ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


สากล...ศาสนา 12

  

 

 

สากลจักรวาลสากลศาสนา

ธรรมสามีวินิจฉัย

[ 12 ]

 

           

 

 

 

ศาสนาสากลแต่ละศาสนา   ได้ปรากฏขึ้นมาตามลำดับยุคสมัยว่าล้วนมีจุดอ่อนในยุคสมัยของวิทยาศาสตร์  ซึ่งหมายถึงวิทยาการทั้งหลายอิงอยู่กับการพิสูจน์ทดลอง  เพื่อหาความสอดคล้อง  ลงตัว  ระหว่างปลายส่วนที่เป็นเหตุ  และปลายส่วนที่เป็นผล  กล่าวคือ  การสืบสาวถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ใดหนึ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติใช้วิธีการพิสูจน์สืบสาวโดยวิธีการวิทยาศาสตร์  และยิ่งมนุษย์มีความมั่นใจในวิทยาศาสตร์  (SCIENCE)  ยิ่งขึ้นเพียงใด  ก็ยิ่งเห็นจุดอ่อนในศาสนาสากลยิ่งขึ้นเพียงนั้น

            และ  ที่เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปทุกที  ๆ  ที่สติปัญญาของมนุษย์วิทยาศาสตร์พึงเห็นได้ก็คือ  ศาสนาสากลล้วนเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น  แต่การโฆษณาชวนเชื่อนั้นกระทำไปด้วยอวิชชา  คือเป็นเพราะความไม่เข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับที่ไปที่มาของเหตุการณ์ทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นในโลก

            ดังเราจะเห็นจากลำดับประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์  2003  ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจนที่สุด  เริ่มตั้งแต่  นักประพันธ์ผู้ฉลาด  เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมาและกำหนดให้ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่  เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ  ยิ่งกว่าเจ้าชีวิตในระบอบการปกครองที่เลวที่สุดของมนุษย์สมัยโบราณ  เพราะภาพที่วาดขึ้นจากปลายปากกาเป็นภาพที่น่าหวาดกลัว  เนื่องจากทรงเป็นเทพเจ้าและมารอสูรในขณะเดียวกัน  ในส่วนที่เป็นมารอสูรหรือซาตาน  ก็ทรงไร้ความเมตตาปารณี  ทรงโหดเหี้ยมยิ่งกว่ามารอสูร  เพราะแท้จริงพระเจ้าชื่อยะโฮวาห์นั่นเองที่เป็นฆาตกร  และไร้สัจจะอย่างยิ่ง  ตามหลักฐานในพระคัมภีร์เยเนซิส  กรณีพระยะโฮวาห์บันดาลฝนตกติดต่อกันถึง  40  วัน  จนน้ำท่วมโลกท่วมเหนือยอดภูเขาที่สูงที่สุดถึง  20  ฟุต  และท่วมอยู่ถึง  150  วัน  จนกระทั่ง 

 

every  creature  that  moved  on  earth-  bird,  cattle,  swarming  things  and   men,  everything  that  have  breath  and  lived  on  dry  land,  perished. 

Genesis  8:21  =บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน  คือนก  สัตว์ใช้งาน  กับบรรดาฝูงสัตว์เล็ก  ๆ  ที่อยู่บนแผ่นดิน  และมนุษย์ทั้งปวงก็ตายสิ้น)

        แต่คนยุคใหม่ก็จะดูเข้าใจดีว่า  นี่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อในศาสนาคริสต์อันเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของศาสนานี้  จึงไม่ติดใจเอาโทษทัณฑ์ใดใดกับพระยะโฮวาห์ฆาตกร  ผู้ทำน้ำท่วมโลก  ผู้ประพันธ์มีเจตนาเขียนเรื่องราวขึ้นมาข่มขู่ให้มนุษย์สมัยเก่าก่อนที่เขลาขลาด  ระยอบเกรงกลัง  ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ปกครองตัวแทนเทพเจ้า  สร้างภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าขึ้นครอบงำความคิดอ่านจินตนาการของมนุษย์ทั้งปวง  และประวัติศาสตร์ศาสนาสากลในกาลต่อมา  ก็ได้ปรากฏเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้น  เนื่องมาจากมนุษย์ผู้หนึ่ง  ที่ถูกครอบงำอย่างยิ่งจากการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องพระเจ้านี้  ก็คือ  พระเยซู  เพราะพระเยซูทรงถูกครอบงำมาตั้งแต่ประถมวัยของพระองค์  ทำให้ทรงมีความเชื่อและคิดอ่านผิดประหลาดไปกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป  และวัยเด็กก็ไม่ได้เข้าโรงเรียน  ไม่คิดจะทำกิจการอาชีพเป็นหลักแหล่ง  ฝึกการงานช่างไม้บ้าง  เพราะบิดาคือ  โยเซฟ  เป็นช่างไม้  ทรงใช้เวลาในวัยเด็กให้ล่วงไป  ด้วยการเดินทางท่องเที่ยว  ไปในสถานที่รกร้างว่าเปล่าที่มีเทวสถาน  หรือสัญลักษณ์ทางศานาต่างๆ  ชอบไปคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่  นักการศานาในสมัยนั้น  ได้ฟังเรื่องราวจากตำนาน  วรรณคดี  พระคัมภีร์โตราห์  พระคัมภีร์อิสยาห์  และอื่นๆ  จากผู้เฒ่าผู้แก่  ได้เรียนรู้ศาสนาจากผู้เฒ่าผู้แก่เป็นส่วนมาก  ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง  จึงทรงรู้อักษรศาสตร์อย่างผิวเผินมาก  จนนำไปอ้างผิดพลาดบ่อย  ๆ  เป็นเหตุให้เกิดข้อบกพร่องมาถึงปัจจุบันนี้ก็หลายเรื่อง  (เช่นเรื่อง  นิยามของซาตาน  ที่ทรงนิยามว่า  มันเป็นผู้ฆ่าคนและไม่รักษาความซื่อสัตย์  ซึ่งตรงกับคุณสมบัติของพระบิดาของพระองค์  ทำให้พระบิดาของพระองค์กลายเป็นซาตานไป)

            ครั้นเจริญวัยเติบโตจนพระชนมายุได้ประมาณ  28-29  ปี  ก่อนจะประกาศศาสนาคริสต์  ครั้งหนึ่งทรงเดินทางไกลไปทางเหนือของแม่น้ำจอร์แดน  ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดาน  เป็นเขตทะเลทรายเวิ้งว้าง  แล้วทรงหลงทางไป  เป็นเหตุให้ทรงอดพระกระยาหารอย่างสาหัสอยู่ถึง  40  วัน  แต่โดยพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทรงถูกนำไปโดยจพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์  ปรากฏในไบเบิลว่า 

 

Filled  with  the  Holy  Sprit,  Jesus  returned  form  the  Jordan  River  and  for  40  days  was  guided  in  the  desert  by  the  Sprit  while  their  tested  by  the  devil.  He  did  not  eat  at  all  during  those  days  and  on  their  completion  He  was  hungry.  So  the  devil  said  to  Him,  “If  You  are  the  Son  of  God,  tell  this  stone  to  become   bread.”  

