พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ มหาราชไทยลำดับที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี ประเทศไทย  เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก [ซึ่งกษัตริย์องค์รอง ลำดับการครองราชย์นานเป็นรอง ที่ 2 ก็คือ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 (Queen Elizabeth 2 )แห่งสหราชอาณาจักร และเครือจักรภพ ที่ทรงครองราชย์มาถึงวันเดียวกันนี้ 64 ปี]   

 ทรงมีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2470, เคมบริดจ์, รัฐแมสซาชูเซตส์, ประเทศสหรัฐอเมริกา  ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559, เวลา 15.52 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช, กรุงเทพมหานครขณะทรงพระชนมายุ 88 พรรษาและครองราชย์มา 70 ปี  ท่ามกลางความเศร้าโศกของพสกนิกรชาวไทย และชาวพุทธทั่วโลก 

นี่คือบทนำแห่งธรรมะ ในพระพุทธศาสนา  รจนาแด่การเสด็จสวรรคต ของพระองค์

 

 

 

ปัญจักขันธา ๒

เรื่องราวของชีวิต ซึ่งแท้จริงคือสังขารที่ประกอบกันขึ้นจาก ขันธ์ทั้ง 5 ดังกล่าวมาแล้วนั้น เป็นมนุษย์ เป็นคน มีรูปธรรม นามธรรมประกอบกันเป็นสังขารนั้น แท้จริงคือ เรื่องราวของธรรมชาติ  ธรรมดา ๆ  ที่มีอยู่เอง  เป็นอยู่เองแปรเปลี่ยนไปเองของมัน มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสไว้อย่างตรงความจริง  ที่ว่า

 

 

 

 

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น  มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง  มีพระพุทธเจ้าหรือไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดมา  มันก็เป็นของมันเองอย่างนั้น  และประเด็นที่คนทั้งหลายไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ“สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง(คือสิ่งของทั้งหลายในโลกรวมเรียกว่าสรรพสิ่งนั้น) เป็นอนัตตา(ไม่ใช่ของใครคนใดเลย ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งอาจยึดเอาเป็นของตนได้)”

 

   

 

ดังปรากฏใน ธัมมะนิยามะสุตตัง ต่อไปนี้ 

 

ยัง เว นิพพานะญาณัสสะ ญานัง ปุพเพ ปะวัตตะเต
ตัสเสวะ วิสะยีภูตา ยายัง ธัมมะนิยามะตา
อะนิจจะตา ทุกขะตะ จะ สัพเพสัง จะ อะนัตตะตา
ตัสสา ปะกาสะกัง สุตตังยัง สัมพุทเธนะ ภาสิตัง
สาธูนัง ญาณะจาเรนะ ยะถา พุทเธนะ เทสิตัง
โยนิโส ปะฏิปัตยัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะเส ฯ

 

 

 

กฎ ธรรมชาติที่กำหนดแน่นอน สำหรับสรรพสัตว์ที่ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เป็นวิสัยแห่งผู้ได้ญาณหยั่งรู้พระนิพพาน ที่มีมาแล้วในกาลก่อน พวกเราทั้งหลายจงร่วมกันสวดพระสูตรนี้ อันประกาศสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณอันพิเศษแก่เหล่าสาธุชน เพื่อประโยชน์ในการที่จะนำไปปฏิบัติ โดยอุบายอันแยบคายต่อไปเทอญ

 

 

อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา สัพเพ สังขารา อะนิจจาติฯ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา อาจิกขะติ เทเสติปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ สัพเพ สังขารา อะนิจจาติฯ

 

 

ภิกษุ ทั้งหลาย ทั้งที่พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง

 

 

 

อนิจฺโจ  ไม่เที่ยง (ค.ธ.ป. ๒๐๔/๑๐๑) สํ  อ + นิตฺย.  
Annicco  (adj.)  unstable,  not lasting, transitory, perishable.  Skt. A + nitiya.

ธาตุ   กระดูก (ชิน. ๒๗๘/๘๓ ) ; เป็นไปในอรรถคือ ๑. เสมฺหาทิ (โทษมีเสลดเป็นต้น)  ๒. รสรตฺตาทิ (รโส-รส, รตฺตํ-โลหิต, มํสํ – เนื้อ, เมโท-น้ำมันข้น, อฏฺฐิ-กระดูก, สุกฺกํ – น้ำสัมภวะ, มิญฺชํ-เยื่อ ) ๓. มหาภูติ ( มหาภูตรูป)  ๔. ปภาทิ (วิสยธาตุ มีรูปธาตุ คือ แสงสว่างเป็นต้น ) ๕. อัฐิธาตุ  ๖.  จกํขาทิ ( วิสยีธาตุมีจักษุเป็นต้น ) ๗. ภวาทิ ( ธาตุมีดินสอพองหรือแร่ต่าง ๆเป็นต้น )  ( ชิน. ๘๑๗/๒๕๗ ).  สํ.  ธาตุ 

Dhatu  (m..& f.)  primary or elementary ; principle, element, material;  a property  of a primary substance as colour, teste, sound; an organ of sense; a bodily principle or humour of which there are three, phlegm, wind and bile; a constituent of the body such as flesh, blood, bones; a sacred relic; a fosil; a metal. Skt. Dhatu.

 

 

 

อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา สัพเพ สังขารา ทุกขาติฯ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา อาจิกขะติ เทเสติปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ สัพเพ สังขารา ทุกขาติฯ

ภิกษุ ทั้งหลาย ทั้งที่พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์

ทุกฺขํ  ธรรมชาติอันบุคคลทนยาก (ผ) ; ทุกข์ ( ชิน. ๘๙/๒๖). สํ.  ทุขะ.   

Dukkham  unsatisfactoriness,  pain,  suffering,  trouble, distress, difficulty.  Skt. Duhkha.

 

 

 

อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติฯ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา อาจิกขะติ เทเสติปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติฯ

อนตฺตา  ใช่อาตมา  ใช่ของอาตมา ( บา.๖๘).  สํ.  อนุ + อาตฺมนฺ.   

Anatta   not a self,  not  a  soul.  Skt. An + atman.

 

 

 

 

 

ภิกษุ ทั้งหลาย ทั้งที่พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุคือสิ่งทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น ดำรงอยู่ได้โดยธรรมดาของมันอย่างนั้น สิ่งที่ถูกกำหนดมาตามธรรมดาของมันว่า จะเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นตถาคต ตรัสรู้ธาตุนั้น ทรงรู้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา

 

 

 

อิทะมะโว จะ ภะคะวาฯ อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติฯ

ครั้ง พระพุทธองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ได้ตรัสแสดงดังกล่าวมานี้ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมีความซาบซึ้ง ยินดีเพลิดเพลินพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง

 

 

 

ครั้นหมู่พระสาวก หมู่ชนใด ได้บรรลุวิปัสสนาญาณ รู้แจ้งสัจธรรมแห่งไตรลักษณ์ ดังกล่าวนั้นแล้ว ย่อมบรรลุธรรม ตั้งแต่ขั้นล่าง ถึงขั้นสูงสุด คือ โสดาปัตติมรรคญาณ ไปถึง อรหัตตผลญาณ สูงสุด เข้าสู่โลกวิมุตติ  เข้าสู่โลกนิพพาน พ้นทุกข์ไปชั่วนิรันดร โดยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ และ ความเป็นธรรมดานั้นไปชั่วนิรันดร

จึงทรงตรัสบอกพระภิกษุทั้งหลาย ดังปรากฏใน โอวาทปาฏิโมกขคาถา ไม่เพียงพระองค์โคดมพุทธเจ้า พระมหาศาสดาของพวกเราเท่านั้น ที่ทรงตรัสบอก ว่า  นิพพานํ ปะระมัง วะทันฺติ พุทธา  ผู้รู้ทั้งหลาย (คือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กี่หมื่นกี่ล้านพระองค์ก็ตาม) กล่าวตรงกันว่า พระนิพพานเป็นธรรมอันยิ่ง(ธรรมะที่สูงสุดเหนือธรรมะอื่นใด)   

 

 

 

 

และในพระสูตรต่าง ๆมากมาย มีว่า   นิพพานํ ปะระมัง สุขัง  นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง (เหนือความสุขของสวรรค์ชั้นใดใดในเทวภพทั้งสิ้น) และแท้จริงที่ควรรู้ ก็คือ มนุษย์และเทพเทวดา แม้กระทั่งพวกมาร  จึงต่างบำเพ็ญเพียร เพื่อเข้าสู่โลกสูงสุดด้วยกันทั้งนั้น คือ โลกนิพพาน  นั่นเอง

 

 

พระครูพุทธิพงศานุวัตร
วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง
ถนนขุขันธ์ ต.เมืองเหนือ 
อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000

 

·      เอกสารอ้างอิง   ปทานุกรม  บาลี  ไทย  อังกฤษ  สันสกฤต    PALI –THAI –ENGLISH – SANSARIT   DICTIONARY ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์ในคราวอายุครบรอบ ๕ รอบ หม่อมหลวงบัว กิติยากร ในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ  วันที่ ๒๕ พฤสจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒

 

 

 

 

 

 4.1.3  ปัญจักขันธา 3 

รจนาแด่การเสด็จสวรรคต ของพระองค์

ปัญจักขันธา 3

 

 

 

 

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ มหาราชไทยลำดับที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี ประเทศไทย  เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก [ซึ่งกษัตริย์องค์รอง ลำดับการครองราชย์นานเป็นรอง ที่ 2 ก็คือ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 (Queen Elizabeth 2 )แห่งสหราชอาณาจักร และเครือจักรภพ ที่ทรงครองราชย์มาถึงวันเดียวกันนี้ 64 ปี]  

 ทรงมีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2470, เคมบริดจ์,รัฐแมสซาชูเซตส์, ประเทศสหรัฐอเมริกา  ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559, เวลา 15.52 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช,กรุงเทพมหานครขณะทรงพระชนมายุ 88 พรรษาและครองราชย์มา 70 ปี  ท่ามกลางความเศร้าโศกของพสกนิกรชาวไทย และชาวพุทธทั่วโลก

 

 

 

 

 

 นี่คือบทนำแห่งธรรมะ ในพระพุทธศาสนา  รจนาแด่การเสด็จสวรรคต ของพระองค์

 

 

 

 

 

 

 

 

ปัญจักขันธา 3

 

 

 

เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

 

 

 

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา

เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,

 

นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เราชาวพุทธทั้งหลาย  ก็ได้ยิน ได้ฟังมาตลอดว่า  พระนิพพานนั้น  เป็นแดนของ พระพุทธเจ้า  เป็นแดนพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย   ชาวพุทธไทยย่อมคุ้นกับภาษา คำว่า  ปรินิพพาน  และ คำว่า นิพพาน  ซึ่งหมายถึง  การตายของพระพุทธเจ้า(ใช้คำว่า ปรินิพพาน  การตายของพระอรหันต์ ใช้คำว่า นิพพาน)  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นิพพาน  นั้นจึงเป็นสัจธรรมที่อยู่เหนือโลกทั้งปวง  เหนือโลกมนุษย์  เหนือโลกเทพ  เหนือโลกพรหม ...เป็นโลกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และโลกของพระอรหันต์ทั้งปวงนิพพาน  นั้นจึงเป็นสัจธรรมที่อยู่เหนือโลกทั้งปวง  เหนือโลกมนุษย์  เหนือโลกเทพ  เหนือโลกพรหม ...เป็นโลกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และโลกของพระอรหันต์ทั้งปวง

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้น   การรู้แจ้งในเรื่อง ปัญจักขันธา  รูปธรรม-นามธรรม หรือสังขารว่า  สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง   สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์  ธรรมทั้งหลายทั้งปวง(คือสิ่งที่เป็นสังขารทั้งหมดทั้งสิ้น รวมทั้ง คน สัตว์ พืช และสรรพสิ่ง) เป็นอนัตตา  จึงเป็นทางไปสู่ที่ประเสริฐ  เหนือสวรรค์ชั้นเทพ   เหนือสวรรค์ชั้นพรหม  มหาพรหม เลยทีเดียว   ดังพุทธดำรัสว่า นิพพานํ ปะระมัง วะทันฺติ พุทธา  ผู้รู้ทั้งหลาย (คือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กี่หมื่นกี่ล้านพระองค์ก็ตาม) กล่าวตรงกันว่า พระนิพพานเป็นธรรมอันยิ่ง(ธรรมะที่สูงสุดเหนือธรรมะอื่นใด=เรื่องราวที่สูงสุดเหนือเรื่องราวอื่นใด)   นิพพานํ ปะระมัง สุขัง  นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง (เหนือความสุขของสวรรค์ชั้นใดใดในเทวภพในพรหมภพ มหาพรหมภพทั้งสิ้น) และแท้จริงที่ควรรู้ ก็คือ มนุษย์และเทพเทวดา พรหม  แม้กระทั่งพวกมาร  จึงต่างบำเพ็ญเพียร เพื่อมุ่งเข้าสู่โลกสูงสุดด้วยกันทั้งนั้น คือ โลกนิพพาน  นั่นเอง 

 

 

 

วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง
ถนนขุขันธ์ ต.เมืองเหนือ 
อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000

 

 

  

 

 

  

 

 

 

 

4.2  โหราศาสตร์:แนวทัศนะการพิจารณาเหตุการณ์ทางหลักวิชาโหราศาสตร์ประเด็นราชาภิเษกรัชการลที่ 10 

เรื่องที่ 2

ประเด็นราชาภิเษกรัชกาลที่ 10

แห่งราชวงศ์จักรี  

ทัศนะโหราศาสตร์

 

 

ที่เราจะพูดถึงในหน้าบรรณาธิการนี้โดยตรงเลยก็ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จเสด็จสวรรคตของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คือประเด็นทางโหราศาสตร์  เรื่องวันราชาภิเษก รัชกาลที่ 10  ซึ่งได้มีผู้ทรงคุณวุฒิ ตั้งคำถามผ่านมาทาง เวบบอร์ดของเรา ขอให้วิเคราะห์ในเชิงโหราศาสตร์ เนื่องจากมีกระแสข่าวออกมาว่า จะมีการจัดพระราชพิธี ราชาภิเษก ในวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2559   ซึ่งเราได้มอบหมายให้  ชลัมพุช โหรชนบท  ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์อย่างดีในเรื่องโหราศาสตร์  ทำการวิเคราะห์และนำลงเวบไซต์ของเราไปแล้ว (โปรดดูที่ สารบาญโหราศาสตร์)    เราจะทำการก๊อปปี้บทวิเคราะห์ทางโหราศาสตร์ลงต่อไปจากนี้เวลานี้เลย โปรดติดตาม

 

ราชาภิเษก รัชกาลที่ 10 ราชวงศ์จักรี ฤกษ์ที่เหมาะควรตามหลักโหราศาสตร์

 

 

 

 

 4.3  โหราศาสตร์: ประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา แนวพิจารณาของโหรผู้ใดจะชนะ

เรื่องที่ 3  

ประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดี

ประเทศ สหรัฐอเมริกา

ประเด็นโหราศาสตร์

 

 

 

คู่แข่ง นายโดแนล จอห์น ทรัมพ์ [Donald John Trump] กับ นางฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน [Hillary Rodham Clinton] วันที่ 8  พฤศจิกายน  2559 (ตรงเวลาไทย วันที่ 9 พ.ย.2559)

 ปรากฎว่า ผล Electoral Votes  +  Popular Votes  ไม่ตรงกัน  คลินตันได้ Electoral Votes(จากทั้งหมด 538 คะแนน) 232 คะแนน  ได้Popular Votes 61,324,576  คะแนน  ส่วน Trump ได้ Electroal Votes 290 คะแนน  ได้ Popular Votes  60,526,852 คะแนน  แต่ อเมริกา ถือ ชัยชนะด้วย Electoral Votes  ในการติดตามผลการเลือกตั้ง หากคู่แข่งคนใด ได้ถึง 270 เสียง Electoral Votes ก่อน  ก็ถือว่าชนะไปแล้วเลย  

ในการติดตามข่าวการเลือกตั้งตั้งแต่ต้นมา  ได้พบว่า  คะแนนของ คลินตั้นนำมาตลอด โพลแทบทุกโพล ชี้ชัดว่า  คลินตั้นเป็นฝ่ายชนะ จนกระทั่งถึงเช้าวันเลือกตั้ง ที่ 8 พ.ย.2559 โพลทุกโพลก็ยังบอกถึงชัยชนะของคลินตันอยู่   ดังมีเสียงวิจารณ์ไว้น่าสนใจว่า 

 

........ 08:29 พยับ ปัญญาธโร ก็ตอนนี้ ที่พิมพ์นี่เวลา 08.05 น. ไปดูนสพ.อเมริกันมา มันบอกว่า  คลินตันได้  อีเลคโทรอลโวต  275 แล้ว  คือในการนับคะแนนเลือกตั้งอเมริกาเขาให้ไปลงที่ อีเลคโทรอลโวท นะครับ  ใครได้ถึง 270  ก็แปลว่าเข้าเสันชัยแล้ว

08:29 พยับ ปัญญาธโร The presidential election ends — we hope! — Tuesday.

Below we offer our last ratings of the race, our look at the truly competitive states on the eve of this most unpredictable of elections. While we moved two states in Donald Trump’s direction on the second-to-last day of the campaign, the overall map still clearly favors Hillary Clinton: She has 275 electoral votes solidly or leaning her way — five more than she needs to win the White House on Tuesday night. In fact, even if Trump holds all of the states either solidly or leaning his way and wins all three states currently rated as “toss-ups,” he is still seven electoral votes short of 270.

