ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
 

 
 
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 
 
พุทธศักราช
 
 

2552 

   

**************************************************************************************************************************** 
 
 

และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ. 2552 เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศที่ไม่เอื้อแด่การมองในความเป็นกลางอย่างเหมาะสม เราจึงชะลอการประกาศบุคคลแห่งปีมาล่าช้าไปหลายเดือน รวมทั้งเหตุผลของการออกหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45 พลอยล่าช้าไปด้วย บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2552 ดังนี้

 

 

บุคคลที่ 101  
นายบารัก โอบามา (Barack Obama)
  

 

นายบารัก โอบามา (Barack Obama)  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 แห่งพรรคเดโมแครต โดยชนะการเลือกตั้ง 4 พ.ย.2008(พ.ศ. 2551) มีอดีตประธานาธิบดี ยอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช แห่งพรรครีปับลิก เป็นคู่แข่งสำคัญ ทำให้โอบามา เป็นคนแอฟริกันอเมริกันคนแรก ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา   จากประวัติชีวิตวัยเด็กของเขา ซึ่งวิกิพีเดีย ระบุไว้ว่า โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961(พ.ศ.2504) ที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบารัก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ และเยอรมนี แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกันในเวลาต่อมา เดิมนับถือศาสนาอิสลาม แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์  

 

 

เราเห็นว่า บารัก โอบามา มีเชื้อสายมาจากประเทศเคนยา เป็นอาฟริกันดำ แต่ได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์    เรามองว่าเป็นบุคคลแห่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นตัวอย่างของตัวแทนบุคคลในระบอบประชาธิปไตยของโลกที่แท้จริงด้วย การที่มีกำเนิดเป็นประชาชนผิวดำ เป็นคนเลือดผสม ระหว่างอาฟริกันบวกอเมริกัน แต่สามารถประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการเมืองอเมริกา นั้นเพราะความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนอเมริกัน และประเทศอเมริกา และบารัก โอบามาได้ต่อสู้บนเส้นทางการเมืองอเมริกามาด้วยสำนึกของประชาชนสมบูรณ์แห่งระบอบประชาธิปไตย เราหมายความรวมถึงถึงเหตุผลทางจิตวิทยา ด้านความไร้ปมด้อยทางผิวสี เผ่าพันธุ์ ของความเป็นประชาชนแห่งประเทศประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก นั่นคือมีสิทธิ์อย่างมนุษย์สมบูรณ์ที่จะปกครองตนเองและเอื้อมตนไปสู่ความเป็นนักการเมืองในระดับสูงสุดโดยทางประชาชน ทำให้บารัก โอบามา ได้โอกาสในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกับประชาชนคนอื่น ๆ และสามารถประสบความสำเร็จอันไม่จำกัด นั่นคือจากการเป็นวุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ ไปถึงสูงสุดของตำแหน่งการปกครอง ในระบอบของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน ของอเมริกา   ได้เป็นประธานาธิบดีบารัก โอบามา

 

และด้วยเหตุนี้ บารัก โอบามา จึงได้ทำให้ประชาธิปไตยในอเมริกาได้รับการอธิบายถึงการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ชัดเจนยิ่งขึ้น   ล่าสุด เดือน มิ.ย. นี้ บารัก โอบามา ได้ปลด พล.อ. สแตนลีย์ แม๊คคริสตัล (McChristal) ออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารภาคอาฟกานิสถาน ฐานแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์การทหารที่ขัดแย้งนโยบายการบริหารของพรรคดีโมแครต ที่ได้แถลงต่อประชาชนอเมริกันไว้ก่อนแล้ว เหตุผลก็คือ ประชาชนเขาอนุมัตินโยบายไว้แล้ว ทหารมีหน้าที่ปฏิบัติตาม จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม   แต่นายพลแมคคริสตัล ก็แสดงสปิริตทหารอเมริกา ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี   เป็นตัวอย่างให้แด่ทหารในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายโดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีกรณีทหารขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่สั่งโดยถูกต้องตามกฎหมาย และทั้งปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนเป็นเหตุให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยล้าหลังตลอดมา จนถึงเกิดเรื่องราวทหารปราบปรามประชาชนมือเปล่า เดือน พ.ค. 2553   บารัก โอบามา จึงสะท้อนว่าอเมริกาจะต้องปกครองโดยตัวแทนของประชาชนโดยสมบูรณ์ มีอำนาจตามที่ประชาชนมอบหมายอย่างสมบูรณ์ และทหารหรือกองกำลังคนที่เข้มแข็งที่สุดของประเทศมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ที่ได้เสนอต่อประชาชนเอาไว้แล้ว เป็นสถานะที่สืบเนื่องมาในประเทศสหรัฐอเมริกาถึง 234 ปีแล้ว นี่เป็นตัวอย่างอันดีของทหารอเมริกัน และประธานาธิบดีอเมริกันอีกกรณีหนึ่ง

 

มีสิ่งที่เราขอยกขึ้นเป็นกรณีพิเศษก็คือ บารัก โอบามา แสดงถึงความเป็นเสรีชนอย่างสมบูรณ์ เพราะโดยเชื้อชาติบรรพบุรุษของเขานั้นเป็นเชื้อสายอิสลาม ต่อมาจึงได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ และคริสต์ที่เขาเลือกเป็น โปรเตสแตนท์ มิใช่คริสต์ดั้งเดิมคือ คาทอลิก โปรเตสแตนท์ เป็นคริสต์นิกายใหม่ที่ต่อต้านคริสต์นิกายดั้งเดิม โดยพฤติกรรมการเปลี่ยนศาสนาของเขา เห็นได้ทั้งสองกรณีว่า เขามั่นใจในความเป็นเสรีชนอย่างยิ่ง และมีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มตัว เพราะศาสนาอิสลามนั้นถือว่าการเปลี่ยนศาสนาเป็นการทรยศ เป็นมุนาฟิกส์โดยแท้จริง และการทรยศต่อพระเจ้าเป็นเรื่องความเป็นความตายถึง 2 ระดับ คือโลกนี้และโลกหน้า โลกนี้ก็ต้องโดนสาปแช่ง และโลกหน้าก็ต้องไปรับการพิพากษา พระคัมภีร์ระบุว่าผู้ทรยศย่อมมีโทษสถานเดียวคือ ความตายในนรกเพลิง   แต่บารัก โอบามา ก็มิได้มองถ้อยคำที่ข่มขู่ด้วยเหตุผลส่วนนั้น สะท้อนว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีมันสมองคิดเหตุผลเองได้    และเชื่อตนเองมากกว่าคนอื่น หรือพระเจ้า   ในกรณีที่ 2 เขามานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแต้นท์ ซึ่งเป็นนิกายที่ต่อต้านนิกายหลักดั้งเดิมคือ คาทอลิก จนกลายเป็นสงครามศาสนาระหว่างนิกายทางฝ่ายคริสต์เนิ่นนานมา และยังคงมีอยู่ในบางพื้นที่ของโลกมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันนั่นคือ เขาเป็นเสรีชน ที่คิดเอง ใช้มันสมองเองได้ ไม่เชื่อตามพระคัมภีร์เลยทีเดียว และพระคัมภีร์ศาสนานั้นแท้จริงก็คือหนังสือเล่มหนึ่งที่มีคนเขียนขึ้น และคนผู้นั้นก็เขียนขึ้นนั้นเขียนด้วยภูมิปัญญาของคน ๆ หนึ่ง ด้วยจินตนาการของโลกยุคดั้งเดิมเท่านั้นเอง และคนยุคใหม่ เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อถือในเรื่องที่ควรเชื่อถือ และไม่เชื่อถือในเรื่องที่ไม่ควรเชื่อถือ อันเป็นสิทธิเฉพาะตัวของเสรีชนคนยุคใหม่ นี่คือประธานาธิบดีบารัก โอบามา   เนื่องด้วยความเป็นเสรีชนโดยสมบูรณ์ดั่งนี้   จึงสมควรที่จะยกย่องบารัก โอบามา ไว้ ณ ทำเนียบบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  

 

 
 

 

 

 
 

บุคคลที่ 102.  
นางกลอเรีย มาคาปากาล อาร์โรโย
(Gloria Macapagal-Arroyo)

 

อดีตประธานาธิบดีอาร์โรโยรับใช้ประชาชนมานาน 9 ปีในช่วงที่เธอพ้นจากตำแหน่ง เธอเชื่อว่าขณะนี้ประเทศฟิลิปปินส์มีความเจริญและแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมช่วงที่เธอเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ นางอาร์โรโยจะพ้นวาระผู้นำประเทศในวันที่ 30 มิถุนายนนี้และจะทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาต่อไป 

 

"กลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย-Gloria Macapagal-Arroyo" ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนที่ 14 เกิด 5 เมษายน พ.ศ.2490 บุตรีของ Diosdado Macapagal ประธานาธิบดีคนที่ 9 (พ.ศ.2504-2508) สมรสกับนาย Jose Miguel Tuason Arroyo ทนายความและนักธุรกิจ มีบุตร 3 คน

 

สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ได้รับคัดเลือกไปเทกคอร์สที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐอเมริกา 2 ปี กลับมาจบปริญญาตรีคณะพาณิชยศาสตร์ วิทยาลัยอัสสัมชัญ ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila ปริญญาเอกมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์

 

เริ่มชีวิตนักการเมือง ปี 2535 เป็นวุฒิสมาชิกสมัยแรก และพ.ศ.2538 สมัยที่ 2 ได้รับคะแนนเสียงสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 16 ล้านเสียง ตามด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สมัยประธานาธิบดีเอสตราดา (พ.ศ.2541-2544) และเป็นรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ทำสถิติอีกครั้งเมื่อได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงสูงในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

 

20 มกราคม 2544 สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 14 ของฟิลิปปินส์ ประกาศวาระแห่งชาติ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้ระบบราชการ ลดอาชญากรรม เพิ่มภาษี พัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต่อต้านการก่อการร้าย ต่อมา 30 มิถุนายน 2547 รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 หลังชนะการเลือกตั้งท่ามกลางเสียงครหาว่าไม่โปร่งใสจากการใช้เงินรณรงค์หาเสียงและการใช้อิทธิพลในตำแหน่งแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้ง”

 

สิ่งที่เรายกย่องก็คือ ในสมัยที่เธอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ เธอเป็นผู้ที่กล้ากล่าวความจริง ซึ่งเป็นการยกย่องผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านเอเชียผู้หนึ่งผู้มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก คือ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นเจ้าลัทธิทางเศรษฐกิจโลกยุคใหม่สุด คือ ทักษิโณมิค (Thaksinomics) นั่นเป็นสมัยที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศไทยอยู่ มีหลักฐานว่า “ทักษิโณมิค (อังกฤษ: Thaksinomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจในสมัยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือ นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ในสุนทรพจน์งานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อ พ.ศ. 2546 โดยหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวที่โดดเด่นที่สุด คือ แดเนียล เลียน นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์

 

ดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิคเป็นประดิษฐกรรมของ พ.ต.ท. ทักษิณ โดยเป็นความคิดของนักกลยุทธ์เชิงสมัยนิยม เพื่อจัดการทางกลยุทธ์ การรวบรวมองค์ความรู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งส่วนตัวและส่วนร่วม ซึ่งดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย และอาจมีการใช้ความรุนแรง เพื่อให้เขาเป็นผู้ชนะ”

 

 

แต่แม้ภายหลัง ดร.ทักษิณ สิ้นอำนาจไป ด้วยการถูกกลุ่มทหารและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ร่วมหัวกับภาคเอกชนผู้สูญเสียผลประโยชน์จากการปกครองยุคทักษิณ ก่อการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549   เธอก็ยังยืนยันสิ่งที่เธอพูด นั่นคือ ในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอาเซียน(Asian Summit) ที่พัทยา ประเทศไทย ในเดือน เมษายน 2552 ซึ่งมีผู้นำอาเซียนมาร่วมพิธีเปิดการประชุมเพียง 5 ประเทศรวมทั้งประเทศเจ้าภาพไทยด้วย (ไม่มาประชุมถึง 4 ประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อบ้านใกล้ชิดคือ กัมพูชาด้วย) เธอได้สวมชุดสีแดงเข้าร่วมในการประชุม และในพิธีปิดการประชุม ซึ่งเรามองถึงเจตนารมณ์ของผู้นำฟิลิปปินส์ว่า ยืนยันประเทศไทยควรก้าวไปในการเมืองของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น และนั่นหมายถึงก้าวไปตามวิถีทางทักษิโณมิค ซึ่งตรงนี้จะแสดงถึงภูมิปัญญาของผู้นำต่างประเทศ แม้ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่มีระบอบเผด็จการในศาสนาอย่างเข้มแข็งด้วยเทวสิทธิ์ ก็ยังมองเห็นทางออกของการปกครองนานาชาติว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เป็นธรรม และเป็นสุข เพราะประชาธิปไตยมีหลักการจัดการสังคมอย่างสมานฉันท์ อย่างสันติได้ โดยไร้ความรุนแรง ที่โลกควรร่วมมือกันสร้างขึ้นให้จงได้    การที่เธอได้พ้นไปจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปใน 30 มิ.ย. 2553 นั้น เป็นการเป็นไปอย่างถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย เรามองว่า อาร์โรโย เป็นผู้นำชาติฟิลิปปินส์ ผู้มีความสามารถ ดำรงอุดมการณ์ส่วนรวมและส่วนตัวไว้ได้ตลอดยุคสมัยของเธอ สมควร เป็นรัฐบุรุษ โดยแท้จริง เนื่องด้วยความกล้าหาญที่กล่าวความจริง และยืนยันความจริงให้ปรากฎอย่างชัดเจน จึงสมควรยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2552      

 

 

 

 

 

บุคคลที่ 103.    
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล  
 
 
 

ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เกิด 2 มิถุนายน พ.ศ. 2494  

ที่เกิด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 

เสียชีวิต 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 (อายุ 58 ปี)  

ที่เสียชีวิต โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพ 

งาน-อาชีพ ทหารไทย 

ผู้ทรงคุณวุฒิกองท้พบก  

คู่สมรส นาวาเอก (พิเศษ) หญิง จันทรา สวัสดิผล 

บุตร นางสาวกิตติยา สวัสดิผล 

                     นางสาวขัตติยา สวัสดิผล 

เด็กชายนักรบ สวัสดิผล 

การศึกษา ปริญญาเอก สาขาบริหารรัฐกิจ University of Northern Philippines 

เว็บไซต์ http://www.sae-dang.net/

 เขาต่อสู้อย่างเปิดเผยในท่ามกลางศัตรู และท่ามกลางความอันตรายจากความเสี่ยงต่อชีวิตทุกขณะ   และในที่สุดเขาก็โดนเข้าจริง ๆ จากความเปิดเผยและความเสี่ยงนั้น   เราเชื่อว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ได้ดีทะลุปรุโปร่งของอันตรายจากความเสี่ยงนั้น แต่การที่เขายังคงออกมาปฏิบัติการเสี่ยงอย่างไม่หวาดหวั่นนั้น คือจิตใจของนักรบผู้มีความเป็นนักสู้ที่รับผิดชอบต่อพันธกิจ และนั่นหมายถึงนักรบผู้ได้บรรลุสติปัญญาแตกฉานในสัจธรรมของชีวิต อย่างแท้จริง เขาต่อสู้อย่างไม่รู้อนาคตตัวเอง แต่เขาก็ต่อสู้ไปอย่างไม่ท้อถอย สม่ำเสมอในกริยาและพฤติกรรมที่เสมอต้นเสมอปลาย   แล้วการตายของเขาก็เกิดขึ้น จากฝ่ายที่เป็นทหารแต่ในคราบ ด้วยการใช้วิธีการไม่เหมาะสม ไม่ละอายกับความเป็นทหาร นั่นคือลอบยิง ให้สไนเปอร์ลอบยิงด้วยอาวุธติดเครื่องเล็งทันสมัยที่สุดของเทกโนโลยีของการลอบฆ่า      คงเป็นปืนที่ทันสมัยกว่าปืนติดเครื่องเล็งแบบเดียวกับที่เห็นในข่าวของโทรทัศอัลจาชีรา วันที่ 19 พฤษภาคม 2553   นั่นคือภาพกองทหารทั้งกองของฝ่ายรัฐบาล(โดย ศอฉ.) ที่ซุ่มอยู่บนตึกสูง ใช้ปืนติดกล้องเล็งเลือกยิงลงไปยังประชาชนมือเปล่าข้างล่าง   และเห็นภาพประชาชนล้มลงกองอยู่กลางถนนหนทางเป็นศพโดยไม่รู้ตัว(คนที่ตายในการสลายการชุมนุมราชประสงค์ครั้งนั้น 90 ศพ ล้วนเป็นประชาชนมือเปล่า ๆ ทั้งสิ้น พอที่จะกล่าวว่านี่คือฝีมือของคนเลวในคราบของทหาร)     เราให้คะแนนพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เพราะความที่เขาได้แสดงถึงความเป็นทหารที่แท้จริง เพราะการปฏิบัติการที่สะท้อนถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เราไม่ได้ให้คะแนนเพราะเขาอยู่ฝ่ายใด หรือด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นคะแนนแห่งคุณธรรม ความที่เขาได้สร้างมาตรการที่เปรียบเทียบกัน ที่สะท้อนไปถึงทหารขี้ขลาดที่ลอบยิงประชาชนมือเปล่า และพวกเขาตายไปโดยไม่รู้ตัว โดยฝีมือทหารเลวแห่งกองทัพไทย   ที่ใช้อาวุธลอบฆ่าเพื่อนทหารด้วยกันเอง และทั้งที่เลวไปกว่าคือลอบฆ่าประชาชนมือเปล่า ๆ ตายเป็นใบไม้ร่วง    และทหารที่ลอบยิงลอบฆ่าประชาชนด้วยอาวุธสงคราม อย่างไร้เหตุผลอย่างยิ่ง ในเขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม จำนวน 6 ศพ นั้น ไม่อาจจะบรรยายได้ว่าขนาดไหน    นี่คือความยกย่องของเราหนังสือพิมพ์ดี ที่ให้ไว้แด่บุคคลผู้สมควรเป็นวีระบุรุษของประชาชนอย่างแท้จริง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล

  

จึงขอจารึกคุณความดีบุคคลต่อไปนี้    บารัก โอบามา (Barack Obama)  กลอเรีย มาคาปากาล อาร์โรโย (Gloria Macapagal-Arroyo) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล   ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) ประจำปีพุทธศักราช 2552   ขอแสดงความชื่นชมและยกย่องเกียรติคุณโดยทัศนะของเราไว้ ณ โอกาสนี้

 

ต่อไปนี้ก็ขอได้โปรดติดตามอ่านเรื่องราว ที่เราคัดสรรมาจากบทวิเคราะห์จำนวนมากมายในเวบไซต์ของเรา ขอได้ติดตามอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีกมากมายใน เวบไซต์ของเราทั้ง 2 เวบไซต์ คือ    https://www.newworldbelieve.net     http://www.newworldbelieve.com

  ต่อไป อนึ่ง นี่เป็นดี วารสาร สำหรับดี(อินเทอเนต) ในอินเทอเนตของเรา ได้เพิ่มบทวิเคราะห์สำคัญ ๆ ตรงประเด็นไปอีกหลายเรื่อง หลายบท โปรดติดตามอ่านในดี(อินเทอเนต) ต่อไป

 

ที่สุดขอขอบคุณท่านผู้อ่านและสมาชิก ตลอดทั้งมวลมหาประชาชนผู้ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างสูงพร้อมความเห็นอกเห็นใจในการสูญเสียอย่างมากมาย ประมาณ ค่ามิได้ ซึ่งเราคงจะเข้าใจดี และหวังว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยวิถีทางอันถูกต้องครรลองประชาธิปไตย คือการต่อสู้ไม่ใช้ความรุนแรง สันติ และ อหิงสา ที่จะต้องเป็นการต่อสู้เพื่อประชาชน โดยประชาชน และ เอาคืนมาซึ่งอำนาจของประชาชน ตามปณิธานของมวลมหาชนผู้เจริญทั่วโลก และตามปณิธานของกษัตริย์ไทย   ยังจะเดินต่อไป จนกว่าบรรลุเป้าหมาย นั่นคือ ประชาธิปไตยกลับมา ทรราชและเผด็จการสลายไป  

 

  • บรรณาธิการ

             2 ส.ค. 2553

 

 
 
 
 
 
 
 
 

 บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 
 
พุทธศักราช  
 

2553 
 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลที่ 104  
นาง พวงแก้ว สาตรปรุง   
ทายาท พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา


 
 
พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน ของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
 
 
พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปก ครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 
 
 
พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 (ต่อจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา) รวม 5 สมัย ตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2476 ถึงกันยายน 2481 รวม 5 ปี 5 เดือน 21 วัน ถึงแก่อนิจกรรมปี 2490 ขณะอายุ 60 ปี 
 
 
พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน เกิดปี 2485 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 10 ปี ปัจจุบันอายุ 68 ปี สุขภาพยังแข็งแรง 
 
 
 
 
จากข้อมูลของ 
 
 
มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:51:23 ทำให้เราได้ทราบว่ายังคงมีทายาทของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา มีชีวิตอยู่ในวันนี้ ก็คือ พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน ของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร์ ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475  
 
 
มีคำถามสำคัญ ดังนี้
 
 
 
1. คำถาม   ภูมิใจไหมที่พ่อเป็นหัวหน้าคณะราษฎรก่อการเปลี่ยนแปลง 2475 ?
 
