต ร.อ.พยับ เติมใจ กองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า
-อดีตเจ้าอาวาสวัดโนนน้อย
-อดีต รก.เจ้าอาวาสวัดโคกกลาง
-อดีตวิทยากรโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง สศก.
-อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
-(อดีต) ผู้จัดการ ร.ร.พระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา วัดมหาพุทธารามวิทยา
-ที่ปรึกษาพุทธสมาคมจังหวัดศรีสะเกษ
-กรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ
-เลขาธิการมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
กองบรรณาธิการ มหาเก่า เข่าขี้เมี่ยง เซียงบ้านนอก
-นายแสงทอง มะลิวงษ์
-เลขานุการองค์การบริหารส่วนตำบลฮ่องข่า
-อาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านดีเด่น(อปม.ดีเด่น) ประจำปี ๒๕๔๐ ของจังหวัดศรีสะเกษ
-ประธานอาสาสมัครแจ้งข่าวอาชญากรรม กรมตำรวจ
-หมอดินอาสา กรมพัฒนาที่ดิน (ประธานรุ่น)
-กรรมการศึกษาดีเด่น ร.ร.บ้านฮ่องข่า
-อาสาสมัครสาธารณสุข ม.8 ต.หนองอึ่ง
-อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ 2 สมัย และ
-ไวยาวัจกรวัดบ้านฮ่องข่า
โลเกก แห่ง น.ส.พ..ประชาธิปไตย
พิมพ์ที่ : มูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร) -วัดมหาพุทธาราม ถนนขุขันธ์ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ๓๓๐๐๐
โทร-โทรสาร : (๐๔๕) ๖๒๒๔๕๕
-ติดต่อสะดวกที่ ตู้ ปทจ.5 ศรีสะเกษ 33000
การแจกจ่าย
- เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ
-วงการสงฆ์
-วงการบริหารบ้านเมือง
-หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์
ปัญญาธรเถรปูชา
ปญฺญาธรเถรปูชา กาเยนวจมนสา
สาธุพุทธสุคุเณวา ธมฺมสงฺเฆวาหรมิ ฯ
สาธุครุคุณนิธิ มาตาปิตุจเมปีติ
ภูมิราชชินปาตี อหํตาสานํตกฺกยึ ฯ
อหํปญฺญาธรเถโร ธมฺมํวทมิปูชาย
โยธมฺโมวิราโคโหติ ตํธมฺมํอภิปูเชมิ ฯ
โยชโนวิราโคโหติ ตํชนํอหํวนฺทามิ ฯ
๕ ธันวาคม ๒๕๔๐
ภูมิพลมหาราชสดุดี
ขัตติยราชสกุลวงศ์พระองค์ใด อาจชุบสงฆ์ทรงสมัยในศาสนา
ขัตติยราชอาจองทรงวิชชา พระองค์นั้นย่อมปรากฏยศไกร ฯ
พระองค์ใดได้วิมุตติสุดวิโมกข์ ชื่อว่าโศรกสิ้นเชื้อไม่เหลือไหล
คือพงศ์พุทธสุดแผ่นในแดนไตร เป็นธงชัยพุทธศาสน์ราชอาณา ฯ
ผิว์ทรงธรรมล้ำรัฐกษัตริย์เกษตร เทียวประเวศน์ฤาหยุดพระอุตส่าห์
ชื่อโพธิสัตว์ทรงองค์กษัตรา ทั่วโลกหล้าเกริกเกรียงเสียงสดุดี ฯ
พระผู้พื้นแผ่นดินสิ้นสยบ จรดทศนขนบจบราศี
เพียงฝนฝานธารวิปโยคโศรกธรณี ล้างแผ่นนี้เกลี้ยงกลดหมดจดงาม ฯ
พระผู้เผ่าภูธเรศเกษเมืองแก้ว พระผู้แผ้วภูวดลชนสยาม
พระผู้ผ่องผองพระยศปรากฏนาม มหาราชเรืองราม ภูมิพล ฯ
บานไม่รู้โรย(บมร.) ประพันธ์
มิถิลายังไม่สิ้นคนดี
"........พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ไว้ใจได้ และจะ ประดิษฐาน "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี..."
"....... Wise King you do not hae to wooy; I still have some good dependable disciples and The Pudalay Mahavyjalaya will be established. Mithila is not yet a a loss for good people! …
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ
His Majest King Bhumibol Adulyadej
เรื่อง พระมหาชนก The Story of MAHAJANAKA
คอลัมน์บันทึกการท่องเที่ยว
เสือไฟ
Felis termmincki
พบในธิเบต สิกขิม จีนฯ ไทย รูปร่างเพรียว ตัวขนาดสุนัข สีน้ำตาลแกมแดง
ชอบอยู่ตามป่าโปร่ง ไม่ชอบขึ้นต้นไม้ กินสัตว์เล็ก ๆ เช่นกระต่าย ไก่ป่า
ตั้งท้องประมาณ ๙๕ วัน ตกลูกครั้งละ ๑-๒ ตัว อายุยืนประมาณ ๑๘ ปี
…สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ ๑
เสือไฟ !
อายุมันเพียง ๑๘ ปีเท่านั้นเอง
แต่มันอยู่ในกรงแคบ ๆ นี้มานานเท่าไรแล้ว ก็ไม่รู้ จนมันเชื่อง และช้า
น่าสงสารมันเหลือเกิน !
เวลาค่ำสลัวลงแล้วเช่นนี้ มันได้แต่มองลอดซี่กรงออกไป อย่างเลื่อนลอย
ราวกับมันจะบอกลาอาลัยแสงตะวัน ที่กำลังจะลับโลก
อายุมันเพียง ๑๘ ปี ไม่นานเลย !
มันคงจะคิดได้แล้วว่า อีกไม่นานมันก็จะตายไป และพ้นไปสู่อิสรภาพ
มองตามสายตามันทอดไปไหน ?
อ๋อ ! แนวป่าลำดวน แนวห้วย โล่ง ลุ่ม และชุ่มเย็น
มีหมู่ไม้ดอก กำลังบานไสว ลู่ลมอ่อนต้นฤดูหนาว
เสือไฟ ! มันมีอายุยืนเพียง ๑๘ ปี อีกไม่นานมันก็คงจะพ้นทุกข์
เราเป็นมนุษย์มีอายุ อาจจะยืนถึง ๑๑๘ ปี
แต่เรายังคิดไม่ออกเลย ว่าจะทำงานของเราให้สำเร็จได้อย่างไร
ในชั่วชีวิตเรามีนี้
จะมีความเบิกบาน เป็นสุขสดชื่น ไร้กังวล
เหมือนหมู่ไม้ดอกแดงไสว พุทธรักษา เหล่านั้น หรือไม่หนอ ?
หรือเราจะเป็นเพียงเสือไฟ อีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ?
ตัวที่ถูกจำขังด้วยโซ่ตรวนแห่งภาระหน้าที่ ที่ไม่อาจปลดเปลื้องได้ ฯ
บานไม่รู้โรย
(สวนสมเด็จฯ ศรีสะเกษ ๙พ.ย.๔๐)
บทบรรณาธิการ
นี่คือ หนังสือพิมพ์ดี :วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน ฉบับปรับปรุงยกระดับ ประจำเดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐
คณะเราได้รำลึกแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการบูชา
“อหัง ตาสานัง ตักกยึง“
ดี ฉบับแรกนี้ ท่านผู้อ่าน เพื่อนสหธัมมิกจะได้พบคอลัมน์ใหม่ ๆ
เฝ้าดูวั ฒนธรรมโลกจากจอแก้ว จากช่อง ๙ ล้วน ๆ รายการรู้ธรรมนำชีวิต: ปัญหาจินตคณิต - รายการรักษ์มนุษย์: ปัญหาเอดส์ เราได้ให้ข้อคิดไว้ตรงไปตรงมา ตามแบบฉบับของเรา เมื่อมองดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
สากลจักรวาล สากลศาสนา ในความหมายฟ้าเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน ไม่มีความหมายแห่งความเป็นอื่น เป็นการเปิดคลังมันสมองห้องสำคัญของ ธรรมสามี โปรดพลิกไปชม
คอลัมน์ประจำ จดหมายถึงบรรณาธิการ: ปัญหาอริยบุคคลโสดาบัน ระดมความคิดเข้ามาเถิด ประชาธิปไตยสงฆ์: จะปฏิรูปการปกครองสงฆ์ไปทำไม วิเคราะห์ผลเมื่อปัญหาการปกครองมาบวกเข้ากับปัญหาการศึกษาของสงฆ์ เกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามอ่านให้ได้
ท่านยังไม่รู้จักพุทธทาสภิกขุ ๕ วิเคราะห์หนังสือที่มีเนื้อความต่อเนื่องกัน แม้ว่าจะอยู่ห่างกันถึง ๔๙ ปีของท่านพุทธทาสภิกขุ ไกลกิเลสวิเคราะห์เหมือนเดิม
ฉบับที่แล้ว ฉบับสามเดือน ไม่มียิ้มสำรวม ? ใครบอกอย่างนั้นครับ ! มี ! อยู่ในหน้าวิเคราะห์การศึกษาสงฆ์นั่นเอง หน้า ๓๑ อย่างไร ! ฉบับนี้มียิ้มสำรวมตอน พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ และตอน ผมก็เป็นสมเด็จ !
ครับ ! สอบธรรมสนามหลวงก็ผ่านไป ตั้งแต่ ๑๕-๑๘ พ.ย.๔๐ แล้วก็คงหนักงานตรวจข้อสอบต่อไป ! เอาละ !
เราจะขอรายงานในหน้าบรรณาธิการนี้ เกี่ยวกับ ผลการสำรวจข้อมูลชุดที่ ๑ เนื่องจากประเด็นของเราเพียงประเด็นเดียวแคบ ๆ คือถามว่าเห็นควรปฏิวัติหรือปฏิรูป
หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุงหรือเห็นว่าดีอยู่แล้ว หรือไม่ควรคิดเลย เท่านี้เอง จึงไม่เพียงพอที่จะพูดอะไรมากเกินไป นอกจากพูดไปตามข้อมูลที่ได้ ก็ได้พบว่าทุกคำตอบที่ได้มา ล้วนเห็นสมควรแก้ไขปรับปรุงระบบสงฆ์ให้ดีขึ้นทั้งสิ้น แม้ที่เห็นไปสุดเหวี่ยงก็มีคือเห็นควรปฏิวัติระบบสงฆ์ ก็ยังมีอยู่ถึง ๒ ราย แม้ว่าแบบสอบถามได้กลับคืนมาน้อยเพียง ๒๔ % ของแบบสอบถามที่ส่งออกไปทั้งหมด แต่เราก็ได้ตัวแทนกลุ่มชนทุกกลุ่มเหล่า มีที่น่าสนใจก็คือกลุ่มเพื่อนเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งมีบางท่านตอบกลับมาอย่างแทบว่าทันทีทันใด เพราะแบบสอบถามออกไปวันที่ ๒๖ ส.ค. ๒๕๔๐ เพื่อนส่งข้อมูลกลับมาถึงใน ๒๘ ส.ค.๒๕๔๐ เป็นฉบับตอบกลับเร็วอันดับหนึ่ง ข้อมูลแผ่นสุดท้ายเข้ามาเมื่อ ๕ ต.ค.๒๕๔๐ รวมเป็นข้อมูลกลับมาทั้งสิ้น ๕๖ ชุด แต่มีตัวแทนกลุ่มผู้อ่านเข้ามาครบ รวมทั้งกลุ่มท่านผู้มีอุปการคุณในการก่อตั้งมูลนิธิ ฯ อาจารย์นักวิชาการในสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วย กลุ่มสภาวัฒนธรรมจังหวัดด้วย กลุ่มประชาชนด้วย แต่ส่วนมากเป็นกลุ่มพระสงฆ์ เพื่อนสหธรรมิก และอืน ๆ
ส่วนข้อมูลที่ได้จากคำถามเปิดอีกข้อหนึ่งนั้น ได้บอกให้ทราบสถานการณ์ภายในภายลึกบางอย่างที่มีเค้า น่าศึกษาติดตามต่อไปอีก
ข้อสรุปที่ได้ในขณะนี้ก็คือพอจะมองเห็นแนวโน้มการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาในวงการคณะสงฆ์ของหมู่สงฆ์เอง โดยจะต้องมีการแก้ไขสภาพที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น สงฆ์มีความอึดอัดกับสถานภาพใดนั้นน่าศึกษาต่อไปอีกสักหน่อย ฉะนั้นเราจึงได้ผนวกแบบฟอร์มการสำรวจข้อมูลไว้ท้ายเล่มทุก ๆ รายคาบที่ออกและขอความร่วมมือให้ข้อมูลเรามา หากว่ามีความพอใจหรือมีความสะดวก
ในส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ได้ เป็นปัญหาความสงสัยในธรรมะ และปัญหาการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือสำเร็จมรรคผล นิพพาน ซึ่งเราจะพยายามเสนอสนองมากกว่าในรูปการตอบปัญหาเท่านั้น และมีข้อมูลส่วนหนึ่งที่เป็นเชิงขอร้องให้ควบคุมดูแลความประพฤติให้สงฆ์เป็นนักบวชที่ดี ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ในทัศนะของเราซึ่งเราถือว่าได้ข้อสรุปแล้วเห็นว่า ตัวระบบนั้นเป็นเหตุใหญ่ของปัญหาความประพฤติของหมู่สงฆ์ ในขณะนี้ สงฆ์-สามเณรมีความกดดันมากอยู่แล้ว ด้วยสิ่งแวดล้อมใหม่แห่งยุคสมัย หากเคร่งครัดด้วยการข่ม ด้วยการออกคำสั่ง ด้วยการควบคุม แต่ไม่มีการปรับปรุงเรื่องระบบให้ถูกต้อง ที่สอดคล้องแนวทางการปฏิบัติธรรมที่มุ่งหมายสู่มรรคผลหรือการดำรงชีพอย่างนักบวชผู้มุ่งสู่ความสงบแล้ว กลับจะเป็นผลเสียหายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมิได้มีการผ่อนคลายเลย
การแก้ไขในเรื่องระบบการปกครอง การศึกษา จึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ซึ่งเราได้เสนอปัญหาและชี้แนวทางแก้ไขไว้โดยตลอดมาแล้ว และจะต้องเสนอต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดมโนธรรม และปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในปัญหาการคณะสงฆ์ไทยและสากล
อย่างไรก็ดี เราขอแสดงความขอบคุณเพื่อนสหธรรมิกที่ให้ข้อมูลเข้ามาป็นส่วนใหญ่เกินกว่าที่คาดไว้ และขออนุโมทนา พุทธบริษัทฆราวาสญาติโยมที่ให้ความร่วมมือในการสำรวจข้อมูลอย่างเป็นที่น่าพอใจยิ่ง
เราคิดจะทำอะไรใหม่ ๆ ต่อไปไม่หยุดยั้ง เช่นเราจะเสนอนิทานธรรมยุคใหม่ หากเป็นไปได้คงจะพบในฉบับหน้า ปีใหม่ ๒๕๔๑ จะมีนิทานธรรมะ ที่เขียนขึ้นด้วยจินตนาการใหม่ที่สอดคล้องยุคสมัยนี้ ที่จะแปลกแตกต่างจากนิทานสมัยเก่าก่อน ที่พวกเรายังคงต้องเล่าแล้วเล่าอีก เพราะคนบางกลุ่มบางพวกก็ยังคงชอบฟัง ขอเชิญติดตามได้ ติดตามดูการเพิ่มพูนซึ่งคุณภาพลงไปในหนังสือพิมพ์ดีฉบับนี้เรื่อยไปไม่หยุดยั้ง เรา ยังมีอะไรดี ๆ อยู่อีกมากมาย
เช่นเราจะเสนอทฤษฎี ธรรมะแบบสนุกบรรลุเร็ว สำหรับยุคสมัยที่เร่งรีบ โปรดติดตาม นะครับ
และแม้ทฤษฎีหรือแนวปฏิบัติแบบเก่า เราก็จะมีเสนอ ครบทุกแบบแหละครับ โปรดติดตามพิศูจน์
หันมาดูการเมืองบ้าง
รัฐบาล ฯพณฯพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็ได้ผ่านไป ท่านก็ได้พยายามทำดีที่สุดแล้ว หากแต่คนอาจจะไม่เห็น หรือเห็นแต่ก็ไม่มีน้ำใจที่จะให้ เพราะเรายากจนกันเหลือเกิน ความหิวความอดโซความเหน็ดเหนื่อย ทำให้คนไร้เหตุผล และไร้น้ำใจ นี่เป็นธรรมดา ดูเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่นั่นเถิด อย่าประมาท กับคนหิว คนอด คนโซ ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเรา แม้พระพุทธองค์ก็ยังไม่ทรงแสดงธรรม เมื่อคนยังหิวจัดอยู่
รัฐบาลใหม่ ของ ฯพณฯชวน หลีกภ้ย เข้ามาแทน ในสภาวะอันวิกฤตทั่วโลก เราก็ เห็นใจ เพราะหากทำไป ๆ แก้คนอดคนโซไม่ได้ เขาก็จะแว้งเข้าใส่เหมือนเดิม ตามธรรมดาคนหิว-อด-โซ นั่นแหละ ทุกวันนี้เราอยู่บนสัจธรรมที่ว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งหลายที่ สับสนและรุนแรง อย่างค่อนข้างไร้เหตุผลอยู่ขณะนี้ เนื่องมาจากสิ่งเดียวคือ ความอด ความหิว ความโซ แม้แต่มโนกรรมที่จินตนาการไปถึงความอด ความหิว และความโซ เพียงมโนกรรม ก็ ทำให้คนลืมเหตุและผลเสียได้ เราก็ขอให้กำลังใจรัฐบาลชวน ให้ทำงานกันต่อไปให้ได้ด้วยใจเสียสละ ที่พยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อความดีงามมีรอตอบแทนในวันข้างหน้า เพราะมีงานมากมายเหลือเกินที่รอให้รัฐบาลทำ เท่าที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่มีเวลาพอแม้เพียงจะคิดก็ไม่ทัน จะได้คิดด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะอายุของรัฐบาลแต่ละรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยไทยตลอด๖๕ ปีที่ผ่านมานี้ มีอายุสั้นเหลือเกิน ปัญหาที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขจะต้องทำก็ทับถมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนนานเข้าเราก็หนัก แอ่นและล้าหลังลงไปทุกที ในขณะนี้ เรามอง ๆ ดู คล้ายว่าคนไทย เราไร้หลักการไปแทบทุกอย่าง แม้หลักทางวัฒนธรรมความเชื่อทั้ง ๆ ที่มีศาสนาประจำ ชาติเเป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งน่าวิตกว่าจะถูกหลอก หากมีนักแสดงกลเข้ามาเปิดการแสดงขนาดใหญ่แล้ว เขาอาจหลอกดูดเอาเงินในกระเป๋าเราไปได้หมดเกลี้ยงทั้งประเทศ เพราะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ขาดจินตนาการแห่งเหตุและผล มักคล้อยตามเขา ง่ายดายเกินไปในทุกสิ่งทุกอย่าง รับเอาอะไร ๆ ที่เข้ามาไว้หมดทุกสิ่งทุก อย่าง โดยไม่คำนึงว่าจะเหมาะสมแก่ตนหรือไม่
เราจึงปรารถนาให้รัฐบาลไทย การเมืองไทยมีความมั่นคง เพราะการเมืองไทยได้เป็นผลเสียต่อประเทศชาติ ต่อประชาชนมามากเหลือเกินแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข หรือแม้เพียงได้มีการมองดู ก็ ไม่มีเสียแล้ว นั้น อันรวมถึงปัญหาทางด้านการศาสนาอันเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของประเทศด้วย เพราะการปกครองของชาติเป็นไปตามระบอบใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ การปกครองทุกระบบในราชอาณาจักรจึงต้องอนุวรรตตามไประบบภายนอกและระบบภายในจะต้องประสานสอดคล้องกัน บ้านเมืองจึงจะ เป็นเอกภาพและก้าวเดินไปพร้อมกันอย่างเข้มแข็ง
เราคงจะพากันตระหนักดีแล้วว่า การเมืองเรายังด้อยพัฒนาการ น่าที่จะมีคณะครู อาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือปราชญ์ผู้รู้ในวงการประชาชน วงการสงฆ์ รวมกลุ่มกันเข้าเพื่อคอยดูแลเรื่องการเมือง ดูแลวงการบริหารระดับชาติ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการทางการเมืองการบริหารตามระบอบประชาธิปไตยและหลักคุณธรรม และคอยออกเอกสารการวิเคราะห์การเมืองออกมาเป็นระยะ ๆ ให้เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่มีลักษณะเป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นธรรมยิ่ง กว่าวงการหนังสือพิมพ์ไทยทำอยู่ฯ
สำหรับหนังสือพิมพ์ดี เราคิดว่า การให้ธรรมเป็นทาน เป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องทำตลอดไป และในวันนี้เราเชื่อว่าสิ่งที่เราได้กระทำไปเป็นความสุจริต ความดี แล้ว
พบกันฉบับหน้า ! ขอเจริญพรและสวัสดีครับ .