(Luke  4:1-3  =  พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน  และพระวิญญาณได้นำพระองค์ไปถึงสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดาน  ทรงถูกมารทดลอง  ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย  และมเอสิ้นสี่สิบวันแล้ว  พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร  มารจึงทูลพระองค์ว่า  ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร” 

 

การเดินทางคราวนั้นเป็นร่องรอายสำหรับนักปราชญ์ทางศาสนาพุทธที่วิเคราะห์ว่าพระเยซูได้เคยเข้าไปในอินเดียเหนือเพื่อศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่ระยะเวลาหนึ่ง  แต่ทรงศึกษาได้เพียงผิวเผิน  พอไปทำทุกกิริยาอดอาหารตามอย่างสิทธัตถะ  จึงหลงทางไปในฝ่ายมารไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมแห่งมรรคผลนิพพานได้)

            เหตุการณ์อันลำบากในครั้งนั้น  ได้มีผลต่อระบบประสาทส่วนสำคัญของพระองค์จนทำให้ทรงวิปลาส  (ในความหมายทางการศาสนาศึกษาหมายถึง  อารมณ์แห่งฌานวิปลาส)  และ  เกิดสำคัญพระองค์ผิดไปตั้งแต่คราวนั้นว่า  พระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้ายะโอวาห์

บนสวรรค์  ประโยคที่ว่า “If  You  are  the  son  of  God,  tell  this  stone  to  become  bread.  =  ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจงสั่งก้อนหินนี้  ให้กลายเป็นขนมปัง"”  บ่งถึงการสำคัญพระองค์ผิดว่าเป็นบุตรของพระเจ้าตั้งแต่คราวนั้นและพระยะโฮวาห์ทรงบัญชาให้พระองค์ลงมาประกาศศาสนาคริสต์ขึ้นบนโลกนี้  ฉะนั้นเมื่อทรงประกาศศาสนา  จึงทรงเริ่มด้วยการประกาศสถานะของพระองค์เสียก่อน  โดยทรงประกาศไปตามความสำคัญผิดนั้นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยโลกให้รอด  คนทั้งหลายต้องมานับถือเลื่อมใสในพระองค์เท่านั้นจึงจะเข้าสู่อาณาจักรพระเจ้าได้  หากไม่นับถือพระองค์แล้ว  พระบิดาของพระองค์จะทรงพระพิโรธและลงโทษอย่างสาหัสถึงตายทุกคนเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่พรเจ้าทรงรักมากอย่างหาที่เปรียบปารไม่ได้

            และวาทะอันยิ่งใหญ่ที่บอกความหมายทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนาคริสต์  ก็คือวาทะที่พระเยซูทรงตอบโต้กับขุนนางชาวยิวคนหนึ่งที่ถูกส่งตัวมาสืบความลับของพระองค์  คือ  นิโคเดมัส  นิโคเดมัสเป็นพสกปาริสี  ซึ่งเป็นฝ่ายศัตรูของพระองค์และเกาะติดตามพระองค์ตลอดเวลาที่พระเยซูเผยแพร่ศาสนาคริสต์ตลอดสามปีนั้น  ความสำคัญของวาทะพระเยซูครั้งนี้  มีอยู่ในยอห์นบทที่  3  ได้นำมาลงไว้ทั้งหมดแล้ว  ดังต่อไปนี้

 

            Among  the  Pharisees  there  was  a man  named  Nicodemus,  a  rule  of  the  Jews,  who  visited  Jesus  by  night  and  said  to  Him,  “Rabbit,  we  know  that  You  are  a  teacher  who  has  come  from  God;  for  no  one  can  work  the signs  You  work  unless  God  is  with  Him.”

        Jesus  answered  him,  “Truly  I  assure  you,  unless a  person  is  born  form  \above  he  can  not  see  the  Kingdom  of  God.”  Nicodemus  said  to  Him,  “How  can  a  man  be  born  when  he  is  old?  Can  he  enter  his  mother’s  womb  a  second  time  and  be  born?”  Jesus  replied,  “Truly  I  assure  you’ unless  one’s  birth  is  through  and  the  Spirit,  he  cannot  enter  Kingdom  of  God.

        “Do  not  surprised  because  I  told  you,  ‘All  of  you  need  to  be  born  form  above.  ‘The  wind  blows  where  it  pleases  and,  though  you  hear  the  sound  of  it,  you  neither  know  whence  it  comes  nor  where  it  goes.  It  is  the same  with  everyone  who  is  born  of  the  Sprit.”  In  response,  Nicodemus  asked  Him,  “How  is  that  Possible?”  Jesus  replied.  You  are  a  teacher  of  Israel  and  ignorant  of  this?  I  truly  assure  you  that  we  speak  of  what  we  know  and  we testify  to  what  we  have  seen;  but  you  do  not  accept  our  evidence.  If  I  told  you  earthly  and  you  do  not  believe,  will you  believe  if  I  tell  you  heavenly  things.  No  one  has  gone  up  to  heaven.  And  just  as  Moses  lifted  up  to  serpent  in  the  wilderness,  so  the  Son  of  Man  must  be  lifted  up,  so  the  whoever  believes  in  Him  may  not  perish  but  have  life  eternal.

        For  God  so  loved   the  world  that  He  gave  His  only-begotten  Son,  so  that  Whoever  believes  in  Him  should  not  perish,  but  have  everlasting  life.  For  God  did  not  sent  His  Son  into  the  world  to  condemn  the  world  but  in  order  that  the  world  might  be  safe  through  Him.

        He  who  believes  in  Him  is  not  condemned;  but  who  dose  not  believe  is  already  condemned,  because  he  has  not  believed  in  the  name  of  the  only-begotten  Son  of  God.  And  this  the  verdict,  that  light  has  come  into  the  world,  and  people  have  loved  darkness  more  than  light  because  their  deeds  were  wicked.  For  everyone  who  practices  evil  hates  the  light  and  keeps  away  form  the  light,  in  order  that  this  his  actives  might  not  be  exposed.  But  one  who  practices  the  truth  wants  light  on  it,  so  that  it  will  be  perfectly  clear  that  he  is  working  in  union  with  God.  [John  3:1-21]

        มีชายคนหนึ่งในพวกดฟาริสีชื่อนิโคเดมัส  เป็นขุนนางของพวกยิว  ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืน  ทูลพระองค์ว่า  ท่านอาจารย์เจ้าข้า  พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า  เพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่าพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ด้วย  พระเยซูตรัสตอบว่า  เราบอกความจริวแก่ท่านว่า  ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่  ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินพระเจ้าไม่ได้  นิโคเดมันทูลพระองค์ว่า  คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้  จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ

            พระเยซูตรัสว่า  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินพระองค์เจ้าไม่ได้  ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง  และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ  อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า  ท่านทั้งหลายจ้องบังเกิดใหม่  สมใคร่จะพัดไปข้างหน้าก็พัดไปข้างนั้น  และท่านได้ยินเสียงลมนั้น  แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน  คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน  นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า  เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้  พระเยซูทรงตรัสกับเขาว่า  ท่านเป็นอาจารย์ของชนชาติอิสราเอล  และท่านยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้  และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น  แต่ท่านทั้งหลายหาได้รับคำพยานของเราไม่  ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกแล้วท่านไม่เชื่อ   ถ้าราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร  ไม่มีผู้ใดขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์  คือบุตรมนุษย์ผู้ที่มีสวรรค์เป็นบ้านอยู่โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นธุรกันดารฉันใด  บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น  เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะไม่พินาศแต่ได้ชีวิตนิรันดร์

            เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียงของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเจ้ามาในโลก  มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก  แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

            ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ  ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วย  เพราะเขามิได้วางใจในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  หลักการพิพากษามีอย่างนี้  คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว  แต่มนุษย์ได้รักความมือมากกว่ารักความสว่าง  เพราะกิจการของเขาเลวทราม  เพราะทุกคนที่แระพฤติชั่วก็เกลียดความสว่างและไม่มาถึงความสว่าง  ด้วยกลัวว่าการกระทำขจองตนจะปรากฏแต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง  เพื่อให้เห็นว่า  การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า 

