Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 4 ภาพ
17 กุมภาพันธ์ 2560
The old world was dark because it was covered with secret mysterious things. But the new world could open them ever all. You know, you see a secret mysteroius land in Thailand today. It's the case of Dhammakayo Temple with DhammaChayo Bhikku. It's been long time secret and mysterious. So today to make it open is in need. It’s the right thing to do and I myself agree with what to do to open those secret mysterious things in Dhammakayo Themple to be seen clearly by the people. Just to make Thailand walk out of the darkness of the old dark time to the new clear world.
โลกเก่าโลกเดิมของมนุษย์นั้นมืดคลุ้ม เพราะถูกครอบงำด้วยสิ่งมหัศจรรย์ลึกลับไปหมด แต่โลกยุคใหม่สามารถที่จะเปิดเข้าไปดูสิ่งมหัศจรรย์ลึกลับเหล่านั้นได้แทบทั้งหมดแล้ว ท่านก็รู้ ท่านได้เห็นดินแดนมหัศจรรย์ ลึกลับแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย ในวันนี้ นั่นคือกรณีวัดพระธัมมกายกับพระธัมมชโยภิกขุ นั่นเอง มันเป็นอะไรที่ดูมหัศจรรย์ลึกลับมานานจนถึงวันนี้ ฉะนั้น ในวันนี้ การทำให้สถานที่แห่งนี้เปิดออกมาดูเสียที นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นแล้ว มันเป็นการกระทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และข้าพเจ้าเองเห็นด้วยกับการกระทำใดใดให้วัดธรรมกาย และธัมชโยภิกขุเปิดเผยออกมาสู่สายตาประชาชน เพียงเพื่อให้ประเทศไทยเดินออกไปได้จากความมืดคลุ้มของโลกเก่าไปสู่โลกใหม่ที่สว่างไสวนั่นเอง
It was reported, there have many people of THE RED SHIRT leaders [I named them the red shirt for democracy] concern with this case in the way trying to help and support everything to Dhammachayo of Dhammakayo to escape from the law without knowing what is right or what is wrong about Buddhism. This will loose the credit of THE REDSHIRT. Because THE RED SHIRT is for DEMOCRACY not for THE CRAZY.
มีรายงานว่า ได้มีคนระดับผู้นำหลายคนแห่งขบวนการเชิร์ตแดง เสื้อแดง(ซึ่งผมได้ตั้งชื่อให้ว่า เสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย)ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ในแนวที่พยายามช่วยเหลือสนับสนุนทุกอย่างแก่ธัมมชโยแห่งธัมมกาย.ให้หนีรอดไปจากกฎหมาย โดยไม่มีความรู้อะไรว่าผิดหรือถูกในเรื่องพุทธธรรม การกระทำเช่นนี้จะเป็นผลให้เสื่อมถอยลงซึ่งเกียรติยศของเชิร์ตแดง เพราะขบวนการเสื้อแดงเดินไปเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่ออะไรที่บ้า ๆ บอ ๆ อย่างนั้น
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
20 กุมภาพันธ์ 25650
Thammachayo has been accused many charges by Thai law. And the law calls him to fight with legal procedure . But he does not, and tries to fight by mass. I myself am not agree with him. Because by the law he is now still a pure man not at all guilty. I think he would see the truth about doing true by the legal procedure. And when he see the truth that would be able to cease the people’s trouble.
ธัมมชโย ถูกกล่าวหาหลายคดีโดยกฎมายไทย และกฎหมายไทยได้เรียกเขาไปต่อสู้โดยกระบวนการทางกฎหมาย แต่เขาไม่ทำตามกฎหมาย เขาใช้วิธีการต่อสู้ทางมวลชน ผมเองไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา เพราะทางกฎหมายนั้น แม้ขณะนี้ เขาก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีความผิดแต่อย่างใดเลย ผมคิดว่า เขาควรที่จะได้มองเห็นสัจธรรมเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสามารถหยุดความเดือดร้อนของประชาชนได้ .
Phayap Panyatharo
23 กุมภาพันธ์ 2560
รู้ประวัติพระเยซู ที่มาคล้ายคลึงกับเรื่องราวของธัมมชโยขณะนี้เปี๊ยบเลย ........... พระเยซู พระองค์ทรงอภัยโทษแด่มนุษย์ ผู้ที่กล่าวร้ายพระองค์ และจะลงโทษพระองค์ถึงตรึงไม้กางเขน....และแม้ทั้งที่ปิลาต เจ้าเมืองเยรูซาเล็ม ที่มาจากโรมันมาปกครอง ที่มีอำนาจสูงสุด จะขอให้พระองค์แก้ข้อกล่าวหาเขา เพราะปิลาตเองมองไม่เห็นว่าพระองค์มีความผิด จะปล่อยพระองค์ก็ได้ .... แต่พระเยซูแสดงถึงใจที่สูงส่ง ไม่แก้ข้อกล่าวหา โดยไม่พูดอะไรีเลยเมื่อเผชิญหน้าปิลาต ใครจะให้ร้ายลงโทษประการใด ไม่ทรงถือโทษทั้งสิ้น ... จึงทรงถูกลงโทษ ตามกฎหมายโรม และ กฎการปกครองเยรูซาเล็ม ให้ลงโทษตรึงไม้กางเขน .....และนั่นแหละ ความดีของพระองค์ จึงได้รับการบูชาเป็นศาสดาศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกมาจนปัจจุบันนี้ 2017 ปีแล้ว.... อย่างธัมมชโย หากดีจริง เท่าองค์เยซูคริสต์ ก็เพียงแต่แสดงน้ำใจบ้าง เท่านั้นเอง ....... กลับไปปกป้องตนเองโดยแอบอิงมือประชาชน ที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับธรรมะเลย ก็จะได้รับโทษอันร้ายแรง ตั้งแต่บัดนี้ไป หลายปีข้างหน้า ... โดยได้ชื่อใหม่ว่า คนไร้น้ำใจต่อประชาชน ตนคนเดียวทำให้ประชาชนทั้งประเทศเดือดร้อน นี่ ไม่ใช่ บาป คือ ความเห็นแก่ตัวหรือ ?
Phayap Panyatharo
และโดยหลักวัฒนธรรมพุทธ เมื่อยกใครเป็นครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ก็จะเชื่อฟัง ปฏิบัติตามไปอย่างไร้การโต้แย้ง ฉะนั้น อาจารย์แม่ชี ซึ่งต่อมาได้รับเทิดทูนอย่างสูงโดยลูกศิษย์ตั้งชื่อให้ว่า พระอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง บอกอะไร สอนอะไรก็เชื่อหมด สอนเรื่องอภินิหารย์ปัดลูกระเบิดปรมาณู ไปตกประเทศญี่ปุ่น ก็เชื่อ และสร้างชื่อเสียงให้แม่ชีดัง แล้วก็สร้างศรัทธา คนก็มาบริจาค กลายไปเป็นเรื่องราวการหาเงินไป ครั้งอาจารย์เสียชีวิตไป ก็ดำเนินวิถีทาง ตามคำสอนแม่ชีผู้เป็นครูของศิษย์ไป จึงมีอะไรประหลาดพิลึกกึกกือไป อย่างไม่สอดคล้องหลักธรรมปฏิบัติที่แท้จริง ที่จะส่งผลจริงไปสู่ทางแท้จริงของพระพุทธศาสนา คือมรรคผลนิพพาน แต่ไปส่งเสริมให้เกิดแนวทางพุทธพาณิช และเริ่มสร้างวิถีทางพุทธพาณิช จึงรวยไปเรื่อย ๆ .... แต่แล้ว ก็กลับมีเรื่องใหม่เข้ามา การพุทธพาณิช ที่สร้างความร่ำรวยให้นั้น รวยก็จริงแต่รวยน้อย จึงมีวิธีหมุนวิชาหลอกลวงชาวพุทธหาเงิน นำวิธีหาเงินมาแบบใหม่ และมีการสร้างองค์กรใต้ดิน ใต้วัดพระธรรมกาย เพื่อหาเงินโดยเฉพาะ ทำความผิดโดยทำการฟอกเงิน อย่างมากมหาศาล ......... การที่ฝ่ายบ้านเมืองได้มาพบเรื่องที่ผิดกฎหมายไปถึง กว่า 300 คดีนั้น ใช่ว่าจะไร้หลักฐาน เหตุผล เลย ....และเจ้าตัวผู้ตกเป็นผู้ต้องหา ก็ไม่ได้ยินยอมจะเข้ามอบตัวต่อสู้ เพื่อพิศูจน์ความบริสุทธิของตน ....แต่กลับใช้วิธีการ หลอกมือประชาชนมาปกป้องความผิดให้ ซึ่งมีแนวโน้มของการจัดการต่อสู้แบบ การปลุกระดมมวลชน ขึ้นมา ในแบบ ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย อยู่ในขณะนี้ จนน่าตกใจว่า พระอะไร จึงไร้ความเมตตาแก่ประชาชนได้ขนาดนั้น
Phayap Panyatharo
ที่วิเคราะห์มานี้ ก็เพื่อบอกสัจธรรมที่แท้จริง และให้ได้ข้อสังเกตสำคัญว่า ในการเดินตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทางอริยมรรค อริยผล นั้น ไม่ใช่เส้นทางที่ผู้ปฏิบัติจะตามหา หรือแสวงหาอะไรอื่น สิ่งที่จะแสวงหาคือความรู้แต่เพียงอย่างเดียวล้วน ๆ (คือความรู้ที่เรียกว่า วิชชา ทำลาย อวิชชา ได้) ไปตราบบรรลุสภาวะพุทธะ จึงจะได้พบ อันเป็นความรู้ระดับบรรลุอริยมรรค อริยผลสูงสุดที่พ้นทุกข์ทั้งปวง(ระดับ อรหันตภาวะ ถึง พุทธภาวะ) ตามชื่อ พุทธะ คือ ผู้รู้ นั่นเอง แต่ธรรมกาย ธัมมชโย ไม่ได้แสวงหาความรู้ ตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปสิ้นบารมีลงที่วิชาธรรมกายนี้(คือไปตัน ตกค้างอยู่ที่สมาธิระดับอุปปจาระสมาธิ และ อุคคหนิมิต นี่เอง ก็คิดว่าสูงสุดแล้ว) เมื่อหลงแล้วคิดว่าสูงสุด แล้วก็ไปหลงโลภะ กลับแสวงหาเงินตรา(คือพ่ายแก่พญามารที่ชื่อโลภมาร ซึ่งมารพวกนี้จะไล่หลังนักปฏิบัติธรรมไปตลอด จนกว่าจะเลยเข้าเขตแดนอริยะ) และกลับหลงใหลไปกับเงินตราอย่างบอดใบ้ไปเลย และได้ทำการแสวงหาเงินตรา และบริหารเงินตราไปแบบ พุทธพาณิชมาตลอด(ทำไปด้วยความหลงผิด)
และที่สุด ด้วยความโลภไม่มีสิ้นสุด เสมือนที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า คนโลภนั้น แม้ได้ภูเขาเป็นทองคำทั้งลูกแล้ว ก็ยังคงไม่พอใจ ยังคงหาต่อไปให้ได้มากไปกว่านั้นอีก นี่คือธัมมชโย จึงไปคิดวางแผนไปเพิ่มวิธีการหาเงินตราไปอย่างยิ่งใหญ่ต่อไป (และมีโครงสร้างของการเมือง ที่จะยึดครองแผ่นดินไทยให้อยู่ใต้การปกครองตนเองต่อไปอีก) อย่างยิ่งใหญ่ แบบผิดกฎหมาย เช่นที่ปรากฏระยะหลัง ๆ นี้เอง เรื่องโกงที่ดินมากมายหลายผืนในต่างจังหวัด ใต้ เหนือ อิสาณ จะเอาไปสร้างรีสอร์ต โกงเรื่องเงินสหกรณ์ เป็นต้น) แต่ก็เปิดเผย ไม่สามารถปกปิด หลีกเลี่ยงกฎหมายไปได้ตลอด สิ่งที่ธัมมชโยทำ จึงเป็นการหาเงินตรา ไม่ใช่หาวิชชา นี่แหละประเด็นที่ชาวพุทธควรจะคิดให้แจ้ง สาวกพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่มาตามหาเงินตรา แต่ต้องหาวิชชา หา ความรู้ และสิ่งที่เขาแจกออกไป จึงเป็นวิชาที่ผิด ๆ ที่ต่ำตื้น และสิ่งที่สร้างผลประโยชน์ การอารักขา และความปลอดภัย และแม้กระทั่งความศัทธา(จากคนตาบอดใบ้) ก็คือ การแจกจ่ายเงิน และการซื้อทุกอย่าง ด้วยเงิน ซึ่งได้ปรากฏมาแล้วว่า เขาซื้อทุกอย่างในวงการนี้ได้ด้วยเงินจริง ๆ เท่านั้นเอง จนกระทั่งปรากฏว่า คนและวงการนี้ตกอยู่ใต้อิทธิพลเงินของเขาอย่างกว้างขวางไปทั้งแผ่นดิน และเมื่อคนตกอยู่ใต้อิทธิพลเงินนี้ ก็จึงเป็นเรื่องที่ผิด ๆ เป็นเรื่องของ อธรรมล้วน ๆ เกิดขึ้นในวงการพุทธศาสนาอย่างแนบเนียน จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ปกปิดไม่ได้อีกต่อไป และนั่นแหละความจริงก็จะค่อยปรากฏออกมา ......... คนไทย และคนทั้งโลกจะได้ทราบความจริง
ถูกใจ · ตอบกลับ · 26 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 7:07 น.
Phayap Panyatharo
สิ่งที่เป็นปัญหา เมื่อธัมมชโยโดนข้อหาถึง 300 กว่าคดี ก็คือ เหล่าบริวารที่ได้กินน้ำใต้ศอกของธัมมชโย ก็จะสูญเสียรายได้ไป เสียผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้จากธรรมกายนี้ บางสำนัก บางสถานที่สถาบัน ก็หวังมาว่าจะได้รับการสนับสนุนด้วยเงิน จนกว่าจะสร้างนั่นสร้างนี่สำเร็จ เมื่อโดนแบบนี้ ก็ปลิวไป ก็โกรธแค้น ...จึงพากันนิ่งอยู่ไม่ได้ จะต้องป้องกันไม่ให้รายได้ของตนขาดแคลนไป ตั้องยับยั้งมาตรา 44 ต้องป้องกันธัมมชโยไว้ให้ได้ .......ก็นี่แหละเหตุผลที่แท้จริง ของการเดินทางมาชุมนุมที่วัดพระธรรมกายกันใหญ่ ขณะนี้ ......เป็นสิ่งที่น่าอับอายไปทั่วโลก
ถูกใจ · ตอบกลับ · 28 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 0:30 น.
Phayap Panyatharo
มีแม้กระทั่งพรรคการเมือง นักการเมือง ก็ไปได้ประโยชน์จากโครงการหาเงินแบบพุทธพาณิช และแบบการซักฟอกเงิน ของธรรมกาย และธัมชโย ....แบบที่คาดไม่ถึงว่าจะมีเช่นนี้
ถูกใจ · ตอบกลับ · 28 กุมภาพันธ์2560 เวลา 0:39 น.
เขียนความคิดเห็น...
โพสต์จากเมื่อ 2017
สุดยอดรูปภาพในปี 2017
มีเพื่อนใหม่ 18 คน
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
20 กุมภาพันธ์ 2560
Thammachayo has been accused many charges by Thai law. And the law calls him to fight with legal procedure . But he does not, and tries to fight by mass. I myself am not agree with him. Because by the law he is now still a pure man not at all guilty. I think he would see the truth about doing true by the legal procedure. And when he see the truth that wouldl be able to cease the people’s trouble.
ธัมมชโย ถูกกล่าวหาหลายคดีโดยกฎมายไทย และกฎหมายไทยได้เรียกเขาไปต่อสู้โดยกระบวนการทางกฎหมาย แต่เขาไม่ทำตามกฎหมาย เขาใช้วิธีการต่อสู้ทางมวลชน ผมเองไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา เพราะทางกฎหมายนั้น แม้ขณะนี้ เขาก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีความผิดแต่อย่างใดเลย ผมคิดว่า เขาควรที่จะได้มองเห็นสัจธรรมเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสามารถหยุดความเดือดร้อนของประชาชนได้ .
Phayap Panyatharo
08:19
แต่สำหรับในประเด็นศาสนาอิสลาม นั้น ดูเหมือนว่า จะลงตัวไปแล้ว
ถูกใจ · ตอบกลับ · 21 กุมภาพันธ์ เวลา 9:53 น.
Phayap Panyatharo
08:26
แต่ประเด็นนี้ ในด้าน คสช. ยังคงไม่ชัดเจน ....... และกรณีธรรมกาย คสช. ต้อง ไม่เพียงพูด ต้อง อย่าให้เกิดความรุนแรง ...... เห็นด้วยกับคำสั่ง ห้าม จนท.ใช้อาวุธ อย่างเด็ดขาด ........ แต่ระวัง เรื่องการสร้างสถานการณ์ ของฝ่ายตรงข้าม ..... ในรูปธรรม ฝ่าย คสช. ต้องเดินมือเปล่า ให้เราเป็นฝ่ายเจ็บและตาย ยุทธศาสตร์ควรเป็น การเดินหน้าไร้อาวุธ ทำเหมือน มวย ชกกันด้วยหมัด แต่ฝ่ายทหารเรา ให้ต่อให้.....ให้เขาทำเรา เราเพียงป้องกันตัว แต่รุกไปข้างหน้า ........ ก็ชนะครับ เพราะในการต่อสู้ ทหารไทย ไม่เคยแพ้อยู่แล้ว สู้แบบมือเปล่านี้ใช้กับประชาชนกรณีนี้เท่านั้น วางจิตไว้ที่ ความเมตตา และ อภัย ....