บรรณาธิการ
ธันวาคม ๒๕๔๐
(คอลัมน์ เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.๒๕๔๐)
ต่อต้านเอดส์ ต่อต้านอนารยธรรม
โดย คอมพิวเตอร์แมน และ บูดามี
รู้ธรรมนำชีวิต
ช่อง ๙ ๑๒ พ.ย.๒๕๔๐ เวลา ๐๕๓๐-๐๕๕๐ น.
จินตคณิต ต่อเป็นวันที่๓ วันนี้ท่านอาจารย์นักธรรมประยุกต์ระดับสากล คือท่านอาจารย์วิเชียร ไตรวงศ์ไพศาล ได้นำลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ มาด้วย ๔ คน อายุ ๗-๘-๑๐-๑๑ ปีตามลำดับ มาให้คุณอภิชาติ หาลำเจียก ผู้ดำเนินรายการ และ พระมหาต่วน สิริธมฺโม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ได้พิศูจน์และศึกษา ผลการพิศูจน์ก็ยืนยันความฉลาดความมีประสิทธิภาพที่รวดเร็วแม่นยำและถูกต้องไม่มีผิ ดพลาดในการคำนวนโดยวิธีจินตคณิต โดยประการที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือสามารถเอาชนะคอมพิวเตอร์ได้
จินตคณิตนี้ ได้เคยมีรายการโทรทัศน์ชั้นนำนำมาเผยแพร่แล้วครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอะไร ๆ โดยมีการพิศูจน์กันชัดเจน ในครั้งนั้นได้นำนักการธนาคาร นักการขาย แม่ค้าที่คิดเงินอยู่เป็นประจำวันมาแข่งคิดด้วย และพิเศษได้นำ นักเรียนระดับมัธยมปลาย ๒+๓ คนที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์โลกมาแล้วมาร่วมแข่งขันกับเด็กนักจินตคณิตจำนวน ๑ ชั้นเรียน ประมาณ ๒๐ คนด้วย ซึ่งผลปรากฎว่าขณะที่นักเรียนทั้งชั้นจินตคณิตได้คำตอบไปแล้วและเหมือนกันทุกคน ถูกต้องทุกคนไปแล้ว โดยไม่มีคนใดผิด พร้อม ๆ กับการอ่านโจทก์ของกรรมการสิ้นสุดลงก็ได้คำตอบขึ้นมาทันทีนั้น
แม้นักเรียนที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิคมายังดูงุ่มง่ามอยู่นานกว่าจะได้คำตอบออกมา แม่ค้าแม่ขายนักธนาคารการเงินบางคนก็คิดได้คำตอบผิดเสียอีกนั้นเป็นที่น่ าตื่นเต้น และวงการศึกษาคงตื่นตัวกันอย่างมโหฬาร ต่อมาได้มีหนังสือพิมพ์ฉบับที่ก้าวหน้ามีวิสัย ทัศน์ฉบับหนึ่งได้นำมาเผยแพร่ต่อ
สิ่งที่ผู้ประดิษฐวิธีการจินตคณิ ตขึ้นมานี้ ท่านเหล่านั้นเองได้บอกคนทั้งหลายไปว่า ได้ใช้หลักการของสมาธิในพระพุทธศาสนา ซึ่งวันนี้กลับแกล้งถามพระว่า “ความอัศจรรย์ของสมาธิเป็นอย่างไรในทัศนะพระพุทธศาสนา ?” (คล้ายจะเลียบลองภูมิพระ ว่าอยู่กับพุทธศาสนาแท้ ๆ รู้จักอะไร ๆ อย่างที่โยมเขารู้จักหรือไม่ ?)
เรื่องจินตคณิตนี้ เห็นได้ว่าผู้ปกครองเด็ก ประชาชนทั่วไปตื่นตัวกันมาก และรู้สึกว่าเป็นเรื่องภูมิปัญญาเอเซียหรือพุทธศาสนา ต้องสรรเสริญท่านอาจารย์ที่ฮ่องกง ที่นำเอาหลักสมาธิในพระพุทธศาสนามาฝึกทดลองและประสบผลสำเร็จขึ้นมาและชาวไทยผู้รู้ในชั้นเชิงการศึกษาและธรรมะก็หยิบนำมาใช้ต่อ โดยโรงเรียนที่ก้าวหน้าทางความคิดปัญญาให้ความร่วมมือพิศูจน์ ทดลองจนให้ความมั่นใจและซาบซึ้งในหลักการหรือเหตุผลแห่งความเป็นไปได้ จนได้ข่าวว่าแม้สถาบันการศึกษาของอเมริกาเองก็ตื่นตัวได้จัดส่งบุคคลทางการศึกษามาติดตามศึกษาดูวิธีการจินตคณิตนี้
ถามว่าเป็นหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ตอบว่า เป็นหลักการธรรมชาติที่อาจอธิบายได้โดยทะลุปรุโปร่งโดยผู้เชี่ยวชาญทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนา (ต้องผู้เชี่ยวชาญทางปฏิบัติ ผู้รู้ทางทฤษฎีจะไม่สามารถเข้าใจได้) และสำหรับอเมริกาเขาคงจะก้าวหน้าเร็วในเชิงจินตคณิตนี้ เพราะเขารู้ว่าอะไรดีเขาก็จะเร่งส่งเสริม ผิดกับเมืองไทย ที่ขณะนี้รัฐบาล หรือผู้บริหารวงการศึกษาระดับชาติยังไม่มีทีท่าว่าจะมองดูบ้างว่าจินตคณิตนี้คืออะไร จะพอลองแสวงหาประโยชน์เพื่อประเทศชาติจะได้ก้าว เป็นผู้นำเขาบ้างได้ไหม รัฐบาลไทย วงการบริหารไทยช้า ก็เพราะส่วนสติปัญญาช้านั่นเองเป็นเบื้องต้น
จินตคณิต หากใช้เป็นสากลในความหมายว่า จินตนาการในเชิงเหตุผลแล้ว ก็อาจจะใช้ได้ในทุกวงการ ในอเมริกาเห็นมานานแล้วว่า จินตคณิต เป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งชาติอเมริกาใช้อยู่เป็นปกติประจำวัน ประเทศชาติเขาจึงมีพลังทางสติปัญญาสูงอันส่งผลให้เจริญก้าวหน้ามาก ในวงการเมืองเห็นได้ชัดเจนจากผู้นำนักบริหารของชาติ สังเกตจากการพูด การปราศรัย การใช้คำพูดของผู้นำของเขา โดยเฉพาะการกล่าวปราศรัยและการพูดของประธานาธิบดีคลินตั้น ที่เป็นอย่างสุด ๆ ของจินตคณิตในการพูด กล่าวคือ มี จินตนาการนำไปจนสุดแล้วคำพูดก็ติดตามร่องรอยแห่งจินตนาการไปไม่ผิดร่องรอยนั้น แล้วเปล่งเป็นเสียงออกมา นั่นก็คือคำพูดทุกคำพูดเหยียบย่างตามรอยฝีก้าวแห่งจินตนาการไปทุกรอย และทั้งหมดนี้มีสมาธิ เป็นตัวขึงบรรยากาศทั้งหมดให้นิ่ง ให้สงบสงัด(ในจิตใจ) ฉะนั้นจึงเกิดจินตนาการและเกิดการกลั่นกรองคำพูดให้สอดคล้องกับจินตนาการ ดูรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐซึ่งเป็นผู้หญิงก็ได้ มีจินตคณิตในดวงใจ เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เลยไปถึงระบบภาษาของอเมริกันเขา ทีมีตัวอักษรน้อยตัว เพียง ๒๖ ตัวเท่านั้น แต่สามารถสร้างความหมายแห่งภาษาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ การพูดของชาวอเมริกันจึงเป็นภาษาที่มีการนำโดยจินตคณิต คือระบบภาษาพูดของเขามีจินตนาการนำไปเสมอ ไปสุดความหมายก่อนแล้วเสียงจึงเปล่งตามมาเสมอ เป็นเหตุให้เขาฉลาดมาก ผิดกับหลักการภาษาไทย หรือที่แย่กว่าก็คือระบบการเรียนการสอนภาษาบาลีในวัด ทีเต็มไปด้วยหลักการแห่งความยึดมั่นถือมั่น และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจินตคณิตอยู่ในระบบภาษา ขาดเหตุผลในเชิงที่สร้างสรรค์หรือการทำให้เกิดหิตานุหิตประโยชน์อยู่ในระบบภาษาเท่าที่ควร (ควรจะปฏิรูปภาษาไทยกันได้แล้ว ซึ่งคงจะต้องเริ่มที่พจนานุกรมกันก่อน โปรดดู พจนานุกรมไทย ของมานิต มานิตเจริญ มีแนวคิดในการปฏิรูป ภาษาไทย ในหลายประเด็นที่ทันสมัยถูกหลักการไม่ยึดมั่นถือมั่น อันเป็นหลักการของศาสนาบริสุทธิ์)
จินตคณิต ของท่านอาจารย์วิเชียร ไตรวงศ์ไพศาล จึงเป็นปรากฎการณ์ที่น่าจะเรียกว่ายิ่งใหญ่ในวงการศึกษาวันนี้ เพราะอาจสามารถพัฒนาประยุกต์ใช้ได้กับวิชาหรือกิจกรรมการงานอื่น ๆ ใดใดได้ทั้งสิ้น
สมาธิเป็นตัวการ นั่นถูกต้องแล้ว แต่จินตนาการ เป็นขั้นการพัฒนาการไป สมาธิจึงเป็นสิ่งที่เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ร้าย สิ่งที่ต้องระวังก็คือ จินตนาการ นั่นเอง การเรียนการสอนในระบบนี้จะต้องระวังว่า นิสัยอย่างไร ที่จะอาจป้องกันจินตนาการฝ่ายร้ายได้ ให้มีแต่จินตนาการฝ่ายดีอย่างเดียว จะต้องมีระบบการสร้างนิสัย นั่นถูกต้องแล้ว
อธิบายให้เป็นรูปธรรมชัดขึ้นในประเด็นนี้ก็คือ ท่านจะสร้างภาพวีรบุรุษอย่างไรให้เกิดขึ้นในจินตนาการของเด็ก ๆ นักจินตคณิตระดับก้าวหน้า ?
นักจินตคณิตในระดับก้าวหน้านั้น ก็หมายถึงแนวทางพัฒนาไปแห่งสมาธิ จากจุดเริ่มต้นที่วางไว้ถูกทางแล้วในวันนี้นั่นเอง จาการฝึกโดยจินตคณิตนี้จะมีโอกาศพัฒนาด้านสมาธิไปได้มากแม้ว่าหากมองจากมุมของนักบวชแล้วสมาธิระดับเด็กนักเรียนใช้อยู่นี้ แท้จริงก็เป็นเพียงสมาธิธรรมดา ๆ ของเด็ก ๆ ทั่ว ๆ ไปใคร ๆ ก็ทำได้เท่านั้นเอง(ระดับที่ใช้เพียง ความตั้งใจ และเด็กทั่ว ๆ ไปก็เรียนได้) แต่โดยวิธีการเรียนแบบนี้จะสามารถสร้างสมาธิก้าวหน้าไปได้เร็ว จนสู่นักจินตคณิตระดับก้าวหน้าดังกล่าว และสิ่งที่ทั้งเป็นเหตุและเป็นผลไปด้วยกันก็คือจินตนาการนั่นเอง แต่จินตนาการตัวนี้แหละที่ต้องระมัดระวังให้ดี
ซึ่งโดยสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ยากเหลือเกินที่เราจะป้องกันจินตนาการฝ่ายร้ายไม่ให้เกิดขึ้น และในความเป็นจริงปัญหาอาชญากร อาชญากรรม ต่าง ๆ ที่มีถี่ขึ้นไปตามสภาวะเศรษฐกิจยุคยากไร้ เช่นฆ่าหั่นศพ ฆ่าเผา ฆ่าข่มขืนหรือ ที่โหดเหี้ยมรุนแรงผิดมนุษย์ทุกวันนี้ ล้วนมาจากจินตนาการฝ่ายร้าย ที่ผิด ที่มองภาพวีรบุรุษแบบอย่างในดวงใจผิดพลาดทั้งสิ้น อันเนื่องมาจากเราขาดแบบอย่างวีรบุรุษที่ดีในสังคมนั่นเอง ท่านลองมองดูวงการเมือง ท่านจะเห็นว่าน่าจะเป็นแบบอย่างที่ง่ายดายเหลือเกินสำหรับนักจินตคณิต ผู้มีจินตนาการอันถูกปลุกเร้าขึ้นสำเร็จแล้ว เรามีแบบอย่างอะไรในวงการเมืองไทยปัจจุบันนี้บ้าง ที่พอจะเรียกได้ว่า เป็นแบบอย่างที่ดี ที่สร้างสรรค์ เรามีแบบอย่างอะไรในรัฐสภา สถาบันอันสูงสุดของชาติ ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีที่สร้างสรรค์ เรามีแบบอย่างอะไรในวงการสงฆ์ ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างแห่งนักบวชสันโดษ นักบวชผู้รู้ภาระหน้าที่ที่แท้จริงของตนเอง นักบวชผู้ดำรงชีพถูกต้องตามเป้าประสงฆ์แห่งการพระพุทธศาสนาคือเพื่อการบรรลุมรรคผล นิพพาน เรามีแบบอย่างอะไรในวงการสื่อมวลชนของชาติ อันเป็นสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นระบบประสาทหรือมันสมองที่ดี ที่สร้างสรรค์ ที่จริงใจ เรามีแบบอย่างอะไรในครอบครัว ในโรงเรียน และในสังคมโดยรวม เรามีเหตุการณ์หรือมโนภาพใดช่วยสร้างจินตนาการฝ่ายดีขึ้นบ้าง แต่เมื่อมองดูไปแล้วก็น่าเหนื่อย เมื่อได้เห็นความจริงว่าสังคมเราทุกวันนี้หาตัวอย่างแห่งวีรบุรุษฝ่ายดี ฝ่ายขาว บริสุทธิ์แทบไม่มีเลย ราวกับสังคมถูกม่านดำแห่งจินตนาการร้ายครอบคลุมอยู่ทั่วไปหมด
เพราะเมื่อวิชาจินตคณิตเจริญก้าวหน้าไป จินตนาการจะถูกสลัดหลุดพ้นไปจากกรอบวงการคณิตศาสตร์ หรือกรอบใดกรอบหนึ่งที่เป็นมาแต่เดิมไปสู่จินตนาการอื่น ๆ อันหลายหลากรอบด้าน เขาต้องไปพบจินตนาการอันรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ๆ และไปสู่มโนภาพอันแจ่มแจ้งชัดเจน (ไปตามทิศทางแห่งธรรมชาติของจินตนาการตามหลักศาสนานั่นเอง) เขาจะต้องไปแตะไปสัมผัสกับจินตนาการสองชนิด(จินตนาการฝ่ายดี และฝ่ายร้าย)ดังกล่าวมานั้นจนได้ ในวันนี้ จึงขอให้ระวังในเรื่องของจินตนาการฝ่ายร้าย ให้สร้างนิสัยใฝ่ในความดี ให้เข้าสู่จินตนาการฝ่ายดีให้ได้ (วงการพระนักบวช อริยบุคคลทั้งหลาย จึงจัดสมาธิอยู่ต่อระดับศีลไปแล้ว เพื่อให้ความดีอยู่ตัวหรือได้นิสัยดีเสียก่อน จึงคืบเข้าไปหาเรื่องจินตนาการ อันจะถูกกำหนด ถูกสร้าง ถูกนำพาไปด้วย สมาธิ กระนั้นก็จะเห็นได้ว่ามีพฤติกรรมอันเฉเบี่ยงเบนไปต่าง ๆ มากมายในวงการสมาธิของฝ่ายพระสงฆ์) แล้วให้หมั่นศึกษาพระพุทธธรรมฝ่าย “วิปัสนาธุระ” (ระดับปัญญาในพระพุทธศาสนา) เพื่อพบสิ่งที่จินตนาการชั้นสูงสุดนำพาไปพบ และพบโลกใหม่ที่ล้วนแล้วไปด้วยวีรบุรุษแห่งความดี ความสะอาด ความมีปัญญาอันบริสุทธิ์ อันเป็นจินตนาการที่สุดแห่งโลก ที่สุดแห่งธรรม ที่สุดแห่งความสงสัย และที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่จะช่วยตัวเอง ช่วยสังคมประเทศชาติและศาสนาเป็นสากลได้โดยแท้จริง ฯ
รักษ์มนุษย์
ช่อง ๙ ศุกร์ ๑๔ พ.ย.๒๕๔๐ ๐๗๐๐ -๐๗๓๐ น.
