เทศนาธรรมวันข้าราชการบำเหน็จบำนาญจังหวัดศรีสะเกษ ๑ ต.ค. ๒๕๖๐
**********************************************************************************************************
เนื่องจากวันนี้ วันอาทิตย์ ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นวันข้าราชการบำเหน็จบำนาญข้าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ทางชมรมข้าราชการบำเหน็จบำนาญจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดการประชุมขึ้น ณ ห้องประชุมนันทพันธ์แห่งนี้ และที่ทางชมรมขาดไม่ได้เป็นประจำทุกปีมาก็คือ นับเป็นการประชุมข้าราชการบำเหน็จบำนาญจังหวัดศรีสะเกษจำนวนหลายร้อยหรือร่วมพันกว่าคนเห็นจะได้ เพื่อการทำบุญประจำปี โดยมีจุดมุ่งหมายอุทิศบุญไปให้ข้าราชการรุ่นพี่ ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เป็นการเฉพาะอีกด้วย เนื่องจากอาตมภาพ พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผช.จล.วัดมหาพุทธาราม ได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าคุณพระราชธรรมสารสุธี เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง รองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำคณะสงฆ์มาพาทำพิธีทางศาสนาวันนี้ จนกระทั่งเสร็จสิ้นทางศาสนพิธีลงด้วยการประพรมน้ำพุทธมนต์กันทั่วทุกคน ทั้งห้องประชุมเลยก็ว่าได้ ทุกคนในห้องประชุมได้รับประพรมน้ำพระพุทธมนต์กันหมด พร้อมถูกหญ้าคาฟาดหัวอีกต่างหาก อาตมภาพได้นำหมู่ภิกษุสงฆ์ให้พร ไปอย่างสมบูรณ์ถือเป็นการจบด้านศาสนพิธีลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่เนื่องจากในรายการ ไม่ได้มีการแสดงพระธรรมเทศนาในห้องประชุมนี้ ที่อาตมภาพเตรียมมา จึงยังไม่ได้แสดง จึงคิดว่าจะขอนำลงในสื่อ คืออินเทอเนต เผยแผ่ออกไป เพื่อประโยชน์ในทางธรรมะ สำหรับข้าราชการบำเหน็จบำนาญทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ปัญจักขันธา: รูปักขันโธ, เวทนากขันโธ, สัญญากขันโธ, วิญญานักขันโธ, สังขารักขันโธ
ขอเจริญพร ท่านอาจารย์เสวียน บริบาล ประธานที่ปรึกษา ชมรมข้าราชการบำเหน็จบำนาญจังหวัดศรีสะเกษ ท่านอาจารย์กมล อรศรี ประธานชมรมข้าราชการบำเหน็จบำนาญจังหวัดศรีสะเกษ ท่านกรรมการชมรม และข้าราชการบำเหน็จบำนาญ ทั้งหลายที่ได้มาประชุมในวันนี้
ในทำบุญของข้าราชการบำเหน็จบำนาญ ประจำปีวันนี้ ก็ได้เป็นสิ่งที่พวกข้าราชการทั้งหลายได้ประจักษ์ความจริงกันทุกท่านอยู่แล้ว ถึงความชราภาพ ที่ได้มาถึงพวกเราทุกคน จนได้มีการเกษียณอายุราชการเกิดขึ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นของธรรมดา เป็นการสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำบุญอุทิศแด่ข้าราชการรุ่นพี่ ๆ หรือรุ่นพ่อ ๆ ของเราในวันนี้นั้น มีเหตุมาจากคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสถึงหน้าที่ของคนทั้งหลาย ปฏิบัติตอบต่อกันเพื่อให้เกิดภาวะสังคมที่เดินไปสงบ มีระเบียบแบบแผนอันดี ในเรื่องของทิศ 6 ตามที่มีในสิงคาลสูตร
ตามที่พุทธองค์ทรงตรัสสอน สิงคาลมาณพ ไว้ว่า
1. มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า
2. อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา
3. บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง
4. มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย
5. ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ
6. สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน ฯ
กรณี การบำรุงบิดามารดาเสียชีวิตลงไป พุทธองค์ทรงสอนสิงคาลมาณพไว้ให้ปฏิบัติการ บำรุงต่อบิดามารดา ซึ่งเป็นทิศเบื้องหน้า ไว้ดังนี้
[๑๙๙] ดูกรคฤหบดีบุตร
มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
1. ตั้งใจไว้ว่าท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑ ........ โดยที่เมื่อเราได้ดิบได้ดี มีฐานะการงานดีแล้ว เราก็ควรหวลไปเลี้ยงท่านที่แก่ชราลงไปแล้ว บำรุงท่านตอบแทน อย่างที่ท่านบำรุงเราเมื่อวัยเด็ก นั่นคือปฏิบัติกตัญญูกตเวทิตาธรรมนั่นเอง
2. จักรับทำกิจของท่าน ๑ ........ โดยที่เมื่ออยู่เรือน อยู่บ้าน ก็ช่วยทำการทำงานในบ้าน ในครอบครัวท่านทุกอย่าง
3. จักดำรงวงศ์สกุล ๑ ......โดยที่ลูก ๆ ทั้งหลายจะต้องนึกและทำแต่สิ่งที่ดี เพื่อให้สกุลของท่านเป็นที่เคารพเชื่อถือของคนทั้งหลาย และเป็นสกุลวงศ์ที่ดีและมีเกียรติ์
4. จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑..... เราต้องคิดทุกทีเมื่อรับเงินจากท่าน ว่าเราต้องปฏิบัติตนให้สมกับเป็นผู้รับ ไม่ว่ารับเงิน เงินเพียงสิบบาท ร้อยบาท ก็ตาม หรือระดับเงินแสน เงินล้านก็ตาม ต้องนึกในทางที่ว่าเราต้องประพฤตตนให้สมกับที่ได้รับเงิน และทรัพย์มรดกจากท่าน
5. เมื่อท่านละไปแล้ว ทำกาลกิริยาแล้ว จักตามเพิ่มให้ซึ่งทักษิณา ๑ นั่นก็เป็นวาระสุดท้าย ที่เราได้ทดแทนพระคุณบิดามารดาท่าน คือเมื่อท่านสิ้นไปแล้วก็มีการทำบุญอุทิศให้ท่าน ซึ่งชาวพุทธทั้งหลาย ต่างประพฤติกันไม่เคยขาดมาจนเท่าทุกวันนี้ และเราก็จะประพฤติตามไปตลอดกาลนาน ฯ
ฉะนั้น ชาวพุทธทั้งปวง จึงได้ประกอบพิธีงานศพให้เป็นไปตามหลักธรรม และหลัก ประเพณี พุทธศาสนา ..........โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่กำหนดในข้อ 5 นั้น ....เมื่อท่านละไปแล้ว ทำกาลกิริยาแล้ว จักตามเพิ่มให้ซึ่งทักษิณา
คำว่าทักษิณานี่แหละ คือหลักการที่พุทธศาสนากำหนดให้เราชาวพุทธทั้งหลายทั่วโลก ได้กระทำตอบแทนแก่ผู้ใดก็ตามที่ถึงคราวสิ้นชีวิตลงไป เป็นบุญที่ถูกกำหนดสำหรับชาวพุทธทั้งหลาย ให้กระทำต่อบิดา มารดา ลุง ป้า น้า อาว์ ตลอดถึงลูกหลาน ญาติมิตร ผู้ล่วงลับ ผู้สิ้นชีวิตลงไปแล้ว โดยเฉพาะในวันนี้ พวกเราข้าราชการบำเหน็จบำนาญทั้งหลายได้มีความตั้งใจกันทำบุญอุทิศ ตามหลัก ทักษิณา นี้ ให้เพื่อนข้าราชการผู้ล่วงลับไปก่อนเราแล้วมาตลอดทุกปี ๆ โดยหลักการทักษิณา นี่เอง
ทักษิณาคืออะไร ?
คำว่า ทักษิณา ทำความเข้าใจจาก ปทานุกรม 4 ภาษา และ ศัพท์วิเคราะห์ ทางภาษาบาลี แล้วพอสรุปได้ดังนี้
ทักษิณา มาจากบาลีว่า ทกฺขิณา (แปลว่า) ทานสมบัติอันบุคคลพึงให้, ทานสมบัติเครื่องยังผลให้สำเร็จ ( ผ ) (ในภาษาอังกฤษ ตรงกับคำว่า)
Dakkhina (f.)(แปลว่า) a gift; a present or donation given to a holy person with reference to unhappy being in Peta existence.