            ท่านจะเห็นว่านิโคเดมัส(ฉบับของกีเดียนเขียนว่า  นิโกเดโม  ชาวปาริซาย)  แสร้งสรรเสริญพระเยซูอย่างยิ่งใหญ่ว่าทรงเป็นครูผู้ประเสริฐที่มาจากพระเจ้าโดยตรง  หากไม้มาจากพระเจ้าแล้วคงไม่สามารถแสดงการอัศจรรย์ต่างๆ  ได้  นิโคเดมัสเป็นนักขจิตวิทยาทราบว่า  พระเยซูมีพระอุปนิสัยเคลิ้มหลงไหลในความสรรสเริญเป็นอันมาก  หากจะเอาข้อมูลทุกอย่างที่ลึกซึ้งจากพระองค์ก็ต้องยอมอ่อนน้อมพระองค์ไว้ก่อน  จึงออกคำสรรเสริญนำไปก่อนว่า  Rabbit,  we  know  that  You  are  a  teacher  who  has  come  form  God;  for  no  one  can  work  the  signs  You  work  unless  God  is  with  Him.  =  ท่านอาจารย์เจ้าข้า  พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า  เพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย  นิโคเดมัสฉลาดพอที่จะเอ่ยเพียงคำว่า  the  signs  ไม่ระบุการอัศจรรย์อย่างใดอย่างหนึ่งออกมาตรงๆ  และปรากฏว่าถูกใจพระเยซู  จึงทรงตรัสตอบทันทีว่า  “Truly  I  assure  you,  unless  a  s  person  is  born  form  above  he  can  not  see  the  Kingdom  of  God.  =  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่  ผู้นั้นจะเห็น   แผ่นดินพระเจ้าไม่ได้    นิโคเดมัสจึงออกคำถามสำคัญหวังให้  พระองค์จนมุมว่า  “How  can  a  man  be  born  when he  is  old?  Can  he  enter  his  mother’s  womb  a  second  time  and  be  born?  =  คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่ได้อย่างไรได้  จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สอง  และบังเกิดใหม่ได้หรือ  พระองค์ทรงเยือกเย็นและเข้าทางของพระองค์  ตรัสตอบว่า  “Truly  I  assure  you,  unless  one’s  birth  through  water  and  the  sprit,  he  cannot  enter  the  Kingdom  of  God.  =  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ 

 

            บทสนทนาตอนนี้พิจารณาคำว่า  one’s  birth  is  through  water  and  the  Sprit,  บอกถึงสถานะของพระเยซญูในขณะนั้นว่า  พระองค์เป็นนักบวชใหม่  เพิ่งรับซลีจุ่มและคำพยากรณ์อันสูงสุดมา  และหน้าที่ของพระองค์ก็คือทำการแบบติสต์  คือให้ศลีจุ่มน้ำแด่หลประชาชนคนทั่วไปเหมือนท่านยอห์น  (โยฮัน)  ที่ทำอยู่ก่อนแล้วบนฝั่งแม่น้ำจอร์แดนตะวันออก  คำว่า  What  is born  of  the  flesh  is  flesh  and  what  is  born  of  the  Sprit  is  sprit.  =  ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง  และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญารก็เป็นวิญญาณ  หมายถึงการรับศลีจุ่มเพื่อล้างบาป  การเกิดใหม่หมายถึงการเกิดทางวิญญาณ  (การกลับใจ  กลับความเชื่อใหม่  คิดใหม่ทำใหม่)  ไม่ใช่จะต้องเขจ้าครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองตามที่นิโคเดมัสปั้นคำถามขึ้นหวังให้ไขว้เขว  บทสนทนาระหว่างพระเยซูกับขุนนางยิวนิโคเดมัสตอนนี้  เห็นได้ว่าพระเยซูพยายามเกลี้ยกล่อมให้นิโคเดมัสถวายตัวเป็นลูกศิษย์หรือไม่ก็รับศีลจุ่มจากพระองค์  จึงทรงเน้นเชิงบังคับว่า  All  of  you  need  to  be  born  Form  above  ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องบังเกิดใหม่  คำว่า  need  มีความหมายรวมไปถึงมนุษย์ทั้งโลกว่า  มีความจำเป็นต้องหันมาสู่พระเยซูเพื่อรับความรอดจากพระองค์  มีความหมายที่ข่มขู่ในถ้อยคำถัดไปว่า  The  wind  blow  where  it  pleases  and,  though  you  hear  the  sound  of  it,  you  neither  know  whence  it  come  nor  where  it  goes’  It  is  the  same  with  everyone  who  is  bone  of  the  Sprit.  =  ลมใคร่พัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น  และ  ท่านได้ยินเสียงลมนั้น  แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหน  คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน  นั่นคือความหมายที่ว่าพระเจ้าหรือคนของพระเจ้าจะลงโทษคนทั้งหลายอย่างไรเมื่อไรก็ย่อมได้เป็นธรรมดา

          แต่นิโคเดมัสแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ  ถามว่า  “How  is  that  possible?”  เหตุการณ์ อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้  อันบ่งถึงความไม่เชื่อถ้อยคำที่พรเยซูพูดมาทำให้พระเยซูไม่พอพระทัยตรัสว่า  “You  are  a  teacher  of  Israel  and  ignorant  of  this  ?  =  ท่านเป็นอาจารย์ของชนชาติอิสราเอล  และท่านยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ  และจากนี้  พระองค์ก็ไม่เปิดโอกาสให้นิโคเดมัสพูดอะไรอีก  ก็เป็นร่ายยาวของพระเยซูไปจนตลอดเรื่อง  นิโค  เดมัส  ก็ได้แต่ฟังไปจนจบเรื่องลง

         

