โอวาทธรรม เปิดการอบรมสัปดาห์ศีลธรรม ครู อาจารย์ พนักงาน
ร.ร.วัดมหาพุทธาราม โรงเรียนการกุศลของวัด
วันที่ 23 ต.ค.2560
*******************************************************************************************************
ขอเจริญพร ท่านผู้จัดการโรงเรียน นายบุญทัน เที่ยงธรรม, ท่านผู้อำนวยการ ดร.เสรี แสงลับ ตลอดทั้งครูอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยความรู้ วิชาการ ที่ประสิทธิประสาทแด่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ถึงภารโรง เจ้าหน้าที่ทุก ๆ คน ที่เข้าสู่การอบรมสัปดาห์ศีลธรรม วันนี้ ก็เนื่องจากท่านเจ้าคุณท่าน พระราชธรรมสารสุธี เจ้าอาวาส ท่านติดภาระทางศาสนกิจ โดยที่ต้องไปประกอบศาสนพิธีสำคัญ จึงได้มอบหมายให้อาตมภาพ มาเป็นประธานการเปิดการอบรมครั้งนี้ บัดนี้ก็ได้ทำพิธีเปิดการอบรมไปแล้ว ก็ถึงวาระที่มอบหมายให้โอวาท หรือ สัมโมทนียกถา ที่จะเป็นข้อคิดเตือนใจแด่ท่านทั้งหลายผู้เข้ารับการอบรม ก็จะว่าอย่างย่อ ๆ ไปเลย
โอวาทที่จะให้ในการเปิดงานการอบรมศีลธรรมในวันนี้ ก็มีอยู่ 3 ข้อ เป็นหลักธรรมที่สรุปได้มาจากการศึกษาปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาเรา ธรรมะ ที่เหมาะสำหรับคนยุคใหม่ ที่เป็นประโยชน์ทางการดำรงชีวิตอยู่ อย่างมนุษย์ อย่างคน ๆ หนึ่ง เพื่อปฏิบัติไปแล้ว เดินสู่ความสำเร็จ ทั้งทางอาชีพการงาน และทั้งทางธรรมะชั้นสูงสุด คือมรรคผล นิพพาน มี 3 ข้อ
1. ความอดทน
2. สมาธิ
3. ฝึกการคิดแก้ทุกข์ แก้ปัญหาทุกปัญหา ทุกอย่าง อย่างมีเหตุ มีผล ตลอดเวลา
เรื่องที่ 1 ความอดทน หมายถึงทนทางกาย และทนทางใจ ที่เราคนทั้งหลายมีการใช้สิ่งนี้อยู่ในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่เกิดแล้ว นั้นเอง แต่สิ่งที่ขอเน้นให้เข้าใจก็คือ เรื่องความอดทนนี้ เป็นสิ่งที่เราจะละ หรือ เว้นไปไม่ได้เลย เมื่อมีการละ หรือการเว้น หรือ เตลิดไปจากความอดทน นั้นหมายถึงอันตราย หรืออย่างน้อยก็จะออกนอกเส้นทางแห่งความเป็นระเบียบ แบบแผน ความสุข ความสำเร็จของชีวิตไปเลย เพราะฉะนั้นคนทุกคน จะต้องใช้ความอดทนนี้อยู่ตลอดเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ และเมื่อเราได้รู้จักความอดทน มีความอดทนเป็นสมบัติของตนแล้ว ก็จะเดินทางไปสู่เส้นทางของความเป็นระเบียบแบบแผน ความสุข ความสำเร็จ ไม่ว่าในเรื่องการงานอาชีพ การยังชีวิตครอบครัวให้เป็นอยู่อย่างมีความสุข อดทนเพื่ออาชีพ อดทนเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง ถูกกฎ ถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม นั้นแหละเป็นสิ่งที่ส่งผลถึงมรรคผลนิพพานอันสูงสุดล้ำค่าด้วย