08:35 พยับ ปัญญาธโร ตามข่าว ทรัมพ์  ยังไงก็ตามไม่ทัน  เพราะฮิลลารี คลินตันได้เกินไปถึง 5 คะแนน  ได้ 270 ก็ชนะ  เกินไปเป็น 275   ก็คอยดูต่อไปนะครับ   อเมริกาเขาจะมีการกล่าวยอมแพ้กันก่อน  คอยดู ทรัมพ์ จะออกมากล่าวยอมแพ้ฮิลลารี คลินตั้น ตอนไหน

08:43 พยับ ปัญญาธโร ไม่เหมือนไทยนะครับ   ตอนยิ่งลักษณ์ชนะ   นายชวน หลีกภัย  กับนาย อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ   ออกมาดูหมิ่นว่าที่แพ้เพราะ เขาใช้เงิน และชาวเหนือ-อิสาน โง่  ก็เลือกเอาคนโง่มาเป้นนายกรัฐมนตรี  ส่วนคนกรุงเทพ  คนใต้  ฉลาดก็มีน้อยคนกว่า เลยแพ้  เลยไปปลุกระดมให้คนกรุงไล่นายกที่เป็นนายกของคนโง่ เหนือ-อิสาน ออกไป .....  วินัยการเมืองเขาเยี่ยม  แต่เรา  แย่  จะต้องดูเขาเป็นแบบแห่ง ศีลธรรมการเมืองประชาธิปไตยให้ได้

08:46 พยับ ปัญญาธโร คือขณะนี้ คะแนนขึ้นที่มลรัฐต่าง ๆ ไปเกือบหมด  เห็นว่าเหลืออยู่ 6-7 รัฐ ื ถึงทรัมพ์ได้ไปทั้ง หมดที่เหลือ   ก็ยังแพ้อยู่ดี  ก็หนังสือพิมพ์ นิวยอร์คไทม์ ก็ว่า The presidential election ends — we hope! — Tuesday.   จบลงแล้ว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ตัวผู้ชนะแล้ว........[จากไลน์กลุ่ม การศึกษาไร้พรมแดน]

แต่แล้ว  กลับเป็น  ฮิลลารี คลินตัน นะครับ  ที่เป็นฝ่ายออกมายอมรับต่อ ทรัมป์ ในชัยชนะของเขา และความพ่ายแพ้ของตน ...ซึ่งนี่แหละคือ  ประชาธิปไตย  คือ ศีลธรรมของระบอบประชาธิปไตย ....คนอเมริกาทั้งประเทศยอมรับในอำนาจของประชาชน   จะไม่เป็นปฏิกริยาอันใดเลยของทหารสหรัฐ นับแต่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีมา 45 คน กินเวลามา กว่า 200 ปีแล้วนี้ ไม่เคยมีทหารคิดการปฏิวัติรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเลย   ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนทุกชั้นอเมริกัน เขาคิดกันตรงกันว่า  ทหารอเมริกา  ก็มาจากประชาชนอเมริกา นั่นเอง  ทหารจึงเคารพประชาชน (ไม่เหมือนประเทศที่ด้อยพัฒนาทางการเมือง ไทย ลาว พม่า ฯลฯ ที่ควรมองการเลือกตั้งอเมริกาเป็นตัวอย่้าง)  ดังเฟสบุ๊คนำมาลง ดังภาพครับ

 

 

เพื่อการศึกษานะครับ  อยากให้ลองอ่านข่าวการเลือกตั้ง เมื่อ 8 ปีก่อน   มีรายงานอย่างนี้

 

 

 

การเมืองอเมริกา  ปี 2551 

มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ณ เวลาประเทศไทยเมื่อ 19.20 น.วันที่ 4 พฤศจิกายน 2551  ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดหีบเลือกตั้ง  และประชาชนอเมริกันซึ่งคาดว่ามีประมาณ 130 ล้านคน ได้ทยอยไปลงบัตรเลือกตั้งแล้ว  และหลังจากนี้ก็เป็นกระบวนการเลือกตั้ง  ซึ่งในวาระเดียวกันนี้ ได้มีการเลือกตั้งสภาสูงและสภาล่างไปพร้อมกันด้วย   ครั้นเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2551 เวลา ประมาณ  11.00 น.  ปรากฏผลการเลือกตั้งส่วนใหญ่แล้ว นายจอห์น แม็กเคน [ John McCain ]  ได้แถลงต่อประชาชน  ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง โดยแถลงที่รัฐอาริโซน่า   และยังได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อนายบารัค โอบามา [ Barack Obama ]  นายยอร์ช ดับเบิลยู บุช [ George W. Bush ] ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ผู้กำลังจะจากไป ก็ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายบารัค โอบามา ด้วย   ในเวลาต่อมานายบารัค โอบามา ก็ได้กล่าวปราศรัยในสวนสาธารณะของนครชิคาโก [ Grand Park Chicago ]  รัฐอิลลินอยส์ ข้อความของเขามีว่า  จะใช้วิธีประชาธิปไตย และความมีเสรี เป็นเครื่องมือของชัยชนะ

 

  

ข้อสังเกตการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปีนี้ ดูเหมือนว่ามีหลายสถาบันการเมืองอเมริกา ได้เอาใจใส่สังเกตปัญหาทางการเมืองไทยเป็นพิเศษ  และดูเหมือนจะได้แสดงแบบอย่างให้ประเทศไทย นักการเมืองไทยได้เห็นเป็นตัวอย่าง  ว่าองค์ประกอบของระบอบประชาธิปไตยทุกระบอบนั้นต้องการสปิริตจิตใจที่เข้มข้นอย่างไร  สิ่งที่เรียกว่าจริยธรรม หรือสิ่งที่สะท้อนจริยาแห่งระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตยเพียงไหน  นับตั้งแต่การเมืองในพรรคการเมืองเอง  จะเห็นบทบาทของคู่ที่เป็นตัวแทนพรรค  แสดงแบบอย่างอย่างไร ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค  อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา  กับ ส.ว.บารัค โอบามา เห็นได้ว่า ในเวลาที่มีการต่อสู้กัน เขาก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย  แต่พอรู้ผลชัยชนะแล้ว เขาก็แสดงจิตใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย  และเมื่อได้ตัวแทนแล้ว แม้เคยต่อสู้กันมาอย่างเข้มข้น เขาก็กลับมาเป็นมิตรกัน ร่วมต่อสู้เพื่อชิงชัยกับพรรคคู่แข่ง  ดังจะเห็นบทบาทของทั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน  กับนางฮิลลารี คลินตัน ที่เด่นของพรรคดีโมแครต  ในการช่วยคนของพรรคคือนายบารัค โอบามา จนประสบชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของพรรคดีโมแครต โดยได้เสียงข้างมากทั้งสภาล่างและสภาสูงด้วย  และที่เห็นเป็นปกติในการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่ควรเป็นแบบอย่างแด่การเมืองไทยก็คือ การยอมรับในความพ่ายแพ้ต่อประชาชนฝ่ายที่สนับสนุนตน  โดยมุ่งหมายว่าประชาชนก็ยอมรับความพ่ายแพ้นั้นด้วย  ซึ่งหมายถึงประชาชนอเมริกัน ภายหลังการเลือกตั้งทุกครั้งเมื่อกลับมาเป็นตัวเป็นตนแบบเสรี ไม่มีการยึดมั่นในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเพียงคอยติดตามผลงานของพรรคการเมือง จนกว่าจะถึงวาระการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

 

 

 

แต่สำหรับ ดี(อินเทอเนต) เล่มนี้  เรามีกรณีที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์โดยเฉพาะ  และเราจะได้นำลงไว้ในเล่มนี้   ดังต่อไปนี้ครับ  

 

 

ประเด็นโหราศาสตร์

 ดวงชะตาคู่แข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ทรัมป์-ฮิลลารี

 

 

 

 

 5.  บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2558

เรื่องที่ 4  

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี

พุทธศักราช 2558

 

 

 

 

 

 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2558  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2558 ดังนี้  

 

 5.1  ดร.บี.เค.มูดี

1.บุคคลที่ 121  Dr. B.K. Modi  ดร.บี.เค. มูดี 

 

 

 

 

มหาเศรษฐี มูดี ผู้สร้างภาพยนตร์  พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก โดยทุ่มทุนลงไปกว่า 1000 ล้านบาท  Dr. B.K. Modi (ดร. บี.เค.มูดี) ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิต ทำการศึกษาวิจัยพุทธศาสนา และพุทธประวัติรอบด้าน ทั้งในทางการเมือง และสังคมยุคนั้นอย่างละเอียดรอบคอบ จนได้ข้อสรุปออกมาอย่างมีเหตุมีผล สมตามความเป็นจริง โดยแนววิทยาศาสตร์ ทำให้พุทธศาสนาเหมาะสำหรับโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง   ผู้สร้าง กาพยนต์ ซีรรี่ย์ยาว 45 ตอน  ฉายครั้งแรกในอินเดีย ปี 2013(พ.ศ. 2556)จากนั้นเข้ามาลังกา ไทย ถึงบัดนี้ 

BUDDHA THE GREAT LEADER OF THE WORLD, because HE leads away from devils, away from all wars, away from all sins to happiness. THE REAL HAPPINES FROM INSIDE OF the MIND, the one's mine.

พระพุทธเจ้า ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะพระองค์ทรงนำไป ให้ห่างจากมารทั้งหลาย ห่างจากสงครามทุกรูปแบบ ให้ห่างจากบาปทั้งสิ้นทั้งปวง และทรงนำไปสู่ ความสุข ความสุขที่แท้จริง จากภายในของดวงจิตของมนุษย์ จากดวงจิตของตนเอง

 

 

วันนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดีสำหรับโลกทั้งโลก ตามคำแนะนำที่ว่า            

Today The world should see. All races all the people should see. Asia should see. Europe should see. America should see. Africa should see. All Thai people should see.. a latest film from India BUDDHA KING OF KINGS [พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก] I myself see and see and see and still see...

 

.วันนี้ โลกทั้งโลก ควรจะต้องดู ชนทุกเผ่าพันธ์ควรจะต้องดู เอเซียควรจะต้องดู ยุโรปควรจะต้องดู อเมริกาควรจะต้องดู อาฟริกาควรจะต้องดู คนไทยทุกคนควรจะต้องดู ภาพยนต์อินเดียเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก หรือ ภาษาอังกฤษว่า จอมกษัตริย์แห่งมวลกษัตริย์ทั้งปวง ข้าพเจ้าเองดู แล้วก็ดู แล้วก็ดู แล้วก็ยังดู    

ฟังคนไทยวิจารณ์กันใหญ่ เรื่อง พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ว่าเรื่องราวไม่เหมือนที่เล่าเรียนมา ผมก็มองแบบนั้น แต่ผมชอบแบบที่ โมดี เขาวิจัยมา เช่นเรื่องพระยานาค 7 หัวในคัมภีร์ไทย ไม่มีหรอกครับ มีงูเห่านั่นแหละถูกแล้ว แต่เรื่องการศึกษาสมาธิ ฌานไปถึง 8 ขั้น ตามอุทกดาบส นั้น ดีมากครับ ผมเชื่อเลย เพราะผมก็ศึกษามา เรื่องนางอัมราปาลี ในเรื่อง คือผู้หญิงอินเดียคนหนึ่งที่เก่งมาก เก่งในการแสดงเป็นหญิงที่เก่งในความงาม และเป็นดาราที่เยี่ยมจริง ๆ ในด้านการเต้นรำ ขับร้อง ที่รู้สัจธรรมทางกามารมณ์ และที่ใฝ่ในหลักการหลุดพ้น ครับ อยากเห็นตัวจริง ๆ สด ๆ ของทั้ง 3 คน และอยากจะให้ โมดี มาเยี่ยมไทยบ้าง ที่จริงโมดีนี่ เหมือนอย่างพระองค์หนึ่งเลยละ มีความหวังกับเขามากเลยว่า เขาจะเป็นคนที่บุกเบิกพุทธศาสนา อย่างที่เขามองอยู่นี่แหละ ที่ตรงกับใจผมมาก ๆ เลย ไปให้ทั่วโลก โดยเฉพาะอินเดียเอง เหมือนที่เริ่มไว้ดีที่เมือง นาคปุระ

ผมว่าต่อไปอีกหน่อย ว่า ด้วยเรื่องตำหรับตำราเมืองไทย นี่แหละ ผมเคยคิดว่าควรเอาไปเผาทิ้งเสียให้หมด พอมาเห็น พุทธมหาศาสดาโลก ของ โมดี ก็เลยบอกเลยว่าคิดถูก เอาไปเผาทิ้งเสียให้หมด .....หมายความว่าอย่างนี้ละมัง ที่เรียนมาเรียนสิ่งที่โง่ ๆ มาทั้งนั้น   

 

 

 

แล้วได้มาพบ มูดี ผู้สร้าง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก มูดี เขาไม่ได้บอกว่า เวลากุมารน้อยกำเนิดออกมา ก็เป็นธรรมดา เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นมนุษย์ และ เป็นอย่างมนุษย์ เพียงแต่เมื่อทรงเติบโตขึ้นมา เริ่มแต่เป็นเยาวชนตัวน้อย ทรงกอปรด้วยดวงจิต ที่สะเทือนไปกับชีวิตที่เป็นทุกข์ ทรงเข้าไปรับรู้ในความทุกข์ของชีวิตทุกชนิด นับแต่ทรงพบอันดับแรกตลอดไป จนถึงชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย จึงทรงไม่เห็นด้วยกับการสงคราม ทำไมจะต้องฆ่ากันตายนับหมื่นชีวิต ทรงถามอย่างนี้ และนี่คือเจ้าชายน้อยผู้มาพร้อมกับมหาเมตตา มหากรุณา ภายในดวงจิตของพระองค์

 หลักการนี้ ใช้ได้กับพวกเราด้วยนะ พวกเราที่เป็น ชาวพุทธ โดยทำอะไร อย่าหวังได้ซึ่งสักการ ชื่อเสียง อย่าทำอะไรดี ๆ ที่เกิดภาพดี ๆ แต่ทำไปโดยใจอันโลภ โดยหวังได้ดิบได้ดี ทำด้วยใจคิดไม่ถูกธรรม ผิดทั้งนั้น ผิดทางทั้งนั้น และเมื่อผิดทาง ก็ไม่ถึงมรรคถึงผล นั่นเอง

การทุ่มเทชีวิตของ ดร.โมดี นี้  ทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัย ในประเด็นว่า  พุทธ เป็นวิทยาศาสตร์  และเขาได้ทำสำเร็จออกมาอย่างน่าชื่นชมยินดี ที่ปรากฎในภาพยนต์ เรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก นี้เอง  ในขั้นงานศึกษาวิจัยเอง  แล้ว  ยังนำมาเผยแผ่อย่างสุดชีวิตจิตใจ  เปรียบปานอัครสาวกยุคองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   จึงเห็นสมควรอย่างไม่ลังเลประการใดเลย ที่จะขอยกย่องเขาเป็น บุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558 ของหนังสือพิมพ์ดี  และขอให้ มูดี ได้จำเริญไปไกล ในการเผยแผ่พระพุทฅธศาสนาไปในโลกยิ่ง ๆ ขึ้น

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

5.2  ฮิมมานซู โซนี่

2. บุคคลที่ 122  ฮิมานซู โซนี่ [Himanshu Soni]

 

 

 

 

 

ฮิมานชู โซนี่ แสดงเป็น พุทธะ ในหนังเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก  มีความเหมาะสมในบทบาทมาก  แทบว่า เขาเองเป็นพระพุทธเจ้า   มีคำกล่าวชมไว้ ซึ่งเราเห็นด้วย จนยกให้คะแนนเป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558

 

I was so glad to see him; Himanshu Soni in a Thai TV today, June 22, 2016[25059] that my eyes felt a water coming out without a feeling. And I took these photoes from the TV. I ever read Hindustan Times, 11 October 2013[2556] wording that "Himanshu Soni is the new Buddha." There are other papers abroad said the alike word.I myself still find out the wrong or the mistaken act of the actor as Buddha; The Greatest Prophet of the world but I still see no mistakes. He acts well as if he was the real Buddha. I know from him today that he has to keep in his mind 9 emotions[9 levels of smadhi or SHANSMAPATTI] to act as Budha's several behaviours depending on several situations and the peoples. Yes I agree with him but I still have the question in my mind. Is Himanshu Soni the real new Buddha as the papers said ? And who is who between Himanshu Soni and Dr. Modi the builder of the great film : Buddha;The King of kings. Who is the real new Buddha? Or the both ? OK ! We have to proof it. The real Buddha who enlighten, he teach according to his kind heart to bring the people of the whole world across the ocean of troubles to the land of pure happiness.

 

ข้าพเจ้าได้บังเกิดความยินดีมากที่ได้เห็นเขา ฮิมานชู โซนี่ ในทีวีไทยช่องหนึ่งวันนี้ วันที่ 22 มิถุนายน 2559 จนมีเม็ดน้ำตาออกมาจากดวงตาทั้งสองของข้าพเจ้าอย่างไม่รู้ตัว และข้าพเจ้าได้ถ่ายภาพที่ปรากฎนี้แล้วจากทีวีช่องนั้นไว้หลายภาพ ข้าพเจ้าเองเคยอ่านพบจากหนังสือพิมพ์ ฮินดูสถานไทม์ วันที่ 11 ตุลาคม 25556 มีถ้อยคำว่า "ฮิมมานชู โซนี่ นั้นคือพระพุทธเจ้าองค์ใหม่" ยังมีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศอีกหลายฉบับที่กล่าวถ้อยคำทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าเอง ก็ยังคงค้นหาอยู่ ซึ่งสิ่งที่นักแสดงบกพร่องหรือข้อที่ผิดพลาดของเขา จากการแสดงเป็นพระพุทธเจ้า มหาศาสดาของโลก แต่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่พบสิ่งที่บกพร่องหรือผิดพลาดดังกล่าว่นั้น เขาแสดงได้ดีมากจนปานหนึ่งว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง ข้าพเจ้าได้รู้จากเขาในวันนี้เองว่า เขาได้เตรียมอารมณ์ของนักแสดงเอาไว้ถึง 9 อารมณ์(ในทางธรรมปฏิบัติหมายถึงสมาธิหรือฌานสมาบัติ 9 ระดับ) สำหรับแสดงเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงประพฤติไปให้สนอดคล้องสถานการณ์ต่าง ๆ และประชาชน คนต่าง ๆ ถูกละ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเขา แต่กระนั้นข้าพเจ้ายังคงมีคำถามต่อไปในใจข้าพเจ้า ฮิมานชู โซนี่ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อย่างที่หนังสือพิมพ์ต่างประเทศกล่าวไว้ จริงหรือ ? และ ใครเป็นใคร ระหว่างฮิมานชู โซนี่ กับ ดร.โมดี ผู้สร้างภาพยนต์ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้า กษัตริย์ผู้ทรงเดชานุภาพเหนือกษัตริย์ทั้งปวง ใครคือพระพุทธเจ้าตัวจริง ? หรือ ทั้งสองคน ? ก็คิดว่ารอดูสิ่งที่จะพิศูจน์ต่อไป นั่นคือ พุทธะ เมื่อรู้แล้ว จะสอนมนุษย์ทั้งโลก ด้วยจิตกรุณาของพระองค์ ุูุ้่้่้์ใหู้้้ข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งทุกข์์ทั้งสิ้น ไปสู่แผ่นดินที่มีแต่ความสุข่้อันบริสุทธิ์เท่านั้น  

 

และล่าสุด เราได้ทราบว่า  ฮิมานชู บินมาเพื่อเข้ากราบพระบรมศพในหลวงในพระบรมมหาราชวัง และปลีกเวลาให้แฟนคลับได้เข้าพบและเลี้ยงอาหาร พวกเรามีความสุขมาก ๆ ค่ะ 23 พ.ย.2559

นี้เอง คือเหตุผล ที่เรายกย่อง  ฮิมาน ชู โซนี่  เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2558 ของหนังสือพิมพ์ดี  และยังมีความหวังในแง่ที่ว่า  โดยความเข้าใจในวิสัยของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปในอินเดีย คงจะมีการช่วยนำพุทธศาสนากลับมาสู่อินเดียครั้งใหญ่ มโหฬารอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

5.3  ประธานาธิบดีโซเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส 

3. บุคคลที่ 123 ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งสาธารณรัฐแองโกลา 

 

 

 

 

 

 

ผู้นำแองโกลา..........   ผู้ประกาศเลิกศาสนาอิสลาม ในประเทศแองโกลา   ผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกในโลกที่สั่งแบน “ศาสนาอิสลาม” ระบุไม่เหมาะกับสังคม  

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กันยายน 2558 09:32 น. (แก้ไขล่าสุด 4 กันยายน 2558 14:33 น.) ดังต่อไปนี้  

 

เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - “แองโกลา” อดีตดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกา สร้างประวัติศาสตร์เป็นดินแดนแห่งแรกของโลกที่ประกาศแบน “ศาสนาอิสลาม” อย่างเป็นทางการ ระบุเป็นศาสนาที่มีหลักความเชื่อและการปฏิบัติขัดแย้งต่อค่านิยมของผู้คนในสังคมแองโกลาอย่างสิ้นเชิง      

รายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า แองโกลาได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศแบนศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา ออกมายืนยันที่กรุงลูอันดา เมืองหลวงของประเทศว่า “จุดจบของศาสนาอิสลาม” ในแองโกลาได้มาถึงแล้ว      

ตามคำสั่งแบนศาสนาอิสลามของรัฐบาลแองโกลานั้นระบุว่า มัสยิดทุกแห่งที่มีอยู่ในแองโกลาจะต้องถูกปิดแบบไม่มีกำหนด และห้ามชาวมุสลิมในแองโกลาที่มีจำนวนประมาณ 80,000-90,000 คนรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาในทุกรูปแบบในที่สาธารณะ      

ด้านแหล่งข่าวในรัฐบาลแองโกลาเปิดเผยว่า การตัดสินใจแบนศาสนาอิสลามแบบถาวรในครั้งนี้ ของรัฐบาลประธานาธิบดี โชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส มีขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า หลักความเชื่อและค่านิยมหลายประการของศาสนาอิสลามไม่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมแองโกลาที่มีประชากรมากกว่า 15.9 ล้านคนเป็นชาวคริสต์      

ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยของแองโกลาและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในขณะนี้จำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามในแองโกลานั้นมีอยู่ไม่ถึง 90,000 คน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรที่อพยพเข้ามาใหม่จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก รวมถึงกลุ่มประชากรเชื้อสายเลบานอนที่เข้ามาตั้งรกรากในแองโกลา

 

ซึ่งนี่เป็นประเด็นแห่ง  การนำ โลก  ไปสู่วิถีทางใหม่แห่งความเชื่อ  ซึ่งได้ค่อย ๆ เป็นมาตามลำดับยุคใหม่นี้แล้ว  และวันนี้  เมื่อท่านประธานาธิบดีโซเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งประเทศแองโกลา  ได้แสดงออกถึงความเด็ดขาดแห่งสัจธรรม เช่นนี้  จึงสมควรยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2558