พระเยซู  ตรัสต่อไปจากนั้นว่า

          I  truly  assure  you  that  we  speak  of  what  we  know  and  we  testify  to  what  we  have  seen;  but  you  do  not  accept  our  evidence.  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้  และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น  แต่ท่านทั้งหลายหาได้รับคำพยานของเราไม่  ในประโยคนี้  พระเยซูใช้คำว่า  we,  our  เรา,ของเรา  ซึ่งไม่ปรากฏว่าทรงใช้คำนี้ในที่อื่น  เห็นได้ว่าทรงประสงค์ให้ผู้ฟังได้คิดว่า  พระองค์มิได้  อยู่คนเดียว  แต่ร่วมกับพระบิดาและ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดเวลา  พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงได้ยินสิ่งที่พระองค์ตรัส  ทรงเห็นเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นและเห็นได้ยินนิโคเดมัสพูดและทำทุกอย่าง  ประโยคต่อไปคือ  If  I  told  you  earthly  thing  and  you  do  not  believe,  how  will  you  believe  if  I  tell  you  heavenly  things.  ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกแล้วท่านไม่เชื่อ  ถ้าเราบอกท่านถีงสิ่งฝ่ายสวรรค์  ท่านจะเชื่อย่างไร  No  one  has  gone  up  to  heaven  expect  He  who  came  down  form  heaven,  the  Son  of  Man  whose  home  is  heaven  ไม่มีผู้ใดขึ้นไปสู้สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์  คือบุตรมนุษย์  ผู้ที่สวรรค์เป็นบ้านอยู่  And  just  as  Moses  lifted  up  the  serpent  in  the  wilderness,  so  the  Son  of  Man  must  be  lifted  up,  โมเสสได้  ยกงูขึ้นในถิ่นธุรกันดานฉันใด  บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขั้นนั้น  ประโยคนี้ทรงพูดย้อนไปถึงอดีตท้าวความถึงการบูชางูของคนทั้งหลายที่เชื่อถือโมเสส  ในครั้งนั้นโมเสสได้รับพะรลบัญชาจากพระเจ้าและรับประทานไม้เท้านศักดิ์สิทธิ์สามารถเสกไม้เท้าให้กลายเป็นงูได้  จนฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงหวาดหวั่นและในที่สุดยอมปลดปล่อยชนชาติเฮบบริว  คือ  ชาวอิสราเอลที่เป็นทาสของแผ่นดินทั้งหมดให้เดินตามโมเสสไป  เพื่อแสวงหาแผ่นดินสัญญาของพระเจ้า  อันเป็นประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ด้วยลัทธิความเชื่อตราบมาสู่ความเป็นยิวนักรบในปัจจุบัน  คำว่า  the  Son  of  Man  บุตรมนุษย์  เป็นคำที่ทรงเรียกสรรพนามแทนพีระองค์  ในความหมายว่าทรงเป็นบุตรของโยเชฟที่เป็นมนุษย์  แต่ทรงสวมพระวิญญาณของพระจ้าหรือ  the  Spirit   จึงทรงเป็นทั้งบุตรมนุษย์และบุตรพระเจ้าในขณะเดียวกัน  ท่านผู้อ่านคงจะยังไม่เห็นว่าประเด็นนี้มีความหมายที่สำคัญมาก  เพราะนี่ค่อความหมายที่เป็นความลับชั้นลึกที่สุดของพะรเยซู  ที่แม้ชาวคริสต์ระดับสาวกของพระองค์ยังไม่สามารถจะเข้าใจพระองค์ได้  so  that  whoever  believes  in  Him  may  not  perish  but  have  life  eternal.  เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะไม่พินาศแต่ได้ชัวิตนิรันดร์  คำว่า  life  eternal  (eternal  life)  หรือ  everlasting  life  ชีวิตนิรันดร์  คือความหมายเดียวกับคำว่าปรมาตมัน  ในคัมภีรพระวเท  และภควัทคีตาของพราหมณ์-ฮินดู  นั่นเอง  ที่แสดงว่าพระเยซูได้รับเอาความคิดสุดยอดของพราหมณ์-ฮินดู  มาประยุกต์ใหม่  เพียงแต่เรื่องพระเจ้าสมัยของพระเยซูค่อนข้างเห็นชัดเจนว่า  พระเจ้ามีองค์เดียวจริง  ๆ  เพราะพระเยซูผู้เป็นศาสดา  ตรัสถึงพระเจ้าองค์เดียวคือยะโฮวาห์  และไม่ทรงตรัสดึงสวรรค์ว่ามีสถานะอย่างไรบ้าง  แต่พอมาถึงสมัยของท่านนบีมุฮำมัด  ทรงสร้างพระเจ้าองค์เดียวขึ้นมาโดยขจัดพระยะโฮวาห์ไปเสียเอาพระอัลเลาะห์เข้ามาแทนก็จริง  แต่พระเยซูก็ยังอยู่  และยังจะเห็นได้ว่ามีเทพองค์อื่นเกิดขึ้นมากมายจนกลายเป็นกองทัพฟ้ามลาอิกะห์  ยกลงมาช่วยท่านมุฮำมัด  รบแผ้วทางศาสนาอิสลามจนตั้งศาสนาอิสลามขึ้นได้สำเร็จ  (ขณะนี้ชาวอิสลามทั้งโลกก็ยังพากันเชื่อว่าอัลเลาะห์กำลังเตรียมทัพฟ้ามาอิกะห์เป็นทัพใหญ่  เพื่อยกลงมาช่วยอิรัก+อุสมา  บินลาเดนรบกันสหรัฐอเมริกาอยู่  ฝ่ายสหรัฐอเมริกาก็นึกประหวั่นเกรงกลัวกองทัพพระเจ้านี้ยิ่งกว่า  กองทัพไดในโลกมนุษย์  ฉะนั้น  สหรัฐอเมริกาจึงต้องตระเตรียมการรบอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ  ทั้งสุขุมทุกจังหวะย่างก้าวเพื่อความไม่ประมาท  และระดมพลังมากที่สุดเท่าที่เคยมีและทั้งมุ่งหมาย  ใช้อาวุธที่มีแระสิทธิภาพที่สุดเพื่อให้สู้รบต้านทานคู้ศัตรู  ซึ่งไม่ใช่เพียงกองทัพมนุษย์อิรัคเท่านั้น  แต่ยังต้องสู้กับกองทัพฟ้ามลาอิกะห์ของพระเจ้าอัลเลาะห์อีกด้วย)  นั่นหมายความว่า  มีเทพเจ้ามากกว่าพระองค์เดียวและเห็นแนวโน้มการพัฒนาศาสนาที่มีพระเจ้า  ว่าในที่สุดก็จะกลับไปมีพระเจ้ามากมายนับพันนับหมื่นองค์ขึ้นมาเหมือนเดิมอีก  เพราะผู้สร้างเทพเจ้า  ก็คือมนุษย์ผู้เขียนพระคัมภีร์นั่นเอง

 

          และต่อไปนี้  ถือว่าเป็นวาทะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเยซูและของศาสนาคริสต์

          For  God  so  loved  the  world  that  He  gave  His  only-begotten  Son  so  that  Whoever  believes  in  Him  should  not  perish,  but  have  everlasting  life.

          เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรอง๕เดียวของพระเองค์  เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์ 

 

For  God  did  not  sent  His  Son  into  the  world  to  condemn   the  world  but  in  order  that  the  world  might  be  safe  through  Him. 

เพราะว่าพระจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก  มิใช่  เพื่อพิพากษาลงโทษโลก  แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้อยู่รอดโดยพระบุตรนั้น

 

He  who  believes  in  Him  is  not  condemned;  but  he  who  does  not  believe  is  already  condemned,  because  he  not  believed  in  the  name  of  the  only-begotten  Son  of  God 

 

ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่อต้งถูกพิพากษา  ลงโทษส่วนผู้มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว  เพราะเขามิได้วางใจในพระนาของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 

 

And this  is  the  verdict,  หลักการพิพากษามีอย่างนี้  that  light  has  come  into  the  world, and  people  have  loved  darkness  more  than  light  because  their  deeds  were  wicked. 

 

คือความสว่างได้เข้า  มาในโลกแล้วแต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง  เพระกิจการของเขาเลวทราม 

 

For  every  one  who  practices  evil  hates  the  light  and  keeps  away  form  the  light,  in  order  that  his  activities  ,might  not  be  exposed. 

เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดควาสว่างและไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกล้วว่าการกระทำ ของตนจะปรากฏ 

 

But  one  who  practices  the  truth  wants  light  on  it,  so  that  it  will  be perfectly  clear  that  he   is  working  in  union  with   God. 

แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง  เพื่อเห็นว่า  การกระทของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า  [John  3:1-2]

 

 

          ท่านจะเห็นว่า  พระเยซูทรงสำคัญพระองค์เองอย่างจริง  ๆ  จังๆ  ว่าพระองค์เป็นปุตรพระเจ้ายะโฮวาห์บนสวรรค์ชึ้นฟ้าเบื่องบนจริง  ๆ  วาทะของพระองค์บอกความหมายอย่างชัดเจนว่า  พระองค์ขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ด้วยร่างกายเป็น  ๆ  สด ๆ  นี่เอง  พระองค์คิดจะไปสวรรค์เมื่อไรก็ทรงไปได้  คิดจะมาแผห่นดินโลกเมื่อไรก็มาได้ทุกเวลา  ดังเห็นจากความหมายของประโยคที่ว่า  No  one  has  gone  up  to  heaven  except  He  who came  down  form  heaven,  the  Son  of  Man  whose  home  is  heaven.  ไม่มีผู้ฝดขึ้นไปสู่สวรรค์  นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์  คือบุตรมนุษย์  ผู้ที่มีสวรรค์เป็นบ้านอยู่    คำว่า    whose  home  is  heaven  ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าทรงเพ้อฝันไปไกลขนาดไหน

 

          และมีประโยควาทะที่มีความสง่างามอลังการ  ไม่ว่าถ้อยคำภาษาหรือความหมายแห่งจินตนาการและความอเชื่อ  ก็คือประโยคที่ว่า 

 

For  God  so  loved  the  world  that  He  gave  His  only-begotten  Son,  so  that  whoever  believes  in  Him  should  not  perish,  but  have  everlasting  life. 

 

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์ 

 

          ซึ่งในใบเบิลภาษาอังกฤษ  ฉบับพิมพ์โดย  The  Gidions  ปี  ค.ศ.  1974  (พ.ศ.  2517)  มีคำชื่นชมไว้ว่า  เป็นประโยคที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง  ๆ  กว่า  1,100  ภาษา  It  tells the  One  who  loved  us  with  an  everlasting  love  เป็นถ้อยคำที่บอกมนุษย์ว่า  ยังมีบุคคลผู้หนึ่งที่มีความรักอันมั่นคงชั่วฟ้าดินสลายแต่มวลมนุษย์

       

   เพียงแต่ในประโยคนี้  มิได้มีสาระแห่งสัจธรรมอยู่เลย  เมื่อไม่สาระสัจธรรมอยู่เลยก็ไม่มีคุณค่าใดใดทางศาสนาสากล  กลับเป็นสิ่งที่เป็นเท็จ  ซึ่งหมายถึงการหลอกลวงชาวโลกทั้งหลาย  นั่นคือเป็นเพียงการโฆษณาชวยเชื่อ  (ความจริงคือ  พระเยซูเป็นบุตรของโยเชฟกับนางมารี  ความเท็จคือ  พระเยซูเป็นบุตรของพระยะโฮวาห์ลักลอบมาสมสู่กับนางมารี  และ  เป็นบุตรพระเจ้ามาจากสวรรค์)  คุณค่าของภาษานี้ก็มีเพียงเป็นบทกวีบทหนึ่งที่เพ้อฝันไปตามจินตนาการอันเลื่อนลอยไร้เหตุผลเท่านั้นเอง  ห้าคุณค่าแห่งสัจธรรมอันประเสริฐไม่  และเนื่องจากเนื้อหาของถ้อยคำระหว่างนิโคเดมัสขุนนางยิวกับพระเยซูครั้งนี้  เป็นการประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่า  พระเยซูทรงสำคัญตนผิดไปอย่างสุดฟาก  จากคนธรรมดาว่าเป็นบุตรพระเจ้าลงมาจาสวรรค์  และทั้งเล่าเรื่องราวประหลาด  ๆ  ทำให้ชาวบ้านนาซาเรธบ้านเกิดของพระองค์และหมู่บ้านอื่น ๆ  ต่างประหลาดใจไปตาม  ๆ  กัน  เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล่านั้นเริ่มซุบซิบกันด้วยความเป็นห่วงว่า 

 

Is not  this  Jesus,  the  son  of  Joseph,  those  father  and  mother  we  know ?  Now  how  can  He  say,  “I  have  come  down  form heaven?”  [John  6:42] 

 

คนนี้เป็นเยซูลูกของโยเชฟมิใข่หรือ  พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก  เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า  เราได้ลงมาจากสวสรรค์อันเป็นจุดเริ่มต้นที่คนในเยรูซาเล็มเริ่มสงสัยว่าพระองค์มีผีสิงห์หรือวิกลจริต

         

และเป็นต้นเหตุให้มีการท้าทายผู้คนในยูเดียขณะนั้นให้พิสูจน์ความจริง  และพวกเขาได้ทำการพิสูจน์อย่างสาหัสฉกรรจ์ต่อมา

       

   ฝ่ายพระเยซูก็พยายามกระทำการอัศจรรย์ให้ปรากฏเพื่ออ้างว่าทีกระทำได้นั้นเป็นเพราะฤทธิ์เดชของพระบุตรของพระเจ้า  แต่คนกลับมองไปว่าการที่พระองค์แสดฤทธิ์เดชได้  เพราะทรงเป็นนายผหี  และทรงถูกผีสิง  เป็นคนวิกลจริต  จนกระทั่งคนทั้งหมู่บ้านออกมาขอร้องให้พระองค์ไปเสียจากเขตแดนของเขาก็มี  ฝ่ายพระเยซูเห็นว่าคนยังไม่เชื่อว่าพระอค์เป็นพระบุตรขจองพระจ้าก็ยิ่งแสดงฤทธิ์มากขึ้น  และครั้นพระองค์ไปประกาศต่อคนทั้งหลายในเทศกาลปัสกาในกรุงเวรูซาเล็ม  เวลาต่อมาว่า  พระองค์จะทรงแสดงการอัศจรรย์  ด้วยการทำลายพระมหาวิหารลง  แล้วจะทรงเนรมิตสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน  แต่แล้วพระองค์ก็ไม่สามารถแสดงการอัศจรรย์ดังกล่าวได้  คนทั้งหลายก็เชื่อสนิทว่าพระองค์วิปริตไปจริง  ๆ  จนในวาระสุดท้ายของวัย  33  พรรษาของพระองค์ก็เกิดการท้าทายกันขึ้นกลางศาลยูเดียเพื่อพิสูจน์ความจริงให้เห็นชัดว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้าจริงหรือไม่  ฝ่ายศาสนายูดายคือมหาปุโรหิตเป็นฝ่ายท้าทายขึ้นก่อนว่า  I  charge  You  on  oath  by  the  living  God  that  You  tell  us  whether  You  are  the  Christ  the  Son  of  God.  [Mattew  26:63]  ท่านกล้าสาบานต่อหน้าพระเจ้าไหมว่าท่านเป็นพระคริสต์  บุตรพระเจ้า(คำว่า  on  oath  หรือ  under oath  =  having  sworn  to  tell  truth  especially  in  a  court  of  law  คือ  การสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งในกรณีนี้คือพระเจ้าว่าจะกล่าวแต่ความจริง  นิยมกระทำกันในศาล   แม้ในศาลไทยก็นิยมกระทำมาแต่โบราณ  ในกรณีนี้ผ่ายยูดายท้าให้  พระเยซูสาบาน  ว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรพระเจ้าตริงในขณะที่พระเยซูเป็นจำเลยในศาล)  และทรงรับคำทำนายนั้นทันที  ตรัสว่า  As  you  say,  Besides.  I  tell  you  that  shortly  you  will  see  the  Son  of  Man  seated  at  the  right  hand  of  the  Almighty  and  coming  upon  the  cloud  of  heaven [Mattew  26:64]  เราให้สาบานตามที่ท่านว่ามาทุกอย่าง  นอกจากนี้  เราขอยอกเลยว่า  ในไม่ช้าไม่นานนี้  ท่านทั้งหลายจะได้เห็นเรา  ผู้เป็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เคียงข้างด้านขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ  เสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์   (คำว่า  As  you  say. เราให้สาบานตามที่ท่านว่ามาทุกอย่าง  หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเรารับคำท้าของท่านทุกประการ  ที่แสดงว่าพระเยซู  ยังทรงสูญเสียพระสัญญาสติอีกหย่างหนึ่งก็คือเรารับคำท้าของท่านทุกประการ  ที่แสดงว่าพระเยศซู  ยังทรงสูญเสียพระสัญญาวติวิปลาสไปอยู่  จึงทรงรับคำท้าเพื่อยืนยันว่า  I  am  the  Son  of  God.  =  ฉันเป็นบุตรพะรเจ้า  เป็รพระคริสต์ที่เสด็จมาโปรดชาวอิสราเอลตามตำนานในคัมภีร์ศาสนา:อิสยาห์  ของชาวอิสราเอล  แล้วพระองค์เองยังทรงประกาศถ้อยคำที่ผูกมัดตัวเองตามไปอีกด้วยว่าให้คอยดูพระเจ้าจะเสด็จมาบนห้อนเมฆและรับเอาพระองค์ขึ้นไปนั่งบนอาสน์เดียวกัน  พระองค์นั่งข้างซ้ายของพระเจ้า  เลื่อนลอยไปสู่สวรรค์  จะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้าจริง  ๆ)

          แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงโดยที่พระองค์เป็นผู้แพ้  ความอธิษฐานว่า  “Father,  I  think  You  for  having  heard  Me,  and  I  know  that  You  do  always  hear  Me;  but  on  account  of  the  people  around  here  I  said  this,  so  that  they  may  believe  that  you  have  sent  Me.”  [John  11:41-42]  ข้าแต่พระบิดา  ข้าพระองค์ขอบพระคุณ  ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์  ขจ้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟ้าขจ้าพระองค์อยู่เสมอ  แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่  เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระเองค์มา  อันเป็นคำอธิษฐานขจองพระองค์ไม่เป็นผล  การอัศจรรย์ไม่ปรากฏขึ้นอีก  และทรงยอมรับความพ่ายแพ้และจำนนต่อความจริง  ด้วยการกล่าวคำสุดท้ายของชีวิตบนไม้กางเขน  ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า  Eli, Eli,  Lama  sabachthani?  [Mathew  27:46-Mark  15:33  พระเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสียล]

 

 

          ทุกวันนี้  องค์กรเผยแพร่ของศาสนาคริสต์  มีแต่โหมการโฆษณาชวนเชื่อโดยเริ่มครั้งใหญ่ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู   คือเรื่อง  Resurection  ว่าพระบุตรขจองพระเจ้าทรงฟื้นจากความตายแล้วเสด็จคืนสู่สวรรค์ทั้งเลือดเนื้อสด  ๆ  ซึ่งเป็นการหลอกลวงคนทั้งหลายไปทั่วโลก  จนกระทั่ง  กระท่านนบี  มฮำมัด  ศาสดาของศานาอิสลาม  ก็ยังพลอยเชื่อตามไป  ว่าพระเยซูเสด็จขจึ้นท้องฟ้าไปอยู่กับพระเจ้าอัลเลาะห์  ถึงกับรับรองไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกรุอานเมื่อศาสนาอิสลามกำเนิดขึ้นใน  600  ปีต่อมา  และหลังจากนั้นก็มีแต่เรื่องราวการโฆษณาชวนเชื่อ  ซึ่งเกิดจากการทรงของคนทรง  เอาคนทรงมาเป็น หลักฐานของศาสนา  และศาสนาอิสลามก็ยิ่งพิสูจน์ถึงความไร้แก่นของศานาคริสต์ยิ่งขึ้นจนกระทั่ง  มาร์ติน  ลูเธอร์  ปฏิวัติศานาเป็น  โปรเตสแตนท์  อีกนิกายหนึ่งในระหว่างปี  ค.ศ.  1521  (พ.ศ.  2064)  ทำให้คนรู้ความจริงภายในศาสนจักรและเบื้องหลังความเหลวแหลกของสถาบันคริสต์ศาสนามากขึ้น  แต่แล้ว  มาร์ติน  ลูเธอเอง  ก็กลับนำศาสนาคริสต์ไปเสียจากพรหมจรรย์โดยอ่านว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงบัญญัติเรื่องนี้  โดยที่มาร์ติน  ลูเธอร์  ซึ่งเป็นผู้เคร่งครัดในพระคัมภีร์  และซื่อสัตย์ต่อพระจ้า  ก็จับคู่อยู่กินกับนางคนหนึ่งในโบสถ์เดียวกันนั่นเอง  อันเป็นต้นเหตุให้พระศาสนาคริสต์ปฏิบัติตามกันมา  คือมีสตรีมาร่วมชีวิตนักบวชด้วย  มิต่างจากฆราวาสคฤหัสถ์ทั่วไป  แล้วควบคุมไม่อยู่วินัย  ตราบจนถึงปัจจุบันนี้วงการพระในคริสต์ยิ่งเละเทะไปกว่าจะดึงกลับเพราะบาทหลวงติดรสกามในตัณหาราคะ  มีสัมพันธ์ทางเพศหลายหลากไปกับเด็กและสตรีที่มิใช้ภรรยาตนเองปรากฏเป็นข่าวบ่อย  ๆ  ในระยะหลังนี้ในอเมริกา-ยุโรปจนสันตปาปาจอห์น  ปอลที่  2  ประมุขของศาสนาคาทอลิกต้องนำเรื่องมาปรึกษากับฝ่ายอาณาจักร  เพื่อร่วมกันคิดแก้ปัญหานี้ต่อไป  ส่วนพระบาทหลวงฝรั่งที่มาอยู่เมืองไทย  ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนธรรมดาเวลากลางวันก็เป็นพระ  ออกท่าทางให้ดูดีน่าเลื่อมใสเวลากลางคืนก็สามารถแต่งตัวไปเที่ยวตามสถานเริงรมย์ต่าง  ๆ  ได้อย่างไม่นึกเห็นเป็นการแปลกหรือผิดวินัยนักบวชแต่อย่าใด

 

 

          ด้วยเหตุการเผยแพร่ศาสนธรรมยากที่จะเป็นไปได้  เพราะคริสเตียนมิได้ยืนบนสัจธรรม  ศาสนาคริสต์จึงปรับกระบวนการแก้ไขด้วยการเพิ่มการโฆษณาชวนเชื่อไปเรื่อย  ๆ  ครั้งหลังสุดได้เกิดมีแต่ผู้แต่งเรื่องราวขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬารว่า  ตั้งแต่ก่อนคริสตศักราช  600  ปี  ได้มีแผ่นจารึกทองคำหล่นลงมาจากสวรรค์  แผ่นท่องคำนั้นจารึกด้วยอักขระโบราณ  แต่ละแผ่นมีขนาดกว้าง 6  นิ้ว  ยาว  8  นิ้ว  และหนาเท่าแผ่นตะกั่วธรรมดา  และถูกทับถมซ่อนเอาไว้ใต้ดินที่เนินเขาคาโมรา  ใกล้หมู่บ้านแมนเชสเตอร์  อำเภอออนแทริโอ  นิวยอร์ค  แห่งสหรัฐอเมริกา  จนถึงปี  ค.ศ.  1827  (พ.ศ.   2370)  โมโรไน  ทูตพระเจ้า  ได้มาปรากฏทางวิญญาณต่อหน้า  โจเชฟ  สมิธ  บุตรชายในครอบครัวชาวไร่ยากจน  ผู้ครอบครองที่ดินไร่นาที่เนินเขาคาโมราอังกล่าวนั้น  และว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งให้โจเชฟ  สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์องค์ใหม่ของชาวคริสต์  และต้อทำงานของพระเจ้าเมื่อวันที่  22  กย.  ค.ศ.  1827  (พ.ศ.  2370)  โมโรไนได้พาโจเซฟไปขุดเอาหับพระคัมภีร์ที่มีอัขระจารึกแผ่นทองคำขึ้นมา  โจเชฟ  สมิธ  ศาสดาพยากรณ์องค์ใหม่ทำการแปลภาษาโบราณในแผ่นจารึกเป็นภาษอังกฤษ และจัดพิมพ์เป็นเล่มขึ้นครั้งแรกในปี  ค.ศ.  1830  (พ.ศ.  2373)  แล้วประมาณ  90  ปี  ต่อมาคริสเตียนสิทธิชนยุคสุดท้ายได้นำพระคัมภีร์ใหม่นี้เข้ามาในประเทศไทย  แดนเสรีภาพแห่งศาสนา  และจัดทำเป็นฉบับภาษาไทยขึ้นครั้งแรกในปี  ค.ศ.  1920  (พ.ศ.  2463)  ชื่อว่า  พระคัมภีร์มอรมอน  พันธสัญญาอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์  จัดพิมพ์โดย  ศานาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย  72  ซอบจุลินทร์  สุขุมวิท  21  กรุงเทพฯ