สัจธรรมเกี่ยวกับเรื่องความอดทนนี้ ก็มาจากสัจธรรมเกี่ยวกับการเกิด หรือการได้ชีวิตขึ้นมาของคนเรา หรือมีการเกิดเป็นคนขึ้นมาของคนเรานั้นเอง นั่นคือสัจธรรมที่ว่า เมื่อเราเกิดเป็นคนขึ้นมาก็ได้เผชิญทุกข์กันทันที มีชีวิตอยู่ ก็พบทุกข์ไปอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น เราได้รู้ได้เห็นปัญหาของชีวิตมีมากมายหลายประการที่เกิดขึ้นในวันหนึ่ง ๆ ชั่วโมงหนึ่ง ๆ แม้กระทั่งนาทีหนึ่ง วินาทีหนึ่ง ก็ตาม และเมื่อมีปัญหา มีทุกข์ เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิด เราก็ได้อาศัยความอดทนนี้เองต่อสู้กับปัญหา สู้กับทุกข์ ทำให้เราสามารถต้านทานปัญหา ต้านทานทุกข์ได้ และสามารถเดินหน้าไปตามวิถีทางของมนุษย์ไปได้ หากเราไม่มีความอดทน หรือผละ ละไปจากความอดทนนี้เมื่อไร เราก็จะตกออกไปสู่เส้นทางที่อันตรายทันที ก็จะออกไปนอกระเบียบแบบแผน ออกไปนอกกฎ นอกกติกาสังคม นอกกฎหมาย นอกศีลธรรมอันดี เราก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของมาร การบังคับ อิทธิพลของอารมณ์ร้ายต่าง ๆ ได้โดยง่าย ก็จะตกเป็นเหยื่อของโลภะ โทสะ และโมหะ หรือความโกรธอย่างร้ายแรงได้ เราก็จะทำอะไรไปตามอำนาจของความโกรธ และความโกรธก็คือไฟ เมื่อไหม้ขึ้นมา กองเล็ก ๆ แล้ว ก็ขยายออกไปไม่รู้จบรู้สิ้น จนเป็นเพลิงเผาบ้านเผาเมืองได้
ฉะนั้นเราจึงต้องมีสิ่งนี้อยู่กับเรา คือ ความอดทนอยู่กับเรา เมื่อมีทุกข์ ปัญหาอะไรต่าง ๆ เล็กหรือใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีสิ่งที่จะทดสอบความอดทนของเราอยู่ตลอดเวลา ก็คือ อดทนต่อสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ไม่ได้ดั่งใจ เราต้องอดทนให้ได้เสมอไป ความอดทนอยู่กับเรา ให้เราทนต่อความลำบากต่าง ๆ ได้ทุกชนิด ทุกขนาดน้ำหนักของปัญหา และทุกข์ที่เราเผชิญนั้นเอง นั่นแหละเป็นทางธรรมะสู่มรรค ผล นิพพาน ได้ จะกลายเป็นสิ่งทดสอบ เมื่อมีปัญหาเล็กหรือใหญ่ เราอดทนได้ทุกขนาดของปัญหา ก็จะผ่านปัญหาไป เพราะทุกข์หรือปัญหาต่าง ๆ มันก็ไม่อาจจะอยู่ไปนิรันดรได้ เพราะเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น มันก็ค่อยแก่ เจ็บ ตาย ไปเหมือนกับคนเรานั้นเอง ปัญหาในที่สุดมันก็จะหายไปเอง ตามหลักไตรลักษณ์นั้นเอง แม้กระทั่งปัญหาสำคัญ ที่ร้ายแรงแก่เราอย่างที่สุด ที่นำทุกข์มาสู่เราอย่างยิ่งใหญ่ แต่เราอดทนได้ มันก็จะหายไปเอง ความอดทน ที่ทนไปจนได้ นี่แหละจะส่งผลสำเร็จให้ในด้านมรรคผลนิพพานได้
การมีความอดทน ก็เท่ากับเรามีปราการ หรือกำแพงใหญ่ที่ป้องกันการคิดทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่ให้ผิดกฎ ระเบียบ แบบแผน หรือกฎหมายของสังคม และทั้งป้องกันการกระทำผิดศีลธรรม ไม่ให้ทำชั่ว ทำแต่ความดี ดังนี้ก็ไม่ออกไปนอกทางมรรคผล นิพพาน ไม่ให้เราตกเป็นทาสของมารร้าย ไปก่อกรรมบาป กรรมร้าย ไม่ทำให้เรากระเด็นกระดอนออกไปนอกทางแห่งความสงบซึ่งจะส่งผลให้ห่างไปจากมรรคผลนิพพาน หากเราอดทน ไม่ว่าปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่ ไม่ว่าในวิถีทางโลก ๆ เองก็ตาม วิถีทางธรรมก็ตาม หาก เราอดทนได้ทุกระดับความร้ายของปัญหา แล้ว ในที่สุด ก็จะพบว่าวิถีทางชีวิตของเรา มีโอกาสกระทำแต่ความดี ละเว้นการกระทำร้ายได้ การที่เราอดทนทำแต่ความดีนั้นแหละเป็นเหตุของการชำระล้างกิเลส และบรรลุมรรคผลนิพพานได้เอง โดยหลักธรรมง่าย ๆ คือ อดทน อดทน อดทน นี้เอง