พระครูอาทรประชานาถ(พระอธิการอลงกต ติกฺขปญฺโญ) วัดพระบาทน้ำพุ อ.เมือง จ.ลพบุรี บรรยายทุกวันศุกร์
จนกระทั่งบัดนี้ เรายังไม่ได้รู้สึกเลยว่า เอดส์ในไทยลดน้อยถอยลงไป มีแต่เพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มที่น่าวิตกว่าจะกลายเป็นปัญหาอันดับสำคัญยิ่งของประเทศไทย ในขณะนี้เอดส์ได้ซ้ำเติมเข้าไปในปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัว ของสังคม และของประเทศชาติไปแล้ว อย่างหนักอึ่งเงียบกริบ กลายเป็นปัญหาสังคมระดับครอบครัว และระดับชาติอย่างใหญ่ไปแล้ว ในด้านเศรษฐกิจ เรามีแต่สูญเสีย ไม่มีรายได้อันเนื่องมาจากเอดส์ เรามีแต่จ่าย ๆ ๆ ๆ ๆ และจ่ายอกไป ทั้งระดับครอบครัวและระดับชาติ ครอบครัวไหนมีคนเป็นเอดส์ครอบครัวนั้นมีปลายทางที่หวังคือความยากจนอย่างแน่นอน ในด้านสังคม เราจะคะเนได้เลยว่าประเทศชาติเราคงต้องยากจนลงไป ๆ ๆ ๆ เพราะต้องใช้จ่ายในปัญหาเอดส์นี้อย่างทวีมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ๆ
แน่นอน คนหลายฝ่าย หลายระดับ ได้แอบมอง ได้รู้และเข้าใจปัญหาและวิตกอยู่อย่างลึกซึ้งเพราะเราไม่อาจตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาชนิดนี้ได้อย่างเฉียบขาด ชัดเจนเราคิดว่า คนที่เป็นเอดส์ นั้น น่าจะพูดอะไรบางถ้อยคำที่เราอยากจะได้ยินบ้าง
คือพูดออกมาหน่อยว่าเขามีความเสียใจ
“ผมขอสารภาพว่า ต้นเหตุก็เนื่องมาจาก ผมเป็นผู้ดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดเอง ได้ประพฤติตนด้วยความคึกคะนอง ไม่คำนึงศีลธรรมอันดีงาม โดยเฉพาะไม่เชื่อฟังพระสงฆ์องค์พระเจ้า ละเมิดศีลข้อที่ ๓ อย่างจงใจเจตนา ไม่เคยคำนึงลูกใครเมียใคร แม้ความเห็นอกเห็นใจที่จะให้ใครก็ไม่มี เอาแต่กามารมณ์เป็นที่ตั้ง และผมไม่เคยมีความเข้าใจลูกเมียของผมเองเลย ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวจริง ๆ ต้นเหตุก็คือความไม่ซื่อตรงต่อภริยา(สามี) ต่อลูกของผมเอง ต่อศีลธรรม และต่อพระศาสนา ผมเสียใจจริง ๆ”
เราคิดว่า สำหรับคนเป็นเอดส์ สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งในพวกเขา ก็คือสิ่งนี้ คือคำสารภาพผิดอย่างตรงไปตรงมาของพวกเขา กล้าสารภาพผิดเถิดคนจะได้เมตตา พระเจ้าจะสงสารให้อภัย แล้วความช่วยเหลืออุปการะก็จะดีขึ้น
เราไม่อยากให้คนทั้งหลายทั้ งแผ่นดินมองภาพเอดส์ว่า เกิดขึ้นเพราะคนไร้เดียงสา หรือโดยเข้าใจผิดว่าคนเป็นเอดส์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ หากแต่จริง ๆ แล้ว พวกเขาได้กระทำบาปและได้รับผลของความบาป เอดส์เป็นผลจากคนบาป คนเหล่านั้นเขาประกอบกรรมบาป ผิดศีลธรรม เขาจึงได้รับผลกรรมบาปเช่นนั้น และเราอยากเห็นความสำนึกและความสารภาพบาปของพวกเขา ให้ปรากฎออกไปในสังคม
เพราะทุกวันนี้ ยังมีคนบาปจำนวนมากมายมหาศาลในสังคม ที่ประพฤติตนผิดศีลธรรม ที่หมกมุ่นและทำแต่ความบาปโดยหารู้ถึงความบาปของเขาไม่ และแน่นอนพวกเขาไม่สำนึกถึงผลแห่งความบาปเลยว่าจะต้องไปเป็นเช่นคนป่วยเอดส์ทั้งหลาย ที่เป็นภาระของสังคมอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง เพราะพวกเขาหลงไปในอวิชชา หลงไปในความหลง มิผิดอะไรกับสุภาษิตว่าไว้ พวกลืมตัวเหมือนงัวลืมตีน นั่นเอง
เราอยากได้คำสารภาพของคนป่วยเป็นเอดส์ทั้งหลาย ให้เป็นสิ่งเตือนใจคนบาปในสังคม
ที่เตลิดไปในความประพฤติบาปอย่างไม่เกรงกลัวต่อผลกรรมอันร้ายแรง อย่างที่คนเอดส์ได้รับผลกรรมอยู่ทุกวันนี้ อย่างที่ซ้ำเติมสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ของสังคม และประเทศชาติอยู่ขณะนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้บริหารประเทศชาติของเราอ่อนแอ ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ชอบธรรม ที่ชอบต่อหลักการพระพุทธศาสนา ที่ชอบต่อหลักเบญจศีลเบญจธรรม ที่ชอบด้วยหลักการศาสนาสากล
ต้องจัดการเรื่องการเที่ยวกลางคืน สถานบริการทางกาม สถานบริการทางอบายมุขต่าง ๆ สถานบริการอันแอบแฝงค้าขายหรือเสพกาม โสเภณีเด็ก ฆ่าข่มขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาสิ่งผิดศีลธรรมเช่นโฆษณาเหล้าเบียร์วิศกี้ บุหรี่ อะไร ๆ จากเมืองนอกเมืองนาฯลฯที่เห็นทางจอแก้วอย่างท่วมท้นจอ อยู่ทุกวัน (ผิดศีลข้อที่ ๕ จ้ะ!โคตร-ตระกูลเดียวกับพวกยาบ้า ผงขาวเฮโรอีน กาว นั่นแหละ ต้องฆ่าล้างทั้งโคตรจึงจะพ้นภัยโดยเด็ดขาด และเราไม่ควรเปิดโอกาสแก่สิ่งที่ผิดศีลธรรมเลย)
ต้องจัดการวัฒนธรรมกาม ที่แพร่มาอย่างเป็นตาข่ายคลุมสังคมไทยไปทั้งหมด จากอเมริกา เพลง และ ภาพยนต์ ซึ่งบัดนี้ครองตลาดบันเทิงไทยทั้งหมด ในหนังแต่ละเรื่องของอเมริกา(โดยเฉพาะในหนังเช่าวีดิโอ)ล้วนมีฉากรักฉากร่วมเพศ อย่างโจ่งแจ้ง อยู่เป็นส่วนหนึ่งในเนื้อหาภาพยนต์แต่ละเรื่อง ๆเสมอไป ซึ่งคนชอบและหลงเสพจนแทบจะกลายเป็นวัฒนธรรมการเสพความบันเทิงอันชั่วร้ายไปแล้ว และที่สำคัญจะพาลหลงเอาตัวอย่างดาราอเมริกัน ชายหญิง ว่าเป็นแบบอย่างแห่งวีรบุรุษวีรสตรี อันมีเกียรติยศในสังคม ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว พวกเขาเป็นเพียงนักแสดงลามกอนาจาร เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายร่วมเพศให้คนดูในที่สาธารณะ อย่างหน้าไม่อาย ยิ่งกว่าหญิงนครโสเภณีเสียอีก
แต่นี่แหละเป็นชั้นเชิงการบริหารการจัดการผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวจัดของวงการธุรกิจเอกชนอเมริกัน ที่ดูเหมือนรัฐบาลเขาหนุนหลังอยู่ เพื่อกอบโกยเงินตราเข้าประเทศเขา
เพราะ นี่คือสาเหตุของเอดส์ที่แท้จริง
ทำไมเราจึงไม่กล้าหาญในการกระทำสิ่งที่เป็นความดีเล่า ?
หลักเบญจศีลเบญจธรรม อันคนไทยรู้กันอยู่ทุกคน แต่ทำไมรู้แล้วจึงไม่ทำ ?
เมื่อเรากล้าทำเรื่องยาเสพติด เราก็ควรกล้าทำเรื่องวัฒนธรรมกามารมณ์ด้วย
ถ้าไม่กล้าหาญทำความดีในวันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับผลกรรมที่ดีในวันนี้และในวันข้างหน้า
เอดส์กำลังซ้ำเติมทำลายเศรษฐกิจของสังคมไทยอยู่อย่างหนักในทุกวันนี้ และจะทวีทำลายสังคม-เศรษฐกิจไทยอย่างย่อยยับต่อไปในวันข้างหน้า ไม่ช้าไม่นานเลย ฯ หากไม่แก้ไขตัดตอนที่ต้นสายปลายเหตุเสียตั้งแต่บัดนี้ ฯ
ต่อต้านเอดส์ ต่อต้านอนารยธรรม
ยิ้มสำรวม
พระพุทธเจ้าผู้ล้ำเลิศประเสริฐในโลก
คุณลุง เติม คงใจดี มาส่งเพลผมทุกวัน ๆ เว้นเสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาร่วมปี เศษ ๆ แล้ว ไม่เคยขาดเลย นับแต่ศรีภริยาล่วงลับไป คุณลุงมักจะนำหัวข้อ สงสัยทางธรรมะมาถามผม ๆ ก็ตอบ ๆ ๆ ถามเรื่องอะไร ๆ ผมก็ตอบ ๆ ๆ ๆ ลุงก็หาเรื่องลึกลับ ๆ เรื่องแปลก ๆ ออกไป ๆ ๆ มาถามต่อ ผมก็ตอบ ๆ ๆ จน ปัจจุบันนี้ เรื่องที่คุณลุงสงสัยคือเรื่อง โชคลาภ หวยเบอร์ต่าง ๆ และยังสนทนา กันอยู่ยังไม่จบ ครับ (ลุงกำลังสงสัยว่าทำอย่างไรคนหรือลุงเองจะเลิกสนใจเรื่องนี้เสียที)
วันหนึ่ง ขณะที่แมวดำมาเคล้าเคลียแกอยู่ตามปกติ ขณะที่เฝ้าดูผมฉัน นั้น ลุงแกก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ และว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านเป็นคนประเสริฐเหลือเกิน ในโลกนี้ หาใครเหมือนพระองค์ท่านไม่ได้ หาใครน้ำใจประเสริฐเท่าพระองค์ท่านไม่ได้ ท่านเกิดเป็นอะไร ๆ ก็ทำบุญ ๆ ๆ ๆ ๆ นับหมื่นนับแสนชาติ จนกระทั่งว่าผืนแผ่นดินนี้เต็มไปด้วยรอยบาทรอยบุญของพระพุทธเจ้า ไม่มีที่ว่างแม้ตารางนิ้วเดียว
คราวที่พระองค์ท่านเกิดเป็นกบ ก็มีแมวคอยมาตะครุบกินเป็นอาหาร แต่กบพุทธองค์ ก็กระโดดลงน้ำหนีได้ทุกคราว จนกระทั่งวันหนึ่งกบพระพุทธเจ้าก็ทรงนึกขึ้นได้ว่า แมวมันทำเช่นนั้นเพราะ มันหิว หากมันไม่ได้อาหารมันก็จะอดและเป็นทุกข์ ผู้ที่ทำให้มันเป็นทุกข์ก็ต้องเป็นบาป วันต่อมากบพระพุทธองค์จึงทรงให้ทานตัวเอง เป็นอาหารแมวตัวนั้น เมื่อแมวมาก็ทรงนิ่งให้แมวจับไปกินเป็นอาหารแต่โดยดี
“บ๊ะ ! พระพุทธเจ้าของเรานี้ แสนประเสริฐเลิศล้ำ ยากจะมีเทวดามนุษย์เสมอ เหมือน!”
ลุงกล่าวสรุปแล้วหัวเราะชอบใจตรงที่ว่ากบพระโพธิสัตว์กลัวบาป กลัวแมวเป็นทุกข์ จึงยอมให้แมวกินเป็นอาหารเสียฯ
ผมก็เป็นสมเด็จ
บันทึกประจำวันลงวันที่ ๒๓ พ.ค.๒๕๓๔ ตรงกับวันครบรอบปีที่ข้าพเจ้าบวช ได้ ๙ พรรษาพอดี ข้าพเจ้าได้รับการสถาปนาจากประชาชน ณ พิธีงานศพคุณพ่อจูม หาญบาง บ้านโคกกลาง ตำบลอี่หล่ำ มีพราหมณ์อินทร์ สิงหนาค เป็นผู้นำประชาชนประกอบพิธีตามจารีตประเพณีชาวอีสาน และพร้อมคณะสงฆ์ในเขตตำบลอี่หล่ำ-แขม-หัวช้าง เป็นสักขีพยาน เมื่อประกอบพิธีเสร็จพราหมณ์อินทร์ประกาศว่า บัดนี้ท่านพระพยับ ปญฺญาธโร ได้รับการรดน้ำสถาปนาเสร็จแล้ว ถูกต้องตามจารีตประเพณีชาวอีสาณแต่โบราณกาล ขอให้เรียกท่านว่า “สมเด็จพยับ” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ครับ! ผมเองก็เพิ่งนึกได้ว่า ผมก็เป็นสมเด็จ ! ประชาชนเรียกผมว่าอย่างนั้น เรียกว่า "สมเด็จพยับ"
ครับ ! "สมเด็จ" ของสถาบันประชาชน-ประชาธิปไตย ! ผม
คอลัมน์ระดมความคิด
จดหมายถึงบรรณาธิการ
ประเด็นปัญหา:
ที่ว่าเราจะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ไหน หรือบุคคลไหนมีภูมิธรรมสูงถึงขั้นได้พระอริยบุคคล ท่านตอบหน้า ๑๔ ฉบับ ก.ย.,ต.ค.,พ.ย.๔๐ นั้น เกี่ยวกับพระโสดาบัน ยังไม่ถูกต้องนัก พระโสดาบันนั้นเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นแรกแล้วย่อมรู้ว่าบุญกุศลคืออะไร เพราะกว่าจะปฏิบัติธรรมบรรลุโสดาบัน มันฟากตายครับ ไม่ใช่คิดเอาง่าย ๆ กว่าจะบรรลุธรรมเขาไม่มาหลงสร้างโบสถ์ศาลาอยู่หรอก ผู้บรรลุโสดาบันต้องผ่านญาณ ๑๖ มาแล้ว วิปัสนามามาก บรรลุธรรมแล้ว
๑. สักกายะทิฏฐิหมดไป
๒ ศีลพตปรามาส หมดไป
๓. วิจิกิจฉาหมดไปหรือหายสงสัยแล้ว
ดังนั้นผู้บรรลุโสดาบันเป็นผู้หายสงสัยขั้นแรก ถ้าจะปฏิบัติให้บรรลุสกิทาคามีก็ต้องเริ่มปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานอีก แต่ญาณจะเริ่มที่ขั้นสูงขึ้น แต่ญาณก็ละเอียดขึ้นรอบที่๒นี้ละเอียดกว่าเดิม กว่าจะบรรลุก็ยากกว่าโสดาบันอีก บรรลุแล้ว โลภ โกรธ หลง ลดลง ดังนั้นผู้ที่จะบรรลุธรรมขั้นพระโสดาบันต้องผ่านปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานอย่างเอาจริงเอาจัง คือฟากตายโน่น และกว่าจะผ่านญาณ โคตรภูญาณ คือญาณตัดโคตรจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ท่านไม่มาสร้างบุญกุศลหรอกเพราะรู้แล้ว แท้จริงนั้นบุญกุศลนั้นคืออะไร มีแต่ปุถุชนเท่านั้นที่ยังมัว
มาสร้างบุญกันอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้บุญกุศลมีประโยชน์คือทำให้ศาสนาอยู่ได้ แต่พระโสดาบันจะไม่มามัวทำอย่างนี้อยู่หรอก ไม่เชื่อท่านลองปฏิบัติธรรมดู ให้บรรลุโสดาบันบ้างซิ จะได้รู้ว่าพระโสดาบันนั้นเป็นอย่างไร ครับ แม่ชีเทเรซ่าก็ไม่ใช่พระโสดาบัน ผู้ตอบก็ไม่ใช่พระโสดาบันครับ
หมายเหตุบก. ขอมอบให้ ไกลกิเลส อนุเคราะห์
เฉลยปัญหา :
ท่านเจ้าของปัญหานี้ นับว่าเป็นฆราวาสผู้กล้าหาญในธรรมะ เพราะกล้าตัดสินใจอย่างเฉียบคมมากในประเด็นปัญหาที่ท่านพิจารณา สิ่งที่ท่านใช้ตัดสินได้อย่างเฉียบคมนี้แหละบ่งบอกภูมิปัญญาธรรมชั้นสูงของท่าน
เห็นด้วยกับการมองของท่านทุกประการ
อนึ่ง โคตรภูญาณ นั้น เมื่อท่านบอกว่าเป็นญาณที่ตัดโคตรจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคล “กว่าจะปฏิบัติธรรมบรรลุโสดาบัน มันฟากตาย” ฉะนั้นจึงน่าจะตรงกับมติของท่านปัญญาธโรภิกขุผู้ตอบไว้ก่อน ที่ว่า “เมื่อคนสำเร็จธรรมเป็นพระโสดาบันแล้วนั้น จะเท่ากับได้ชีวิตใหม่ ผู้สำเร็จจะมีความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ มีเลือดใหม่ มีลักษณะเหมือนเกิดในกองบุญอันบริสุทธิ์ ชีวิตอยู่ในความดีแต่ส่วนเดียว จะรักษาความดียิ่งชีวิต มีชีวิตแห่งความเสียสละ มีแต่จาคะคือการสละออกไปโดยตลอดอย่างไม่มีการหวังสิ่งตอบแทน ด้วยมุ่งหมายไปอย่างสุดฤทธิ์สู่มรรคผลสูงสุดคือความเป็นพระอรหันต์” (โปรดดูเล่มที่อ้างหน้า ๒๓) โดยคุณลักษณะนี้ท่านจึงพยากรณ์ว่า แม่ชีเทเรซ่า แห่งคริสตศาสนา ก็เข้าข่ายแนวทางโสดาบันในพระพุทธศาสนา(หน้า ๑๖) แต่เนื่องจากความเชื่อพื้นฐานยังไม่สู่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่ได้มุ่งหมายไปอย่างสุดฤทธิ์สู่มรรคผลสูงสุดคือพระอรหันต์ หรือคุณภาพแห่งอิสรชนมนุษย์สูงสุด หากแต่ไปสายเทวนิยม อันเป็นข่ายแห่งอวิชชาคือความหลงอยู่
การมองพระโสดาบันหรือพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้นไปอีกนั้นมองได้ด้วยหลักการหลาย ๆ หลักการ หรือหลาย ๆ หลักธรรม แล้วแต่ท่านผู้มองว่าท่านชำนาญหลักธรรมข้อ
