รำลึกนามสวามิภูติ สมัยสมัยพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ ๆ
รำลึกนาม สวามิภูติ สมัยพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ ๆ
<<< ครั้งที่ 5 เหตุการณ์คืนวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2523 ทำสงครามครั้งสุดท้าย เป็น การกวาดล้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สะอาดสะอ้าน ไม่ยากเย็นอะไร
คืนวันนั้นลมปราณภายในพัดจัดแรงกล้า บุ่มบ่ามมาเหมือนพายุเฮอริเคน ตัดลัดวงจรเดิมเสีย เกิดเป็นวงจรอัน ใหม่ขึ้นมาแทน ตัวเบานอนไม่หลับ ต้องผุดลุกขึ้นมานั่ง อยู่ในสมาธิ เห็นปราณลำใหญ่ ปรากฎ และไหลหลากทรงพลังยิ่งใหญ่ (นี่คือโคตรปราณ) บัดนั้นปราณวิถีวงจรใหม่ก็เริ่มต้นทำงาน ทำการทรงตัว ให้นั่งหลับมาแต่คืนนั้นจนถึงบัดนี้ มีชีวิตอยู่ผิดคนธรรมดา เพราะอยู่ด้วยอิริยาบถ 3 คือ นั่ง ยืน และเดิน เท่านั้น ไม่พิสมัยการนอน ให้หลัง หรือ ตัวตนสัมผัสพื้นอีกต่อไป
จากเหตุการณ์นี้ได้ไปเชื่อมกับเหตุการณ์พิเศษสุดยอดอีกหลายเหตุการณ์ในระยะ เวลาใกล้ชิด
ที่สำคัญคือ การได้พบนิมิตรสำคัญที่ปรากฎในห้วงจิต หรือ ภวังคจิต ที่บอกเรื่องราวเหมือนนิทานเรื่องหนึ่ง (เล่าไว้ใน "จักรพรรดิ์ในเหล่าช้าง" โปรดดู ข่าวอนาคาริกที่ 1/2524 ธรรมสามี : ธรรมา-ธรรมะ สงคราม สวามิภูตินิทาน : จักรพรรดิ์ในเหล่าช้าง กรุงเทพ , ร.พ.ดุสิตสัมพันธ์ 2524 ) ชัดเจนเหมือนอย่างชมโทรทัศน์หรือเรื่องราวจาก ภาพยนต์อยู่ก็ปานกัน ซึ่งหากจะบอกตรง ๆ นี่ก็คือ การระลึกชาติ นั่นเอง รู้สึกด้วยตน เองว่าเป็นเช่นนั้น เรื่องราวที่ฉายเป็นภาพปรากฎในห้วงจิตขณะนั้น เป็นเรื่องราวในอดีต กาลนานโพ้นแล้ว สมัยแรกที่พุทธองค์เพิ่งสำเร็จพระโพธิญาณใหม่ ๆ
เป็นภาพของ พราหมณ์ชราภาพในชุดขาวหม่นตนหนึ่ง พบเผชิญหน้าพระพุทธองค์ที่บัลลังก์โพธิ์ ทรง ตรัสว่า พราหมณ์ เมตตาธรรมเป็นสาระของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และเมตตานั้นไร้ซึ่งขอบ เขต
แล้วทรงให้มองลงไปที่ดวงพระเนตรของพระองค์ ก็ปรากฎเหมือนดั่งห้วงน้ำมหาสมุทร์ใหญ่หมุนวนอยู่ พราหมณ์ก็เพ่งหยั่งสายตาลงไปสู่ก้นมหาสมุทรนั้น ด้วยฌานที่พราหมณ์บำเพ็ญมาแรงกล้าแล้ว ก็หยั่งลงไปไม่ถึงที่สุด เห็นแต่น้ำอย่างเดียวลุ่มลึกลงไปโดยตลอดไม่มีที่สุดสิ้น ไม่มีก้นบึ้งแห่งมหาสมุทร์คือดวงตาของพระองค์ อันหมายความถึงพระเมตตาที่มากล้นเป็นอัปมัญญาเมตตา คือพระเมตตาที่กว้างใหญ่ไพศาลและลุ่มลึกไร้ขอบเขต จนใคร ๆ มิอาจหยั่งถึงได้
พราหมณ์ ก็รู้ในความหมายของความเป็น พระพุทธเจ้า
จากนั้น ทรงเปล่งแสงออกจากดวงพระเนตรทั้งคู่ ปรากฎเป็นลำแสงกลมใหญ่ ดุจดังสีรุ้ง พวยพุ่งรุ่งเรืองยิ่งนัก พุ่งคู่ขนานกันออกไปในอากาศ ให้พราห์มณ์ได้ประจักษ์ความหมายแห่งสายพระเนตรนั้น
ทรงตรัสในวาระสุดท้ายว่า พราห์มณ์ เมื่อท่านได้รำลึกนาม สวามิภูติ นั่นแหละคือความรำลึกในภาระหน้าที่ของท่าน นี่คือ การระลึกอดีตชาติที่ร่วมสมัยพุทธองค์ และการมาสู่สมญานามใหม่อีกชื่อหนึ่งคือ "สวามิภูติ" ซึ่งเป็นเรื่องที่คงจะหายินฟังได้ยากในยุคสมัยนี้ ได้เล่าเรื่องอื่น ๆ แฝงไว้ใน "สวามิภูตินิทาน : จักรพรรดิ์ในเหล่าช้าง" แล้ว
ผมจะพยายามอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ให้ฟังต่อไป อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มิใช่ความวิเศษ แต่เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุปัจจัยที่ประกอบขึ้น อย่างเป็นวิทยา ศาสตร์ หากแต่มีเหตุมีผลอย่างไร นั้น เมื่ออธิบาย น่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับการ เรียนรู้ พระพุทธศาสนา หรือ การเป็นไปแห่งธรรมดาในโลกนี้ และการรู้แจ้งเข้าใจโลก และสรรพสิ่งทั้งปวง สามารถมองเข้าใจและอธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ ของสรรพสิ่งได้ จึงสมกับคำว่า พุทธ คือ ผู้รู้ อันเป็นสิ่งประเสริฐในพระพุทธศาสนา >>>
- จาก ประวัติของผม พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3 ตอนที่ 10 ดีเล่มที่ 19