เรื่องที่ 2. สมาธิ มี 3 ระดับ ให้ฝึกเอาสมาธิให้ได้ทั้ง 3 ระดับ ในการฝึกนั้น ให้มีเป้าหมายว่าสมาธิเป็นเพื่อน, เราไปที่ไหน ที่ใด ๆ ก็ตาม, ในประเทศ ต่างประเทศ, ให้มีสมาธิเป็นเพื่อนไปตลอด. เวลาปลีกตัวไปจากหมู่ ก็จะรู้สึกว่ามีเพื่อนผู้ใกล้ชิด คือ สมาธิ, ที่เป็นเพื่อนสนิทนั้นแหละอยู่ติดกับเราไม่เคยห่างไกลไป, แล้วเราก็จะเจริญในสมาธิไปตามลำดับขั้นไปจนถึงขั้นสุดท้าย.
สมาธิขั้นที่ 1 คณิกสมาธิ คือ ฝึกให้จิตของเรา นิ่งเป็น ให้รู้ว่า ความนิ่ง นั้น เป็นอย่างไร. ขั้นที่ 1 นี้เรียกว่าระดับคณิกสมาธิ จะเป็นระดับที่ผู้ไม่เคยฝึกสมาธิเลย มาฝึก โดยให้พยายามทำใจให้หยุด ให้นิ่งกับที่ ในระดับนี้ จะพบกับสิ่งที่เรียกว่า จิตนิ่ง นั้น เป็นอย่างไร แน่ละ ผู้ฝึกใหม่ หรือผู้ที่ไม่เคยพบพุทธศาสนา ก็จะพบว่า จิตมันทำนิ่งได้ไม่นาน มันก็เตลิดไปตามความคิด ความใฝ่ ความหยาก เช่นนิ่งชั่วครู่ ก็คิดไปถึงเรื่องดนตรีในสวนสนุก, คิดไปถึงอาหารอร่อย ๆ ในภัตตาคาร, คิดถึงต่างประเทศ, ไปไกลถึงทะเล มหาสมุทร, หรือแม้กระทั่งท่องเที่ยวไปในยานอวกาศ, ใจมันเตลิดไปแบบนี้เป็นธรรมดา. การฝึกคณิกสมาธิ ก็พยายามดึงใจมาให้นิ่งอยู่กับที่ให้ได้ จะได้พบคำว่า จิตนิ่ง นั้นมีความสุขอย่างไร. ต่อเมื่อฝึกไป ๆ เราก็ทำจิตนิ่งได้นาน จนที่สุด ได้เป็นชั่วโมง ได้เป็นวันไปเลย นั่นเป็นระดับที่ 2 ของวิชาสมาธิ เรียกว่า อุปจารสมาธิ
สมาธิขั้นที่ 2 อุปจาระสมาธิ ตามหลักพระพุทธศาสนา ในระดับนี้จิตจะนิ่ง และแนบแน่นอยู่กับที่ ชนิดที่ไม่ขยับเขยื้อนไปเลย จะไม่มีการคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะหยุดคิด มีอาการเหมือนภูเขาใหญ่ที่ตั้งอยู่ ไม่สะเทือนต่อลมฟ้าอากาศเลย ในระดับที่นั่งสมาธิอุปจารสมาธิ ได้นี้ ใจก็จะนิ่ง กายก็จะตรง ใครจะมาตีฉิ่งตีฉาบข้างหู ก็ไม่รู้สึก หลังจากนี้ก็ฝึกต่อไปถึงระดับที่ 3 เรียกว่า อัปนาสมาธิ
สมาธิขั้นที่ 3 อัปนาสมาธิ ระดับนี้สมาธิจะเบา หายตัวได้ จิตที่หนักแน่นอย่างภูเขามาแต่เดิม จะค่อยเบาขึ้น กลายเป็นปุยนุ่น เป็นก้อนเมฆลอยได้ เบามาก ก็ลอยขึ้นไปเบื้องบน เหมือนปุยนุ่น หรือก้อนเมฆ แล้วที่สุดก้อนเมฆก็สลายหายไป เหลือแต่อากาศว่าง นี่แหละ อัปนาสมาธิ ให้ฝึกมาถึงการหายตัวแบบนี้ให้ได้ เมื่อเบา จิตว่าง หายตัวไปแล้ว นั่นแหละเป้าหมายอันสูงสุดของสัมมาสมาธิละ เพราะนี่คือจุดต่อแดนไปสู่โลกนิพพาน เพราะการจะเข้าสู่มรรคผล นิพพาน นั้น ไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยตัวตน มีตัวตนอยู่ ไม่สามารถเข้านิพพานได้ ต้องให้ตัวตนสลายหายไป ไม่มีอะไรเหลือเป็นตัวเป็นตนเลย มีแต่ความว่าง เมื่อเข้าสมาธิได้ถึง ความว่างนั้นแหละก็มีสิทธิ หรือความจริงก็คือ การได้เข้าใกล้นิพพานแล้ว นี่แหละให้เราหมั่นฝึกสมาธิไปตลอด ๆ เพราะเมื่อสำเร็จแล้ว รางวัลนั้นยิ่งใหญ่มาก เพราะคือการได้เข้าใกล้ชิดนิพพาน นั้นเอง ฉะนั้นเอาสมาธิเป็นเพื่อนให้ได้ เพื่อเขาจะได้นำไปสู่มรรคผล นิพพาน พบพระอรหันต์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งปวงในชาตินี้ได้
เรื่องที่ 3 ฝึกการคิดแก้ทุกข์
แก้ปัญหาอย่างมีเหตุ มีผล ตลอดเวลา
เรื่องความคิดของเรา ให้ฝึกการคิดอะไรก็ตาม การพิจารณาอะไรก็ตาม การคิดแก้ปัญหาอะไรก็ตาม ให้เข้าใจว่า ปัญหาทุกประการ มันมาจากเหตุทั้งนั้น ไม่มีทุกข์หรืออะไรที่เกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุ ต้องศึกษา เรื่อง เหตุ เรื่องผล นี้ให้มีความเข้าใจในการพิจารณาเรื่องเหตุ และ ผล เพราะชีวิตของเราวันหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง นาทีหนึ่ง วินาทีหนึ่ง นั้น มีแต่ปัญหา หรือ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น โลกนี้เป็นแดนทุกข์ล้วน ๆ และเราจะต้องเข้าใจว่า ในการแก้ปัญหา แก้ทุกข์นั้น ต้องระวังอย่างยิ่งเลยว่า การแก้ปัญหาจะต้องแก้ให้ตรงเหตุของปัญหา จึงจะแก้ปัญหาสำเร็จได้ เพราะเรื่องเหตุ เรื่องผล เป็นธรรมชาติ นี่คือหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง ฉะนั้น การที่เราเข้าใจเรื่องปรากฎการณ์ต่าง ๆ หรือธรรมชาติ หรือ ความเป็นธรรมดา ต่าง ๆ ว่ามันเป็นไปอย่างมีเหตุ มีผลนั้นแหละคือ เข้าใจสัจธรรม ฉะนั้น ในการคิดพิจารณาเรื่องใดใด จึงให้คิดเรื่องเหตุ เรื่องผล ตลอด การรู้จักคิดเรื่องเหตุและผล นี่แหละคือสถานะของนักวิจัย อันเป็ฯสถานะของปัญญาชนอย่างแท้จริง จึงต้อง ฝึกตนเองให้เป็นนักวิจัยปัญหา เป็นนักวิจัยขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องชีวิตปกติให้ได้ ซึ่งเมื่อไปเกี่ยวข้องกับธรรมะ หรือพุทธธรรม ก็จะต้องศึกษาให้รู้ถึงเหตุและผลของธรรมะให้ได้ เมื่อรู้เหตุผลของธรรมะ หรือรู้เหตุ ผลของปัญหา หรือของทุกข์ แล้วก็จะเป็นผลส่งต่อไปสู่สติปัญญาที่เป็นเหตุของการใฝ่อย่างแรงออกจากวัฏฏะสงสาร ไปสู่โลกนิพพานได้ปรมสุขนั่นเอง
ซึ่งเรื่อง ทุกข์ หรือเรื่องปัญหาของชีวิตนี้ รวมทั้งที่พุทธองค์ทรงบอกเรื่องการแก้ปัญหานั้นต้องใช้หลักการว่าด้วยเหตุและผล นั้นเองพุทธองค์ทรงสอนเป็นเรื่องแรก หรือเป็นปฐมโอวาทเลย ตั้งแต่เริ่มแรกที่ทรงแสดงธัมมจักกัปวัตนสูตร แด่ปัญจวัคคีย์ ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี นั้นเอง ทำให้พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เข้าใจเรื่องทุกข์ และสำเร็จโสดาบันก่อนองค์อื่น โดยเข้าใจสัจธรรม ดังปรากฏในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่ว่า