ไหน เช่นท่านที่ชำนาญด้านสติปัฏฐาน ๔ ก็เอาหลักสติปัฏฐาน ๔ เข้าจับเข้าวัด ท่านที่ชำนาญด้านกรรมฐานเฉพาะอย่าง เช่นกสิณ ๑๐ ท่านก็เอาหลักกสิณ ๑๐ เข้าจับเข้าวัด แม้หลักอนุสสติ ๑๐ ก็สามารถเอามาวัดได้หากว่าท่านผู้นั้นมีความชำนาญจริง ๆ
และก็เช่นเดียวกันกับหลักสัญโยชน์ ๑๐ ที่ท่านอ้างข้อต้น ๆ มา ๓ ข้อนั้น(ทั้งหมดมี ๑๐ คือ สักกายทิฎฐิ:เห็นผิด ถือตัวถือตน ถือยศถือเกียรติ, วิจิกิจฉา: ความสงสัยในความดี ลังเลใจที่จะทำความดี, สีลัพพตปรามาส: ถือศีลอย่างไสย อย่างงมงาย ไม่เข้าใจเหตุผล, กามราคะ: ความกำหนัด อยากในรสทั้ง๕, ปฎิฆะ:โกรธ ขึ้งเคียด คับแค้น อาฆาต ความงุ่นง่านกลับไปกลับมา, รูปราคะ: การก่อตัวทางจินตนาการกามจากรูปธรรมเป็นรูปธรรม, อรูปราคะ: การก่อตัวทางจินตนาการกามจากอรูปธรรมเป็นอรูปธรรม เป็นขึ้น จากอารมณ์แห่งฌานบางระดับ, มานะ: ยึดมั่นถือมั่นถือว่ามีระดับชั้นแห่งตัวตน แห่งความดีความชั่ว, แห่งชั้นยศ(๑๑ชั้นยศ) แห่งศักดินา อุทธัจจะ: ความระส่ำระสาย ความตื่นเต้น ความกลัวตาย, อวิชชา : ไม่รู้ที่มาที่ไปแห่งโลก ไม่รู้ที่เกิดที่ดับ แห่งโลกและสรรพสิ่ง (โปรดดู น.ธ.เอก ) หรือหลัก ญาณ ๑๖ แห่งพระพุทธศาสนาก็ได้
อะไรก็ได้หากชำนาญ
หรืออย่างที่ท่านปัญญาธโรภิกขุวัด ท่านใช้หลักที่สามัญจริง ๆ ที่ชาวพุทธรู้ดีอยู่แล้วคือหลักไตรสิกขา: ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมดา ๆ นี่เอง ทั้งนี้สุดแต่พื้นฐานของท่านผู้วัด แม้กระทั่งหลักธรรมข้อใดข้อหนึ่งธรรมดา ๆเช่น สัมโพชฌง ๗ ประการ อิทธิบาท ๔ หากเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริง ก็สามารถเอามาวัดได้ ฉะนั้น ผู้ชำนาญแล้วจึงอาจเอามาตรการใดมาวัดก็ได้ (เหมือนกับมาตราวัดความยาว หรือมาตราชั่งน้ำหนัก นั่นแหละ แล้วแต่ประเทศชาติไหน สังคมใดมีความชำนาญคิดทำขึ้นมา มีแตกต่างกันไป แต่ต้องมีประสิทธิภาพพอกัน เปรียบเทียบกันได้เป็นสากล)
สำหรับหลักไตรสิกขา อันเป็นสิ่งที่ชาวพุทธเราคุ้นเคยมากโดยเฉพาะศีลห้านั้น แม้กระทั่งเด็ก ๆ ก็ได้เรียนรู้ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ผู้ใหญ่ก็ได้เรียนรู้กันทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น ทุกอาชีพ แต่เมื่อท่านผู้รู้พูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานขึ้นมา เราก็มักจะหมดหวังว่าเป็นเรื่องชั้นสูงเกินไป หรือเป็นเรื่องที่จะยากมากจนเกินความคิดความพยายามของคนธรรมดาจะบรรลุได้
แต่ความจริงแล้ว อยู่ที่การเริ่มต้นฝึกไป หากเพียงตั้งใจประพฤติศีลห้านี้อย่างมั่นคงสม่ำเสมอไปทั้งไตรทวารคือกาย วาจา ใจแล้ว ศีลห้านี่แหละสามารถนำไปสู่มรรคผลนิพพานได้ คือคนเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ด้วยศีลห้านี่เอง ท่านจึงวางศีลห้าไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของชนผู้นับถือพุทธศาสนา(แม้ในนิทานหรือวรรณกรรมโบราณ ๆ เมื่อยักษ์ยอมแพ้พระโพธิสัตว์แล้วท่านก็จะให้มันสมาทานศีล ๕ เสมอไป ทั้งนี้เพื่อเปิดทางไปสุ่ความดีที่ไม่ถอยกลับคือโสดาบันนี้)
สัญลักษณ์ของชาวพุทธนั้นคือศีล ๕ เมื่อ คนต่างศาสนามาเข้าพุทธ เราก็ให้สัญญลักษณ์นี้คือศีล ๕ แด่เขาให้เขาสมาทานศีล ๕ ก็เป็นอันว่าเรียบร้อย หากแต่การประพฤติศีลต้องประพฤติอย่างตรงไปตรงมาตามสาระที่ท่านกำหนด ต้องรู้เหตุผล หรือรู้อานิสงส์ของศีล๕ นั้น ฉะนั้นศีล๕ จึงมีคู่กันกับธรรม๕ เรียกว่าเบญจศีล-เบญจธรรม ต่างก็เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน โดยพุทธประเพณีแล้ว เมื่อชาวพุทธจะประกอบการศาสนพิธีใดใดแล้ว ทุกศาสนพิธีจะเริ่มด้วยการบูชาพระรัตนไตร โดยมรรคทายกหรือประธานในพิธีจะพาจุดเทียน ธูป หน้าที่บูชาพระ แล้วพากล่าวคำบูชาที่เรียกว่า คำนมัสการพระรัตนไตร(อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ ฯลฯ) นั่นก่อน เสมอ(เพื่อรำลึกเป็น พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติและสังฆานุสสติ ตามหลักอนุสสติ ๑๐) ต่อมามรรคทายกก็จะพาอาราธนาศีลห้า ซึ่งที่บ้านนอกชนบท นิยมว่าพร้อมกันหมดทั้งที่ประชุมเสียงดังกระหึ่ม แต่ในเมือง เงียบ! กรณีนี้ควรเอาอย่างชนบทเขา) (มยํ ภนฺเต วิสุงวิสุง รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สหปญฺจ สีลานิ ยาจามะ ทุติยมฺปิ ฯลฯ) พระประธานหัวแถวท่านก็จะตั้งตาลปัตรขึ้นว่านโม๓จบ(นโมตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯลฯ)และให้ศีลห้า (เริ่มแต่ข้อที่๑: ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ) จนถึงข้อที่ ๕ : สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ) เราชาวพุทธก็ปฏิญาณตน ด้วยการว่าตามไปทีละข้อทีละข้อ จนครบ ๕ ข้อแล้ว พระประธานองค์หัวแถวนั้นท่านก็จะบอกให้เรากล่าวคำปฏิญญาณสรุปอีกทีหนึ่ง แล้วบอกอนิสงส์ของศีลห้าให้เราฟังทุกครั้งทุกคราวไปที่มีการสมาทานศีลห้า และเราชาวพุทธ แม้กระทั่งพระสงฆ์สามเณรเองก็ได้ยินได้ฟังอานิสงส์ของศีลห้านี้มาจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไม่เห็นความสำคัญไป เพราะเพียงสักแต่ว่าฟัง ๆ พูด ๆ แล้วมักไม่รู้ความหมายเพราะท่านพูดเป็นภาษาต่างประเทศ (หรือสำหรับนักบวชก็ไม่ตั้งใจประพฤติตามเนื้อธรรมที่แท้จริง โดยเชื่อถือศรัทธาที่แท้จริงจึงเป็นที่มาแห่ง สีลัพพตปรามาส) แต่เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วนั่นแหละ จะพบว่าศีลห้านี้มีอานิสงส์สามารถนำไปสู่มรรคผลนิพพานได้
ดังจะเห็นว่า พอพระท่านพาสมาทานศีลข้อสุดท้ายข้อที่๕แล้ว
พระท่านจะพาว่าคำปฏิญญาณ แล้วเราจะพากันก้มหัวลงนิดหน่อยในท่าพนมมือ ท่านจะว่าดังนี้อันใคร ๆ ก็ได้ยินอยู่เสมอแต่ไม่รู้ความหมาย :-
อิมานิ ปญฺจ สิกขาปทานิ สมาทิยามิ : ข้าพเจ้าขอสมาทาน(รับไปปฏิบัติ)ซึ่งสิกขาบท ๕ เหล่านี้ (ซึ่งโยม ๆ โดยเฉพาะชาวบ้านชนบท ๆ เขารู้ประเพณีดี จะพากันว่าตาม ๓ จบ ขณะที่พระว่า อานิสงส์ของศีล๕ให้ฟัง ต่อไปลองฟังให้ดี ๆ) :-
สีเลน สุคตึ ยนฺติ (คนย่อมไปถึงซึ่งความสุขได้ด้วยศีล) สีเลนโภคสมฺปทา (คนย่อมไปถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์โภคสมบัติได้ด้วยศีล) สีเลน นิพฺพุตึยนติ (คนย่อมไปถึงพระนิพพานได้ด้วยศีล) ตสฺมา สีลํ วิโสธเย : ( เพราะเหตุนั้นคนเราพึงชำระศีลให้สะอาดหมดจด) แล
เห็นไหมว่า ประโยคที่ว่า สีเลน นิพฺพุตึยนฺติ (คนย่อมไปถึงพระนิพพานได้ด้วยศีล) เป็นประโยคที่ยืนยันว่าศีลห้าทำให้ผู้ประพฤติบรรลุโสดาบันได้ ซึ่งพวกเราชาวพุทธก็รู้กันอยู่ทุก ๆ คน จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปแต่อย่างใด จริงอยู่ โสดาบันอยู่ฟากตาย แต่ไม่หมายความว่าจะต้องผ่านความทุกข์ยากเจ็บปวดรวดร้าวอย่างคนฟางตายอย่างนั้น ต้องค่อย ๆ ไปตามครรลองแห่งศีล(มีความเมตตากรุณาเป็นผล แล้วจะเย็นไม่รุ่มร้อน มีความเข้าอกเข้าใจมนุษย์ด้วยกันเป็นผล ก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น มีเบญจธรรมเป็นผล ก็ก้าวหน้าในธรรมะไปเรื่อย ๆ )ไปก่อน คุ้นไปตามลำดับรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย เมื่อเราเข้าใจและเข้าถึงสัจธรรมชั้นต้นที่ว่า “ความดีอันคนดีทำง่าย อันคนชั่วทำยาก ความชั่วอันคนชั่วทำง่าย อันคนดีทำยาก” แล้ว นั่นแหละมรรคผลเป็นอันมุ่งหวังได้ และถ้าเป็นชนชั้นปัญญาชนประพฤติศีลด้วยแล้ว มีปัญญาช่วยหนุนอีกแรงหนึ่งก็ยิ่งง่ายเข้า หากผ่านโสดาบัน จะไปสู่สมาธิ ก็ฝึกอยู่กับลมหายใจไว้ก่อนเพราะเป็นเรื่องง่ายที่สุด หัดทำไว้ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ (ชื่อว่าคนควรฝึกในเรื่องนี้ไว้ทุกคน) เอาลมหายใจเป็นบ้าน มีอะไรเกิดขึ้นก็วิ่งเข้าบ้าน จนเป็นปกตินิสัย(ถ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องลมหายใจเลย ก็เริ่มด้วยการลองมองดู ลองทำดูขณะนี้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ลองมองดูลมหายใจของเราเองดูซี พอมองดูจะเห็นมันเป็นลำเย็นเลื่อนไหลเข้าไปและออกมา หัดดูไป นับเข้านับออกจนเป็นนิสัย หัดเอาตัวเข้าไปอยู่ในนั้น จะเย็น แล้วจะพัฒนาไปไกลมาก จนเป็น ปราณ อันเป็นชั้นวิเศษ) แล้วสมาธิก็มาเองโดยธรรมชาติ มันก็ง่ายขึ้น สนุก น่าติดตามต่อไป แล้วไปเจริญวิปัสนา(หรือเจริญสติปัฏฐาน ก็
จะได้ข้อแรกไปเลยคือ กายานุปัสนาสติปัฏฐาน: ซึ่งเป็นเรื่องดูลมหายใจ) ก็หัดคิดค้าคำตอบไปในธรรมะว่าด้วยความเป็นไปของชีวิตในโลกนี้ หัดคิดว่าเราคืออะไร ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม อะไรคือสาระที่แท้จริงของชีวิต หาคำตอบให้เราเองให้ได้ มองให้เห็นอย่างรู้แจ้งเห็นจริงด้วยเหตุและผลที่พอพิศูจน์ได้ด้วยตัวเราเอง (พูดง่าย ๆ ก็คือหมั่นตั้งคำถามกับตัวเองในเรื่องราวของชีวิตแล้วพยายามหาคำตอบให้ได้ หมั่นคิดหมั่นค้นนั่นเอง นักบวชศาสนาใดใดก็ทำเช่นนี้เหมือนกันแหละ เพียงแต่ว่าต้องพยายามใช้มันสมองตัวเอง เชื่อเหตุและผลที่เราพิศูจน์ได้ด้วยตัวเราเอง พอคิดออกทีก็จะร้อง โอ้โห! ออกมาที สนุกมาก ภูมิใจมากที่คิดได้คิดออก คิดได้สองที หรือกี่ที ๆ ก็ร้อง โอ้โห! ออกมาเท่านั้นที นั่นแหละสนุกมากในเชิงปัญญาแห่งธรรมะ) ถ้ามีสมาธิได้ในระดับธรรมชาติ(คือเข้าสมาธิได้นาน ๆ ตามใจปรารถนา) ก็เข้าสมาธิพิจารณาดูบ่อย ๆ การพิจารณาโดยเข้าสมาธิพิจารณา จะได้ความชัดเจน ในความสงบสงัด ไร้สิ่งรบกวน สติปัญญาก็เกิดขึ้นชัดเจนและง่ายดาย (จะทำให้เดินไปตามลำดับ๔ขั้นตอนของสติปัฏฐานได้ง่าย ลองศึกษาเรื่องสติปัฏฐาน๔) เมื่อได้คำตอบของชีวิตอย่างไรก็มีความชัดเจนขึ้นถึงขนาดเป็นมโนภาพ คือเป็นภาพออกมาให้เห็นตามจินตนาการไปเลย(จึงมีความสนุกมากขึ้น) สมาธิจึงช่วยงานด้านวิปัสนาได้มาก(ถ้ามีสมาธิช่วยก็เหมือนดูโทรทัศน์ ถ้าไม่มีสมาธิช่วยก็เหมือนฟังวิทยุนั่นแหละ ได้ผลเหมือนกันแต่ยากง่ายไม่เท่ากัน แต่ ระวัง อะไรมีคุณให้คุณสิ่งนั้นก็มีโทษให้โทษได้เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นประเด็นสำคัญมาก พระพุทธองค์จึงตรัสว่าความไม่ประะมาทเป็นธรรมข้อใหญ่ เสมือนรอยเท้าช้าง อันรอยของสัตว์ทั้งปวงย่อมอยู่ในรอยเท้าช้างนั้น ผู้มีระดับอริยบุคคคลจึงจะได้คุณสมบัติแห่งความไม่ประมาทนี้ด้วยเสมอไปทุกระดับ ดังที่ท่านปัญญาธโรภิกขุได้ระบุไว้ว่า “พระอริยบุคคลจริง ๆ นั้น ท่านจะมีอุปมาดั่งทหารที่กรำศึก รูปธรรมที่เห็นที่ถูกต้องจึงจะออกมาในบุคคลิกภาพของนักสู้ผู้ทรหดอดทน มีแววตาองอาจสามารถไม่ระย่อ จะมีความขึงขังมากกว่าความละมุนละไม มีความระแวงระวังอย่างสูง)
เมื่อรู้แจ้งทะลุปรุโปร่งในปัญหาทุกประการของชีวิต โดยไปยุติที่ว่า ชีวิตที่สมบูรณ์ไปจบสิ้นลง ณ ที่ใด มีสภาวะปัญญาเกิดขึ้นอย่างไร พ้นปัญหาไปได้อย่างไร ก็สำเร็จ พ้นจากความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง จะเรียกชื่อว่าอะไรก็ไม่สำคัญหรอก(หรือแม้
จะไม่มีชื่อก็ไม่สำคัญอะไร) สำคัญที่ว่า ณ จุดนั้น เป็นที่ซึ่งเราเป็นใหญ่(เพราะชนะกิเลสอันหมายถึงโลกทั้งสิ้น) เป็นอิสรภาพยิ่ง (ไม่ถูกผูกมัดแม้ด้วยความกลัว-ความตาย) และเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตนที่จะรับเอาทั้งทุกข์และสุข) อันเป็นของล้ำค่าที่ คนเราสามารถทำได้ทุก ๆ คนถ้าพยายาม
ศาสนาพุทธนั้น นักปราชญ์ท่านว่าทั้งหมดเป็นเรื่องการศึกษา หน้าที่ของชาวพุทธคือหน้าที่ทางการศึกษา แต่เป็นการศึกษาเพื่อบรรลุปัญญาอันยิ่ง ที่ประหารกิเลสได้(มีไตรสิกขา เป็นต้น) หากยังไม่สำเร็จการศึกษาแล้วชาวพุทธต้องพยายามต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ เมื่อมีบุญได้เข้าถึงกระแสธรรมแล้ว เรียกว่าได้สู่สำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จะก้าวหน้าต่อไปได้เรื่อย ๆ ต้องซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้าหรือต่อพระธรรม ต้องพากเพียรใจตั้งมั่นรักษาคุณธรรมข้อนี้ คือซื่อสัตย์กตัญญูไว้ให้ได้ตลอดไป หากแต่เมื่อใดทรยศ ต่อพระธรรมทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมมาก็จะสูญสิ้นหมด ฉะนั้นจงบำเพ็ญตนให้เป็น พุทธทาส (ทาสของพระพุทธเจ้า) ธรรมทาส(ทาสของพระธรรม) สังฆทาส (ทาสของพระสงฆ์) หรือจะเป็น ธรรมสามี (ผู้มีธรรมเป็นคู่ชีวิต) ก็ควร สำหรับผู้ที่ซื่อตรง ผู้ที่พร้อมด้วยความพยายามแล้ว
ฉะนั้นหวังว่าท่านจะไม่ละความพยายามและเจริญในธรรมชั้นสูงเรื่อยไป และได้โปรดมีลิขิตมาสู่พวกเราต่อไปอีกด้วย ยินดีต้อนรับเสมอ ฯ
ไกลกิเลส
พ.ย. ๒๕๔๐
{คอลัมน์ประชาธิปไตยสงฆ์}
จะปฏิรูปการปกครองสงฆ์ไปทำไม ?