 

 

 

 5.4 นางยุวดี ธัญญศิริ

4.  บุคคลที่ 124  นางยุวดี  ธัญญศิริ

 

 

 ยุวดี  ธัญญศิริ  เป็นนักข่าวด้านการเมืองมาตลอดชีวิต  เข้าออกทำเนียบรัฐบาล  รัฐสภา  และ วงการราชการมาอย่างสนิท และรอบรูู้  เรื่องราวของการเมือง อย่างดี ไม่ว่าเผด็จการทหาร คอมมิวนิสต์ และ ประชาธิปไตย

คำพูดของเธอ ตามภาพข้างต้นนั้น  เพียงพอที่เราจะยกย่องเธอ ให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558 ของหนังสือพิมพ์ดี 

คำพูดที่ว่านั้น  เกิดจากสำนึกแห่ง  ประชาธิปไตยโดยแท้จริง   เราจึงยินดีในทัศนะที่ชอบธรรมของเธอ  นั่นคือคำพูดที่ว่า

ทรราชย์ ยังรับฟังมากกว่าประยุทธ์ นายกฯคนนี้ทำอะไรไม่ฉลาด ต้องรู้จักผห่อนหนักผ่อนเบาบ้างอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีนั้น มีหน้าที่ดูแลปัญหาให้กับประชาชน ต้องเข้าใจประชาชน  ไม่ใช่ให้ประชาชนมาเข้าใจตัวเอง เราว่าเผด็จการในอดีต  สมัยจอมพลถนอม จอมพลประภาส ไม่มีปัญหากับนักข่าวเหมือนคุณประยุทธ  ผู้นำเผด็จการเมื่อก่อน ยังพร้อมที่จะรับฟัง ทำข่าวง่ายกว่ายุคนี้เยอะ

ยุวดี ธัญญศิริ
16 ตุลาคม 2557
นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

และซึ่งเป็นประเด็นของ  ประชาธิปไตยเลยทีเดียว  เราจึงยกย่องให้ ยุวดี ธัญญศิริ เป็นบุคคลแห่งปีของ หนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ. 2558 

เราจึงขอยกย่อง  ดร.มูดี,   ฮิมานชู โซนี่  ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา  และนักข่าวหญิงไทย  ยุวดี ธัญญศิริ  เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2558  ของหนังสือพิมพ์ดี  และหวังว่าท่านจะได้จำเริญงอกงามต่อไปทางปัญญา ยิ่งขึ้น  ตลอดกาลนานอนาคต  

 

 ที่สุดนี้  เราขอขอบคุณ เนื่องจากภาพในหลวงของเรา ปรากฎว่า นสพ. เวบ. ต่างชาติ ได้มีภาพในหลวง มาประกอบเรื่องของเขาทางเวบไซต์ ล้วนภาพสวยงาม  ที่เราเห็นว่า ไม่ได้หวงห้าม ได้ขอมาใช้ประกอบเรื่อง ในหลวงของเรา ในดี เล่มนี้  โดยคิดว่า  เรื่องในหลวงของเรา  คงร่วมมือกันได้เป็นการพิเศษ สำหรับคนรักในหลวง จึงขอขอบคุณ เวบและ ภาพเจ้าของภาพ ในนสพ.ต่างชาติไว้ ณ ที่นนี้ด้วย  และได้โปรดติดตามเรื่องจากหนังสือพิมพ์ดีเล่้มที่ 51 ได้ตามลำดับต่อไป

 

 

 

• บรรณาธิการ 

       25 พฤศจิกายน 2559 01.03 น. 

 

 

 

 

 

 

 

 

6.  เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว 

ภาคงานวิเคราะห์มาตรฐานดั้งเดิมแห่งหนังสือพิมพ์ดี  

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

 

 

สำหรับรายการ เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วนี้  นับว่าเป็นรายการที่เราได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง พอ ๆ กับการจัดสร้าง จัดทำหนังสือพิมพ์ดีมาแต่ต้น จนถึงปัจจุบันนี้เลยทีเดียว โดยที่มีความหมายถึงการ มองเหตุการณ์ที่เกิดในสังคม ประเทศไทย และทั่วโลก มาอย่างต่อเนื่อง และเราได้ใช้สายตามองดูและวิเคราะห์เหตุการณ์โดยมีหลักอยู่บนพื้นฐานธรรมะในพระพุทธศาสนา และ หลักศาสนาสากล มาตลอด  รวมทั้งหลักการของ ศาสตร์ทางโลกทุกสาขา  โดยเฉพาะในการพาสังคมเดินหน้าไปสู่ระบอบการปกครองที่ทันสมัยของยุคใหม่นี้ด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงมีการมองอย่างที่สอดคล้องทางรัฐศาสตร์ฝ่ายโลก และฝ่ายธรรมะมาอย่างถูกต้อง   และซึ่งปรากฎว่า  รายการเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ได้เป็นที่รู้จักโดยกว้างขวางไปกว่าเดิม และได้รับความนิยมสูง ในปัจจุบันมีผู้เข้าไปศึกษาอย่างต่อเนื่อง  ปรากฏว่า  รายการเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.2553-2554 มียอดเข้าชมถึงหลักแสนคนแล้ว วันนี้  ฉะนั้น  รายการเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว จึงถือว่าเป็นรายการหลักอีกรายการหนึ่ง  ซึ่งมองอีกด้านหนึ่ง จะพบว่า  นี่คือการแสดงพระธรรมเทศนาแนวใหม่  ที่เอาหลักธรรม ที่เ็นศาสตร์  มาร่วมมองกับหลักศาสตร์ฝ่ายโลกร่วมกัน ซึ่งที่จริงศาสตร์ทั้งหลายนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเข้าใจศาสตร์ฝ่ายธรรมะ หรือศาสนศาสตร์ หรือพุทธศาสตร์แล้วก็ง่ายต่อการทำความเข้าใจศาสตร์ฝ่ายโลกทุกศาสตร์ นับแต่ศาสตร์การเมือง หรือรัฐศาสตร์  สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์  วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา รวมไปทั้ง โหราศาสตร์ ซึ่งนี้ นับเป็นศาสตร์ดั้งเดิมของมนุษยชาติยากที่คนยุคนี้จะเรียนรู้แจ้งจบได้  ที่เริ่มศึกษามาก่อนแล้วกว่า 4 หมื่นปี  ที่เราได้นำมาแสดงอานิสงส์ของโหราศาสตร์ในดีเล่มนี้ 2 เรื่อง  ดังที่ได้นำลงมาข้างต้นแล้ว  การพิเคราะห์ปัญหาบ้านเมืองและปัญหาโลกได้อย่างมีเหตุมีผลจึงเป็นผลจากการมอง อย่างมีศาสตร์สากลเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ วิจัย  

สำหรับรายการเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วในดีเล่มที่ 51 นี้  เราจะได้รวมเอาปัญหาศาสนาสากลมาลงไว้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม และมุสลิมไทยสามจังหวัดภาคใต้ 

 

 

6.1  ประเด็นปัญหามุสลิมสามจังหวัดภาคใต้ไทย

ประเด็นปัญหามุสลิมสามจังหวัดภาคใต้ไทย

และ

ศาสนาอิสลาม

6.1.1 พัชรา กอปรทศธรรม ตอนที่ 1 สากลศาสนา - ศาสนาอิสลาม 

ตอนที่ 1  สากลศาสนา-ศาสนาอิสลาม

เริ่มต้นบทวิเคราะห์ของ พัชรา กอปรทศธรรม

เสริมด้วย พยับ ปัญญาธโร

 

 

 

 

 

 

 

23:14

พัชรา งานทวิภาคี

ท่านนบีมุฮำมัด  ได้กล่าวเปรียบเทียบสถานการณ์ ๒ ยุคสมัย 

 

คือสมัยก่อนกับสมัยของท่าน   ซึ่งผู้อ่านจะต้องทราบข้อมูลก่อนว่า  ในสมัยท่านนบีมุฮำมัดนั้น  ท่านนบีได้ถูกกล่าวหาหลายอย่างกว่าสมัยก่อนเสียอีก  เท่าที่ปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน  ท่านนบีมุฮำมัดถูกกล่าวหาว่า  เป็นนักวิทยากลบ้าง  เป็นหมอดู(บางแห่งว่าเป็นนักเขียนโหราศาสตร์  โดยมองพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่าเป็นคัมภีร์โหราศาสตร์)  บ้างเป็นนักประพันธ์หรือกวีบ้าง  จนกระทั่งกล่าวหาว่าท่านวิกลจริต  เพ้อคลั่งก็มี  ข้อความที่ว่า “ ไม่ว่าศาสนทูตใดก็ตามที่ได้มายังประชาชาติในยุคก่อนจากพวกเขาชาวมักกะห์  นอกจากประชาชาตินั้นๆ  ต้องกล่าวว่าศาสนทูตนั้นเป็นนักวิทยากลหรือเป็นคนวิกลจริต ” (ส่วนที่ ๒๗ บทที่ ๕๐ วรรคที่ ๕๒ อัซซาริยาด หน้า ๒๓๖๑)

 

23:15

พัชรา งานทวิภาคี

ท่านมุฮัมมัด    เขียนลดฐานะของพระเยซูจากพระบุตรและพระเจ้า        

 

ลงมาเป็นเพียงศาสนทูตเสมอเหมือนพระองค์  และให้ประทับในสวรรค์ชั้นที่ ๒ เท่านั้น  ในเมื่อสวรรค์อิสลามมีถึง ๗ ชั้น  แทนที่จะให้ประทับร่วมอาสน์กับพระเจ้าในสวรรค์ชั้นสูงสุดตามวาทะของพระเยซูเอง  ในเนื้อความของพระคัมภีร์ไบเบิล)  อย่างไรก็ตามท่านนบีคงจะสบายใจขึ้นเมื่อได้อ้างพระเยซูมาเกี่ยวข้องในประเด็นนี้ด้วย เพราะท่านนบีก็โดนข้อกล่าวหาอย่างเดียวกับพระเยซูว่าวิกลจริต  แต่พระเยซูโดนกล่าวหาหนักยิ่งกว่าท่านนบี

 

23:16

พัชรา งานทวิภาคี

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานสะท้อนภาพของท่านนบี มุฮำมัด

 

ดังจะพบความหมายในลักษณะการคุกคามข่มขู่ให้เชื่อ ดังตัวอย่างในพระมหาคัมภีร์อัลอุรอานหลายโองการ  เช่น “ บรรดาจอมโกหกที่ใส่ไคล้พระศาสดา  และพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานต่างๆนานานั้น  ย่อมถูกสาปแช่ง ” (วรรคที่ ๑๐ ส่วนที่ ๒๖ บทที่ ๕๐ อัซซาริยาด หน้า ๒๓๕๑) “ วันที่พวกนั้นจะได้รับคำตอบก็คือเป็นวันซึ่งพวกเขาถูกทำโทษทรมานในไฟนรกเสียแล้ว ” (วรรคที่ ๑๓ ส่วนที่ ๒๖ บทที่ ๕๐ อัซซาริยาด หน้า ๒๓๕๒) “ ขอสาบานต่อพระผู้อภิบาลแห่งฟากฟ้าและแผ่นดิน  แท้จริงสิ่งที่ถูกสัญญาไว้ในอัลกุรอานนั้น  เป็นสัจธรรมจากองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ไม่ต้องสงสัย  เหมือนเช่นสิ่งที่พวกเจ้าพูดคุยกับปากของพวกเจ้านั่นเอง ” (วรรคที่ ๒๓ ส่วนที่ ๒๖ บทที่ ๕๐ อัซซาริยาด หน้า ๒๓๕๔)

 

23:17

พัชรา งานทวิภาคี

“ แท้จริงความหายนะในวันนั้นจักประสบแก่บรรดาจำพวกที่หาว่าศาสนทูตพูดเท็จ ”

 

(วรรคที่ ๒๗ ส่วนที่ ๒๗ บทที่ ๕๑ อัฏ-ฎู๊ร หน้า ๒๓๖๗)

ในสมัยนั้นคนก็พอจะเห็นความจริงอยู่ว่า  ท่านนบีมุฮัมมัดทรงประพันธ์อัลกุรอานขึ้นมาเอง  มิใช่การดลบันดาลของพระเจ้าอัลเลาะห์แต่อย่างใด  จนปรากฏว่ามีผู้โต้แย้งขึ้นบ่อยๆ  เช่น

 

“ หรือพวกเขาพูดว่ามุฮัมมัดได้ประพันธ์กุรอานขึ้นมาเอง  ทว่าความจริงแล้วสาเหตุที่พวกเขาคัดค้านนั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่ศรัทธานั่นเอง (วรรคที่ ๓๓ ส่วนที่ ๒๗ บทที่ ๕๑ อัฏ-ฎู๊ร หน้า ๒๓๗๑)

 

23:18

พัชรา งานทวิภาคี

ดังนั้นหากพวกเขาพูดว่าระหว่างอิสราเอล  และรัฐอิสลามตะวันออกกลาง 

 

มาจนกระทั่งบัดนี้และยิวยังคงดำรงศักดิ์ศรีของความเป็นต้นกำเนิดศาสนาทั้งหลายในตะวันออกกลาง (ศาสนายูดายของยิวเป็นมารดาของศาสนาทั้งหลายที่มีพระเจ้าแห่งตะวันออกกลางรวมทั้งคริสต์และอิสลามด้วย)

สืบต่อมาจนกระทั่งบัดนี้คัมภีร์อัลกุรอาน    จึงพยายามยัดเยียดความเชื่อให้แก่ประชาชน   โดยไม่ให้อิสรภาพทางความคิดแด่มนุษยชนมาโดยตลอด  และส่วนที่ไม่เห็นด้วยอิสลามก็ใช้สงครามความรุนแรงทุกประการเป็นเครื่องมือบังคับให้เชื่อในอิสลามให้จงได้  จึงเป็นวิธีการที่ไม่ชอบธรรม  โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและความหมายสำคัญที่ไปเกี่ยวข้องกับศาสนาอื่น  จนกลายเป็นการลำเอียง  เอาความดีใส่ตัวเอาความชั่วใส่คนอื่นและเห็นแก่ตัว

 

23:18

พัชรา งานทวิภาคี

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานมีลักษณะคล้ายตำราพิชัยสงคราม

 

อิสลามไม่มีการบัญญัติเรื่องศีลไว้เลย  ในพระมหาคัมภีร์

อัลกุรอานมีแต่เรื่องการสงคราม  การรบและการเชื่อฟัง  เน้นการยอมตนทุกอย่างเพื่อพระเจ้า  แม้กระทั่งการสละชีพเพื่อการสงครามของพระเจ้า  โดยออกมาในพิธีกรรมที่มีลักษณะการจูงใจให้จำยอม   มีการละหมาดเป็นพื้น  และแท้ที่จริงอัลกุรอาน  จึงมีลักษณะคล้ายตำราพิชัยสงครามเล่มหนึ่ง  และซึ่งผู้เขียนคัมภีร์นี้  ก็คือแม่ทัพผู้นำทัพไปรบในสงคราม  มีอุบายปลุกใจนักรบอย่างไรเพื่อให้ฝ่ายตนได้รับชัยชนะ  ก็เขียนลงไปในพระมหาคัมภีร์นั้น  อัลกุรอานสอนว่า   ชีวิตปัจจุบันนี้ต้องอุทิศเพื่อการรบกับศัตรูของพระองค์  ยกบทลงโทษที่น่าเกรงกลัวหวาดหวั่นและรางวัลที่ชื่นใจภายหลังการตายไปแล้ว  และยุทธวิธีจึงกลายเป็นยุทธวิธีที่บ้าคลั่ง  จนกระทั่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นการฆ่าอย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง  เพราะฆ่าได้แม้กระทั่งคนบริสุทธิ์หรือผู้อื่นที่ประพฤติความดีที่ไม่สอดคล้องคำสอนของอิสลาม  ดังตัวอย่างโองการต่อไปนี้

 

23:19

พัชรา งานทวิภาคี

การเริ่มต้นแห่งวิถีสงครามมุสลิม มุฮำมัด    

 

อ้างว่ามาจากโองการโดยตรงของอัลเลาะห์      ซึ่ง

ปรากฎในอัลกุรอานว่า

“ แท้จริงเรา(อัลเลาะห์) ได้กำหนดความมีชัยอย่างชัดแจ้งแก่เจ้าไว้แล้ว โอ้มุฮำมัด เจ้าจะได้รับชัยชนะเหนือเมืองต่างๆ  เช่นมักกะห์ และอื่น ๆ ” (วรรคที่ ๑ บทที่ ๔๗ ส่วนที่ ๒๖ อัล-ฟัตหิ์หน้า ๒๓๑๒) 

ครั้นทรงชนะการรบที่เมกกะ (มักก๊ะห์) หลังจากชนะที่กอยซอร์ และกิซรอ ทำให้ได้รับความโปรดปรานอย่างสูงสุดจากอัลเลาะห์ และด้วยเหตุนี้ อัลเลาะห์พิจารณาว่าสมควรเป็นศาสดา  จึงทรงตั้งมุฮำมัดให้เป็นศาสนทูตทั้งในหมู่มนุษย์และญิน (ทูตสวรรค์, เทวบุตรสื่อสาร อยู่ในสวรรค์ชั้นที่๑-๓ ของอิสลาม)     ปรากฏในอัลกุรอานว่า

 

23:20

 พัชรา งานทวิภาคี

นักรบอิสลามเป็นผู้ถูกปกป้องจากการบาปทั้งปวง

 

“ และเพื่ออัลเลาะห์ทรงช่วยเจ้าอย่างมีเกียรติด้วย

การมีชัยชนะ การที่พิชิตมักกะห์ได้ นับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของท่านนบีมุฮำมัด โดยได้รับการตอบแทนจากอัลเลาะห์ครบถ้วน ๔ ประการคือ 

๑.     เป็นผู้ถูกปกป้องจากการบาปทั้งมวล (มะอ์ซูม)

๒.    ได้รับความโปรดปรานจากอัลเลาะห์ให้เป็นศาสนทูตทั้งในหมู่มนุษย์และญิน 

๓.    ได้รับการชี้นำทางอันเที่ยงตรง 

๔.   ได้รับการช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์อิสลาม        การพิชิตเมืองต่างๆได้

หลังจากมักกะห์          แม้จะโดยชนชั้นซอฮาบะห์ที่สามารถพิชิตเมืองกอยซอร        และกิซรอได้ก็ยังไม่เทียมทาน ” (วรรคที่ ๓ บทที่ ๔๗ ส่วนที่ ๒๖ อัล-ฟัตหิ์ หน้า ๒๓๑๒–๒๓๑๓ )

 

 อัลเลาะห์ทรงตั้งมุฮำมัดเป็นนบี หรือ ศาสนาทูต ในปี พ.ศ. ๑๔๕๓  หลังจากทรงตั้งแล้วก็ออกคำสั่งเด็ดขาดลงมาข่มคนมุสลิมให้หงออยู่ใต้อำนาจอย่างไม่มีวันเงย

 

 “ และผู้ใดไม่ศรัทธาในอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์แน่นอนเรา(อัลเลาะห์) ได้เตรียมเปลวเพลิงนรกอันร้อนแรงไว้แล้วสำหรับบรรดากาฟิรผู้เนรคุณทั้งหลาย”  (วรรคที่ ๑๓ บทที่ ๔๗ ส่วนที่ ๒๖ อัล-ฟัตหิ์ หน้า ๒๓๑๘)

 

 “ และอัลลาะห์มีกองทัพมลาอิกะห์จากชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็น  จำนวนมหาศาล  ที่พร้อมจะสนับสนุนกองทัพของมุสลิมีนยามออกทำศึกกับฝ่ายอริราชศัตรู ” (วรรคที่ ๔ บทที่ ๔๗ ส่วนที่ ๒๖ อัล-ฟัตหิ์ หน้า ๒๓๑๓–๒๓๑๔)

 

23:23

พัชรา งานทวิภาคี

จะเห็นว่าพระเจ้าของชาวมุสลิม  คืออัลเลาะห์          

 