ทักษิณา (แปลว่า) alms given to Buddhist monks,
ทักษิณาทาน (แปลว่า) [N] giving alms to the dead, See also: alms-giving,
จึงพอเข้าใจ ได้ความหมายว่า ทักษิณา หมายถึง ดำเนินในกุศลธรรม และอุทิศส่วนบุญให้แก่ท่านเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากว่าท่านผู้ตาย ได้ประกอบผลบาปจนตกต่ำไปเกิดเป็นเปรต วิญญาณไปเกิดเป็นเปรต ในโลกเปรตชน ตามนิยามภาษาอังกฤษที่ว่ามานั้น ก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญที่อุทิศให้ ในงานพิธีฌาปนกิจศพนี้อย่างเต็มที่ นี่กล่าวตามหลักการพระพุทธศาสนา แต่หากว่าท่านผู้ล่วงลับไป ได้ประกอบกรรม ความดี ประกอบบุญบารมีไว้สูงส่ง บุญบารมีท่านเองนั้นแหละจะส่งท่านเองไปที่สูง หากท่านตายลงพร้อมกับสำเร็จเป็นอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน หรืออรหันตบุคคล ก็ไม่มีอะไรจะส่งให้ท่านได้ เพราะท่านสูงพอด้วยบุญบารมีตนเอง จนเข้าสู่โลกนิพพานไปเองแล้ว แต่ผลบุญนั้นก็จะไม่หายไปไหน ก็ยังจะตกแก่ผู้เป็นผู้ให้ ผู้เป็นทานบดี อย่างวงศ์ญาติท่านเจ้าภาพและพวกเราทั้งหลายที่มาประชุมกันอยู่วันนี้ ขณะนี้นั่นเอง
การที่ทางข้าราชการเกษียณอายุวันนี้ ได้กระทำพิธีการทางศาสนาเรา นั้นแหละคือ การดำเนินการตามหลักทักษิณา นี่เอง มีการทำบุญอุทิศแด่ข้าราชการผู้ถึงแก่ชีวิตไปก่อน เริ่มตั้งแต่มีการกราบบูชาพระรัตนตรัย สมาทานศีล และขอฟังพระสวดพระปริตร แล้วมีการถวายทาน มีการสวดบังสุกุล อุทิศ และให้พรหยาดน้ำอุทิศบุญกันไปนั้น เป็นไปตามหลักทักษิณาทั้งนั้น ซึ่งการที่คณะเจ้าภาพงานนี้ก็ดี และทั้งชาวพุทธทั้งหลายทั่วไป ทั่วโลกได้จัดพิธีกรรมต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะทิศเบื้องหน้า บิดา มารดา หรือผู้หลักผู้ใหญ่ มาเป็นประเพณีชาวพุทธเช่นนี้ นั้นแหละหมายถึงการสืบทอด คุ้มครองพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปภายหน้า จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม สมแก่ความเป็นชาวพุทธ ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสิ่งที่เป็นความรู้อย่างยิ่ง หรืออุตตริมนุสสธรรมสูงส่ง ก็คือตรัสเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ หรือ ธรรมดา ของรูปธรรมนามธรรม หรือ กองขันธ์ทั้ง 5 หรือสังขาร หรือคนเรานี้เอง ให้รู้ว่า สัจธรรมของสังขาร หรือ คน เรานั้นคืออะไร สัจธรรมที่ควรรู้คืออะไร อย่างไร หากหมั่นพิจารณาอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำเนือง ๆ ก็จะเกิดปัญญาแจ่มแจ้ง นำไปสู่ความรู้ สติ ปัญญา ที่นำไปสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์อย่างสนิท เด็ดขาดไปเลยได้
สัจธรรมเกี่ยวกับสังขาร หรือความเป็นมนุษย์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสิ่งที่เป็นความรู้อย่างยิ่ง หรืออุตตริมนุสสธรรมสูงส่ง ก็คือตรัสเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ หรือ ธรรมดา ของรูปธรรมนามธรรม หรือ กองขันธ์ทั้ง 5 ธาตุ 4 หรือสังขาร หรือคนเรานี้เอง ให้คนรู้ว่า สัจธรรมของสังขาร หรือ คน เรานั้นคืออะไร สัจธรรมที่ควรรู้คืออะไร อย่างไร หากหมั่นพิจารณาอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำเนือง ๆ ก็จะเกิดปัญญาแจ่มแจ้ง นำไปสู่ความรู้ สติ ปัญญา ที่นำไปสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์อย่างสนิท เด็ดขาดไปเลยได้
เรื่องราวของชีวิต นั้น แท้จริงคือ เรื่องราวของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ หรือ ธรรมดา ๆ ที่มีอยู่เอง เป็นอยู่เองแปรเปลี่ยนไปเองของมัน มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสไว้อย่างไม่ทรงปกปิด ตรงความจริง ดังปรากฏใน ธัมมนิยามสุตตํ ที่ว่า