- ชาติปิทุกขา แม้ความเกิดก็เป็นทกข์
- ชะราปิทุกขา แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์
- มะระณัมปิ ทุกขัง แม้ความตายก็เป็นทุกข์
- โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา แม้ความแห้งใจ ความพิไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความเสียใจ และความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์
- อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
- ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
- ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
- สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่อ อุปปาทานขันธ์ทั้ง5เป็นตัวทุกข์ การยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเราก็เป็นทุกข์
- โดยสรุปเรื่องทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งที่มีประจำ เป็นของคู่กับโลก คู่กับคน คู่กับสังขาร สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่อ อุปปาทานขันธ์ทั้ง5เป็นตัวทุกข์ การยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเราก็เป็นทุกข์
เมื่อมาเกิดเป็นคน หรือได้สังขารขึ้น นั้นก็หมายความว่า มาพร้อมกับทุกข์ นั้นเอง ขาดไม่ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการเกิด ก็จึง มีทุกข์ ตามมา ฉะนั้น คนเราแต่ละคน ในแต่ละวัน ไม่ว่าทำหน้าที่อะไร เป็นใคร เป็นนายหรือลูกน้อง ต่างก็จะต้องเผชิญทุกข์ไปทุกคน ไม่ต่างกัน แต่ละคนต้องเผชิญทุกข์ของเฉพาะตนไปทุกคนไม่มีว่างเว้น
คำว่าทุกข์นั้น จึงต้องทำความเข้าใจให้ดี เรามีชีวิตเกิดออกมาจากท้องแม่ ก็เจอมันทันที และเจออยู่ตลอดชีวิตเรานั้นเลย มองจากสภาวะสังคมยุคใหม่นี้ ทุกข์ก็หมายความถึง ปัญหาชีวิตนี่เอง ที่คนทุกระดับคนรวย กระยาจก, กษัตริย์ ถึง วณิพก, แม้พระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์, ก็ต้องเผชิญไปตลอดที่เราเดินไปในวิถีชีวิต, เมื่อชีวิตเกิดขึ้น, เป็นอยู่มีอยู่ หรือเมื่อมีการเกิด ไม่ว่าเกิดในโลกมนุษย์เรา หรือเกิดในโลกเทวดา โลกมาร อสูร ชาตินี้ หรือ ชาติหน้า หากมีการเกิด ก็มีทุกข์เกิด, เผชิญทุกข์ไปตลอด, เผชิญปัญหาไปตลอด, เป็นระยะ ๆ ไปเป็นวัน ๆ ไป, เป็นชั่วโมง ๆ ไป, เป็นปี ๆ ไป ตายแล้วก็ต่อไปในชาติหน้า หากยังมีการเกิดอยู่ ก็ไม่มีที่จะว่างเว้นไปจากปัญหา, ไม่มีที่ว่างเว้นไปจากทุกข์, จึงมีสัจธรรมว่า: โลกเรานี้มีสิ่งเดียว คือมีแต่ทุกข์, เป็นทุกข์ล้วน ๆ, ไม่มีสิ่งอื่นเลย นอกจากทุกข์อย่างเดียว, แม้สิ่งที่เราว่าสุขนั้น ก็ล้วนเป็นของจอมปลอมทั้งสิ้น, ไม่มีสุขที่แท้จริงเลย,
แต่ในการแก้ไขปัญหาชีวิต หรือการแก้ทุกข์นั้น พุทธองค์ทรงตรัสใน ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นหลักศาสนาพุทธเลย, ก็คือ แก้ด้วยเหตุ ด้วยผล, ทุกข์ย่อมมาจากเหตุ เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เราก็จำเป็นต้องมองให้พบเหตุของทุกข์นั้นก่อน แล้วแก้ไขให้ตรงเหตุของทุกข์นั้น จึงจะแก้ไขได้