 
 
 
    คำตอบ  ภูมิใจสิคะ คุณพ่อทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศ คุณพ่อเสียสละอย่างสูงเลย เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดเลย ไม่มีสุขใดจะเหมือนด้วย ที่เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ   คุณพ่อเป็นผู้ที่เสียสละอย่างสูงสุด มีจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีความต้องการส่วนตัว มีอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรประเทศจะพัฒนาไปได้ นั่นละ จุดมุ่งหมายของคุณพ่อ สูงสุดอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไม่เคยเอาทรัพย์สินของประเทศมาเป็นของตัวเลย สักนิดเดียวก็ไม่มี 
 
 
 
2.   คำถาม   คิดอย่างไรกับสภาพบ้านเมืองที่เกิดวิกฤตความขัดแย้ง แตกแยกมา 5 ปี ตั้งแต่ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549  
 
 
 
     คำตอบ  มันเป็นความเห็นแก่ตัวของพวกชนชั้นขุนนาง เป็นพวกเห็นแก่ตัว จะยึดแต่อำนาจไว้กับตัว ไม่แผ่อำนาจลงมาให้ราษฎร มันเริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2490 ตั้งแต่โน่นแล้วที่ จอมพลผิน ชุณหะวัณ ปฏิวัติ ไม่ใช่เพิ่งเกิด คนพวกนี้เป็นพวกเห็นแก่ตัว รัฐบาลเขาจะผิด เขาจะถูกอะไร เขามีศาลยุติธรรมอยู่ตั้ง 3 ศาล ก็ฟ้องไป ให้ว่าไปตามระบบของมัน ฟ้องเขาไปสิ เขาผิดอะไร ไม่ใช่มาตัดสินเองด้วยอำนาจของตัว เสร็จแล้วพอตัวมีอำนาจ ตัวโกงกินประเทศชาติ ประเทศชาติมันก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาทุกคนก็คิดว่า แหม พอพวกนี้คนโกงประเทศ อุ๊ย... ต้องยึดอำนาจแล้ว ต้องทำรัฐประหารแล้ว มันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ไปใส่ร้ายเขา ไปเอามาตรา 112 (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ฯลฯ) ไปใส่ร้ายเขา มันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าคนขาดศีลธรรม ก็เป็นอย่างนี้แหละ   
 
 
 
3.  คำถาม    ลูกสาวผู้ก่อการกับ"เสื้อแดง" 
  
 
      คำตอบ นางพวงแก้วบอกเมื่อถูกถามว่า ชอบสีไหน "ป้าเหรอ ชอบสีแดง... "(คนเสื้อแดง) เขาเป็นคนชั้นล่างน่ะ แล้วมีมากด้วย แล้วยังไม่ได้พัฒนา ป้าสงสารเขา เขาพัฒนาได้น้อยเพราะพวกมีอำนาจมัวแต่กินโกงประเทศกัน ไม่เอาเงินไปพัฒนาเขาให้มากกว่านี้ เขาถึงได้ต้องตื่นตัวขึ้นมาเมื่อท่านทักษิณเข้ามา เพราะเขารู้ว่า อ๋อ ประชาธิปไตยกินได้อย่างนี้นี่เอง เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา เขาก็อยากจะอยู่แบบคนอื่นเหมือนกัน เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา มันของธรรมดา อกเขาอกเรา"
 
  
 
"ป้าก็ไม่เคยไปเข้าร่วมชุมนุมกับเขา แต่จะติดตามดูทางทีวีที่บ้านอยู่ตลอด ดูไปจนถึงตี 4 ตอนเห็นทหารฆ่าประชาชน ก็รู้ สงสัย เอ๊ะ เขาฆ่าได้ยังไง ฆ่าได้แม้กระทั่งพระสงฆ์" 
 
 
"ตอนที่ทหารยิงประชาชน ป้าส่งจิตระลึกไปถึงคุณพ่อ อยากให้คุณพ่อมาช่วยจัง ทำไมคุณพ่อไม่มาช่วยประชาชน ไม่รู้ดวงวิญญาณท่านไปถึงไหนแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าตายแล้ว ดวงวิญญาณไปที่ไหน ดังนั้น ประชาชนต้องช่วยตัวเอง"  
 
 
ป้าพวงแก้วเสนอให้ไพร่กับอำมาตย์มารวมกัน เพราะต่างก็เป็นคนเหมือนกัน จะมามัวแบ่งแยกทำไม 
  
 
"ไพร่กับอำมาตย์ไม่ใช่คนเหรอ ก็คนเหมือนกัน เราเลือกที่เกิดได้หรือเปล่า เราเลือกไม่ได้ ถือว่าเขาเป็นชนชั้นเดียวกันสิ เมตตากับเขาสิ อย่าไปให้เขาคิดว่า เขาต่ำต้อยเป็นไพร่ ท่านทำไม่ถูกหรอก ที่ให้เขาคิดอย่างนั้น แสดงว่าตัวท่านน่ะผิด ผิดอะไรต้องดู ต้องสำรวจตัวเองว่าผิดอะไร เขาถึงคิดว่า เขาต่ำต้อยอย่างนั้น คนเรามันเกิดมามันก็เหมือนกันทุกคน น่ะ มาทางเดียวกัน แล้วก็ไปทางเดียวกันด้วย เวลาไปแม้แต่ตัวเองยังเอาไปไม่ได้เลย ซี่โครงยังอยู่ เอาไปไม่ได้ ไปแต่วิญญาณเท่านั้น"

 
"ทำไมไม่คิดถึงตอนนั้นล่ะ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ทุกคน พระพุทธองค์ท่านสั่งสอนมาดีแล้ว ทำไมไม่ทำตามล่ะ..."

 
ประเด็นสำคัญที่เรายกย่อง พวงแก้ว สาตรปรุง ก็คือ ในเมื่อเวลานี้เป็นเวลาของ ประชาธิปไตย มาถึงแล้ว เราก็ได้พบว่ามีผู้ที่ต่อสู้มาก่อน ตั้งแต่เริ่มแรกยุคการเปลี่ยนแปลง อย่างโดดเดี่ยวเงียบเชียบ   เพราะ นี่คือทายาทของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลใดใดทั้งสิ้นแห่งยุคประชาธิปไตยไทย เพราะ พวงแก้ว สาตรปรุง ได้ต่อสู้มาตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดา (กำเนิดปี พ.ศ.2485 ขณะที่บิดา เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยอยู่ ก่อนจะเสียชีวิตในปี พ.ศ.2490) มาจนถึงขณะนี้ เมื่อมีอายุถึง 68 ปีแล้ว และยังคงจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไป ตราบสิ้นชีพ   จึงน่าจะได้เป็นบุคคลแรกที่สุดที่ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อประชาธิปไตยไทยจริง ๆ    เนื่องจากไม่มีใครเลยที่ได้ต่อสู้มาอย่างเนิ่นนานเท่านี้ และต่อสู้อย่างมีชีวิตอยู่ ต่อสู้เพื่อมีชีวิต ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อตนตายเสีย   เพราะได้ต่อสู้มาตั้งแต่เกิดมาเป็นธิดาของนักปฏิวัติประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ฉะนั้น เธอจึงเป็นผู้ที่ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยมาท่ามกลางฝูงอมาตย์ ที่แข็งแกร่ง ในยุคที่อมาตย์มีความน่าสะพึงกลัวที่สุด แล้วผ่านมา ๆ การต่อสู้ของเธอ พร้อมกับความเอาตัวเองให้มีชีวิตอยู่ ผ่านมา ๆ ก็หาละวางมือในการต่อสู้ไม่ ตราบมาบรรจบพบกระแสอันหลายหลากแห่งเสื้อแดงเข้า และเป็นยุคที่อมาตย์ ทายาทอสูรเริ่มอ่อนแรง   เราจึงได้เห็นความปิติยินดีของเธอ เผยออกมาว่าเธอคือสปิริตของประชาธิปไตยโดยแท้จริง และเธอคือประชาธิปไตยไทยที่แท้จริง   และเธอคือ สติปัญญา     ที่ต่อสู้แบบสู้เพื่อมีชีวิตเสรีชน   มีชีวิตเพื่อต่อสู้ด้วยสติปัญญาเพื่อประชาธิปไตยโดยแท้จริง     เราจึงขอยกย่อง พวงแก้ว สาตรปรุง ว่าเป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2553 ของหนังสือพิมพ์ดี ต่อไป และหวังว่า จักเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อโลก เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริงต่อไป
 
 

 
 
 
บรรณาธิการ
 
27 เม.ย. 2554
13.00 น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี    
 
พุทธศักราช 
2554
 
 
 
 
 
 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2554  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2554 ดังนี้
 
 
 
 
บุคคลที่ 105  
ธิดา ถาวรเศรษฐ์ 
 
 
ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มีประวัติการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนมาก่อน ที่จะมีการเคลื่อนไหวของ นปช. ระยะฟักตัว ไปจนถึงระยะเติบใหญ่เป็นแดงทั้งแผ่นดินเสียอีก แต่ส่วนที่น่าสนใจเริ่มตั้งแต่เกิดขบวนการ นปช.แดงทั้งแผ่นดินระยะนี้ การที่มีส่วนในการต่อสู้ร่วมกับ นปช. ซึ่งบอกความหมายตัวเองตรงตามชื่อที่ว่า แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ คำว่า ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แม้จะไม่บอกถึงประชาธิปไตยโดยตรง แต่พฤติกรรมนี้ค่อนข้างให้หลักประกันที่น่าอบอุ่นใจพอสมควรในแง่ที่ว่า ย่อมหมายถึงการต่อสู้ของเสรีชนอันเป็นแนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตยอยู่แล้ว ก็ย่อมนำไปสู่ประชาธิปไตยอยู่เอง เพราะย่อมจะนำความคิดประชาชนไปสู่เส้นทางอีกทางหนึ่งที่ตรงข้ามเผด็จการ นั่นคือ ประชาธิปไตย ครั้นเมื่อเกิดแดงทั้งแผ่นดิน จนต่างชาติให้ความสนใจและเรียกขบวนการนี้ว่า The Red Shirt โดยมีความหมายถึงประชาธิปไตยโดยตรง ก็ได้เกิดประเด็นสำคัญที่ต้องมองดู ในแง่ที่ว่า นปช.จะนำประชาชนไปสู่ประชาธิปไตยอย่างถูกต้องตรงไปสู่อุดมการณ์ที่แท้จริงหรือไม่ อย่างไร   เห็นคำตอบทุกอย่างเมื่อ ขบวนการเชิร์ตแดง ได้เริ่มจัดตั้ง ร.ร.นปช. ขึ้นอบรมหลักสูตรประชาธิปไตย เรามองประเด็น ร.ร.นปช.เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนี่คือการย้ำอุดมการณ์ ที่จะต้องถูกต้องตามหลักการปกครองที่ประชาชนปรารถนา นั่นคือ ประชาธิปไตย หากงานระดับนี้ผิดพลาดไป นั่นหมายถึงการนำประชาชนไปนอกเป้าหมายและอาจหลงทิศหลงทางประชาธิปไตยไปเลย อาจารย์ธิดา ได้แสดงบทบาทมาตั้งแต่คราวนั้น ในฐานะอาจารย์ของโรงเรียน นปช.เพื่อประชาธิปไตย คำถามก็คือ ร.ร.นปช.ได้ประสบผลสำเร็จในการยัดเยียดอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ตรงเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งก็เป็นคำถามเดียวกันกับอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญก็คือ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มีความตรงต่อหลักการประชาธิปไตยเพียงใด ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสืบมาถึงปัจจุบันนี้ และคำตอบที่ได้ เป็นที่น่าพอใจ
 
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธิดา ถาวรเศรษฐ์ ได้ก้าวขึ้นสู่ฐานะแกนนำ ระดับสูงสุดของ นปช คนเสื้อแดงอย่างเต็มภาคภูมิ(เป็น ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดินคนที่ 2 ต่อจาก วีระ มุสิกพงษ์)   และคำตอบตั้งแต่ต้น มาจนถึงบัดนี้ ที่ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นประธาน นปช.เต็มตัว นั้นก็ได้พบว่าคือ มีความตรงสู่เป้าหมายอย่างไม่คลาดเคลื่อนเบี่ยงเบน นั่นคือตรงสู่ประชาธิปไตย ทำให้ความมุ่งมั่นของนปช.ตรงไปสู่ทิศทางที่ต้องทำคนทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ของประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย อันแสดงความมั่นใจ รอบรู้ในหลักทฤษฎี ทั้งยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่จะนำหมู่ มวลชน คนทั้งแผ่นดินตรงไปสู่ประชาธิปไตย นั่นคือแนวคิดสำคัญที่ว่าประชาธิปไตยหมายถึงประชาชนทั้งประเทศ ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องเป้นประชาธิปไตย พี่น้องไทยทั้งประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย คนไทยต้องตรงไปสู่เป้าหมายนี้ด้วยกันทั้งหมด จะต้องรู้หลักการและวิถีทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง สิ่งนี้ปรากฏเป็นรูปธรรม โดยการเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดง ทางอีสาน ทางเหนือ มาตามลำดับ จนล่าสุด ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ได้เปิดหมู่บ้านแดงทั้งแผ่นดิน เพื่อประชาธิปไตย 14 หมู่บ้าน จังหวัดนราธิวาส เป็นที่เรียบร้อย   และเป็นเหตุให้เชื่อว่าประชาชนในส่วนของภาคใต้ ที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย ก็จะเริ่มตาสว่าง และแดงใต้นับวันจะขยายออกไป ซึ่งความหมายนี้ ก็คือ ความหมายที่ว่า   ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย พี่น้องไทยทั้งประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย คนไทยต้องตรงไปสู่เป้าหมายนี้ด้วยกันทั้งหมด นั่นคือ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ตรงสู่เป้าหมายการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ เมื่อ 24 มิถุนายน 2475   และนี่คือภาระหน้าที่ที่หนักหน่วงของธิดา ถาวรเศรษฐ์ ที่ยืนยัน ยืนหยัดในอุดมการณ์อย่างมั่นคง เฉลียวฉลาด มีเหตุผล   การต่อสู้มีเหตุผลและยังทำความเข้าใจสถานการณ์การต่อสู้ได้ค่อนข้างรอบคอบ หมายถึง กาลเทศะ เหตุ ผล บุคคล เวลา อย่างไร ทำได้อย่างสุขุมแต่กร้าวแกร่งมั่นคง สมเป็นผู้นำแดงทั้งแผ่นดินเพื่อประชาธิปไตย    สมควรยกย่องธิดา ถาวรเศรษฐ์ เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2554 ไว้ณโอกาสนี้ 
 
 
 


 
บุคคลที่ 106  
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
 
 
หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล มีชื่อเล่นว่า “ปลื้ม” แต่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า "คุณปลื้ม" หรือ "หม่อมปลื้ม" เกิดวันที่ 10 กันยายนพ.ศ. 2519 เป็นบุตรชายของหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุลอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชั่วคราว หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชีวิตครอบครัว หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์สมรสกับณัฐรดา อภิธนานนท์ หรือ "แจ็กเกอรีน" หรือ "แจ็กกี้" นักแสดงสาวลูกครึ่งไทย-แคนาดา ในวันที่ 7 ตุลาคมพ.ศ. 2553 ณ ห้องสกุณตลาบอลรูม
โรงแรมเพนนินซูล่า (จากวิกิพีเดีย)
 
 
ความคิดของ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ หม่อมปลื้มนั้น ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเดิม ที่คุ้นเคยต่อวัฒนธรรมและอยู่ในภาวะวัฒนธรรมซับบอร์ดิเนทมาแต่ดั้งเดิมในสังคมไทย นั่นคือความคิดเรื่อง การหลุดพ้นไปจากกรอบความคิดเดิม ๆ ในลักษณะเดียวกับความคิดกบนอกกะลานั่นเอง แต่ม.ล.ปลื้มได้นิยามไปไกลมาก อย่างกว้างขวางไม่จำกัดที่ว่า ความคิดอิสระ.... “ว๊อยส์ทีวีในความคิดของผมคืออิสระทางความคิดในแบบที่ไม่มีกรอบ”..... ไร้ข้อจำกัดทุกประการ ตามที่ปรากฏใน วอยส์ทีวี สถานีข่าวปลุกความคิด เขาเป็นประชาชนผู้เป็นแบบอย่างแห่งความคิดประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้เราหมายความถึง ความเป็นคนของเขา ที่เป็นได้อย่างสมบูรณ์ 
 
 
การเป็นนักประชาธิปไตยและยืนหยัดการต่อสู้ทางความคิด ในแนวทางของประชาธิปไตย เพื่อไปสู่ระบบของประชาธิปไตยให้ได้ การยืนยันหลักการของมนุษย์สังคมที่จะต้องเป็นประชาธิปไตย นั้นเป็นที่ปรากฏชัดเจน และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจริง นอกเหนือไปจากการให้ทัศนะต่อเหตุการณ์บ้านเมืองที่สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย เป็นอย่างดีมาก จนเป็นเสาเอกของประชาธิปไตยไทยได้ เราสามารถเรียกได้ว่าเขาเป็นเสาเอกของประชาธิปไตยไทยได้เลยทีเดียว     ซึ่งความคิดเหล่านี้ ทางม.ล.ปลื้ม ได้พูด ถ่ายทอดผ่านรายการ Wakeup Thailand และ Daily Dose ของ Voice TV. เป็นประจำวัน
 
 
แต่สิ่งที่เรายกย่องและมีความหมายพิเศษนั้นก็คือ มีการตัดสินใจ หรือ decision making ในทุกเรื่องราวที่เขาพูดถึง นั่นคือมีการสรุปที่ชี้แนวทางเดินให้อย่างชัดเจน ว่าจะเดินไปทางใด ทิศใด ด้วยความมั่นใจอย่างมีเหตุผล และเราเห็นว่าเขามีหลักการอยู่บนเหตุผลของความเป็นมนุษย์ เราคิดว่ามีคะแนนพิเศษสำหรับ ม.ล.ณัฐกร นั่นคือ    แท้จริง เขามีเชื้อพระวงศ์ ในระดับ หม่อมหลวง แต่กระนั้นเรากลับไม่ได้พบความหมายนี้ในตัวตนของ ม.ล.ณัฐกร เลย เราได้พบสิ่งที่เราได้พบ คือความเป็นสามัญชนโดยแท้จริง กระนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความหยิ่งแห่งภูมิปัญญาและความเป็นธรรมในชีวิต แม้กระทั่งชีวิตครอบครัวและความรัก ที่แสดงถึงการมีธรรมะของเขา การแสดงออกว่าเป็นสามัญชนนั้นมีความตรงและจริง  ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน เขาทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจริง ๆ สมควรยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2554 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลที่ 107 
จิตรา คชเดช
 
 
จิตรา คชเดช อีกหนึ่งหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ที่ร่วมกับเพื่อนกว่าสองพันต่อสู้กับการเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงานไทรอัมพ์สองพันคนในปี 2552 จนมารวมตัวกันตั้งชุดชั้นใน Try Arm แข่งกับแบรนด์ Triumph ที่พวกเธอเคยผลิต

เธอเป็นกรรกรหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนและแก๊สน้ำตาที่ระดมยิงใส่คนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ปัจจุบันเธอเป็นที่รู้จักดีในฐานะคนชูป้าย "ดีแต่พูด" ให้กับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2554 ปัจจุบันนี้ป้ายนี้ถูกยกชูไล่อภิสิทธิ์ในทุกที่ที่เขาไปหาเสียง
 
 
จิตรา คชเดช เธอเป็นนักต่อสู้อย่างไร นั่นเป็นประเด็นของความสนใจของเรา
 
พบจากรายงานของสื่อไทยเราว่า จิตรา คชเดช เป็นเพียงสาวโรงงานธรรมดา ๆ เหมือนสาวโรงงานทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือฝีมือและความคิดอันก้าวหน้า คิดเพื่อสังคมทั้งหมด และอุดมการณ์แห่งความเป็นธรรม คิดในเรื่องความเสมอภาค และภราดรภาพของมนุษย์ มนุษย์จะต้องยอมรับในความเสมอกัน สังคมจึงจะเกิดความสุขและเป็นธรรมขึ้นได้ หากไม่เช่นนั้น คนเราจำเป็นต้องสู้   ด้วยความคิดที่ก้าวหน้านี้ เธอจึงได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ.2549
 
 
จิตราเริ่มงานต่อสู้จากกรณี นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อหาเงินมาต่อสู้คดี ผลก็คือถูกบริษัทเลิกจ้าง เธอต่อสู้ว่าการใส่เสื้อเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ขณะที่ใส่เสื้อนั้น เป็นตอนกลางคืนที่ไม่ใช่เวลางาน และไม่ได้บอกชื่อบริษัท บอกเพียงว่า เป็นประธานสหภาพฯ เนื่องจากประธานสหภาพฯ มีสถานะเป็นนิติบุคคลอยู่แล้ว      
 
      
 
 
แล้วบริษัทยังเลิกจ้างคนงานอีกร่วม 2000 คนด้วยกัน จึงมีการต่อสู้รวมตัวขึ้น เรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์       เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนงานที่ถูกเลิกจ้าง โดยได้รวมตัวกันไปร้องเรียนนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีโดยผลของการรัฐประหารขณะนั้น   แต่แล้วแทนที่รัฐบาลจะช่วยเหลือ กลับทำการจับกุมในข้อหามั่วสุม เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 ปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นศาล 
 

 