<<< พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง มีพระพุทธเจ้าหรือไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดมา มันก็เป็นของมันเองอย่างนั้น และประเด็นที่คนทั้งหลายไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใครคนใดเลย ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งอาจยึดเอาเป็นของตนได้”>>>
ดังปรากฏคำอธิบายเพิ่มเติมใน ธัมมะนิยามะสุตตัง 4 วรรค ต่อไปนี้
ธัมมะนิยามะสุตตัง :
(1.) วรรคที่ 1 <<< ยัง เว นิพพานะญาณัสสะ ญานัง ปุพเพ ปะวัตตะเต
ตัสเสวะ วิสะยีภูตา ยายัง ธัมมะนิยามะตา
อะนิจจะตา ทุกขะตะ จะ สัพเพสัง จะ อะนัตตะตา
ตัสสา ปะกาสะกัง สุตตังยัง สัมพุทเธนะ ภาสิตัง
สาธูนัง ญาณะจาเรนะ ยะถา พุทเธนะ เทสิตัง
โยนิโส ปะฏิปัตยัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะเส ฯ แปลว่า
กฎ ธรรมชาติที่กำหนดแน่นอน สำหรับสรรพสัตว์ที่ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เป็นวิสัยแห่งผู้ได้ญาณหยั่งรู้พระนิพพาน ที่มีมาแล้วในกาลก่อน พวกเราทั้งหลายจงร่วมกันสวดพระสูตรนี้ อันประกาศสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณอันพิเศษแก่เหล่าสาธุชน เพื่อประโยชน์ในการที่จะนำไปปฏิบัติ โดยอุบายอันแยบคายต่อไปเทอญ >>>
(2.) วรรคที่ 2 <<< อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา สัพเพ สังขารา อะนิจจาติฯ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา อาจิกขะติ เทเสติปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ สัพเพ สังขารา อะนิจจาติฯ แปลว่า
ภิกษุ ทั้งหลาย ทั้งที่พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง >>>
(3.) วรรคที่ 3 <<< อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา สัพเพ สังขารา ทุกขาติฯ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา อาจิกขะติ เทเสติปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ สัพเพ สังขารา ทุกขาติฯ แปลว่า
ภิกษุ ทั้งหลาย ทั้งที่พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
(4.) วรรคที่ 4 <<< อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติฯ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา อาจิกขะติ เทเสติปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติฯ แปลว่า
ภิกษุ ทั้งหลาย ทั้งที่พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา >>>
แต่ธัมมนิยามสุตตํ 4 วรรคนี้ ที่อ้างมานี้ ยังเป็นคำสอนระดับเบื้องต้น ยังไม่ครบถ้วนความหมายอันสูงสุด ที่นำไปสู่มรรคผลนิพพานได้ จึงมีบทต่อไปอีกในติลักขณะคาถา โปรดฟัง ติลักขณะคาถา 3 วรรคต่อไปอีก ดังนี้
(1.) (วรรคที่ 1)<<< สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา แปลว่า
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
(2.) (วรรคที่ 2) สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา แปลว่า
เมื่อใดบุคคล เห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
(3.) (วรรคที่ 3) สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา แปลว่า
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด >>>
ซึ่งตามบทสวดติลักขณะคาถา 3 วรรคนี้ มีบทเน้นไปตลอด ให้เข้าใจรู้แจ้งในลักษณะ 2 ประการ
ประการที่ 1 เมื่อรู้แล้วย่อมเหนื่อยหน่าย ในสิ่งที่เราหลง เรามัวเมาอยู่
ประการที่ 2 เมื่อรู้แล้วย่อมรู้ทางแห่งพระนิพพาน
ฉะนั้น การรู้แจ้ง ได้รู้ ในเรื่อง ปัญจักขันธา รูปธรรม-นามธรรม หรือสังขารในสัจธรรมที่ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา จึงเป็นทางไปสู่โลกที่ประเสริฐ คือโลกนิพพาน เหนือสวรรค์ชั้นเทพ เหนือสวรรค์ชั้นพรหม มหาพรหม เลยทีเดียว
แต่ประเด็นสำคัญ ของ ความรู้ คือรู้และเห็นจริง ๆ ว่า
อนิจจัง คืออะไร ?