ถูกใจ · ตอบกลับ · 21 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 9:54 น.
Phayap Panyatharo
08:28
เราต้องการทราบอย่างเดียวว่า วัดธรรมกาย ที่ยิ่งค้น ก็ยิ่งพบความสลับซับซ้อน ลึกลับและเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ ยากที่คนไม่เห็นจะเชื่อ เอาออกมาดูให้หมด
ถูกใจ · ตอบกลับ · 21 กุมภาพันธ์ เวลา 9:55 น.
Phayap Panyatharo
08:30
ถ้าเป็นความดี เราก็เทิดทูน ถ้าเป็นอย่างอื่นก็บริหารไป ปรับเปลี่ยน แล้วจะมีใครว่าอะไร นอกจากคนพาล
ถูกใจ · ตอบกลับ · 21 กุมภาพันธ์ เวลา 9:55 น.
Phayap Panyatharo
4 มีนาคม 2560 ·
According to Buddhist history since 2560 years till now, Buddhist monk has to take serious 227 commandments to behave as a follower of Buddha.[The first 4 are the hardest of PARACHIKKA order] which the pupil has been accused. Female Buddhist monk has more than Buddhist monk, 311 commandments. Buddhist nun[as seen in the picture] has only 8 commandments. By the commandments make the different between Buddhist monk and female Buddhist monk and female Buddhist nun. Buddhist monk has been in the top status higher than female Buddhist monk and Buddhist nun has been in the lowest status and there is no story for Buddhist nun acchieving Arahanta status. And in fact Arahanta status has been for most of Buddhist monk and very little for female Buddhist monk . While Buddhist nun has no story of achieving Arahanta status. And it is believe there has no Arahant female Buddhist monk in the world now. And never for Buddhist nun in the present . Female, especially Buddhist nun could hardly achieve Arahanta status and has no permit to teach Arahant subject to the Buddhist monk.
In the Buddha time firstly Budda did not permit female to enter priesthood, but after the permit the female Buddhist monk has to get more commandments than the Buddhist monk, that is 311 commandments. And by the 311 commandments, forcing the female Buddhist monk to behave a radical lonely life, to be quiet, to be still, to be moderate. Eventhough achieving Arahanta light the female Buddhist monk still have to behave a radical lonely life. she still be quiet, to be lonely, to be still, to be moderate. There have no interfere, and not secret motive with the men in yellow robes as seen in the picture, making herself as close as a teacher for her the two pupils.
And now female Buddhist monk has been decreased, there has no more female Buddhist monk in Thailand. There is no Arahanta female Buddhist monk or no female Buiddhist monk achieving Arahanta status. So in 2560 year Buddhist history, there have no Buddhist nun who has to take 8 commandments or eventhough a female Buddhist monk who has to take 311 commandments be teacher or professor for male Buddhist monks. But according to the photo you see, the nun sitting in the middle between her two pupils, even taking only 8 commandments of Buddhism, but she elevated herself as the teacher of the two pupils the 2 Buddhist monks who stand aside with their great respect out of hearh and that is Dhammachayo[ and Thuttachivo] of the famous Dhammagayo Temple who makes the people known himself as the highest spirit who can disappear from human eyesight, who can leave the human earth to live with god in the heaven. And according to the story of the nun she was given as high credit from her pupils Dhammachayo, Thuttachivo in a special proud name of a highest teacher for the Thai Buddhists that is Teacher Maha Ratana Ubasika Jan Konnokyung telling she, the nun had a great debt of gratitude to Thailand and all Thai people by a miracle performing power in World war 2. The American plane dropping the nuclear bomb down to Bangkok, she raised her hand to the sky to wipe the bomb away. The two nuclear bombs were wiped by her miracle hand to Japan and the first bomb downed Hirichima[Japaneses died at once with the bomb 80,000] and Nangasaki[the dead 40,000 make 120,000 japanese died at once]. This a liar story has made all Thai people and all Thailand believed a true story and falled in debt in a great debt from the nun, the debt that Thailand and Thai people had been help from the miracle hand of the nun that was so heavy debt that no-one could never pay all back till now. They have to return her by the warship all heart never-end.
To make this story , it could be seen clearly that it’s a great lie. The purpose is for propaganda in order to make money from the Buddhist trade of the Dhammakayo Dhammachayo methodology. And this has been a great respect from Thai women and world women faith and give a hopeful in learning Buddhism in the wrong way. They just intend to more and more the money paying by female that the two, wearing yellow robes ,the pupils of the nun, are so careless that they couldn’t understand about the truth of Buddhist teaching. This also shows out about ungrateful and thankless heart to Buddha. Because to behave like this, hasn’t been a behavior according to the real teaching of Buddha. It doesn’t lead men or its pupils to Niravana. For Niravana is not the world of seeking for anything else except the light, the wise, the knowledge. So these things of Dhammachayo-Dhammkayo is what a way, trying to use Buddhism to seek for money only. This is seen clear: the neverend of greed or covetousness of Dhammachayo – Dhammakayo seeing clear in the present.
Phayap Panyatharo
4 มีนาคม 2560
ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ตั้งแต่ 2560 ปีมาถึงปัจจุบันนี้ พระภิกษุในพระพุทธศาสนาถือศีล 227 ข้อเป็นความประพฤติประจำวันในฐานะสาวกของพระพุทธเจ้า(4ข้อแรกเป็นครุกาบัติระดับปาราชิก...ซึ่งโดนเข้ากับพระลูกศิษย์ไปแล้ว) ภิกษุณีถือศีลมากกว่าพระภิกษุไปอีกคือ 311 ข้อ ส่วนแม่ชี(อย่างที่เห็นในภาพนี้)ถือศีลแค่ 8 ข้อ ด้วยศีลที่แตกต่างกันนี้เอง ทำให้สถานะของ พระภิกษุสูงส่งกว่าภิกษุณี และ แม่ชี ไปอย่างลิบลิ่ว และในประวัติศาสตร์พุทธศาสนามีแต่พระภิกษุเท่านั้นที่สามารถบรรลุธรรมชั้นสูงระดับอรหันต์ได้มากแทบทั้งหมด ในขณะที่พระภิกษุณี หรือ แม่ชี บรรลุได้น้อย แทบไม่มีเลย ในยุคพุทธองค์ ก็ไม่ทรงโปรดให้สตรีบวช และครั้นได้รับพุทธานุมัติให้บวช ก็ต้องดำรงศีลไปมากกว่าพระภิกษุสงฆ์ ไปถึง 311 ข้อ และโดยศีล311ข้อนี้ของภิกษุณี จะให้ภิกษุณีมีแต่ความเจียมตัวเจียมใจ แม้สำเร็จธรรมสูงสุดเป็นอรหันตภิกษุณีก็ตาม ก็ต้องประพฤติสันโดษ เจียมตัวเจียมใจอย่างยิ่ง(ไม่มีความจุ้นจ้านหรือลับลมคมในกับภิกษุที่เป็นเพศชายอย่างที่เห็นในภาพครูอาจารย์หญิงแม่ชีกับศิษย์ผู้ชายห่มเหลืองอย่างนี้)
และบัดนี้ ภิกษุณีก็ค่อยขาดหายไป ไม่มีในประเทศไทยอีกแล้ว และ ไม่มีอรหันตภิกษุณี หรือ แม่ชีที่บรรลุธรรมอีกแล้ว ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา 2560 ปี จึงไม่เคยปรากฏว่ามี แม่ชี(ผู้ต้องถือศีล8) หรือแม้กระทั่งภิกษุณี(ผู้ต้องถือศีล 311ข้อ) เป็นครู อาจารย์ของพระภิกษุสงฆ์ เลย ...แต่ภาพที่ท่านเห็นนี้ แม่ชีที่นั่งอยู่กลางนั้น ทั้ง ๆ ที่ถือศีลแค่ 8 ข้อตามหลักการพระพุทธศาสนา แต่ แต่ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ของพระภิกษุสงฆ์ 2 รูปที่ยืนถ่อมตนอยู่ข้าง ๆ นั้น และนั่นคือธัมมชโย และทัตตชีโว แห่งวัดพระธรรมกาย ผู้โด่งดังอยู่ขณะนี้ นั่นเอง ผู้ประกาศตนว่าบรรลุธรรมชั้นสูงสุด ไปเฝ้าเทวดา ไปอยู่กับเทวดาบนสวรรค์ได้ ....และตามประวัติแม่ชี ซึ่งได้รับตั้งชื่ออย่างสูงส่งสมเป็นครูอาจารย์ธัมมชโย ทัตตชีโว ว่า พระอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ว่าแม่ชีได้สร้างบุญคุณอันยิ่งใหญ่แก่ประชาชนไทยทั้งประเทศ และประเทศไทยทั้งแผ่นดิน ก็โดยการแสดงอภินิหาริย์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ปัดลูกระเบิด 2 ลูก ของทหารอเมริกา ที่ทิ้งลงประเทศไทย ไปตกที่เมื่องฮิโรชิมา(คนญี่ปุ่นตายทันที่ที่ระเบิด 80,000 คน) และ นางาซากิ(ตายไป 40,000คน รวมตายทันทีถึง 120,000 คน ญี่ปุ่น) ทำให้ประชาชนไทยและประเทศไทยรอดจากความพินาสน์ไปได้ทั้งแผ่นดิน ตกเป็นหนี้มหาศาลที่คนไทยใช้ไม่หมดมาจนถึงทุกวันนี้
การสร้างเรื่องขึ้นมาเช่นนี้ ก็เห็นได้ว่าเป็นการโกหกปั้นเรื่องราวขึ้นมาชัด ๆ นั่นก็เป็นวิธีหนึ่งของการทำการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อประโยชน์ในการทำพุทธพาณิชของขบวนการวัดธรรมกายนั่นเอง โดย มุ่งหมายให้เกิดความร่วมมือศรัทธาจากสตรีไทยและสตรีโลก และได้รับความศรัทธาจากสตรีเพศ ให้ความหวังแด่สตรีเพศในเรื่องธรรมะไปอย่างผิด ๆ และหมายได้รับการบริจาคเงินทองจากผู้หญิงมากมายมหาศาลขึ้นไปอีกนั่นเอง โดยที่คนห่มเหลืองทั้งสองคนที่เป็นลูกศิษย์ ไม่ได้มีความรู้ทางธรรมะ การบรรลุธรรมะอันเป็นสัจธรรมสูงส่งที่แท้จริงในพระพุทธศ่าสนาเลย ทั้งยังแสดงออกถึงความอกตัญญู อกตเวทิตาต่อพระพุทธองค์ ต่อพระพุทธศาสนา เพราะการประพฤติเช่นนี้ มิใช่การประพฤติตามหลักธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธองค์และพระพุทธศาสนา เลย ไม่ได้นำคนไปสู่มรรคผล นิพพาน เพราะโลกแห่งนิพพาน ไม่ใช่โลกแห่งการแสวงหาอะไร นอกจากความรู้ วิธีพ้นทุกข์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ของธัมมกาย ธัมมชโยจึง เป็นเพียงการอาศัยศาสนาหาเงินไปอย่างไม่รู้จบสิ้น เป็นความโลภอย่างไม่สิ้นสุด เท่านั้นเอง
มีพระราชโองการให้ถอดถอน พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ สุทธิผล)
ออกจากสมณศักดิ์แล้ว ตั้งแต่ 4 มี.ค. 2560
มีพระราชโองการให้ถอน (ทัคชีโว) ออกจากสมณศักดิ์
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
9 มีนาคม ·
The three people,you know had learned Thammakayoism[Thammakayo Subject] from the one [whose photo's in their back] Luang Po Sod of Paknam Temple till the nun finished the education being able to go to travel heavens and teach her two pupils [Dhammachayo and Dhattachivo]to finish Thammakyoism able to go flying travelling heavens as well as their nun teacher . After Luang Po Sod was dropted down because his Thammakayoism had been protested by the real monk at that time and Luang Po Sod confessed his knowledge about Thammakayoism that it was wrong, outside Buddhism.But the nun and her pupils did not. They still went ahead teaching Thammakayoism to all their pupils till now and they went across Luangposod’s confess to a new teacher. It’s the one of the greatest 3 Indian God[Vishnu or Krishna] coming to the present world as Sattaya Sai Baba.[as in the picture]. The three believe in him as the new Buddha coming on earth according to the name : Bhagavant Sri Sattaya Sai Baba. The new teacher taught them how to make money from Buddhism.[Buddhist knows; Bhagavant means Buddha.] Bhagavant Sri Sattaya Sai Baba means the Buddha named Sri Sattaya Sai Baba. Do you believe there had been a new Buddha in India recently?
คนทั้ง3คนนี้ ตามที่ท่านรู้จัก ได้ร่ำเรียนลัทธิธรรมกาย(วิชาธรรมกาย) จากท่านผู้หนึ่ง (ที่เห็นรูปถ่ายด้านหลังของคนทั้ง3นั้นแหละ) หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ จนกระทั่ง แม่ชีนางนี้ได้สำเร็จการศึกษา สามารถถอดกายไปท่องเที่ยวสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ แล้วดำเนินการสอนลูกศิษย์ทั้งสองของแม่ชี(ธัมมชโยและทัตชีโว)จนสำเร็จวิชาธรรมกายไปด้วย จนสามารถเหาะลอยไปเที่ยวสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับครูแม่ชีของตน หลังจากหลวงพ่อสดถูกตีตกลงไปเพราะเหตุที่วิชาธรรมกายของท่านนี้ได้ถูกคัดค้านจากพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิแท้จริงท่านหนึ่งในเวลานั้น และหลวงพ่อได้สารภาพว่าวิชาธรรมกายของท่านเป็นการสอนที่ผิดพลาดไปและเดินไปนอกหลักการพระพุทธศาสนา แต่แม่ชีและลูกศิษย์ทั้งสองของแม่ชี ไม่ยอมรับคำสารภาพนั้น ยังคงเดินหน้าสอนวิชาธรรมกายแด่ลูกศิษย์ทุกคนต่อมาตราบถึงปัจจุบันนี้ และคนเหล่านี้ได้เดินข้ามคำสารภาพของหลวงพ่อสดไป ไปยังครูคนใหม่ ครูคนนั้นเป็นเทพเจ้าสูงสุด 1 ในสามเทพเจ้าของชาวอินเดีย(วิษณุเทพ หรือ กฤษณเทพ) ซึ่งเสด็จมาสู่โลกยุคปัจจุบัน ในฐานะ ศรีสัตยาไสยบาบา (ตามที่เห็นในภาพ) พวกเขายังเชื่อในครูคนใหม่นี้ในฐานะพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ด้วย พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่ทรงเสด็จมาสู่โลกโดยพระนามว่า องค์ ภควันต์ ศรีสัตยา ไสยบาบา ครูคนใหม่นี้ได้สอนพวกลูกศิษย์เหล่านี้ให้รู้วิธีการหาเงิน โดยใช้พระพุทธศาสนาหาเงิน.(ชาวพุทธรู้ดี คำว่า ภควันต์ หมายถึง พระพุทธเจ้า) องค์ ภควันต์ ศรีสัตยา ไสยบาบา หมายถึง พระพุทธเจ้า ทรงพระนาม ศรีสัตยาไสย บาบา คุณเชื่อไหมล่ะว่ามีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้เกิดขึ้นในประเทศอินเดียเมื่อเร็ว ๆนี้ ?.
Phayap Panyatharo
When he was alive BBC, the famous TV of England and TV9 Bala of India kept telling everything everytime of his deeds concerning the mass revealing his cheating to the people. When he died in may 2011(2554) at 85 of age, more than thousands stories written about him by his close pupils and reporters, telling about his evil deeds. One of them is Gethin Chamberlain who was with him more than 20 years as his close pupil, close friend, telling the backside evil deed of the new god of India. For example ; After the Death of Sattaya Sai Baba his Tricts completely exposed. TV9 Bala Sai Baba plays tricks again on his birth day. Sai Baba is he cheating? What had it been was as well as Dr. Mano Lauhavanish in Thailand now. Dr.Mano was once in yellow robe, as a monk[Pra Mano Mettananto], the close pupil to a close friend of Dhammachayo for more than 20 years, who couldn’t bear to see the wrong evil deeds of Dhammachayo and Dhammakayo temple and after leaving priesthood, he reveals what’s top secret in Thammakayo temple and write many stories about the evil deed of Dhammachayo in the mass media to all the people, as you see in so many clip vedioes today.