ถาม เราต้องการเห็นอะไรเกิดขึ้นเป็นรูป ธรรมที่ชัดเจนในการดำเนินการ ปฏิรูปการปกครองสงฆ์โดยวิธีที่พยายามเสนอแนวคิดมาตามลำดับแล้วนั้น ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน รูปแบบการปกครองก็ดูมั่นคงเป็นปึกแผ่นอยู่ แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีอยู่ระดับหนึ่งแล้ว เราจะพัฒนาการไปได้หรือไม่ จะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างไร ว่าหากไม่ใช้รูปแบบการปกครองอย่างที่เป็นอยู่แล้วเราจะ พํฒนาไปได้อย่างไร ?
ตอบ
รูปแบบการปกครองสงฆ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีความมั่นคง แต่เป็นความมั่นคงที่อาศัยพื้นฐานแนวคิดอย่างโลก ๆ มิได้อาศัยแนวคิดอย่างธรรมะ หรืออย่างที่พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมาย มิได้อาศัยหลักการของตัวเอง แต่ไปอิงอาศัยหลักการของคนอื่น จะว่ายืมจมูกคนอื่นหายใจก็ได้
นั่นคือสร้างระบบการปกครองแบบถืออำนาจ เอาหลักอำนาจมาปกครอง หลักการนี้ก็กำหนดให้มีชั้นการบังคับัญชาขึ้นมาเป็นชั้น ๆ ซึ่งชั้นการบังคับบัญชาที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้ก็ประกอบด้วยตำแหน่งทางการปกครอง ตั้งแต่ตำแหน่งล่างสุดคือ เจ้าอาวาส (รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส) ซึ่งมีอำนาจปกครองลูกวัดโดยการประกันของ กฎหมายอย่างมั่นคง(ดูมาตรา ๓๘ พ.ร.บ.คณะสงฆ์พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นตัวอย่าง) มีเจ้าคณะตำบล(รองเจ้าคณะตำบล) มีเจ้าคณะอำเภอ(รองเจ้าคณะอำเภอ และเลขานุการเจ้าคณะอำเภอ) มีเจ้าคณะจังหวัด (รองเจ้าคณะจังหวัดและเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด) มีเจ้าคณะภาค(รองเจ้าคณะภาคและเลขานุการเจ้าคณะภาค-เลขานุการรองเจ้าคณะภาค) มีเจ้าคณะใหญ่ (รองเจ้าคณะใหญ่,ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่,ปลัดขวา,ปลัดซ้าย,รองปลัดขวา,รองปลัดซ้าย,ผู้ช่วยปลัดขวา,ผู้ช่วยปลัดซ้าย) และ มีรัฐบาลสงฆ์ที่เรียกว่า มหาเถรสมาคม ซึ่งประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม (เทียบนายกรัฐมนตรี)โดยตำแหน่ง และอีกตำแหน่งหนึ่งคือทรงดำรงตำแหน่ง สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ อันมีพระราชอำนาจโดยเอกเทศอีกตำแหน่งหนึ่ง(ทรงสวมหมวกสองใบ)
จะเห็นว่าโครงสร้างการปกครองสงฆ์นั้น ประกอบด้วยตำแหน่งอำนาจหลายชั้นและค่อนข้างซับซ้อนหยุมหยิมในระดับบน นอกจากนี้ในโครงสร้างเหล่านี้จะมีระบบ ยศพระ หรือที่ยกย่องว่าเป็น สมณศักดิ์ ชั้นต่าง ๆ อีกถึง ๑๑ ชั้น นับแต่พระครูสัญญาบัตรชั้นตรีขึ้นไปจนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ(ไม่นับฐานันดรซึ่งมีอีกมากมายตาม ระดับยศพระชั้นสัญญาบัตร) มากำกับไปอีกตลอดไปทุก ๆ ชั้น อันเป็นการเลียนแบบการปกครองระบบศักดินา หรือเผด็จการในอดีตนั่นเอง
และที่ควรเข้าใจก็คือทั้งระบบอำนาจและยศศักดิ์ของพระดังกล่าวนี้ เป็น ไปอย่างไม่ถูกต้องตามหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา เพราะเป็นโลกธรรม ตามที่ได้นำพาให้เกิดความเข้าใจเป็นลำดับขั้นมาตามลำดับตั้งแต่ต้นมาแล้ว ขอ
ได้โปรดหวนกลับไปอ่านวิเคราะห์ข่าวฯนี้ตั้งแต่ฉบับเริ่มต้นซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม ๒๕๔๐ ตลอดปีนี้ จักทำให้เข้าใจได้แจ่มแจ้งถึงผลเสียหายของระบบการ
ปกครอง อันไม่ถูกต้องของสงฆ์ เป็นผลเสียหายต่อการพัฒนาการทางจิตวิญญาณและต่อการพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย
จริงอยู่ ได้ก่อเกิดความมั่นคง แต่เป็นความมั่นคงของ อวิชชา และเป็นความ เจริญก้าวหน้าของอวิชชา นั่นก็คือความหมายที่ว่า ยิ่งอวิชชามีความมั่นคง ยิ่งก้าวหน้าไปเท่าไร วิชชาก็ถูกปิดกั้นมากยิ่งขึ้น ๆ และ วิชชาก็ค่อยดับแสงริบหรี่ลงไป ๆ ทำให้ไม่ทันโลก กลายเป็นวงการที่ล้าหลังยังไม่พอยังฉุดสังคมให้ล้าหลังตามไปด้วย ในที่ สุดก็จะทำลายตัวเอง เป็นผลในการบ่อนทำลายตัวเองลงไปตามลำดับจนถึงที่สุด
แท้ที่จริงเมื่อคำนึงว่าคณะสงฆ์นั้นเปรียบประดุจจิตวิญญาณของประเทศชาติ หากพิจารณาว่า เป็นจิตวิญญาณอย่างไร ชนิดใด ถ้าเป็นจิตวิญญาณร้ายครอบครองประเทศชาติอยู่ ประเทศชาติก็ย่อมจะเศร้าหมอง ถ้าอวิชชาปกครองภาคจิตวิญญาณของประเทศชาติ ๆ ก็โง่เขลา เจ็บป่วย ไม่สมประกอบ เดินไม่ได้ ก็ยากจะเจริญก้าวหน้าไปได้ เพราะประเทศชาติก็มี ๒ ภาค เช่นเดียวกับมนุษย์ ที่ต้องมีภาคกายและภาคจิตใจประกอบกันเสมอ แต่จิตใจนั้นเป็นสิ่งชี้นำทาง เป็นสิ่งชี้นำ ก่อเกิดกระแสนำทางการปฏิบัติขึ้นก่อน จึงเป็นเรื่องใหญ่กว่า คณะสงฆ์ไทยมีสถานะอันยิ่งใหญ่คู่ไทยมาโดยตลอด ในฐานะภาคจิตวิญญาณของชาติ แต่หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดเข้าใจไม่ว่า ขณะนี้ได้มีความบกพร่องไม่เป็นไปโดยปกติของภาคจิตวิญญาณของประเทศชาติ อันสมบูรณ์ อันมีสุขภาพพลานามัยที่เข้มแข็งโดยหลักการแห่งพระพุทธศาสนาที่แท้ นั่นคือมิได้มีภาคจิตวิญญาณที่มุ่งหมายไปสู่ความสะอาดสะอ้าน สู่ความชำระกิเลสให้บริสุทธิ์ เพื่อไปสู่เป้าหมายของพระพุทธศาสนา คือมรรคผลนิพพาน มิได้เดินไปในเส้นทางโลกุตตระ แต่ไปในเส้นทางโลกธรรมอย่างเต็มตัว จึงต้องมีการเยียวยาแก้ไขโดยเร่งด่วนยิ่งกว่าภาคกายเสียอีก
และครั้นเมื่อมาพิจารณาปัญหาทางการศึกษาของคณะสงฆ์เข้าอีกปัญหาหนึ่งแล้ว ท่านก็จะเห็นชัดไปอีกครั้งว่า การปกครองของสงฆ์ที่เป็นอยู่นี้ มีความบกพร่องที่เห็นได้โดยชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
โดยมองความจริงทางการศึกษาสงฆ์อย่างง่าย ๆ ที่เห็นชัดเจน
ประการที่ ๑ สงฆ์โดยพื้นฐานการศึกษาบกพร่องอย่างมาก มายในการศึกษาสายสามัญ สงฆ์ที่พื้นฐานการศึกษาระดับประถมศึกษา เป็น
ส่วนมาก แต่สงฆ์ก็ก้าวเข้าสู่ฐานอำนาจทางการปกครองระดับต่าง ๆแต่ล่าง
สุดไปถึงสูงสุด ด้วยพื้นฐานการศึกษาอันต่ำเช่นนี้ เมื่อจำต้องมองปัญหายุคโลกาภิวัฒน์ อันเป็นยุคโลกไร้พรมแดนอย่างปัจจุบันนี้ จะเอาสติปัญญามาจากไหนมาวินิจฉัยจัดการกับปัญหารอบด้าน โดยเกิดประโยชน์มีประสิทธิภาพแก่ตนโดยถูกต้องครรลองแห่งพระพุทธศาสนา(ขอได้โปรดมองเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์หรือศาสนาอื่น ๆดูบ้าง)
ประการที่ ๒ สงฆ์โดยการศึกษาธรรมะเอง ก็บกพร่องไปหมด และยิ่งลดหย่อนคุณภาพลงไปเรื่อย ๆและสงฆ์ไม่มีระบบการพัฒนาระดับการศึกษา(ตามที่ได้วิเคราะห์มา ๒ ฉบับก่อน) หากแต่ในทางกลับตรงข้ามกันสงฆ์ทวีความเจริญทางยศฐาบันดาศักดิ์ โดยไต่ระดับไปเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่าความมีอำนาจกับพื้นฐานการศึกษาไม่สมดุลย์กัน
ประการที่ ๓ การเข้าสู่อำนาจและการเลื่อนขั้นอันดับแห่งอำนาจขึ้นไปตามหลักการปกครองทุกวันนี้ มิได้คำนึงความเหมาะสมทางสติปัญญาหรือเอาพื้นฐานการศึกษาเป็นหลัก หากแต่มักเอาเงิน เอาวัตถุนิยมและอามิสเป็นหลัก อันผิดหลักการพระพุทธศาสนา
ข้อบกพร่องอย่างมากมายที่เป็นเหตุให้การคณะสงฆ์ประสบความเสื่อมทรุดจนกลายเป็นอัมพาตไป ก็เนื่องมาจากความไม่สมดุลย์ระหว่าการศึกษากับอำนาจนี้เอง
เพราะตำแหน่งแห่งอำนาจคือตำแหน่งทางการปกครองมีมากมายหลายชั้นจนเกินไป แล้วยังมียศพระอีกมากมายถึง ๑๑ ชั้นยศกำกับไปในแต่ละตำแหน่งนั้นอีก ทำให้เกิดความแตกต่างทางอำนาจของสงฆ์อย่างมากมาย หากแต่ความรู้ภูมิปัญญาระหว่างระดับแห่งอำนาจนั้น แทบไม่มีความแตกต่างกันเลย
เช่นตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ซึ่งมีสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรชั้นตรีกำกับอยู่ กับตำแหน่ง เจ้าคณะชั้นสูงซึ่งมีสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะกำกับอยู่เปรียบเทียบกันเรื่องอำนาจแล้ว ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่า มีระดับอำนาจแตกต่างกันมหึมา เพียงดังหนู กับช้าง ฉะนั้น
แต่ในขณะเดียวกัน ท่านเอาการศึกษามาเปรียบเทียบ ท่านจะพบว่า แทบไม่มีความแตกต่างทางการศึกษา หรือทางความรู้ วิชาการ ระหว่างพระสงฆ์ผู้ดำรงตำแหน่ง-ชั้นยศต่าง ๆดังกล่าว โดยเฉพาะพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะอำเภอ-พระครูชั้นเอก(ป.ธ.๔-๕-๙) ขึ้นไป จนถึงตำแหน่งเจ้าคณะชั้นสูงสมเด็จพระราชาคณะ(ป.ธ.๔-๙) ซึ่งวุฒิทางด้านเปรียญ-นักธรรมก็แทบไม่แตกต่างกัน แต่ท่านจะเห็นว่าทางอำนาจจะแตกต่างกันอย่างมหึมา ระหว่างตำแหน่งพระครูกับสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อมีความรู้ มีเปรียญ มีไตรสิกขาศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกันเท่า ๆ กันแต่ดำรงตำแหน่ง ชั้นยศแตกต่างกันอย่างฟ้ากับดินเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้น ? การบริหารการปกครองก็ระส่ำระสายเพราะเดินไปอย่างไม่สอดคล้องหลักการแห่งพระพุทธศาสนา ก็จะยากลำบากต่อการบริหารให้ถูกต้องทำนองคลองธรรม ยากจะพาหมู่กลุ่มเจริญไปได้ เพราะโดยระบบเช่นนี้ จะมีข้อเสียหายที่สำคัญก็คือจะได้คนผู้ไร้สติปัญญาหรือปัญญาไม่สูงพอเข้าไปครองอำนาจ แต่ผู้ที่ถูกปกครองกลับมีปัญญามากหรือปัญญาสูงกว่า เมื่ออำนาจไม่สมดุลย์กับปัญญาทั้งฝ่ายผู้ปกครองและผู้ที่ถูกปกครอง การใดใดทางการปกครองก็จะดำเนินไปโดยปราศจากเหตุผล จะเอาอำนาจเป็นใหญ่ เอามานะเป็นใหญ่ ทางสงฆ์ซึ่งโดยปกติใช้หลักการ “นิคฺคณฺเห นิคฺหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ : พึงข่มบุคคลที่ควรข่ม พึงชมบุคคลที่ควรชม” เมื่ออำนาจอยู่เหนือปัญญาเช่นนี้ ท่านก็ใช้อำนาจข่มโดยไร้เหตุผลทางวิชาการเพียงเพื่อว่าให้อยู่ใต้การปกครองของฉัน (คือต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งฉันโดยไม่มีข้อแม้)ให้ได้เท่านั้น ซึ่งก็จะปกครองได้เฉพาะคนที่โง่เขลาเท่านั้นเอง(ผู้ฉลาดมีปัญญาหายอมรับไม่ เพราะรู้ผลเสียหายในส่วนรวมดี) เมื่อคนโง่คนตามใจมีมาก นานเข้าก็กลายเป็นระบอบเผด็จการขึ้น เดี๋ยวนี้ การปกครองสงฆ์ได้มีความบกพร่องอย่างยิ่งใหญ่ ในประเด็นความสมดุลย์ระหว่างอำนาจและปัญญานี่เอง และแทบเรียกได้ว่าเป็นยุคเผด็จการทางการปกครอง
เมื่อผู้ที่มีปัญญามากหรือสูงกว่าไม่ได้ครองอำนาจไม่ได้ปกครอง การเสนอแนะใดใดของผู้ถูกปกครองหรือผู้ต่ำศักดิ์กว่าก็มักจะไม่ได้รับฟัง ย่อมถูกระงับเสียได้เสมอด้วยอำนาจที่เหนือกว่า ในขณะเดียวกันแผนการใดใดของผู้มีอำนาจที่กระทำไปโดยไม่ชอบด้วยปัญญา ไม่ชอบด้วยสัมมาทิฏฐิ ไม่ชอบด้วยทำนองคลองธรรมก็ยากที่ผู้น้อยที่มีปัญญามีสัมมาทิฏฐิ จะเห็นด้วย จะกระทำ ตามได้ เช่นเดียวกับทางราชอาณาจักร การสั่งการใดใดของผู้บังคับบัญชา ต้องชอบด้วยกฎหมาย และการเชื่อฟังปฏิบัติตามของผู้ใต้บังคับบัญชา ต้อง เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หากมิเป็นไปตามนี้ ก็ ย่อมเกิดการระส่ำระสายขึ้นได้
คงจะให้ท่านผู้อ่านคิดดูให้ดีว่า ความบกพร่องทางการศึกษาสงฆ์เองก็มีมาก ความบกพร่องทางการปกครองอันสำคัญยิ่งเพราะครอบทุกปัญหาก็ยิ่งมีมากกว่า และเมื่อสองปัญหานี้มาบวกกันเข้า จึงเกิดการลบล้างกันเองอย่างหนักจนถึงกับทำให้สงฆ์ทั้งหมดกลายเป็นอัมพาตไปได้ ก็เพราะระบบอำนาจกับระบบปัญญาหรือการศึกษาไม่สอดคล้องสนับสนุนกันนั่นเอง สงฆ์จึงอยู่กับที่ นิ่งสนิทอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เพราะการไปสู่ตำแหน่งและอำนาจในวงการสงฆ์ตลอดจนหลักเกณฑ์ การพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์สงฆ์นั้น ไม่ถือหลักทางสติปัญญาความรู้และ การศึกษาเป็นใหญ่ แต่ถือหลักเงิน-ผลประโยชน์และวัตถุนิยมเป็นใหญ่ ใครมีอย่างหลังมากก็ได้เข้าสู่อำนาจ ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ และเลื่อนไปสู่อำนาจสู่ยศฐาบรรดาศักดิ์ชั้นสูงไปตามลำดับ และเนื่องจากมีตำแหน่งและชั้นยศอยู่มากมายหลายตำแหน่งหลายชั้นยศ จึงทำให้เกิดชนชั้นแห่งอำนาจชนชั้นแห่งศักดินาขึ้นมากมายหลายชนชั้น มีอำนาจหลายชั้นในการปกครองการบริหารซึ่งแม้กระนั้น ก็หามีความแตกต่างกันมากมายทางการศึกษาหรือสติ ปัญญาไม่ (โดยเฉพาะการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ภูมิปัญญาของสงฆ์ แทบไม่แตกต่างกันเลย พระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ธรรมดา ๆ รูปหนึ่งที่ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดใดเลย สามารถมีภูมิปัญญาพาประชาชนประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้พอ ๆ กับเจ้าอาวาสชั้นสมเด็จพระราชาคณะ) ระบบการปกครองสงฆ์ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้จึงไม่เป็นผลดีต่อการศึกษาของสงฆ์ ไม่ใช่วิถีทางที่ส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์เลย ทั้ง ๆ ที่หลักการแห่งพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นเป็นหลักการแห่งการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ปิดกั้นวิถีทางการศึกษาเพื่อปัญญาบริสุทธิ์ อันหมายถึงมรรคผลและนิพพานอย่างสนิท อันเป็นภาระหน้าที่ที่แท้จริงของพระสาวก อันเป็นเส้นทางแห่งการศึกษาล้วน ๆ อันเป็นเป้าหมายหลักสำคัญของการพระพุทธศาสนา