ทรงกระทำแบบอย่างขึ้นแต่ต้นแล้วว่า วิถี

อิสลามคือวิถีทางสงครามและความรุนแรงล้วนๆ  ผู้กล้าหาญในการรบเท่านั้นจึงนับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ สมควรแก่บำเหน็จรางวัลอันยิ่งใหญ่ ทรงตั้งมุฮำมัดเป็นศาสนาทูต  หรือนบีของพระองค์ก็โดยเหตุทำความชอบในสงคราม  คราวชนะสงครามในเมกกะและหลังจากนั้น  ก็มีคำสั่งและคำสอนลงมาเป็นระยะๆว่าด้วยการสงครามทั้งสิ้น  ทรงนำมุสลิมไปในวิถีทางแห่งสงคราม  ทรงปรารถนาชนะโลกทั้งโลกด้วยการสงคราม ต้องการเป็นใหญ่ ให้โลกทั้งโลกเป็นอิสลามด้วยการกรีฑาทัพมุสลิมเข้าไปรุกราน  เมื่อไปปะทะกับนักรบคริสเตียนก็บัญญัติให้ชาวคริสต์เป็นกาฟิร (คนบาป คนป่าเถื่อน)  ชาวคริสต์เป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่อัลเลาะห์ ไม่ยกเว้นการให้อภัยใดใดทั้งสิ้น  จะต้องลงนรกเพลิงอย่าง เดียว ( ดูความนัยในวรรคสุดท้ายของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน)  และผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลามทั้งสิ้นเป็นกาฟิรไปด้วย  อันเป็นเป้าหมายของการปราบปรามให้อยู่ใต้อำนาจให้จงได้

 

23:25

พัชรา งานทวิภาคี

แม้ในปัจจุบันนี้ 

 

ก็ยังมีความคิดที่ล้าหลังเช่นนั้นอยู่คือความคิดอันรุนแรงเห็นว่าการแก้ปัญหาด้วยสงครามและการก่อการร้ายเป็นความชอบธรรมและเป็นบุญบริสุทธิ์  ทหารอัลเลาะห์จะฆ่าใครก็ได้ไม่เป็นบาป  คำสอนของอิสลามจึงก่อศัตรูในศาสนาแก่ตนเอง  เพราะศาสนาทุกศาสนาไม่พอใจในคำสอนของอิสลาม  จึงมีแต่ศัตรูอยู่รอบด้าน

 

23:26

 พัชรา งานทวิภาคี

ดังนั้นตั้งแต่ พ.ศ. ๑๔๕๓ เป็นต้นมา

 

ตราบจนปัจจุบันนี้ เป็นเวลา ๑,๐๙๒ ปี โลกอิสลามมิเคยว่างเว้นการรบการสงครามลย นบีมุฮำมัดทำหน้าที่เหมือนกษัตริย์ตัวแทนเทพเจ้า อ้างคำสั่งเทพเจ้ากดประชาชนลงเป็นทาสผู้รับใช้และเป็นนักรบที่เหี้ยมหาญรุนแรง ทำสงครามฆ่าฟันอย่างแรงร้ายผิดมนุษย์ ตราบสิ้นอายุลงแล้วรุ่นลูกหลานสาวกก็ทำสงครามเข่นฆ่าต่อมา ขยายอาณาเขตออกไปถึงตะวันออก และตะวันตก จากมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันตกไปถึงอาฟกานิสถาน ปากีสถาน จรดพรมแดนของอินเดียเหนือ รุกอินเดียเหนือเข้าไปเข่นฆ่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจำนวนมหาศาล  ทำลายมหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่ของชาวโลกคือ นาลันทา จนราบเรียบจมแผ่นดิน (เพราะพระสงฆ์ท่านมั่นในพรหมจรรย์ รู้กฎแห่งกรรมยอมตายแต่ไม่ยอมรบด้วย) จนศาสนาพุทธหมดสิ้นไปจากอินเดีย  และเลยไปทางจีนตะวันออก  เลยไปอินโดเนเซีย  และมาเลเซีย  ซึ่งเป็นดินแดนชาวพุทธอันกว้างใหญ่มาแต่เดิม

 

23:27

พัชรา งานทวิภาคี

แท้จริงพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคล้ายคลึงกับวรรณคดีภควัทคีตา

วรรณคดีเรื่องภควัทคีตา  ประพันธ์โดย  ฤาษีกฤษณะ  ไทวปายนวยาส  เขียนเรื่องราวขึ้นมาจากเค้าเรื่องจริงในอินเดียยุคเก่าก่อน  เคยมีสงครามใหญ่ ๒ ครั้ง  เป็นเหตุให้นักประพันธ์เขียนวรรณกรรมจากจินตนาการของมหาสงครามภารตะทั้ง ๒ ครั้ง  ที่เกิดขึ้นจริง ณ ทุ่งกุรุเกษตร  จึงเกิดมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ๒ เรื่อง  คือ  รามายณะ และ ภควัทคีตา

 

23:28

พัชรา งานทวิภาคี

ภควัทคีตา 

 

ประพันธ์โดย  ฤาษีกฤษณะ  ไทวปายนวยาส  กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของสงคราม  ดังนี้  เมื่อทั้งสองฝ่ายเคลื่อนทัพมาพบกันแล้ว  อรชุนแม่ทัพใหญ่ข้างพระกฤษณะ  ได้บังเกิดความท้อพระทัยในการรบขึ้นมา  และจะไม่ยอมออกรบ  ข้อคิดอยู่ที่สัจธรรมที่ว่า  ตามธรรมดาเมื่อมีสงครามสองฝ่าย  ต่างฝ่ายก็ปรารถนาชัยชนะ  ไม่มีใครปรารถนาความพ่ายแพ้  เพราะหากแพ้สงครามก็ย่อมหมายถึง  การสูญเสียเอกราช  เสียแผ่นดิน  เสียสิ่งของผู้คนที่รักหวงแหน  เสียอิสรเสรีภาพเพราะต้องถูกกวาดล้างไปเป็นข้าทาสของฝ่ายชนะสงคราม  แต่จากสถานการณ์ทุ่งกุรุเกษตรเวลานั้น  กฤษณะนายสารถีรถศึกของอรชุน  ได้เห็นแล้วว่า  อรชุนบังเกิดความกริ่งเกรง  ทรงเห็นข้าศึกเข้าแล้วอ่อนพระทัย  ท้อถอยในการรบ

 

23:28

พัชรา งานทวิภาคี

กฤษณะซึ่งเป็นตัวละครที่สะท้อนความคิดจินตนาการ

 

ของฤาษีกฤษณะ  ไทวปายนวยาส  ก็มองเหตุการณ์อย่างสามัญชนคนธรรมดาๆนี่เอง  ว่าเมื่อแม่ทัพท้อถอยเสียแล้วเช่นนี้  การรบก็ย่อมพ่ายแพ้ได้  และแน่นอน  กฤษณะย่อมมีความปริวิตกหวาดหวั่นอย่างยิ่งต่อความปราชัยในสนามรบ  ไม่ประสงค์ให้ฝ่ายตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการสงคราม  จึงคิดอุบายการปลุกเร้าจิตใจแม่ทัพด้วยปัญญาและด้วยวาทะศิลป์อันล้ำเลิศประเสริฐสุดยอดทุกชั้นเชิง  เพื่อโน้มน้าวจิตใจให้อรชุนฮึกเหิมขึ้นมาให้จงได้  โดยไม่ได้คำนึงว่าการพูดของพระองค์จะเป็นธรรมหรือเป็นสัจจะหรือไม่เพียงใด  ทรงประสงค์อย่างเดียวคือ  พูดอย่างไรก็ได้  เพื่อเร้าใจให้อรชุนฮึกเหิมขึ้นมาจนพร้อมรบอย่างองอาจไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป  วาทะขององค์กฤษณะอันเป็นจุดสุดยอดของปรัชญาซ่อนเงื่อนของเรื่อง  ดังตัวอย่างต่อไปนี้

 

23:29

 พัชรา งานทวิภาคี

“ อรชุน! เหตุใดท่านจึงทำใจให้หดหู่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้เล่า 

 

ความท้อแท้เช่นนี้น่าจะเป็นวิสัยของอนารยชน  หาใช่วิสัยของอารยชนเช่นท่านไม่  มันคือทางปิดกั้นมิให้เราเข้าประตูสวรรค์   อนึ่งเล่าความท้อถอยนี้จะนำมาซึ่งความเสื่อมเกียรติ  อย่าเพิ่งท้อแท้สิ อรชุน  ความอ่อนแอเช่นนั้นไม่สมควรกับท่านผู้เป็นนักรบเลย  จงขจัดความอ่อนแอในจิตใจ  แล้วลุกขึ้นสู้เถิดสหาย (หน้า ๙)

 

ไม่ว่าเรา, ท่าน, หรือราชบุตรเการพเหล่านั้น  ทั้งหมดไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย  อาตมันที่สิงอยู่ในร่างกายของเราต่างหากที่ลอยล่องผ่านร่างเด็ก, ร่างหนุ่มสาว,และร่างชราของเราไป  อาตมันนี้ย่อมจะเข้าสิงอาศัยร่างใหม่เรื่อยไป  เมื่อร่างเก่าชำรุดจนใช้งานไม่ได้  ผู้มีปัญญาย่อมไม่คลางแคลงใจในเรื่องนี้ (หน้า ๑๐-๑๑)

 

23:29

พัชรา งานทวิภาคี

มันคืออาตมัน 

 

มันสิงสู่อยู่ในร่างกายมนุษย์  มันคือภาวะนิรันดร์เหนือการพิสูจน์หยั่งรู้  ใครก็ตามที่คิดว่าอาตมันนี้เป็นผู้ฆ่า  หรืออาตมันนี้เป็นผู้ถูกฆ่า  คนผู้นั้นไม่รู้ความจริง  เพราะอาตมันนี้ไม่เคยฆ่าใคร  และใครฆ่าไม่ได้  อาตมันนี้ไม่เกิดไม่ตาย  เป็นสภาวะนิรันดร์เที่ยงแท้ไม่มีแปรเปลี่ยน  เมื่อร่างกายของคนถูกฆ่า  อาตมันหาได้ถูกฆ่าตามด้วยไม่

                อรชุน!  ใครก็ตามที่รู้ซึ้งถึงอาตมันอันเป็นสภาวะนิรันดรไม่รู้จักพินาศแตกดับอย่างนี้แล้ว  เขาผู้นั้นจะได้ชื่อว่าฆ่าใครหรือถูกใครฆ่าอยู่หรือ ”  (หน้า ๑๑-๑๒)

 

23:31

พัชรา งานทวิภาคี

ปรมาตมันไม่รู้จักสิ้นสูญเป็นสภาวะอมตะ

 

ไม่ได้เกิดจากอะไร  ไม่มีใครทำให้ปรมาตมันเกิดขึ้น  แม้ว่าปรมาตมันนั้นจะตั้งอยู่ในร่างของคนที่กระทำกรรม  ผลของกรรมก็มิได้แปดเปื้อนมาถึงปรมาตมัน (หน้า ๙๒)

อรชุน !  เราคือปรมาตมัน !  เราคือผู้สูงสุดเหนือสรรพสิ่งในจักรวาล !  ผู้ใดทราบความจริงอันนี้  ผู้นั้นชื่อว่าหยั่งทราบแล้วซึ่งสรรพสิ่งในโลก ” (หน้า ๑๐๑)

 

23:31

พัชรา งานทวิภาคี

ความหมายของธรรมของพระกฤษณะ 

 

โดยความคิดของฤาษีผู้ประพันธ์  มีคำอธิบายอย่างค่อนข้างชัดเจน อยู่ในเรื่องลัทธิรหัสยลัทธิ  ในหนังสือกามนิต  ซึ่งเสถียรโกเศศและนาคะประทีปแปลจาก  The Pilgrim Kamanita  ตอนสำคัญซึ่งอ้างไว้ว่าเอามาจากพระเวท  และภควัทคีตาเล่มนี้  โปรดพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น  ดังนี้

“ เพราะความว่างเปล่า  หมายความตามหลักแห่งเหตุผล  คือว่าถ้าข้าพเจ้าตัดหัวคนหรือหัวสัตว์  ดาบของข้าพเจ้าฟันเข้าไปในระหว่างอนุปรมาณูอันแยกไม่ได้  เพราะอนุปรมาณูนี้มีลักษณะแยกไม่ได้โดยแท้  ดาบของข้าพเจ้าจึงไม่ได้ฟันอนุปรมาณู  เพราะฉะนั้นดาบที่ฟันลงไป  จึงเป็นการฟันในที่ว่างเปล่าระหว่างอนุปรมาณู  ก็ความว่างเปล่าใครเล่าจะเป็นผู้ทำอันตรายได้?  เพราะการทำอันตรายในสิ่งที่ไม่มีก็เท่ากับไม่ได้ทำอันตรายในสิ่งไร  ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เอาดาบฟันลงไปในที่ว่างเปล่า  จึงไม่ต้องรับผิดและจะรับเทวทัณฑ์ไม่ได้ ”    (เสถียรโกเศศ  และ  นาคะประทีป กามนิต ฉบับสมบูรณ์  อมรการพิมพ์ พระนคร ๒๕๑๕  หน้า ๙๔)

 

23:32

พัชรา งานทวิภาคี

จะเห็นว่าวรรณคดีดังกล่าว 

 

คือหัวใจคาถาที่ปลุกใจของหมู่โจร  ที่ยกมาปลุกใจหมู่โจรด้วยกันให้เกิดความฮึกเหิมในการปล้นฆ่าต่างๆ  ตามเนื้อเรื่องในหนังสือกามนิต  และนั่นคือ  ที่มาแห่งสงครามใหญ่ทุ่งกุรุเกษตร  เมื่ออรชุนยอมจำนนด้วยชั้นเชิงแห่งวาทะ  จนถูกกล่อมล้างสมองโดยราบคาบจากพระกฤษณะนายสารถีรถศึก  จนถึงกับออกปากว่า 

 

“ ข้าแต่องค์กฤษณะ!  ข้าหายสงสัยแล้ว!  เวลานี้จิตใจของข้าปลอดโปร่งขึ้นมาก!  ข้าพร้อมแล้วที่จะทำตามคำสั่งของพระองค์ (หน้า ๑๒๐)

 

                ภควัทคีตา  จึงเป็นเพียงหนังสือที่ท้าวความถึงวาทะที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การสงครามของชนเผ่าในอินเดีย  และความสำคัญของวาทะนั้นอยู่ที่  การเป็นบทปลุกใจแม่ทัพนักรบที่ยิ่งใหญ่ให้กล้ารบ  และในที่สุดสามารถเอาชนะสงครามใหญ่ได้เท่านั้นเอง  โดยมิได้คำนึงว่าวาทะนั้นเป็นสัจธรรมหรือไม่

 

23:33

พัชรา งานทวิภาคี

ศาสนาของพระเจ้าเกิดจากจินตนาการของกวี

หากพิจารณาด้วยหลักวิชาการทางประวัติศาสตร์และวรรณคดี  และวิวัฒนาการเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อของมนุษย์ จะเห็นว่าคำสอนในศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหลาย ล้วนมาจากความเห็นและจินตนาการของกวีผู้ประพันธ์เรื่องนั้นๆ  คำสอนนั้นอาจมีเหตุผลมากบ้าง  น้อยบ้าง  หรือไม่มีเหตุผลเลยย่อมขึ้นอยู่กับ  ความเชื่อและระดับสติปัญญาของผู้ประพันธ์  รวมไปถึงความต้องการผูกเรื่องจินตนาการเพ้อฝันให้เรื่องที่ประพันธ์มีอรรถรสเท่านั้น  แต่กลับกลายเป็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่ออย่างซาบซึ้งฝังใจแนบแน่นกับอรรถรสของวรรณคดีเรื่องนั้นๆ  จึงทึกทักว่าจินตนาการของกวีเป็นจริงเป็นจัง  แล้วพยายามนำมาผูกโยงให้เป็นเรื่องศาสนา  และกระพือโหมการโฆษณาชวนเชื่อไปในหมู่คนที่โง่เขลา  จนกลายเป็นศาสนาของพระเจ้าอยู่ในขณะนี้

 

23:34

พัชรา งานทวิภาคี

การบังคับข่มขู่ให้เชื่อเท่ากับไม่ยอมให้พิสูจน์ความจริง

สรุปลงว่า  ถ้อยคำทั้งหมดในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน  เป็นถ้อยคำของพระเจ้า  ซึ่งมุสลิมจะต้องเชื่อทุกถ้อยคำดังวาทะว่า “ อัลกุรอานเป็นโองการอันแท้จริงของพระองค์ ” การสอนให้เชื่อโดยไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ไตร่ตรอง  ใช้สติปัญญาพิจารณาดูเหตุและผลที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ก่อนจึงเชื่อได้  เป็นต้นเหตุให้เกิดความงมงายและความงมงายได้ครอบงำมนุษย์  จนไม่มีวิธีการของตนเองในการพิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดบนโลกมนุษย์นี้ด้วยเหตุผลตามความเป็นจริงได้  ตามแต่จะถูกครอบงำด้วยความเชื่อของลัทธิศาสนาใดๆ

 

23:35

พัชรา งานทวิภาคี

ดังนั้นชาติที่เจริญด้วยวิทยาการสมัยใหม่  จึงได้ปฏิเสธคำสอนของพระเจ้า

 

 เพราะได้พิสูจน์แล้วว่า  คำกล่าวของพระเจ้าในคัมภีร์ทางศาสนาเป็นวิธีการปกครองโดยใช้อำนาจเผด็จการทางความคิด  ซึ่งมนุษย์ที่ฉลาดมองว่าเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพทางสติปัญญาของความเป็นมนุษย์  ดังนั้นทางรอดของศาสนาจึงมีเพียงวิธีการเดียวก็คือ  เปิดโอกาสให้ชาวโลกได้ศึกษา  พินิจพิเคราะห์หลักคำสอนนั้นได้ด้วยวิทยาการสมัยใหม่อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อันจะช่วยจรรโลงการศาสนาสากลให้เป็นทางรอดสำหรับมนุษยชาติ  และเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก

 

23:35

พัชรา งานทวิภาคี

ผลจากการที่มนุษย์ไม่เข้าใจศาสนา

 

ฉะนั้น จึงพอสรุปได้ว่า  เมื่อมนุษย์นับถือศาสนาอย่างไม่เข้าใจศาสนา  ศาสนาก็มิได้นำความสงบสุขมาสู่โลกเสมอไป เพราะเมื่อมีศาสนาเกิดขึ้น ก็มีสงครามศาสนาตามมาเช่นนี้  ก็เห็นอยู่อย่างชัดเจนว่า  การศาสนาเป็นที่มาของความเดือดร้อนลำบากยากจนของมวลมนุษย์ และคำสอนนั้นน่าจะเป็นคำสอนที่หลอกลวงเสียมากกว่าจะเป็นความจริง   เพราะ หากศาสนามิได้นำมาซึ่งความสงบ  ไม่สร้างภูมิปัญญาแห่งความรู้แจ้งสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง  และไม่เป็นบ่อเกิดของสันติภาพแห่งโลกมนุษย์แล้ว ศาสนาก็ไม่ให้คุณอย่างไรแก่มนุษย์  จักควรชื่อว่าเป็นศาสนาได้อย่างไร ?