Phayap Panyatharo
คราวที่เขายังมีชีวิตอยู่ บีบีซี โทรทัศน์ ที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ และ ทีวี บาลา ของอินเดีย ได้ติดตามรายงาน บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเวลาที่ไสยบาบาทำอะไร ที่เกี่ยวข้องไปถึงมวลชน และได้เปิดเผยกลโกง เล่ห์เหลี่ยมของเขาโดยตลอด ให้ประชาชนรับทราบ เมื่อเขาตายลงในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2554(2011) เมื่อมีอายุได้ 85 ปี ได้มีคนเขียนเรื่องราวของเขาออกสู่สื่อมวลชนนับพันเรื่อง โดยคนที่เปิดเผยเรื่องราวของเขาล้วนเป็นศิษย์ และนักเขียนที่ใกล้ชิดเขามาก่อน ที่เล่าเรื่องการกระทำบาปกรรมของเขา คนหนึ่งในนั้นก็คือ เกตติน แชมเบอเลน [Gethin Chamberlkain] ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์อยู่ใกล้ชิดกันมากว่า 20 ปี เป็นทั้งลูกศิษย์ เป็นทั้งเพื่อนสนิทด้วย ได้เล่าเบื้องหลังที่ชั่วร้ายของพระเจ้าองค์ใหม่ของอินเดียคนนี้ มีตัวอย่างเรื่องที่เล่ากันก็คือ After the Death of Sattaya Sai Baba his Tricts completely exposed หลังการตายของสัตยา ไสยบาบา กลโกงของสัตยา ไสยบาบาก็ได้รับการเปิดเผยอย่างล่อนจ้อน TV9 Bala Sai Baba plays tricks again on his birth day ทีวี 9 บาลา ไสยบาบาเล่นกลโกงอีกแล้ว ในวันเกิดของตนเอง Sai Baba is he cheating? ไสยบาบาขี้โกงใช่ไหม? ซึ่งการที่เป็นไปเช่นนี้ ก็เหมือนกันเลยกับกรณีธัมมชโย ธัมมกาย ที่มี ดร.มโน เลาหวณิชย์ เล่าถึงอยู่ในขณะนี้ในประเทศไทย โดยที่ดร.มโน ได้เคยบวชเป็นภิกษุ(พระมโน เมตตานันโท), เป็นลูกศิษย์ และเป็นเพื่อนผู้ใกล้ชิดของ ธัมมชโยอยู่เป็นเวลานานกว่า 20 ปี เขาทนเห็นสิ่งที่ผิดพลาด ชั่วร้าย ที่เกิดจากการกระทำของพระธัมมชโย และวัดพระธัมมกายไม่ได้ จึงได้ลาสิกขาไป และต่อมาจึงได้เปิดเผยสิ่งที่เป็นความลับสุดยอดในวัดพระธัมมกาย และได้เขียนเรื่องราวออกมาหลายเรื่องเกี่ยวกับบาปที่ชั่วร้ายของธัมมชโย ลงในสื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนได้ทราบ ตามที่ท่านผู้อ่านเองก็ได้เห็นกันในคลิปวีดิโอมากมายอยู่ในวันนี้.
Phayap Panyatharo
ขอบคุณนะครับ สำหรับท่านที่ชอบ ผมเองเขียนออกมาตามความจริง ตามความถูกผิด ในอริยสัจธรรม ไม่ได้ต้องการโอ้อวดอะไร หรือไม่หวังอะไร หวังให้ทราบความจริงอย่างเดียว โดยที่พิศูจน์เอาเอง จากแนวนำของผม ขอบคุณมาก ๆครับ
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
8 มีนาคม 2560
With Dhammachayo’s teaching, to all his pupils, who, all of them are Buddhist monks with 227 commandments for their behavior, to pay top respect to the only nun Jan Konnokyoong [a common woman with 8 commandments only] as their holy teacher and believe in her as the top woman in Buddhism, with all their hearts as well as he,Dhammachayo himself [eventhough taking 227 commandments as a Buddhist monk]. This is not the right way of Buddhism. So the nun and her top pupil Dhammachayo have long time led Dhammakayo monks in the wrong way of Buddhism ; not the way to the best excellent wealth. But the wrong way to the sin badness wealth.
ด้วยการสอนของพระธัมมชโยนี้เอง โดยสอนลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระภิกษุ ผู้ต้องถือศีล 227 ข้อ จำนวนมาก ให้ถวายความเคารพนับถือแม่ชีคนนี้ แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง (ทั้ง ๆ (ที่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งถือศีล 8 ข้อเท่านั้นเอง) ว่าเป็น ครูผู้ศักดิ์สิทธิ์ของตน และเชื่อว่าเป็นบุคคลสูงสุดของพุทธศาสนา เคารพนับถืออย่างสุดขั้วหัวใจ พอ ๆ กับเขาเอง ธัมมชโย ที่นับถือเลิ่อมใสแม่ชีคนนี้สุดขั้วหัวใจเช่นกัน สิ่งนี้ ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องของพุทธศาสนา ดังนั้นครูแม่ชีคนนี้ แม่ชีจันทร์ ขนนกยูงคนนี้ กับลูกศิษย์ต้นของตน ธัมมชโย จึงได้นำพาพระภิกษุสงฆ์ ทั้งหลายในสังกัดวัดธรรมกายนี้ เดินไปในทางที่ผิดของพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งเส้นทางนี้ ไม่ใช่ทางแห่ง อริยทรัพย์ แต่เป็นทางที่ผิดพลาดที่นำสู่ทางโลกียทรัพย์ล้วน ๆ.
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 ภาพ
8 มีนาคม 2560
Why does it's slow? A people's asking about Dhammakayo & Dhammachayo Bikkhu. Why doesn't it go ahead? To change the plan, to change the stratistics, to change the tactics would help, the one think. However, there have one another asking, who are the fighters?
ทำไมกรณีวัดพระธรรมกาย และธัมมชโยภิกขุจึงช้าลงล่ะ? นี่เป็นคำถามของประชาชนคนหนึ่ง ทำไมสถานการณ์จึงไม่เดินหน้า? บางที การเปลี่ยนแผนปฏิบัติ, การเปลี่ยนยุทธศาสตร์ และ ยุทธวิธีใหม่ น่าจะช่วยได้ละมัง นี่ก็เป็นความคิดอีกหนึ่งความคิด อย่างไรก็ตาม มีคำถามอื่นอีกคำถามหนึ่ง คู่ต่อสู้ในกรณีนี้เป็นใครกับใครกันแน่?
Phayap Panyatharo
ผู้ชายคนนี้ เขาบอกตรงว่า พระธัมมชโยนี้ จริง ๆ เป็นผีบุญตัวเอ้ ออกทางสื่อโซเชียลนะครับ
Phayap Panyatharo
ในประวัติศาสตร์อีสาน ก็มีผีบุญเยอะ ที่คุณหญิงโม(ท้าวสุรนารีโคราช)จัดการไปก็เป็นผีบุญตัวเอ้ตัวสำคัญในยุค ร.3
Phayap Panyatharo
13 มีนาคม 2560
Sattaya Sai Baba told Indian people to believe him as the big god coming to the new world to help the people in India from disaster. He rose his hand to the sky obove his head and seized a big shining ring from the air. And he shew them and told them that it’s his own ring and that in 5,000 years ago was worn in a finger of KrishnaDhev. So the Indian people believe him with all their heart and gave much money to him. And the rich men came to him asking him to give a ring or something from god in exchange with millions of money. And Sai Baba played the same trick to get the ring from god from the air to give the rich men. After that all the rich men in India came to him with a lot of money to exchange with a ring from god.
And his latest pupil, Dhammachayo Bikkhu of Dhammkayo temple in Thailand finished this knowledge and follows his teacher’s tricks. By telling the Buddhist Thai people he was a new Buddha. In a clip vedio now, he tells the people that he has been the same with Buddha and the leader of all Buddha. His Buddhism can lead any man to heaven and to nivarana. And the rich people come to him with 7-10 million bahts and more in exchange of touring heaven to see holy god and receive a sacred bless from god. And to acchieve Budda’s top spirit.
And that make him rich, make his pupils rich, make his temple rich. And he could do anything to get more power by using money. His Dhammakayo temple has been built on air, on land, and underland, greater and more civilized than Thailand capital Bangkok itself. And at late situation there find out they ‘ve been trying to construct a strong root political Thai system concerning a nonking state of Thailand.
สัตยา ไสย บาบา ได้บอกประชาชนอินเดียให้เชื่อในตัวเขาว่าเขาเป็นพระเจ้าอวตารลงมาช่วยโลกยุคนี้ให้พ้นความวินาสน์ เขายกมือขึ้นสู่ฟ้าเหนือศีรษะเขา แล้วจับเอาแหวนวงหนึ่งขนาดใหญ่เปล่งประกายจ้ามาจากอากาศ แล้วเอาอวดคนอินเดีย และบอกว่านี่คือแหวนของเขาเอง ซึ่งเมื่อ 5000 ปีก่อน สวมอยู่ในนิ้วมือของพระกฤษณเทพ ด้วยเหตุนี้ประชาชนอินเดียทั้งประเทศจึงเชื่อในตัวเขาอย่างล้นพ้นจิตใจเลยทีเดียวและพากันเอาเงินมาให้เขาเป็นจำนวนมาก และต่อมาก็มีแต่คนมั่งมีเป็นเศรษฐีจำนวนมาก มาขอแหวนพระเจ้าจากเขา หรือของอะไรที่ได้มาจากพระเจ้าก็ตาม โดยที่พวกเขาขอแลกด้วยเงินเป็นล้าน ๆ และไสย บาบา ก็ได้เล่นกลแบบเดิมนี้ เอาแหวนจากพระเจ้ามาจากอากาศ ให้แด่คนร่ำรวยเหล่านั้น หลังจากนั้นก็มีแต่คนร่ำรวยมาหาเขาพร้อมเงินจำนวนมากเพื่อขอแลกเปลี่ยนกับแหวนพระเจ้า
และวิชานี้ ลูกศิษย์คนล่าสุดของเขา คือพระ ธัมมชโย แห่งวัดธัมมกาย ในประเทศไทย ได้เรียนสำเร็จและได้เดินวิถีทางเดียวตามก้นกลวิชาอาจารย์คนใหม่ของเขา โดยที่เขาได้บอกประชาชนไทยซี่งเป็นชาวพุทธว่า เขาเป็นพระพุทธเจ้าคนใหม่ มีคลิปวีดิโอคลิปหนึ่งขณะนี้ ที่เขาเองบอกว่าเขาเป็นคน ๆ เดียวกันกับพระพุทธเจ้าและยังเป็นผู้นำของพระพุทธเจ้าทั้งหมดด้วย
วิชาพระพุทธศาสนาของเขาสามารถนำพาคนไปสู่สวรรค์ และไปสู่โลกนิพพานได้ และคนร่ำรวยได้ทะยอยไปหาเขาพร้อมกับเงิน 7-10 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น เพื่อไปขอแลกกับการไปเที่ยวสวรรค์กับเขา ที่จะได้พบพระเจ้าและได้รับคำอำนวยพรที่ศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า และแม้กระทั่งให้ตนเองสำเร็จมรรคผลในพระพุทธศาสนา
และด้วยวิธีนั้นเอง ได้สร้างความร่ำรวยให้เขาอย่างมากมาย แล้วลูกศิษย์ในวัดก็ร่ำรวยไปด้วย วัดธัมมกายก็ร่ำรวยไปอย่างมหาศาลด้วย และสร้างวัดธัมมกายให้ใหญ่โตมโหฬาร บนอากาศ บนดิน และ ใต้ดิน อย่างที่ยิ่งใหญ่ และทันสมัยกว่าเมืองหลวงของประเทศไทย คือ กรุงเทพไปอย่างลิบลิ่วด้วยซ้ำ และเขาสามารถที่จะทำอะไรให้ตนเองเพิ่มไปซึ่งอำนาจบารมีสำเร็จไปหมดด้วยพลังเงิน ในสถานการณ์ล่าสุดวันนี้ ได้มีการค้นพบว่า พวกเขาได้พยายามที่จะสร้างลงรากฐานทางการเมืองอย่างมั่นคงแข็งแรงที่เป็นระบบการเมืองไร้กษัตริย์ของประเทศไทย.
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
16 มีนาคม 2560
แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง อาจารย์ของธัมมชโยภิกขุ คงจะเรียนหนังสือไม่จบป.4 หรือคงเรียนไม่มากนัก จึงไม่รู้เรื่องราวสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ทั้ง ๆ ที่เวลานั้น วันที่อเมริกาทิ้งระเบิดแม่ชีมีอายุเพียง 36 ปีเท่านั้นเอง แล้วเอาเรื่องราวของระเบิดปรมาณูไปบิดเบือน โกหกพกลม ไปอย่างไร้เหตุผลที่สุด โดยคิด่สร้างเรื่องอภินิหาร สร้างบุญคุณแด่ประเทศไทย ประชาชนไทยไปอย่างที่ใช้หนี้ไม่สิ้นสุดไปตลอดชาติไทย เรื่องลูกระเบิดปรมาณูนั้น สหรัฐอเมริกาเพิ่งคิดสูตรขึ้นสำเร็จ และก่อนจะเอาไปทิ้งที่ญี่ปุ่น ทางประเทศพันธมิตรเขามีการประชุมกันก่อน ไม่เกี่ยวกับประเทศไทยเลยแม้แต่นิดเดียว.......ตามที่ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ เขียนไว้ว่า ..... วันที่ 11 กรกฎาคม 1945 ( 2488) บรรดาผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรประชุมที่พอทสดัม ประเทศเยอรมนี ได้ข้อสรุปว่า ที่ประชุมให้การรับรองเกี่ยวกับข้อตกลงต่าง ๆ กับเยอรมนีก่อนหน้านี้ และย้ำถึงความจำเป็นของญี่ปุ่นที่จะต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่ว่า "อีกทางเลือกหนึ่งของญี่ปุ่นก็คือหายนะเหลือแสน" ("the alternative for Japan is prompt and utter destruction") ...... เมื่อญี่ปุ่นได้ปฏิเสธข้อเสนอที่พอทสดัม สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกบนแผ่นดินญี่ปุ่นที่ฮิโระชิมะ(ตายทันที 80,000 คน) และนะงะซะกิ(ตายทันที 40,000 คน รวม 120,000 คน ไม่นับคนที่ได้รับผลทางรังษีปรมาณู ที่ค่อยตายตามมาอีกไม่รู้เท่าไร) ต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945(2488) .....ญี่ปุ่นตกตะลึงในอภินิหารของระเบิดนิวเคลียร์ จึงได้ตัดสินใจยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945(2488) หลังจากนั้นในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945(2488) ญี่ปุ่นได้ลงนามในตราสารยอมจำนนอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดจบของสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน................เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องพันธมิตรเขา ที่ร่วมกันหลายประเทศสู้กับอีกฝ่าย ตรงข้าม มีเยอรมันพ่ายไปก่อน ยังแต่ญี่ปุ่น ไม่เกี่ยวกับประเทศไทยเลยแม้สักนิดเดียว แสดงถึงการโกหกหลอกลวงประชาชนของแม่ชี ไร้ยางอายคนนี้ ทั้ง ๆ ที่อ้างตนยกตนว่าสำเร็จวิชาธรรมกายสูงสุดเป็นหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ....และทั้ง ๆ ที่เป็นแม่ชี ที่รับศีล 8 ข้อ แต่ลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ รับศีล 227 ข้อ ก็ยังเชื่อถือว่าเรื่องโกหกเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง ...ยกเป็นครูบาอาจารย์ของคนสำคัญของตนไปอีก.......และลูกศิษย์ภิกษุคนนี้ก็ยังเล่าเรื่องโกหกหลอกลวงประชาชนเรื่องนี้ต่อไป เป็นการหลอกลวงทวงบุญคุณจากประชาชนไทยต่อไปอย่างไร้ความละอายใจ.....ซึ่งแสดงถึงการบรรลุวิชาธัมมกายนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรในความหมายของพระพุทธศาสนาเลย โดยเหตุของมารโลภะ และหลงทางไปจากทิศทางเป้าหมายของพุทธศาสนาที่แท้จริง จึงพ่ายแก่มาร ตามมารไปสู่ทางโลกียทรัพย์ แสวงหาโลกียทรัพย์อย่างผิดศีลธรรมของพุทธศาสนา ....และครั้นผิดไป ต้องปาราชิกข้อที่ 2 และข้อที่ 4 ไปแล้ว ก็ยังไร้ความละอายใจต่อไปอีก...เช่นนี้ ประชาชนย่อมพิจารณาเองได้ ตามหลัก กาลามสูตร แม้ว่าแท้จริงเพียงดูว่าอะไรเป็นอริยทรัพย์ อะไร เป็นโลกียทรัพย์ เท่านั้นก็ย่อมเข้าใจได้
ถูกใจ · ตอบกลับ · 17 มีนาคม เวลา 18:31 น.