ฉะนั้น ในการแก้ปัญหา แต่ละปัญหา หรือแก้ทุกข์ ทุกข์แต่ละอย่าง เมื่อมีทุกข์ หรือ ปัญหาเกิดขึ้น ต้องแก้ด้วยเหตุ ด้วยผลเสมอไป, อย่าแก้ทุกข์ไปแบบไร้เหตุผล, เพราะการไร้เหตุผลนั้นจะทำให้เกิดปัญหาขยายออกไปอีกใหญ่โต, เกิดทุกข์หนักไปยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก, และแท้ที่จริง ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาของโลกที่ขยายใหญ่ จากเล็กไปใหญ่โตมโหฬาร นั้น มีข้อผิดพลาดมาจากการแก้ไม่ตรงเหตุตรงผลนี่เอง การแก้ปัญหา แบบไม่คำนึงเหตุและ ผล นั้นกลับจะไปสร้างปัญหาเพิ่ม ขยายออกไปไกลกว่าเดิมอีก และ จะกลายเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม และเป็นปัญหาโลกอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะการแก้ปัญหา ไม่ถูกตามหลักเหตุผล นี่เอง
ในทางโลก ทางราชการ ทางธุรกิจ หรือการประกอบอาชีพประจำวันของเราทั้งหลาย, การหาเหตุแห่งทุกข์ แห่งปัญหา ที่เกิดขึ้นประจำ ไม่ขาด, รวมความไปถึงการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ, แผนการใหม่, นโยบายใหม่, ไม่ว่าสร้างอะไร, จะสร้างงานใหม่อย่างไร, แม้กระทั่งสร้างระเบิดปรมาณู, หรือยานอวกาศไปนอกโลก ของคนยุควิทยาศาสตร์นี้, ก็ต้องศึกษาให้รู้แจ้งชัดเจนในเรื่องเหตุของปัญหา เหตุของเรื่องให้ตรงกับผลที่เราต้องการนั้นเอง, และที่เราจะเห็นได้ ก็คือนักวิชาการโลกมีความเข้าใจชัดเจนในเรื่องการศึกษาหาเหตุ, ต้นเหตุ, การจะทำอะไร ๆ จะต้องรู้ เหตุ, ที่ตรงผลที่ต้องการ, โดยมีเทกนิคชั้นสูง คือหลักงานการวิจัย, ที่เรียกว่า research methodology นั้นเอง, ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน เช่นในยุคล่าเมืองขึ้น อังกฤษได้เป็นเจ้าโลก มีเมืองขึ้นจนเป็นแดนที่อาทิตย์ไม่ตกดิน ก็เพราะคิดสร้างเรือเดินทะเล และอาวุธปืนกล ได้ นั่นเอง ในขณะที่ประเทศอื่น เช่นอินเดีย ประเทศที่โตใหญ่กว่าอังกฤษถึง 17 เท่า ไม่มีการวิจัยอาวุธไปได้ขนาดนั้น ยังมีแต่ธนู ดาบ และอย่างดีก็ปืนแก๊ปอยู่เท่านั้น ก็ตกเป็นเมืองขึ้นเขาไปหมด ทุกวันนี้ก็ดูเรื่องอาวุธกันต่อ ก็จะเห็นชัดว่า เป็นผลจากการวิจัยหาเหตุหาผล นั้นเอง ฉะนั้นในยุคนี้ ใครทำงานวิจัยไม่เป็น, ประเทศใดล้าหลัง, ก็จะไม่รู้เหตุแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ หรือแม้การทำความเข้าใจสิ่งเก่า ๆ เช่นศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เอง ก็จะล้าหลัง, และแพ้สงครามตลอดมา, แม้กระทั่งการศึกษาปฏิบัติธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานี้ก็ตาม จะสำเร็จไม่ได้ บรรลุมรรคผล ไม่ได้, หากศึกษาไปไม่พบเหตุและผลแห่งธรรมมะ, ท่านจึงบอกไว้ใน กาลามสูตร