 

23:36

พัชรา งานทวิภาคี

ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องศึกษาศาสนาสากล

 

ข้อสรุปในเรื่องศาสนาสากลบทนี้  ก็คือ เรื่องการศาสนาสากล เป็นสิ่งที่จำเป็นที่มนุษย์ยุคใหม่ต้องศึกษา เพื่อให้ทราบและเข้าใจที่ไปที่มาอย่างถ่องแท้ของการมีศาสนานั้น ๆ  และเมื่อเราได้เรียนรู้ก็จะทราบเบื้องหลังของศาสดาผู้สอนศาสนานั้น ๆ  อย่างเป็นวิทยาการที่มีเหตุมีผลแล้ว  เราก็จะได้พบความจริงว่า  ศาสดาทั้งหลายนั้นเอง  ที่พามนุษย์ทั้งหลายไปสู่ความเหลวไหล  และไปสู่พันธกรณี ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีตัวตน จนเป็นภาระอันยิ่งใหญ่ อย่างทาสที่ไร้อิสรภาพของศาสนิกชนทั้งหลายโดยมากในทุกวันนี้

 

23:36

พัชรา งานทวิภาคี

การศึกษาศาสนาสากล

 

มีผลประโยชน์ที่จะได้ก็คือ  เมื่อมนุษย์ได้หลุดพ้นไปจากพันธนาการที่โง่เขลา  ที่ศาสดาแห่งศาสนาต่างๆสอนไว้แล้วก็จะสามารถมองปัญหาของมนุษย์อย่างมีอิสรภาพ  ไม่ถูกครอบงำทางสติปัญญาและมันสมอง   จากศาสดาแห่งศาสนาทั้งหลาย ผู้อ้างคำสอนของพระเจ้า  จากคัมภีร์ศาสนาของพระเจ้าต่างๆเสียที  และเป็นมนุษย์ผู้ฉลาด  มีสติปัญญามองโลกมองสิ่งทั้งหลายด้วยสติปัญญาของตนเองตามเหตุตามผลที่เป็นวิทยาการอย่างวิทยาศาสตร์  อย่างเป็นอิสรชนและมองอย่างมีเหตุมีผลอย่างมนุษยชนผู้เจริญด้วยศิลปวิทยาการแล้วหรืออย่างน้อยก็เป็นมนุษย์ฉลาด โฮโมซาเปียน  สมองโตมีขนาดซีซี.สูงกว่าต้นตระกูลมนุษย์ คือโฮโมอีเล็คตัส  มนุษย์วานร เมื่อ ๑.๘ ล้านปีโน้น  และเริ่มต้นศึกษาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์อันแท้จริงต่อชีวิตมนุษย์  จากการศึกษาวิทยาศาสตร์ภาคจิตใจของมนุษย์  และศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์  ศาสนาแห่งสันติภาพ  ศาสนาแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีใจเป็นอิสรภาพแท้จริงต่อไป

 

23:44

 พัชรา งานทวิภาคี

บทสรุป สงครามครูเสดหรือสงครามไม้กางเขน

 

ได้เกิดขึ้นระหว่างคน 2 ศาสนาคือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ตั้งแต่ ค.ศ.1095-1291 รวมเวลา 196 ปี มันเป็นแผลฝังลึกแห่งความเกลียดชังของผู้มีศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว ระหว่างศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม นี่คือเหตุผลว่าทำไมโลกอาหรับจึงรบกับยิว รบกับยุโรปและอเมริกาอย่างบ้าคลั่ง จนไม่มีวี่แววว่าสงครามจะสงบ และในวันนี้กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงก็ได้จุดกระแสแห่งไฟสงครามขึ้นมาอีกครั้งดังที่เราได้เห็นในข่าวต่างประเทศเผยแพร่ไปทั่วโลก

 

 

 

 

 

6.1.2  พยับ ปัญญาธโร การโฆษณาชวนเชื่อ 

23:50 พยับ ปัญญาธโร

การโฆษณาชวนเชื่อ  

                                      

ที่ว่า  ต้นตำหรับการโฆษณาชวนเชื่อที่ยิ่งใหญ่ในโลกใบนี้  ก็มาจากศาสนาคริสต์ - อิสลาม  นั้น .... ก็ลองอ่านดูวาทะนี้นะครับ   เป็นข้อความจากพระคัมภีร ที่ จอห์น สาวกคนสำคัญได้บันทึกเอาไว้ ระยะเริ่มแรกประกาศศาสนา   ว่าดังนี้  ....

<<< For God so loved the world that He gave His only- begotten Son, so that  whoever believe in Him should not perish, but have everlasting life. >>> จาก  Holy Bible [placed by The Gideon] John 3/16   คำแปล ว่าดังนี้ 

<<< เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ >>> 

 

เป็นถ้อยคำเท็จ  ที่เป็นวาจาที่ไม่จริง   เป็นการโกหก ๆ จนคนเชื่อว่าจริง เลย  ตามการยืนยันของนักวิทยาศาสตร์ชั้นหลัง  และการเห็นจริงของชนยุคใหม่ ยุควิทยาศาสตร์  ....  แต่คำเท็จนี้  ได้มีคนเชื่อ  ว่าจริงจนเลื่อมใส อย่างมากมายมหาศาล เชื่ออย่างที่กล่าวเท็จมาจริง ๆ  ดังมีรายงานว่า  ได้มีการแปลออกไปสู่ภาษาต่าง ๆ ของโลกถึง 1100 ภาษา แต่ที่เป็นภาษาสำคัญจริง ๆ ของโลกแปลไปถึง 25 ภาษาของโลก ที่ มีคน3 ใน 4 ส่วนของประชากรโลก ชื่นชมยินดี และศรัทธาในเรื่องนี้ .........

 

แล้วเรื่องทั้งหมด  ในพระคัมภีร์ไบเบิล  โดยเฉพาะส่วนที่กล่าวถึง การสร้างโลก  ก็เป็นความเท็จทั้งสิ้น  แต่เขาพูดเท็จ จนคนทั้งโลกเชื่อตามได้    จึงเรียกว่า  การโฆษณาชวนเชื่อ   ดูให้เข้าใจนะครับ  ยุคนี้ จึงมีคนเอามาศึกษากันมาก ในเรื่อง การโฆษณาชวนเชื่อ จนได้ทฤษฎีสำคัญ ๆ ของการโฆษณาชวนเชื่อออกมา  โดยเฉพาะทฤษฎี ที่ว่า   The Sun also rises.  กับ   All that glitters is not gold  ที่นักการเมือง นักโฆษณาการเมือง เอามาใช้อยู่ขณะนี้  และใครก็ตาม หากเข้าใจ ก็สามารถนำเอาทฤษฎีนี้ไปใช้โกหกคนให้เชื่อได้ เช่นเดียวกัน(ดูตัวอย่างจากเจ๊กลิ้มนะครับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ผ่านมา)

 

 

23:57

พัชรา งานทวิภาคี

สิ่งที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมดนี้

 

ต้องขอขอบพระคุณท่านปัญญาธโรภิกขุ เป็นอย่างสูงที่ท่านได้มีวิริยะอุตสาหะในการศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ไบเบิลหลายฉบับ และคัมภีร์อัลกุรอานทุกเล่ม และเมื่อดิฉันได้อ่านคัมภีร์ทัง 2 ศาสนาจึงรู้ว่านักการศึกษาประวัติศาสตร์ นักการศึกษาการศาสนาของไทยละเลยการศึกษาประวัติศาสตร์ที่สำคัญส่วนนี้ได้อย่างไร ดิฉันถึงสงสัยว่าทำไมคนไทยถึงเชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ตรงนี้น่าคิดนะว่าการศึกษาของเราขาดประสิทธิภาพ การศึกษาของเราตั้งแต่ระดับประถมจนจบมหาวิทยาลัยไม่ส่งเสริมให้เด็กสงสัย คิดและตั้งคำถาม หาเหตุผลมาประกอบ มันจึงเป็นความเชื่อตามกระแสที่พูดๆกัน แม้ในตำราที่เราเรียนเวลาพูดถึงศาสนาอื่นเราก็พูดด้านดีงามเพียงอย่างเดียว โดยไม่รู้ว่าคัมภีร์จริงๆเขาเขียนว่าอย่างไร ที่เราเรียนมันไม่ใช่เนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิลหรือในคัมภีร์อัลกุรอาน แต่มันคือตำราที่เขียนขึ้นในสมัยหลังเพื่อให้เราเข้าใจว่าคัมภีร์ทั้ง 2 ศาสนาสอนเช่นนี้

 

2016.02.21 วันอาทิตย์

00:01

พยับ ปัญญาธโร

ที่ว่า  ต้นตำหรับการโฆษณาชวนเชื่อที่ยิ่งใหญ่ในโลกใบนี้  ก็มาจากศาสนาคริสต์ - อิสลาม  นั้น .... ก็ลองอ่านดูวาทะนี้นะครับ   เป็นข้อความจากพระคัมภีร ที่ จอห์น สาวกคนสำคัญได้บันทึกเอาไว้ ระยะเริ่มแรกประกาศศาสนา   ว่าดังนี้  ....<<< For God so loved the world that He gave His only- begotten Son, so that  whoever believe in Him should not perish, but have everlasting life. >>> จาก  Holy Bible [placed by The Gideon] John 3/16 คำแปล ว่าดังนี้  <<< เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ >>>  คิดว่า  จะยังไม่เข้าใจดี  จะขออธิบายเพิ่มเติมไปสักหน่อยนะครับ

 

00:03

พัชรา งานทวิภาคี

หากระบบการศึกษาไทย สอนให้คิดวิเคราะห์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

 

เราคนไทยคงจะตั้งคำถามว่า " เอ๊ะถ้าคัมภีร์ของศาสนาที่มีพระเจ้าสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แล้วสงครามศาสนาระหว่างคริสต์-อิสลามมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตั้ง 196 ปี ในดินแดนปาเลสไตน์ และสงครามในไอร์แลนด์เหนือระหว่างศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคกับนิกายโปแตสแตนท์อีก 84 ปี

 

00:05

 พยับ ปัญญาธโร

คำว่า  His only-begotten Son 

 

พระบุตรองค์เดียวของพระองค์(ยะโฮวา)  ก็คือ  พระเยซูคริสต์ นั่นเอง  คำนี้เป็นคำของ สาวก  ชื่อ  John  จอห์น  .....ความหมายก็คือ   ว่าพระเยซูมิใช่มนุษย์เหมือนพวกเรา   แต่เป็นบุตรพระยะโฮวา ลงมาจากสวรรค์  มาเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์  ..........   มนุษย์สมัยนั้นจึงเชื่อ    แม้เป็นคำพูดที่โกหกพกลมอย่างที่สุด

 

00:17

พยับ ปัญญาธโร

ที่เป็นเรื่องโกหกอย่างยิ่งก็คือ  

 

ว่าพระเยซู คริสต์ เมื่อถูกตรึงตายบนไม้กางเขนแล้ว เสียชีวิตไปนั้น  ทหารโรมที่ปกครองเยรูซาเล็ม ก็เอาพระศพไปไว้ในถ้ำ  เอาทหารสี่นายเฝ้าหน้าถ้ำ .....  แล้วสาวก  มีจอห์น  ลูกา  แมททิว  และ มาระโก  เขียนเป็นคัมภีร์ไว้ตรงกัน ว่า  พอไปได้คืนที่ 3 พระเยซูก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา  และออกไปนอกถ้ำ  โดยพวกทหารที่เฝ้าถ้ำไม่รู้ตัวเลย  ก็ไปพบสาวกที่ชายทะเลสาปกาลิลี  ก็ว่า สาวกก็นึกว่าเป็นคนเป็น ๆ  ไม่นึกเลยว่าทรงตายไปแล้ว  แต่ทรงฟื้นขึ้นมาใหม่ มาอยู่กับสาวกเหมือนอย่างเดิม  จนครบ 7 วันก็บอกสาวกว่าจะต้องกลับไปสวรรค์แล้ว  แล้วพระองค์ก็บอกลาสาวกและยกมือขึ้นไปข้างบน  ทรงเลื่อนพระองค์สูงขึ้นไป ๆ ๆ จนหายไปบนท้องฟ้า  และไปอยู่กับพระเจ้ายะโฮวาบนสวรรค์  นั่งอาสนะเดียวกัน ข้างซ้ายของพระเจ้า ......    นี่แหละเป็นเรื่องที่โกหกอย่างเด็ดขาด   และคนเชื่อ  จนมีการจัดงานวันฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นทุกปี  เรียกว่า วันฟื้นคืนพระชนม์ ที่ชาวคริสต์ถูกโกหกพกลม จนเชื่อและศรัทธาอย่างสนิท  จนจัดงานวันฟื้นคืนพระชนม์  กันทุกปี ......   นี่แหละ   การโฆษณาชวนเชื่อ

 

00:34

พัชรา งานทวิภาคี

แล้วพากันเข้าใจไปว่าคัมภีร์ของศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียวเขาเขียนดีแล้ว

 

สอนให้คนเป็นคนดี แต่มีคนไม่หวังดีเอาคำสอนไปบิดเบือนให้ร้าย ความแตกต่างระหว่างศาสนาที่มีพระเจ้ากับศาสนาที่ไม่มีพระเจ้ามันมีคำสอนที่ตรงกันข้ามกันค่ะ คนที่ไม่มีสติปัญญาลึกซึ้งจะอ่านคัมภีร์ทางศาสนาไม่เข้าใจ ว่ามีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ ศาสนาที่มีพระเจ้าศาสดาผู้เผยแผ่ศาสนาเขาต้องการมีอำนาจ มีความเป็นใหญ่เหนือคนอื่น เหนือลัทธิความเชื่อที่ไม่เหมือนตน และเมื่อศาสดาล้มหายตายจากไปแล้ว สาวกรุ่นต่อๆมาก็แสวงหาอำนาจต่อไปอีกโดยอ้างว่าเป็นศาสนทูตรับโองการมาจากพระเจ้า ดังนั้นจึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ยุยงปลุกปั่นประชาชนให้เกลียดชังลัทธิความเชื่ออื่น ศาสนาที่มีพระเจ้าจึงยึดมั่นในอัตตาตัวตนสูงสุด และเมื่อเอาชนะด้วยวาทะไม่ได้ก็ใช้สงคราม ส่วนศาสนาทีไม่มีพระเจ้าท่านมุ่งสอนให้เอาชนะใจตัวเอง มีใจเป็นอิสรภาพปลอดพ้นจากความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะผู้ที่พ้นแล้วจะมีจิตไม่หวั่นไหวเหมือนภูเขาที่ถูกพายุพัดย่อมไม่ระคายแม้แต่น้อย

 

00:40

พยับ ปัญญาธโร

ส่วนพระมหาคัมภีรอัลกุรอาน  ก็พูดตามพระคัมภีรไบเบิล

 

เริ่มตั้งแต่เรื่องพระเจ้าสร้างโลก.......อัลกุรอานก็ยอมรับว่า  โลกเราเกิดขึ้นมาจากอิทธิปาฏิหาริย์ของพระเจ้า....แต่เป็นพระเจ้าอัลเลาะห์   ไม่ใช่พระเจ้ายะโฮวา  แล้วนบีมุฮำมัดก็รู้ดี  อวดว่าตนรู้ดีไปอีก   อวดว่า  ที่ไบเบิลว่า พระเจ้ายโโฮวาสร้างโลกเสร็จในวันที่ 6   วันที่ 7  ก็ทรงพักผ่อน ...ไบเบิลว่าดังนี้ครับ 

<<<On the seventh day  God ended His work  which He had been doing: He rested on the seven day from all work >>>  

คำว่า  rested  แปลว่า  พักผ่อน .....คำนี้เอง  ที่ มุฮำมัด ศาสดาอิสลาม  ไปตำหนิว่า  พระเจ้ายะโฮวาไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง  พระเจ้าอัลเลาะห์ต่างหากที่ทรงสร้างโลก  เพราะพระเจ้าจริง ๆ ทรงงานไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยจนต้องนอนพัก อย่างที่ไบเบิลบทนี้อ้างไว้ว่า ถึงวันที่ 7 พระยะโฮวาก็ทรงพักผ่อน [rested] เพราะทรงเหนื่อยมา 6 วันแล้ว

 

00:40

พยับ ปัญญาธโร

อย่างที่ว่าไว้ในไบเบิล  ว่าวันที่ 7 พระองค์ทรงพัก 

 

จึงไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงอำนาจจริง  อัลเลาะห์ต่างหาก ที่ทรงสร้างโลก  เพราะพระองค์สร้างโลกโดยไม่ต้องพักผ่อนเลย  ....แล้วเมื่อพระคัมภีร์อัลกุรอานรับรองเรื่องพระเจ้าสร้างโลก   ........   ก็นั่นแหละ  เป็นการโกหกคำใหญ่  .....ก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ  ที่โฆษณาไป  แม้โกหก แต่คนมุสลิม ๆ ก็เชื่อ  .....   นี่เป็นตัวอย่างยกมาประกอบเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นครับ   ยังไม่ได้ไปเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ ๆ  ในคัมภีร์ทั้ง 2  ไบเบิล   อัลกุรอาน   แต่ที่คุณพัชราเล่าไปนั้น  ถือเป็นการกรุยทางไปอย่างแหลมคมมากเลย    คนในโลก  จะต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งที่เป็น  วาจาจริง  จริง ๆ  นะครับ  ต้องไม่โกหก    และ นั่นคือ  พุทธศาสนา

 

01:16

พัชรา งานทวิภาคี

วันนี้ได้อ่านข่าวในยูทูปสำนักข่าวเอบีนิวส์ทูเดย์

 

เขาสัมภาษณ์ชาวคริสต์ในอิรัคที่หนีรอดจากกลุ่มไอเอสมาได้ เขาบอกว่าในอิรัคคนศาสนาอื่นคงอยู่ไม่ได้มันโหดเหี้ยมมากเลยค่ะ ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิง คนชรา และกลุ่มไอเอสได้ตามฆ่าล้างเผ่าพันธ์คริสเตียนลามไปหลายประเทศแล้ว เขาบอกว่ารัฐบาลของประเทศที่เขาอาศัยอยู่ก็คุ้มครองเขาไม่ได้ นี่แหละมหาอำนาจเขาเลยต้องถล่มก่อนที่จะขยายไปทั่วทุกภูมิภาค

 

 

 

 

ภาพประเทศปัญหามุสลิม อิสลาม ตะวันออกกลาง
โปรดดูเส้นสีแสดในประเทศซีเรียและอิรัค บอกถึงดินแดนในการควบคุมของ IS [Islam States]

 

 

 

 

ภาพ  เหตุการณ์อพยพในซีเรีย ตั้งแต่ ไอซิส(กลุ่มนักรบศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอัลเลาะห์ ศาสนาอิสลาม) ปฏิบัติการเข่นฆ่ามาแต่เริ่มต้น ปี 2556  ชื่อภาพ  Syrian - refugees (จากข่าวต่างประเทศ) ส่วนการอพยพ เช่นนี้  มีจำนวนผู้อพยพร่วม 10-11 ล้านคนเข้าแล้ว  
การตาย นับมาถึง 4 ปีเศษ ๆ ในซีเรียมีการตายไปเรื่อย ๆ  ขณะนี้เข้าประมาณ 250,000 คน (พยับ ปัญญาธโร แทรกภาพ) 

 

 

01:24

พัชรา งานทวิภาคี

ที่จริงมีคลิบด้วย แต่ดิฉันว่ามันโหดร้ายมากก็เลย

 

ไม่เอามาลง ลองเข้าไปดูประวัติ นายจีฮัด จอห์น นักรบไอเอสที่โหดเหี้ยม ที่กำลังถูกล่าตัวตอนนี้ ในข่าวบอกว่าเขามีเชื้อชาติคูเวต แต่เกิดในลอนดอน มีการศึกษาดี ในข่าวบอกว่าเขาเป็นคนถูกเหยียดเชื้อชาติมาตั้งแต่เด็ก พฤติกรรมก้าวร้าวการทรมานเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมทำให้เขามีความสุข

 

01:35

พัชรา งานทวิภาคี

ขอตั้งข้อสังเกตนะคะ ที่วัดป่าบ้านยางใหญ่นำมาเผยแพร่ในไลน์บ่อยๆ

 

มันเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด หรือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ขาดการพิสูจน์ สิ่งที่จะทำให้น่าเชื่อถือก็คือบอกที่ไปที่มาที่สาวไปหาต้นตอของข้อมูลได้ ดิฉันเขียนเรื่องคัมภีร์ไบเบิล และคัมภีร์อัลกุรอาน จะบอกแหล่งที่มาให้คนอ่านไปสืบค้นจากคัมภีร์ฉบับนั้นๆได้เลย  แม้แต่ท่านปัญญาธโรเขียนลงในหนังสือพิมพ์ดี ดิฉันก็ยังไม่เชื่อ ต้องไปดูคัมภีร์ตัวจริงว่าข้อความที่นำมาอ้างอยู่ในหน้าที่เท่านี้ บทนี้ วรรคนี้มีข้อความตรงกันจริงไหมข้อนั้นเพราะอะไร เพราะดิฉันเชื่อหลักกาลามสูตรว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อแม้ท่านจะเป็นครูของเรา และเวลาที่ดิฉันนำไปเผยแพร่จะได้ไม่คลางแคลงใจไงคะ

 

01:44

 พัชรา งานทวิภาคี

วันนี้เขียนซะมากมายเลย หวังว่าท่านผู้อ่านคงไม่เบื่อนะคะ

 