ทุกข์ คืออะไร ? และ
อนัตตา คืออะไร ?
บทสรุป ข้อพระธรรมที่อ้างมาจาก ธัมมนิยามสูตร ก็ดี ติลักขณะคาถา ก็ดี นั้น ที่จริงก็มาจาก พระสูตรที่ทรงแสดงเป็นพระสูตรแรก หรือปฐมเทศนาของพระองค์ หลังการตรัสรู้ นั้นเอง ที่ทรงแสดงโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นเอง ที่เมื่อทรงแสดงแล้ว เปิดดวงเนตรของปัญจวัคคีย์ รูปแรกคือ ท่านอัญญาโกญฑัญญะ ให้สว่าง สำเร็จอริยธรรมเป็นพระโสดาบันได้เป็นพระสงฆ์สาวกองค์แรกของพระพุทธศาสนา ด้วยพระคาถาว่า
<<< ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ....... สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว สิ่งนั้นทั้งปวง ก็ต้องดับสลายไปเป็นธรรมดา>>>
แล้ว ในลำดับต่อมาพระมหานามะ พระวัปปะ และพระภัททิยะ ก็สำเร็จตามด้วยพระคาถาเดียวกัน
และที่สุด พระอัสสชิ สำเร็จเป็นรูปสุดท้าย แต่ด้วยพระคาถาว่า
<<< เย ธัมมา เหตุ ปพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสัญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น >>>
ก็ล้วนสำเร็จระดับ โสดาบันทั้ง 5 องค์ จากการได้สดับปฐมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แต่พระอริยบุคคลระดับโสดาบันนี้ เป็ฯเพียงระดับต้นของมรรคผลเท่านั้นเอง ยังต้องบำเพ็ญต่อไปอีกจนถึงระดับสูงสุด คือ อรหันต์บุคคล จึงจะถึงภาวะสูงสุดที่สิ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น ต่อมา 7 วัน พุทธองค์ จึงทรงแสดงอนัตลักขณะสูตรแด่พระสาวก ที่ได้โสดาบันแล้ว ทั้ง5 องค์ พระอริยสาวก คือปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งปรากฏผลว่าทั้ง 5 องค์สดับอนัตลักขณสูตรจบลงแล้ว ก็ได้ปัญญาสำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 องค์ทันที อันปรากฏผลขึ้นมาว่าโลกขณะนั้น ได้บังเกิดพระอรหันตขีณาสพ ขึ้นแล้ว 6 พระองค์ และซึ่งแสดงถึงการยืนยันวิชชาการตรัสนรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่จริง ติลักขณะคาถา 3 วรรค ที่อ้างมา นั้น ก็อ้างมาจาก อนัตลักขณะสูตร นั้นเอง ที่ว่าบทพิเศษ ใน ติลักขณะคาถา 3 วรรค ดังนี้
<<< เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
เมื่อใดบุคคล เห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด >>>
จึงเป็นอริยสัจธรรมข้อสำคัญยิ่ง สำหรับชาวมนุษย์จักได้นำไปวิปัสสนา เจริญปัญญาต่อไปจนได้พบความจริงในพระคาถานั้น อันจะส่งผลได้ไปถึงความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวงได้