ปะการัง ฟ้าใส
ชาวพุทธน่าจะได้ไปดูเรื่องพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร สังคมไทยควรต้องนำประเด็นการสอนของธรรมกายมาตีแผ่วิเคราะห์ ว่าถูกทางธรรมทางวินัยหรือไม่อย่างไรเพื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่สอนอะไร
ปะการัง ฟ้าใส
คนไทยควรเข้าใจเรื่องพุทธพาณิชย์ กับพุทธธรรมให้ถูกต้อง
Phayap Panyatharo
ขอบคุณ ปะการัง ฟ้าใส นะครับ จะขอเพิ่มเติมไปอีกหน่อยนะครับ ในเรื่องภิกขุปาติโมกข์(กฎหมายพระ) ท่านอาจจะไม่เข้าใจในสำนวนภาษาที่เป็นประเด็นสำคัญนะครับ เช่นคำว่า หาสังวาสมิได้ ....มีความหมายที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูก ทั้งทางด้านภาษา และด้านธรรมปฏิบัติ ทางด้านภาษา เนื่องจากเป็นการแปลมาจากภาษามคธ(บาลี) มาเป็นภาษาไทย สำนวนการแปลจึงอาจจะฟังไม่ค่อยเข้าใจทางภาษาไทย ก็ได้ ...จึงมีการแปลหลายสำนวนครับ ...อย่างไรก็ตาม คำว่า หาสังวาสมิได้นี้ เป็นประเด็นหลัก ในการทำความเข้าใจทางภาษา ก็ต้องเข้าใจว่า หมายถึง การคบหาสมาคม เมื่อมีภิกษุ ต้องอาบัติ ปาราชิก 4 ข้อใดข้อหนึ่ง ก็เป็นอันว่าหมู่ภิกษุผู้บริสุทธิ์ตามธรรมวินัย เลิกคบหาสมาคมกับภิกษุรูปนั้นไปเลย ไม่ยอมให้ภิกษุผู้ต้องปาราชิกมาคบหา........หรือ ภิกษุณีมีมากกว่าไปอีกรวมเป็น 8 ข้อ เป็นปาราชิก ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ก็เลิกคบหาสมาคมกันไปเลย ไม่ยอมให้มาคบหาสมาคมด้วย ตัดออกไปจากหมู่เลย.............นี้คือบทบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ปาติโมกข์ ครับ
Phayap Panyatharo
ในกรณีแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง ก็ถือเป็นนักบวช ระดับแม่ชี ศีล8 ก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายสงฆ์ ครุกาบัติ 8 ข้อเช่นเดียวกับภิกษุณี เช่นเดียวกัน เมื่อต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่งใน8ข้อในภิกขุณีปาติโมกข์ แล้ว ก็หาสังวาสมิได้เช่นกัน คือห้ามไปคบหาสมาคมกับนักบวชอื่น แม่ชีอื่น ภิกษุอื่น ........และไม่ให้นักบวชอื่น แม่ชีอื่น ภิกษุณี ภิกษุอื่น ไปคบหาสมาคมด้วยต่อไป ..........ก็ตามที่บัญญัติไว้ใน ปาราชิกทุกข้อแหละครับ ............ แต่แม่ชีจันทร์ นี้ เมื่อกระทำผิด ครุกาบัติ ขั้นปาราชิกแล้ว ไม่ยอมถอดผ้าห่มขาว ไปเป็น สมี ตามคำสั่งภิกขุณีปาติโมกข์ ....แล้วพระธัมมชโย ทัตชีโว แทนที่จะสั่งให้ถอดผ้าแม่ชีไป(เพราะพระผู้มีศีล 227ข้อ ย่อมอยู่ในฐานะผู้ปกครองแม่ชีศีล8ข้ออยู่โดยอัตโนมัติ) และห้ามการคบหาสมาคมตามพระบาลีว่าไว้ กลับยกย่อง ว่าเก่งจริง มีอภินิหารจริง ปัดลูกระเบิดได้จริง เป็นหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน(ซึ่งมีความหมายไปสูงสุดว่า สำเร็จวิชาธรรมกายระดับสุด ก็ให้คนมองในนัยะว่า สำเร็จอรหันต์ นั่นเอง) จนคนเลื่อมใสไปอย่างผิด ๆ ทั้งแผ่นดิน สร้างวัดธรรมกายขึ้นมาอย่างใหญ่โตได้ แล้วลูกศิษย์คือ ธัมมชโย ก็ลอกกาก การอวดอุตริมนุสธรรม ไปแสวงหาความเลื่อมใสศรัทธาไปอย่างมโหฬารยิ่งใหญ่ กลายเป็นพุทธพาณิชที่สร้างความร่ำรวยให้อย่างมหาศาลไป............. นี่ก็เห็นอย่างชัดเจนว่า ปาราชิก เช่นกันทั้งแม่ชีผู้เป็นครูอาจารย์มีศีลแค่8ข้อและลูกศิษย์ ผู้เป็นภิกขุ มีศีล 227 ข้อ
Phayap Panyatharo
ทีนี้ก็เหลิง หลงตัวไปแสวงหาเงินทองอย่างใหญ่โตมโหฬาร แล้วก็ไปผิดทางกฎหมายบ้านเมืองเขาเข้า ......... คุณอาจจะไม่รู้กฎหมาย แต่กฎหมายทั่วโลกเขาบัญญัติไว้ว่า รู้กฎหมายหรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อคุณทำผิดคุณก็ต้องถูกดำเนินคดี .
Phayap Panyatharo
...การอ้างว่าทำผิดเพราะไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติการกระทำนั้นเป็นความผิด จะกระทำมิได้ ...........กรณีธัมมชโยและลูกศิษย์ธัมมชโย ก็คือ โง่เรื่องกฎหมายบ้านเมือง จึงปฏิเสธตลอดว่าตนไม่รู้กฎหมาย ..........แต่หลักกฎหมายทั่วโลกก็คืออย่างที่ว่า รู้หรือไม่รู้ก็ตามหากทำผิดตามที่กฎหมายบัญญัติแล้วต้องถูกตำรวจเขาเอาไปดำเนินคดีทั้งนั้น กฎหมายจึงมาเกี่ยวกับธัมมชโยเข้าไปอีก ถึงล่าสุด 350 คดีเข้าไปแล้ว เป็นอีกระดับหนึ่ง ก็ยากที่จะรอด สำหรับ สมีคนนี้ครับ
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 ภาพ
19 มีนาคม 2560
เรื่องแม่ชีนี้ ชาวพุทธไทย ก็คงจะเข้าใจดี ว่า เหมือนเรื่องสามเณร นั่นเอง คือสามเณรถือศีล 10 แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าไปผิดศีลข้อสำคัญ 227 ข้อของพระภิกษุ สามเณรก็จะต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับพระภิกษุ เช่น สามเณรฆ่าผู้อื่น ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 3 ใน 227 ข้อ ต้องโทษเสมือน ปาราชิก เหมือนกัน เป็น ทุติยปาราชิก เข้าไปแล้ว เป็นต้น ส่วนแม่ชี ถือศีล 8 แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าไปผิดศีลข้อสำคัญ 311 ข้อของ ภิกษุณี นางชีก็ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน เช่นนางชีจันทร์ ขนนกยูงนี้ แก่โอ้อวดอภินิหารของแก ว่าเก่งถึงขั้นเอื้อมมือวิเศษไปปัดลูกระเบิดปรมาณู ที่ทหารอากาศอเมริกันทิ้งลงมาถล่มกรุงเทพเมืองไทย ให้พ้นไปได้ ไปตกประเทศญี่ปุ่น ทั้ง 2 ลูก ซึ่งนอกจากทำไม่ได้อย่างนั้นจริงแล้ว ยังเป็นเรื่องที่โกหกพกลมอย่างไม่รู้สึกละอายใจเลยอีกด้วย นั้น ก็ต้องปาราชิกข้อที่ 4 ทันที คือ อวดอุตตริมนุสธรรม ต้องพ้นไปจาก ภิกษุณีภาวะ แม่ชีคนนี้ก็ต้องพ้นไปทันทีจาก ความเป็นนักบวช ความเป็นนางชี ในพระพุทธศาสนา ต้องถอดผ้าห่มขาว ออกทันทีตั้งแต่คำพูดโอ้อวดคำแรกเลยทีเดียว ..นี่กล่าวตามหลักพระวินัย นักบวชในพระพุทธศาสนา........แต่สำรับแม่ชีจันทร์คนนี้ ยังได้รับการรับรอง ชื่นชมยินดี และการสักการะบูชาอย่างสูงจาก พระธัมมชโย ไปอย่างครูบาอาจารย์ด้วยซ้ำ ........ และในที่สุดธัมมชโย ก็ลอกกากวิชาโอ้อวดอุตริมนุสธรรมต่อมา จนถึงวันนี้ ..... จนถึงเข้าข่ายปาราชิกไปแล้ว ทั้งครูอาจารย์...นางชี และลูกศิษย์ พระธัมมชโย ........ อันควรที่ชาวพุทธไทยจะได้เข้าใจ ว่าเป็นเรื่องทางพระวินัย ล้วน ๆ และ มีโทษถึงระดับ ปาราชิก ไปทั้งครู และ ศิษย์
จากพระปาฏิโมกข์ครับ
ปาราชิกุทเทส
(ปาราชิก ๔)
อาบัติทั้งหลายชื่อว่าปาราชิก ๔ เหล่านี้ ย่อมมาสู่อุทเทสในปาฏิโมกข์นั้น.
๑. อนึ่ง ภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาธรรมเนียมเลี้ยงชีพร่วมกัน ของภิกษุทั้งหลายยังไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอย กำลัง (คือความท้อแท้ ) พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุนี้เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส (คือธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุอื่น)
๒. อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ เป็นส่วนโจรกรรม จากบ้านก็ดีจากป่าก็ดีพระราชาจับโจรได้แล้ว ฆ่าเสียบ้าง จำขังไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยปรับโทษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นคนขโมย ดังนี้ เพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
๓. อนึ่ง ภิกษุใดแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตหรือแสวงหาศัสตราอันจะนำ (ชีวิต) เสียให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตายหรือชักชวนเพื่อความตายด้วยคำว่า "แน่ะ นายผู้เป็นชาย มีประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยชีวิตอันชั่วนี้ ท่านตายเสียดีกว่าเป็นอยู่" ดังนี้เธอมีจิตใจ มีจิตดำริอย่างนี้ พรรณนาคุณแห่งความตายก็ดี ชักชวนเพื่อความตายก็ดี โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
๔. อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะ (คือไม่รู้จริง) กล่าวอวดอุตตริ มนุสสธัมม์ อันเป็น ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่น แต่นั้น อันผู้ใด ผู้หนึ่ง เชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด (คือพ้นโทษ) จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า "แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้ ได้กล่าวว่า รู้ ไม่เห็นได้กล่าวว่าเห็นได้พูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่าๆ" เว้นไว้แต่ว่าสำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
ท่านทั้งหลาย อาบัติปาราชิก ๔ อันข้าพเจ้าได้แสดงขึ้นแล้วแล. ภิกษุต้องอาบัติเหล่าไรเล่า อันใดอันหนึ่งแล้วย่อมไม่ได้สังวาสกับด้วยภิกษุทั้งหลายเหมือนอย่างแต่ก่อน เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาสข้าพเจ้าถามท่านทั้งหลาย ในข้อเหล่านั้นท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๒ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถาม แม้ครั้งที่ ๓ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ?ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์ในข้อเหล่านี้แล้วเหตุนั้น จึงนิ่ง. ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
ปาราชิกุทเทส จบ.
จะขอเพิ่มเติมไปอีกหน่อยนะครับ ในเรื่องภิกขุปาติโมกข์(กฎหมายพระ) ท่านอาจจะไม่เข้าใจในสำนวนภาษาที่เป็นประเด็นสำคัญนะครับ เช่นคำว่า หาสังวาสมิได้ ....มีความหมายที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูก ทั้งทางด้านภาษา และด้านธรรมปฏิบัติ ทางด้านภาษา เนื่องจากเป็นการแปลมาจากภาษามคธ(บาลี) มาเป็นภาษาไทย สำนวนการแปลจึงอาจจะฟังไม่ค่อยเข้าใจทางภาษาไทย ก็ได้ ...จึงมีการแปลหลายสำนวนครับ ...อย่างไรก็ตาม คำว่า หาสังวาสมิได้นี้ เป็นประเด็นหลัก ในการทำความเข้าใจทางภาษา ก็ต้องเข้าใจว่า หมายถึง การคบหาสมาคม เมื่อมีภิกษุ ต้องอาบัติ ปาราชิก 4 ข้อใดข้อหนึ่ง ก็เป็นอันว่าหมู่ภิกษุผู้บริสุทธิตามธรรมวินัย เลิกคบหาสมาคมกับภิกษุรูปนั้นไปเลย ไม่ยอมให้ภิกษุผู้ต้องปาราชิกมาคบหา........หรือ ภิกษุณีมีมากกว่าไปอีกรวมเป็น 8 ข้อ เป็นปาราชิก ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ก็เลิกคบหาสมาคมกันไปเลย ไม่ยอมให้มาคบหาสมาคมด้วย ตัดออกไปจากหมู่เลย.............นี้คือบทบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ปาติโมกข์ ครับ
ในกรณีแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง ก็ถือเป็นนักบวช ระดับแม่ชี ศีล8 ก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายสงฆ์ ครุกาบัติ 8 ข้อเช่นเดียวกับภิกษุณี เช่นเดียวกัน เมื่อต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่งใน8ข้อในภิกขุณีปาติโมกข์ แล้ว ก็หาสังวาสมิได้เช่นกัน คือห้ามไปคบหาสมาคมกับนักบวชอื่น แม่ชีอื่น ภิกษุอื่น ........และไม่ให้นักบวชอื่น แม่ชีอื่น ภิกษุณี ภิกษุอื่น ไปคบหาสมาคมด้วยต่อไป ..........ก็ตามที่บัญญัติไว้ใน ปาราชิกทุกข้อแหละครับ ............ แต่แม่ชีจันทร์ นี้ เมื่อกระทำผิด ครุกาบัติ ขั้นปาราชิกแล้ว ไม่ยอมถอดผ้าห่มขาว ไปเป็น สมี ตามคำสั่งภิกขุณีปาติโมกข์ ....แล้วพระธัมมชโย ทัตชีโว แทนที่จะสั่งให้ถอดผ้าแม่ชีไป(เพราะพระผู้มีศีล 227ข้อ ย่อมอยู่ในฐานะผู้ปกครองแม่ชีศีล8ข้ออยู่โดยอัตโนมัติ) และห้ามการคบหาสมาคมตามพระบาลีว่าไว้ กลับยกย่อง ว่าเก่งจริง มีอภินิหารจริง ปัดลูกระเบิดได้จริง เป็นหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน(ซึ่งมีความหมายไปสูงสุดว่า สำเร็จวิชาธรรมกายระดับสุด ก็ให้คนมองในนัยะว่า สำเร็จอรหันต์ นั่นเอง) จนคนเลื่อมใสไปอย่างผิด ๆ ทั้งแผ่นดิน สร้างวัดธรรมกายขึ้นมาอย่างใหญ่โตได้ แล้วลูกศิษย์คือ ธัมมชโย ก็ลอกกาก การอวดอุตริมนุสธรรม ไปแสวงหาความเลื่อมใสศรัทธาไปอย่างมโหฬารยิ่งใหญ่ กลายเป็นพุทธพาณิชที่สร้างความร่ำรวยให้อย่างมหาศาลไป............. นี่ก็เห็นอย่างชัดเจนว่า ปาราชิก เช่นกันทั้งแม่ชีผู้เป็นครูอาจารย์ และลูกศิษย์ ผู้เป็นภิกขุ มีศีล 227 ข้อ
ทีนี้ก็เหลิง หลงตัวไปแสวงหาเงินทองอย่างใหญ่โตมโหฬาร แล้วก็ไปผิดทางกฎหมายบ้านเมืองเขาเข้า ......... คุณอาจจะไม่รู้กฎหมาย แต่กฎหมายทั่วโลกเขาบัญญัติไว้ว่า รู้กฎหมายหรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อคุณทำผิดคุณก็ต้องถูกดำเนินคดี.
...การอ้างว่าทำผิดเพราะไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติการกระทำนั้นเป็นความผิด จะกระทำมิได้ ...........กรณีธัมมชโยและลูกศิษย์ธัมมชโย ก็คือ โง่เรื่องกฎหมายบ้านเมือง จึงปฏิเสธตลอดว่าตนไม่รู้กฎหมาย ..........แต่หลักกฎหมายทั่วโลกก็คืออย่างที่ว่า รู้หรือไม่รู้ก็ตามหากทำผิดตามที่กฎหมายบัญญัติแล้วต้องถูกตำรวจเขาเอาไปดำเนินคดีทั้งนั้น กฎหมายบ้านเมืองจึงมาเกี่ยวกับธัมมชโยเข้าไปอีก ถึงล่าสุด 350 คดีเข้าไปแล้ว เป็นอีกระดับหนึ่ง ก็ยากที่จะรอด สำหรับ สมีคนนี้ครับ
Phayap Panyatharo
คราวที่พระนางปชาบดีโคตมี พระน้านางที่ทรงเลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะ ออกจากวังไปขอบวชเป็นภิษุณีจาก พระพุทธเจ้าสิทธัตถะนั้น พระองค์ถามว่าจะรับครุกรรม 8 ประการได้หรือไม่ ทรงรับว่าได้ จึงเป็นภิกษุนีองค์แรกในศาสนาพุทธ ซึ่งต้องปฏิบัติเงื่อนไขเข้มงวดถึง 8 ประการ ดังนี้ครับ ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘
( ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ )
ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด ๘ ประการ ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
๑. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
๒. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
๓. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
๕. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
๖. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น *สิกขามานา เต็มแล้วสองปี
๗. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
๘. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด
แล้วแม่ชีจันทร์ ขนนกยูงเป็นชีอะไร ตั้งตนเป็นครูพระ ? แล้วพระอะไร ซือบือ ขนาดนั้น ยอมเป็นลูกศิษย์แม่ชีอวดอุตริมนุสธรรม และทำตามแม่ชีอาจารย์ไป อวดอุตริมนุสสธรรม จนปราราชิก คิดดูเถอะ ก็จะรู้อะไรถูกอะไรผิดเอง ไม่ต้องเชื่อใคร
Phayap Panyatharo
ลูกศิษย์ ๆชื่นชมกันว่า เป็น คุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็น คุณยาย สุดยอด มหาปูชนียาจารย์ .........แต่แท้จริง เป็นสมี เพศหญิง หนึ่งในพุทธมณฑล ไปเลย .......... เห็นแล้วยังครับ (อันนี้ ตามมาตรฐานพุทธศาสนา หรือ พระธรรมของพระพุทธเจ้า นะครับ....หาสังวาสมิได้) ... ก็ยังชมกันต่อไป อย่างเป็นหลักฐานสำหรับการลงโทษสูงสุดระดับประหารชีวิต ปาราชิก ๔ ภิกขุ และ ภิกขุณีปาติโมกข์ ว่า "บางครั้งคุณยายได้เมตตาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง เรื่องที่ข้าพเจ้ามักได้ฟังบ่อย ๆ คือเรื่องไปช่วยพ่อ เรื่องปัดลูกระเบิด เรื่องการสร้างวัด เรื่องหลวงพ่อทั้ง 2 รูป ฯลฯ ดูท่านมีความสุขและไม่เคยเบื่อที่จะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเราฟังเลย เวลาท่านเล่าเรื่องไปช่วยพ่อ เรื่องปัดลูกระเบิด ทั้งน้ำเสียง คำพูดและการแสดงความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ข้าพเจ้านึกมองเห็นภาพ เหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ กับท่าน ในการเล่าเรื่องของคุณยายแต่ละครั้ง คำพูดของท่านทุกคำพูดจะตรงเหมือนเดิมตลอดไปไม่ผิดเพี้ยน แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรคำพูดนั้นก็ตรงคำเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรคำพูดนั้นก็ตรงคำเดิมเหมือนอัดเทปเอาไว้ คำจริงพูดเมื่อไรก็จริงเมื่อนั้น พูดเมื่อไรก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง"......"หากไม่มีคุณยาย ก็ไม่มีหลวงพ่อ ไม่มีวัดพระธรรมกาย ไม่มีพวกเรา ที่สร้างความดี อย่างมีความสุขจนทุกวันนี้ ตุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง.....ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย"..........