เพราะมันเป็นความจริงที่เราต้องรู้ค่ะจะได้เข้าใจยุทธวิธีในการต่อสู้ ใช้ปัญญาเป็นยุทธวิธีนะคะ เพราะสหรัฐอเมริกา ยุโรปสามารถโค่นล้มอำนาจเผด็จการเทพเจ้า จนกลายมาเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ก็ด้วยการปฏิวัติทางภูมิปัญญา(เอาความจริงไปพิสูจน์ความเท็จ)โดยมีสโลแกนของท่านอัราฮัม ลินคอลว่า การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

 

01:44

พัชรา งานทวิภาคี

ธรรมสวัสดีค่ะ

 

 

 6.1.3  นบีมุฮำมัด ประกาศศาสนาอิสลามไปด้สวยการสงครามจิฮัดส์มีแต่ชนะมีกองทัพฟ้ามลาอิกะมาช่วยรบ

12:50

พัชรา งานทวิภาคี

อาจารย์พยับคะ หนูอยากทราบว่ามีเหตุผลและแรงจูงใจอะไรคะที่ท่านนบีมุฮำหมัดประกาศศาสนาไปด้วยการสงคราม

 

15:34 

พยับ ปัญญาธโร

เป็นช่วงที่มีภาพดีงาม ๆ จากวัดป่าโนนกุดหล่มนะครับ ก็อนุโมทนาญาติโยม ที่เข้าวัด ปฏิบัติกิจชาวพุทธหลายอย่าง ทำบุญทำทาน บริหารจิตใจตัวเอง ฟังเทศน์ ฟังแนวปฏิบัติ ปฏิบัติตามท่านผู้รู้  ก็อนุโมทนา  ....ก็มาสู่ประเด็นทั่วไปที่กลุ่มโนนกุดหล่มกำลังติดตามกันอยู่  ล่าสุด อ.พัชราถามไว้  อย่างนี้ครับ

 

15:35

 พยับ ปัญญาธโร

<<<อาจารย์คะวันนี้ได้อ่านข่าวในยูทูปสำนักข่าวเอบีนิวส์ทูเดย์เขาสัมภาษณ์ชาวคริสต์ในอิรัคที่หนีรอดจากกลุ่มไอเอส เขาบอกว่าในอิรัคคนศาสนาอื่นคงอยู่ไม่ได้มันโหดเหี้ยมมากเลยค่ะ และลามไปหลายประเทศแล้วรัฐบาลก็คุ้มครองไม่ได้>>> และ  

<<<อาจารย์พยับคะ หนูอยากทราบว่ามีเหตุผลและแรงจูงใจอะไรคะที่ท่านนบีมุฮำหมัดประกาศศาสนาไปด้วยการสงคราม>>>

 

15:43

พยับ ปัญญาธโร

รูปภาพ

 

 

 

การเมือง เรื่องของ  อำนาจ  เป็นเรื่องธรรมดา  ธรรมชาติ  ที่เราควรมองดูอย่างเป็นธรรม และให้มีระบบการแสวงหาอำนาจอย่างเป็นธรรม

 

 

15:48

พยับ ปัญญาธโร

มันมีเหตุผล ความจริง  ทางด้านการเมือง - รัฐศาสตร์ อย่างนี้อยู่แล้ว ครับ 

 

คือคน  ปุถุชนเรา  แม้สัตว์ ทุกชนิด ต่างพอใจในการที่จะได้มาซึ่งอำนาจ  ในป่า เช่นสิงโต  ก็มีความพอใจที่ตนจะได้เป็นเจ้าป่า  และพยายามรักษาสถานะนี้เอาไว้  ให้ตกทอดไปสู่เผ่าพันธ์ของตน   ส่วนกระบือ  มันถูกมองว่าเป็นเหยื่อ และเป็นเหยื่อมาโดยตลอด   แต่ในป่าใหญ่ กระบืออ้วนท้วนสมบูรณ์ มีพรรคพวก มันก็คิดใฝ่ในอำนาจ  มันจึงกล้ายกพวกไปรุกป่าสิงโต  และฆ่าสิงโต ตายไปได้เหมือนกัน   ดูภาพที่เอามาประกอบนี้ครับ  ไอ้ที่เป็นนักสู้วัวกะทิง เกิดเสียท่า พลาดไปอย่างใหญ่ ถุกกะทิงเสียบเขาแหลมเข้าไป ตั้งแต่หลอดคอใต้คางทะลุไปทางหลังจมูกขวา ......   มันควรจะชนะไหมล่ะครับ   แน่นอน ถ้าอยู่ในป่า โดนเข้าเช่นนี้  กะทิงมันต้องกระทืบเท้ามันอย่างสุดแรงระห่ำเลยละ  และประกาศชัยชนะของมัน  ......  คน สัตว์  ทุกสมัย  ทุกยุค  ต่างได้สัมผัสเรื่องอำนาจ ....   ว่าเป็นทรัพย์ที่ล้ำเลิศ  หากได้อำนาจแล้ว มันยิ่งกว่าทรัพย์สิน ที่มีค่าใดใด.....คน   สัตว์  จึงแสวงหาอำนาจ ครับ

 

 

การต่อสู้นี้ แม้เป็นการต่อสู้ระหว่างสัตว์กับคนก็ตาม แต่เมื่อสัตว์มันทำได้เปรียบทางยุทธวิธีเช่นนี้ ก็ควรจะยอมรับ ให้กะทิงได้เป็นวีรบุรุษในสนามรบเช่นนี้ จึงจะสมกับความเป็นนักรบในสนามรบ และสมกับ การเมือง...แต่ตามเรื่องนี้  คนไม่ยอม  ก็ยกพวกออกมาจัดการฆ่ากะทิง เอาชีวิตพวกตนไว้....ตามเหตุผลของอิสลามก็คือ  กะทิง มันเป็นกาฟิร ต้องตายอยู่แล้ว อภัยไม่ได้  และนักสู้วัว ที่แต่งตัวอย่างพระเอกอยู่แล้ว ได้ชื่อว่าเป็น มุห์มิน  เกือบตาย แต่ตายไม่ได้อยู่แล้ว....แต่มันเสียหายในเรื่องความจริงที่ว่า  ความเก่ง วีรบุรุษที่แท้จริง คือใคร...ทำไมไม่ยอมรับกะทิงดุตัวนั้นว่าเป็น วืรบุรุษสงคราม และนักสู้วัวคนนั้น เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูปไปเลยแทบเสียชีวิตอยู่แล้ว...และ  ในนี้  วีรบุรุษถูกรุมสังหารชีวิต  นั่นสมควรจะด่าประนามอย่างไรจึงจะสม? 

 

15:58

พยับ ปัญญาธโร

แล้ว นบี มุฮำมัด  ก็เหมือนกัน  พอมองเห็นลู่ทางที่จะได้อำนาจ   ก็ทำ   เช่นนี้เองเลย

 

........ก็ในฟิลม พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก  ....   ทำไม พระเจ้าสุทโธทนะ  กษัตริย์แคว้นศากยะของเราชาวพุทธ  ท่านจึงพยายามหนักหนา  ที่จะให้ ลูกชายของท่าน  ได้เป็นจักรพรรดิ์   ก็เพราะสัจธรรมข้อนี้   ข้อที่ว่าด้วย  อำนาจคือทรัพย์อันมีศักดิ์ศรีแห่งโลกมนุษย์  .....   มันเป็นธรรมดา เช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย   ฉะนั้น ก็เป็นธรรมดาสำหรับ  นบีมุฮำมัด .....  ก็อ.พัชราเขียนลงไปแล้ว   ว่า  พระมหาคัมภีรอัลกุรอานนั้น  แท้จริงคือ   ตำราพิชัยสงคราม  ที่ว่าด้วย ยุทธศาสตร์ - ยุทธวิธี ทางทหารเราเต็ม ๆ  นั่นเอง .....   จึงเป็นไปอย่างนั้น   คือเป็นเหตุให้เกิดศาสนามนุษย์ขึ้นมา  เผยแผ่ออกไปด้วยสงคราม.......ด้วยตำราพิชัยสงคราม  ที่ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี  พร้อมหลักการโฆษณาชวนเชื่ออย่างแนบเนียน  จึงสามารถขยายอำนาจออกไปทั่วโลกในนามศาสนาอิสลาม

 

 

 

 

ภาพจากภาพยนต์ พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก ของ มหาเศรษฐี อภิพุทธสาวก มูดี สะท้อนความคิดที่ตรงข้ามกันระหว่างบิดา กับบุตร  พระเจ้าสุทโธนะ คิดจะต้องสร้างเจ้าชายสิทธัตถะ ให้เป็นนักรบ จักรพรรคิ์ มีอำนาจด้วยสงคราม  เจ้าชายน้อย เพิ่งประสูติไม่ถึง 7 วัน  ทราบความคิดนั้น   ทรงหลั่งพระเนตร ปฏิเสธความประสงค์ของพระราชบิดา นี่คือความคิดการเมืองที่แตกต่างอย่างตรงกันข้าม  ฝ่ายหนึ่งแสวงหาอำนาจด้วยอาวุธและสงคราม  อีกฝ่าย ด้วยพระมหาเมตตาและให้รู้ความจริงของชีวิต

 

 

15:59

พัชรา งานทวิภาคี

ขอเรียนถามเพิ่มเติมนะคะ

 

ดิฉันเคยได้ยินมาว่าในยุคนั้นคนศรัทธาถึงอิทธิฤทธิ์ของพระเยซแล้ว ท่านนบีมุฮำหมัดจะทำอย่างไรให้คนศรัทธาท่าน

16:01

 พัชรา งานทวิภาคี

ท่านนบีแสดงฤทธิ์ได้ไหมคะ

 

16:08

พยับ ปัญญาธโร

ตอบเลยนะ   คนก็เข้าไปฟังนบีมุฮำมัดคุยโตเรื่องพระเจ้าของท่าน 

 

และของท่านเอง   คนก็เลยเล่าให้ท่านฟังว่า พระเยซูมีฤทธิ์(ตามคัมภีร์  ทำฤทธิได้ถึง 22 ครั้ง)   ก่อนจะถูกจับไปตึงกางเขน  คนถามว่า ท่านนบี  ท่านมีฤทธิ์สักอย่างเท่าพระเยซูหรือไม่ .......  มุฮำมัดก็จนคำตอบ  รีบหนีเข้าห้องไปเลย  .......ต่อมา  หลายวันจึงนึกหาคำตอบมาได้  จึงออกมาตอบว่า   พระเยซูก็เป็นนบีเหมือน ๆ กันกับตนนั่นแหละ   คือเป็นผู้รับใช้อัลเลาะห์องค์เดียวกัน(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลเลาะห์)  และการที่นบีองค์ใดจะทำหน้าที่และมีฤทธิอย่างไร  ก็ล้วนแต่เป็นไปตามประสงค์และการมอบหมายของอัลเลาะห์ทั้งนั้น  อย่างโมเสส  ก็ประทานไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ให้  และอย่างเยซู ก็ทรงให้อำนาจทำอภินิหารได้หลายอย่าง   แต่ส่วนนะบีมุฮำมัด พระองค์ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องให้มีฤทธิ์อย่างนั้น    จึงเป็นนบีที่มีหน้าที่ไปคนละอย่าง  และที่สำคัญ  เราเป็นนบีที่มีชีวิตอยู่  และเมื่อใดมีความจำเป็นอย่างไร  พระเจ้าก็จะได้ออกคำสั่งผ่านมาทาง มุฮำมัดอยู่ดี  ฉะนั้นพวกท่านจงคอยติดตาม และฟังคำสั่งพระเจ้า  ทางมุฮำมัด  นบีของอิสลาม และผู้รับใช้ของพระองค์..........น่าน !!!   นบีมุฮำมัดก็โฆษณาชวนเชื่อไปอย่างนั้น ....

 

16:21

อ.ต้น ตระกาล

 

16:28

พยับ ปัญญาธโร

แล้วก็ตั้งกองทัพจิฮัดขึ้น  

 

คือขึ้นตรงต่อพระเจ้า  และจะแพ้ไม่ได้   ถ้าแพ้หรือ ยังไม่ชนะ  ต้องตีกลับไปจนชนะ  ไม่งั้น นั่นจะเป็นการประจาน ทำความเสื่อมเสียแด่พระองค์  ...  และก็จะต้องโทษหนัก  เพราะทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย  ....  ซึ่งตรงนี้  มุฮำมัดก็ไปบัญญัติยุทธศาสตร์มวลชนขึ้นมา  ว่า  มุสลิม เป็นมุอ์มิน    ส่วนคนที่ไม่ใช่มุสลิม  เป็นกาฟิร   มุอ์มินคือคนของพระเจ้า  กาฟิร คือคนที่ไม่นับถืออิสลาม  ไม่ใช่คนของพระเจ้า จะต้องทำการเปลี่ยนใจมานับถือพระเจ้า  หากไม่เปลี่ยนใจมานับถือพระเจ้าแล้ว  นักรบจิฮัด ผู้ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องยกทัพไปปราบปรามเข่นฆ่าให้หมดแผ่นดิน ......นี่ไม่ใช่คำเลื่อนลอยนะครับ   ลองมาฟังคำสั่งของพระเจ้าคำสั่งสุดท้าย  หน้าสุดท้ายในพระมหาคัมภีรอัลกุรอานดูนะครับ  ว่าอย่างนี้

 

16:36

พยับ ปัญญาธโร

<<<    ๖.  โอ้อัลเลาะห์  ขอพระองค์  ได้โปรดทวีเจตนา  ชี้หนทางไปสู่ศาสนาอิสลามแก่บรรดาข้าพระองค์ ซึ่งแนวทางเที่ยงตรง     

 

๗.  ได้แก่แนวนำแห่งศาสนาของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้โปรดประทานพระกรุณาธิคุณแก่พวกเหล่านั้น  ให้ไปสู่ศาสนาอิสลาม  ทุกชนชั้นผู้เป็นมุอ์มิน  ยกเว้นแต่พวกกาฟิรทุกประเภทผู้ซึ่งถูกพระองค์กริ้ว ยะฮูดี  และยกเว้นแต่พวกที่หลงงมงายคือพวกนัสรอนีด้วยเทอญ>>>                                               [จากพระมหาคัมภีรอัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย โดยนายต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรี  ส่วนที่ 30 บทที่ 114  อัล-ฟาดีหะฮ์ หน้า 2712]

 

16:51

พยับ ปัญญาธโร

ขออธิบายเพิ่มเติมไปสักหน่อยนะครับ   .... คำว่า ทุกชนชั้นผู้เป็นมุอ์มิน

 

.......หมายความถึง  มุสลิมทุกประเภท  รวมทั้ง  อัลกออิดะ นักรบจิฮัดผู้ศักดิ์สิทธิ์  และ  โรฮินยา  ผู้โง่เขลา  ด้วย   .............  รวมทั้งมุสลิม   พี่น้องไทยเราด้วย  ก็พลอยได้รับความเมตตา ..........     แต่พ้นจากมุสลิมพวกนี้ไปแล้ว   ......  ตามพระวาทะว่า .....ยกเว้นแต่พวกกาฟิรทุกประเภท   ผู้ซึ่งถูกพระองค์กริ้ว........คำว่า  กาฟิรทุกประเภท  ก็คือ คนทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ที่ไม่ได้นับถืออิสลาม   ไม่เป็นมุสลิม   ได้รับการเหยียดหยามลงไปเป็นกาฟิร  คือ คนบาป คนต่ำต้อย (พอ ๆ กับ จัณฑาล ในศาสนาฮินดู นั่นเลย) ทั้งสิ้น   ซึ่ง  พระเจ้าสั่งให้กลับใจ   หากไม่กลับใจเป็นมุสลิม........แล้ว   พระเจ้าสั่งให้สังหารทิ้งหมด   ให้แผ่นดินมีแต่ มุอ์มิน  ไม่มีการยกเว้น ...........  กาฟิร  รวมทั้งคนอีก 2 พวก หนึ่งคือ   ยะฮูดี  สองคือ นัสรอนี   ตามวาทะนี้  ซึ่งจะต้องถูกลงโทษด้วยชีวิตตามวาทะนี้ ก็หมายถึง   ยะฮูดี คือชาวอิสราเอล  และ นัสรอนี  ชาวคริสต์......  ก็ลองคิดดูเถิดพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย  กาฟิร ที่พระเจ้าอัลเลาะห์ ให้พวกเราสังหารให้หมดโลกนั้น  ทุกวันนี้  มีไอซิส  เดินแผนตามหลักกลยุทธนี้อยู่  ....   แต่เขาจะคิดไปได้อย่างไร  ....   ยิ่งฆ่าคนผู้บริสุทธิ์ไปเท่าไร   คนเขาก็ยิ่งจะโกรธแค้น  และกาฟิรใหญ่ ๆ  อย่างอเมริกา  ยุโรป  รัสเซีย  จีนแดง    ...เมื่อถูกเล็งเป้า  ถึงชีวิตเช่นนี้ โดยไร้เหตุผล   ว่าทำไมพระเจ้าอัลเลาะห์ จึงต้องการฆ่าคนในโลก  ซึงมีจำนวนมากมายกว่าคนมุสลิมหลายเท่าไปเสียอีก .....กาฟิร เขาจะยอมหรือ ?    เขาไม่ยอม......

 

 

ภาพชาวคริสต์ ถูก ไอซิส นำไปยิงเป้าสังหาร  เป็นภาพที่ไอซิส ถ่ายไว้เอง(ไม่มีใครจะเข้าไปดูและถ่ายภาพเหตุการณ์นี้ได้นอกจากพวกเขาเอง)และส่งออกมาข่มขู่ชาวคริสต์ในโลกภายนอก ชาวคริสต์ ก็คือ นัสรอนี  ตามคำของพระมหาคัมภีร์อัลกูรอาน บทที่ 114 บทสุดท้าย ซึ่ง  มุสลิม ไม่มีการให้อภัยไปชั่้วที่ยังมีชนชาวนัสรอนีอยู่ในโลก(ลองอ่านซ้ำ บทสุดท้ายของพระมหาคัมภีร์ฯ)

 

 

 

 

มีชื่อใต้ภาพนี้เป็นตัวเลข อย่างนี้ครับ 

14485057-146952
0716408084-3452
77041770362755  

นี่แหละ ที่ ไอซิส อิสลาม จะต้องรับผิดชอบต่อชาวพุทธและผู้รักสันติรักความเป็นธรรมทั่วโลก

 

16:52

พัชรา งานทวิภาคี

จากข้อ6 ถ้าใครไม่นับถือศาสนาอิสลามแปลว่าไม่ใช่ทางอันเที่ยงตรง

 

 และข้อ7 ใครไปสู่ศาสนาอิสลามได้เป็นมุห์มิน ยกเว้นผู้ไม่ยอมรับจะเป็นกาฟิร เหยื่อชาวคริสเตียนในอิรัคที่รอดชีวิตได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอบีนิวส์ว่านักรบไอซิสมีเงื่อนไขให้เลือก 3 ข้อ 1.จ่ายภาษี(ชาวบ้านไม่มีให้เพราะโดนปล้นไปหมดแล้ว) 2.อพยพไปอยู่ที่อื่น 3.ยอมเปลี่ยนมานับถืออิสลามถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขตายสถานเดียว และที่ครอบครัวเธอรอดเพราะยอมเปลี่ยนศาสนา สุดท้ายเมื่อสบโอกาสจึงหนีออกมา แสดงว่าในแผ่นดินอิสลามบริสุทธิ์จะไม่มีกาฟิรและนัทรอนีตามที่พระมหาคัมภีร์รจนาไว้ มันเป็นความป่าเถื่อนโหดร้ายที่ชาวโลกไม่อาจทนดูต่อไปได้ ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำตอบซึ่งอ้างอิงว่ามาจากคัมภีร์

 

16:53

พยับ ปัญญาธโร

ขออธิบายเพิ่มเติมไปสักหน่อยนะครับ   .... คำว่า ทุกชนชั้นผู้เป็นมุอ์มิน.......