เรื่องของปัญจักขันธาตัวอย่างที่ชาวพุทธจะได้เรียนรู้และจำเริญวิปัสสนาตามไป ก็ได้จากงานศพ และพิธีทำบุญทักษิณานี่เอง เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเรา ผู้ที่อยู่ มีชีวิตต่อไป ไม่ว่าคฤหัสถ์ บรรพชิต หรือ ที่ได้ชื่อว่าสาวกของพระพุทธเจ้าอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ ในวันนี้ ในเวลานี้ จะได้ถือเป็นทางเจริญสติปัญญา ว่าด้วย กฎไตรลักษณ์ นี้ ต่อไปเนือง ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปัญญาที่ให้ได้รู้ สว่างแจ้งแสงธรรมแห่งความหลุดพ้น ไปสู่โลกแห่งความพ้นทุกข์ คือ โลกนิพพาน ระดับปัญญาอันสูงสุดขอให้ได้รำลึกสัจธรรม จึงควรที่จะหมั่นคิดตีความหมาย ทำการวิปัสสนาไปตลอด ทำการพิจารณาอยู่เนือง ๆ ไม่ว่างเว้น ที่มีชีวิตอยู่ ตามหลักพระอนัตลักขณะสูตร ที่ว่า
สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ซึ่งความไม่เที่ยงนั้น หมายถึง สังขารทั้งหลายย่อมมีการเปลี่ยนสภาพ หรือเปลี่ยนรูป ลักษณะไปตลอดเวลา ไม่คงอยู่ในสภาพหรือรูปเดิมไปได้เลย สิ่งที่ควรเข้าใจให้ได้ก็คือคำว่าสังขาร ไม่ว่าสังขารอะไร ขนาดไหน เล็ก ใหญ่ หรือมโหฬาร ก็ตาม แม้กระทั่งดวงดาว ดวงอาทิตย์ หรือท้องฟ้า มหาสมุทรใหญ่โต หรือโลกเราทั้งโลก ก็ไม่พ้นไปจากสภาวะแห่ง อนิจจัง ไปได้ ซึ่งเราจะต้องเห็นว่าเป็นสภาวะธรรมดา ๆ หรือสภาวะที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้เองโดยปกติของสังขาร นั่นคือ เมื่อมันเป็นสังขาร มันก็จะมีธรรมชาติของความไม่เที่ยง เช่นนี้ไป ไม่รู้กี่โกฏิปีกี่โกฏชาติก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีวีนจบวันสิ้นเลย น่าเบื่อหน่ายจริง ๆ
สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์หนอ คำว่าทุกข์ หมายถึงสังขารนั้นย่อมมีการเกิดขึ้นมา เติบโตแล้ว ก็อยู่ยั่งยืนไปไม่ได้ มีแต่แต่ค่อยเสื่อมสลายลงไปตามลำดับ ๆ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ซึ่งสภาวะรูปธรรมของทุกข์นั้นก็คือ มีเกิด แล้วมีเติบโตขึ้นมา แล้วก็หยุดการเติบโตลงไป ไปสู่การเสื่อมชราภาพของสังขาร แล้วไปสู่ภาวะแห่งความแก่ แล้วย่อมไปสู่การป่วยเจ็บ และแล้วก็มีการตายลงไป และครั้นมีตายแล้ว มองดูด้วยปัญญา ก็จะเห็นว่า ก็มีวนเวียนกลับมาเกิดใหม่ เมื่อเกิดใหม่ ก็เติบโตขึ้นใหม่ ไปสู่การเจ็บ การตายอีก วนไปอยู่อย่างนี้ โดยเริ่มจากการรวมธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ เข้ากับกองขันธ์ทั้ง 5 เหมือนรุ่นพ่อ รุ่นพี่ข้าราชการของเรานับหมื่นแสนคน ที่ล่วงไปแล้วนั่นเอง ที่ท่านได้สังขารเกิดเป็นมา พัฒนาไปตามหลักทุกขัง จนสู่การล่วงลับไปแล้ว เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว นั้นก็หมายความว่ากองขันธ์ทั้ง 5 คือรูปักขันธา เวทนากขันโธ สัญญากขันโธ สังขารักขันโธ และวิญญาณักขันโธ แตกดับไป ธาตุทั้ง 4 ที่ประกอบกันเป็นสังขาร มีธาตุดิน สลายลงไป ดินก็กลับคืนไปสู่ดินเหมือนเดิม ลม ก็กลับคืนไปสู่ลมเหมือนเดิม น้ำก็กลับคืนสู่น้ำเหมือนเดิม ไฟก็กลับคืนสู่ไฟเหมือนเดิม ไปไหน ไปตามความเชื่อ หรือสัจธรรมของชาวพุทธที่ว่า ไปตามกรรมนั้นแหละ ฉะนั้นมาเข้าใจต่อว่า เมื่อสังขารสลายไปแล้ว แล้วก็ ก็ใช่ว่าจะหยุดอยู่ ก็คงหมุนเวียนไปตามหลักสัจธรรมว่าด้วย