จาก อยู่กับยาย 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545
Phayap Panyatharo
ครับ แม่ชี สมี แกยังเพ้อเจ้ออยู่กับเรื่อง ปัดลูกระเบิดปรมาณูจากไทย ไปตกประเทศญี่ปุ่น ....... จนลูกศิษย์ว่า แกพูดความจริง แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรคำพูดนั้นก็ตรงคำเดิมเหมือนอัดเทปเอาไว้ คำจริงพูดเมื่อไรก็จริงเมื่อนั้น ........... ซึ่งการอวดอ้างอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ อวดอ้างไปโดยไม่เป็นความจริง และเป็นการโกหกอย่างเรียบง่าย ไร้ความละอายใจจริง ๆ ....ก็ต้องปาราชิกข้อที่ 4 ต้องออกจากพุทธศาสนาไปทันที และ เป็น สมี นี่ต่างหากล่ะ ท่านทั้งหลาย โปรดตรึกตรองดูตามพระธัมวินัยเสียที
Phayap Panyatharo
แล้วจากนี้ ก็จะเข้าสู่ประเด็นสากล ก็จะมีคำถามของคนยุคใหม่ขึ้นมาว่า พระธรรมวินัยในพุทธศาสนาว่ากดขี่สตรี อย่างน้อยก็ไม่ให้ความเสมอภาคในสิทธิของมนุษยชน ซึ่งเห็นได้จากโทษระดับปาราชิก(โทษประหาร) พระภิษุมี 4 ข้อเท่านั้น แต่ภิกษุณีมีถึง 8 ข้อ(ทำผิดข้อใดข้อหนึ่งใน 8 ข้อ หรือหลายข้อก็ต้องถูกไล่ออกจากพุทธศาสนาทันที) แล้วยังต้องอยู่ในครุธรรม 8 ประการ ที่ห้ามแม้กระทั่งภิกษุณี อรหันต์ ไม่ให้สอนพระภิกษุ ไม่ให้ด่าว่าค่อนแคะภิกษุก็ไม่ได้ ต้องอยู่อย่างสงบเงียบ ไร้บทบาทเลย นั้นหรืออย่างไร.......ซึ่งเราต้องมองในประเด็นของคำถาม ว่าคำถามนี้เป็นเรื่องของการเมือง ซึ่งในประเด็นของการเมือง ศาสนาพุทธก็คงมองคนชาย หญิงเสมอกันอยู่ ในความเป็นมนุษย์ .... แต่นี่เป็นประเด็นของศาสนา เป็นเรื่องศาสนา และเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ (ไม่ใช่ศาสนาคริสต์ หรือศาสนาอิสลาม) ซึ่งมีเป้าหมายเฉพาะของศาสนาพุทธ ของพุทธองค์ ที่ทรงนำแม้บุรุษ สตรี ที่เข้าบวชในศาสนานี้ ไปสู่ความเป็นอรหันต์ และการที่จะสำเร็จความเป็นอรหันต์นั้นจะต้องเอาชนะกิเลส โดยเฉพาะกิเลสกามให้ได้ ฉะนั้น การที่ทรงบัญญัติ ภิกขุณีปาติโมกข์ 311 ข้อ(โทษปาราชิก 8 ข้อ) และทั้งมีคุรุธรรม 8 ประการนั้น ก็โดยประสงค์ให้ระบบพุทธนี้ ตัดขาดไปอย่างสิ้นเชิงจากกามราคะ นั่นเอง จึงไม่ทรงให้ภิกษุณี(หรือยุคนี้มีแม่ชีเยอะแม่ชีก็ต้องปฏิบัติตามภิกขุณีปาติโมกข์ 311 ข้อและครุธรรม8ประการให้ครบถ้วนเช่นกัน) หากไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่า ภิกษุณี แม่ชี กลายเป็นแหล่งเพาะกามกิเลสออกไป และทำลายพุทธศาสนาไปเลย ฉะนั้น แม้ว่าสำเร็จอรหันต์แล้ว ภิกษุณี หรือแม่ชี ก็ยังคงต้องอยู่ในหลักภิกษุณีปาติโมกข์ 311 ข้อ และ ครุธรรม 8 ประการไปตลอดชีวิต.....
ถูกใจ · ตอบกลับ · 22 มีนาคม เวลา 13:27 น.
Phayap Panyatharo
ภาพนี้เป็นภาพเผยแพร่เชื้อกิเลสกาม เป็นมารในเส้นทางสู่ความเป็นพระอรหันต์ มิต่างจากภาพนางมาร 3 ตน ในคืนที่พุทธองค์สิทธัตถะ สำเร็จพุทธญาณ ตรัสรู้
Phayap Panyatharo
ภาพด้านล่างนี้ มีประเด็นคือ ออกข่าวกันว่าจะสวดพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กันถึง 30 ล้านรอบ คงเพ้อเจ้อไปกันอีก เพราะสวด 30 ล้านรอบพระสูตรบทนี้ ต้องใช้เวลาถึง 1,065 ปี ตายแล้วเกิดไปอีกกี่ชาติล่ะ เพัอเจ้อไปได้ แต่ในประเด็นการปฏิบัติธรรม ที่รวมเอาคนทั้งชาย และหญิง (คงไม่สมคุยว่าแสนคนหรอก เพ้อเจ้อไปอีกนั้น) นั้น มันเป็นการประมาทในกิเลสกามเกินไป ที่ถูกไม่ควรจัดให้นั่งใกล้กันเช่นนี้ ควรจะแยกไปเลย ให้สตรีไปอยู่ต่างหากเฉพาะสตรี บุรุษไปอยู่อีกต่างหากเฉพาะบุรุษ อย่าให้ใกล้ หรือปนกันเช่นนี้ อย่าให้ได้อายกลิ่นกัน .....ควบคุมไม่อยู่หรอก เชื่อเถอะ ก็อย่างที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ โคราชเราเคยพูดแหละว่า ...เดี๋ยวมันก็มุดมุ้งกันเท่านั้นเอง ......และก็เคยมีตัวอย่างมามากหลายครั้ง หลายแห่งแล้ว ในต่างจังหวัด ที่มีเกจิอาจารย์เก๊ ๆ จัดนัดปฏิบัติธรรมกัน นุ่งขาวห่มขาวมาเวียนเทียน สวดมนต์ นั่งสมาธิกัน วันมาฆะบูชา บ้าง วัน วิสาขบูชาบ้าง นับพัน ๆ คน แล้วปฏิบัติธรรมกันทั้งคืน ก็อยู่กันทั้งคืนแหละ ในวัดป่าเสียด้วย พอรุ่งเช้าก็ปรากฎหลักฐานต่าง ๆ ของการนัดกันไปเสพกามกันใต้ต้นไม้ เยอะแยะไปหมดด้วยถุงยางอนามัย เช่นนี้มีแน่ ๆ ไม่ว่าที่ไหน หากนัดกันมาเป็นพัน เป็นหมื่น แล้วรวมกัน ไม่แยกเพศออกไป เช่นนี้...........ซึ่งมันไม่ถูกหลักธรรมปฏิบัติเพื่อมรรคผล เพื่อการคลายไปจากกิเลส อย่างไรล่ะ ทางธรรมกาย ที่มีเนื้อที่เยอะ ไม่น่าจะเสี่ยง ควรแยกไปเลย ให้สตรีไปอยู่ป่าหนึ่ง บุรุษไปอยู่อีกป่าหนึ่งไปเลย หรืออย่างน้อยก็ให้อยู่คนละทิศไปเลยก็น่าจะจัดการไปให้ถูก ........แต่นี่แหละ จะสวดมนต์กัน 30 ล้านรอบ เพ้อเจ้อไป ไม่คำนวณดูว่า 30 ล้านรอบ มันต้อง 1,065 ปีแน่ะ อยู่อย่างนี้ไม่ถึง 10 วันหรอก มีคนท้องโตเยอะแน่ แล้วเช่นนี้ มันได้ผลทางธรรมะอย่างไรล่ะ ก็ได้แต่ภาพการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกเศรษฐีหน้าโง่ ๆ ไปเท่านั้นเอง
ถูกใจ · ตอบกลับ · 22 มีนาคม เวลา 21:15 น.
Phayap Panyatharo
27 มีนาคม 2560 เวลา 6:25 น. ·
ถ้าไม่ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ทำพระธรรมวินัย ให้เป็นพระธรรมวินัย ประเทศและศาสนาพุทธก็เสื่อม และสังคมก็ไร้หลักการไปเรื่อย ๆ ..... มีข้อสังเกตเบื้องต้นก็คือ ฝ่ายไทยพลเรือน รัฐบาลพลเรือนเรา ค่อนข้างอ่อน เละเทะในเรื่องกฎหมายไม่เป็นกฎหมายนี่เอง พลเรือนไทยเป็นหน่วยงานที่ไม่เข้าใจคำว่า วินัย ไม่มีวินัย ระเบียบ ในวงการนี้เลย และเมื่อเป็นอิสระภาพ ก็ไม่เหมือนอิสรภาพตามหลักประชาธิปไตยเขา มีแต่อิสระแบบตามใจตัวเองไปสุด ๆ และไม่เข้าใจศาสนาเลย และวงการศาสนาเองก็เละเทะ ไม่เข้าใจพระธรรมวินัยไปอย่างสุด ๆอยู่ทุกวันนี้ แต่ฝ่ายทหาร ที่เนื่องจากสอนกัน ฝึกกันอย่างติดปากในอุดมการ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเรื่องศาสนา มีทหารเท่านั้นที่ทำให้เกิดการชำระ การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปไป เช่นการออกกฎหมายสงฆ์....ก็เริ่มมาจากจอมพลแปลก มาจอมพลสฤษดิ์ ไม่เคยมีรัฐบาลพลเรือนสนใจเลย มาวันนี้ก็มีรัฐบาลทหาร คสช.ชุดนี้ที่เอาใจใส่ต่อ ศาสนา ดีซึ่งนับเป็นสิ่งที่ถูก เนื่องจากศาสนาเป็นเสาก้อนหนึ่งในสามก้อนของไทย และเมื่อมีอำนาจ ก็ควรจะใช้อำนาจไปอย่างเป็นคุณประโยชน์และถูกต้อง นั่นคือการชำระสิ่งที่ชั่วร้าย เหลวแหลกออกไปให้เกลี้ยง จึงจะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นมาได้ ครับ
Phayap Panyatharo
แม่ชีปาราชิก แต่ยกย่องกันเป็นถึง มหาปูชนียาจารย์ นู้น ...ก็เพราะโฆษณาไป ได้เงินนั่นเอง เรียกว่า วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่ง นี่คือการโกหกอย่างมีเจตนาเลยทีเดียว.....แต่ ผิดไปจากคำตักเตือน คำบอกคำสอนขององค์พระศาสดา ..... ก็ไม่ใช่เสันทางไปสู่มรรคสู่ผล แต่อย่างได ก็ไปผิดทาง อย่างไรครับ ลงนรกไปเลย รู้แล้วก็ไล่ไปจากหมู่กลุ่มเสีย
Phayap Panyatharo
30 มีนาคม เวลา 2560 6:49 น. ·
กรณีธรรมกาย ธัมมชโย นี้ จะต้องมองอดีตกาลไปไกลสักหน่อย แล้วจะเข้าใจนะครับ แม้อดีตใกล้ ๆ ก็พอจะให้สติปัญญาแก่เราได้ คือหากธรรมกายเติบโตไปได้ มีอยู่ เป็นอยู่แบบที่เป็นมาตามลำดับแล้วนั้น อีกหน่อยก็จะมีวัดวาอารามในประเทศไทยอวดอุตริมนุสธรรมกันไปตาม ๆ กัน เพราะเหตุที่การอวดอภินิหารต่าง ๆ เช่นธัมมชโยอวดไปพบสตีฟ จ๊อบ ในสวรรค์ ไปพบพระพุทธเจ้า และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพุทธเจ้า อวดว่าสามารถนำคนไปสวรรค์ไปหาเทพเจ้าที่จะบันดาลความมั่งมีร่ำรวยให้ และแม้ขณะนี้ ก็มีลูกศิษย์โอ้อวดให้ ที่ว่าตำรวจจับธัมมชโยไม่ได้ ก็เพราะธัมมชโย ขึ้นไปอยู่สวรรค์ ไปหาก็หาไม่เจอแน่ .......ล่าสุดคนที่อวดอุตตริมนุสธรรมอย่างแรงก็คือ กรณีเณรคำ อย่างไรล่ะ อวดว่าตนบรรลุอรหันต์ที่ภูกลางป่าใหญ่ เมื่อโอ้อวดไป อวดอภินิหารย์ไปอย่างนี้แล้ว คนก็แตกตื่น ไปบูชา เอาเงินไปทำบุญกันใหญ่ ทางธรรมกายก็เริ่มมาแต่แม่ชีอาจารย์ของธัมมชโย นั้นเอง อวดปัดระเบิดปรมาณู ยุคสงครามโลกครั้งที่2 ที่อเมริกาทิ้งลงมาใส่กรุงเทพ สงสารประเทศไทยก็แสดงอภินิหาร ปัดลูกระเบิดไปตกประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นตายไปนับแสนคน ........แล้วก็รวย สร้างวัดพระธรรมกายได้ใหญ่โตมโฬาร แล้วลูกศิษย์คือ พระธัมมชโย(ซึ่งเป็นถึงพระทรงสมณศักดิ์ พระเทพญาณมหามุนี ภิกขุผู้อยู่ในศีล 227 ข้อ) ยกเป็นมหาปูชนียาจารย์...ก็รวยครับ แต่ท่านจะเห็นว่า วัดอื่น ๆ ก็จะเอาเป็นตัวอย่าง อวดอุตริหาเงินไปตาม ๆ กัน ในที่สุด แต่ละวัดก็จะงัดของดี ๆ อภินิหารของตนออกหลอกลวงหาเงินจากประชาชนไทยและทั่วโลก........กลายเป็นศาสนาแบบใหม่ (ที่ไม่ใช่พุทธศาสนาเสียแล้ว) ก็มองไปที่ประเทศจีนสิครับ ทำไมเหมาเจ๋อตุง จึงปฏิวัติประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์ และด้านวัฒนธรรมก็มีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ในขณะนั้นก็ปฏิวัติศาสนาเจ้า ผี เทวดา หรือที่จริงก็พุทธศาสนา(มหายาน)แบบธัมมชโยพาทำไปนี่แหละ แต่จีนทำไปนานจนกระทั่งแต่ละวัดจีน หรือทุกวัดเลยขณะนั้น มีแต่การโอ้อวดอภินิหารแข่งกันหลอกลวงประชาชนเพื่อลาภผลสักการะแข่งกันไปทั้งประเทศจีน เหมือนกรณีธรรมกายนี่เอง มีศาลเจ้า แต่ละศาลเจ้าก็อ้างอภินิหารย์ว่าขึ้นไปถึงสวรรค์ พบเทพเจ้าชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เทพเจ้าองค์นั้นแหละมาประจำที่ศาลเจ้าของตน ...ซึ่งเหมา เจ๋อ ตุง เมื่อได้อำนาจแล้วก็รวมพลใหญ่ เคลื่อนพลไปเรื่อย ๆ ไปถึงวัดไหนก็เอาพระสงฆ์ในวัดออกมา เจาะร้อยน่อง เรียงกันออกไปท้องไร่ท้องนา ให้พระทำไร่ทำนา เหมือนคนธรรมดา ๆ เลิกการศาสนาในประเทศจีนมาจนถึงทุกวันนี้ ....... หากประเทศไทยปล่อยธรรมกายทำไปเรื่อย ๆ ผลที่จะเกิดก็คือ วัดอื่น ๆ ก็จะทำตาม อวดอภินิหาริย์กันไปตาม ๆ กัน ไม่ยอมกัน แล้ววัดก็จะผิดกัน มีต่อยตีกันระหว่างวัด เช่นในประเทศจีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมไปเลย .......แล้วไทยเราจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมีประชาชนผู้มีสติปัญญา ที่รู้พระธรรมวินัยจริง ๆ แม้กระทั่งพระวินัยข้อต้น ๆ คือ ปาราชิก 4 นี้คนไทยก็เข้าใจกันดี ........ จึงเข้าใจและบัดนี้ก็ค่อยเข้าใจดีไปเรื่อย ๆ ........และไม่น่าที่จะเดินไปแบบเหตุการณ์ในประเทศจีน ก่อนเป็นคอมมิวนิสต์ ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุง ครับ
Phayap Panyatharo