 
ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม 2554 วันสตรีสากล จิตรา คชเดช ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพูดเรื่อง 100 ปี วันสตรีสากล ร่วมกับผู้หญิงจากหลากหลายอาชีพ และทราบว่านายกรัฐมนตรีจะมาร่วมขึ้นเวทีด้วย จึงเตรียมข้อมูลบางอย่างจะไปบอกกับท่านแต่ปรากฏว่านายกฯ มาถึงหลังจากนั้นจึงไม่ได้สื่อสารกัน เมื่อท่านขึ้นพูดบนเวทีจึงใช้วิธีเขียนข้อความลงบนกระดาษแล้วชูให้เห็น ทั้งข้อความ "มือใครเปื้อนเลือด" "เหรอ" และ "ดีแต่พูด" หลังจากนั้นการ์ดของนายกฯ ก็เข้ามาปรามและพยายามแย่งป้ายไป ขณะที่นายกฯ ก็พูดเพียงไม่นานแล้วรีบเดินทางกลับ
 
 
นสพ.ข่าวสด วันที่ 15 มิ.ย.2554 ได้ไปขอสัมภาษณ์.....ว่าทำไมถึงเป็น "ดีแต่พูด"
 
 
จิตรา อธิบายว่า ตอนที่เธอและเพื่อนคนงานถูกเลิกจ้าง บริษัทมอบจักรเย็บผ้าให้ 400 ตัว ผ่านกระทรวงแรง งาน ซึ่งขณะนั้นรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ดูแลอยู่ แต่คนงานกลับได้รับจักรเย็บผ้าเพียง 250 ตัวเท่านั้น ส่วนที่เหลือ กลับไปอยู่กับมูลนิธิของรัฐมนตรีผู้นี้ เมื่อทวงถามก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้งๆ ที่นายกฯ รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก
 
 
นอกจากนี้ ก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐ มนตรี นายอภิสิทธิ์เคยแถลงนโยบายเร่ง ด่วนว่า จะชะลอการเลิกจ้างที่เกิดจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ หรือถ้าสุดวิสัยจริงๆ ก็จะมีโครงการต้นกล้าอาชีพรองรับคนกลุ่มนี้ จิตราเล่าถึงข้อเท็จจริงว่า
 
 
"รัฐบาลไม่ได้ชะลอการถูก เลิกจ้างของเราเลย กลับไปส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทที่เป็นนายจ้างเราเสียอีก ส่วนโครงการต้นกล้าอาชีพก็ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของคนงานเหมือนกัน คนงานเย็บผ้าที่ถูกเลิกจ้างคุณต้องต่อยอดความสามารถเดิมที่เขามี แต่นี่กลับไปแนะนำให้เขาชงกาแฟ ซึ่งคนจะขายกาแฟได้ต้องมีเงินอย่างน้อย 5 หมื่นบาท ส่วนที่แนะนำให้เป็นหมอนวดแผนไทย การนวดแผนไทยถ้าจะมีรายได้ดี ก็ต้องคล้ายๆ กับขายบริการไปด้วย นั่นหมายความว่ารัฐบาลไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเลย"
 
 
นอกจากนี้ ยังมีโครงการเรียนฟรีที่จิตราเห็นว่าไม่ได้ฟรีจริงอย่างที่พูด หรือปัญหาชายแดนภาคใต้ที่บอกว่าจะแก้ไขได้ 99 วัน ผ่านไป 2 ปีก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำยังรุนแรงขึ้นอีก ที่ใกล้ตัวที่สุดคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่สัญญาไว้ว่าจะเพิ่มให้เป็นวันละ 250 บาท ผู้เกี่ยวข้องก็นิ่งเฉยในช่วงแรก และเพิ่งจะเพิ่มให้ช่วงใกล้ยุบสภา แต่ก็ยังได้รับแค่ 215 บาท ไม่ใช่ 250 บาทตามที่สัญญา
 
 
"แต่สิ่งที่ เลวร้ายที่สุดทางการเมือง คือกรณีสลายการชุมนุม รัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบอะไร และไม่สามารถสืบได้ด้วยว่าใครเป็นคนฆ่าประชาชน"
 
 
"เรา ถือว่าการกระทำของเราเป็นประชา ธิปไตยและสันติ ไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ใคร คนที่เป็นบุคคลสาธารณะ คนที่ก้าวเข้ามาเป็นนักการเมือง ใช้ภาษีประชาชน บุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบได้ เมื่อไหร่ที่ตรวจสอบไม่ได้ก็เท่ากับเผด็จการ และคนที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องว่ากันด้วยเรื่องระบบโครงสร้างการทำงานมากกว่า วิพากษ์วิจารณ์เรื่องส่วนตัว หรือครอบครัวเขา ขอบเขตของเราอยู่ตรงนี้"
 
 
ถาม ถึงแรงงานกับการเลือกตั้งที่กำลังจะ มาถึง จิตราสะท้อนว่า ปัญหาขณะนี้คือคนงานไม่สามารถเลือกตั้งส.ส.ในพื้นที่ที่ทำงานอยู่ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัด ส.ส.ในพื้นที่เองก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ฐานเสียงของเขา เพราะฉะนั้น นโยบายเกี่ยวกับกลุ่มคนงานในพื้นที่จึงไม่มี นั่นยิ่งทำให้อำนาจต่อรองของพวกเขาลดน้อยลงไปอีก
 
 
"สิ่งที่เราอยาก เห็นคือสวัสดิการของคนที่อยู่ในโรงงาน เราต้องการมีเงินส่งให้พ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด ต้องการให้ลูกได้เรียนฟรีจริงๆ ต้องการเรื่องที่อยู่อาศัย เพราะส่วนใหญ่ย้ายถิ่นมาจากชนบท ต้องมาเช่าบ้านอยู่ ส่วนค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะต่อให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำ แต่ค่าครองชีพยังสูงทุกวันมันก็อยู่ไม่ได้
 
 
สิ่งที่รัฐจะต้องควบคุม คือราคาสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ ยังต้องสนับสนุนการมีสหภาพแรงงาน จะได้เรียกร้องค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ จากนายจ้างได้โดยตรง วิธีนี้จะแก้ปัญหาได้ดีกว่า"
 
 
 
เราเห็นว่าจิตรา คชเดช เป็นนักสู้โดยสัญชาตญาณของความรักในความเป็นธรรมและรักในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีประเด็นสำคัญในบทบาทของสาวโรงงานผู้นี้อยู่ถึง 3 ประการ
 
 
1.         การรักในความเป็นธรรม รักในสัจจะ และรักคนผู้มีความสัจจะ หมายถึงรักในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อันเป้นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย แนวคิดเช่นนี้แหละเป็นที่ต้องการส่งเสริมให้เติบโต ขยายออกไปเพื่อประชาธิปไตย
 
 
2.    บทบาทการรวมกลุ่มคนงาน การก่อตั้งสหภาพแรงงานที่จิตรากับเพื่อนดำเนินการอยู่ขณะนี้ เป็นแนวทาง ๆ การเมืองประชาธิปไตยอีกแนวหนึ่งที่มีอนาคต คล้าย ๆ กับการก่อตั้งและต่อสู้ของพรรคกรรมกรในประเทศอังกฤษ ที่ต่อสู้กับพรรคการเมืองแนวอนุรักษ์นิยม มานานหลายสิบปี กว่าจะประสบความสำเร็จในสมัยนายโทนี แบล เป้นหัวหน้าพรรคกรรมกร ได้เป้นนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ   การพัฒนาแนวทางพรรคการเมือง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาไปบนแนวคิดหลักการของประชาธิปไตย เมื่อพรรคการเมืองพัฒนาไปบนหลักการของระบอบประชาธิปไตยแล้ว จึงจะเกิดประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งบัดนี้ มีความเป้นไปได้สูงที่จะมีการพัฒนาพรรคการเมืองขึ้นจากพื้นฐานประชาชนชาวรากหญ้า คือคนผู้ใช้แรงงานใน รง.อุตสาหกรรมไทยในขณะนี้ ในแนวทางเดียวกับพรรคกรรมกรของอังกฤษ ซึ่งน่าเชื่อว่าหากมีการพัฒนาไปตั้งแต่บัดนี้ ก็จะมีผลให้เกิดพรรคการเมืองที่ดำเนินไปบนหลักการประชาธิปไตย และต่อสู้ไปตามลำดับ ๆ ขยายแนวคิดและนโยบายของพรรคออกไปตามลำดับ ๆ ในที่สุดก็จะค่อยประสบความสำเร็จ ไปจนถึงระดับสูงสุดได้    แต่สิ่งที่ดีก็คือ มีฝ่ายค้านรัฐบาลไทยปัจจุบัน ที่เป้นประชาธิปไตย หรือดำเนินงานฝ่ายค้านไปโดยหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่ดำเนินไปโดยหลักการเผด็จการระบอบขุนนาง+ทหารแบบเก่าๆตามที่เป้นอยู่ขณะนี้     ก็จะเป็ฯการพัฒนาประชาธิปไตยไทยไปสู่ความสมบูรณ์ของระบอบประชาธิปไตย ได้
 
 
3.   การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบลงง่าย ๆ และเนิ่นนานไปในอนาคตที่ไม่อาจจะคาดการณ์ได้ แต่การต่อสู้ก็ต้องก้าวเดินต่อไป ซึ่งหมายถึงชีวิตที่ดิ้นรนและกร้าวแกร่งมีความหมายพร้อมทุกอย่าง นับแต่การต่อสู้เพื่อปากท้อง ความพอกินพอใช้ ความอยู่ดีกินดี ตลอดทั้งการศึกษา และการเศรษฐกิจที่จะต้องยกระดับขึ้นไปสู่สถานะความเสมอภาคโดยรวม ของชนชั้นกรรมาชีพ และยังหมายถึงนามธรรมคือการต่อสู้เพื่อยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้นสู่ระดับที่ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล มีระดับสามัญแห่งชนชั้นของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องเดินต่อไปอย่างยาวนานในอนาคตที่ไม่อาจคาดคะเนได้
 
เราจึงยกย่องสปิริตอันนี้ ด้วยการยกย่อง จิตรา คชเดช เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2554

 

 

 
บุคคลที่ 108 
ฮิลลารี รอดแฮม คลินตั้น :
Hillary Rodham Clinton
 
 
 
ในระยะที่เธอเดินทางมาในหน้าที่ของ รมว.ต่างประเทศหรือ Secretary of State ไปพม่าและได้โอบกอดให้กำลังใจแด่นางอ่องซาน ซูจี ผู้นำประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในฐานะฝ่ายค้านในระบอบเผด็จการทหารในพม่า ซึ่งบทบาททางการต่างประเทศของเธอได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญขึ้นในพม่า เป็นเหตุให้คณะทหารพม่ายอมรับแนวทางการบริหารจัดการประเทศพม่า ในแนวทางประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง และเปิดโอกาสให้นางอ่องซานซูจี ได้เข้าสภา เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ที่ได้รับโอกาสอย่างสำคัญในการบริหารประเทศพม่า   นั่นย่อมเป็นผลงานการเดินทางมาเยือนพม่าในระยะหลังนี้ ของ ฮิลลารี รอดแฮม คลินตั้น นั่นอย่างแน่นอน     มีคำชมเชย ยกย่อง มาดามคลินตั้นในเฟสบุ๊ค FaceBook.com Phayap Panyatharo  ที่ดูจะใกล้ความจริงมาก ดังนี้
 
Phayap Panyatharo
 
November 16, 2011 near Bangkok
 
.
 
Mrs. Hillary Rodham Clinton, U.S. Secretary of State in Thailand 16 - 17 November 2011, saying USA. promotes freedom, protects haman right and democracy in Thailand.
 
 
 
Phayap Panyatharo นางฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา อยู่ในประเทศไทยระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย.2554 ได้รับรองว่า สหรัฐอเมริกาสนับสนุนเสรีภาพ และปกป้องสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย November 16, 2011 at 7:44pm
 
.
 
She's in green.
 
Mrs.Clinton in my eye, she's a wonderful woman of hard work who has been working hard since her husband Mr.Bill Clinton fought for the 42nd president of America in year 1993[2536] and that was a hard work as the first lady of the United States of America and a wife of a president. After Clinton’s period she herself had to fight with Barak Obama, while Obama won both the competitions in 2008, but Obama the new president need her ability to carry on an important affair, that brings her to the US. Secretary of State while the Middle East and all the world have gone into crisises. That is why I say Mrs. Clinton has to carry out a heavy burden without any rest. And in the future, is she going to compete for a new president of America? Ofcourse yes. But there is a work that I see, Mrs. Clinton has been firm to carry on the task of promoting world democracy all her life. So there has been no time for this iron lady to rest. It's wonderful.
 
 
เธออยู่ในสีเขียว
 
นางคลินตัน ในสายตาของผม เธอเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่งที่ทำงานหนักมาก่อนตั้งแต่สามีของเธอนายบิล คลินตัน ได้ต่อสู้เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 42 ในปี 1993(2536) นั่นคืองานหนักในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และในฐานะภริยาของประธานาธิบดีคนหนึ่ง ภายหลังช่วงเวลาของคลินตั้น เธอเองก็ได้ต่อสู้กับนายบารัค โอบามา ซึ่งนายบารัค โอบามา ชนะทั้งสองครั้ง ในปี 2008(2551) แต่แล้วโอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกาก็จำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถของเธอ เพื่อทำงานระดับสำคัญยิ่ง นั่นคือต้นเหตุที่นำเธอมาสู่ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สถานการณ์ตะวันออกกลางและทั่วโลกเข้าสู่วิกฤตต่าง ๆ มากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ผมพูดว่ามิสคลินตันได้แบกภาระการงานที่หนักมาโดยปราศจากการได้พักผ่อนแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ และในอนาคตอันใกล้นี้ เธอจะลงแข่งขันเพื่อตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่แห่งสหรัฐอเมริกาหรือไม่? แน่นอน ใช่ แต่กระนั้นก็ยังมีงานอีกชิ้นหนึ่งที่ผมเห็นว่ามิสคลินตันมีความมั่นคงมาตลอดก็คืองานขับเคลื่อนประชาธิปไตยโลก ที่เธอจะต้องทำไปตลอดชีวิตของเธอ เพราะฉะนั้น จะไม่มีเวลาสำหรับสตรีเหล็กคนนี้ได้พักผ่อนเลย นี่คือความมหัศจรรย์......
 
 
เราค่อนข้างจะเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่ว่าเธอทำงานหนักจริง ๆ และไม่เคยว่างเว้นจากงานหนักที่สำคัญ ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย   และยังมีข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง นั่นคือบทสุดท้ายที่ว่า Mrs. Clinton has been firm to carry on the task of promoting world democracy all her life. So there has been no time for this iron lady to rest. It's wonderful. นั่นคือ ความมุ่งมั่นในการแบกขนงานเผยแผ่ประชาธิปไตยไปตลอดชีวิต จนแทบว่าทั้งชีวิตจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย และนั่นสมสมญาว่า สตรีเหล็ก น่ามหัศจรรย์โดยแท้จริง
 
 
แต่นี่ไม่ใช่เนื้อหาอันเป็นสาระหลักที่เรายกย่องเธอให้เป็นบุคคลแห่งปีของเรา แต่เรามองเหตุผลที่ว่า การทำงานเพื่องาน แม้ทำงานหนัก ชนิดหามรุ่งหามค่ำ แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลยปานนี้แล้ว   แต่เราก็ได้เห็นบุคลิกภาพที่เยือกเย็น สม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลายของเธอ   ความอ่อนรา หรือความท้อถอย ไม่เคยปรากฏในดวงตาของสตรีเหล็กผู้นี้   บ่งบอกถึงความรับผิดชอบในภาระหน้าที่การงานอย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญ นี่คือการแบกขนภาระหน้าที่การงานอันหนักไปพร้อมกับการเสวยความสุข ความพอใจในภาระนั้นด้วย ซึ่งเรามองว่า นี่คือจิตใจที่เป็นธรรม มีธรรมะ ตามหลักธรรมอนัตตาในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ จึงมีความพอใจ มีความสุข และสามารถต่อสู้กับปัญหาและเผชิญได้ทุก ๆ สถานการณ์ เราหมายความว่า เธอทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใด ถึงจะทำงานหนักไปโดยไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรตอบแทนมากไปกว่าตำแหน่งที่เธอเป็นเธอได้เธอมีอยู่   เธอจะได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาหรือไม่ นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นแรงผลักดันในการทำงานของเธอเท่าไร  เพราะแรงผลักดันของเธอจริง ๆ นั้นคือธรรมะความไม่ยึดมั่นถือมั่น การเคารพตนเอง ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อนโยบายที่รับปากไว้แด่ประชาชนสหรัฐอเมริกา นี่คือสปิริตซึ่งตรงกับหลักการในพระพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการทำความดีโดยบริสุทธิ์ ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่า  Hilary Rodham Clinton ได้ประสบผลสำเร็จอย่างน่าชื่นชมเป็นแบบอย่างแด่คนทั้งหลายในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกประชาธิปไตย และเราขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2554 ของหนังสือพิมพ์ดี และประกาศเกียรติคุณลงไว้ ณ ที่นี้ สืบไปชั่วกาลนาน 
 
 
 หนังสือพิมพ์ดี จึงขอประกาศบุคคลทั้ง 4 ท่านนี้ ได้แก่ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล จิตรา คชเดช ฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน [Hillary Rodham Clinton] ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2554 
 
 
ต่อจากนี้ โปรดติดตามอ่านสาระสำคัญอีก 4 หัวข้อ ของดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 47 ต่อไป
 
 
บรรณาธิการ
13 มิ.ย. 2555
21.59 น.
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 
พุทธศักราช
 
2555
 
 
 
 
 
 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2555  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2555 ดังนี้ 
 
 
 
 
บุคคลที่ 109  
น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   
 
 
 
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้มีอายุน้อยที่สุดของการเมืองโลก เพราะวันที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอายุเพียง 44 ปี 1 เดือน เท่านั้นเอง   มีบุคลิกภาพที่เด่นดังมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัวเป็นนักการเมืองในวันแรกแล้ว โดยทางพรรคเพื่อไทยมอบความไว้วางใจให้เป็นผู้แทนพรรคลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ซึ่งก็ได้ผ่านการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ไปด้วยคะแนนท่วมท้น ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย สิ่งที่เราได้เห็นในวาระต่อไปก็คือต่างประเทศได้ชื่นชมและให้การสนับสนุนด้านกำลังใจแด่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างมาก ดังจะพบว่าได้มีบุคคลสำคัญต่างประเทศเข้าเยี่ยมเยียนโดยตลอดมา และล่าสุดรวมทั้ง อดีตรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นางฮิลลารี คลินตั้น และทั้งประธานาธิบดีบารัค โอบามา ด้วย   สิ่งที่ได้เห็นในวาระแรกของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็คือ เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างไม่ทอดทิ้ง มีวิสัยทัศน์กว้างขวางและเป็นผู้ที่คำนึงอย่างละเอียดรอบคอบในด้านที่เป้ฯโทษและด้านที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน  บริหารอย่างรอบคอบ รู้เหตุผลของการบริหารงานชัดเจน โดยเห็นจากการบริหารน้ำท่วมใหญ่ประเทศไทยปี 2554 นั้นเอง ซึ่งเปรียบเสมือนเหตุการณ์ที่มาทดสอบนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย และได้ผ่านการทดสอบไปอย่างสบาย  อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้เห็นจาก น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นก็ยังไม่ใช่ประเด็นโดยตรงสำหรับความนิยมของ นสพ.ดี แต่ในกรณีวิสัยทัศน์การมองประชาชนเห็นได้จากเมื่อนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เดินทางไปกัมพูชา และดำเนินการแก้ไขให้นางราตรี พัฒนาไพบูลย์ อดีตผู้ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพธม.ก่อกวนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาและถูกจับตัวไปพร้อมนายพณิช วิกฤตเศรษฐ สส.ปชป. และนาย วีระ สมความคิด[ข้อหาบุกรุกดินแดนเขมร] เป็นผลให้นายวีระ และนางราตรี ถูกพิพากษาจากศาลกัมพูชาให้ติดคุก นายกรัฐมนตรีได้มองถึงความจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ จึงดำเนินการทางการทูต จนนางราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ได้รับการปลดปล่อยจากคุกกัมพูชา และเดินทางสู่แผ่นดินแม่ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2556 เวลา 21.35 น.ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเรามองว่า เป็นลักษณะของผู้นำการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ดำรงอุดมการณ์ของประชาธิปไตยไว้อย่างถูกต้อง ตรงความหมายของการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน  โดยนัยะความหมายของประชาชนนี้ หมายถึงคนไทยทุกคนในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ถืออุดมการณ์แตกต่างออกไป หรือเป็นฝ่ายค้าน ที่มีนโยบายการบริหารแตกต่างไปอีกด้านหนึ่งก็ตาม  นี่คือความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและประชาชนในระบอบประชาธิปไตย  เป็นความหมายของหลักการ  Majority rule Minority right นั่นเอง  อันเป็นความดีของระบอบประชาธิปไตย ที่ประเทศไทยปรารถนาจากคุณค่าที่สูงส่งนี้ และเราได้เป็นแบบอย่างจากนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่านี่คือประชาธิปไตย เราจึงขอยกย่องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคลแห่งปีของ น.ส.พ.ดี พุทธศักราช 2555 ณ โอกาสนี้  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลที่ 110  
พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา
 
 
 
