ฝันถึงพระพุทธเจ้า 5 ครั้งก่อนบวช
---------------------------------------------------------------------------------------------------
นี่เป็นการรำลึกไปสู่เรื่องราว ที่เดิมจริง ๆ ผมคิดว่าเป็นเพียงความเพ้อเจ้อธรรมดา ๆ ของคน ๆ หนึ่ง เท่านั้นเอง โดยอาจจะเป็นผลมาจากจินตนาการที่ลำเอียงเข้าข้างตนเองจึงเกิดเป็นนิมิตรที่ตนประสงค์ขึ้ืนมาได้ แล้วผมก็ได้ลืมเรื่องนี้ไปเลยนับสิบ ๆ ปีต่อมา จนเมื่อได้ผ่านเหตุการณ์ในคืนวัีนที่ 10-11 เมษายน 2558 มาแล้ว จึงเกิดดวงจิตประหวัดถึงความฝันทั้ง 5 ครั้งนี้อีกครั้งหนึ่ง และถามตนเองขึ้นมาว่า มีนัยยะอะไรในความฝันเหล่านั้น ?
จึงได้รำลึกถึงอีกครั้ง และขอนำมาลงไว้ใน วัดของเรา ดังต่อไปนี้ครับ
.................................................................
*****************************************************************************************
ความฝัน 5 ครั้ง
ที่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องของผมที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้ง 5 ครั้ง ซึ่งเป็นเวลาก่อนบวชในปี พ.ศ. 2526
……………....…..................................................
ความฝันครั้งที่ 1
(กลางปีพุทธศักราช 2512)
ผมฝันว่า ได้เดินทางผ่านท้องทุ่งนากว้างใหญ่ไพศาลที่แห้งแล้งไปตัวคนเดียว ที่ทำ ให้รู้สึกโดดเดี่ยวและตื่นตระหนกในความแปลกของสถานที่ที่ไม่เคยเห็นไม่เคยผ่านมาก่อน กลัวอันตรายจากงูพิษที่อาจซ่อนอยู่ในตอฟาง พงหญ้า ในท้องทุ่งเงียบสงัดแร้นแค้นนั้น แต่ขาที่ก้าวเดิน เป็นไปอย่างด่วนและรีบเร่ง ตาก็จ้องมองไปไกลข้างหน้า ด้วยความหวัง อะไรสักอย่างหนึ่งที่ยังไม่ชัดเจนว่าตนมุ่งหวังอะไร แล้วได้มาถึงละเมาะป่าที่มีไม้ขึ้นเขียว สบายตา ขวางหน้าอยู่ ได้เดินลัดตัดฝ่าเข้าไป
ชั่วไม่นานก็พ้นจากแนวป่าละเมาะนั้นไป เท่านั้นเองก็ ได้ยินเสียง หึ่ง คล้ายเสียงผึ้งรวง ๆ ขนาดใหญ่มหึมา มองไปก็แทบตกตะลึง เพราะเห็นเป็นยอดแหลม สูงล้ำขึ้นไปบนท้องฟ้า คือเจดีย์ขนาดใหญ่ สูงงามอร่ามเรืองดั่งทองคำ ปรากฎอยู่ข้างหน้า ที่ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ก็เพราะคนมาชุมนุมอย่างมากมายเต็มไปหมด ตั้งแต่ฐานองค์พระเจดีย์ขึ้นไปถึงยอดพระเจดีย์มีพระภิกษุสงฆ์นั่งเต็ม แน่นขนัดไปหมด จนถึงระดับยอด ๆ ของพระเจดีย์องค์นั้น ทำให้เห็นเป็นพระมหาเจดีย์สีทองเหลือง อร่ามไปหมด บริเวณรอบ ๆ องค์เจดีย์มีผู้คนชายหญิงทั้งคนยากคนจนแต่งตัวรุ่งริ่งไปจนถึงคนที่มีเครื่องแต่งตัวสวยงาม ทั้งชายหญิงอยู่เต็มไปหมด ได้เดินแหวกผู้คนชายหญิงเข้า ไปจนถึงฐานพระเจดีย์ แล้วหยุดแหงนดูยอดพระเจดีย์นั้นอยู่ครู่ใหญ่
ทันใดนั้นเอง มีพระรูปหนึ่งลงมาจากยอดพระเจดีย์ แหวกทางลงมาหา มายืนอยู่ต่อหน้า ไม่พูดจาว่าอะไร แต่ยื่นมือออกมา มือกำสิ่งหนึ่งไว้ ผมมองดูและแบมือรับเอา คล้ายเม็ดถั่วเล็ก ๆ เหมือนตัวหนอน สีเหลืองดูอุย ๆ งามเย็น ๆ ก็รับเอาไว้ กำแน่นเลย ความฝันก็พลันสลายหายไปเท่านี้
ฯลฯ ....................................................................................