 

หมายความถึง  มุสลิมทุกประเภท  รวมทั้ง  อัลกออิดะ นักรบจิฮัดผู้ศักดิ์สิทธิ์  และ  โรฮินยา  ผู้โง่เขลา  ด้วย   .............  รวมทั้งมุสลิม   พี่น้องไทยเราด้วย  ก็พลอยได้รับความเมตตา ..........     แต่พ้นจากมุสลิมพวกนี้ไปแล้ว   ......  ตามพระวาทะว่า .....ยกเว้นแต่พวกกาฟิรทุกประเภท   ผู้ซึ่งถูกพระองค์กริ้ว........คำว่า  กาฟิรทุกประเภท  ก็คือ คนทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ที่ไม่ได้นับถืออิสลาม   ไม่เป็นมุสลิม   ได้รับการเหยียดหยามลงไปเป็นกาฟิร  คือ คนบาป  ทั้งสิ้น   ซึ่ง  พระเจ้าสั่งให้กลับใจ   หากไม่กลับใจเป็นมุสลิม........แล้ว   พระเจ้าสั่งให้สังหารทิ้งหมด   ให้แผ่นดินมีแต่ มุอ์มิน  ไม่มีการยกเว้น ...........  กาฟิร  รวมทั้งคนอีก 2 พวก หนึ่งคือ   ยะฮูดี  สองคือ นัสรอนี   ตามวาทะนี้  ซึ่งจะต้องถูกลงโทษด้วยชีวิตตามวาทะนี้ ก็หมายถึง   ยะฮูดี คือ  ชาวอิสราเอล  และ นัสรอนี  ชาวคริสต์......  ก็ลองคิดดูเถิดพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย  กาฟิร ที่พระเจ้าอัลเลาะห์ ให้พวกเราสังหารให้หมดโลกนั้น  ทุกวันนี้  มีไอซิช  เดินแผนตามหลักกลยุทธนี้อยู่  ....

 

 

 

 โรฮินยา 1

 

โรฮินยา 2

 

 

โรฮินยา 3

 

 

โรฮินยา 4 

ในพระมหาคัมภีร์อัลกูรอาน  รับรองพวกเขาทั้งหมดว่า เป็น  มุห์มิน  ซึ่งพระเจ้าอัลเลาะห์ และ นบีมุฮำมัด สอนอยู่เสมอว่า  เป็นชนชั้นที่สูงส่งที่ตรงข้ามกับพวกต่ำต้อยชื่อว่า กาฟิร (คนต่ำต้อยด้อยค่า คนนอกศาสนาอิสลามทั้งหมด ถูกเหยียดว่าเป็นกาฟิร)  เน้นย้ำว่า  ทุกชนชั้นผู้เป็นมุห์มิน จะให้อภัยพวกกาฟิร ที่ต่ำต้อยด้อยค่าไม่ได้ไปตลอดชีวิต ...  แต่ความเป็นจริงของชีวิตโรฮินยาที่ยากจนลำบากเช่นนี้  เดิมอพยพจากประเทศมุสลิมรอบอ่าวเบงกอล ค่อยไปรวมตัวอยู่ในรัฐยะใข่ของพม่า จนได้ แปดแสนคน ก็มีผู้นำคิดยึดแผ่นดินเขาเป็นแดนมุห์มินล้วน ๆ ไม่ให้ชนพุทธพม่า หรือชนอื่นใดมาปน อ้างว่าสมีคำสั่งพระเจ้าที่มุห์มิน ต้องอยู่เฉพาะกลุ่มพวกตนผู้ประเสริฐ มุห์มิน  ( เหมือนความคิดมุสลิมสามจังหวัดภาคใต้ไทยส่วนหนึ่งที่ไปเข้าข้างพวกอัลกออิดะห์เดิม คิดแยกแผ่นดินไทย ไล่ชาวพุทธไทยออกไปให้หมด)  ให้กาฟิร ต่าต้อยอย่างพุทธพม่ามารวมด้วยไม่ได้   (นี่คือมีจิตคิด อกตัญญู ไม่รู้คุณคนอื่นที่ช่วยเหลือตนให้ได้มีที่อยุ๋ที่กินที่หลับนอน อิสลามไม่มีคำสอนว่าด้วย ความกตัญญูรู้คุณคน  จึงเป็นสังคมที่แตกแยก ขัดแย้งกับสังคมอื่นอยู่ตลอดมา) ก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ชาวพม่าทนไม่ได้ เหลืออด เขาไล่หนีไปจากแผ่นดินใหญ่ มีส่วนหนึ่ง ร่อนเร่ไปด้วยเรือ ท่องไป พอเข้าฝั่งประเทศมุสลิมเองเขาก็ยังไม่ต้อนรับ  ขับไล่ลงทะเลไปอีก  ก็เลยขึ้นบกไม่ได้  ในไทยก็เคยมาทางเรือแบบในภาพนี้แหละ ก็ถูกขับไปนอกฝั่ง  บังเอิญคืนนั้นมีพายุในทะเล ก็ไปตายกลางทะเลไปหมดร่วม 2,000 คน ก็ยังคงอพยพกันมาอีก ก็ต้องเอาทะเลอันดามานเป็นบ้าน เป็นที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่องไปถึงฟิลิปปิน อินโดเนเซีย แล้วท่องกลับไปอ่าวเบงกอลอยู่อย่างนี้ แล้วเอาแต่สวดอ้อนวอนสรรเสริญอัลเลาะห์ ด้วยถูกสอนปั่นหัวให้เชื่อเชื่อกันจริงจังว่าอัลเลาะห์ ทรงยิ่งใหญ่ ทรงสร้างโลกทั้งโลกให้คนอยู่ จะนิรมิตเกาะใหญ่ขึ้นมากลางทะเลให้อยู่ โดยไม่รู้ว่า ความเชื่อนั้น เป็นสิ่งที่หลอกลวงทั้งสิ้น และอัลเลาะห์ก็เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง ไม่เคยช่วยเหลือเลยจนกลายเป็นชนเผ่าอนาถาซึ่งมีสถานะที่แท้จริงต่ำกว่าความเป็นคนไปอีก  แท้ที่จริง ประเทศที่มีเมตตาให้กลับเป็นประเทศพุทธศาสนา เช่นไทย พม่า ลังกา โดยเฉพาะไทยนั้น มีโรฮินยาที่ขออยู่เป็นทาสคนไทย ขออย่าให้ออกทะเล ว่าคนไทย ประเทศไทยเป็นแดนที่มีเมตตายิ่งกว่าพระเจ้า (กรณีที่ทหารตามไปในโรงงาน ให้เอาพวกโรฮินยาลงทะเลไปให้หมด  โรฮินยาพากันนั่งกอดเข่าร้องไห้คร่ำครวญ ขอร้องว่าอย่าส่งลงทะเลเลย ขอคนไทยช่วยเถิด ไม่มีที่ไหนใจดีเช่นคนไทยแล้ว ดีกว่าพระเจ้าเสียอีก) แต่ประเทศมหาเศรษฐีมุสลิม อย่างซาอุดีอาระเบีย กลับไม่เคยมองมุสลิมที่ยากไร้เหล่านี้ ทั้งๆที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลจากมุสลิมทั่วโลก ที่เดินทางไปสักการะบูชาและบริจาคบำรุงสถานกาบา ตามคำสั่งพระเจ้า ตามคำสั่งในมหาคัมภีร์อัลกุรอานซาอุดีอาระเบียจึงร่ำรวย มหาศาล   แต่กลับไม่เคยเคารพในคำสอนที่ว่าเป็นพี่น้อง บุตรของบิดาองค์เดียวกัน คืออัลเลาะห์องค์เดียวกัน เป็นชนชั้นผู้เป็นมุห์มินเหมือนกัน.แต่กลับรังเกียจสะอิดสะเอียนกันอย่างกับของโสโครก..และซึ่งเป็นประเด็นที่ อุสมา บิน ลาดิน ไม่ยอมรับและกำลังเอาจริงในประเด็น นี้ กับซาอุดีอาระเบีย (แต่ก็ตายไปเสียก่อน)  เรื่องราวของอิสลามยุคใหม่  จึงมีแต่จะมองไปเห็นปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น  อิสลามจึงไม่มีวันสงบเลยตั้งแต่เริ่มศักราชที่ 1 มาจนถึงบัดนี้ 

 

 

16:53

พยับ ปัญญาธโร

แต่เขาจะคิดไปได้อย่างไร  ....   ยิ่งฆ่าคนผู้บริสุทธิ์ไปเท่าไร  

 

คนเขาก็ยิ่งจะโกรธแค้น  และกาฟิรใหญ่ ๆ  อย่างอเมริกา  ยุโรป  รัสเซีย  จีนแดง  รัสเซีย  ..เมื่อถูกเล็งเป้า  ถึงชีวิตเช่นนี้ โดยไร้เหตุผล   ว่าทำไม่พระเจ้าอัลเลาะห์ จึงต้องการฆ่าคนในโลก  ซึงมีจำนวนมากมายกว่าคนมุสลิมหลายเท่าไปเสีย .....กาฟิร เขาจะยอมหรือ ?    เขาไม่ยอม......

 

16:58

พยับ ปัญญาธโร

คำอธิบายของ อ.พัชรา  ตามข่าวจริงวันนี้ 

 

นั่นแหละครับ  เขาทำไปตามคำสั่ง ข้อสุดท้ายของพระเจ้าของเขาตรงเผงเลย

 

16:59

พัชรา งานทวิภาคี

นี่ใช่ไหมคะตุรกี รัสเซีย ฝรั่งเศส เขาถึงถล่มเอา และหากยังไม่ยุติก็จะเจอกาฟิรอีกหลายชาติใช่ไหมคะ

 

17:11

พัชรา งานทวิภาคี

อยากให้ทุกท่านได้ดูข่าวต่างประเทศในทีวีหรือในยูทูปก็ได้ค่ะ

 

จะเห็นความโหดร้ายของไอซิสที่มากขึ้นเรื่อยๆสรุปก็คืออุดมการณ์หลงผิดของคนเหล่านี้ทำให้ป่วยเป็นโรคจิตขั้นรุนแรงและมองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู แม้แต่ในกลุ่มไอซิสด้วยกันหากขัดแย้งไม่ลงรอยกันก็พร้อมจะเป็นศัตรูกันค่ะจากที่ได้เจอะลึกข่าวมาค่ะ

 

20:29

 พยับ ปัญญาธโร

รูปภาพ

20:29

พยับ ปัญญาธโร

 เอาละมาต่อสักนิดเรื่องอำนาจ  ที่มุฮำมัด ใฝ่อยากครองโลก 

 

จึงดำเนินการไปตามยุทธศาสตร์การสงคราม  ก็ว่าได้   การเมืองจึงเป็นเรื่องอำนาจ   เป็นสิ่งที่คน แสวงหา   มิต่างจากการแสวงหาลาภ เงินตรา และเศรษฐกิจ  แต่คำว่า  การเมือง  เป็นเรื่องอำนาจ  ซึ่งโดยหลักแห่งรัฐศาสตร์  โลกสมัยนี้ คนไทยเราสมัยนี้ จะต้องทำความเข้าใจหลักรัฐศาสตร์พื้นฐานให้ได้  ให้เข้าใจเสียก่อน ให้ได้  โดยจะต้องเข้าใจธรรมชาติของการเมือง  และเข้าใจว่า การเมืองเป็นธรรมชาติ  ...... โดยนิยามของมัน คือการแสวงหาอำนาจ   การอยากมีอำนาจ  นั้น  ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ  คือมันเป็นสิ่งที่คน สัตว์ใฝ่อยากได้  อยากมี  อยากเป็น  อย่างเป็นปกติชีวิต....  เราจึงจะไปตำหนิว่า  การเมืองไม่ดี  ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง  ไม่ได้  ..........   เราจึงต้องทำความเข้าใจ   เริ่มต้นจากคำว่า อำนาจ  นั้น   มันแบ่งกันได้   เดิมคนเรา  เมื่อมีวีรบุรุษเกิดขึ้น  เขาก็ได้ครองอำนาจ   และไม่ยอมแบ่งปันอำนาจให้ใคร  ตนคนเดียวครองอำนาจตลอดชีวิต  เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็มอบอำนาจให้ลูกชายตนครองต่อไป   ลูกชายตนก็ไม่ยอมแบ่งอำนาจ ให้ใคร  ครองต่อไปจนสิ้นชีวิตไปอีก ....   นั่นจึงปรากฎระบอบกษัตริย์ขึ้น   ดูภาพนะครับ   เดิมสิงโตเป็นเจ้าป่า  สัตว์พวกอื่นล้วนตกเป็นอาหารของสิงโต   แต่ต่อมาควายป่ามันฮึดสู้   และต้องการอำนาจบ้าง   มันจึงรวมพวกไล่เหยียบสิงโตไงครับ  ตามภาพ

 

20:35

พยับ ปัญญาธโร

รูปภาพ

 

 

20:36

พยับ ปัญญาธโร

เอาละครับ   ก็เลยมี 2 ระบอบอำนาจที่ควรจะรู้กัน  

 

คือระบอบเผด็จการ  กับระบอบประชาธิปไตย .....  ความหมายมันต่างกันแค่คำว่า  เผด็จการเป็นระบอบที่กุมอำนาจไว้เป็นของตนคนเดียว  ตนคนเดียวปกครองคนนับล้าน  นับ ล้าน ๆ  คน  จนที่สุดก็พลาดไปครั้งแล้วครั้งเล่า    ทำให้ประวัติศาสตร์การปกครองของมนุษย์ เกิดสิ่งที่ทำร้ายมนุษยเอง   อย่างเบา   ไปจนถึง  อย่างยิ่งใหญ่

 

20:45

 พยับ ปัญญาธโร

มีสงครามเกิดขึ้นในโลก ตลอดเวลาที่มีมนุษย์  

 

แต่ที่เป็นสงครามใหญ่ที่โลกต้องจดจำ และเป็นผลจากระบอบเผด็จการที่ยิ่งใหญ่  ก็คือ สงครามครูเสด    ไม่มีสงครามใดในโลกอดีต  ที่ยิ่งใหญ่เท่าสงครามนี้    เพราะมีการทำสงครามกันอย่างยาวนานถึงกว่า 200 ปี

 

6.1.4  บทสรุปของสงครามครูเสด 

20:47

พยับ ปัญญาธโร

มีบทสรุปของนักประวัติศาสตร์ไทยว่าไว้อย่างนี้ครับ                

 

 <<< บทสรุปสงครามครูเสด

สงครามครูเสด มีการทำสงครามกัน 8 ครั้ง กินระยะเวลานานกว่า 200 ปี มีผู้คนล้มตายกว่า 7,000,000 คน และสุดท้ายดินแดนศักดิ์สิทธิตกเป็นของมุสลิม บทสรุปการทำสงครามแต่ละครั้งมีดังนี้

 

ครั้งที่ 1 ตั้งแต่เมื่อ ค.ศ. 1092 ถึง ค.ศ. 1099   [พ.ศ.1635 - 1642]  เป็นครั้งที่ครึกครื้นที่สุด พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ได้ไปในครั้งนี้ และเป็นครั้งเดียวที่เอาชนะพวกเติร์กเปิดทางให้คริสต์ศาสนิกชนไปนมัสการที่ฝังศพพระเยซูได้สะดวก

ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ ค.ศ. 1147 ถึง ค.ศ. 1149 [พ.ศ.1680 - 1692] พระเจ้าหลุยส์ที่ 7ของฝรั่งเศส กับ พระเจ้าคอนราดที่ 3 ของเยอรมัน ได้ไปในครั้งนี้ แต่ต้องแพ้ย่อยยับกลับมา

ครั้งที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1189 ถึง ค.ศ. 1192 [พ.ศ.1732 - 1735]  พระเจ้าเฟรเดริกที่1 (เยอรมัน) ฟิลิปป์ออกุสต์ (ฝรั่งเศส) และริชาร์ด ไลออนอาร์ท (อังกฤษ) ได้ไปในครั้งนี้ พากันแพ้กลับมา และพระเจ้าเฟรเดริกจมน้ำตาย

ครั้งที่ 4 ตั้งแต่ ค.ศ. 1202 ถึง ค.ศ. 1204  [พ.ศ.1745 - 1747] ไม่ได้ผลอะไรเลย และแทนที่กองทัพครูเสดจะไปรบพวก เติร์กกลับไปรบพวกคริสเตียนด้วยกันเอง

ครั้งที่ 5 ตั้งแต่ ค.ศ. 1217 ถึง ค.ศ. 1221 [พ.ศ.1760 - 1764] เซนเญอร์ของฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ ยองเลอเบรียน กับพระเจ้าแผ่นดินฮังการี ไปรบพวกเติร์กในประเทศอียิปต์ และไม่ได้ผลทางชัยชนะ

ครั้งที่ 6 ตั้งแต่ ค.ศ. 1228 ถึง ค.ศ. 1229 [ พ.ศ.1771 - 1772] พระเจ้าเฟรเดริกที่2 (เยอรมัน) เป็นหัวหน้าไป แต่แทนที่จะไปรบ กลับไปทำไมตรีกับพวกอาหรับ ซึ่งมีผลดีกว่าไปรบ เพราะทำให้พวกอาหรับยอมให้พวกคริสเตียนเดินทางเข้าเมืองเยรูซาเลมได้อีก

ครั้งที่ 7 ตั้งแต่ ค.ศ. 1248 ถึง ค.ศ. 1249 [พ.ศ.1791 - 1792] 

ครั้งที่ 8 ใน ค.ศ.1270  [พ.ศ.1813] นั้น สงครามครูเสดได้ทำกันในประเทศอียิปต์ เพราะพวกหัวหน้าเติร์กมีถิ่นสำคัญตั้งอยู่ที่นั่น และแซงต์หลุยส์ (ฝรั่งเศส) เป็นตัวตั้งในสงครามครูเสดทั้งสองครั้งนี้ จนแซงหลุยส์สิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. 1270  และ สงครามครูเสดก็สุดสิ้นลงในครั้งนี้ >>>

 

20:51

พยับ ปัญญาธโร

ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ   เขาทำสงครามครูเสดกันได้อย่างไร ?  

 

ก็มีคำตอบว่า  เพราะฝ่ายศาสนาคริสต์ เป็นเผด็จการใหญ่ในยุคนั้น  ที่สามารถสั่งกษัตริย์ ในยุโรป  ให้รวมกองทัพไปสู่ตะวันออกกลาง ตุรกี  ....กษัตริย์ และประชาชนคนทั้งหลายยุคนั้น ในอังกฤษก็มี ริชชาร์ดใจสิงห์ ที่เรารู้จักดีกับโรบิน ฮูด จอมโจรเพื่อประชาชน นั่นแหละครับ  เคลื่อนทัพไปรบ

 

20:56

พยับ ปัญญาธโร

ไปรบกับใคร....  อีกฝ่ายก็เผด็จการใหญ่เหมือนกัน  

 

คือเผด็จการศาสนาอิสลามไงครับ  ที่ฝ่ายศาสนา มีอำนาจสั่งกษัตริย์ ไปรบได้    ทั้งสองฝ่ายนี้ก็อ้างว่าตนเป็นตัวแทนของพระเจ้า  คริสต์ก็ว่าตนเป็นตัวแทนของ ยะโฮวา  อิสลามก็ว่าตนเป็นตัวแทนของอัลเลาะห์....กษัตริย์  ประชาชนก็กลัว พระเจ้า  เหมือนกันเลยทั้งคริสต์และอิสลาม   จึงเกิดการรบที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด ที่โลกไม่มีสงครามใดเท่าเทียม  เพราะรบกันไปถึงชั้น ลูก หลาน เหลน โหลน  และเลยรุ่น เหลน โหลน  ไปอีก

 

21:00

พยับ ปัญญาธโร

นี่เป็นความจริง   ใช่ไหม ?   

 

และยิ่งกว่านั้นก็คือ   เป็นการรบของศาสนาด้วยกัน   ที่คนไทย คนไทยพุทธ และอิสลามไทย มักมองมาแต่เดิม ๆ ๆ  ๆ ว่าศาสนาย่อมมีแต่ความสงบ และนำความสงบมาให้   แต่แล้ว  ก็ไม่ได้มองว่า   มันไม่ใช่เสียแล้ว   ศาสนานี่แหละเป็นตัวการของสงครามที่เหี้ยมโหดที่สุด  ของสงครามทั้งหลายของโลก   และเป็นสงครามที่มีความอาฆาต พยาบาท  โกรธ  เกลียดชังกัน   รบกันนานถึง 200 ปี  และยังมีเรื่องว่าด้วย  เยาวชนแท้ ๆ  ที่เพิ่งรุ่นหนุ่มรุ่นสาวกัน ก็ยังถูกหลอก ถูกชักชวนให้รวมกันเป็นกองทัพ  ที่เรียกว่า  ยุวชนครูเสด นั่นไงล่ะครับ  ..ซึ่งปรากฎว่า  ยกทัพไปถึงแดนทะเลทราย  ไปหลงทางจนหิวน้ำ  ขาดน้ำ  ตายกันทั้งกองทัพ  ...