 
พ.ต.พุทธนารถ พหลพลพยุหเสนา เป็นลูกชายคนที่ 4 ของ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กับท่านผู้หญิงบุญหลง มีน้องสาวผู้ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้อีก 1 คน คือคุณพวงแก้ว สารตปรุง ซึ่งนสพ.ดีได้ยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2553 ไปแล้ว โดยนัยะความหมายอย่างเดียวกัน และเราชื่นชม พ.ต. พ.ต.พุทธินารถ ผู้มีคติว่าเป็นลูกผู้เสียสละเช่นเดียวกับคุณพ่อ ผู้มีความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ เพราะถ้าทำงานไม่สำเร็จ ก็ต้องตายเจ็ดชั่วโคตร พร้อมทั้งผู้ก่อการก็ต้องตายแบบเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความเสียสละอย่างยิ่งอย่างยากที่จะมีผู้เสียสละได้เท่าเทียม ฉะนั้นจะทำอะไรต้องไม่ทำให้พ่อและแม่เสื่อมเสียเกียรติ จะทำอะไรที่ไม่ดีไม่ได้ ตัวเราเป็นอะไรก็ช่าง แต่จะทำให้เสียหายพ่อ แม่ไม่ได้ นับตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ พ.ต.พุทธนารถ ได้สืบสานมรดกบิดา นั่นคือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย และได้กลายเป็นนักต่อสู้ผู้สละชีวิตเพื่ออุดมการณ์ มาตลอดชีวิต อันยาวนานตั้งแต่เกิดมาเป็นบุตรชายของนักปฏิวัติระบอบเก่าล้าหลังมาสู่ระบอบทันสมัยก้าวหน้า อันเป็นอารยธรรมใหม่ของมนุษยชาติ  ตราบปัจจุบัน และอาจจะกล่าวได้เลยว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของ พ.ต.พุทธนารถ ได้อุทิศให้แด่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจนหมดสิ้นแล้ว 
 
 
 
ในเรื่องการต่อสู้ มีกรณีกบฏบวรเดช ซึ่งคือขบวนการหัวเก่าที่พยายามจะนำนาวาประเทศถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งเราเห็นว่าน่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนหัวเก่าอย่างพรรคประชาธิปัตย์ หรือแนวคิดอย่างนักโฆษณาชวนเชื่อเรื่องราชาธิปไตย ซึ่งพ.ต.พุทธนารถได้เล่าเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ 
 
 
 
 “กบฏบวรเดช เรื่องข้อเท็จจริงหรือที่เป็นหลักฐานนั้นทราบจากคำบอกเล่าว่าทางฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช นำทหารต่างจังหวัดล้อมกทม. ยึดสนามบิน โปรยใบปลิว ให้รัฐบาลยอมแพ้ พ่อก็ปรึกษากับจอมพลป. ให้จอมพลป.ตอบโต้ฝ่ายบวรเดช ซึ่งปืนใหญ่สมัยนั้นมีในกทม.อย่างเดียว จอมพลป.ก็สั่งให้ปืนใหญ่ตั้งที่บางซื่อ ตั้งยันกันที่คลองบางเขน รัฐบาลระดมยิงไปที่คลองบางเขน กระสุนปืนใหญ๋ทำให้ฝ่ายบวรเดชล้มตายมาก เมื่อถอยร่นไป รัฐบาลก็นำกำลังบรรทุกรถไฟตามตี จนถูก "ตอร์ปิโดบก" ฝ่ายบวรเดชใช้หัวรถจักรติดเครื่องเปิดไอน้ำ ให้หัวรถจักรเข้าชนกับรถไฟทหารตกราง ฝ่ายรัฐบาลเมื่อกู้รถไฟได้ก็ตามตีไป ฝ่ายกบฏก็ตั้งรับที่อยุธยา ถอยไปที่สระบุรี แม่ทัพฝ่ายบวรเดชตายในที่รบ ฝ่ายรัฐบาลก็ตายในที่รบเช่นกัน ฝ่ายกบฏแตกถอยไป พระองค์เจ้าบวรเดช ก็ขึ้นเครื่องบินหนีไปลงที่ไซง่อน เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ทุกท่านทราบในตอนต่อมา ว่าฝ่ายกบฏแพ้ไป” 
 
 
 
เราหมายถึง การต่อสู้ของ พ.ต.พุทธนารถ พลพยุหเสนา ได้ผ่านอุปสรรคศัตรูมา ในระดับถ้าพลาดแล้วก็หัวขาดมาตลอด แต่รอดมาได้จนปัจจุบันนี้ การเอาชีวิตรอดได้ และสามารถดำรงอุดมการอันสูงสุดของชีวิตมาได้ ถือเป็นการต่อสู้ที่ประกอบด้วยธรรม ได้ชัยชนะด้วยธรรมะ จึงขอยกย่องพ.ต.พุทธนารถ ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2555
 
 
 
 
 
บุคคลที่ 111 
บัวขาว ป.ประมุข

 
 
 
 
วันนี้ บัวขาว ป.ประมุข ชื่อจริง สมบัติ บัญชาเมฆ เกิดวันที่ 8 พฤษภาคม 2525 เกิดที่จังหวัดสุรินทร์ วันนี้อายุ 30 ปี ยังมีเวลาสำหรับการสร้างคุณค่าบนสังเวียนนักสู้โดยตรงอีกหลาย ๆ ปี ไปข้างหน้า ส่วนสูง 1.74 ม.(5 ฟุต 9 นิ้ว) น้ำหนัก 69.5กก.(153 ปอนด์) รุ่น เฟเธอเวท ในปี 2554  ใน พ.ศ. 2554 บัวขาวได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการไทยไฟท์ ที่ประเทศไทย ในรุ่น 70 กิโลกรัม ซึ่งได้เป็นแชมป์ของการแข่งขันครั้งนี้ บัวขาวเข้าแข่งขันไทยไฟต์อีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยครั้งนี้ได้พบกับ เมาโร เซียรา
ซึ่งเป็นนักมวยไทย
และบัวขาวเป็นฝ่ายชนะน็อค เราให้คะแนนที่เขาเป็นนักมวยไทยคนเดียวคนแรกที่ทำให้โลกกีฬามวยกระเดื่อง  และแสดงฤทธิเดชของมวยไทยได้อย่างจะแจ้ง เริ่มจากการสร้างกีฬามวยไทย K 1 ขึ้นมา เปิดโอกาศให้นักมวยอย่างบัวขาว ผู้พร้อมสรรพด้วยวิทยาการมวยไทยทุกอาวุธครบสมบูรณ์ ได้แผลงฤทธิ์กับนักมวยต่างประเทศ ทุกสาขามวย นับแต่มวยคาราเต้ อย่างฮาราดะของญี่ปุ่น มวยจีนกำลังภายใน ไม่ว่ากังฟู หรือมวยเส้าหลิน  และเขาแสดงให้เห็นว่ามวยไทยเป็นอย่างไร   แต่การชกมวย เค 1 นี้ ได้ตัดอาวุธมวยไทยที่สุดร้ายกาจออกไปถึง 2 อาวุธคือ ศอก และการโน้มคอตีเข่า เขาเห็นว่าเป็นอาวุธที่อันตรายเกินไป เช่นอาวุธศอกนี้ ได้เลือด แน่ ๆ   แต่กระนั้นอาวุธที่เหลือ มีเท้า แทงเข่า หมัด ก็เพียงพอที่จะปราบมวยต่างประเทศ สิ่งที่เราให้คะแนนบัวขาว ป.ประมุขนั้นก็คือ เขาเป็นนักมวยไทยที่มองมวยไทยก้าวหน้าไปกว่าเดิม เขาได้พิศูจน์ว่ามาตรฐานใหม่ของการชกแบบมวยไทยนั้นถูกต้อง เราหมายถึงแผนการชกและเชิงรุกของมวยไทยซึ่งบัวขาว ป.ประมุขได้ทำให้ปรากฏชัดเจนและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งนั่นหมายถึงการฝึกตัวมาอย่างสาหัสฉกรรจ์ ซึ่งเป็นแนวทางการฝึกแบบวิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้ในการชกแต่ละไฟต์ของบัวขาว ป.ประมุข มิได้ทำให้แฟนมวยผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว เช่นการชกกับ อับดุลเลาะห์ มาเบล[Abdallah Mabel] ที่บ่งบอกถึงแนวคิดใหม่ของชั้นเชิงรุกของมวยไทย ที่ถูกใจ สะใจแฟนมวยไทยทั้งประเทศ  เขาชกได้อย่างดุเดือดและมีแผนการชก มีแนวการฝึก และการชกแต่ละครั้งได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทโดยได้ทำการฝึกซ้อม เตรียมแผนการชกมาอย่างดีเสมอ บัวขาวไฟต์ล่าสุดชกที่เวทีสนามหลวง เฉลิมพระเกียรติ์ เมื่อ 16 ธันวาคม 2555 คู่ต่อสู้เป็นนักชกต่างชาติฝีมือร้ายกาจอีกคนหนึ่ง  คือวิตาลี เฮอกู [Buakaw P.Pramuk vs Vitaly Hurkou] รุ่น 70 กก. จุดไคลแมกซ์อยู่ที่วิตาลีเตะ บัวขาวจับขาได้ดันเข้าเชือก แล้วกระโดดเข่าแทงทรวงอกเต็มหน่วง วิตาลีแทบกระอักเลือด ไฟต์นี้บัวขาวชนะคะแนน ได้รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน  จึงขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของเรา ณ โอกาสนี้   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลที่ 112  
ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ 
 
 
 
 ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ ชื่อจริงคือ อาทิตย์ ดำขำ เกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2526 ที่จังหวัดขอนแก่น ส่วนสูง 1.80 ม (5ฟุต 11 นิ้ว) น้ำหนัก 175 ปอนด์(79 กก.) รุ่น เวลเตอเวท (ซูเปอร์เวลเตอเวทมวยไทย) มีคำนิยมสั้น ๆ ดังนี้  นักมวยไทย แชมป์โลก K-1 ซึ่งสิ่งที่สร้างชื่อให้เขาดังไปทั่วโลกก็คือ เขาเป็นนักมวยไทย ที่อายุน้อย เพียง 21 ปี และถือว่าตัวเล็กที่สุดในรุ่น แต่กล้าไปชกในรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก ซึ่งทุกคนล้วนตัวใหญ่กว่า ก้าวไกล หลายเท่า และเขายังสามารถคว้าเข็มขัด แชมป์โลกมวย K-1 มาได้อย่างเต็มภาคภูมิ  ถือว่าเป็นสุดยอดนักมวยไทย แชมป์โลก ที่โด่งดังไปทั่วโลก เขาเป็นนักมวยที่สายตาดีมาก หลบหลีก หมัดและเตะของคู่ต่อสู้เก่ง ที่เห็นเขาหลบการเตะจนเกือบหงายนั้น ไม่ใช่เขาสู้ไม่ได้ แต่เป็นการแสดงทักษะในการหลบหลีกที่ดีเยี่ยม เพราะถ้าไม่หลบ และไปแลกกับตัวใหญ่กว่า ขนาดนั้น ไม่มีเหลือแน่นอน ฝีมือเยี่ยมมากครับ เราเห็นว่า เขาชกกับยักษ์ทั้งนั้นเลย  แต่ด้วยอาวุธมวยไทย เขาได้ทำให้โลกได้รู้จักว่ามวยไทยเป็นอย่างไร และมวยชาวพุทธ ที่เขาขึ้นป้ายไว้นั้น มีป้ายเล็ก ๆขึ้นที่กรอบว่า Buddhist เป็นอย่างไร  เขาปราบมวยยักษ์เป็นว่าเล่น ที่สุดยอดคือไฟต์ระหว่างก้าวไกล แก่นนรสิงห์ น้ำหนัก 79 กก. ชกกับ ไมตี้ โม [Mighty Mo Les.] นักมวยหมัดหนัก น้ำหนัก 132 กก. เพิ่งขึ้นยกแรกเท่านั้นเอง ก้าวไกลแลกด้วยการเตะก้านคอ ทีเดียว เท่านั้น มวยยักษ์อย่าง โม ก็ลงไปดิ้นกลางสนามมวย เรามองเพียงภาพเดียว ไฟต์เดียวนี้ก็ เพียงพอแล้ว ที่จะยกย่องว่า ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ ได้สร้างวีรกรรมพอแก่เหรียญกล้าหาญของทหารในสงครามเลยทีเดียว  จึงขอยกย่องก้าวไกล แก่นนรสิงห์ เป็นบุคคลแห่งปี 2555 ของหนังสือพิมพ์ดี      
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลที่ 113  
พะเยาว์ อัคฮาด 
 
 
พะเยาว์ อัคฮาด แม่ผู้ต่อสู้โดยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ผู้รักลูก และรักความเป็นธรรม โดยต้องการให้มีผู้รับผิดชอบในเรื่องราวต้นเหตุของความตายของลูกสาวของเธอ กมนเกด อัคฮาด ผู้ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ก็จบชีวิตลง ในขณะที่ทำหน้าที่พยาบาลอาสา ช่วยเหลือคนเจ็บ ป่วย ในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง ผู้ตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ และตายในวัดปทุมวนาราม อันเป็นเขตอภัยทาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา พร้อมกับเพือนร่วมอุดมการณ์อีก5รวมเป็น 6 ศพในวัดปทุมวนาราม แม่คนนี้เห็นว่าใครก็ตามที่ยิงปืนเข้าไปสังหารชีวิต 6 ชีวิตในวัดปทุมวนารามเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. 2553 แสดงถึงจิตใจอันเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ซึ่งมีเจตนาโดยตรงในการสังหารคร่าชีวิตคนให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลป่าเถื่อนอย่างยิ่ง ที่สมควรนำตัวมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้จงได้  นี่คือจิตใจของแม่ผู้รักความยุติธรรม
 
  
พะเยาว์ อัคฮาด พูดถึงลูกสาวของเธอ กมนเกด อัคฮาด ว่า เกดเป็นคนโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนเพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว  อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ นั่นแหละพะเยาว์ อัคฮาด ผู้ถือคติอย่างเหนียวแน่นว่า อสาธุ สาธุนา ชิเน ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ
 
  เธอกำลังฝันไปกับความใฝ่ฝันของลูกสาวนั่นก็คือกมนเกดต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า “ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้”   
 
แม่เล่าว่า หลังจากไปร่วมกับอาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว เกดก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับกระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยินขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้น ในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัดกระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอคาดว่ามีมากกว่าสองนัด มันเหี้ยมโหดจริง ๆ  น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคื 
 
 
พะเยาว์ อัคฮาด ได้ต่อสู้เพื่อนำความเป็นธรรมมาสู่ลูกสาว ผู้ไม่มีความผิดของเธอ ทุกวิถีทาง อย่างเป็นรูปธรรมอุกอาจในการต่อสู้เพื่อชนะ เธอฉลาด มีความรอบรู้พอที่จะประมวลหลักฐานการฆาตกรรมครั้งนี้ด้วยตนเองและยืนยันกับตนเองว่า ทหารฆ่าลูกสาวของเธอ และจะต้องดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด จนแม้กระทั่งต้องแสวงหาความยุติธรรมจากวงการยุติธรรมทั่วโลกด้วย  ดังจะเห็นว่าเธอได้เดินทางไปถึงกรุงเฮก ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อหารือแนวทางการฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้อง และผู้สั่งการสลายการชุมนุมในปี 2553  ซึ่งเป็นเหตุให้มีวาทะโต้เถียงกับทหารใหญ่ คือพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ออกมาตำหนิการไปศาลโลกของเธอเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และได้เห็นว่า พะเยาว์ อัคฮาด มีจิตใจนักสู้เพื่อความเป็นธรรมขนาดไหน  ดังจะเห็นแม้การต่อสู้ทางไสยศาสตร์ เธอก็เอามาใช้ เพื่อให้ได้ชัยชนะมาสู่ฝ่ายที่รักความเป็นธรรมให้ได้    
 
 
ผลทางคดีจะเป็นอย่างไรก็ตาม  มาวันนี้ เราได้เห็นแล้วว่า  พะเยาว์ อัคฮาด มีเลือดการต่อสู้อันเข้มข้นสำหรับความยุติธรรม และเป็นการต่อสู้ไปโดยสัญชาติญาณ คือระบบธรรมชาติ 2 อย่าง คือความเป็นแม่ และ ผู้รักความยุติธรรม และซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยอัตโนมัติ  เราไม่เคยได้พบแม่คนใดได้ต่อสู้เพื่อลูกสาว และเพื่อความเป้นธรรมได้เข้มข้นถึงพริกถึงขิง ในแบบยอมตายถวายชีวิตอย่างไม่เสียดาย เหมือนแม่คนนี้ คนที่ชื่อพะเยาว์ อัคฮาด  จึงขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2555 ของหนังสือพิมพ์ดี
 
 
 
 
 
 
 
 บุคคลที่ 114  
คณิน บุญสุวรรณ
 
 
 
 ในช่วงเวลาหลายปีมาแล้ว หลังการปฏิรูปการเมือง 19 ก.ย.2549 คณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ได้พูดถึงประชาธิปไตยและแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด อย่างมีเหตุผล ฉะนั้นจึงมีแนวทางที่ต้านทางรัฐประหารและเผด็จการอมาตย์มาโดยตลอด ในระยะหลังทีสุด มีประเด็นต่าง ๆ ที่ล้วนพุ่งตรงสู่เป้าหมายทางการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการไทยสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ โดยมีช่องเอเชียอัพเดท ถ่ายทอดในรายการ ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ หัวข้อเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ทยอยออกมาติดต่อกันตามลำดับ ที่นับว่าคม ตรงเป้าก็มี เช่น พอใกล้ถึงฝั่งก็หยุดเสียดื้อ ๆ ลายแทงรัฐประหาร ได้เวลาถอดถอนตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
 
 
กรณีศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ล่าสุด" คณิน บุญสุวรรณ" อดีตส.ส.ร.ปี 40 นำกลุ่มอดีตส.ส.ร.ปี 40 ประมาณ 20 คน ออกจดหมายเปิดผนึกต่อต้านการดำเนินการดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง 
 
งานนี้ "คณิน" ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว และจากนี้ไปไม่ว่า ครม. ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้อง หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
 
 และเท่ากับว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุม ครม.และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งและเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุด จนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร
 
เมื่อสถาบันนโยบายศึกษา โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง “ขอดเกร็ดรัฐธรรมนูญไทย” ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 เวลา 13.30-17.00 น. ที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ ถ.ราชดำริ กรุงเทพฯ มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปรายบนเวที 5 ท่าน คือ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานสถาบันนโยบายศึกษา คุณชุมพล ศิลปอาชา ส.ว. กรุงเทพฯ คุณคณิน บุญสุวรรณ อดีต สสร. คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปรึกษา บมจ.แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป และดำเนินการอภิปรายโดย คุณคำนูณ สิทธิสมาน บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ในงานนี้มีนักวิชาการ นิสิต-นักศึกษา ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวน 102 คน
 
(จากซ้าย) คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณชุมพลศิลปอาชา ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช คุณคำนูณ สิทธิสมาน และคุณคณิน บุญสุวรรณ 
 
“ขอดเกล็ดรัฐธรรมนูญไทย” ครั้งนี้ มีประเด็นจากวิทยากรที่มาร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนประเด็นและสาระไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง คุณคณิน บุญสุวรรณ คุณคณิน บุญสุวรรณ แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนให้ความคาดหวังให้มาปฏิรูปทางการเมืองเพื่อออกจากวงจรเดิมๆ แต่ในขณะนี้ความหวังดูจะเลือนรางเต็มทนจนเป็นที่มาของคำพูดอย่าง รัฐธรรมนูญตายแล้ว
 
ในฐานะที่เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญ คุณคณิน เลือกใช้รัฐธรรมนูญในการปฏิรูปทางการเมือง โดยวางแนวทางหลักไว้ 3 ประการ คือ
 
การปฏิรูปกระบวนการเข้าสู่อำนาจ
  
การปฏิรูปกระบวนการทำงานและการใช้อำนาจ
 
การปฏิรูปกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ 
 
แล้วคุณคณิน ก็สรุปว่า ทั้ง 3 แนวทางล้มเหลวหมดในปัจจุบัน เพราะสาเหตุที่สำคัญอย่าง
1.      พฤติกรรมการใช้อำนาจของนักการเมือง
2.     มีการตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองและเอาเปรียบผู้อื่น
3.     กระบวนการสรรหา องค์ประกอบ กระบวนการทำงานขององค์กรอิสระ ยังยึดติดกับทฤษฎีอำนาจนิยมและผลประโยชน์ของพวกพ้อง
4.     รัฐสภากลายเป็นเป็ดง่อย (lameduck) กล่าวคือ รัฐสภาไม่สามารถทำหน้าที่สมกับบทบาทที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้
5.     การซื้อเสียงและทุจริตยังมีอยู่ทั่วไป
6.     ฝ่ายบริหารและรัฐสภา จงใจ ไม่ตรากฎหมายขึ้นมารองรับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วน
7.     กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับขัดแย้งและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
8.     ผู้มีอำนาจรัฐฉวยโอกาสดำเนินคดีฟ้องร้องต่อประชาชน สื่อมวลชน และฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ซึ่งประเด็นนี้ คุณคณิน ชี้ว่า เป็นการใช้สิทธิซ้อนสิทธิอย่างไม่สมควร
9.     องค์กรของรัฐไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
10. ข้อบกพร่องและช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีมาแต่ต้น 
 
  
เราเห็นว่าประชาธิปไตยไทยและประเทศไทยตกเป็นหนี้อย่างมากมายต่อบุรุษผู้นี้ เราเชื่อว่าประเทศไทยโชคดีที่มี คุณิน บุลสุวรรณ  ความชัดเจนอย่างปราศจากความสงสัยนั่นก็คือการต่อสู้ของเขาเป็นธรรมชาติและเป็นเสรีชน เราจึงขอยกย่องคณิน บุลสุวรรณว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2555
 
  
 
 
 
บุคคลที่ 115  
น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น. 
  