.................................................................................... ฯลฯ
........................................................................................................................................
ความฝันครั้งที่ 2
ครั้งที่ 2 ฝันในระหว่างปี พ.ศ. 2520 ประมาณ 8 ปีต่อมาจากความฝันครั้งแรก ฝันว่าได้ยินข่าวคนร่ำลือกันไปทั่วสารทิศว่า พระพุทธองค์อุบัติ มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้ และกำลังเสด็จมาโปรดชาวโลก ได้ทรงส่งเอกอัครสาวกกับบรรดาพระอรหันต์จำนวนหนึ่งเดินทางไปธิเบตสายหนึ่ง ส่วนอีกสายหนึ่งพระพุทธองค์ทรงนำมาเอง จะมาทางลังกาทวีปแล้วเข้าสู่สยามประเทศ ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ที่คนทั้งแผ่นดินเล่าลือกัน คนทั้งหลายต่างตระเตรียมเดินทางโดยรถยนต์บ้างโดยพาหนะอย่างอื่นบ้างเพื่อไปเฝ้าพระพุทธ องค์ เห็นรถทัวสีสดใสเตรียมรับคนในที่ต่าง ๆ
ส่วนเรา พอได้ฟังข่าวเท่านั้นเอง ก็พลันยินดีเป็นอันมากแล้วได้ออกวิ่งไปโดยเร็วเพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ทั้ง ๆที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ไหน ก็วิ่งไป ผ่านไปในทุ่งนากว้างใหญ่ จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็ยังไปไม่ถึงสักที ความฝันก็มาจบลงในตอนที่กำลังวิ่ง ๆ ๆ ๆ ไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยนี้
…………………………………………………………
ความฝันครั้งที่ 3
ครั้งที่ 3 ประมาณ ปลายปีเดียวกันต่อมา ได้ฝันเรื่องราวต่อเนื่องกันกับความฝัน ครั้งที่ 2 คือเริ่มฝันเห็นตัวเองวิ่งมาอย่างเหน็ดเหนื่อย อันเป็นเหตุการณ์เดียวกับความฝันคราวที่แล้ว ด้วยเจตนาจะไปเฝ้าพระพุทธองค์
ครั้นแล้วก็ได้มาถึงที่แห่งหนึ่ง เป็นเมือง ๆ หนึ่ง คล้ายป้อมค่ายหรือสนามกีฬาทรงกลมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นคนออกันอยู่ที่บริเวณประตู ก็รีบรุดเข้าไปหา ได้ยินคนพูดกันขรม จับใจความได้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ และประทับอยู่ข้างใน พวกคนทั้งหลายต่างมาเพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ คำพูดที่กล่าวถึง ล้วนมีสำนวนอันไพเราะ แสดงความเลื่อมใสศรัทธา แม้ได้ยิน เพียงเท่านั้นก็ได้ความปลื้มปิติอย่างเหลือล้น รีบเบียดคนเข้าไปข้างใน พอพ้นประตูเข้า ไปเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงเหมือนลมพายุหมุนอื้ออึงอยู่เพราะมีคนจำนวนมากมายมหาศาล นั่งอยู่บนอัฒจันทร์โดยรอบเต็มไปหมด
เราเห็นบริเวณมีลักษณะประหลาดอยู่ประการหนึ่งคือตรงข้ามกับอัฒจันทร์ประธาน อันเป็นอัฒจันทร์ใหญ่นั้น เป็นที่ลาดลงไป เบื้องหน้าเป็นเหวลึก กำลังพิศวงอยู่ว่าเป็นที่สำหรับทำอะไรก็พลันได้ยินประกาศว่า ได้เวลาแล้ว เรา สงสัยว่าเวลาอะไร
ไม่ทันเหลียวหาพุทธองค์พระบรมศาสดา ก็คล้ายได้ยินเสียงว่า ถึงเวลาประหารแล้ว ทำให้ประหลาดใจว่าจะประหารผู้ใด ทำไมจึงต้องมีเรื่องเช่นนี้ ในสถานที่มีพระพุทธองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาประทับอยู่ ?