          พระคัมภีร์ใหม่นี้  พูดถึงเรื่องราวความเป็นมาของพระคัมภีร์มอรมอน  อย่างการโฆษณาชวนเชื่อ  เรื่องราวและภาษาที่บรรยายเรื่องราวเอาเป็นหลักฐานได้ยาก  เพราะภาษาดิ้นแกว่งไหวไหลเลื่อนไปตลอด  อันบ่งไปถึงสาระข่าวสาร  (messages)  ที่ออกมาจากวิธีการทรงของคนทรง  เช่นมีการพิมพ์ข้อความสำคัญไว้หน้าต้น  ๆ  ของพระคัมภีร์เชิงการแนะนำให้รู้จักพระคัมภีร์  โมโรโน  ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวนีไฟคนสุดท้ายผนึกบันทึกอันศักดิ์นั้นและซ่อนไว้กับพระจ้า  เพื่อจะได้นำออกมาในยุคสุดท้ายดังที่พยากรณ์ไว้โดยสุรเสียง  ของพระผู้เป็นเจ้าผ่านศาสดาสมัยโบราณของพระองค์  ค.ศ.  1827  โมโนโรผู้เดียวกันนี้เป็นคนที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วมอบแผ่นจารึกซึ่งมีอักขระให้  โจเชฟ  สมิธ  (ศาสนาจักของพระเยซูคริสต์แห่งสวิทธิยุคสุดท้ายพระคัมภีร์มอรมอน  พันธสัญญาอีกเล่มหนึ่งาขจองพระเยซูคริสต์  กรุงเทพฯ  พ.ศ.  2463  หน้าที่  17  บรรทัดสุดท้าย)  คำว่า  โมโรไนผู้เดียวกันนี้เป็นคนที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วมอบแผ่นจารึกซึ่งมีอักขระให้  โจเชฟ  สมิธ   บอกไว้ในหน้าต้น  ๆ  ท่านจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าเขียนขึ้นมาด้วยสติสัมปชัญญะอย่างไร  แต่ข้อความที่ว่านี้เป็นเรื่องราวศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งในเมื่อคนตายไปนับร้อยปี  กลับเป็นขึ้นมาได้ใหม่  ตามคำที่ว่า  เป็นคนที่ฟื้นคืนชีวิต  แล้วกระทำกิจการงานได้อย่างมนุษย์เป็น  ๆ  แต่ภายในเล่มกลับบอกไม่ตรงกันบอกไปอีกอย่างหนึ่ง  คือยบอกว่า  โมโนโรตายแล้วได้ไปอยู่กับพระเจ้า  เมื่อถึงปี  ค.ศ.  1827  (พ.ศ.  2370)  จึงเป็นวิญญาณสว่างมาปรากฏแก่โจเชฟ  สมิธ  ชาวไร่ผู้ยากจน  พาโจเชฟไปขุดเอาแผ่นจารึกทองคำขึ้นมา  แล้วเล่าเรื่องโกหกต่อไปว่าโจเชฟ  สมิธ  ได้ครอบครองแผ่นทองจารึกอักขระอยู่ตั้งแต่วันที่  22  กันยายน  ค.ศ.  1827  (พ.ศ.  2370)  และเริ่มแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษจนจัดพิมพ์เป็นหนังสือมอร์มอนเล่มแรกในปี  ค.ศ.  1830  (พ.ศ.  2373)  ต่อมา  ในวันที่  2  พฤษภาคม  ค.ศ.  1838  (พ.ศ.  2381)  เมื่อครบเวลา  10  ปี  8  เดือน  ทูตของพระเจ้าคือโมโนโร  ก็เรียกเอาแผ่นทองคำที่จารึกข้อความเหล่านั้นกลับคืนไปสู่สวรรค์และไม่มีใครได้พบเห็นแผ่นทองคำเหล่านั้นอีก  (ที่มาของพระคัมภีร์มอรมอนเล่มเดียวกัน  หน้าที่  18-21) 

          ท่านจะเห็นว่า  การเล่าเรื่องพิเศษเชิงอภินิหารเช่นนี้  มีในใบเบิลมากมายหลายเรื่อง  เช่นเรื่องพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์แล้วเสด็จสู่สวรรค์  กับเรื่องพระเยซูเรียกลาซารัสให้ฟื้นจากความตาย  เป็นต้น 

มอรมอนคงเลียนแบบไบเบิลนั่นเอง  แต่จะเห็นได้ว่าเรื่องอย่างนี้  นักประวัติศาสตร์สากลไม่อาจจะยอมรับได้  ดังได้มีบทสรุปไว้ว่า  ปฐมกาล  ซึ่งเป็นบทแรกในพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงเรื่องการสร้างโลกสองตอนที่ไม่เหมือนกัน  เรื่องน้ำท่วมโลกก็มีสองตอนไม่เหมือนกันเช่นเดียวกัน  ในภาคพันธสัญญาใหม่เรื่องเล่าก็ขัดกันเอง  เช่นการกลับคืนพระชนม์ชีพ  โดยต่างมุ่งแสดงแต่ความศักดิ์สิทธิ์ของเหตุการณ์ที่ตนเล่าเท่านั้น  ความฝังใจที่จะหาความจริงตามตัวอักษรในคัมภีร์เป็นความคิดใหม่อย่างหนึ่งของโลกตะวันตกปัจจุบัน  ในศตวรรษที่  16  เมื่อเกิดปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในยุโรป  พวกนี้คาดหวังว่าจะพิสูจน์ความจริงจากคัมภีร์ได้แบบเดียวกับข้อพิสูจน์ในห้องทดลอง  นักปรัชญาแห่งยุคสว่างทางปัญญาในศตวรรษที่   17  ตั้งข้อสงสัยในว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่  ในศตวรรษที่  19  ทฤษฎีวิวัฒนาการของนักธรรมชาติวิทยาชาร์ลส  ดาร์วิน  ก่อให้เกิดความที่แตกแยก  เนื่องจากทฤษฎีนี้ขัดกับบทปฐมกาล  ทัศนะที่แย้งกันเหล่านี้ทำให้คัมภีร์ศาสนาเป็นเรื่องที่ยังขบไม่แตกสำหรับชาวยิวและชาวคริสต์จำนวนมากในทุกวันนี้  (รีดเดอร์  ไดเจสท์  สารานุกรมประวัติศาสตร์โลก  กรุงเทพฯ  2544  หน้า  55)  เรื่องพระเยซูเรียกลาซารัสให้ฟื้นจากความตาย  (แล้วท่านนบีมุฮำมัดพลอยเชื่อตามจนเขียนรับรองไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานนั้ร)  นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า  ผู้เขียนคือ  ยอห์น  หรือโยฮัน  น้องชายยาโกโบ  บุตรอาละฟาย  เขียนขึ้นจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ปรากฏ  เพราะ  เรื่องเยซู  เรียกลาซารัสฟื้นคืนชีวิตนั้น  ไม่มีในพระคัมภีร์อื่นคือ  มัทธิว  ลูกา  และมาระโก  ซึ่งเป็นพระคัมภีร์หลักข้อมูล  ประวัติของพระเยซูทั้งหมดก็ไม่ได้เรขียนเอาไว้  ยอห์นมาเขียนขึ้นภายหลังเวลาล่วง  ไปถึง  10  ปีแล้ว  จึงไม่อาจจะเชื่อได้  เพราะ  เนื่อหาแต่กต่างจากพระวรสารสามฉบับก่อน  (เล่มเดียวกันหน้า  28-29)