ในคราวที่เหมาเจ๋อตุงปฏิวัติวัฒนธรรม เจียงไคเชค ได้หนีไปเกาะใต้หวัน พร้อมพวกวัฒนธรรมเก่า คือพวกศาลเจ้าจีน นั่นแหละ ..... แล้วพวกศาลเจ้าจีนเดิม ๆ ที่โอ้อวดว่าเก่งไปถึงสวรรค์ เชิญเทพเจ้าสวรรค์มาโปรดมนุษย์ได้ที่ศาลเจ้าของตน นี้ก็เลยมาถึงเมืองไทย .........และอยู่ในไทย โอัอวดอุตริ ต่อไปได้ในไทย อาศัยรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ให้ไทยยอมรับเรื่องความเชื่อของคนได้ทุกชนิด (เช่น ม.38 รธน.2540 ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา ย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน........ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้ความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใด ๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา....." .....ประกอบกับลัทธินิยมศาสนา ที่รัฐธรรมนูญเรารับรองนี้ ไม่มีพระธรรมวินัยพุทธ(โดยเฉพาะปาราชิก 4 ...โอ้อวดมนุษยธรรม เหมือนภิกษุสงฆ์ในไทย) พวกลัทธินิกาย อย่างที่เหมาเจ๋อตุงล่าล้างไปหมดในจีน จึงมาทำต่อได้ในเมืองไทย และเราก็จะเห็นว่า พวกศาลเจ้าจีน ...รวมทั้งลัทธินิยมเทพเจ้าในไทย ร่ำรวยกันมากโดยเฉพาะที่มีการอวดอุตตริมนุษย์ธรรมอย่างแรง ที่ทางสงฆ์ไทย พุทธไทยทำไม่ได้ .......ซึ่งธรรมกายก็อาจจะได้ความคิดนี้เองมาจัดทำ มาโอ้อวดหาเงินหาทองอย่างเขา ...แต่นั่นแหละ เมื่อเป็นพุทธแท้ ย่อมผิดพระวินัย และย่อมเป็นไปตามพระวินัย คือรับโทษตามพระวินัย ถ้าครุกาบัติ ปาราชิก 4 ก็สิ้นสภาพความเป็นภิกษุลงโดยอัตโนมัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ห้ามการสมานสังวาสกับภิกษุอื่นไปโดยสิ้นเชิง อันนี้ เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาโดยตรง ถ้าใครไม่เชื่อคำสั่งพระศาสดา ก็ไม่ใช่สาวกพระศาสดา ก็มีเหตุผลกันชัด ๆ อยู่อย่างนี้
Phayap Panyatharo
และเพราะฉะนั้น ทางฝ่ายบ้านเมือง จะต้องมองความเป็นธรรม ในประเด็นศาสนาสากล ที่ว่า ทุกศาสนา ทุกลัทธิความเชื่อในไทย ก็ต้องมีข้อห้ามอย่างเดียวกันด้วย เช่น การอวดอุตตริมนุสธรรม อย่างศาลเจ้าจีน ว่าเชิญเทพเจ้ากวนอู ลงมาประจำที่ศาลของตน .... หรือ พาขึ้นสวรรค์ไปบูชา ขอพรเทพเจ้าองค์นั้นองค์นี้ หรือทางฝ่ายซิกส์ ฮินดู ว่ามีพระเจ้าองค์ใหม่ คือไสยบาบา มาเกิดที่อินเดียแล้ว ซึ่งลัทธิอวดอุตริมนุสธรรมนี้เองที่ถูกกวาดล้างไปอย่างเกลี้ยงในยุคจีนเหมาเจ๋อตุง ที่เล่ามา เป็นต้นนั้น ทางไทยก็จะต้องมีกฎหมายไปควบคุม พอ ๆ กับมีพระวินัยในพุทธศาสนาควบคุมภิกษสงฆ์ในประเทศของตนด้วย จึงจะเกิดความเป็นธรรมขึ้นในหมู่นักบวชและประชาชนผู้ให้การนับถือศาสนาและลัทธินิกายแห่งความเชื่อของตน ๆ และที่สำคัญ เพื่อให้ศาสนาอริยะคือพุทธศาสนาเดินหน้าไปได้ และให้โลกได้รู้ความจริงของพุทธศาสนา(ไม่ใช่ให้รู้ความเท็จจากผู้หลงผิด ผู้ยังไม่บรรลุ ยังไม่ผ่านพ้น อวิชชา ไปได้)
Phayap Panyatharo
ในประเด็นของรัฐ ที่ต้องมองศาสนาและวัฒนธรรมสากลให้เสมอภาคกันทุกลัทธินิกายศาสนาในไทย นั้น ก็ต้องมองศาสนาอิสลามในไทยอย่างจริงจังด้วย ที่ควรเข้าใจก็คือ ศาสนาอิสลามเขาถือว่าเขามีกฎหมายสูงสุดคือพระมหาคัมภีร์อัลกูรอาน เป็นกฎหมายที่ไม่ใช่สูงสุดในประเทศอิสลามเท่านั้น แต่สูงสุดทั้งโลก ซึ่งนั่นเป็นบทบัญญัติในพระคัมภีร์เขา จึงทำให้มุสลิมฆ่าคนได้ หากมีเหตุมีผลตามที่พระคัมภีร์สั่งไว้ ฉะนั้น เมื่อโจรก่อการร้ายในไทยฆ่าชาวพุทธไทย หรือฆ่าคนอื่นใด เขาก็ไม่ฟังกฎหมายไทย หรือไม่ฟังกฎหมายประเทศไหนทั้งสิ้น แต่ฟังคำสั่งในพระมหาคัมภีรอัลกูรอาน ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของพวกเขา ฉะนั้น เมื่อโจรมุสลิม ที่มักอ้างในประเทศไทยเป็นประจำว่า ทางรัฐบาลไทยต้องฟังมุสลิมใต้ในประเด็นวัฒนธรรมอิสลามด้วย จะบริหารเรื่องใดในสามจังหวัด ต้องให้สอดคล้องวัฒนธรรมอิสลาม นั้น หลักการเราก็คือเราเป็นประเทศเอกราช อิสรภาพ มีอธิปไตยตนเองเต็มสมบูรณ์มานานนับพันปีแล้ว ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายแล้ว มุสลิมต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ไม่ใช่ไปปฏิบัติตามพระมหาคัมภีร์อัลกูรอาน เช่นในการฆ่าคน ที่มีลักษณะ 3-4 อย่างตามพระมหาคัมภีร์อัลกูรอานสั่งไว้ นั่นคือ ฆ่าผู้ทรยศ ฆ่าพวกนอกศาสนาอิสลาม ฆ่าชาวคริสต์ และฆ่าชาวยิว(อิสราเอล) แล้วไม่ผิด กลับจะได้รับรางวัลจากอัลเลาะห์เสียอีก นั้น โลกเขาไม่ยอมแล้ว ฉะนั้นประเทศไทยก็จะยอมให้แบบนี้ไม่ได้ ต้องเอามาลงโทษตามกฎหมายไทย และนี่แหละที่มุสลิมไทยควรจะต้องเข้าใจ ว่าตนเป็นคนไทยคนหนึ่ง ต้องเคารพกฎหมายไทยเป็นกฎหมายสูงสุด และต้องวางพระมหาคัมภีร์อัลกูรอานในส่วนที่ให้กระทำไปอย่างสุดโต่งเช่นนี้ลง จึงจะอยู่ร่วมกันในแผ่นดินไทย และแผ่นดินโลกได้ และในมัสยิด ก็เช่นเดียวกัน จะโอ้อวดอุตตริมนุสสธรรม เพื่อหลอกลวงประชาชนหาลาภผล ก็ต้องเป็นไปไม่ได้เช่นกัน และต้องเป็นเช่นนั้นไม่ได้เช่นกันทุกศาสนา ทุกวัด ทุกอาราม ทุกมัสยิด และทุกนักบวช ในประเทศไทย........ในทางการเมือง นี่คือ คำว่า เสมอภาคไงครับ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ ตามหลักการเมืองยุคใหม่ คือประชาธิปไตย
28 มีนาคม 2560
Phayap Panyatharo ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 4 ภาพ
1 เมษายน เวลา 19:31 น. ·
กรณีธัมมชโย
การพิจารณา กรณีธัมมชโย เราควรจะได้ย้อนกลับไปดู กรณียันตระ อมโร ประกอบ นะครับ ยันตระ อมโร (โดยมีเรื่องกับสตรี4-5คน นับแต่ จันทิมา มายะรังสี(มีลูกด้วยกัน1คน), อีวา คาลเดน ที่ออสเตรเลีย ว่ายันตระไปที่รถขอร่วมรักกับเธอในรถ และมี ซูซาน อีกคนหนึ่ง ที่ออสเตรเลีย โดนแบบเดียวกัน และยังมีอีกหลายคน) โดนคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11(พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม (ความผิดว่าด้วยการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย) ปรากฏว่าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วยเจ้าคณะ รองเจ้าคณะ และอื่น ๆ ของคณะสงฆ์ นครศรีธรรมราช พิจารณาผลยุติลงว่า ไต่สวนมูลฟ้อง จนได้ข้อสรุปว่าไม่มีมูลความผิด ให้ระงับ คดีลง ถอนฟ้องเสีย ..แต่กระแสมวลชนไม่ยอม.. เรื่องจึงไปถึง มหาเถรสมาคม และมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความผิดจริง เป็นปาราชิก ให้พ้นจากความเป็นภิกษุ ...ยันตระ อมโร จึงกลายเป็น จิ้งเขียว ไปหลบซ่อนอยู่เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ถึงกว่า 20 ปีหมดอายุความคดีหมิ่นประมาทแล้วกลับมาไทย....สิ่งที่ควรเข้าใจก็คือ ประเด็นเรื่อง ยันตระ อมโร นี้เป็นเรื่องของราชการสงฆ์ครับ ..........แต่กรณีธัมมชโย ไม่เกี่ยวกับราชการสงฆ์เลย ไม่เกี่ยวกับกฎหมายเลย แต่เกี่ยวกับพระธรรมวินัย หรือพระวินัย ตาม ภิกขุปาฎิโมกข์ ล้วน ๆ นั่นคือ เกี่ยวกับพระบรมศาสดาโดยตรง วินัยที่พระศาสดาว่าไว้ หากใครทำผิด ก็ย่อมได้รับผลตามพระวินัยทันที มิฉะนั้นย่อมกลายเป็นผู้ไม่เชื่อฟัง ไม่กตัญญูต่อพระศาสดา และพระพุทธศาสนา........
โดยที่ในอาบัติใหญ่-หนัก คือ ปาราชิก ข้อ 2 มีว่าอย่างนี้
“๒. อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ เป็นส่วนโจรกรรม จากบ้านก็ดีจากป่าก็ดีพระราชาจับโจรได้แล้ว ฆ่าเสียบ้าง จำขังไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยปรับโทษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นคนขโมย ดังนี้ เพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.”
เริ่มแต่การดูความจริงว่า เรื่องธัมมชโยนี้ มีสมเด็จพระญาณสังวร “สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ทรงมองดูอยู่ตลอด ในฐานะประมุขสงฆ์ โดยเป็นหน้าที่ของท่านโดยตรงอยู่แล้ว เราชาวพุทธจึงน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องธัมมชโยนี้มีท่านสมเด็จประมุขสงฆ์นี้แหละ ที่ท่านจะตามดูอย่างไม่คลาดสายตามาตลอดตามหน้าที่ของท่าน คำว่าประมุขสงฆ์ นั้นย่อมหมายถึงผู้ที่มีคุณธรรมสูง จนได้รับความเคารพ เชื่อถือ บูชา จากสงฆ์อื่น ๆ ที่ยอมรับว่าเป็นผู้นำสงฆ์ ตามหลักพระธรรมวินัย เช่นเดียวกับ เมื่อพุทธองค์เสด็จปรินิพพานลงแล้ว ก็มีพระมหากัสสปะ เป็นผู้นำ เป็นประมุขสงฆ์ และเป็นผู้ที่หมู่สงฆ์เชื่อฟัง เลื่อมใสในความดี ความเป็นพระอรหันต์ของท่าน และร่วมกันสืบสร้างพระพุทธศาสนามา โดยจะเห็นความร่วมมือของหมู่สงฆ์มาตลอด นับแต่พระมหากัสสปะนำหมู่พระอรหันต์รวบรวมคำสอนของพระบรมศาสดาที่ต่อมาเป็นพระไตรปิฏก เป็นต้น ในปัจจุบันนี้ ประมุขสงฆ์สูงสุด ก็ยังคงทำหน้าที่ประมุขสงฆ์เช่นนั้น และมีหน้าที่ตามพระวินัย อะไรที่เกี่ยวกับพระวินัย โดยเฉพาะกรณีความผิดว่าด้วยการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยย่อมเป็นประเด็นหลัก ที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 1 ที่ประมุขสงฆ์มีหน้าที่โดยตรงที่ต้องตรวจสอบ ตัดสินออกมาอยู่แล้ว และโดยพระวินัย ภิกษุทั้งหลายก็ต้องเชื่อฟังประมุขสงฆ์ (ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็เท่ากับไม่เชื่อฟังพระวินัย นั่นเอง และเท่ากับไม่เชื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และในทางโลก(ราชอาณาจักร)หรือตามที่กำหนดโดยกฎหมาย สังฆราช นั้นคือราชาในหมู่สงฆ์นั่นเอง ใครไม่เชื่อฟังหรือไปทำผิดพระวินัยเข้าก็ต้องได้รับโทษจากพระราชาอย่างเต็มตามความผิด
ในกรณีธัมมชโย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้ทรงมีลิขิตออกตามกันมาถึง 5 ฉบับ ในเดือน เมษายน ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ที่ยืนยันกันเองได้ว่า ทรงมีพระลิขิตที่มีเหตุผลทางพระวินัย ที่เขียนขึ้นอย่างสอดคล้องพระวินัย ยากที่จะมีใครปลอมทำได้ ไม่ใช่ลิขิตปลอม (ตามที่ฝ่ายธรรมกายและพวกกล่าวหา ดูหมื่นดูแคลน พระองค์รวมทั้งนางทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีขณะนั้น ที่ดูแลควบคุมสำนักงานพระพุทธศ่าสนาแห่งชาติ เป็นผู้กล่าวนำคนแรกเหยียดหยามดูหมิ่นสังฆราชไทย ว่าทำลิขิตปลอมออกมากล่าวหาคนอื่น) และถือว่า จบลงโดยพระวินัยทันที่ ที่ประมุขสงฆ์ ผู้ที่ทรงคุณธรรม เชื่อถือได้ระบุออกมาอย่างไร ซึ่งในที่นี้ ทรงระบุออกมาว่าเป็นปาราชิก ก็ เป็นปาราชิก ก็ จบ ซึ่งเหตุผลเรื่องนี้ ก็มาจากหลัก อนิยต 2 นั่นเองครับ โปรดดู อนิยต 1 ดังนี้
อนิยต
.”อิเม โข ปนายสฺมนฺโต เทฺว อนิยตา ธมฺมา อุทฺเทสํ อาคจฺฉนฺติ.
๑. โย ปน ภิกฺขุ มาตุคาเมน สทฺธิง เอโก เอกาย รโห ปฏิจฺฉนฺเน อาสเน อลํกมฺมนิเย นิสชฺชํ กปฺเปยฺย ;
ตเมนํ สทฺเธยฺยวจสา อุปาสิกา ทิสฺวา
ติณฺณํ ธมฺมานํ อญฺญตเรน วเทยฺย ปาราชิเกน วา สงฺฆาทิเสน วา ปาจิตฺติเยน วา,
นิสชฺชํ ภิกฺขุ ปฏิชานมาโน ติณฺณํ ธมฺมานํ อญฺญตเรน กาเรตพฺโพ ปาราชิเกน วา สงฺฆาทิเสน วา ปาจิตฺติเยน วา ;
เยน วา สา สทฺเธยฺยวจสา อุปาสิกา วเทยฺย, เตน โส ภิกฺขุ กาเรตพฺโพ ;
อยํ ธมฺโม อนิยโต.
ท่านทั้งหลาย ธรรมชื่อ อนิยต ๒ เหล่านี้แล ย่อมมาสู่อุทเทส.