ขณะที่บังเกิดความสงสัยทวีไปเรื่อย ๆ เช่นนั้นก็คล้ายได้คำตอบเองว่า ผู้ที่จะถูกประหารในวันนี้ก็คือพระพุทธองค์นั่นเอง ก็เกิดความฉงนฉงาย ทั้งตกใจสุดที่จะเอ่ย
ยังไม่ทันพิจารณาว่าเรื่องจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ก็พลันเห็นพระพุทธองค์บรมศาสดายืนอยู่ท่ามกลางพระสาวก ซึ่งแต่ละรูปเป็นพระอรหันต์และมีท่าทีสงบ ไม่มีความยินดียินร้ายอย่างไรต่อสิ่งรอบตัวเลย ดูเป็นภาพที่ประหลาดผิดลักษณะของมนุษย์ทั่วไปแม้เพียงได้เห็น นี่คือ อรหันตบุคคล ใจชมอยู่เช่นนั้น แล้วคล้ายว่า เราเองนั้นได้เคยใกล้ชิดสนิทพุทธองค์มาก่อน รู้จักพระองค์ท่านดีมาก่อน พระองค์ท่านก็รู้จักเรามาก่อน จึงเข้าไปรวมในหมู่
ทันใดก็สิ้นสงสัยว่า สถานที่นั้นเป็นสถานที่เตรียม ไว้สำหรับการประหารพระพุทธองค์จริง ๆ และพระพุทธองค์ก็เตรียมรับการประหารอย่างไม่ทรงยินดียินร้ายอะไรเลยเช่นเดียวกับพระสาวกอรหันต์เหล่านั้น มนุษย์อรหันต์เหล่านั้นมิได้มีอาการตื่นตระหนกกับข่าวการประหารพระพุทธองค์เลยแม้แต่น้อย แต่เราให้นึกเคืองอยู่ในใจว่า มนุษย์ผู้ต่ำต้อยเหล่านี้ช่างบังอาจ ได้เอามะพร้าวอ่อนถวายพระองค์เพื่อทรงดื่มน้ำในมะพร้าวอ่อนนั้น ทรงรับไปถือไว้ในพระหัตถ์ ดูทรงมีกังวลในพระหฤทัย ไม่ทันจะเสวยก็มีเสียงครืดข้างบนอัฒจันทร์ เห็นพวกทหารนุ่งสีคล้ำ ล่ำสัน ลากปืนใหญ่ออกมาตั้ง มีเสียงบอกว่า การประหารจะใช้ปืนใหญ่ พวกเขาเคลื่อนปืนใหญ่เข้าประจำที่ บัดนั้น พระพุทธองค์ก็เสด็จตรงไปสู่บริเวณเนินดินลาดลงสู่เหวนั้น ยังไม่ทันมีเหตุการณ์คืบต่อไปก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน ด้วยจิตใจตระหนกหวั่นไหวไปหมด
…………………………………………...................................................………………..