          ฉะนั้น  พระคัมภีร์ใหม่ของชาวคริสต์คือ  มอร์มอนนี้  ยิ่งเพิ่มความหมายการโฆษณาชวนเชื่อให้แก่ศาสนาคริสต์ยิ่งขึ้น  เรื่องราวต่าง  ๆ  ในพระคัมภีร์  มีทั้งหลาย  15  หมวด  มากกว่า  15  เรื่อซึ่งตั้งชื่อตามผู้เขียนเช่นเดียวกับใบเบิลคือ  นีไฟ  1-6เจคอบอีนัสออนไนมอรมอนโมไซยาอีเธอร์แอลมาและ  ฮีลามัน  ฯลฯ  ท่านผู้ประพันธ์เหล่านี้ก็คือ  นีไฟฒ  เจคอบอีนัสมอรมอนโมไซยาโมโนโรอีเธอร์แอลมา  และ  ฮลามัน  ฯลฯ  ล้วนแต่เป็นนักอักษรศาสตร์  และเป็นกวี  ซึ่งต่างก็ทรงคุณสมบัติของความเป็นคนทรงอยู่ด้วยทุกคน  หนังสือมอรมอนเหล่านี้จึงถูกเขียนขึ้นจากคนทรง  เป็นผลงานคนทรงทั้งสิ้น  ฉะนั้นเมื่อนำมาสู่ประเทศจึงเป็นเรื่องราวที่น่าขำอยู่  เพราะคนไทยรู้เรื่องคนทรงดี  การปั้นเต่งเรื่องขึ้นว่าพระคัมภีร์มอร์มอน  มาจากการดลยันดาลขจองพระจ้า  ๆ  ทรงจารึกบนสวรรค์แล้วโยนลงมาไว้ใต้แผ่นดินโลก  รอ  ๆ  อยู่ถึงพันปีเศษตราบคนมีบุญสาวกพระเจ้า  คือศาสดาองค์ใหม่กำเนิดและไปพบเข้า  จึงนำจารึกเรื่องราวในแผ่นทองคำเหล่านี้ไปเผยแผ่ต่อไป  เป็นสิ่งที่ไม่น่าฉงนว่าคนยุคนี้จะยอมรับได้อย่างไร  นอกจากมองว่า  นี่คือการหลอกลวงโลกมากยิ่งขึ้นไปอีกของนักเผยแผ่ คริสเตียน  เราจะเห็นบทบาทของคริสเตียนมอรมอนทั่วไปในประเทศไทยยุคนี้  ในนามศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย  และที่ขึ้นป้ายบนต้นไม่มาตามสายทางเส้นต่าง  ๆ  ทั่วประเทศไทยในปี  พ.ศ.  2542  โดยลงทุนทุ่มไปไม่ต่ำกว่า  2,000  ล้านบาท  (แต่อยู่ได้ไม่ทันข้ามคืนข้ามวันชาวนาก็ปลดลงหมด)  ที่มีข้อความประหลาด  ๆว่า  พระเยซูเสด็จมาตามพันธสัญญา  พระเยซูจะทรงชำระโทษ  พระเยซูคือพระบุตรองค์เดียว  ขอต้อนรับพระผู้ไถ่เสด็จมา  วันพิพากษาใกล้เข้ามาแล้วจงกลับใจมานับถือ  พระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงรักโลก  พระเยซูคือพระเจ้า  จงเปิดใจรับความรอดจากพระเยซู  ผู้ไม่ศรัทธาจะต้องลงนรกเพลิง  คนบาปจะได้รับการพิพากษา  ผู้มีความเชื่อในพระเยซูจะไม่พินาศแต่ได้ชีวิตนิรันดร์  ฯลฯ  จนเหมือนกับพลิกแผ่นดินไทยทั้งชาติให้กลับเป็นดินแดนของพระเจ้านั้น  ก็น่าจะเป็นฝีมือของพวกมอร์มอนนี่เองโดยมีพวกคาทอลิกที่เรียกตัวเองว่าคณะบาทหลวงคาทอลิกแห่งประเทศไทยประสานงานชักใยอยู่เบื้องหลัง   แต่เมื่อกรมการศาสนา  ประเทศไทยสอบถามไป  กลับไม่มีใครกล้าอ้างความรับผิดชอบ  แต่ปรากฏการณ์นี้   คนไทยคงนึกในใจว่าพวกมอรมอนล้าหลังเกินไปแม้องค์พระเยซูเองท่านยังได้สารภาพไปหมดแล้วในวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่า พระองค์ไม่ใช่พระบุตรอีกต่อไปแล้วก็ยังไม่ยอมรับ  จึงกลายเป็นการฝืนพยายามโฆษณาชวนเชื่อต่อไปเปล่า  ๆ  ในแผ่นดินสยามและโลกเสรีทั้งปวง  อันเป็นเรื่องที่น่าขัน

          ถ้าถามถึงเหตุผลว่า  ทำไมศาสนาคริสต์  องค์กรศาสนาคริสต์  จึงหนักไปในด้านการใช้ความคิดและแผนการหลายหลากไปในการโฆษณาชวนชื่นและการเมืองอย่างแยบยล  คำตอบคือเป็นศาสนาที่ขาดหลักแก่นแห่งธรรมะ  หลักความเชื่อทั้งหมดของคริสต์เตียนยืนอยู่บนทราย  คือไร้สัจธรรมที่รอบรับ  และเหตุที่จักให้ศาสนาคริสต์ดำรงคงอยู่ได้ในยุคสมัยต่อ  ๆ  มา  จึงจำปรับยุทธวิธีการโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การเมืองและความเป็นไปของโลกได้  ดังปรากฏจากการโฆษณาใหม่คือ  มอรมอนนั่นเอง  แต่การโฆษณาชวนเชื่อย่อมเป็นเพียงสิ่งหลอกลวง  หาใช่สัจธรรมไม่เมื่อสัจธรรมมีว่า  สจฺจํ  เว  อมตา  วาจา  วาจา  คำพูดที่จริงเท่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สูญสลายไม่มีวันตาย  เรียกมาพิสูจน์ได้  เมื่อคนรู้ความจริง  รู้สัจธรรมในศาสนาแห่งศาสนาแห่งมนุษย์  สิ่งที่เป็นเพียงการคโฆษณาชวนเชื่อก็ย่อมพังทลายลงโดยฉับพลันทันใด  สิ่งที่เป็นสัจธรรมย่อมปรากฏาขึ้น  เหมือนความมืดย่อมสลายไปจากแสงสว่าง  ฉะนั้น

 

                                                                                                                ธรรมสามี

                                                                                                               2  กย.  2545







Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----