ชื่อเสียงของธรรมนูญ วรรณา กับเพื่อนทหารหาญของเขา ได้ปรากฏในสื่อมวลชนสมกับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้สร้างไว้ในคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556   ซึ่งเรามองว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ใต้ เพราะฝ่ายทหารไทยชนะในเชิงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางทหาร เป็นเหตุให้ศัตรูคู่ต่อสู้ยุบตัวลงไปโดยพลันทันที   ทบทวนเหตุการณ์ในคืนวันที่ 13 ก.พ.2555 นั้นก็คือโจรใต้ได้ระดมพลประมาณ 100 คนบุกค่าย ปล.ฉก.32 ซึ่งมี น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น. เป็นผู้บังคับบัญชา โดยพวกก่อการร้ายมุสลิม มุ่งหมายฆ่าทิ้งทหารไทยทั้งค่าย แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เพราะทางค่าย ฉก.32 ได้การข่าวกรองทันเวลาและเตรียมรับมืออย่างดี เป็นการรู้เขารู้เรา จึงสามารถต้านการบุกของฝ่ายที่มีพลรบเหนือกว่าได้ และยังสังหารมุสลิมก่อการร้ายไปถึง 19 ศพ   เราได้รายงานไว้ในเฟสบุ๊ค ดังต่อไปนี้
  
 
Phayap Panyatharo There ! a fire battle in Narathivas about 01.30 - 03.00 on Feb. 13 , 2013[2556] before the dawn and 14-19 muslim militants killed, 14 people died around the fences, 5 died in the forest nearby that makes 19 deads, while next time they found 2 injured in a hospital. About 60 Thai marines who fought for their lifes, for their brave heart, for their military tactics within their military base32, Bacho district of Narathiwat. Their commander is Commander Thammanoon Wanna who le...d the fight of the winners. I praise them. The 100 fully armed islamic militants came in the night, you know, they meant to kill them all. The muslim warriors have been thought since its origin to kill them all. Thai soldiers know well the kill'em all of muslim culture. So they changed it, not to be killed all but to kill them all. Eventhough 14-19 out of all of them were killed, not all for there left a number ran away in the dark forest. All Thai soldiers saved. Thai medias have kept on reporting the event since the first firing. While I’m posting, all newspapers in Thailand publish a giant headline. But I waited to get a sharp photo about the meaning of Islam killng and reveanging culture. But I can not find the photo and get this one[from The Daily News newspaper] instead.
 
 
 Phayap Panyatharo   ดูเอาสิเห็นไหม ! เปิดฉากการยิงสู้รบกันแล้ว ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลาประมาณ 01.30 ถึง 03.00 น.ก่อนรุ่งอรุณ วันพุธที่ 13 ก.พ.2556[2013] และผู้ก่อการร้ายมุสลิม 14-19 คน ถูกนาวิกโยธินไทยฆ่าตายไป 14 คนตายรอบ ๆ รั้ว อีก 5 คนไปตายในป่าใกล้ ๆ นั่นเอง รวมเป็น 19 ในเวลาต่อมาก็ตามพบพวกบาดเจ็บอีก 2 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นาวิกโยธินไทย 60 นายได้ร่วมกันต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อชีวิตของพวกเขาเอง เพื่อแสดงจิตใจที่กล้าหาญ เพื่อยุทธวิธีจะได้พิศูจน์ ได้ตั้งรับอยู่ภายในฐานทัพของเขาเอง ฐานที่ 32 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ผู้บัญชาการหน่วยนี้คือ น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ผู้นำการต่อสู้ไปสู่ชัยชนะซึ่งข้าพเจ้าขอยกย่อง พวกก่อการร้ายอิสลามมีจำนวนประมาณ 100 คน ติดอาวุธครบมือ มาล้อมรอบฐานทัพเวลากลางคืน คุณก็รู้ดี มาแบบนี้พวกเขามุ่งหมายที่จะฆ่าทิ้งให้หมดทั้งฐานทัพเลย นักรบมุสลิมมีคตินี้มาแต่ดั้งเดิมแล้ว จึงมีวัฒนธรรมการรบในแบบฆ่ามันให้หมดของมุสลิม ดังนั้นทหารไทยจึงเปลี่ยนเสีย โดยเปลี่ยนจากการถูกฆ่า ไปเป็นฆ่ามันทิ้งให้หมดแทน ถึงแม้ว่าจะได้ฆ่าพวกก่อการร้ายนี้ไปเสีย 14-19 คน ไม่ได้ฆ่าเสียทั้งหมดเพราะมีพวกหนึ่งกลัวตาย วิ่งหนีไปในป่าที่มืดตื๋อเอาตัวรอดไป ขณะที่ทหารไทยปลอดภัยทุกชีวิต สื่อในประเทศไทยทุกแห่งได้ติดตามรายงานเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่เริ่มยิงกันแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้าโพสต์เรื่องนี้อยู่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในประเทศไทยได้ตีพิมพ์และพาดหัวข่าวขนาดยักษ์ไปตาม ๆ กันแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้คอยที่จะได้ภาพที่คมชัดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการฆ่าและการแก้แค้นของมุสลิม แต่ก็หาไม่ได้ จึงได้ภาพนี้แทน(ภาพข่าวเดลินิวส์ 14 ก.พ.2556)
 
 
 Phayap Panyatharo  ก๊อปปี้มา :ความในใจ นย....."ตอนสามทุ่มยี่สิบ พวกมันคลานศอกเข้ามาข้างหลังฐานมาส่องดูพวกเราก่อน เพื่อตรวจสอบว่า พวกผมรู้ตัวหรือเปล่า แต่พวกผมใจเย็นเพราะส่องกล้องดู มันมาแค่ ๘ คน ก็ปล่อย พวกผมรออย่างใจเย็น แต่ในใจก็คิดว่าเดี๋ยวมันมาแน่ แล้วราวๆตีหนึ่งนิดๆ เสียงรถปิคอัพ มอเตอร์ไซค์ มา มันย่ามใจมาก กะจะปิดประตูตีแมวเลยเข้ามาทั้งด้านหน้าด้านหลัง....ผมยอมรับว่า ผมไม่เคยเจอพวกมันแบบนี้ตอนที่เห็นมันกระโดดลงจากรถ เชื่อมั้ย ในใจผมบอกกับตัวเองว่า เฮ้ย พวกมันมาจริงๆพวกมันมีตัวตนจริงๆ มันเป็นคนไทย แต่มันคิดแค้นแบบนี้ แนวคิดแบบนี้ มันจริงโว้ยขนผมลุกซู่เลย ไม่ใช่กลัว แต่พวกผม พร้อมมานานหลายวัน พร้อมมากขนลุกเพราะเศร้าใจว่า ไอ้เงาดำๆที่มันถือปืนกำลังจะวิ่งเข้ามานั่น มันคนไทยแต่กลายเป็นโจรใต้ไปแล้ว ไม่มีใครอยากทำหรอกครับ แต่มันจำเป็นเมื่อมันเปิดฉากเข้าโจมตี ยิงเข้าใส่ทุกทาง พวกผมทั้ง นย.และนสร.ก็เต็มที่ครับเพราะตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่า พวกเราจะต้องเจ็บตาย จะพลาดหรือเปล่า เวลานั้นไม่ว่าฝ่ายมัน หรือฝ่ายเรา มีหนึ่งชีวิต เท่ากันครับ มีสิทธิ์เจ็บตาย เท่ากันมีสิทธิ์ที่จะถูกมันจับ มัดมือมันเท้า แบบที่มันเตรียม เชือก ลวดมาพร้อมที่จะถูกมันยิงซ้ำ เมื่อเจ็บ พร้อมที่จะถูกมันเผาทั้งเป็นคาฐานเพราะมันเตรียมอุปกรณ์วางเพลิงมา ถังแก๊ส กะย่างสดพวกเราทั้งเป็นแต่เพราะพวกผมวางแผน เตรียมตัวรับมาดี มั่นใจว่าเราดูแลฐานและอาวุธปืนได้มั่นใจว่า เราจะทำให้ชาวบ้านมั่นใจในทหารมากขึ้น เพราะในเมื่อเขาอุตส่าห์เสี่ยงตายกระซิบข่าวพวกเราก่อน จนเตรียมตัวได้ เราก็ต้องดูแลพวกเขา แม้ว่าจากนี้ การแก้แค้นจะรออยู่เบื้องหน้าก็ตาม เมื่ออยู่ที่นี่แล้ว พวกผม นย.ก็พร้อมครับ ชีวิตแลกชีวิตหากชีวิตพวกผมจะทำให้ ชายแดนใต้สงบ คนไทยพุทธ มุสลิม ผู้บริสุทธิ์ ปลอดภัยพวกผมพร้อม เพราะพวกผมเป็นนาวิกโยธิน พวกผมเป็นทหารเรือ ที่สำคัญ พวกผมเป็นทหารไทยที่จะไม่ให้ใครมาดูหมื่นเกียรติศักดิ์ศรี และต้องรักษาฐาน รักษาแผ่นดินไทยไม่ใช่ปล่อยให้พวกมันทำอะไรก็ได้ ทำให้ชาวบ้านอยู่ในความกลัว ผมเสียใจที่ต้องทำเสียใจที่พวกนั้นต้องตาย แต่ให้นึกถึงเวลาที่พวกมันทำกับทหารเรา ไม่ว่าจะทบ.หรือนย.ที่ตายไป สิบคนแล้ว เมื่อเร็วๆนี้...นี่มันเข้ามาโจมตีฐานเราเอง ท้งเครื่องแบบทั้งอาวุธครบมือ พวกผมไม่มีทางเลือกอื่นครับ... ขอให้เข้าใจพวกผม เถิดครับขอแค่ความเข้าใจและกำลังใจ เท่านั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นศพที่นอนตายหลังปะทะอาจเป็นพวกผม หรือวันใดวันหนึ่ง ก็อาจเป็นพวกผมอีก"....นาวิกโยธิน ๓๒
 
 
 เรามองว่าพวกเขาเป็นวีรบุรุษ  การที่เรายกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2555 นั้น ความหมายของเราก็คือการมอบเหรียญกล้าหาญให้เขาและพวกเขาทั้งหมดพวกเขาคือ วีรบุรุษจากค่าย ปล.ฉก. 32 บ้านยือลอ ม.3 ต.ปะนาเระเหนือ อ.บาเจาะนราธิวาส ผู้ได้ประกอบวีรกรรมสุดยอดในคืนวันที่ 13 ก.พ.2556 นั่นเอง  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เราขอติดเหรียญกล้าหาญให้ น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น. ในฐานะบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2555 ของหนังสือพิมพ์ดี
 
 
 หนังสือพิมพ์ดี จึงขอประกาศบุคคลทั้ง 5 ท่านนี้ ได้แก่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา   บัวขาว ป.ประมุข   ก้าวไกล แก่นนรสิงห์  พะเยาว์ อัคฮาด  คณิน บุลสุวรรณ  น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น.  ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2555 ขอจงประสบความสุขความเจริญในวีรกรรมนี้ตลอดกาลนานเทอญ
 
 ต่อจากนี้ โปรดติดตามอ่านสาระสำคัญเรื่องต่าง ๆ ในนสพ.ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 48 ต่อไป
 
 
 บรรณาธิการ
16 มี.ค. 2556
21.59 น.
 
 
 
 
 
 
 

 

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี   

พุทธศักราช  

2556 

 

 

 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2556 ดังนี้

  

1. บุคคลที่ 116  
ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน

 

 สิ่งที่ท่านต่อสู้นั้นคือ กฎหมายเพื่อประชาธิปไตย กฎหมายเก่าที่ไม่เป็นไปเพื่อประชาชน โดยประชาชน และของประชาชน จะต้องถูกชำระไป   เราได้บันทึกถึง ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวินไว้ใน หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 > ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน...

ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เสาหลักของกฎหมายไทย  ท่านประกาศว่าต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่   ผู้ประกาศตนเป็น รัฏฐาธิปัตย์ .....ถึงมาออกตัวทีหลังว่าทำเล่น ๆ ...แต่องค์ประกอบความผิดครบถ้วนแล้ว   เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แล้วแต่ฝ่ายกม.บ้านเมืองจะจัดการต่อไป  การใช้ทฤษฎีสมคบคิดกันทำลายล้างระบอบและรัฐบาลประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร เพราะไม่มีกฎหมายช่องไหนอาจจะทำได้   แม้กระทั่งพยายามจะใช้มาตรา 7 ก็ไม่อาจจะทำได้ คุณจะอ้างกฎหมายมาตราไหน   จะผ่านวุฒิสภา   ก็ยาก ไม่มีช่อง   จะดื้อด้านไปได้อย่างไร และท่านยังกล่าวคำนิยมคคนเสื้อแดงว่า คนเสื้อแดงเป็นคนตรงไปตรงมามาก ชอบ  ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล :: วันที่ลงประกาศ 2014-04-12 09:04:59

 

ความเห็นที่ 1 (3389886)

 # อุกฤษแนะกรณีสอยนายกฯหากปชช.ไม่เห็นด้วยล่า 2 หมื่นชื่อถอดศาลรธน.ตามม.164.........DNN 8 พ.ค.2557 10:47:00    ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2014-05-08 20:30:10

 

เราเห็นว่า ท่านศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ได้ประกาศสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะรองรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย นั่นคือ ท่านประกาศว่าต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ เรามองว่าในระยะปัจจุบันนี้ มีอันตรายจากการตีความกฎหมายไทยอย่างน่ากลัวมาก ฝ่ายเผด็จการเมื่อได้อำนาจ ย่อมตีความกฎหมายไปให้โทษอย่างร้ายแรงต่อฝ่ายประชาธิปไตยโดยไร้เหตุผล แต่ก็ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติของระบอบเผด็จการที่จะเป็นไปเช่นนั้น ตีความกฎหมายไปเช่นนั้น และครั้นฝ่ายประชาธิปไตยได้อำนาจเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ย่อมตีความกฎหมายในแบบเดียวกันกับเผด็จการนั่นแหละ โดยตีความให้โทษฝ่ายเผด็จการไปอย่างเต็มตัวเช่นเดียวกัน  แต่ต่างกันที่เหตุผลและเจตนาของการตีความเท่านั้น ฉะนั้น ไม่มีทางอื่นที่สังคมไทยจะทำอะไรเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่โดยแนวคิดท่าน ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน นี้ คือ จะต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ โดยดูกฎหมายเผด็จการ ที่รับใช้เผด็จการอันยาวนานมาแล้วในประเทศไทยนี้ แล้วปฏิรูปให้เป็นแนวคิดของระบอบที่ก้าวหน้า คือประชาธิปไตยเสียทั้งหมด ก็จะเป็นเหตุของความก้าวหน้าครั้งใหญ่ครั้งสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทยได้   นั่นเป็นสิ่งที่หนังสือพิมพ์ดีเห็นควรยกย่องท่านศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556

 

 

 

 

2. บุคคลที่ 117 
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม 
Robert Amsterdam 
ทนายเสื้อแดง

 

เขายืนยันว่า จะไม่มีการให้อภัย ในระบบกฎหมายเพื่อประชาธิปไตย กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นจะต้องได้รับการพิจารณาตัดสินโดยขบวนการกฎหมายประชาธิปไตย เพื่อดำรงหลักการปกครองให้ตรงไปตรงมา จึงจะเป็นการยุติธรรม โดยหลักแห่งความยุติธรรม เป็นธรรมตามการประกอบกรรมของบุคคล สำหรับเหตุผลที่เรายกย่อง โรเบิด อัมสเตอร์ดัม เป็นบุคคลแห่งปีของเรานั้น ได้มีการบันทึกไว้แล้วโดยประยุกต์ นามเสพเป็นผู้บันทึกในเวบบอร์อดของเรา ซึ่งเราเห็นด้วยกับเหตุผลของประยุกต์ นามเสพ ดังนี้ 

หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 > Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง อัมสเตอร์ดัม ให้ไทยรับศาลไอซีซี

ทนายเสื้อแดง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ยังคงทำหน้าที่ ....บอกว่า ถ้ารับอำนาจศาลไอซีซี ไทยจะเอาคดีใดขึ้นก็ได้   สำหรับคดีอภิสิทธิ์-สุเทพ ก็ขึ้นได้ ถึงเวลาที่รัฐบาลจะประกาศชัดเจน รับอำนาจศาล ศาลในประเทศทำอะไรไม่ได้ ก็มีศาลต่างประเทศ รัฐบาลกำลังถามไปว่ารัฐบาลรักษาการณ์รับรองได้หรือไม่ ? ทางศาลยังไม่ตอบมา รออยู่   ผู้ตั้งกระทู้ ประยุกต์ นามเสพ :: วันที่ลงประกาศ 2014-04-14 00:02:10

[1]

ความเห็นที่ 1 (3390142)

 เขาเป็นคนมีแนวคิดวิทยาศาสตร์ คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ไม่มีการอภัย   เขาคัดค้านการอภัยโทษ   นี่คือยอดทนายความระบอบประชาธิปไตย แนวคิดประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันที่คนไทยโลเล    ไร้เหตุผล คิดจะช่วยงูเห่า โดยอ้างว่าเพื่อเมตตาธรรม ...   นั่นคือความคิดไม่เป็นวิทยาศาสตร์    และไม่ตรงกับหลักกรรมในพระพุทธศาสนา ที่   ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว   ทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ทำดีได้รางวัลเสมอ ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพย์ วันที่ตอบ 2014-05-14 21:00:17

สิ่งที่เราให้คะแนนแด่โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นั้นคือภาคความคิดของเขา ที่มีความมั่นคงในสัจธรรมของความยุติธรรม นั่นคือคนทำถูกจะต้องได้รับรางวัล คนทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ ตรงหลักการปกครองในพุทธศาสนาว่า นิคฺคณฺเห นิคฺหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ : พึงข่มบุคคลควรข่ม พึงชมบุคคลควรชม นั่นเองแหละเป็นความยุติธรรมในโลก   และซึ่งแท้จริงเป็นหลักกรรมในพระพุทธศาสนา แต่สังคมไทยมักโลเล เป็นสังคมสับสนในธรรมะ เมื่อจะลงโทษคนผิด สังคมไทยกลับนึกถึงความเมตตา ไปกันคนละเรื่องไปนู้น อย่างนี้เป็นต้น (ฝากับตัวไม่ตรงกัน) เราคิดว่า อัมสเตอร์ดัม ได้มีความเข้าใจสังคมโลเลของชาวพุทธไทยเช่นนี้ เขาจึงยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า กรณีเข่นฆ่าประชาชน 92 ศพ เดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 นั้น ไม่มีวันจะให้อภัยได้ ถ้าศาลภายในประเทศทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะต้องนำสู่ศาลสากล เช่น ไอซีซี ให้ได้ เป็นต้น  นั้นแหละหลักความยุติธรรมสากล และวิธีให้คนเลวเข็ดหลาบ เราจึงเห็นควรยกย่อง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2556 ไว้ ณ ที่นี้

 

 

3.  บุคคลที่ 118 
พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย 

นายทหาร นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้สืบสานงานปฏิรูปประชาธิปไตย ตามแบบ พ.อ.พระยาพหล พลพยุหเสนา ยุคปฐมสร้างประชาธิปไตย พ.ศ.2475 และท่านผู้นี้ได้ประกาศบนเวทีประชาธิปไตย ถนนอักษะไว้ว่า ขอตายเป็นศพสุดท้าย เพื่อประชาธิปไตยไทยเจริญรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง  โดยสถาวร ผดุงศิษย์ ได้จารึกเอาไว้ในหน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 >ว่า  พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ประกาศ..พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ประกาศขอตายศพสุดท้ายของเสื้อแดง บนเวทีอักษะ วันนี้(18 พ.ค.2557) จะขอสู้ร่วมกับชาวเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ตายกีคน ๆ แดงไม่ระย่อ ขอสู้จนตัวตายเป็นศพสุดท้าย รายงานว่า สันติบาลตรวจสอบแล้ว แดงมาชุมนุม วานนี้(17 พ.ค.2557) 4แสน 2 หมื่น วันนี้(18 พ.ค.2557)  4 แสน 8 หมื่นคน

ผู้ตั้งกระทู้ สถาพร ผดุงสิทธิ์ :: วันที่ลงประกาศ 2014-05-18 19:42:40 และ ณ วันที่เราบันทึกนี้(21 ต.ค.2557) พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ได้ก้าวล่วงไปแล้ว มีรายงานข่าวว่า พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ได้เดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่ช่วงเวลาต้น ๆ ของทหารยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยในไทย  แล้วท่านได้ล้มป่วยลงด้วยโรคปอดติดเชื้อ จนที่สุดถึงแก่ชีวิตลงในต่างประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2557 เวลา 22.00 น. อายุ 65 ปี  ทางญาติ(รวมทั้งเสื้อแดงไทย)ได้นำศพกลับมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและได้นำศพสวดบำเพ็ญกุศลศพ ณ วัดบางไผ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นเวลาหลายวันก่อนจัดมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานในพระราชพิธีฌาปนกิจศพ เรามีความเห็นว่า ความหวังไม่น่าจะเกินจริงเมื่อ พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย กล่าวเอาไว้แล้วว่า ขอเป็นศพสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าเมื่อถึงวาระที่ท่านตายลงไปแล้ว ต่อไปข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย แล้วไม่มีเผด็จการทหารโง่เง่าเข้ามาแทรกแซงอีก ต่อไปประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย และเดินการเมืองโดยการเมืองโดยกระบวนการประชาธิปไตยล้วน ๆ ประชาธิปไตยไทยเจริญอย่างได้มาตรฐานประชาธิปไตยต้นแบบที่แท้จริงเยี่ยงประเทศที่เจริญทั้งหลายซีกโลกอเมริกา และตะวันตก เราเห็นว่าปณิธานอันนี้ของ พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก สมควรยกย่องท่านเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2556 ของนสพ.ดี(อินเทอเนต)