 

21:10

พยับ ปัญญาธโร

คน  และ โลกยุคใหม่ที่เข้าใจเรื่องสงครามครูเสดดี  

 

จึงได้ทำการศึกษาศาสนาทั้ง 2 นี้อย่างจริงจัง   ดูจากไบเบิล   และทำการพิศูจน์สิ่งที่ไบเบิลกล่าวไว้ .... ทำการพิศูจน์สิ่งที่อัลกุรอานกล่าวไว้    จึงได้พบว่า   คัมภีร์ศาสนาทั้งสองคัมภีร์   เป็นต้นตำหรับวิชาการ สำหรับ การโฆษณาชวนเชื่อ  เท่านั้นเอง     ก็ตามหลักการที่ว่า   การโฆษณาชวนเชื่อ   คือ   การพูดเรื่องเท็จ ให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงได้  นั่นเอง     จนเขาศึกษาได้หลักการสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อมา 2 หลักการสำคัญ คือหลักที่ว่า   The sun also rises.   All that glitters is not gold.   คนเอาไปร่ำเรียน และแตกฉานแล้วก็เอามาใช้ในวงการเมือง  ในไทยเจอวิชานี้มาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ครับ   แต่ในเมื่อหลักการโกหกมาจาก 2 ศาสนานี้  ที่คนยังไม่ทราบก็มีเยอะ   เราจึงควรจะได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจกัน   มันเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่น่ารังเกียจมากในทุกวันนี้

 

21:14

พยับ ปัญญาธโร

ฉะนั้น   เมื่อเราอยากเป็นประชาธิปไตย

 

 เราจึงต้องเข้าใจว่า   มันเป็นเรื่องตรงข้ามกับศาสนา 2 ศาสนาทำในสงครามครูเสด   ประชาธิปไตย  หมายถึงการปกครองที่เราเอาอำนาจมาแบ่งปันประชาชนทุกคน  คนละ 1    1 อะไร   หนึ่งอำนาจครับ   คือ  1 เสียง นั่นเอง    และเรายังไม่เข้าใจกันดีนัก   จึงในเวลาต่อไปนี้ก็ควรจะได้ทำความเข้าใจกัน   แบบธรรมะนะครับ  การเมืองมาเกี่ยวกับธรรมะอย่างไร   และการเมืองประชาธิปไตยเป็นอะไรที่เป็นธรรมะ

 

21:21

พยับ ปัญญาธโร

รูปภาพ

 

21:21

พยับ ปัญญาธโร

สรุปไปเลยก็ได้ครับ  เมื่อประชาชนได้จิตวิญญาณเป็นประชาธิปไตยจริงแท้เมื่อไร  

 

การศึกษาปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ จักง่ายขึ้น   จักส่งผลต่อการบรรลุมรรคผล นิพพาน  ระดับพระโสดาบันได้กันง่าย ๆ ทั้งประเทศ   และทั้งโลกประชาธิปไตย  ครับ  โลกจะเต็มไปด้วยคน  ผู้บรรลุธรรม พระโสดาบันกันทันที ....จบแค่นี้ก่อนนะครับ     จากนี้  ผมจะค่อย ๆ อธิบายไป   ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นได้เช่นนั้น.....

 

 

 01:14

พยับ ปัญญาธโร

 

 

 

 

 6.2  ตอนที่ 2 ความเข้าใจมุสลิมและศาสนาอิสลาม

ความเข้าใจมุสลิมและศาสนาอิสลาม

ตอนที่ 2

( ดี 51 )

 

 

 6.2.1  ประเด็นความคิดแบ่งแยกดินแดน3จังหวัดมุสลิมภาคใต่เป็นประเด็นที่คิดผิด ตามหลักการที่ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้อย่างไม่ถูกต้อง

 

ประเด็น ความคิดแบ่งแยกดินแดน

3 จังหวัดมุสลิมภาคใต้

เป็นประเด็นที่คิดผิด

ตามหลักการที่ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้อย่างไม่ถูกต้อง

 

01:14

พยับ ปัญญาธโร

เข้ามา ก็พบ  อ่านด่วน  .....มันมีเหตุให้เป็นเช่นนั้น 

 

จึงมีเรื่องราวเกิดขึ้นเป็นลำดับไปเช่นนั้น.... แต่ ถ้าอย่างนั้นแล้ว  คนไทยก็คงจะตื่นขึ้น  และคนไทยทั่วแผ่นดินที่เป็นชนส่วนใหญ่ เป็นชาวพุทธ  ชาวพุทธที่มีน้ำใจ  จนพี่น้องอิสลามเราดั้งเดิม ยากที่จะปฏิเสธมิตรภาพได้  จึงได้เป็นชาวไทยมุสลิม  ที่เป็นชาวไทยเต็ม 100 % มาก่อน....

 

ตามที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้ว ว่า  แม้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ  พระองค์ก็ได้ตรัสไว้อย่างชื่นชม  ว่ามุสลิมไทยเดิมนั้น  เป็นชาวไทยจริง ๆ  ........   แต่บัดนี้  ถ้าประชาชนมุสลิมคิดว่าตนไม่ใช่คนไทย  ...  นั่นแหละ  นับเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ...   ไม่ถูกต้องทั้งด้านธรรมะของสัจธรรมชีวิต ....และที่สำคัญไม่ถูกต้องตามศาสตร์ ว่าด้วยการเมือง   อย่างน้อยพี่น้องมุสลิม ก็จะต้องเข้าใจว่า  ไทยเรามีแนวทางการเมือง  เป็น   ประชาธิปไตย  ซึ่งโดยระบอบนี้  โดยประชาธิปไตยนี้ พี่น้องมุสลิม ก็ไม่เห็นจะต้องไปคิดลำบากใจอย่างไรเลย   เพราะหลักการของระบอบประชาธิปไตยนั้น  เป็นหลักการที่ไม่ได้แบ่งแยกประชาชนออกไปว่า เป็นผู้นับถือศาสนาอะไร พุทธ  คริสต์   อิสลาม  โซโรอัสเตอร์  ฯลฯ   ทุกศาสนบุคคล มีสิทธิเท่าเทียมกัน  ในการได้ประโยชน์ทางการเมือง ระบอบประชาธิปไตยนี้....ขอให้ทำความเข้าใจในประเด็นนี้เสียก่อน ...

 

01:17

พยับ ปัญญาธโร

เมื่อเข้าใจแล้ว  มันก็ไม่จำเป็นที่มุสลิมไทย 

จะไปคิดออกนอกแนวทางที่ถูกต้องไปเช่นนั้น

 

01:21

พยับ ปัญญาธโร

เมื่อชาวมุสลิมไทย   อยากจะปกครองประเทศไทย   อยากมีอำนาจในประเทศไทย   ท่านก็ทำได้  ....   โดยไม่ต้องไปคิดจับอาวุธ  ไม่ต้องไปคิดยึดผืนแผ่นดิน  และไม่ต้องไปคิดว่า   มุสลิมคือ มุอ์มิน  ผู้ประเสริฐกว่าชนชาติอื่น ซึ่ง เมื่ออยากได้แผ่นดิน ก็ใช้นักรบจิฮัดของมุสลิม  ไปต่อสู้ยึดครองเอา  ....และทั้งโดยความคิดมุสลิมเช่นนี้   ที่ว่าตนเป็นคนกลุ่มประเสริฐ เป็นอาระยะ  ยิ่งกว่าชนเหล่าอื่น จะร่วมแผ่นดินกันไม่ได้  มุสลิม  ต้องอยู่แต่มุสลิม   สามจังหวัดภาคใต้ ต้องมีแต่มุสลิม  พุทธอยู่ปนไม่ได้ เพราะชาวไทยพุทธเป็นชนต่ำต้อย     เป็น  พวกแมงสาป  เป็นพวก  กาฟิร  ตามบัญญัติของ อัลเลาะห์

 

01:34

 พยับ ปัญญาธโร

การคิดเช่นนั้น  เท่ากับการแบ่งชั้นวรรณะขึ้นในหมู่ประชาชนในสังคมโลก 

 

....   นั่น  ก็น่าคิดว่าเป็นบัญญัติที่ไม่ถูกต้อง....และก็จักเป็นภัยแด่ชาวมุสลิมเอง......   กล่าวคือ  ไปมองว่าอิสราเอลเขาเป็น  กาฟิร  ไปมองว่า ชาวคริสต์เขาเป็นกาฟิร  ต้องฆ่าให้ตายหมดโลก   ....   ตามคำสั่งพระเจ้าบทสุดท้าย ในพระมหาคัมภีร อัลกุรอาน .... ในพระมหาคัมภีรอัลกุรอาน นั้น   มันไม่ถูกต้อง ....ถึงจะอ้างว่าเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ก็ตาม   มุสลิมไทย ต้องมองโลกในมุมมองใหม่เถอะ....คิดดูความจริง  และคิดดูสัจธรรมของชีวิต  ....   และเมื่อด่าว่าชนชาติอื่นที่ไม่นับถืออิสลาม   ล้วนเป็นกาฟิร ที่ต่ำต้อยไปหมด ต้องฆ่าทิ้งให้หมดโลก...... 

 

ก็คุณไม่ดูว่า  กาฟิรใหญ่ มหาอำนาจ อย่างกาฟิรอเมริกา  กาฟิรรัสเซีย  กาฟิรจีน  กาฟิรอังกฤษ ฝรั่งเศส  .....กับประเทศอารยะมุห์มิน  อิรัค  ซีเรีย  ....ดูแล้ว เปรียบเทียบกันดู  ผู้ประเสริฐอย่างมุห์มิน จะไปสู้อะไรกับเขาได้ล่ะ  ..... 

 

แต่  มันไม่ใช่ประเด็นนี้ ..... มันเป็นประเด็นของ คำสั่งพระเจ้า  ที่ไม่ถูกต้องนะ ...เราต้องกลับมาคิดดู  อย่างคน   อย่างมนุษย์  คิดดูอย่างนักวิทยาศาสตร์  วิจัยหาเหตุหาผล  จึงจะรู้ว่า  คำสั่งเช่นนั้น  มันไม่มีเหตุผลเลย   

 

ทำไมมุสลิมจะต้องมองมนุษย์คนอื่น ชาติอื่น  ที่เขาไม่นับถือศาสนาอิสลาม  ว่าเป็นกาฟิร   ที่พวกนักรบอิสลามต้องล้างผลาญ จัดให้เป็นศัตรูไปตลอดตราบที่กาฟิร ยังมีอยู่  ต้องปราบกาฟิร ให้สลายไปให้ได้.....แล้วไม่ใช้ความคิดดู  ว่า จะทำได้หรือ  มีแต่กาฟิร เท่านั้น เขาจะเอาชนะเรา    นั่นต่างหาก  ทำไมไม่ใช้สติ ปัญญา ตรองดูเล่า

 

6.2.2  ประวัติศาสตร์สยามมหาอำนาจในตะวันออก 

01:40

พยับ ปัญญาธโร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   ไม่รู้ประวัติศาสตร์เลยหรืออย่างไร  

ขณะที่ชาวประเทศอารยะมุสลิมทั้งหลาย

ตกเป็นขี้ข้าเขา  เป็นเมืองขึ้นเขาไปหมด 100-200-300 400 ปี(อย่างอินโดนีเซีย  อิรัค อิหร่าน มาเลเซีย เป็นข้าทาส อยู่ใต้ปกครองเขาถึง 400 ปี) .......ไทย   แผ่นดินนี้ เป็นเอกราช  เคยเป็นสยามมหาอำนาจแห่งเอเซียตะวันออก   ก็ดูแผนที่ ที่นำมาลงให้ดูก็ได้   นี่อย่างไร  แผนที่ ที่แสดงถึง สยามมหาอำนาจแห่งโลกยุคนักล่าเมืองขึ้น ......  

 แล้วจะคิดมาทำอะไร   ในการใช้อาวุธเล่า...สยามเป็นไท  มาตั้งแต่ฝังรกรากลงที่แผ่นดินนี้ ...ไม่เคยแพ้ใคร    มามองกันใหม่เถอะ    มองการเมืองของเรา  ที่จะเดินไปอย่างมีความสงบ และมีความสุขทั่วถึงกันทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน โดยต้อยอมรับกันว่า   ประชาชน  ล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น  

ไม่ว่านับถือศาสนาอะไร  ล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น    และเรามีสิทธิ  1 คน  1  เสียง   เท่ากัน ซึ่งมันบอกถึง  เราเป็นคน เท่ากัน  ............ยอมรับเถอะ  หากเรามั่นใจในการเมือง  ที่คนไทยต้องร่วมมือกันสร้างระบอบนี้ขึ้นมาให้ได้    เพราะระบอบนี้เท่านั้น  ที่ปกป้องชาวไทยมุสลิม  ปกป้องทุก ๆ ศาสนา   ไม่ให้รบกัน .....  

และหากคิดจะรบ คิดจะแยกดินแดน  คิดจะทำสงคราม   แบบทำสงครามศาสนา  คือยกตนว่าเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ จิฮัด  นั้น  อย่าคิดเลยครับ   มันยากจริง ๆ  ที่จะทำได้สำเร็จในประเทศไทย   แต่ที่จะทำสำเร็จง่ายกว่า  ก็คือ  สู้แบบการเมืองประชาธิปไตย  ซึ่งเป็นธรรม  ภายใต้ความเชื่อใหม่ ที่เราควรจะยอมรับได้ คือ  ภายใต้ความเชื่อว่า   ประชาชน   คน   ย่อมเสมอภาคกัน   ถ้าคุณไปแบ่งชั้นวรรณะ ว่าตนเองสูงที่สุด ประเสริฐที่สุด จนคนอื่นมาร่วม ปน ไม่ได้   นั้นมันเป็นวิถีทางที่ผิดพลาด สำหรับการเมืองและสังคมยุคใหม่

 

 

ภาพแผนที่มหาอำนาจสยามเสียดินแดนยุคล่าเมืองขึ้น 

220  px - Siam - territ
oral - losses 

 ลองดู จากบน ลง ล่างของแผนที่นะครับ  เราเสียดินแดนไปมากมายขนาดไหน

1.  เสีย ชานสเตท: Shan states ที่ีติดพม่า ให้อังกฤษ ปีค.ศ. 1893(พ.ศ.2436)

2.  เสียลาวส่วนบนแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส ปีค.ศ. 1888(พ.ศ.2431)

3.  เสียลาว(Loas) ทั้งหมด ให้ฝรั่งเศส ปีค.ศ.1893(พ.ศ.2436)

4.  เสียฝั่งขวาแม่น้ำโขง 2 ดินแดน บน - ล่าง ให้ฝรั่งเศส ปีค.ศ.1904(พ.ศ.2447)

5.  เสียกัมพูชา ส่วนบน ให้ฝรั่งเศส ปีค.ศ.1907(พ.ศ.2450)

6.  เสียกัมพูชาทั้งหมด(Cambodia) ให้ฝรั่งเศส ปีค.ศ.1867(พ.ศ.2410)

7.  เสีย โคชินไชนา( Coshinchina) ให้ฝรั่งเศส ปีค.ศ.1862(พ.ศ.2405)

8.  เสียดินแดนฝั่งทะเลอันดามันให้อังกฤษ ปีค.ศ.1869(พ.ศ.2412)

9.  เสียดินแดน 2 ดินแดนในมาเลเซีย(กลันตัน-ตรังกานู) ให้อังกฤษ ปีคศ.1909(พ.ศ.2452) 

 

 

02:28

พยับ ปัญญาธโร

ฉะนั้น  จงเป็นมุสลิมประชาธิปไตยกัน  ทั้งหมดโลก  

ทั้งซีเรีย และ อิรัค  ที่เป็นประเด็นอยู่ขณะนี้      โดยการมองใหม่ครับ    มองว่าคน  ประชาชน ล้วนมีความเสมอภาคกัน  เท่ากัน   

อย่างที่มองอยู่  และที่ได้มองมานานและดำเนินไปตามแนวทางนั้น   ล้วนแต่สร้างปัญหา   และสร้างสงคราม  ไม่รู้จบ  .......  และที่สำคัญ  เดี๋ยวนี้  มีมุสลิมโลก  ที่มองใหม่ไปแล้ว   ด้วยสายตาใหม่  ....   มีมากพอ ๆ กับมุสลิมตาเก่า   และสายตาใหม่นี้ยิ่งทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ   ......    นั่นคือ  ใช้สติ  ใช้ปัญญา  ใช้วิปัสนาญาณ  มองดูตัวเอง อย่างนักวิทยาศาสตร์   ....อย่าเชื่อ   ในคำสั่ง....คำสั่งที่ไร้เหตุผลอย่างแท้จริง   นั่นคือคำสั่งให้ฆ่า   ..........   ฆ่า  กาฟิร ให้หมดโลก    นั้น  คุณจะทำได้อย่างไร ......   คุณจะทำอย่างไร  กับ  กาฟิรใหญ่  อย่างอเมริกา อังกฤษ  ฝรั่งเศส  รัสเซีย  จีน  ....   เขาเป็นกาฟีร  แบบที่พระเจ้าบัญญัติเอาไว้   แต่เมื่อมองดู   กาฟิรกลับน่านับถือ   และมีพลังอำนาจ  มากกว่า   แบบเราสู้ไม่ได้  ไม่มีสิทธิสู้เลย......(อเมริกาเขาสร้างระเบิดปรมาณูได้.....เขาสร้างเครื่องบิน ที่ ไม่มีคนขี่ แต่มันไปได้แบบมีคนขี่ .....)  

ส่วน  มะลาอิกะ  กองทัพสวรรค์ของอัลเลาะห์  ที่อัลเลาะห์ให้คำมั่นว่าจะมาช่วยรบ  นั้น  ...ก็เป็นเรื่องโกหก นี่นะ  เรา ๆ  ก็เห็นมาหลายครั้งแล้ว   จากสงครามทะเลทราย ....  ไม่มีหรอก  กองทัพฟ้า มะลาอิกะ ....ถึงมาจริง ๆ  มีจริง ๆ  ก็สู้กาฟิรอเมริกัน  รัสเซียเขาไม่ได้

 

 

02:38

พยับ ปัญญาธโร

หยุดเถอะครับ  พี่น้องมุสลิมไทย   หยุดเถอะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  

 

อย่าคิดไป   อย่างผิดทำนองคลองธรรม  .....  อย่าคิดแยกแผ่นดิน  โดยคำสั่งว่า  เราเป็นผู้อารยะ จะอยู่ปนกับคนอื่นเขาไม่ได้   อย่าอยู่ปนกับชาวไทยพุทธ   จงแยกออกเป็นจังหวัดมุสลิม  ประเทศมุสลิมล้วน ๆ ....  ต้องพลีชีพทำสงคราม  เพื่อแยกเป็นประเทศมุสลิมล้วน  ๆ   .......  

 

ไม่ได้หรอกครับ   ไม่ได้เลย ......คือคุณไม่อาจจะทำได้สำเร็จ  อย่างไรครับ  .......มาร่วมสร้างแนวคิดการเมืองที่ถูกต้องเถิด   และมาคิดร่วมกันในเรื่องที่เราทุก ๆ คนที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน  มีความสุขเถิด

 

02:52

พยับ ปัญญาธโร

เอาละ  วันนี้ จะว่าเริ่มต้นก็ได้  

 

 เพราะผมมาคิดแล้ว  เห็นว่าพี่น้องมุสลิม มุสลิมโลก  และทั้งมุสลิมไทย  ไม่เข้าใจ  แม้กระทั่งพระมหาคัมภีร์ของพระเจ้าอัลเลาะห์ที่จริงเป็นอะไร   ก็ไม่เข้าใจ     ผมจะค่อยเล่าให้ฟังนะครับ  มีเหตุผล ตามแนววิทยาศาสตร์ครับ  เล่าให้พี่น้องมุสลิมเรานี่แหละฟัง   เรื่องที่เราถูกนำไป    อย่างไม่มีเหตุผล   และการนำไปนั้น  กลายเป็นเส้นทางที่โหดร้าย  แสนสาหัส  และยากลำบากแสนเข็ญ  ทั้งมองไปไม่เห็นปลายสุดของเส้นทางเลย  ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้  ...

 

แล้ว   จะเดินไปเส้นทางนี้ ไปทำไม ?

 

 

 

จบตอนความเข้าใจมุสลิมและศาสนาอิสลาม

ตอนที่ 2

( ดี 51 )

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 

 

 

 

 7.  สารบาญเรื่องในอดีต