สำหรับผู้เจริญปัญญาว่า อย่าเชื่อ 10 อย่างนั้น, แปลว่าให้ศึกษาวิจัยดูให้ดี อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะศึกษาวิจัยได้พบ ได้เห็นด้วยตนเองจริง, ตาสว่างขึ้นเองจริง, ตัวอย่างเช่น คนอิสานเราแต่เก่าก่อน ก่อน 60 ปีมาแล้ว ได้รู้เรื่อง กรุงเทพ ว่าเป็นเมืองสวรรค์ ก็อยากไปกัน นึกว่าไปแล้วจะพบแต่ความสุข ดังได้ขึ้นสวรรค์ แต่เพียงได้ฟัง ได้ยินเขาเล่าให้ฟังเท่านั้น ก็ยังเชื่อไม่ได้ ต่อเมื่อได้ไป ได้เห็น กรุงเทพด้วยตาตนเองจึงได้พบความจริง ตาสว่างขึ้น เห็นเหตุและผลของชีวิตในกรุงเทพว่า ทำไมจึงเป็นสวรรค์ และทำไมจึงกลายเป็นนรกไปได้ เป็นต้น
เรื่องเหตุ และ ผล จึงเป็นสิ่งที่พุทธองค์ทรงสอนบอกความหมายตรงไปเลย ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งปรากฏว่า ท่านอัสชิ ปัญจวัคคีย์รูปสุดท้าย ที่บรรลุโสดาบันรูปสุดท้ายเพื่อน ท่านเข้าใจและสำเร็จโสดาบันด้วยเข้าใจธรรมะประเด็นนี้ คือเรื่องเหตุ และ ผล ดังจะเห็นจากข้อความที่ท่านบอกพระสารีบุตรตอนที่พระสารีบุตรยังเป็นนักบวชนิกายอื่นอยู่ แล้วมาพบท่านอัสชิ ๆ ออกบิณฑบาต พระสารีบุตรเห็นท่าทางเดินของท่านอัสชิก็เลื่อมใส และเข้าไปแสดงความเคารพและถามว่า ครูของท่านอัสชิสอนอะไรแก่ท่านอัสชิ ท่านอัสชิก็ตอบไปว่า ดังนี้
<<< เย ธมฺมา เหตุ ปพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ >>> แปลว่า
<<< ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้ >>>
ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
สรุป ก็ขอลงสู่บทสรุปโดย ขอมอบพระคาถาท่านพระอัสชิไปสร้างนิสัยนักวิจัยขึ้น ในหน่วยงาน ในการทำงาน ไม่ว่างานราชการ หรืองานธุรกิจอะไรในสมัยใหม่นี้ เพื่อให้ได้สติปัญญาตรงต่อหลักการว่าด้วย เหตุ และ ผล จะต้องมีความคิดเชิงนักวิจัย มีเหตุ มีผล มีนักวิจัย มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่งานวิจัย ตามหลัก research methodology ของฝรั่งเขา, แม้เรื่องการฟังธรรมะ ก็เหมือนกัน อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าเราจะมีนิสัยนักวิจัยขึ้น รู้เหตุรู้ผล อย่างท่านอัสชิเลย และเมื่อรู้เหตุรู้ผลขึ้นมาแล้ว จึงจะบรรลุธรรมได้
ดังเช่นท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านรู้เหตุ, รู้ผล ว่า : ทุกข์ เป็น ผล, ตัณหา เป็นเหตุ, ตัณหานั้นเอง เป็นต้นเหตุ เป็นเหตุของทุกข์, ทุกข์ทุกอย่าง ทุกชนิดของทุกข์ มาจากเหตุคือตัณหา, เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มี ผล, ไม่มีตัณหา ก็ไม่มีทุกข์, การไม่มีตัณหา เป็นเหตุของความสิ้นทุกข์, ความสิ้นทุกข์ นี้ก็คือ นิโรธ หรือ นิพพาน นั้นเอง, เข้าใจแล้ว จักขุง, ญาณ, ปัญญา, วิชชา, อาโลโก, ก็บังเกิดสว่างไสวขึ้น และบรรลุโสดาบัน