 

 

 

4. บุคคลที่ 119 
นายกมล ดวงผาสุก
หรือ ไม้หนึ่ง ก. กุณฑี

กวีเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย เพราะเหตุที่เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้ทำงานศิลปะ เขาเคลื่อนไหว ด้วยการเขียน อ่าน บทกวี อันเพียบด้วยสาระและคำแหลมคม ปราศรัยบนเวทีและบทสัมภาษณ์ ที่สร้างสรรค์ประชาธิปไตยไปกับคนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย อย่างไม่เคยหยุดหย่อนและย่อท้อต่ออุปสรรคและศัตรูหมู่อมิตรที่จ้องมองอยู่รอบกาย   จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ถูกมือมืดเผด็จการยิงสังหารเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 ณ บริเวณลานจอดรถ หน้าร้านอาหารครกไม้ไทยลาว ย่านลาดปลาเค้า 24 ลาดพร้าว กทม. เรามองว่า ไม้หนึ่งก.กุณฑี นี้เป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเหมือนคนทั้งหลาย นี่เอง แต่เมื่อมีสำนึกของประชาธิปไตยคือมีคำว่า Liberty   Equality   Fraternity  ในจิตใจแล้ว  เขาก็ไม่ใช่เพียงคนธรรมดา ๆ แต่เป็นผู้นำคนผู้มีอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ และรู้ซึ้งในคุณค่าของประชาธิปไตย จนกระทั่งมองว่าแม้ชีวิตก็สละเพื่อประชาธิปไตยได้   นี่คือคุณค่าอันสำคัญล้ำเลิศที่เรามองเห็นจากเขา และเห็นสมควรยกย่อง นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2556

 

เราจึงขอยกย่องว่า ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม [Robert Amsterdam]  พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย  กมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2556 ของหนังสือพิมพ์ดี หวังว่าเกียรติอันสูงส่งของท่านเหล่านี้จักขจรขจายไปทั่วโลกและสถิตสถาวรไปชั่วนิรันดร์กาล

 

บรรณาธิการ
15 ต.ค.2557

 

 

 

 

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
พุทธศักราช
2557 

 

 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2557 ดังนี้

 

 

1. บุคคลที่ 120 
นายโจโก วิโดโด
ประธานาธิบดี คนที่ 7 ของอินโดนีเซีย

 

 

โจโก วิโดโด

 นาย โจโก วิโดโด [Joko Widodo] เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอินโดนีเซียมาแต่ต้น โดยร่วมในอุดมการณ์  ปัญจสีละ (Pancasila) มาอย่างแนบแน่น ตั้งแต่อินโดนีเซียเป็นเอกราชมา โดยที่ปรากฏว่า  อุดมการณ์ปัญจสีละนี้ เป็นอุดมการณ์ของการเมืองระบอบประชาธิปไตยสากล ที่กลายมาเป็นอุดมการณ์ของประชาชาติอินโดนีเซียยุคประชาธิปไตย มาเป็นเวลาไม่นานนัก เริ่ม พ.ศ. 2547 ซูการ์โน เป็นประนาธิบดีคนที่ 1 ของอินโดนีเซีย  ซึ่งแสดงถึงการเริ่มออกเดินทางการเมืองที่ทันสมัยของอินโดนีเซียไประยะหนึ่งที่น่าชื่นชมแล้ว ครั้นเผด็จการทหาร คือพล.อ.สุฮาร์โต ที่ครองอำนาจอย่างโง่เขลาอยู่ 31 ปี โดยทำประเทศเป็นหนี้และยากจนลงไปตามลำดับ(แบบนายพลเนวินแห่งเมียนมาเลย)  ถูกมวลชนไล่ออกไป ระบอบปัญจสีละของอินโดนีเซียก็กลับมาใหม่  และเหตุที่น่าชื่นชมก็ปรากฏจากนายโจโก วิโดโด นี้เอง  สิ่งที่เราชื่นชมก็คือ เขาได้ตั้งพรรคการเมืองของเขา ชื่อว่า.....พรรคต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย [Indonesian Democratic Party of Struggle ซึ่งมีตัวย่อว่า PDI-P]  ซึ่งบ่งบอกถึงแนวทางอุดมการณ์ทางการเมืองของเขา เสมือนการประกาศตัวของศิษย์-สาวกประชาธิปไตยโดยตรง และในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2557  พรรคต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของโจโก วิโดโด ได้ประกาศนโยบายของพรรคออกไปอย่างน่าชื่นชม ในนัยยะที่ว่า  พรรคการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยนั้นเอง ที่จะบ่งบอกไปถึงงานของประเทศ ภายหลังที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้  และนายโจโก วิโดโด  ก็ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอินโดนีเซีย ให้เป็นผู้นำรัฐบาลของประเทศ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 มีหน้าที่ที่ซื่อสัตย์ตามนโยบายที่ประกาศแด่ประชาชนในช่วงขณะมีการรณรงค์การเลือกตั้ง

 

 

เขามีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องการช่วยเหลือคนยากจน ให้อินโดนีเซียไม่มีคนยากคนจนอีกต่อไป ทั้งนโยบายประกันสุขภาพที่ขยายความครอบคลุมในการรักษาโรคมากขึ้น รวมถึงเรื่องการศึกษาที่มุ่งยกมาตรฐานพื้นฐานของประชาชนอินโดนีเซีย และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จนเกิดเป็นกระแสคลั่งไคล้ เรียกร้องให้เขามาเป็นผู้นำประเทศ จนกระทั่ง โจโกวี ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียของพรรค PDI-P ในที่สุด

 

 

การประกาศนโยบายของ โจโก  วิโดโด  หรือ โจโกวี [Jokowi] ดังกล่าวนั้น  เรามองว่าเป็นการมองไปถึงการรากฐานของระบอบประชาธิปไตย  ประชาธิปไตยใหม่ที่จะก้าวหน้าไปได้นั้น  นักการเมืองต้องมองถึงการสร้างพื้นฐาน การทุ่มเทการลงทุนอันยิ่งใหญ่มหาศาลเพื่อยกระดับพื้นฐานประชาชนชั้นรากหญ้า ให้สูงขึ้น  อย่างที่ต้องเป็นนโยบายรวมของพรรคการเมืองของประเทศที่เริ่มต้นสร้างประชาธิปไตยของทุกประเทศ  และ โจโก วิโดโด ได้เดินไปตามหลักการนี้เลย(คล้ายอย่างมากเลยกับนโยบายของพรรคไทยรักไทย ของอดีตนรม.ไทยทักษิณ ชินวัตร) และที่สำคัญยังแฝงรอยความหมายทางศาสนธรรมอย่างลึกซึ้ง นั่นคือความเมตตา ที่คิดสร้างสรรค์สิ่งที่ล้วนแต่เป็นการให้แด่ประชาชนชั้นรากหญ้า  อันเป็นคนส่วนใหญ่ ส่วนมากที่สุดของประเทศ(ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สุดของประเทศ)   และครั้นได้รับความไว้วางใจจากประชาชนแล้ว ก็ได้ประกาศย้ำไปอีกถึงนโยบายที่กล้าหาญ มุ่งมั่น  คือเขาประกาศวันที่ชนะการเลือกตั้ง  ซึ่งจะเห็นว่า  เขาพูดด้วยภาษาประชาธิปไตย และจริยธรรมของประชาธิปไตย ได้อย่างยอดเยี่ยม    ว่า………

<<< ชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของชาวอินโดนีเซียทั้งมวล เราหวังว่าชัยชนะครั้งนี้จะปูทางไปสู่ ความเป็นประเทศอินโดนีเซียที่มีเกียรติภูมิทางการเมือง อินโดนีเซียที่พึ่งพาตนเองได้ทางเศรษฐกิจ และอินโดนีเซียที่มีบุคลิกภาพทางวัฒนธรรมเป็นอัตลักษณ์” … “นี่เป็นเวลาแห่งการประสานรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ขอจงได้ลืมเรื่องที่ว่าใครได้ที่หนึ่ง-ที่สอง; ขอเราจงกลับมาสู่อินโดนีเซียที่มีความสามัคคีสมานฉันท์กัน ขอให้เรามาสามัคคีกัน ทำงานร่วมกัน พัฒนาอินโดนีเซียให้เป็นแกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก”>>>

 <<< “This victory is the victory of all people of Indonesia. We hope it will pave the way

to create a politically dignified Indonesia, with economic self-sufficiency and cultural personality,”  … ““This is the time to mend broken relationships. Forget about number one or number two; let’s return to a united Indonesia,…Let’s work together to develop Indonesia into a global maritime axis, a global civilization hub.” >>>

(เขาแปลจากภาษาชะวา เป็นภาษาอังกฤษ แล้วแปลอังกฤษต่อมาเป็นภาษาไทย นะครับ)

ฟังซิครับ เขาเชื่อมั่นได้อย่างไรจึงกล้าพูดอย่างนั้น ????   กล้าพูดว่า 

 <<< to develop Indonesia into a global maritime axis, a global  civilization hub.”>>>

 <<< พัฒนาอินโดนีเซียให้เป็นแกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล

 และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก”>>>

นั้นเอง  เป็นสาระสำคัญ ที่ชนะคะแนนบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  พ.ศ.2557

เราจึงขอยกย่องว่า นายโจโก วิโดโด  เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2557 ของหนังสือพิมพ์ดี หวังว่าเกียรติอันสูงส่งของท่านผู้นี้จักขจรขจายไปทั่วโลกและสถิตสถาวรไปชั่วนิรันดร์กาล

 และได้โปรดติดตาม ดี เล่มที่ 50 ต่อไปด้วยการคลิก และ คลิก ครับ

 

บรรณาธิการ
5 ม.ค.2559

 

 

 

 

 

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี

พุทธศักราช

2558

 

 

 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2558  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2558 ดังนี้  

 

 5.1  ดร.บี.เค.มูดี

1.บุคคลที่ 121  Dr. B.K. Modi  ดร.บี.เค. มูดี 

 

 

 

 

มหาเศรษฐี มูดี ผู้สร้างภาพยนตร์  พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก โดยทุ่มทุนลงไปกว่า 1000 ล้านบาท  Dr. B.K. Modi (ดร. บี.เค.มูดี) ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิต ทำการศึกษาวิจัยพุทธศาสนา และพุทธประวัติรอบด้าน ทั้งในทางการเมือง และสังคมยุคนั้นอย่างละเอียดรอบคอบ จนได้ข้อสรุปออกมาอย่างมีเหตุมีผล สมตามความเป็นจริง โดยแนววิทยาศาสตร์ ทำให้พุทธศาสนาเหมาะสำหรับโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง   ผู้สร้าง กาพยนต์ ซีรรี่ย์ยาว 45 ตอน  ฉายครั้งแรกในอินเดีย ปี 2013(พ.ศ. 2556)จากนั้นเข้ามาลังกา ไทย ถึงบัดนี้ 

BUDDHA THE GREAT LEADER OF THE WORLD, because HE leads away from devils, away from all wars, away from all sins to happiness. THE REAL HAPPINES FROM INSIDE OF the MIND, the one's mine.

พระพุทธเจ้า ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะพระองค์ทรงนำไป ให้ห่างจากมารทั้งหลาย ห่างจากสงครามทุกรูปแบบ ให้ห่างจากบาปทั้งสิ้นทั้งปวง และทรงนำไปสู่ ความสุข ความสุขที่แท้จริง จากภายในของดวงจิตของมนุษย์ จากดวงจิตของตนเอง

 

 

วันนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดีสำหรับโลกทั้งโลก ตามคำแนะนำที่ว่า            

Today The world should see. All races all the people should see. Asia should see. Europe should see. America should see. Africa should see. All Thai people should see.. a latest film from India BUDDHA KING OF KINGS [พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก] I myself see and see and see and still see...

 

.วันนี้ โลกทั้งโลก ควรจะต้องดู ชนทุกเผ่าพันธ์ควรจะต้องดู เอเซียควรจะต้องดู ยุโรปควรจะต้องดู อเมริกาควรจะต้องดู อาฟริกาควรจะต้องดู คนไทยทุกคนควรจะต้องดู ภาพยนต์อินเดียเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก หรือ ภาษาอังกฤษว่า จอมกษัตริย์แห่งมวลกษัตริย์ทั้งปวง ข้าพเจ้าเองดู แล้วก็ดู แล้วก็ดู แล้วก็ยังดู    


ฟังคนไทยวิจารณ์กันใหญ่ เรื่อง พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ว่าเรื่องราวไม่เหมือนที่เล่าเรียนมา ผมก็มองแบบนั้น แต่ผมชอบแบบที่ โมดี เขาวิจัยมา เช่นเรื่องพระยานาค หัวในคัมภีร์ไทย ไม่มีหรอกครับ มีงูเห่านั่นแหละถูกแล้ว แต่เรื่องการศึกษาสมาธิ ฌานไปถึง ขั้น ตามอุทกดาบส นั้น ดีมากครับ ผมเชื่อเลย เพราะผมก็ศึกษามา เรื่องนางอัมราปาลี ในเรื่อง คือผู้หญิงอินเดียคนหนึ่งที่เก่งมาก เก่งในการแสดงเป็นหญิงที่เก่งในความงาม และเป็นดาราที่เยี่ยมจริง ๆ ในด้านการเต้นรำ ขับร้อง ที่รู้สัจธรรมทางกามารมณ์ และที่ใฝ่ในหลักการหลุดพ้น ครับ อยากเห็นตัวจริง ๆ สด ๆ ของทั้ง คน และอยากจะให้ โมดี มาเยี่ยมไทยบ้าง ที่จริงโมดีนี่ เหมือนอย่างพระองค์หนึ่งเลยละ มีความหวังกับเขามากเลยว่า เขาจะเป็นคนที่บุกเบิกพุทธศาสนา อย่างที่เขามองอยู่นี่แหละ ที่ตรงกับใจผมมาก ๆ เลย ไปให้ทั่วโลก โดยเฉพาะอินเดียเอง เหมือนที่เริ่มไว้ดีที่เมือง นาคปุระ

ผมว่าต่อไปอีกหน่อย ว่า ด้วยเรื่องตำหรับตำราเมืองไทย นี่แหละ ผมเคยคิดว่าควรเอาไปเผาทิ้งเสียให้หมด พอมาเห็น พุทธมหาศาสดาโลก ของ โมดี ก็เลยบอกเลยว่าคิดถูก เอาไปเผาทิ้งเสียให้หมด .....หมายความว่าอย่างนี้ละมัง ที่เรียนมาเรียนสิ่งที่โง่ ๆ มาทั้งนั้น   

 

 

 

แล้วได้มาพบ มูดี ผู้สร้าง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก มูดี เขาไม่ได้บอกว่า เวลากุมารน้อยกำเนิดออกมา ก็เป็นธรรมดา เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นมนุษย์ และ เป็นอย่างมนุษย์ เพียงแต่เมื่อทรงเติบโตขึ้นมา เริ่มแต่เป็นเยาวชนตัวน้อย ทรงกอปรด้วยดวงจิต ที่สะเทือนไปกับชีวิตที่เป็นทุกข์ ทรงเข้าไปรับรู้ในความทุกข์ของชีวิตทุกชนิด นับแต่ทรงพบอันดับแรกตลอดไป จนถึงชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย จึงทรงไม่เห็นด้วยกับการสงคราม ทำไมจะต้องฆ่ากันตายนับหมื่นชีวิต ทรงถามอย่างนี้ และนี่คือเจ้าชายน้อยผู้มาพร้อมกับมหาเมตตา มหากรุณา ภายในดวงจิตของพระองค์

 

 หลักการนี้ ใช้ได้กับพวกเราด้วยนะ พวกเราที่เป็น ชาวพุทธ โดยทำอะไร อย่าหวังได้ซึ่งสักการ ชื่อเสียง อย่าทำอะไรดี ๆ ที่เกิดภาพดี ๆ แต่ทำไปโดยใจอันโลภ โดยหวังได้ดิบได้ดี ทำด้วยใจคิดไม่ถูกธรรม ผิดทั้งนั้น ผิดทางทั้งนั้น และเมื่อผิดทาง ก็ไม่ถึงมรรคถึงผล นั่นเอง

การทุ่มเทชีวิตของ ดร.โมดี นี้  ทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัย ในประเด็นว่า  พุทธ เป็นวิทยาศาสตร์  และเขาได้ทำสำเร็จออกมาอย่างน่าชื่นชมยินดี ที่ปรากฎในภาพยนต์ เรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก นี้เอง  ในขั้นงานศึกษาวิจัยเอง  แล้ว  ยังนำมาเผยแผ่อย่างสุดชีวิตจิตใจ  เปรียบปานอัครสาวกยุคองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   จึงเห็นสมควรอย่างไม่ลังเลประการใดเลย ที่จะขอยกย่องเขาเป็น บุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558 ของหนังสือพิมพ์ดี  และขอให้ มูดี ได้จำเริญไปไกล ในการเผยแผ่พระพุทฅธศาสนาไปในโลกยิ่ง ๆ ขึ้น

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

5.2  ฮิมมานซู โซนี่

2. บุคคลที่ 122  ฮิมานซู โซนี่ [Himanshu Soni]

 

 

 

 

 

ฮิมานชู โซนี่ แสดงเป็น พุทธะ ในหนังเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก  มีความเหมาะสมในบทบาทมาก  แทบว่า เขาเองเป็นพระพุทธเจ้า   มีคำกล่าวชมไว้ ซึ่งเราเห็นด้วย จนยกให้คะแนนเป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558

 

I was so glad to see him; Himanshu Soni in a Thai TV today, June 222016[25059] that my eyes felt a water coming out without a feeling. And I took these photoes from the TV. I ever read Hindustan Times, 11October 2013[2556] wording that "Himanshu Soni is the new Buddha." There are other papers abroad said the alike word.I myself still find out the wrong or the mistaken act of the actor as Buddha; The Greatest Prophet of the world but I still see no mistakes. He acts well as if he was the real Buddha. I know from him today that he has to keep in his mind 9 emotions[9 levels of smadhi or SHANSMAPATTI] to act as Budha's several behaviours depending on several situations and the peoples. Yes I agree with him but I still have the question in my mind. Is Himanshu Soni the real new Buddha as the papers said ? And who is who between Himanshu Soni and Dr. Modi the builder of the great film : Buddha;The King of kings. Who is the real new Buddha? Or the both ? OK ! We have to proof it. The real Buddha who enlighten, he teach according to his kind heart to bring the people of the whole world across the ocean of troubles to the land of pure happiness.