จึงมีปัญหาอันมากมายเกี่ยวกับการบริหาร ที่ต้องมีการวินิจฉัยสั่งการโดยรีบด่วน ปัญหาความจำเป็นที่ต้องริเริ่มงานอะไรใหม่ ๆ ปัญหาการวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับสถานการณ์ฝ่ายศาสนาเอง ในยุคโลกไร้พรมแดน ฯลฯ จึงไม่มีขึ้น เพราะสงฆ์ถอยหลังไปไกลจนเป็นเผด็จการทางปัญญา อันทำให้วงการสงฆ์เป็นอัมพาตไปหมดดังกล่าวมา
ทางแก้ไขปรับปรุงที่ถูกต้อง อันเป็นหลักการก็คือ ทางการปกครองต้องลดชั้นยศลง ลดตำแหน่งลง ลดระดับชั้นการบังคับบัญชาลงให้เหลือน้อยที่สุด เพราะวิธีนี้จะทำให้ระดับอำนาจใกล้เคียงกัน พอ ๆ กับระดับสติปัญญาการศึกษาสงฆ์ที่ใกล้เคียงกันอยู่แล้ว(ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยเปรียญ และนักธรรม) ก็จะสามารถดำเนินการไปได้ด้วยมติของหมู่มากกว่าฟังเสียงผู้มีอำนาจคนเดียว และระบบการอยู่ในอำนาจหรือตำแหน่ง ก็ต้องมีกำหนดเวลา เพื่อปลดปล่อยภาระผูกพันอันแม้นเหมือนสภาวะแห่งผู้ถูกจำขังหรือนักโทษ เพราะอำนาจมิใช่เป้าหมายปลายทางของนักบวช การผูกติดกับอำนาจมิใช่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพื่อมรรคผล อำนาจเป็นทางเสื่อมแห่งพรหมจรรย์ นี่คือสัจธรรมซึ่งเป็นวิธีการที่สอดคล้องหลักประชาธิปไตย ในประเด็นที่ว่า กลุ่มหมู่มีพื้นฐานการศึกษาใกล้เคียงกันมาก ย่อมเป็นประชาธิปไตยได้ดี วิถีทางแห่งสงฆ์ ที่มีพื้นฐานการศึกษา๓(ศีล สมาธิ ปัญญา เปรียญ และนักธรรม)เสมอกันมาก จึงอาจสามารถดำเนินการปกครองระบบนี้ได้ดีเป็นมาตรฐานกว่าฝ่ายราชอาณาจักร อาจนำและเป็นแบบอย่างแด่ฝ่ายราชอาณาจักรได้
และการปกครองแบบประชาธิปไตยสงฆ์ก็คือการปกครองโดยหมู่สงฆ์ ๓ ระดับ(เพื่อรับและสอดคล้องสถานการณ์การปกครองฝ่ายราชอาณาจักร์ที่มีแนวโน้มจะพัฒนาการไปและอยู่ตัวอยู่ใน๓ระดับนี้)คือระดับตำบล มีสภาสงฆ์ระดับตำบล(หมู่สงฆ์ระดับตำบล) ระดับจังหวัด มีสภาสงฆ์ระดับจังหวัด(หมู่สงฆ์ระดับจังหวัด) และระดับชาติมีสภาสงฆ์ระดับชาติ(หมู่สงฆ์ระดับชาติ) ซึ่งมิใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นประเพณีการปกครองโดยหมู่สงฆ์อยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อความสะดวก เราจึงจัดไว้เป็นสามระดับดังกล่าว ส่วนการแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งนั้น เมื่อสงฆ์ปกครองโดยหลักความเสียสละ และไม่ยึดมั่นในตำแหน่ง ไม่ใช่ตำแหน่งตลอดชีพ ซึ่งพวกเราอาจแสดงสปิริตกันได้อยู่แล้ว ก็ย่อมจะง่ายแสนง่าย
และบนระดับนี้ การเดินไปของงานการศึกษา ทั้งคันถธุระและวิปัสนาธุระของสงฆ์ทั้งปวงก็เป็นไปได้ เพราะไม่ถูกปิดกั้นด้วยระบบอำนาจ อันเป็นระบบการปกครองที่มีศักดินา เมื่อกระแสธรรมเริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมพระสาวก มีอริยภูมิ มีอริยศีล มีอริยบุคคลเกิดขึ้น การปกครองก็เดินไปในระบบธรรมชาติคือเป็นไปเองตามกฎอิทัปปัจยตา อันย่อมเป็นไปตามพุทธประเพณีที่เรามีกันอยู่เราใช้กันอยู่แม้ในปัจจุบันนี้อย่างมี
ความรับผิดชอบทางจิตวิญญาณ มีหิริโอตตัปปธรรมเกิดขึ้นเองที่คอยควบคุมตัวเองและกันเอง แทนระบบอำนาจที่ไร้ปัญญาควบคุมแบบเดิม ซึ่งตามระบบนี้ เมื่อสงฆ์มีปัญหาใดขึ้น ก็นำเอาปัญหานั้นเข้าสภาสงฆ์เพื่อปรึกษาหารือกัน งานก็จะเดินไปด้วยติปัญญาล้วน ๆ สภาก็เป็นที่ประชุมของเหล่าบัณฑิตนักปราชญ์ จะเหมือนการประชุมของหมู่พระอรหันต์ ๕๐๐โดยการนำของพระมหากัสสป ภายหลังพุทธปรินิพพานเพื่อทำสังคายนาครั้งปฐม ซึ่งเป็นแบบอย่างการประชุมที่พร้อมด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์จริง ๆ จนแม้พระอานนท์พุทธอนุชา แม้จะรอบรู้พระสูตรดีเพียงใดแต่หมู่พระอรหันต์ยังไม่ยอมให้เข้า หมู่จนกกว่าจะบรรลุอรหัตผลเสียก่อน หากสงฆ์เราถือเอาตามหลักนี้ การพระพุทธศาสนาก็จะเจริญมากในโลก บรรดาแนวคิด ความเชื่อที่กระเด็นกระดอนไปจากหลักศาสนาพุทธที่มักเพี้ยนแผกออกไปจากหลักการอันบริสุทธิ์ อย่างที่ปรากฎอยู่ดาดดื่นในขณะนี้ ก็จะเริ่มยินและยอม มารวมหมู่กันแข็งแกร่งขึ้น เพราะทุกคนย่อมพอใจการปกครองที่เป็นธรรม ยินดีร่วมกับหมู่ที่เป็นธรรมเสมอ หากทำได้สังคมไทยก็จะได้จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด นำไปสู่ความหวังใหม่อันสะอาด สว่าง สงบ และกำลังใจกล้าหาญในการต่อสู้เผชิญโลกในยุคโลกาภิวัตน์ที่ไร้พรมแดนได้อย่างมั่นใจ และเป็นผู้นำโลกไปสู่ความรอดพ้นจากภัยอันใหญ่หลวง และเราขอเป็นกลุ่มมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่รอดชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพราะมหาภัยอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์โลกจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
หากแต่ขณะนี้ นี่คือปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง ที่เป็นผลจากปัญหาทั้งสองด้านมารวมกัน คือปัญหาการปกครองและปัญหาการศึกษาสงฆ์ ที่มาลบล้างอำนาจกันเองจนกลายเป็นอัมพาตไปทั้งหมด
จิตวิญญาณของประเทศชาติไทยจึงตกต่ำเศร้าหมอง เพราะปัญหาภาคภายในมีมากมายจนสุดจะแก้ไขได้ด้วยระบบเดิม ๆ เราจึงต้องเอาใจใส่ศึกษาปัญหาระบบสงฆ์ให้เข้าใจถ่องแท้กระจ่างชัดให้ได้เสียก่อนเป็นเบื้องต้น เพื่อที่จะก้าวเดินออกไปด้วยกันและพร้อม ๆ กัน สู่ความมุ่งหมายของพระพุทธองค์
ส่วนปัญหาที่ว่า เมื่ออยู่ในระบบเดิม-ปัจจุบันนี้อยู่ ยังไม่อาจปรับปรุงแก้ไขอะไรได้ เราจะสามารถพัฒนาการคณะสงฆ์ไปได้อย่างไรหรือไม่ นั้น
คำตอบคือ ได้ ย่อมได้อย่างแน่นอน พระสาวกห่อนไร้ความหวัง ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใดใด เพียงถือธรรมะข้อเดียวพร้อม ๆ กันเท่านั้นเอง คือ
จงกล้าหาญในการกระทำความดี !
จงกล้าหาญในการกระทำความดี !
จงกล้าหาญในการกระทำความดี !
“จงกล้าหาญในการกระทำควมดี” ธรรมะเพียงข้อเดียวนี้ ใช้ได้หมดทั้งฝ่ายศาสนจักรและอาณาจักร ทั้งปัจเจกบุคคลและหมู่ ฯ
ปัญญาธโรภิกขุ
สุสานสวามิภูติ (สันติพิมานรเทพ) ศรีสะเกษ
ธ.ค.๒๕๔๐
{คอลัมน์กัลยาณมิตร}
ท่านยังไม่รู้จักพุทธทาสภิกขุ 5
หนังสือ ๒ เล่ม ๆแรกเป็นธรรมบรรยายรุ่นเดิมแต่เริ่มแสดงธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ คือ “การส่งเสริมการปฏิบัติธรรมและหลักแห่งพระพุทธศาสนา” บรรยายที่พุทธสมาคม สาขาจังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๗ กับเล่มที่๒คือ “ผัสสะ สิ่งที่ต้องรู้จักและควบคุม” เป็นธรรมบรรยายอบรมนิสิตและอาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภายหลังบรรยายเรื่องต้นนั้นมาอีก ๔๙ ปี วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๖
ลองดูเล่มแรกเรื่อง การส่งเสริมการปฏิบัติธรรมฯ ก่อน พบว่าปีที่ท่านบรรยาย พ.ศ. ๒๔๗๗ นั้น เป็นระยะที่ท่านเริ่มประกาศธรรม ท่านก็ยังคงจับครรลองธรรมตามตำราและแบบแผน เดิมอยู่ เช่นตั้งนโม๓จบขึ้นก่อนตามธรรมเนียมการเทศน์ แต่สติปัญญาการวิเคราะห์ธรรมนั้นคมและเฉียบขาด เมื่อเริ่มเจาะเข้าสู่ปัญหาการศึกษา ๒ คือคันถธุระและวิปัสนาธุระ ท่านว่า
“ครั้งพุทธกาลนั้น ข้าพเจ้าค้นไม่พบว่า ได้มีการเรียนคันถธุระกันดาดดื่นเหมือนในบัดนี้ แต่พบเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่ามีวิปัสสนาธุระดาดดื่นแทน ที่เปนดังนี้ก็เพราะ ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระอรหันต์ปรากฎอยู่ เพียงแต่ท่านสอนว่าทำ ตามที่ท่านทำ ก็ดูเหมือนจะพอเสียแล้ว ผู้ทำตามได้รับผลเช่นเดียวกับผู้เปนตัวอย่าง”
“จงมองดูความระหกระเหินของมนุสส์ในโลก กำลังได้รับความยากแค้นจาก สงครามและเศรษฐภัย และที่ได้รับประจำอยู่ทุกวันก็คือ ความทรมานใจเพราะความ อยากไม่มีสิ้นสุด ไม่มีหวังว่าจะสิ้นสุด นี่เป็นผลเกิดจากการที่วิปัสสนาธุระตามแบบ ของพระองค์ไม่มีในโลก”
“ท่านทั้งหลาย จงมองดูเหล่าพุทธบริษัททั้งสิ้น ถุงกำลังป่องเบ่งเต็มที่เพราะ เต็มไปด้วยลม กล่าวคือ การศึกษาที่กำลังรอการปฏิบัติอยู่”
“ข้าพเจ้าถือสิทธิพูดฐานพี่น้องตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนลมนั้น ให้กลายเป็นตัวความสุขที่แท้จริงยิ่งขึ้น จะได้กลับเป็นยุคแห่งถุงเงินถุง ทองอย่างเดิม”
ผลการศึกษาด้านวิปัสนาธุระก็คือมรรคผลนิพพาน
ในระยะเวลาที่ท่านพูดถึงมรรคผลนิพพานนั้น ดูเหมือนว่าเป็นระยะที่บอด และมืดในเรื่องนี้จริง ๆ การพูดอะไรออกไปในลักษณะที่จะชวนให้คนที่บอดมืดคิดผิด เข้าใจผิดในตัวผู้พูดจึงมีอยู่สูงมาก แต่ท่านก็ตัดสินใจบุกเบิกพูดเรื่องอันเป็น ชั้นสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา
“มรรคผล เป็นของเหลือวิสัยหรือ? มรรคผลคืออะไร ถ้าตอบไม่ได้ ทำไมจะรู้ ว่าเหลือวิสัยหรือไม่เหลือวิสัย? ข้อนี้แม้จะมีหลักว่า ถ้ายังไม่บันลุมรรคผล จะรู้จัก มรรคผลไม่ได้ก็จริง แต่เรารู้ได้ด้วยเหตุผลและการอนุมาน ตามแนวแห่งกฎธรรมชาติที่ใครก็พอพิศูจน์ได้”
“มรรคคือความฉลาดที่บันเทาความโง่ให้หมดลง ผลคือความสุขที่ได้รับเพราะปราศจากความโง่นั้น เมื่อทำได้ถึงขีด เรียกว่าโสดาปัตติมรรคบ้าง สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรคบ้าง”
ท่านพูดถึงพระอรหันต์ประเภทหนึ่งที่คนสมัยก่อนบรรลุได้อย่างง่าย ๆ โดย แท้จริง ท่านมองมาสมัยใหม่ว่าคนก็น่าจะสามารถบรรลุได้โดยไม่ยากเช่นเดียวกันกับสมัยเดิมนั้น
“พระอรหันต์สุกขวิปัสสก มีเรื่องราวต่าง ๆกัน : บางองค์เห็นดอกมลิเหี่ยวก็ได้ บันลุ บางองค์เห็นพยับแดดที่หลอกลวงนัยน์ตาต่าง ๆ ได้บันลุ บางองค์เห็นฟันงาม ๆ ของผู้หญิงได้บันลุ ทั้งนี้เห็นได้ว่าอยู่ที่การเห็นแจ้ง อันเรียกว่าวิปัสสนา สำหรับผู้มีอุปนิสัยแล้ว ย่อมง่ายมาก แต่เราจะรออุปนิสัยอยู่ทำไม! มันเปนการน่าหัวเราะเช่น เดียวกับผู้รอโชคในการถูกสลากกินแบ่ง(ลอตเตอรี่) มิใช่หรือ - ในเมื่อวิธีที่พึงทำเอา ได้ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ยังมีอยู่ ปัญหามีอยู่ว่าเขาชนะ ตนเองใน เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เขามึนเมาอยู่นั้นโดยเสียสละมันออกเสีย จะได้หรือไม่”
นั่นก็คือความหมายของท่านที่ว่า หัวใจของการบรรลุธรรมนั้นอยู่ที่ จะต้องมีการปฏิบัติ ธรรม ไม่ใช่เพียงแต่พูด หรือเพียงแต่เรียนคันถธุระเท่านั้น เมื่อคนสามารถบรรลุธรรมได้ ศาสนาก็มีความหมาย ก็เท่ากับพระธรรมยังอยู่ เท่ากับพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ “สาสนาที่ไม่มีใครปฏิบัตินั้นชื่อว่าตายแล้ว ที่ยังมีผู้เรียนก็เพียงแต่ ยังมีผู้เล่าถึงสิ่งที่ตายไปแล้ว สาสนาที่ยังเปนอยู่ ก็คือสาสนาที่กำลังให้ ความสุขชุ่มชื่นใจเยือกเย็นแสนจะเย็นแก่มนุสส์อยู่ ขอเราจงช่วยกันทำให้ พุทธสาสนาของเรามีลมหายใจแรงขึ้น คือมีชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมด้วยวิธีนี้ แต่วิธีเดียวเถิด พิธีอันสนุกสนานต่าง ๆ นั้นเหมือนของแสลงที่ท่านป้อน ให้แก่สาสนาที่กำลังเป็นไข้หนักอยู่ สาสนาที่ว่ากำลังไข้หนัก คือยังไม่มีผู้บันลุผลขั้นสูงของสาสนาถึงกับแสดงแก่ผู้มาขอดูได้ การจำนนต่อการขอ เช่นนี้ ถ้ายังมีอยู่เพียงใด เรียกว่าสาสนายังไข้หนักอยู่เพียงนั้น”
เมื่อท่านพุทธทาสภิกขุได้สอน ๆ ๆ ๆ และสอนต่อมาในเรื่องสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาเช่นนี้ มา ๔๙ ปี เมื่อท่านบรรยายเรื่อง “ผัสสะ สิ่งที่ต้องรู้จักและควบคุม” แด่นิสิตและอาจารย์ มหาวิทยาลัย อันเป็นระดับมันสมอง ระดับปัญญาชนของชาติ ท่านได้เน้นลงไปทีเดียวว่า ผัสสะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องรู้จักเลยทีเดียว
ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าท่านมีความสามารถทำความเข้าใจได้ดีอย่างยิ่ง เมื่อท่านพุทธทาสพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องง่าย ๆ ใคร ๆ ก็คงเข้าใจ
“เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันเป็นเรื่อง ก ข ก กา หรือ เอ บี ซี ก็ได้ ของพระพุทธศาสนา” จะอธิบายตามหลักอายตนภายใน - อายตนภายนอก ก็เข้าใจได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ท่านยังจะไม่เข้าใจก็คือ เมื่อท่านบอกว่า ธรรมะสุดยอดของพระพุทธ ศาสนาก็เป็นเรื่องนี้ เรื่องเดียวกันกับธรรมะระดับ ก ข ก กา ดังกล่าว คือ เรื่องผัสสะ เป็นทั้งชั้นต้นและชั้นปลายสุดพร้อมในขณะเดียวกัน ของพระพุทธศาสนา ท่านพุทธทาสเองท่านหัวเราะและตำหนิตนเอง เมื่อท่านพูดถึงความสูงสุดนี้
“แล้วมันคงจะน่าหัวเราะที่ว่า เรื่องมันมีเท่านี้แล้วเราไปทำให้มาก ๆ มาก จนศึกษากันกี่ปีกี่ปีก็ไม่จบ, ไม่รู้ใครมันบ้า เรื่องมันมีเท่านี้ อาตมาบ้าก็ได้ เพราะพูดไม่รู้จักจบ ; ฟังกันไม่รู้จักจบ ทั้งที่เรื่องมันมีนิดเดียวเท่านี้ คือ ผัสสะคำเดียวครอบคลุมไปหมดทุกเรื่อง เอาละ, เรื่องสุดท้ายมีเท่านี้ ผัสสะ คำเดียวพอ.” จนกว่าท่านจะเข้าใจสิ่งทั้งปวงว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีร้อนไม่มีหนาว ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่มีน้ำไม่มีไฟ ไม่มีความห่างระหว่างท้องฟ้าและ ผืนดิน ไม่มีอะไรที่แตกต่างเลย เป็นหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
ไกลกิเลส
ธ.ค.๔๐
สากลจักรวาล สากลศาสนา
ธรรมสามีวินิจฉัย
สากลจักรวาล ฟ้าเดียวกัน
สากลศาสนา ศาสนาเดียวกัน
ไม่มีความหมาย แห่ง ความเป็นอื่น