ความฝันครั้งที่ 4
ครั้งที่ 4 ต่อมาอีกเป็นเวลาร่วมปีเศษ ๆ ปี พ.ศ. 2522 ฝันว่าพระพุทธองค์และ พระอรหันต์สาวกจำนวนหนึ่ง จรดล ท่องเที่ยวไปอยู่ภายในแนวป่าแห่งหนึ่ง แล้วทรง หยุดประทับระหว่างทาง หมู่พระอรหันต์ก็แตกกระจายออกไปสู่แนวป่า ในขณะต่อมาทรงโปรดให้พระสาวกทั้งหมดมาประชุม
พระสาวกเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ ซึ่งมีอยู่ ประมาณ 10 กว่ารูปเท่านั้น ที่นั้นเป็นบริเวณที่แคบ ๆ ในป่า มีขอนไม้และท่อนไม้ที่เขา เลื่อยเป็นท่อนสั้น ๆ ใช้นั่งเหมือนเก้าอี้ พระพุทธองค์และพระอรหันต์สาวกได้ประทับ นั่งลงบนขอนไม้และท่อนไม้เช่นนั้น ท่านเหล่านั้นเป็น พระอรหันต์ เวลามองดูท่านดูสงบสงัดแท้
ในขณะนั้นเราก็อยู่ด้วย แต่นุ่งห่มขาวไม่ได้นั่งเหมือนท่านอื่น ๆ แต่ยืนอยู่ข้าง ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คล้ายดั่งเป็นบุคคลพิเศษที่เตรียมจะออกเดินทางไปไหนสักแห่งหนึ่ง หรือปฏิบัติงานอะไรอย่างหนึ่งตามที่ท่านเหล่านั้นจะตกลงกันในที่ประชุม และ คล้ายกับว่า เรานั้นเป็นผู้ที่สนิทสนมของพระองค์
การประชุมพระอรหันต์ท่านไม่ได้พูดกันออกเสียงเลย แต่ท่านรู้เรื่องด้วยการเพียงใช้ความคิด ฟังจากความคิดของแต่ละองค์ก็ได้ยินแล้ว จึงเป็นการประชุมที่ไร้สุ้มเสียงโดยสิ้นเชิง เห็นแต่ภาพของอิริยาบทที่ช้าและสงบ น่าเลื่อมใสของท่านเหล่านั้น ในความฝันยังไม่ทันทราบว่าท่านพูดกันด้วยเรื่องอะไรก็ตื่น เสียก่อน
……………………………………………............................................................…………...
ความฝันครั้งที่ 5
ครั้งที่ 5 ความฝันครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในประมาณต้นปีปี พ.ศ.2523 ฝันว่า พระพุทธองค์และพระสาวกอรหันต์หมู่นั้นเสด็จออกจากเมืองไปแล้ว โดยมิได้มีอาณัติสัญญาณ ทิ้งเราไว้ผู้เดียว ให้รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบวิ่งตามออกไป ในทุ่งนาสลับกับ ละเมาะป่าเตี้ย ๆ ไปทัน เห็นลิบ ๆ อยู่ข้างหน้า ดูเป็นแถวยาวค่อยเคลื่อนเข้าไปในแนวป่าใหญ่ ก็ดีใจรีบเร่งฝีเท้าขึ้น แต่คล้ายกับว่าเร่งฝีเท้าอย่างไร ก็ไม่ใกล้เข้าไปเลย ในที่สุดขบวนขององค์พระบรมศาสดาและพระอรหันต์สาวกเหล่านั้นได้เลี้ยวโค้งเข้าป่าไม้ ลับไปกับสายตา
ตกใจ เพราะความรู้สึกคล้ายกับว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ไปต่อหน้าต่อตา จึงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย รีบพุ่งตัวพรวดไปอย่างสุดแรง แล้วเกิดตกลงไป ในเหวตื้น ๆ แห่งหนึ่งและสลบไสลไม่ได้สติอยู่เป็นเวลานาน พอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้เห็นพระพุทธองค์ยืนอยู่ที่ปากเหวนั้น ก็รู้สึกขึ้นเองว่า พระพุทธองค์นั่นเองที่มาช่วยให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ไม่ทันที่จะรวบรวมเรี่ยวแรงให้ดีพอจะทำอะไร พระพุทธองค์ก็โยนสิ่งของแข็ง ๆ สิ่งหนึ่งมาถูกที่บริเวณหน้าอก โยนของให้แล้วก็เสด็จจากไป หายไปกับสายตา
จากอาการปรากฎและหายไปของพุทธองค์ดั่งนั้น จึงนั่งรำลึกอยู่ที่ก้นเหวนั้นว่า "เราเป็นผู้ที่จะต้องอยู่ มิใช่ผู้ที่จะต้องไป" ความฝันก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
....................................................................................................................................................
ความฝันทั้ง 5 ครั้งนี้ ที่เป็นความฝันต่อเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่าง ประหลาด และเนื้อความในฝัน ล้วนไปสัมพันธ์กับองค์พระบรมศาสดาแห่งพระพุทธ ศาสนา และภาระหน้าที่ต่อพระศาสนาของพระองค์ คล้ายว่าผมถูกกำหนดมาให้ทำงาน เพื่อพระพุทธศาสนา แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ?
…………………………………………............................................................................
- จาก หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19 หน้า 44
12 พฤศจิกายน 2558 22.40 น.
*************************************************************************************************