ฉะนั้น เมื่อเข้าใจเรื่องตัณหา มี ภวตัณหา, วิภวตัณหา, และ กามตัณหา, ก็รู้เหตุของ นิโรธ หรือเหตุของการบรรลุนิพพาน, เมื่อรู้เหตุของนิโรธ หรือ นิพพาน, รู้ปัญหาว่ามาจากอะไร, เหตุจากตัณหาอะไร กามตัณหา หรือ ภวตัณหา หรือ ทั้งหมด, ก็แก้ด้วยมรรค 8 อย่างใดอย่างหนึ่งที่ตรงเหตุมันจริง ๆ, ก็สังหารเหตุแห่งตัณหาลงได้, ก็เข้าสู่ผลดีคือสภาวะนิโรธ, ก็ไปนิพพานได้เลย, บรรลุธรรมได้ด้วยการรู้แจ้งเหตุและผล นี้เอง, เรื่อง เหตุ – ผล จึงกลายเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งโลกวิทยาศาสตร์เอง และทางพุทธศาสนธรรม มาจนถึงยุคใหม่นี้ และพุทธศาสนาจึงเป็นที่รับรองว่าเป็นหลักคำสอนวิทยาศาสตร์ ตามที่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์โลก รับรองว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำโลกนั้นเอง
ในที่สุดนี้ ก็ขอจบการแสดงพระธรรมเทศนา แบบย่อความ ลงแต่เพียงนี้ หวังว่า ท่านทั้งหลาย จักได้ผ่านการอบรมไปอย่างดี มีความสุขในการอบรม ปราศจากความเครียด ในการอบรมธรรมะ หากมาอบรมธรรมะแล้วกลับกลายเป็นมาพบแต่เรื่องน่าวิตก กังวล เต็มไปด้วยความเครียด นั้นไม่ใช่การอบรมธรรมะแล้ว ก็หวังว่าท่านครู อาจารย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ทุกคน ทุกท่าน ที่มารับการอบรมศีลธรรม วันนี้ จะได้ประโยชน์ ทั้งทางโลกและทางธรรม ได้เข้าใจ รู้เรื่องราวของชีวิต ตามสัจธรรมที่ว่า ชีวิตเรานั้น มาพร้อมกับทุกข์, หรือปัญหาต่าง ๆ มากมายหลายชนิดไม่รู้จบ,....อันเป็นธรรมดา, จนกว่าจะจบเหตุของมันลงได้ จึงจะพ้นทุกข์ พ้นปัญหาไปได้, การเกิด; เกิดมาเป็นคน นั้นเอง ก็คือการมาสู่ปัญหาโดยตรงเลย, อย่าคิดว่าจะได้พักผ่อน แต่ต้องเผชิญปัญหาอยู่ตลอดชีวิต, ตลอดปี, ตลอดชั่วโมง, ตลอดนาที, วินาทีเลยทีเดียว, นี่เป็นสัจธรรม, ขอได้พิจารณาดูเนือง ๆ, ให้เห็นจริงตามที่กล่าวมานี้ให้ได้ แล้วตาสว่างก็พบธรรม, พบนิพพาน, แต่อย่าได้ท้อแท้ แต่ต้องอดทน อดทน และ อดทนตลอดไป และต้องต่อสู้ และต่อสู้ ตลอดไป และการต่อสู้นั้น ต้องต่อสู้ให้ตรงกับเหตุของปัญหาจึงจะชนะ หากต่อสู้ไม่ตรงเหตุ ตรงผลของปัญหาแล้ว ก็จะพ่ายแพ้ และขยายปัญหาออกไปอีกใหญ่โต, ความอดทน, ความมีสมาธิ, และการรู้เหตุ รู้ผล โดยเทกนิคการวิจัยอย่างดีที่สุด นั้นแหละคือการได้รู้วิถีทางชนะเสมอไป, รู้วิถีทางแห่งความสำเร็จเสมอไป, แม้กระทั่งการรบและสงคราม, และนั่นหมายถึง การพ้นปัญหา, แก้ปัญหาได้, และนั่นแหละคือความหมายของคำว่า ประสิทธิภาพ, ที่เราทั้งหลายต้องการ, และย่อมหมายถึงสิ่งสูงสุด คือมรรค ผล นิพพาน, ได้เสวยอริยทรัพย์ที่ไม่รู้หมดสิ้น, ที่พ้นทุกข์ไปชั่วนิรันดร นั้นเลย
ขอเจริญพร
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผช.จล.
วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง
22 ต.ค. 2560, 14.30 น.
· แฟ้ม: AB ปัญจักขันธา 13 โอวาทวันเปิดการอบรมศีลธรรมครูอาจารย์ รร.วัดมหาพุทธาราม 22 ต.ค.2560