สัพเพ สังขารา ทุกขา นี่เอง วันหนึ่งข้างหน้า คุณพ่อคุณแม่ ของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านก็อาจจะหมุนวนมาเกิดใหม่ เมื่อขันธ์ทั้ง 5 ธาตุทั้ง 4 ได้จังหวะเวลารวมตัวกันอีกครั้ง ก็เกิดใหม่อีกครั้ง อย่างนี้เองจริง ๆ ส่วนจะเกิดใหม่ ดี มีสุข หรือในฐานะอะไร เกิดในสวรรค์ หรือลงนรก หรือเป็นเปรตในภพเปรต หรือเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นหมี ม้า วัว ควาย สิงโต แพะ แกะ ก็เป็นไปตามบุญบารมีที่ท่านสร้างไว้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเป็นสิ่งที่หมุนวนไปไม่รู้จบ นับร้อยปีร้อยโกฏิชาติ ไปจนถึงโกฏิโกฏิชาติก็ไม่จบ จึงเป็นวัฏฏะสงสารที่น่าเบื่อหน่าย น่าหนีไปเสียโดยเร็วจริง ๆ
สัพเพ ธัมมา อนัตตา คำว่าอนัตตา หมายถึง ไม่มีตัวตน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า not a self, not a soul คำว่า self ก็คือ รูป หรือ กาย คำว่า soul คือจิต ดูจากภาษาอังกฤษ ที่ปราชญ์อังกฤษเขาแปลไว้แล้ว เข้าใจง่ายและชัดเจนกว่า ภาษาไทย จึงนำมาพูดให้ฟังในที่นี้ อนัตตานั้นก็คือ สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนเลย ไม่มีตัว ไม่มีตนเลย หากแต่คนทั้งปวงเห็นไปเองว่า มีตัว มีตน ก็หมายเตือนให้สติเราว่าอย่าพึงไปหลงยึดมั่นว่า นั่นของเรา นั่นของเขาเลย เพราะแท้จริงคือ อนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่จะยึดมั่นว่าเป็นของเรา ของเขาได้ ไม่ใช่สิ่งที่จะยึดเอาอย่างมีตัวมีตนได้เลย คำว่าสรรพสิ่ง นั้นหมายถึง สิ่งทั้งหลายที่ธรรมชาติให้เกิดเป็นมา ธรรมชาติสร้างมา เป็นธรรมชาติ เล็กหรือใหญ่ เช่นโลกทั้งโลก ดวงดาวทั้งจักรวาล หรือทั้งจักรวาลเอง ล้วนแต่ไม่มีตัวตนเลย เราเพียงมาหลงยึดว่ามีตัวมีตนเท่านั้น ก็เลยกลายเป็นรังแห่ง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้หลงไปในวัฏฏะสงสารไกลไปทุกที ซึ่ง นี่แหละที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นสิ่งที่คนทั้งหลายไม่เคยรู้มาก่อน
ซึ่งเมื่อนำไปวิปัสสนา หรือพิจารณาไปบ่อย ๆ เนือง ๆ ก็ย่อมจะเข้าใจ ตาบอดก็กลับสว่างขึ้น รู้ความจริงและเมื่อได้รู้ความจริงแล้ว รู้ละเอียดทั่วถึง แล้วก็ จะนำไปสู่ความหน่ายในสังขารทั้งหลาย ได้เห็นความน่าสมเพช เวทนาแห่งการหมุนวนไปของวัฏฏะสงสาร ที่ไม่รู้จบรู้สิ้น ทำให้หน่าย ละคลายไปจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และละคลายจากความรุ่มร้อนแห่งกามารมณ์แห่งกามตัณหา กามภพได้ ก็บังเกิดสติปัญญาขึ้นมาว่า <<< เย ธัมมา เหตุ ปพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสัญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น >>> และเหตุในที่นี้ก็คือ คำว่า ทุกข์ นั้น มาจาก ตัณหา ภวะตัณหา วิภวะตัณหา และ กามตัณหา นั้นเอง มีตัณหาอยู่ ก็เป็นเหตุแห่งการเกิดอยู่ ต่อเมื่อสิ้นตัณหา ก็สิ้นเหตุแห่งการเกิด เมื่อสิ้นเหตุแห่งการเกิด นั้นก็หมายถึงเข้าสู่โลกนิพพาน พ้นทุกข์ทั้งปวง พ้นเหตุแห่งการเป็นทุกข์ เนื่องเพราะการเกิด นั้นเอง