อริยสัจ ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาสมณโคดม ประกาศแล้ว ชาวโลก รู้กันอยู่ ๔ ข้อ ๔ ลำดับ : ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
แต่ไม่ เข้าใจอย่างนี้ อันเป็นความเข้าใจสากล ที่ว่าด้วยเหตุ และผล
ซึ่งทำความเข้าใจเป็นคู่ ๆ
ทุกข์ กับ สมุทัย คู่หนึ่ง
นิโรธ กับ มรรค คู่หนึ่ง
ทุกข์ กับ นิโรธ คู่หนึ่ง
สมุทัย กับ มรรค คู่หนึ่ง
รวมเป็น ๔ คู่
อธิบายดังนี้
ทุกข์ กับ สมุทัย
สมุทัย เป็นเหตุแห่ง ทุกข์ ต้องหมั่นศึกษา เรียนรู้
เมื่อรู้สมุทัย ก็รู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์ รู้สมุทัย พ้นทุกข์ได้
นิโรธ กับ มรรค
มรรค เป็นเหตุแห่ง นิโรธ
มรรค คือความประพฤติต้นเหตุอันพร้อม แล้ว เป็นเหตุแห่ง นิโรธ ไปสู่นิโรธ ถึงนิโรธแล้ว ก็พ้นทุกข์ สรรพสิ่งก็ดับลง สากลจักวาลก็ดับลง โลกใหม่สว่างขึ้นแทน เป็นโลกอมตะ ที่นิรทุกข์ โลกที่ไม่มีความทุกข์
ทุกข์ กับ นิโรธ
ทุกข์ เป็นปลายทาง คนละฝั่งกับ นิโรธ
เมื่อลงนาวาชื่อว่า สมุทัย ย่อมไปสู่ฝั่งคือ ทุกข์ นั้นเป็นอันเที่ยงแท้แน่นอน
แต่เมื่อลงนาวาชื่อว่า มรรค ย่อมไปสู่ฝั่งคือ นิโรธ นั้นเป็นอันเที่ยงแท้แน่นอนเสมอ
สมุทัย กับ มรรค
สมุทัย กับ มรรค คือ กองกำลัง คือ พลัง แต่อยู่คนละฝ่ายละฝั่งกัน ย่อมเป็นข้าศึกศัตรูต่อกัน
สมุทัยย่อมเป็นพลพรรคฝ่ายมาร มรรคย่อมเป็นพลพรรคฝ่ายเทพ
โลภ โกรธ หลง เป็นเครื่องมือของฝ่ายมาร เพียงใด ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นเครื่องมือของฝ่ายเทพเพียงนั้น
โลกและสากลจักรวาล จึงย่อมเป็นไปตามอำนาจสองฝ่ายนี้ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย
แม้ศาสนาสากล ก็ถูกครอบด้วยอำนาจทั้งสองฝ่ายนี้เสมอ
แต่เมื่อใด ธงชัยแห่งศาสนาอันบริสุทธิ์ ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายมารเสียแล้ว เมื่อนั้น สากลจักรวาลและสากลศาสนาย่อมวิบัติ
การวินิจฉัยปัญหาสากลจักรวาล สากลศาสนา วันนี้ นักปราชญ์ใดย่อมอาจทำได้
หากมี ความยุติธรรม อยู่ในดวงใจ
เพราะศาสนาสากลย่อมพินิจสรรพสิ่งด้วย ความยุติธรรม เสมอ
และสถานการณ์สากลจักรวาล-สากลศาสนา วันนี้ ต้องมองประชาชนแห่งประเทศมหาอำนาจของโลกก่อน
วันนี้ จะต้องมองว่า ผู้นำประเทศมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา
ท่านประธานาธิบดี บิล คลินตั้น
วันนี้ได้แสดงบทบาทที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอเมริกันเพียงใด หรือไม่ ?
รัฐบาลของประเทศมหาอำนาจนี้กับประชาชนของประเทศมหาอำนาจนี้ ได้แสดงออกซึ่งเจตนารมณ์อันร่วมใกล้ชิดกันเพียงใด? น่าสงสัยอยู่ !
เพราะความอยู่รอด คือเส้นขนานที่วิ่งไปทิศเดียวกัน เราไม่ต้องการเส้น ๒ เส้นที่วิ่งไปคนละทางกัน
มองมวลประชาชนชาติอาหรับ สาธารณรัฐอิรัก สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน รัฐอิสราเอล หรือราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนบรรดาภูมิภาคแห่งเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นเสมือนดินแดนที่พระเจ้าประทานแด่พสกนิกรของพระองค์โดยเฉพาะ
ความคิดความเชื่อเช่นใดฝังลึกซึ้งในภาคจิตวิญญาณ จนไม่อาจปลดปล่อยตนให้พ้นพันธนาการแห่งปัญหา อันนับวันทวีขึ้นในโลกเรื่อยไป ๆ
ลองมองดูยุโรป บริเวณแกนแห่งทวีป มีอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน เป็นอาทิ
ประชาชนของทวีปนี้ กำลังคิดอะไรอยู่?
อะไรคือเสรีภาพที่แท้จริง ที่มนุษย์สมบูรณ์พึงมีพึงได้?
มาดูที่ประเทศกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมพลเมืองอันแน่นขนัดเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองของโลก ๒ ประเทศใหญ่ในเอเซีย
จีน อินเดีย
ซึ่งยังคงดำรงความลึกลับอยู่เช่นเดิม เสมือนในอดีตกาลนานมาแล้ว
เราจะอาจตั้งความหวังว่า เส้นทางอย่างพระคุณเจ้า ถังซัมจ๋ง เดิน จะกลับมาอีกหรือไม่หนอ ?
ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี ใต้หวัน กำลังหวาดวิตกต่อสิ่งใด อยู่ภายในจิตวิญญาณอันล้ำลึก ?
แน่ละ! ทุกกวันนี้ เพียงดังว่าพวกเขาอยู่ด้วยจิตวิญญาณเท่านั้น จิตวิญญาณอันระส่ำระสาย!
ชาวไทย ชาวประเทศที่ชื่อว่าไทย อันมีความหมายถึงอิสรเสรีภาพและความมีเอกราช จะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ เคยเอาตัวรอดปลอดพ้นได้ ดำรงความเป็นไทยเสมอชื่อ และทรงอำนาจลึกทางฝ่ายจิตวิญญาณ
บัดนี้ ประชาชนไทยจะสามารถเป็นชาวประเทศยากจนตัวอย่างแก่ชาวโลก ได้อย่างไร ?
อันเป็นทางรอดทางเดียวของพวกเขา ! และซ้ำเป็นหนทางอันประเสริฐสุด และทั้งเป็นโอกาสอันประเสริฐสุด ถ้าหากมองหลักคำสอนของศาสนา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นศาสนาประจำชาติของชนชาวไทยนี้ ชาวไทยเคยระลึกสักหน่อยหนึ่งหรือไม่ว่า
พระบรมศาสดา ผู้ทรงตรัสรู้ธรรม ได้ ด้วยการทำตัวให้ยากจนลงเสียก่อน ผู้ทรงยืนยันสัจธรรม ว่าการตรัสรู้ อยู่ในความลำบากยากจน อยู่ในการเรียนรู้ความลำบากยากจน คือเรียนรู้จากความทุกข์
ศาสดาแห่งศาสนาสากลทุกพระองค์ก็จำเริญรอยพุทธองค์นี้ จงดูพระเยซูเจ้า ทรงหลั่งเลือดโชลมแผ่นดิน จึงสู่อาณาจักรพระเจ้าบนสวรรค์ พระโพธิสัตว์ อนุพุทธทั้งหลาย ผู้มุ่งหวังความตรัสรู้ธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ล้วนตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า อย่างมิเฉไฉไปจากรอยบาทของพระองค์เลย
ชาวพุทธจะรำลึกหรือไม่ว่า ความยากจนคือช่องทางไปสู่ความประเสริฐสุด โอกกาสได้เปิดให้แล้ว เพื่อกการบำเพ็ญเพียร
รูปสถานการณ์ทั้งหมดทั้งมวลของชาวโลกในสากลจักรวาล กำลัง สะท้อนความคิดความนึกอะไร อย่างไร ต่อโลกแห่งจิตวิญญาณอันเป็นสากลบ้าง ?
ศาสนาสากลในโลกยุคนี้ กำลังก่อตัวขึ้นอย่างไร ? เมื่อความเชื่อเดิมไม่สามารถพาไปบรรลุมรรคผลฯ
ธรรมสามี
ธ.ค.๔๐
ประวัติของผม พระพยับ ปญฺญาธโร
พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ ตอน 4
การที่ผมเขียนประวัติของผมขึ้นเองนี้ ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมใน วงวรรณกรรม เพราะผมเองรับผิดชอบ และยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่ปรารถนาให้เกิดวรรณกรรมอัตชีวประวัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้อ่าน เช่นที่เห็นในชีวประวัติของ หลวงปู่บางรูป แม้แต่เพียงเล็กน้อย และที่สำคัญ เพื่อให้ประวัตินี้เป็นที่สังเกตุแง่ที่จักเกิดประโยชน์ทางธรรม
ชีวิตของผมเหมือนต้นไม้ ที่ตั้งแต่งอกขึ้นบนดิน ก็มีแต่เติบใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ เคยหยุดชงักลง เพราะดินดี มีน้ำแร่อุดม พรมรดเป็นธาตุอาหาร ผมหมายถึงความเจริญทางจิตวิญญาณ อันเป็นสำนึกส่วนล้ำลึกภายใน ที่สืบสาน ความเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยขาด นับแต่มีชีวิตกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้
เมื่อเด็ก ผมได้รับการอบรมบ่มโดยธรรมชาติแวดล้อมอันบริสุทธิ์ คือชนบทที่เงียบ สงบปราศจากเสียงรถยนต์ เครื่องจักรกล หรือเครื่องขยายเสียง ที่ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เหมือนสมัยนี้ ขณะนั้นมีแต่เสียงธรรมชาติ ตอนเช้าตะวันขึ้นทางตะวันออก ผมเห็นมัน เดินข้ามศีรษะไปทางตะวันตกทุกวัน ๆ และเห็นมันลับลงไปในขอบฟ้า แล้วยามข้างขึ้น ดวงจันทร์ก็ปรากฎบนท้องฟ้าด้วยแสงอันสว่างนวล ยามข้างแรมก็มีดวงดาวทอประกาย ระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ในหน้าดินชุ่ม ชาวนาเริ่มไถนา ก็ได้ยินเสียงจิ้งหรีด และแมลง ต่าง ๆ กรีดร้องระงม อยู่รอบ ๆ บ้านของผมนั่นเอง ซึ่งเป็นเสียงที่ขับกล่อมยามผมหลับตาลงในเปลนอน เมื่อฤดูฝนมา ฟ้าแดงก่ำบอกว่ามีลมพายุแรง แล้วมันมาเกลื่อนกลุ้มคลุ้มคลั่งไป หมด ยอดหมากยอดพร้าวลู่ตามกันไป นกการ้องก้องกลับคืนรวงรังของมัน คนก็จูงงัว ควายเข้าคอก สับสนอึงอลไปหมด แต่มีบางค่ำคืนดึกดื่นฝนตกลงมาอย่างเงียบสงัด สายฝนที่ไร้ลมพายุ ลงสู่พื้นดินอย่างสม่ำเสมอเหมือนดังเส้นสายทองจากสวรรค์ที่มากับ ความเย็นยะเยือก แม่ผมจะคลี่ผ้าห่มมาห่มให้อบอุ่นและผมก็หลับตานิ่งสดับสายฝนที่หลั่งลง และหลับไปอย่างมีความสุข ก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หูผมได้ยินเสียงร้อง ระงมลั่นสนั่นมาจากท้องทุ่งนา เป็นเสียงเขียดตัวเล็ก ๆ ที่มากับน้ำใหม่ แล้วเมื่อน้ำหายไปเขียดเหล่านี้ก็จะหายเข้าไปอยู่ในดินปนทรายริมฝั่งห้วย แม่ผมเรียกว่าเขียดจันนา สำเนียงชื่อก็เพี้ยนกันไป บางคนก็เรียกว่าเขียดจารนาก็มี มีเสียงกบร้องมาแต่ไกล แต่ที่ฟัง ไพเราะและดังคล้ายเสียงจังหวะดนตรี คืออึ่งอ่าง ดูมันตั้งใจตะเบ็งเสียงฟังออกสำเนียง ตรงตามตัวอักษรไทย อึ่งอ่าง ! อึ่งอ่าง ! เสียจริง ๆ ครั้นผมลุกจากที่นอน เดินออกมาที่ระเบียงบ้าน มองข้ามสวนหม่อนที่แตกใบเขียวขจีออกไป ก็เห็นน้ำขาวโพลนในท้องทุ่ง นาฟากตะวันออก มองไปสุดลูกหูลูกตา เสียงที่ร้องระงมต่าง ๆ ที่ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา จากท้องทุ่งกว้างใหญ่นั้น บอกให้รู้ว่าสัญญาณแห่งชีวิตรอบใหม่ในชนบทได้เริ่มต้นขึ้นอีก รอบแล้ว พ่อกับแม่และพี่สาวผม ปล่อยให้ผมอยู่กับธรรมชาติอันมีชีวิตนี้เป็นเวลาหลาย ชั่วโมง จึงกลับมาบ้าน พร้อมด้วยผัก ปลา และอาหารต่าง ๆ
หน้าฝน อุดมด้วยปลาและผัก นอกจากนั้นก็มีกบ เขียด และแมลงต่าง ๆ แม้ กระทั่งแมงดานา ฤดูฝนประชาชนก็มีใจชุ่มเย็นเบิกบาน แล้วงานบุญบ้องไฟต้อนรับฟ้า ฝนก็มีขึ้น เป็นประเพณีมิเคยขาด ท้องทุ่งนาและถนนในหมู่บ้าน ก็คลาคล่ำไปด้วยคนบุญ บุญบ้องไฟใหญ่ และดวงจิตผมสงบสงัด เมื่อมองขบวนแห่เซิ้งบ้องไฟ ๆ มีคานหาม เอ้ตกแต่งด้วยกระดาษสีเลื่อมมันระยับ หางมันยาวหลายเมตร ห้อมล้อมด้วยบริวาร ขบวนเซิ้งที่ เข้าแถวเป็นระเบียบ เป็นริ้วขบวน ผ่านไป ๆ ตามถนนหน้าบ้านผม ยามตะวันรอนอ่อนลงแล้วจนมืดค่ำ แล้วแม่ผมก็เตรียมเงินเหรียญไว้โปรยหว่านทานแด่ขบวนเซิ้งบ้องไฟที่ผ่าน ไป ๆ ในงานบุญบ้องไฟ คนมีวาจาต่อกันล้วนนุ่ม ฟังไม่ระเคืองระคายหู แม้ว่าในความ หมายแห่งถ้อยคำนั้นหยาบ โลน ก็พูดด้วยเสียงอันไม่ชวนให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้อย่างประหลาด และกาพย์เชิ้งบ้องไฟนั้นไพเราะแสนไพเราะ คละเคล้าเข้ากับภาพฟ้อนแห่ของขบวนเซิ้งที่สวยงาม เพราะเป็นบทกาพย์ที่เขียนขึ้นโดยปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ที่ล้วนแฝงสัจธรรมให้คนได้รำลึกได้ตระหนักถึงชีวิตที่เป็นทุกข์ เป็นอนิจจังและเป็นอนัตตา ยาม เช้าตรู่ขบวนแห่เซิ้งบ้องไฟก็ดูจะรีบเร่ง แข่งกันออกสู่ท้องทุ่งนาอันชุ่มฉ่ำ คนก็มาจากทุก สารทิศ ออกไปสู่ท้องทุ่งกันดูหลามหลากไปหมด แล้วไม่นานเสียงประทุ ของดินขับจาก บ้องไฟก็ดังระเบิดสนั่นหวั่นไหวสะทกสะเทือนไปทั่วท้องทุ่ง บ้องไฟ ขึ้นสูงคนแหงนคอดู แล้วบางครั้งก็พากันวิ่งกระเจิดกระเจิงเมื่อบ้องไฟถลาลมบนมันย้อนกลับมาหาผู้คน ผม นิ่งฟังสิ่งที่ผ่านเข้ามาเหล่านี้ อย่างมีวิจารณญาณอันล้ำลึก และสงบสงัดในจิตวิญญาณ แล้วฝนก็ตกลงมาใหญ่ หน้าฝน มีน้ำนอง นาข้าวมีชีวิต ทิวข้าวเมื่องาม ตอนที่มันตั้งท้องจะออกรวง ฝนก็น้อยลง น้ำในนาในสระใสสะอาด นิ่งสงบเพียงดังกระจก และครั้นลมพัดเอื่อย ๆ ต้องยอดข้าว ต้นข้าวก็ลู่ลมเบียดกันไป เสียงดังหวิว ๆ ผมชอบท่องเที่ยวไปใน ระหว่างนาข้าวและน้ำใสสงบเช่นนี้ และไปดูดอกขี้เหล็กใหญ่ที่ฝั่งสระน้ำในนาผม ดอก มันเหลืองงามสดชื่นเหลือเกิน ยามลมหนาวเริ่มจะผ่านพริ้วมาเมื่อนาข้ าวเริ่มเหลืองอร่าม ด้วยรวงข้าว และอาบน้ำใสในสระเย็นยะเยือก ยามเช้าก็เห็นดอกงิ้วบานดูดกแดงสะพรั่ง ไปทั้งต้นสูงใหญ่ตระการ หมู่นกเอี้ยงและหมู่กามาตอมกินกลิ่นเกสรดอกงิ้ว ส่งเสียงเจื้อย แจ้ว ดูช่างมีชีวิตชีวาอันเบิกบาน และยามหนาวก็ได้ก่อเกิดเสียงอันอึงคะนึงในวัดวาอารามพระสงฆ์องค์สามเณรพากันฟักและทุบเยื่อไม้ข่อยเพื่อทำกระดาษว่าว สมัยนั้น คนไทยเก่งมาก ขนาดในบ้านนอกชนบท เขาก็รู้จักทำอะไรเป็นทุกอย่าง เขาทำกระดาษก็ได้ แล้วว่าว ว่าวใหญ่ติดธนูลมของจารย์โนก็ทะยานขึ้นเหนือท้องทุ่ง เสียงธนูลมขับกล่อมในเวลากลางคืนผสมไปกับเสียงลมแรง เสมือนเสียงอันลึกลับจากโลกจิตวิญญาณ ที่เป็นมนต์ขลังจับใจผม ผมนิ่งฟังและหลับสบาย! แล้วชาวนาก็กองฟ่อนข้าว ดูเป็นแนวเป็นแถวเป็นทิวไป หมด เหมือนช้างสารคู้ตัวอยู่เป็นระยะ ๆ ในท้องนาที่แห้งลงไป เทศกาลนวดข้าวมาพร้อมกับลมหนาว เขาเอาว่าวผูกไว้ที่ใกล้ ๆ ลานนวดข้าวที่ซึ่งพากันลงแขกตีข้าวกันอย่างสนุก สนานไร้กังวล พอเย็นก็หว่านแหเอาปลาช่อนตัวใหญ่มาปรุงพิเศษ เผาโคลนบ้าง ต้มยำ บ้าง ปิ้งจี่บ้างตามแต่ชอบ นั่งกินอย่างอเร็ดอร่อย อิ่มหนำสำราญ ไม่มีการเสียดมเสียดาย พอตกดึกหนุ่ม ๆ ก็นัดกันมาตีคลี เขาจะแยกกันเป็นข้าง ๆ ละ ๕-๑๐ คนบ้าง ลูกคลีทำ จากแก่นไม้งิ้ว จะเอาเผาไฟไว้ทีละหลาย ๆ ลูก พอลูกไหนลุกแดงปลั่งแล้วก็เขี่ยออกมาตีกันด้วยไม้ตีคลี ต่างฝ่ายต่างตีให้เข้าประตูฝ่ายตรงข้าม เห็นไฟกระเด็นวูบวาบน่าตื่นเต้น ผมหนีพ่อแม่ไปดูเขาตีคลีนี้ แล้วหนาวเหน็บจนต้องซุกตัวเข้าไปฝังอยู่ในกองฟางลึก ๆ เมื่อพ่อแม่ผมมาตามหา เขาบอกว่ากลับบ้านไปนานแล้ว พ่อแม่ผมก็ตกใจ !