๑.๑๘ อนึ่ง ภิกษุใดผู้เดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบัง พอจะทำการได้กับมาตุคามผู้เดียว.
อุบาสิกามีวาจาที่เชื่อได้ เห็นภิกฺษุกับมาตุคามนั้นนั่นเทียว พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ด้วยปาราชิกบ้าง ด้วยสังฆาทิเสสบ้าง ด้วยปาจิตตีย์บ้าง.
อีกอย่างหนึ่ง อุบาสิกามีวาจาที่เชื่อได้นั้นกล่าวด้วยธรรมใด ภิกษุนั้นพึงถูกปรับด้วยธรรมนั้น. ธรรมนี้ชื่อ อนิยต.”
สิ่งที่ควรเข้าใจในเรื่อง อนิยต นี้ก็คือในกรณี ภิกษุอยู่ในที่ลับตากับมาตุคาม 2 ต่อ 2 หากมี อุบาสิกา ที่มีวาจาที่เชื่อได้(หมายถึงคนดี มีคุณธรรม มีวาจาสัตย์ที่เชื่อถือได้) บอกอย่างไร ก็ให้เชื่อตามอย่างนั้นไปเลย เช่นบอกว่าเป็นปาราชิก ก็ต้องถือว่า เป็นปาราชิก บอกว่าเป็น สังฆาทิเสส ก็ต้องเป็นสังฆาทิเสส บอกว่าเป็น ปาจิตตีย์ ก็เป็นปาจิตตีย์
ฉะนั้น ในกรณี ธัมมชโย ถึงขนาดสังฆราชา บุคคลสูงสุดที่เคารพบูชาของหมู่สงฆ์และประชาชน ประมุขสงฆ์บอกว่าเป็นปาราชิก ตามอำนาจ อย่างอนิยต นี้ ก็จบ ตามพระวินัย ไม่เกี่ยวกับมหาเถรสมาคม ไม่เกี่ยวกับกฎหมายเลย หมายความว่า เมื่อพระวินัย สั่งออกไปแล้วตามพระวินัย อย่างอื่นก็ต้องหลบไปหมด ไม่อาจมาคัดค้านได้ มีแต่จะต้องปฏิบัติตามพระวินัย ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับปาราชิกนี้ก็คือ คำว่า หาสังวาส มิได้ นั่นเอง ซึ่งหมายความว่าธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้วหาสังวาสมิได้ ห้ามมีการคบหาสมาคมกับภิกษุอื่น และภิกษุอื่นก็ต้องไม่มาคบหาสมาคมกับธัมมชโย ต้องออกไปจากพุทธศาสนาอย่างเดียว โปรดดู ปาราชิก 4 ต่อไปนี้
ปาราชิกุทเทส
(ปาราชิก ๔)
อาบัติทั้งหลายชื่อว่าปาราชิก ๔ เหล่านี้ ย่อมมาสู่อุทเทสในปาฏิโมกข์นั้น.
๑. อนึ่ง ภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาธรรมเนียมเลี้ยงชีพร่วมกัน ของภิกษุทั้งหลายยังไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอย กำลัง (คือความท้อแท้ ) พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุนี้เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส (คือธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุอื่น)
๒. อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ เป็นส่วนโจรกรรม จากบ้านก็ดีจากป่าก็ดีพระราชาจับโจรได้แล้ว ฆ่าเสียบ้าง จำขังไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยปรับโทษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นคนขโมย ดังนี้ เพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
๓. อนึ่ง ภิกษุใดแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตหรือแสวงหาศัสตราอันจะนำ (ชีวิต) เสียให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตายหรือชักชวนเพื่อความตายด้วยคำว่า "แน่ะ นายผู้เป็นชาย มีประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยชีวิตอันชั่วนี้ ท่านตายเสียดีกว่าเป็นอยู่" ดังนี้เธอมีจิตใจ มีจิตดำริอย่างนี้ พรรณนาคุณแห่งความตายก็ดี ชักชวนเพื่อความตายก็ดี โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
๔. อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะ (คือไม่รู้จริง) กล่าวอวดอุตตริ มนุสสธัมม์ อันเป็น ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่น แต่นั้น อันผู้ใด ผู้หนึ่ง เชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด (คือพ้นโทษ) จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า "แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้ ได้กล่าวว่า รู้ ไม่เห็นได้กล่าวว่าเห็นได้พูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่าๆ" เว้นไว้แต่ว่าสำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
ท่านทั้งหลาย อาบัติปาราชิก ๔ อันข้าพเจ้าได้แสดงขึ้นแล้วแล. ภิกษุต้องอาบัติเหล่าไรเล่า อันใดอันหนึ่งแล้วย่อมไม่ได้สังวาสกับด้วยภิกษุทั้งหลายเหมือนอย่างแต่ก่อน เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส ข้าพเจ้าถามท่านทั้งหลาย ในข้อเหล่านั้นท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๒ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถาม แม้ครั้งที่ ๓ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ?ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์ในข้อเหล่านี้แล้วเหตุนั้น จึงนิ่ง. ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
ปาราชิกุทเทส จบ.”
สำหรับธัมมชโย โดน 2 ข้อ คือเอาทรัพย์ เงินเกิน 300 บาทไปโดยเขาไม่ได้ให้ และ ข้อ 4 อวดอุตริมนุสสธรรม ซึ่งสำหรับข้อ 2 นั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงออกมาในพระลิขิตอธิบายอย่างนี้
ฉบับที่ ๓
“ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก
ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด ทันที (5 เมษายน พ.ศ.2542)
ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
26 เมษายน พ.ศ.2542
ฉบับที่ ๔
การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม
ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม
ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น
ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน
ฉบับที่ ๕
ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
1 พฤษภาคม พ.ศ.2542
ฉบับที่ ๖
ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
10 พฤษภาคม พ.ศ.2542
มติมหาเถรสมาคม ต้นเรื่อง
แต่เกิดประเด็นต่อมาจนถึงวันนี้ก็คือ มหาเถรสมาคม และหรือ กรรมการแต่ละรูปที่เป็นมหาเถรสมาคม ไม่ได้ทำหน้าที่ของตน(ตามพระวินัย และทั้งตามระบบร่าชการสงฆ์ตามกฎหมาย) กล่าวคือไม่ได้ดำเนินการตามพระวินัย ที่ว่า หาสังวาสมิได้ (คือผู้ต้องปาราชิกแล้วห้ามภิกษุอื่นใดคบหาสมาคมต่อไป) แต่ปรากฏว่าทำให้ธรรมกายและธัมมชโยเหลิงในตัวตน มากไปกว่าเดิมอีก มีเรื่องราวสำคัญต่อมาดังนี้คือ
1.มหาเถรสมาคมได้เลื่อนสมณศักดิ์แด่ธัมมชโย ขึ้นสู่พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพญาณมหามุนี
2.ทางรัฐบาลทักษิณ ได้เบี่ยงเบนตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ไปจาก สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ไปเป็น คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นั่นคือการลดบทบาทของสมเด็จพระญาณสังวร ลงไป
3.นางทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครส่งพระบัญชาปลอมมาให้ดู[47]
จึงมีคำถามว่าทำไมจึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทั้งทางฝ่ายรัฐบาลทักษิณ และคณะสงฆ์ ในเมื่อที่ทำเช่นนี้ เป็นการผิดพระวินัย คำสั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาเถรสมาคม จึงต้องมีความผิด และ นายทักษิณ ชินวัตร และนางทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ต้องรับผิดชอบ ในเรื่องนี้ เพราะเหตุที่ไปเน้นย้ำเข้าไปในเรื่องการตัดสินใจของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงธรรม ที่ทรงสั่งการไปโดยเหตุผลทางพระวินัยโดยตรง ว่าธัมมชโยเป็นปาราชิกนั้น ลำเอียง เป็นเหตุมาจากความโมหะ เป็นพาล แกล้งให้เขาพ้นจากความเป็นภิกษุ ซึ่งจะทำให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช กลายเป็นคนชั่วโดยที่จะต้องเป็นอาบัติสังฆาทิเสส ดังนี้ครับ
“๘. โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขุง ทุฏฺโฐ
โทโส อปฺปตีโต อมูลเกน ปาราชิเกน
ธมฺเมน อนุทฺธํเสยฺย
“อปฺเปว นาม นํ อิมมฺหา
พฺรหฺมจริยา จาเวยฺยนฺติ.
ตโต อปเรน สมเยน สมนุคฺคาหิยมาโน วา อสมนุคฺคาหิยมาโน วา,
อมูลกญฺเจว ตํ อธิกรณํ โหติ,
ภิกฺขุ จ โทสํ ปติฏฺฐาติ, สงฺฆาทิเสโส.
๘. อนึ่ง ภิกษุใดขัดใจ มีโทสะ
ไม่แช่มชื่น ตามกำจัด (คือโจท) ภิกษุด้วยอาบัติ
มีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ด้วยหมายว่า
“แม้ไฉนเราจะยังเธอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้”
ครั้นสมัยอื่น แต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม
ไม่ถือเอาตามก็ตาม
แต่อธิกรณ์นั้น เป็นเรื่องหามูลมิได้
และภิกษุย่อมยันอิงโทสะ เป็นสังฆาทิเสส.”
เท่ากับหาว่าสมเด็จพระญาณสังวร ผู้ทรงธรรมสูง และทรงเป็นสังฆราช คือ ราชาในหมู่สงฆ์ ไปกล่าวหาธัมมชโยอย่างผิด ๆ ด้วยลุแก่โทสะ และตามกำจัดธัมมชโยให้ตกไปจากพรหมจรรย์ ........ นี่แหละครับ จึงแท้จริง ควรมองทางฝ่ายพระประมุขสงฆ์ด้วย ท่านสมเด็จพระญาณสังวรหรือท่านจะไม่ทราบพระวินัย โดยเฉพาะสังฆาทิเสสข้อ 8 นั้น พระองค์ ต่างหากที่ควรได้รับการชมเชย นับถือ บูชาท่านอย่างซึ้งใจ ที่ท่านกล้าตัดสินใจตรงไปตรงมาตามพระวินัย คำสั่งขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทรงหวังว่า หมู่สงฆ์ใต้ปกครองของพระองค์จะเชื่อฟัง ตามพระวินัยไปกับท่าน แต่การณ์กลับเป็นว่า มหาเถรสมาคม และทั้งหมู่ข้าราชการสงฆ์(ตั้งแต่เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด ฯลฯ) ทำตนเป็นฝ่ายตรงข้ามไปอีก โดยไปเลื่อนสมณศักดิ์แด่ธัมมชโยเป็นชั้นเทพในปีต่อมา (มหาเถรสมาคมเห็นสมีควรแก่การบูชาได้อย่างไร) เมื่อเกิดมีฝ่ายที่การขัดแย้งอย่างไร้เหตุผลทางพระวินัย และทางกฎหมายเองเช่นนี้ รัฐบาลทหาร คสช.ฝ่ายบ้านเมือง ที่เป็นฝ่ายเริ่มต้น จัดการความมดเท็จในวงการศาสนา เปิดการตรวจสอบดูแลเรื่องธัมมชโยอยู่ จึงควรเอาเรื่องมาพิจารณาแก้ข้อหย่อนในราชการสงฆ์ของระบบสงฆ์ และหมู่ราชการสงฆ์ปัจจุบันต่อไป และโดยพระวินัย ตามที่กล่าวมาก็น่าจะทำให้หมู่สงฆ์ผู้รักความป็นธรรม บูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับถือในสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระญาณสังวร รวมทั้งฝ่ายบริหารบ้านเมือง และคนทั้งหลายเกิดความเข้าใจดีว่า ธัมมชโย เป็นปาราชิกไปแล้ว มีแต่กำจัดให้พ้นไปจากผ้ากาสาวพัสตร์ อย่างเด็ดขาดเท่านั้น.
ถูกใจแสดงความรู้สึกเพิ่มเติม
แสดงความคิดเห็นแชร์
3นรากร คุ้มเนตร, เอมอร โกลละสุต และ คนสำคัญ ที่ไม่สำคัญ
แชร์ 1 ครั้ง
9 ความคิดเห็น
ความคิดเห็น
Phayap Panyatharo
ที่เราควรทราบต่อไปอีกหน่อยก็คือ ธัมมชโย โดนเป็นผู้ถูกกล่าวหาทางกฎหมายไปถึง 350 คดีเข้าไปแล้ว ....นับว่าเป็นผู้โดนข้อกล่าวหามากที่สุด ผู้ที่เคยโดนมาก ๆ คดีอย่างนี้ก็มีสนธิ ลิ้มทองกุล (เจ๊กลิ้ม) ที่เขาเองเป็นคนประกาศ แบบ ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊งที่สนามหลวง ว่าโดนเข้าไปแล้วถึง 200-300 คดี ซึ่งก็ยังเป็นรองธัมมชโยไปอีก และสำหรับเจ๊กลิ้ม วันที่ 6 ก.ย.2559 โดนศาลฎีกาพิพากษาไปแล้ว คดีทำเอกสารเท็จยืมเงินธนาคารกรุงไทย ติดคุก 20 ปี ไปแล้ว เดี๋ยวนี้อยู่ในคุก......ส่วนภาวนาพุทโธ สมีข่มขืนเด็กหญิงลูกศิษย์ตนเอง 4-5 คน(ให้แม่ชีในวัดของตนเป็นคนจัดการให้ล่อเด็กไปบำเรอตน เลยไปถึงมีการข่มขืน) ติดคุกไปหลายปีเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในคุก ส่วนจิ้งเหลนเขียว(ยันตระ อมโร)หนีไปจนอายุความหมดอายุ 20 ปี กลับมาอยู่เมืองไทยต่อไปได้สบาย
Phayap Panyatharo
ว่าโดยหลักวิชาการ ผู้ที่เป็นสุดยอดวิชาธรรมกาย ที่ได้รับนับถือว่าเป็นอาจารย์ระดับ มหาปูชนียาจารย์ ก็คือ แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง แล้วถ่ายทอดให้พระลูกศิษย์ สำเร็จไปตามก็คือ ธัมมชโย นี่เอง ที่เก่ง จนลูกศิษย์ว่าเป็นสุดยอดหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน จริง ๆ ก็คือสมีจันทร์ ถ้าเทียบวิชาธรรมกาย ระดับสูงสุดของพุทธศาสนา เหตุใดแม่ชีนี้ ไม่รู้ธรรม รู้วินัยเลย ประพฤติตนล่วงละเมิด ภิกขุนีปาฏิโมกข์ อวดอุตริมนุสสธรรมว่า ใช้อภินิหาริย์วิชาธรรมกายปัดลูกระเบิดปรมาณู ที่อเมริกาทิ้งลงกรุงเทพ ไปตกญี่ปุ่น คนไทยจึงรอดชีวิตทั้งกรุงเทพ โดยที่แม่ชีสมีนี้คุยเรื่องนี้ อย่างไม่มีความรู้สึกละอายใจตนเองเลย
ถูกใจ · ตอบกลับ · 7 เมษายน เวลา 18:43 น.
Phayap Panyatharo
และยังไม่รู้คุรุธรรม8ประการของพระบรมศาสดาสำหรับแม่ชี ภิกขุณีโดยเฉพาะอีกด้วย จึงเป็นปาราชิก ด้วยเหตุของ ภิกขุณีปาติโมกข์ข้อ 4 อวดอุตตริมุสสธรรม และ วิชานี้ก็ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ธัมมชโย ก็กลายเป็นโง่ไปตาม ๆ กันจนโดน ปาราชิก จากข้อ อวดอุตตริมุสสธรรม ตามอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง มหาปูชนียาจารย์ของตนไป โดยอวด เพ้อเจ้อไปถึงสวรรค์ วิมานเทพ มองเห็นคนดังอย่างสตีฟจ๊อบ อยู่สวรรค์ ไปสวรรค์ เขามากราบไหว้ อวดว่าพบพระพุทธเจ้าแล้วเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ๆ เข้ามาซ้อนในตัวของตน ตนเป็นผู้นำกลุ่มพระพุทธเจ้าเสียอีก ...แล้วการเก่งขนาดนั้น ทำไม่จึงประพฤติโอ้อวดไม่สอดคล้องหลักการวิปัสนาชั้นสูงในพระพุทธศาสนาเลย เช่นในขณะนี้ ตนคนเดียวทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปหมด แค่ตนเองออกมามอบตัว ก็เท่ากับช่วยทุกข์ประชาชนไปได้ทั้งหมด อย่างองค์พระเยซูคริสต์ นั้นเอง แต่ธัมมชโย เป็นของปลอม จึงไม่อาจทำได้อย่าง เยซูคริสต์
ถูกใจ · ตอบกลับ · 7 เมษายน เวลา 18:53 น.