ฉะนั้น ครั้นเห็นความจริงของไตรลักษณ์เห็นสิ่งที่เรียกว่า วัฏฏะสงสาร คือดุจห้วงน้ำใหญ่ที่หมุนวนไปชั่วนาตาปีไม่มีวันหยุดไปโกฏิปีโกฏิชาติ ซึ่งในวัฏฏะสงสารนั้น เป็นวัฏฏะแห่งทุกข์ล้วน ๆ ไม่มีเลยที่เรียกว่าสุข น่าเบื่อหน่ายแท้ ๆ แล้วก็ย่อมจะจุดประกายปัญญาธรรมแห่งมรรคผลนิพพานขึ้นได้ <<< เย ธัมมา เหตุ ปพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสัญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น >>>
นับแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นเบื้องต้นไป ถึง อรหัตมรรค อรหัตตผล เลยสู่พุทธภาวะ หรือ พุทธภูมิอันสูงสุดต่อไป แม้ในชาตินี้ ปีนี้ เดือนนี้ วันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เอง ภพนี้เองเลย
ในที่สุดนี้ก็มาถึงตอนจบลง อาตมภาพก็ขอฝากมายังคณะท่านข้าราชการบำนาญทั้งหลาย พร้อม บรรดาญาติพี่น้อง มิตรสหายที่ได้มาร่วมสโมสร ร่วมกันรำลึกถึงความเป็นข้าราชการ และร่วมทำบุญทักษิณาทาน แด่อดีตท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ในวันนี้ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ว่าการที่เราเป็นชาวพุทธ เป็นผู้ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนานั้น นับเป็นการประเสริฐแล้ว อันเนื่องจากทำให้ได้โอกาสการรู้แจ้งสัจธรรมของชีวิต และบรรลุสู่โลกที่สงบ สิ้นทุกข์ สิ้นร้อน คือ โลกนิพพาน ได้
ก็ขอจบวาทะแห่งธรรมที่ควรระลึก ควรนำไปวิปัสสนา เนือง ๆ วันนี้ ลงแต่เพียงนี้ ขอกุศลผลบุญ ที่ท่านเจ้าภาพ และมิตรสนิทมิตรสหายที่มาร่วมกันในวันสำคัญที่รำลึกถึงข้าราชการ ผู้ได้ทำประโยชน์แด่ประเทศชาติและสังคมไทยมาชั่วชีวิต มาถึงวาระแห่งการจบ การหยุดบทบาทลงในวันนี้ จงได้พบความสว่างใจ ได้เข้าใจรู้แจ้งในสัจธรรมของสังขาร ได้อานิสงส์กุศลผลบุญที่พากันร่วมมือกันกระทำมา และทั้งวันนี้ได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากอาตมภาพ ที่บอกธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องชีวิต ปัญจักขันธา ที่มีแต่ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และ ความไม่มีตัวตน ปรากฏตลอดไปในวัฏฏะสงสารที่หมุนวนไปไม่ว่ากี่ร้อยโกฏิปีไม่รู้จบรู้สิ้น ขอได้พบความสำเร็จในธรรม ได้ปัญญาเห็นชีวิตที่วนไม่รู้จบสิ้นแห่งทุกข์ ในวัฏฏะสงสาร และหน่ายเสียในที่สุด ความเจริญในปัญญา วิปัสสนาสิ้นทุกข์ จงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย ถ้วนทุกคนทุกท่าน เทอญ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
• อาตมภาพ พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง
• 1 ต.ค. 2560 ขอเจริญพร
• แฟ้ม : AB ปัญจักขันธา 7 โอวาทสั้น ๆ ข้าราชการเกษียณอายุ 2560