กว่าหน้าหนาวจะผ่านพ้นไปมีทั้งความสุขและความเศร้า ความสุขก็เพราะข้าวใหม่ปลาก็มัน และมีการร่วมชีวิตคู่ของหนุ่มสาว และความเศร้าก็เพราะผู้เฒ่ามักจะจากไป พร้อมกับลมหนาว กองไฟและกองฟอน จึงเป็นภาพเพลิงที่แลบเลียในจิตใจของผมมา โดยตลอด ให้รำลึกลึกซึ้งในสัจธรรมว่าชีวิตนั้นในที่สุดก็ต้องจบสิ้นลง ธรรมชาติได้ สั่งสอนผมมาดั่งนี้ !
คราลมแล้งได้มาถึงในราวเดือนมีนาคม เมษายน บ้านนอกก็มีงานทำบุญแจกข้าวที่นั่นที่นี่ไม่หยุดหย่อน เป็นคราวที่ผมสนุกด้วยได้ดูลิเก เล่นเรื่องพระเวสสันดรเดินป่า มีเสือ โคร่งออกมา ไล่จับคนดู ก็แตกกระเจิง แล้วมาสู่ความฉงนฉงายใจเรื่องพระเวสสันดรให้ ทานบุตรทั้งสอง ชาลี และ กัณหา ชูชก พราห์มณ์เฒ่ากักขละไล่ต้อนตีไปอย่างโหดร้าย ทารุณ ได้ฟังหมอลำเรื่องที่มักจะเป็นเรื่องเศร้า เช่นเรื่องจำปาสี่ต้น เล่าเรื่องพี่น้อง๔คน ถูกเขาข่มเหง ตายแล้วไปเกิดเป็นจำปาสี่ต้นขึ้นเคียงเรียงกัน อานิสงส์เคยสร้างบุญไว้ใน พระพุทธศาสนา ร้อนถึงพระอินทร์ลงมาชุบให้ฟื้นคืนชีวิต เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง แต่ผู้น้อง สาวนิ้วก้อยด้วนเพราะคนมาเด็ดดอกจำปาไปบูชาพระ ภายหลังได้เป็นมเหสีกษัตริย์เมือง ต่าง ๆ เรื่องท้าวสีทน-นางมโนราห์ เริ่มแต่พรานบุญ จับนางฟ้ามีปีก ได้เอาไปถวายพระ เจ้าแผ่นดิน ๆ ทรงตั้งเป็นมเหสี แล้ววันหนึ่งนางกินรีก็หลอกเอาปีกมาได้ สวมบินหนีไป ท้าวสีทนจึงออกติดตามไปในป่าจนถึงเมืองของนาง กษัตริย์ราชบิดาให้นางและสาว ๆ หลายคนเข้าแถวแล้วชี้นิ้วออกมา ไม่เห็นตัว บอกว่าหากนิ้วไหนเป็นนิ้วเมียของเจ้า ก็จับ เอา จับถูกก็ได้นางไป หากจับผิดต้องถูกประหารชีวิต ร้อนถึงพระอินทร์ต้องจำแลงกาย เป็นแมงวันมาช่วย ได้ดูหนังตะลุง เล่นเรื่อง เจ้าลักษมณ์ เจ้าราม ตั้งแต่พระรามเดินป่า เกิดเรื่องใหญ่เพราะนางสำมะนักขา ทศกัณฑ์ ให้มารีสแปลงเป็นกวางทองมาล่อนางสีดา กวางทองต้องศรพระราม ร้องขึ้นว่า สีดาเอ๋ยมาช่วยพี่ด้วย พระลักษมณ์บอกว่าพี่นาง เสียงนี้ทีจะเป็นเสียงยักษาแสร้งร้องหลอกเอาหรอก พี่รามทรงฤทธิ์เลิศเป็นเอกมีหรือจะพ่ายแพ้ใครในแผ่นดิน นางสีดาเข้าใจผิดพระลักษมณ์ ว่าคิดจะหมายตัวพี่สีดาหรือ พระลักษมณ์ ตกใจกราบลงแทบเท้า สีดาว่าถ้าเช่นนั้นจงรีบไปช่วยเจ้าพี่ราม ทศกัณฑ์จึงได้นางสีดาไป นางสีดาเสียพระทัยที่เข้าใจผิดพระอนุชา เกิดสงครามใหญ่ ปราบมารของนารายณ์อวตาร หนุมานเผากรุงลงกา มีปลัดป่อง ปลัดตื้อ พากันวิ่งหนีอุตลุต จบ
สนุกอยู่ไม่นาน น้ำก็เหือดแห้งหายไปจากท้องทุ่ง และแม้กระทั่งบ่อน้ำที่ใช้ดื่มกินก็แห้งขอด หนุ่มสาวจะเฝ้ามองดูที่ก้นบ่อ ดูตาน้ำที่ค่อยซึมออกมาทีละหยด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ชีวิตเป็นทุกข์ฉะนี้ตลอดไปหรือ ? เป็นคำถามที่ผมได้ตั้งเอากับตัวเอง หน้านี้แหละที่ผมได้พบเห็นการจากพราก คนหนุ่ม ๆ จะออกเดินทาง บ้างก็พลัดลูกพลัดเมียไปไกล ชาวบ้านผมรู้จักดีเมื่อพูดถึง ภูเก็ต เนิ่นนานหลายเดือนหรือหลายปี เมื่อกลับมาจากภูเก็ต จะได้ยินเสียงประทัดจุดดังเตือนให้คอยรับผู้เดินทางกลับมาแล้ว พร้อมด้วยลาภผลมาฝากลูก เมียพ่อแม่เขาด้วยกตัญญู และ หน้านี้แหละที่มีหลายครอบครัวอพยพ เขาบอกว่า ที่โน่นดินก็ดำน้ำก็ชุ่ม เมื่อวันอพยพก็มีเสียงสั่งลาไปตลอดทางกว่าจะพ้นแนวหมู่บ้าน โอ! เป็นสิ่งที่ผมไม่ปรารถนาเลย แต่ครอบครัวผม ดำรงมั่น และ มีพัฒนาการไปจนคนเขามา สรรเสริญว่าชุ่มเย็นเหลือเกิน ทั้งนี้เพราะพ่อผมแม่ผมขยันขันแข็ง เฉลียวฉลาดในการจัด การ มีวิชาสามารถในการก่อร่างสร้างตัว ท่านทำเพื่อลูก ๆ อย่างผมได้ปราศจากความ กังวลในความยากลำบากเพื่อทำมาหาเลี้ยงตนเหมือนเด็ก ๆ ลูกชนบท ชาวไร่ชาวนาอีสานทั้งหลาย ชีวิตผมจึงไม่ต้องทำงานหนักแบบนั้น! แบบนั้น! เปิดช่องให้มันสมองความคิด และจินตนาการของผมโลดแล่นไป ในธรรมชาติอันแสนอุดมสมบูรณ์สี่ฤดูกาลดังที่บรรยายมาแล้วนั้นได้โดยอิสระเสรีภาพเต็มทื่
เพราะฉะนั้น จึงอาจนิยามความเป็นไปของชีวิตผมเมื่อแรกเริ่มมาว่า
ผมนี้หรือ คือบุตรชายแห่งธรรมชาติ ฯ
ใบสำรวจข้อมูล (ครั้งที่๒)
โปรดส่งไปที่ ตู้ปทจ.๕ศรีสะเกษ ๓๓๐๐๐
ท่านผู้อ่านที่เคารพ นับถือ
ความคิดความอ่านของท่าน เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อการดำเนินงานส่วนรวมมาก อย่างที่ท่านเองอาจจะนึกไม่ถึง ฉะนั้นเราจึงขอความร่วมมือจากท่านผุ้อ่านดังนี้
ข้อ ๑ ขอให้ท่านตัดกระดาษแผ่นนี้ตามรอยเส้นดำออกมา แล้วกรุณาอ่านข้อ ๒
ข้อ ๒ โปรดอ่านคำถามต่อไปนี้ แล้วเลือกกาเครื่องหมายใด ๆ เช่น + x - อย่างใดอย่างใดอย่างหนึ่งลงหน้าคำตอบที่ตรงกับความคิดของท่านมากที่สุด
คำถาม : ระบบสงฆ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้
…..ควรปฏิวัติ
…..ควรปฏิรูป
…..ควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ดีขึ้น
…..ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไร
…..ไม่พึงคิดการอย่างนี้เลย เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง
ข้อ ๓ ท่านมีความคิดเห็นเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง โปรดเขียนลงในที่ว่างข้างล่างนี้ หรือหากที่ไม่พอ ก็สามารถใช้หน้าหลังได้
ท่านไม่จำเป็นต้องบอกชื่อแต่หากท่านจะบอกก็ได้ ดังนี้ :-
(ลายเซน) .......... ..............................……………………………..
(บรรจง) (……………….....................................……………………)
ตำแหน่ง……….........................................................
เราขอจะเก็บชื่อท่านไว้เป็นความลับสุดยอด กรุณาส่งกระดาษแผ่นนี้คืนไปยัง
ตู้ ปทจ.๕ ศรีสะเกษ ๓๓๐๐๐ ขอขอบคุณ
ผลที่ได้เราจะรายงานให้ทราบใน วิเคระห์ข่าวฯ ฉบับต่อไป ๆ ขอขอบคุณ
วิเคราะห์ข่าวในวงการฯ และ มูลนิธิฯ/ ก.ย.-พ.ย. ๒๕๔๐
เจ้าภาพประจำเดือน
เจ้าภาพประจำเดือน : หนังสือพิมพ์ดี:วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก
พ.ค.๔๐: อาจารย์ประทิ่น แก้วจันทรา กับคณะ
มิ.ย.๔๐: คุณพี่สนิท คุณเสรี ทองตัน กับคณะ ก.ค.๔๐: อาจารย์ไพรัชช์ เติมใจ กับคณะ
ส.ค.๔๐: ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริบาลธุรกิจ ศรีสะเกษ ทำภาชนะบรรจุน้ำสะอาด
ก.ย.๔๐: นายเติม คงใจดี อุทิศนางนวล คงใจดี ภริยาผู้ล่วงลับ
ธ.ค.๔๐: อาจารย์จินตนา จันทร์ส่อง, คุณนันทพร ธรรมบุตร-คุณพรรณี บำรุงธรรม
ม.ค.๔๑: อาจารย์ดุษณี บุณฑล อาจารย์ไขแสง ธรรมบุตร - อาจารย์กัลยา บัวสาย
ก.พ.๔๑: สังฆทานญาติโยมบ้านนา ในพรรษา, -คุณวรกาญจน์-คุณวันเพ็ญ ธรรมบุตร สังฆทานญาติโยมบ้านโนนน้อย-โคกกลาง ในพรรษา คุณอาว์เพียร น้อยพรหม
มี.ค-เมย.-พ.ค.-มิ.ย.๔๑: คุณสุพิชชา มีวรรณ คุณอารีย์ ทองธรรมชาติ คุณกฤตวรรณ บุญขาว คุณสายพิณ จิตโสม
ก.ค.-ส.ค.-ก.ย. 41 คุณพี่สนิท คุณเสรีทองตัน, คุณจำรัส คุณเอมอร ผาแก้ว
ต.ค.-พ.ย.41 สังฆทานญาติโยมคณะกรุงเทพและศิริพร พุทธประสาท ในพรรษา ธ.ค.41 กองมหากฐินคุณแม่แจ่ม-คุณพ่อหัน หล้าธรรม
ม.ค.-กพ. 42 กองมหากฐินคุณพ่อหม่อย-คุณแม่เพี้ยน น้อยพรหม, ผ้าป่าคณะน.ส.สุพิชชา มีวรรณ,น.ส.อารีย์ ทองธรรมชาติ,น.ส.กฤตวรรณ บุญขาว,น.ส.สายพิณ จิตโสมและนายโสภณ ใจเกื้อ อาจารย์จรรยา ศรีสุโมโร
มิ.ย.-ก.ค.-ส.ค.42 อาจารย์สมจิตร-อาจารย์พัชรา กอปทศธรรม
ก.ย.-ต.ค. 42 อาจารย์จงศักดิ์- อาจารย์ทัศนี มาตา อาจารย์ปรีดี-คุณหนูกาญจน์ เติมใจ และครอบครัว - ญาติโยมถวายทานสักการะบูชาวันเข้าพรรษา
พ.ย.-ธ.ค. 42 อาจารย์ดุษณี บุณฑล อาจารย์ภูริณัฐ-อาจารย์ปิ่นอนงค์ กระแสโสม
ม.ค.-ก.พ. 42 อาจารย์เลี่ยม ธรรมบุตรและครอบครัว อาจารย์ปรีดี เติมใจ คุณหนูกาญจน์ กับคณะญาติโยม
2543 คุณโยมพี่สมสนิท ทองตัน คุณเกรียงศักดิ์ คุณเพ็ญประภา ดญ.กีรติเพ็ญ เมฆดุษฎีรมย์ 2544 คณะปลัดเสรี คุณพี่สมสนิท ทองตัน นายเกรียงศักดิ์-นางเพ็ญประภา-ด.ญ.กีรติเพ็ญ เมฆดุษฎีรมย์ พ.อ.เทพ ชุณหเพสย์ นางพรพิมล ชุณเพสย์ น.ส.อิสริยาภรณ์ ชุณหเพสย์ อุทิศคุณปู่สะตอ ชุณหเพสย์ คุณย่าจำรูญโกษณ์ ชุณหเพสย์
โปรดสมัครเป็นเจ้าภาพประจำเดือนต่อ ๆ ไป ติดต่อบรรณาธิการ : วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ๓๓๐๐๐ โทร. (๐๔๕) ๖๒๒๔๕๕ โปรดช่วยกันเผยแผ่ออกไป