 

ข้าพเจ้าได้บังเกิดความยินดีมากที่ได้เห็นเขา ฮิมานชู โซนี่ ในทีวีไทยช่องหนึ่งวันนี้ วันที่ 22 มิถุนายน 2559 จนมีเม็ดน้ำตาออกมาจากดวงตาทั้งสองของข้าพเจ้าอย่างไม่รู้ตัว และข้าพเจ้าได้ถ่ายภาพที่ปรากฎนี้แล้วจากทีวีช่องนั้นไว้หลายภาพ ข้าพเจ้าเองเคยอ่านพบจากหนังสือพิมพ์ ฮินดูสถานไทม์ วันที่ 11 ตุลาคม 25556 มีถ้อยคำว่า "ฮิมมานชู โซนี่ นั้นคือพระพุทธเจ้าองค์ใหม่" ยังมีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศอีกหลายฉบับที่กล่าวถ้อยคำทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าเอง ก็ยังคงค้นหาอยู่ ซึ่งสิ่งที่นักแสดงบกพร่องหรือข้อที่ผิดพลาดของเขา จากการแสดงเป็นพระพุทธเจ้า มหาศาสดาของโลก แต่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่พบสิ่งที่บกพร่องหรือผิดพลาดดังกล่าว่นั้น เขาแสดงได้ดีมากจนปานหนึ่งว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง ข้าพเจ้าได้รู้จากเขาในวันนี้เองว่า เขาได้เตรียมอารมณ์ของนักแสดงเอาไว้ถึง 9 อารมณ์(ในทางธรรมปฏิบัติหมายถึงสมาธิหรือฌานสมาบัติ 9 ระดับ) สำหรับแสดงเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงประพฤติไปให้สนอดคล้องสถานการณ์ต่าง ๆ และประชาชน คนต่าง ๆ ถูกละ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเขา แต่กระนั้นข้าพเจ้ายังคงมีคำถามต่อไปในใจข้าพเจ้า ฮิมานชู โซนี่ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อย่างที่หนังสือพิมพ์ต่างประเทศกล่าวไว้ จริงหรือ และ ใครเป็นใคร ระหว่างฮิมานชู โซนี่ กับ ดร.โมดี ผู้สร้างภาพยนต์ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้า กษัตริย์ผู้ทรงเดชานุภาพเหนือกษัตริย์ทั้งปวง ใครคือพระพุทธเจ้าตัวจริง หรือ ทั้งสองคน ก็คิดว่ารอดูสิ่งที่จะพิศูจน์ต่อไป นั่นคือ พุทธะ เมื่อรู้แล้ว จะสอนมนุษย์ทั้งโลก ด้วยจิตกรุณาของพระองค์ ุูุ้่้่้์ใหู้้้ข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งทุกข์์ทั้งสิ้น ไปสู่แผ่นดินที่มีแต่ความสุข่้อันบริสุทธิ์เท่านั้น  

 

และล่าสุด เราได้ทราบว่า  ฮิมานชู บินมาเพื่อเข้ากราบพระบรมศพในหลวงในพระบรมมหาราชวัง และปลีกเวลาให้แฟนคลับได้เข้าพบและเลี้ยงอาหาร พวกเรามีความสุขมาก ๆ ค่ะ 23 พ.ย.2559

นี้เอง คือเหตุผล ที่เรายกย่อง  ฮิมาน ชู โซนี่  เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2558 ของหนังสือพิมพ์ดี  และยังมีความหวังในแง่ที่ว่า  โดยความเข้าใจในวิสัยของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปในอินเดีย คงจะมีการช่วยนำพุทธศาสนากลับมาสู่อินเดียครั้งใหญ่ มโหฬารอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

5.3  ประธานาธิบดีโซเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส 

3. บุคคลที่ 123 ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งสาธารณรัฐแองโกลา 

 

 

 

 

 

 

ผู้นำแองโกลา..........   ผู้ประกาศเลิกศาสนาอิสลาม ในประเทศแองโกลา   ผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกในโลกที่สั่งแบน ศาสนาอิสลาม” ระบุไม่เหมาะกับสังคม  

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กันยายน 2558 09:32 น. (แก้ไขล่าสุด 4 กันยายน 2558 14:33 น.) ดังต่อไปนี้  

 

เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - แองโกลา” อดีตดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกา สร้างประวัติศาสตร์เป็นดินแดนแห่งแรกของโลกที่ประกาศแบน ศาสนาอิสลาม” อย่างเป็นทางการ ระบุเป็นศาสนาที่มีหลักความเชื่อและการปฏิบัติขัดแย้งต่อค่านิยมของผู้คนในสังคมแองโกลาอย่างสิ้นเชิง      

รายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า แองโกลาได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศแบนศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา ออกมายืนยันที่กรุงลูอันดา เมืองหลวงของประเทศว่า จุดจบของศาสนาอิสลาม” ในแองโกลาได้มาถึงแล้ว      

ตามคำสั่งแบนศาสนาอิสลามของรัฐบาลแองโกลานั้นระบุว่า มัสยิดทุกแห่งที่มีอยู่ในแองโกลาจะต้องถูกปิดแบบไม่มีกำหนด และห้ามชาวมุสลิมในแองโกลาที่มีจำนวนประมาณ 80,000-90,000 คนรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาในทุกรูปแบบในที่สาธารณะ      

ด้านแหล่งข่าวในรัฐบาลแองโกลาเปิดเผยว่า การตัดสินใจแบนศาสนาอิสลามแบบถาวรในครั้งนี้ ของรัฐบาลประธานาธิบดี โชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส มีขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า หลักความเชื่อและค่านิยมหลายประการของศาสนาอิสลามไม่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมแองโกลาที่มีประชากรมากกว่า 15.9 ล้านคนเป็นชาวคริสต์      

ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยของแองโกลาและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในขณะนี้จำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามในแองโกลานั้นมีอยู่ไม่ถึง 90,000 คน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรที่อพยพเข้ามาใหม่จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก รวมถึงกลุ่มประชากรเชื้อสายเลบานอนที่เข้ามาตั้งรกรากในแองโกลา

 

ซึ่งนี่เป็นประเด็นแห่ง  การนำ โลก  ไปสู่วิถีทางใหม่แห่งความเชื่อ  ซึ่งได้ค่อย ๆ เป็นมาตามลำดับยุคใหม่นี้แล้ว  และวันนี้  เมื่อท่านประธานาธิบดีโซเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งประเทศแองโกลา  ได้แสดงออกถึงความเด็ดขาดแห่งสัจธรรม เช่นนี้  จึงสมควรยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2558

 

 

 

 

 

 5.4 นางยุวดี ธัญญศิริ

4.  บุคคลที่ 124  นางยุวดี  ธัญญศิริ

 

 

 ยุวดี  ธัญญศิริ  เป็นนักข่าวด้านการเมืองมาตลอดชีวิต  เข้าออกทำเนียบรัฐบาล  รัฐสภา  และ วงการราชการมาอย่างสนิท และรอบรูู้  เรื่องราวของการเมือง อย่างดี ไม่ว่าเผด็จการทหาร คอมมิวนิสต์ และ ประชาธิปไตย

คำพูดของเธอ ตามภาพข้างต้นนั้น  เพียงพอที่เราจะยกย่องเธอ ให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558 ของหนังสือพิมพ์ดี 

คำพูดที่ว่านั้น  เกิดจากสำนึกแห่ง  ประชาธิปไตยโดยแท้จริง   เราจึงยินดีในทัศนะที่ชอบธรรมของเธอ  นั่นคือคำพูดที่ว่า

ทรราชย์ ยังรับฟังมากกว่าประยุทธ์ นายกฯคนนี้ทำอะไรไม่ฉลาด ต้องรู้จักผห่อนหนักผ่อนเบาบ้างอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีนั้น มีหน้าที่ดูแลปัญหาให้กับประชาชน ต้องเข้าใจประชาชน  ไม่ใช่ให้ประชาชนมาเข้าใจตัวเอง เราว่าเผด็จการในอดีต  สมัยจอมพลถนอม จอมพลประภาส ไม่มีปัญหากับนักข่าวเหมือนคุณประยุทธ  ผู้นำเผด็จการเมื่อก่อน ยังพร้อมที่จะรับฟัง ทำข่าวง่ายกว่ายุคนี้เยอะ

ยุวดี ธัญญศิริ
16 ตุลาคม 2557
นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

และซึ่งเป็นประเด็นของ  ประชาธิปไตยเลยทีเดียว  เราจึงยกย่องให้ ยุวดี ธัญญศิริ เป็นบุคคลแห่งปีของ หนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ. 2558 

เราจึงขอยกย่อง  ดร.มูดี,   ฮิมานชู โซนี่  ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา  และนักข่าวหญิงไทย  ยุวดี ธัญญศิริ  เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2558  ของหนังสือพิมพ์ดี  และหวังว่าท่านจะได้จำเริญงอกงามต่อไปทางปัญญา ยิ่งขึ้น  ตลอดกาลนานอนาคต  

 

 ที่สุดนี้  เราขอขอบคุณ เนื่องจากภาพในหลวงของเรา ปรากฎว่า นสพ. เวบ. ต่างชาติ ได้มีภาพในหลวง มาประกอบเรื่องของเขาทางเวบไซต์ ล้วนภาพสวยงาม  ที่เราเห็นว่า ไม่ได้หวงห้าม ได้ขอมาใช้ประกอบเรื่อง ในหลวงของเรา ในดี เล่มนี้  โดยคิดว่า  เรื่องในหลวงของเรา  คงร่วมมือกันได้เป็นการพิเศษ สำหรับคนรักในหลวง จึงขอขอบคุณ เวบและ ภาพเจ้าของภาพ ในนสพ.ต่างชาติไว้ ณ ที่นนี้ด้วย  และได้โปรดติดตามเรื่องจากหนังสือพิมพ์ดีเล่้มที่ 51 ได้ตามลำดับต่อไป

 

 

 

  • บรรณาธิการ 

       25 พฤศจิกายน 2559 01.03 น. 

  

 

 

 

 

 

 

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี

พุทธศักราช

2559

 

 

 บุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 ของหนังสือพิมพ์ดี

ละต่อไปนี้ หนังสือพิมพ์ดี จะขอประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2559 บุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2559 ดังต่อไปนี้  

 

5.1  เขาทราย กาแลกซี่ 

 

1.  บุคคลที่ 125   เขาทราย กาแลกซี่  [Khoasai Galaxy]

 

 

 

 

 

 

     

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

เขาทราย กาแลกซี [Khoasai Galaxy]  ชื่อจริงเขาคือ สุระ  แสนคำ เขาเป็นนักมวยไทย  ที่ชกมวยสากล ได้เป็นแชมเปี้ยนโลกครั้งแรก ด้วยการชกชนะ ยูเซปิโอ เอสปีนัล  นักชกชาวโดมินิกัน  ณ เวทีมวยราชดำเนิน กรุงเทพฯ  ได้ครองแชมป์มวยโลกรุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวทเมื่อวันที่  21 พฤศจิกายน 2527.  แล้วจากนั้นเป็นต้นมา  เขาได้ชกป้องกันตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกของเขากับยอดนักสู้ทั่วโลก ถึง 19 คน  19 ครั้ง   และปรากฎว่า  เขามีฝีมือสุดยอด ที่เอาชนะผู้ท้าชิงทั้ง 19 คน  ได้อย่างใสสะอาด โดยสามารถชนะด้วยการน็อค 16 ครั้ง  ชนะคะแนนเพียง 3 ครั้งเท่านั้นเอง  สามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ได้ทุกครั้ง ตลอด 19 การชกป้องกันแชมป์นั้น  และก่อนการชกครั้งที่ 19 เขาได้ประกาศล่วงหน้าว่าจะเป็นการชกครั้งสุดท้ายของเขา โดยจะแขวนนวม ออกจากอาชีพนักชกไป  ครั้นผ่านการชกครั้งสุดท้าย ที่ป้องกันแชมป์กับ  อาร์มันโด คัสโตร  ชาวเม็กซิโก  ที่สนามหัสดิน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2534 เขาก็สามารถเอาชนะคู่ชกได้อีก ในแบบที่น่าตื่นเต้น   เขาโดนชกถึงนับ ในยกต้น  แต่เขาแก้คืนด้วยการให้คู่ชกถูกนับ...และเขาก็เกือบเอาชนะโดยการน๊อคไปในยกท้ายๆ แต่คู่ชกทนทายาท  จึงชนะโดยเก็บคะแนนได้ชัยชนะในที่สุด

 

นี่คือสถิติการชกที่น่าชื่นชมยินดี  คือ  มีการชกกับ 20 นักชก จากมุมต่าง ๆ ของโลก คนที่มีเชื้อชาติต่าง ๆ ทั่วโลก 20 คน เขาชนะทั้งหมด 20 คน เมื่อได้เป็นแชมเปี้ยนมวยโลกแล้วได้ทำการป้องกันตำแหน่งแชมป์ 19 ครั้ง  ชนะน็อค 16 ครั้ง  ชนะคะแนนเพียง 3 ครั้ง  มีนักมวยที่ไม่เคยแพ้แบบน็อคเลย มาโดนเขาทราบน็อคเป็นครั้งแรก ถึง 12 คน   มี 2 คน มาแพ้คะแนนแก่เขาทรายเป็นครั้งแรก

 

เขาก็ประกาศแขวนนวม   จึงทำให้เขาทราย กาแลกซี  เป็นแชมเปี้ยนโลก รุ่น  จูเนียร์แบนตั้มเวทของไทย  ที่ไม่เคยเสียตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกของเขา ให้ใครเลย  ซึ่งเป็นปรากฎการณ์แห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยเราเลยก็ว่าได้  ซึ่งได้บ่งบอกสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่องนับถือในตัวเขา 4 อย่างสำคัญ ๆคือ  

1.  เขามีจิตใจเป็นนักสู้ที่แกล้วกล้า  อาจหาญ  ไม่ระย่อหวาดหวัั่นมนุษหน้าไหนเลยทั้งโลก  เขากล้าต่อสู้ ต่อกรอย่างไม่หลบหลีกหนีหน้าไปเลย และด้วยจิตใจนี้ ทำให้ปรากฎซึ่งการเป็นนักสู้ นักรบ ที่การรุกรบของเขาเป็นที่น่าชื่นชม ไม่ใช่เฉพาะชาวไทย  แต่ของคนทั้งโลกผู้รักกีฬาการต่อสู้ทุกชนิด  

2.  บอกถึงฝีมือของนักมวยที่สุดยอด ของโลกจริง ๆ การที่สามารถป้องกันตำแหน่งได้ถึง 19 ครั้ง ตลอดเวลาที่ครองตำแหน่งแชมป์อยู่ 7 ปี 2เดือน 30 วัน(2,628 วัน) นั้น แสดงถึงโลกทั้งโลกพ่ายราบคาบแก่เขาทราย กาแลกซีไปทั้งโลกเลยทีเดียว  

3.  บ่งบอกถึงความมีวินัยของนักสู้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินชีวิตโดยปกติของเขาว่า เขาได้สำนึกในหน้าที่ของ นักมวยแชมเปี้ยนโลกไทย  ที่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ชีวิตที่ดี  มีระเบียบวินัยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการชัยชนะตลอดชีวิตนักมวยแชมเปี้ยนโลก และนั่นเองเป็นเหตุให้เขาสามารถป้องกันตำแหน่งได้ทั้ง 19 การชก   และจบลงด้วยการแขวนนวม ตามเหตุผลอย่างอิสรภาพของเขาเอง ที่น่าชื่นชมในอุดมการวิถีชีวิตของเขา  ที่น่าเป็นแบบอย๋างแก่นักสู้ทั้งหลาย  ในเรื่องของชัยชนะนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการมีวินัยอันดีอยู่ส่วนหนึ่งโดยแท้จริง  

4.    การครองชีพของเขาทราย กาแลกซี  นับแต่วิถีทางเศรษฐกิจ  การทำมาหากินหลังออกจากอาชีพนักมวย ผู้แขวนนวมแล้ว  ก็ปรากฎว่าเขาได้ดำเนินไปอย่างมนุษย์ชนคนไทยคนหนึ่ง และซึ่งในฐานะผู้สร้างชื่อเสียงและประวัติศาสตร์แด่ชาติไทยเรา แต่กลับไม่ปรากฎว่า รัฐบาลไทยรัฐบาลไหนได้ให้ความสนใจในด้านเศรษฐกิจ และการยกย่องนักชกประวัติศาสตร์ผู้แขวนนวมคนนี้  มีปัญหาในการงานอาชีพอะไร เขาก็เอามาเล่ามากล่าว  และเสนอการแก้ไขปัญหา  อย่างเดียวกับคนไทยยุคประชาธิปไตย ยุคเสรีภาพ   นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมในบทบาทของเขาไปอีกเรื่องหนึ่ง  

หนังสือพิมพ์ดี จึงมองว่า เขาทราย กาแลกซี เป็นบุคคลมีค่าควรแก่การยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  จึงขอยกย่อง เชิดชูศักดิ์ศรี เขาทราย กาแลกซี่  หรือ นาย สุระ แสนคำ เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2559  

 

 

 

 

 

 

5.2   นางสาว จูเลีย ไอลีน กิลลาด

 

2.  บุคคลที่ 126  นางสาว จูเลีย ไอลีน กิลลาร์ต [ Julia Eileen Gillard]

อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งออสเตรเลีย ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 24 มิ.ย. 2553 - 27 มิ.ย. 2556 

 

   

 

  

 

 

 

วาทะของท่านนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียท่านนี้ ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย  เป็นวาทะที่เป็นแบบอย่างแก่วงการการเมืองยุคเสรีชน ประชาธิปไตย  อย่างแท้จริง ในประเด็นปัญหาผู้อพยพมุสลิม  ที่อพยพมาสู่ประเทศออสเตรเลียซึ่งมีวัฒนธรรมและมีกฎหมายของประชาชนเขาปกครองประเทศ  แล้ว  มุสลิมอพยพมาสู่ประพเทศเขา  มาหลบลี้หนีภัย อาศัยแผ่นดินผู้อื่นอยู่ ได้ชีวิตปลอดภัยจากพวกมุสลิมก่อการร้ายพวกเดียวกันนั้น  ได้อาหารเลี้ยงชีวิต  ไม่ตาย  แต่กลับขอให้พวกที่มีบุญคุณต่อตน ที่ตนไปอาศัยเขาอยู่ให้เขาไปนับถือศาสนาอิสลาม  ไปใช้วัฒนธรรมอิสลาม  และยกเว้นให้มุสลิมเป็นพิเศษ  ไม่ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศเขาที่เขาปฏิบัติมาอย่างไร ๆ มาตั้งแต่เกิดประเทศออสเตรเลีย  แต่ให้ปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นกฎหมายสูงสุดของมุสลิม  คือ  คัมภีร์อัลกุรอาน   วาทะของเธอที่ปฏิเสธพวกมุสลิมอกตัญญูเหล่านั้น จึงเป็นวาทะแห่งความจริงเกี่ยวกับมนุษย์  และเป็นวาทะบนพื้นฐานสัจธรรมว่าด้วยชีวิตมนุษย์ ชีวิตประชาชนยุคใหม่ ที่เป็นเสรีชน  ในการเมืองระบอบประชาชน ประชาธิปไตย   ดังปรากฎดังนี้  

 

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย  จูเลีย กิลลาด กล่าวว่า มุสลิมที่กำลังเรียกร้องกฎหมายอิสลาม หรือ ชะรีอะห์ ได้ถูกขอให้ออกจากประเทศออสเตรเลียภายในวันพุธ เพราะว่าออสเตรเลียมองมุสลิมบ้าคลั่งเป็นผู้ก่อการร้าย สุเหร่าทุกแห่งจะให้ความร่วมมือกับเราในการค้นหามุสลิมกลุ่มนี้ มุสลิมที่อพยพจากประเทศอื่นเข้ามาอาศัยในประเทศออสเตรเลียจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับประเทศของเราและไม่คาดหวังที่จะเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างเขา ถ้าหากทำไม่ได้ เรายินดีเชิญให้ออกจากประเทศของเรา

มีคนออสเตรเลียจำนวนมากที่เป็นกังวลว่าเราอาจกำลังดูหมิ่นศาสนา... แต่ดิฉันขอให้ความมั่นใจกับประชาชนของประเทศออสเตรเลียว่าสิ่งที่ดิฉันดำเนินการอยู่นี้เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับประเทศและประชาชน

เราพูดภาษาอังกฤษที่นี่ไม่ใช่ภาษาอาราบิค ดังนั้นถ้าท่านต้องการอาศัยอยู่ในประเทศของเรา ท่านต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาอังกฤษ

ในประเทศออสเตรเลีย เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าและเราเชื่อในพระเจ้า. เราจึงเชื่อและติดตามคำสอนของพระคริสต์และไม่มีศาสนาอื่น. นั่นเป็นสาเหตุที่ท่านจะเห็นภาพของพระเจ้าและหนังสือพระคัมภีร์ในทุกสถานที่

ถ้าท่านมีความรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งเหล่านี้ ท่านมีอิสระในการออกจากประเทศออสเตรเลีย ไปยังประเทศอื่นใดในโลกนี้

ออสเตรเลียคือประเทศของเรา เป็นดินแดนของเรา และนี่คือวัฒนธรรมของเรา เราจะไม่ติดตามศาสนาของท่าน. แต่เราเคารพในความรู้สึกของท่าน ดังนั้นถ้าท่านจะอ่านคัมภีร์โกหล่านหรือละหมาด กรุณาอย่าสร้างมลพิษทางเสียงโดยการใช้ลำโพงอ่านเสียงดัง. กรุณาอย่าอ่านคัมภีร์โกหร่านหรือทำละหมาดในโรงเรียนของเรา. ในสำนักงาน หรือในสถานที่สาธารณะ

ท่านสามารถทำได้เงียบๆในบ้านของท่านหรือในสุเหร่าซึ่งจะไม่ทำความไม่สะดวกสบายให้กับเรา

ถ้าท่านมีประเด็นอะไรกับธงชาติของเราหรือการเคารพธงชาติของเรา หรือศาสนาของเรา หรือวิถีชีวิตของเรา. ขอกรุณาออกจากประเทศออเตรเลียได้ตลอดเวลาและไม่ต้องกลับมาอีก

นายกรัฐมนตรี  

จูเลีย กิลลาด

 

 

ซึ่งสิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี จูเลีย กิลลาต แห่งออสเตรเลียขอจากพวกมุสลิมในออสเตรเลีย มีอยู่ 7 ข้อคือ  

1. มุสลิมที่กำลังเรียกร้องกฎหมายอิสลาม หรือ ชะรีอะห์ ได้ถูกขอให้ออกจากประเทศออสเตรเลียภายในวันพุธ เพราะว่าออสเตรเลียมองมุสลิมบ้าคลั่งเป็นผู้ก่อการร้าย

2.  สุเหร่าทุกแห่งจะให้ความร่วมมือกับเราในการค้นหามุสลิมกลุ่มนี้

3.  มุสลิมที่อพยพจากประเทศอื่นเข้ามาอาศัยในประเทศออสเตรเลียจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับประเทศของเราและไม่คาดหวังที่จะเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างเขา ถ้าหากทำไม่ได้ เรายินดีเชิญให้ออกจากประเทศของเรา

4.  เราพูดภาษาอังกฤษที่นี่ไม่ใช่ภาษาอาราบิค ดังนั้นถ้าท่านต้องการอาศัยอยู่ในประเทศของเรา ท่านต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาอังกฤษ

5. ถ้าท่านจะอ่านคัมภีร์โกหล่านหรือละหมาด กรุณาอย่าสร้างมลพิษทางเสียงโดยการใช้ลำโพงอ่านเสียงดัง.