Phayap Panyatharo
วิชาธัมมกายก็แค่วิชาสมาธิเท่านั้นเอง เมื่อได้ถึงระดับอุปจาระสมาธิ ไปถึงอัปนาสมาธิ ก็จะพบกับนิมิตรต่าง ๆ เอง แต่หลวงพ่อสดไปพบภาพพระพุทธเจ้า ก็ยึดเอาภาพพระพุทธเจ้านั้นเป็นหลักการ แล้วก็หลงไปว่า การทำกายซ้อนกายไป 8-9-10-กี่กายก็ได้นั้นเป็นมรรคผล ถึงกับตั้งชื่อว่าเป็น มรรคผลระดับโสดาบัน ไปถึงระดับ อรหัต...ก็หลงไปเลย ก็เหมือนกับพระเยซูนั่นเอง ไปอดข้าวบนภูเขาอยู่ 40 วัน แล้วพบพญามาร สู้กับพญามาร เหมือนพระพุทธเจ้าเลย แต่แพ้มาร โดนมารหลอกเอา เลยเขวไปนอกทางอริยมรรค อริยผล ไปหาพระเจ้า ยะโฮวาห์ ไม่ได้ไปสู่แดนนิพพานของพุทธะ ก็มาประกาศว่าตนเป็นลูกคนเดียวของพระเจ้าผู้ทรงรักโลกมาก สั่งพระบุตรสุดที่รักองค์เดียวของพระองค์ลงมาโปรดให้โลกพ้นความพินาส .. ก็เหมือน มุฮัมมัด นะบีมุฮัมมัด แห่งอิสลามนั่นเอง หลงไปกับนิมิตร เช่นเดียวกับพระเยซูนี่เอง แต่มุฮัมมัดไปพบพระเจ้าอีกสายหนึ่ง ฟากฟ้าหนึ่ง คือไปพบ อัลเลาะห์ ไม่สามารถไปสู่โลกพุทธะ คือนิพพานได้เช่นกัน ก็หลงไปทั้งเยซูและมุฮัมมัด แล้วจึงใหญ่ไปตาม ๆ กัน มาพามนุษย์ทำสงครามศาสนาอยู่ถึง 200 ปีเศษ ๆ ยังไม่จบ ก็สงครามครูเสด ที่ไม่มีสงครามไหนของชาวมนุษย์จะโหดร้าย และยาวนานเท่าสงครามศาสนา ส่วนนางชีสมีจันทร์กับลูกศิษย์(ชั้นพระเทพญาณมหามุนี)ไปพบเทวดาชั้นดุสิตบ้าง ชั้น จาตุมบ้าง ซึ่งเป็นเพียงเทวดาชั้นต่ำ ๆ แล้วเอามาหลอกหาเงินจากประชาชน กลายเป็นเอาศาสนามาหากินแบบพุทธพาณิชย์ ก็กลายสภาพเป็นสมีไปอีก ด้วยไปสร้างเหตุปาราชิกไปอีกข้อหนึ่งคือข้อ 4 อวดอุตริมนุสธรรมที่ตนเองก็ทำไม่ได้ดังที่อวด(โดนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก สั่งเป็นปราราชิกข้อ 2 โขมยเงินเขา 300 บาท ไปแล้วยังไม่พอ เอาอีกข้อหนึ่ง อวดอุตริ หาเงินได้เป็นร้อย เป็นพันล้าน และยังจะมีตามมาอีก เปิดเผยอีกคือ ปฐมปาราชิก เสพเมถุน จะตามมาอีกด้วยนะสำหรับหนุ่มรูปหล่อธัมมชโย หล่อแบบ จิ้งเขียว ยันตระ อมโรไปเลย) ฉะนั้น แม้โดยหลักวิชาธรรมกายเอง ก็เป็นเพียงหลักวิชาตื้น ๆ ของพุทธศาสนาเท่านั้นเอง ซึ่งครูอาจารย์ฝ่ายวิปัสนา จะเตือนให้ออกห่าง ไม่ให้หยุดอยู่ แต่ให้ข้ามไป จึงจะถึงนิพพาน แต่ธัมมชโยหามีอาจารย์ไหนบอกเตือนไม่ เพราะอาจารย์แม่ชีก็ยิ่งหลงเลอะไปก่อนเสียอีก หากแต่เวลาชาวพุทธมอง มิได้มองครบถ้วนถึง 3 ระดับ คือ ระดับปริยัติธรรม ระดับปฏิบัติธรรม และ ระดับปฏิเวธธรรม สูงสุด ก็เลยมองไม่ครบถ้วนความจริง ไม่มีสายตาสำหรับมอง ระดับปฏิเวธธรรม ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ก็เลยบกพร่องไปในส่วนที่ตนไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้เคยเห็นว่าปฏิเวธในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างไร ก็รู้ความจริงได้ไม่ครบถ้วน รู้เฉพาะส่วนต้น ๆ แต่ไม่รู้ส่วนปลายสูงสุด ก็บกพร่องในการมองในส่วนที่ตนไม่รู้ คือระดับปฏิเวธ(ใส่แว่นตามัวก็มองเห็นภาพมัว ๆไปหมด ไม่ใช่ภาพจริง) เท่านั้นเอง และแท้จริง ทั้งครู อาจารย์ชี มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง หรือ มหาปูชนียาจารย์จันทร์ ขนนกยูง ก็อวดอุตริกันไปตาม ๆ กัน และกลายสภาพไปเป็นสมีทั้งอาจารย์ชีและลูกศิษย์พระ ..ก็ตลกดี
ถูกใจ · ตอบกลับ · 7 เมษายน เวลา 19:34 น.
Phayap Panyatharo
ก็ต่อไปดู นางทิพาวดี เมฆสวรรค์ นี่คือที่วิชาการโหราศาสตร์เขากล่าวเป็นหลักที่ชั่วร้ายสุดว่า เป็นกาลกิณี นั่นเอง นี่คือหญิงกาลกิณี ในเมืองไทย ที่เห็นชัด ๆ เลย เพราะเป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ไม่รู้ธรรมรู้วินัย ไม่มีระดับ ไม่ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ แต่กล้าไปด่าสังฆราช ผู้ทรงอุทิศชีวิต 100 ปี ให้ศาสนาไปตั้งแต่เกิดมาได้อายุ 14 ปีก็ทรงบวชเณร แล้ว ครบวัยก็บวชเป็นภิกษุ ไม่เคยออกจากผ้าเหลืองเลย แล้วยังทรงสำเร็จถึง เปรียญ 9 ประโยค สูงสุดในการศึกษาปริยัติฝ่ายสงฆ์ไทย แล้วทรงทำความดีความชอบ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ไปตลอด จนถึง สมเด็จพระสังฆราช ขนาดนี้ นางทิพาวดี ยังไปตำหนิพระองค์ได้ ว่าผิดสังฆาทิเสส ไปกล่าวได้ว่า ทำเอกสารปลอม ไปกล่าวหาคนอื่นซึ่งเป็นพระลูกน้องตนเอง ตายไปนรก นี่แหละตัวอย่าง หญิงกาลกิณี พอ ๆ กับนางชีสมีจันทร์ ขนนกยูงไปเลย ดูดี ๆ นะครับ เหตุผลเป็นอย่างที่ว่ามาชัดเลย
ถูกใจ · ตอบกลับ · 10 เมษายน เวลา 3:36 น.
Phayap Panyatharo
ขอเอาบทวิเคราะห์กรณีธรรมกาย ของ พยับ ปัญญาธโร อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ลงใน นสพ.ดี เล่มที่ 17 ประจำเดือน มิ.ย.-ก.ค.-ส.ค. 2542 ดังนี้ครับ
ถูกใจ · ตอบกลับ · 2 ชม.
Phayap Panyatharo
วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
เจริญพร …………..
อาตมภาพเพิ่งฟังข่าวโทรทัศน์ภาคค่ำวันนี้ 10 พ.ค.42 รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ต่อการประชุมของ มส.วันนี้ การที่อธิบดีกรมการศาสนาให้สัมภาษณ์ ว่า มส.จะ ”สนองพระดำริโดยลำดับให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม” รมช.ศธ. ท่านอาคม เอ่งฉ้วน (พรรคประชาธิปัตย์) ว่าจะต้องมีการดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎนิคหกรรม (คงหมายถึงกฏฯ11) ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่ นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาชี้แจงไปยืดยาวถึงวิธีการดำเนินงานว่าจะต้องเริ่มมาตั้งแต่แจ้งความเจ้าคณะผู้ปกครองระดับตำบล อำเภอ มาถึงจังหวัด จนมามีโจทก์ ยื่นฟ้องร้อง ฯลฯ (ทำเหมือนการพิจารณากรณี ยันตรอมโร ทุกอย่าง) ท่านอำนวย สุวรรณคีรี ว่า ยังสับสนในประเด็นอาบัติของธรรมชโยภิกฺขุ
อาตมภาพได้เสนอบทการศึกษากรณีนี้ ตามที่ นสพ.สยามรัฐฉบับ 11 พ.ค.42 ลงบทสรุปลงไปแล้ว ว่า กรณีธมฺมชโยภิกขุ ได้มีการตัดสินสิ้นไปแล้ว โดยต้องปาราชิก ข้อที่ 2 เอาทรัพย์ผู้อื่นไปเกิน 5 มาสก(ราว ๆ 300บาท)โดยมีเถยยจิต คือเจตนาโลภทุจริตโดยอาการโขมย อาตมภาพขอชี้แจงเพิ่มเติมอีกนิดว่า การวินิจฉัยนี้ ถือเอาตามหลักพระธรรมวินัย ในพระปาฏิโมกข์ มิใช่หลักกฎหมาย เพราะ กรณีนี้ เราสามารถดำเนินการได้ 2 ทาง คือ ทางหนึ่งทาง พระธรรมวินัย โดยตรง (ตามบทศึกษาของอาตมภาพนั้น) และอีกทางหนึ่งทางกฎหมาย โดย กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ที่ใช้ตัดสินยันตระอมโรนั่นเอง ทั้ง 2 ทางนี้ จะมีวิธีดำเนินการต่างกัน มีหลักการต่างกันอย่างมากมาย
Phayap Panyatharo
สิ่งที่ควรจะเข้าใจก็คือ หลักพระธรรมวินัย มีมาในพระปาฏิโมกข์อันเป็นหลักดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาหมายถึงหลักที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้โดยตรง ว่าด้วยอธิกรณ์ 4 และ อธิกรณสมถะ 7 ซึ่งตามหลักพระธรรมวินัย ๆ จะมอบความไว้วางใจแด่พระผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ อย่างเต็มที่ เพราะมองที่คุณสมบัติที่สมบูรณ์ตามกำหนดในพระธรรมวินัย เมื่อท่านตัดสินออกมาอย่างไรก็จบ ในกรณีนี้ ต้องยอมรับความจริงว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีคุณสมบัติพร้อมสมบูรณ์สำหรับฐานะผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ที่สามารถวินิจฉัยได้ตามธรรมตามวินัย ไม่ว่าคุณสมบัติอันเป็นคุณธรรมตามหลักการวินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ 31 ประการเป็นต้นว่าด้วย ความเคารพในสงฆ์ หนักในพระสัทธรรม ไม่หนักในอามิส มีเมตตา เอ็นดู มีกรุณา ไม่ผูกเวร ไม่ขัดเคือง ไม่มีอคติ ขวนขวายเพื่อประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธพระองค์ท่านได้ อนึ่งยังมีแบบแผนแนวปฏิบัติมาแต่ครั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระบิดาแห่งการศึกษาคณะสงฆ์ไทย) ที่ทรงวินิจฉัยไว้เป็นแนวปฏิบัติตามธรรมตามวินัยไว้ว่า ผู้เป็นประมุขสงฆ์ย่อมถือเป็นภาระหน้าที่ โดยตรงที่จะตัดสินหรือวินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ให้เด็ดขาดลุล่วงไปโดยเร็วอยู่แล้ว และสมเด็จพระสังฆราช ก็ได้ทรงถือปฏิบัติไปตามนั้น คือ ทรงถือหลักพระธรรมวินัย และแนวพระมหาสมณวินิจฉัยเป็นหลัก มิได้ทรงยึดเอาหลักกฎหมาย คือกฎฯ 11 มาพิจารณา กรณีสงฆ์ต้องอาบัติเลย เพราะน่าจะทรงรู้ข้อบกพร่องยุ่งยากของกฎหมายดี ดังจะเห็นได้ว่าทรงตรัสว่า ไม่เกี่ยวกับ มส. หรือผู้ใดทั้งสิ้น เพราะเสร็จเด็ดขาดลงแล้วนั่นเอง
ขอเน้นว่า หลักพระธรรมวินัย นั้นก็คือหลักความเชื่อถือในคุณธรรมของท่านผู้วินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ คือมองคุณสมบัติผู้ตัดสินเป็นหลักความเชื่อถือ จะไม่เสียเวลากับการไปแสวงหาหลักฐานพะยานมาอ้างอิงอย่างหลักทางโลก ยิ่งผู้วินิจฉัยมีคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เป็นอันว่าแล้วแต่คำพูดที่ตัดสินของท่านจะเอ่ยออกมาเท่านั้นเอง ไม่พึงพะวงว่ามีหลักฐานพะยานอย่างไรหรือไม่
ถูกใจ · ตอบกลับ · 2 ชม.
Phayap Panyatharo
อาตมภาพ อยากขอวอนให้พระมหาเถรานุเถระ กรรมการมหาเถรสมาคมได้ทบทวนในประเด็นนี้ อยากให้ถามตัวท่านเองว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นั้นท่านเป็นใคร ? ในทางพระธรรมวินัย ท่านเป็นสงฆ์ผู้ประพฤติดีประพฤมิชอบหรือไม่ ? ท่านทรงมีคุณธรรมใดบกพร่องไม่เหมาะพอจะตัดสินอนุวาทาธิกรณ์ตามธรรมตามวินัย อันเป็นหลักการที่ยึดเหนี่ยวที่แท้จริงของพระสาวกทั้งหลาย อย่างนั้นหรือ ? ในหลักการทางโลก ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ตามกฎหมาย การขัดคำสั่ง ย่อมหมายถึง ความผิด หากระบบทหาร การขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาจะร้ายแรงถึงขั้นกบฏ เหตุใดทั้ง ๆ ที่ มส.ทุกรูปต่างก็รู้อยู่แล้วว่า การพิจารณาตามกฎฯ 11 ซึ่งจะมีขั้นตอนมากมาย และสงฆ์เองก็แทบไม่รู้ไม่เข้าใจในกระบวนการนี้เลย เพราะขาดความรู้ ขาดความชำนาญ และขาดทั้งประสบการณ์ ดังที่มีตัวอย่างมาแล้วคือกรณียันตระอมโร ซึ่ง จะสิ้นเปลืองทั้งเวลาและทรัพยากรต่าง ๆ ในการดำเนินงานมาก และไม่มีการประกันได้ว่าจะจบลงเมื่อใด และเมื่อจบลงแล้ว ก็ยังมีภาคอุทธร ฎีกา ต่อไปอีก อันเป็นวิธีการทางโลกที่หยาบกระด้าง ที่เอามาใช้วินิจฉัยกรณีทางธรรมอันละเอียดอ่อนอย่างไม่กลมกลืนกัน ในขณะนี้สมเด็จพระสังฆราช โดยกฎหมายให้อำนาจอย่างเต็มที่ ในฐานะสกลมหาสังฆปริณายก (ผู้“ทรงบัญชาการคณะสงฆ์”) และโดยธรรมโดยวินัย โดยอาวุโส ก็ทรงเป็นผู้นำแห่งหมู่สงฆ์ไทยและพุทธบริษัททั้งสิ้น ได้วินิจฉัยโดยธรรมโดยวินัย(โดยหลักอธิกรณ์4 อธิกรณสมถะ 7) จบลงไปแล้ว เหตุใด จึงไม่รับเอา ? จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระสาวกไม่ยอมรับวิธีการของพระบรมศาสดา แต่ไปยอมรับวิธีโลกว่าเป็นวิธีที่ชอบธรรมกว่า ท่านจะมีเหตุผลเป็นประการใด จึงเลือกเอาทางอื่น ซึ่งมิใช่ทางที่พระบรมศาสดากำหนดให้ เป็นการหลงผิดหรือไม่ ? ทำไมสงฆ์เราจึงไม่พยายามที่จะปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย ในเมื่อกรณีสามารถจะนำหลักธรรมวินัยมาใช้ได้อยู่แล้ว และทั้งเป็นวิธีการที่รวดเร็วและตรงถูกต้องกับความผิดทางจิตหรือเจตนากว่า อย่างนี้ย่อมเห็นได้ว่าประพฤติไม่ถูกธรรมวินัย หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นการเอื้อต่อธรรมวินัย เช่นนี้พระพุทธศาสนาจะยืนอยู่ได้อย่างไร ?
จึงขอวิงวอนพระเถรานุเถระ เพียงช่วยยืนยันว่า กรณีธัมมชโย นี้ ในด้านอธิกรณ์ตามธรรมวินัย ได้รับการตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว และไม่จำเป็นที่ มส.หรือผู้อื่นใด จะบังควรตัดสินใหม่อีก ทุกสิ่งจบลงอย่างเด็ดขาดแล้ว มีแต่ดำเนินการให้ จำเลย ถอดผ้ากาสายะ สัญญลักษณ์แห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนาออกไปเท่านั้น
ในด้านรัฐบาล ท่านชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ก็เคยรับปากสมเด็จพระสังฆราชไว้ ว่าจะให้เครื่องมือดำเนินการ เครื่องมือที่ต้องการขณะนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่เตรียมการจับสมี ถอดผ้าเหลืองออกจากร่าง นั่นเอง หวังว่ารัฐบาลจักได้พิจารณาดำเนินการประสานงานต่อไป.
ขอเจริญพร
พระพยับ ปญฺญาธโร
อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
Phayap Panyatharo
ถูกใจ · ตอบกลับ · 2 ชม.
เขียนความคิดเห็น...