6.  กรุณาอย่าอ่านคัมภีร์โกหร่านหรือทำละหมาดในโรงเรียนของเรา. ในสำนักงาน หรือในสถานที่สาธารณะ  ท่านสามารถทำได้เงียบๆในบ้านของท่านหรือในสุเหร่าซึ่งจะไม่ทำความไม่สะดวกสบายให้กับเรา

7.  ถ้าท่านมีประเด็นอะไรกับธงชาติของเราหรือการเคารพธงชาติของเรา หรือศาสนาของเรา หรือวิถีชีวิตของเรา. ขอกรุณาออกจากประเทศออเตรเลียได้ตลอดเวลาและไม่ต้องกลับมาอีก    

 

 

 

 

นี่คือสิ่งที่เรามองว่า นายกรัฐมนตรี กิลลาด ได้กระทำไปในสิ่งที่เป็นธรรม ด้านการศาสนาสากล น่าเป็นแบบอย่างและแนวปฏิบัติของประเทศทั้งหลายในโลกยุคเสรีชน การเมืองประชาธิปไตย ต่อไป  จึงขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี ของหนังสือพิมพ์ ดี  พ.ศ. 2559 

 

 

 

 

 

 

5.3   วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน 

3.  บุคคลที่ 127  วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน [Vladimir Vladimirovich Putinr]  

ประธานาธิบดี รัสเซีย คนที่ 4 และคนปัจจุบันของรัสเซีย

 

 

 

 

 

วลาดีมีร์ ปูติน   ในฐานะผู้นำประเทศรัสเซีย  ได้เจอปัญหาผู้อพยพลี้ภัยมุสลิม  เช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เช่นฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ประเทศตะวันตก และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ  และวาทะที่ท่านประธานาธิบดีปูตินกล่าวออกมาสั้น ๆ   แต่บ่งบอกความหมายที่ชัดเจน  เป็นธรรม ดังในภาพที่ประกอบนี้ออกมาสั้น ๆ  แต่ก็พอที่เราจะเห็นได้ว่า  ท่านวลาดีมีร์ ปูตินนั้นมีความเด็ดขาดอย่างไร   ต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในประเด็นมุสลิมอพยพ ในประเทศรัสเซีย  ภาพด้านล่างนี้ เป็นการแสดงออกของคนไทยคนหนึ่งทางเฟสบุ๊คของเขา ซึ่งเราเห็นด้วยกับเขาและได้นำมาเป็นเหตุผลของการยกย่อง วลาดีมีร์ ปูติน ขึ้นเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 ของหนังสือดี  ดังนี้

 

   

 

 

ซึ่งจะเห็นว่าคำพูดของปูติน มีว่าสั้น ๆ ดังนี้ ....... ถ้าอยากทำมาหากินในรัสเซียต้องพูดภาษารัสเซีย ต้องเคารพกฎหมาย เคารพประเพณีวัฒนธรรมของรัสเซีย  ถ้าชอบกฎอิสลามหรืออยากใช้ชีวิตตามวิถีอิสลาม  ให้ไปอยู่ประเทศที่เป็นอิสลามด้วยกัน  เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม เราจะไม่ให้สิทธิใด ๆ .....

 

ซึ่งจะเห็นว่า ปูติน  ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ขอจากพวกมุสลิมในรัสเซีย คล้าย ๆ กันกับ จูเลีย กิลลาด  แห่งออสเตรเลีย  เพียงแต่วาทะของปูตินสั้น ห้วนและเด็ดขาด ดังนี้ 

1.   ถ้าอยากทำมาหากินในรัสเซียต้องพูดภาษารัสเซีย

2.   ต้องเคารพกฎหมาย เคารพประเพณีวัฒนธรรมของรัสเซีย  

3.   ถ้าชอบกฎอิสลามหรืออยากใช้ชีวิตตามวิถีอิสลาม  ให้ไปอยู่ประเทศที่เป็นอิสลามด้วยกัน  

 

นอกจากนี้ วาทะสำคัญประโยคหนึ่งของปูตินก็คือวาทะแห่งความเป็นจริง ที่หลายประเทศในโลกเริ่มจะยอมรับ นั่นคือ "เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม เราจะไม่ให้สิทธิใด ๆ "

ซึ่งนั่นหมายความอย่างชัดเจนถึงเรื่องการก่อการร้าย ไม่ว่าจากกลุ่มก่อการร้ายใดมาก่อน  นับแต่พวก  ตาลีบัน [TALIBAN] ในอาฟกานิสถาน  พวกอัลชาบับ [Al-Shabaab] ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศโซมาเลีย, โดยเฉพาะพวกที่ทางเอเซีย-ไทย-มาเลเซียรู้ดีคือ อัลกออิดะห์ [al-Qa'ida] ตราบมาถึง  พวก ISIS  [Islamic State of Iraq and Syria]  ซึ่งล้วนเป็นพวกสุดโต่ง ที่ถือการฆ่า-การสงครามเป็นวิถีทางแห่งอิสลามทั้งสิ้น และนั่นคือความจริงที่ ปูตินได้พูดออกมา คำว่า   "เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม"   

 

 

ซึ่งเรามองว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่เป็นธรรม   เพราะประเทศต่าง ๆ มีกฎหมายของประเทศของตน   เป็นกฎหมายสูงสุด สำหรับประเทศและ ประชาชนประเทศนั้น    แต่ศาสนาอิสลาม ไม่ยอมรับกฎหมายของประเทศใดใดในโลกนี้   โดยได้สั่งสอนคนที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือมุสลิมทั่วโลกว่า กฎหมายสูงสุดของมนุษย์ทั้งโลก ที่มนุษย์ทั้งโลกต้องถือปฏิบัติตาม คือ  คัมภีร์อัลกุรอาน ของศาสนาอิสลาม โดยอ้างเหตุผล(แบบที่เข้าใจผิดกันไปหมด)ว่าเพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้าลงมาให้มนุษย์ทั้งโลกเชื่อฟังปฏิบัติตาม โดยที่คนทั้งโลกจะต้องรำลึกถึงบุญคุณของพระเจ้าอัลเลาะห์ ที่ทรงสร้างโลกใบนี้ แล้วทรงสร้างมนุษย์คนแรก ที่กลายเป็นชาติพันฅธ์มนุษย์ทั้งโลกให้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้    ซึ่งแท้จริง ตามที่โลกได้ค่อยเรียนรู้ไปตามลำดับว่าคัมภีร์นี้เป็นสิ่งที่หลอกลวงมนุษย์(โดยเฉพาะหลอกลวงชาวมุสลิมเอง) มาตลอดแล้ว  จนกระทั่งหลายส่วนของมนุษย์โลก แม้ประเทศอิสลามหลายประเทศก็ได้ปฏิเสธคัมภีร์เล่มนี้ไปแล้ว      การที่ปูติน ได้ออกมากล่าวคำเด็ดขาดลงไปในเรื่องกฎหมายของประเทศนั้น  จึงน่าเป็นการให้ความรู้อย่างแรงแก่มุสลิมทั้งโลก  ที่ควรจะได้ย้อนกลับไปดูอย่างรอบคอบ ว่า  คัมภีร์อัลกุรอาน ที่  นบีมุฮำมัด  เขียนออกมาที่อ้างว่าเป็นคำสั่งพระเจ้าอัลเลาะห์ ที่โลกทั้งโลกจะต้องเชื่อฟังนั้น  เป็นสิ่งที่หลอกลวง  น่าเชื่อถือหรือไม่เพียงไร  มีเหตุผลสำหรับคนยุคใหม่ ที่มีการเมืองใหม่เป็นประชาธิปไตย  ในลักษณะของมนุษย์ ที่มีเสรีภาพ มีความคิดของตนเองตามหลักเหตุและผล  ไม่ใช่ทาสของพระเจ้าอย่างที่มุสลิมทั่วโลก ที่เรียกตัวเองว่าเป็น มุอ์มิน เป็นอยู่ขณะนี้ อีกต่อไป  และที่เป็นยุควิทยาศาสตร์อย่างเต็มตัวอยู่ทุกวันนี้ หรือไม่ ? 

 และการที่ท่านวลาดีมีร์ ปูติน ได้ออกมาปฏิเสธคำขอของมุสลิม และได้กล่าวถ้อยคำที่เป็นความจริง เป็นการการเตือนสติแด่คนทั้งหลายให้ระวังความคิดแบบอิสลาม  เรามองว่าเขากระทำไปด้วยความเป็นธรรม  ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายในโลกนี้  จึงสมควรยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 ของหนังสือพิมพ์ดี 

 

 

 

 

 

5.4  โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์

 

4.   บุคคลที่ 128  โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์  [Donald John Trump]  

ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คนที่ 45 ของ สหรัฐอเมริกา  

 

 

 

 

โดนัล จอห์น ทรัมป์ [Donald John Trump]   ชนะการเลือกตั้ง วันที่ 8 พ.ย. 2559(เวลาไทยวันที่ 9 พ.ย.2559)  ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา คนที่ 45 ถึงปัจจุบัน  

 

 

สิ่งที่โลกได้เห็นจาก โดนัลด์ ทรัมป์  วันแรก ๆ ที่่ชนะการเลือกตั้งนั้น  มีที่น่าสนใจอยู่ 2 ประการ  คือ    

 

1.  เขาสั่งให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลกครั้งที่ 3    และ       

2.  เขาประกาศไม่รับผู้อพยพมุสลิมจาก 7 ประเทศ  มี อิหร่าน [Iran], อิรัค [Iraq], ลิเบีย [Libya], โซมาเลีย [Somalia], ซูดาน [Sudan], ซีเรีย [Syria], and เยเมน[Yemen].โดยเหตุผลที่ว่า เพื่อป้องกันประเทศจากผู้ก่อการร้ายต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกา  [Protecting the Nation From Foreign Terrorist Entry Into the United States] 

ที่เตรียมเข้าสหรัฐมาในสมัย บารัค โอบามา        

 

เรื่อง 2 เรื่องนี้  เราวิเคราะห์ว่า ทรัมป์ มีความเข้าใจยุทธศาสตร์ของ ศาสนาอิสลามดีมาก  และในการพิจารณาตั้งบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 นี้  เราจะได้นำบทวิเคราะห์ประเด็นทั้ง 2 เรื่องนี้ ของกลุ่มไลน์ การศึกษาไร้พรมแดน  ที่มี ดร.นันทสาร สีสลับ เป็นผู้ประสานงานกลุ่ม สมาชิก ที่เต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ต่อไปนี้        มีเหตุผลสมควรที่เราจะขอยกย่อง ท่านประธานาธิบดี  โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ขึ้นเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 ของหนังสือพิมพ์ดี    ดังต่อไปนี้  .....

 

 

 



 

 19:55 พยับ ปัญญาธโร   ทรัมป์ให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลกครั้งที่ 3  ผมเพิ่งเขียนลงไปในเฟสบุ๊ค ครับ   ดังนี้ครับ  ภาพได้มาจากเวบต่างประเทศ  


19:57 พยับ ปัญญาธโร Phayap Panyatharo 

Phayap Panyatharo      If worldwar 3 begins I would like to see China and Russia in the same side with USA. That is the way useful for the world when the war end.


ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มต้นขึ้น ข้าพเจ้าอยากจะให้จีน และรัสเซีย อยู่ข้างเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา นั่นแหละวิถีทางที่จะเกิดประโยชน์แก่โลก เมื่อสงครามเสร็จสิ้นลง

ถูกใจ • ตอบกลับ • 2 นาที

 

Phayap Panyatharo Thanks for the one accept my idea.

ขอบคุณสำหรับท่านที่เห็นด้วยกับความคิดของผม

20:01 พยับ ปัญญาธโร กลุ่มของเราคิดอย่างไรครับ   คงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ  นักเขียน นักวิเคราะห์ต่างประเทศเขาว่า  อาจเกิดสงคราม อเมริกากับ อิรัค ขึ้นก่อน

23:10 Decha เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมก็อยากให้จีนกับรัสเซียอยู่ข้างเดียวกับสหรัฐครับ และคิดว่าไทยก็คงจะอยู่ด้วยแน่

2017.02.07 วันอังคาร

07:34 Nantasarn Seesalab  บทบาทของมหาอำนาจโลก 5 ประเทศ สหรัฐ รัสเซีย จีน  สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศสมีความสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างสันติภาพของโลก เพราะมีเสียง วีโต้ ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ เช่น กรณีเกาหลีเหนือ ออกมาแสดงแสนยานุภาพของตนดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะจีนหนุนหลังอยู่ แม้สหประชาชาติจะ sanctions ไปแล้วแต่ไม่ได้ผลเท่าที่ควร  เพราะถ้าจะใช้มาตรการเด็ดขาด จีนก็ใช้อำนาจ วีโต้ จึงไม่เกิดผล ทำให้บักฮำน้อย คิมจองอุน เย้ยฟ้าท้าสหรัฐ แม้ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ Jame Mattit ที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ไปเจรจาและบำรุงขวัญเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็คงไม่ได้ผลเท่าที่ควรเพราะจีนยังหนุนเกาหลีเหนืออยู่  เห็นด้วยกับท่าน Payap Temchai สนับสนุนให้ 3 อภิมหาอำนาจจับมือกันในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ( World War 3) ขณะนี้ คนอเมริกันกำลังกังวลใจเรื่องนโบบายต่างประเทศของนายทรัมป์มากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะจะไปจับมือกับ Putin แห่งรัสเซีย เพราะ Putin เป็นเซียนการเมืองระดับโลกที่ชาวรัสเซียไว้ใจ และพันธมิตรที่แยกออกมาจากสหภาพโซเวียตสนับสนุน เช่น รัสเซียมามีบทบาทในการแก้วิกฤตซีเรียและตะวันออกกลางในขณะนี้แม้จะมาทีหลัง จนสหรัฐต้องถอย  และทรัมป์จะจับมือก้บ Putin แก้วิกฤตต่อ ชาวอเมริกันและนักวิเคราะห์การเมืองสหรัฐ  กังวลว่า ทรัมป์อาจเสียท่า Putin หากไม่สามารถได้รัฐมนตรีต่างประเทศมือเซียนมาช่วยอีกแรงหนึ่ง  แม้นายทรัมป์จะเลือกนาย Tillerson เศรษฐีธุรกิจน้ำมัน มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ตาม เพราะพื้นเพของเขามีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับ Putin มาแล้วในอดีต จึงจะมองโลกเชิงธุรกิจมากกว่ากลยุทธ์ทางการเมืองโลก 

ขณะนี้ นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ที่ห้ามชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐเป็นเวลา 120 วัน กำลังพ่นพิษ เกิดโกลาหลคนมุสลิมจาก 7 ประทศ ซีเรีย อิหร่าน อีรัค เยเมน ลิเบีย ซูดาน โซมาเลีย ที่มีวีซ่าถูกต้องเข้าสหรัฐไมได้ ติดอยู่สนามบินเป็นจำนวนพันๆ

07:54 Nantasarn Seesalab  เกิดการเดินขบวนต่อต้านทั่ว สหรัฐ ในที่สุด ศาลกลางสหรัฐ(Ferderal Judge) ได้ตัดสินยับยั้งนโยบายดังกล่าว ทำให้ชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศที่มีวีซ่าและกรีนการ์ดถูกต้อง เดินทางเข้าสหรัฐได้ตามปกกติ แม้นายทรัมป์จะให้กระทรวงยุติธรรม ยื่นคำร้องคัดค้าน แต่ศาลไม่รับคำร้องดังกล่าว จึงทำให้คนอเมริกันมีความเชื่อมั่นในประธานาธิบดีทรัมป์ลดลงตามลำดับ จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสหรัฐ รัสเซีย และจีน เป็นอภิมหาอำนาจของโลก สงครามจะเกิดหรือไม่เกิด ย่อมขึ้นอยู่ที่บทบาทของ 3 อภิมหาอำนาจเป็นสำคัญ ขออภัยที่เสนอมายืดยาว

08:39 พัชรา กอปรทศธรรม ไม่เป็นไรค่ะสมาชิกกลุ่มนี้เขาต้องการอาหารสมองอยู่แล้ว

08:52 พยับ ปัญญาธโร   ท่าน ดร.นันทสาร ท่านกว้างขวาง ละเอียดอยู่แล้วในเรื่องราวของต่างประเทศ และสากล   ก็น่าคิดว่า ทรัมป์ คงจะได้รับการต่อต้านจากประชาชนอเมริกันส่วนหนึ่งอยู่แล้ว   แม้กระทั่งเรื่องการเมืองอเมริกันเอง  ทรัมป์ก็ใช่ว่าจะไร้ขวากหนาม  อเมริกันจำนวนหนึ่งเลยที่ไม่พอใจผลการเลือกตั้งคราวที่แล้ว  ......  

แต่เรื่องที่น่าคิดจาก ทรัมป์  มีอยู่ 2 เรื่องครับ   

1.   เรื่องมุสลิมอพยพจาก 7 ประเทศ และมีรายการอพยพเข้าสหรัฐมาแต่ยุคโอบามา  ทรัมป์ประกาศก่อนเลือกตั้งว่าจะไม่รับ   และเขาได้รับเลือกตั้ง  นั้นมองได้ว่าประชาชนอเมริกาเห็นด้วยทรัมป์ในเรื่องนี้....... ขณะนี้ นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ที่ห้ามชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐเป็นเวลา 120 วัน กำลังพ่นพิษ เกิดโกลาหลคนมุสลิมจาก 7 ประทศ ซีเรีย อีหร่าน........

08:59 พยับ ปัญญาธโร   ประเด็นของเรื่องนี้   ก็คือ  ประเด็นศาสนาอิสลามโดยตรงเลย   . และน่าติดตามต่อไป  ว่า  ทรัมป์ จะทำอย่างไร  ......    แต่มาบัดนี้  ก็คงจะพอมองเห็นว่า   อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา  กับ  ทรัมป์  มีความเห็นตรงกัน   ค่อนข้างตรงกัน  ในประเด็นศาสนาอิสลาม  .....โอบามาประกาศอย่างเด็ดขาดว่า  ไอสิส ISIS  ที่เปิดตัวในนามมุสลิมนักรบใหม่ ขึ้นในซีเรีย ติดอิรัค นั้นแหละครับ  ...จะต้องถูกล้างไปให้หมดโลก  .........เขาบอกว่า  ไม่ใช่ล้างศาสนาอิสลาม   แต่ล้างพวกที่เข้าใจผิดในศาสนาอิสลาม ...นั่นเป็นคำแก้ตัวของโอบามา  .....  ซึ่งทรัมป์ มองเห็นอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว    เมื่อเขาสั่งในที่ประชุม ให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลก  นั่นแหละ เดินตามแนวคิดของโอบามาไปเลย    ผมจึงขอสนับสนุนว่าให้เอารัสเซีย และจีน มาเข้าข้างเดียวกันให้ได้  จึงจะสามารถกวาดล้างพวก  ไอสิส  ไปได้  และเพื่อการสร้างแนวคิดใหม่ขึ้นในมุสลิมโลก

09:10 พยับ ปัญญาธโร      2. กรณีอิสลามอพพยพจาก 7 ประเทศ  แท้จริงเป็นแผนบ่อนทำลายสหรัฐอเมริกาโดยตรงของแนวคิดอิสลาม   ที่คิดว่า   สหรัฐอเมริกา นี่แหละศัตรูใหญ่ของโลก(อ้างว่าของโลก   แต่แท้จริง  ของอิสลามพวกเดียว)...... มีข่าวล่าสุดนะครับ   ออกมาวันสองวันนี้เอง    ที่ประชุมประเทศมุสลิม    พูดกันอย่างเป็นข้อตกลงร่วมกันเลย  ว่า  มุสลิม ทาสของอัลเลาะห์วันนี้จะต้องฆ่าคน 3 พวกให้หมดโลก   คือ  อิสราเอล  ชาวคริสต์   และ  กาฟีร์ใหญ่ อเมริกันเป็นต้น..... นั่นแหละที่แสดงความหมายว่า   พวกเขายังคงมองพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน  ว่าเป็นคำสั่งของพระเจ้าอยู่   และมุสลิมต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า...........ซึ่งในเรื่องนี้  ดังที่ผมเคยเอามาพูดแล้ว ว่าในพระคัมภีร์เขา  มีปัจฉิมนิเทศเอาไว้ว่า   ...คน 3 พวกนี้   มุสลิมต้องไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาด   คือ   นัสรอนี  ยะวาฮู   และ  กาฟีร์  ทั้งโลก ....ต้องฆ่าตายให้หมด..........ก็ไอสิส  นี่แหละครับ  ที่ถือว่าตัวเองเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า   พยายามทำอยู่    ....   และแน่นอน  มีแผนหลายหลาก หลายชั้น    รวมทั้งแผนอพยพคนมุสลิม 7 ประเทศ  เข้าสหรัฐ  นี้ด้วย .....ฉะนั้น  ในการมองของผม   จึงมองว่า  ทรัมป์ ตามทันแผนมุสลิมค่อนข้างดี(ดีกว่าโอบามาอีก เพราะโอบามาเพิ่งมารู้เอาเมื่อเกิด  ไอสิส   นี่เอง   รู้ทีหลังทรัมป์เสียอีก)

09:13 พยับ ปัญญาธโร 3   คิดว่า  ทรัมป์   ต้องชิงเริ่มก่อน   ตามหลักยุทธศาสตร์สากล    ใครเริ่มรบก่อน  ย่อมชนะ   นั่นเองครับ    จึงน่าติดตามและน่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว    ครับ    เดี่ยวผมจะมีข้อมูลมาให้ครับ   ที่ว่าพวกประเทศมุสลิมประชุมกันแล้วออกคำสั่งให้ฆ่า  นัสรอนี(ชาวคริสต์)  ยะวาฮู(อิสราเอล)  และ  กาฟีร์(คนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งพุทธไทย พุทธจีนด้วย)  ให้หมดโลก

09:21 พยับ ปัญญาธโร     ซึ่ง  ก็มีความหมายไปถึง  สงครามโลกครั้งที่ 3 โดยตรง    หากพวกนักรบจิฮัดส์อิสลามชนะสงครามโลกครั้งที่ 3    แน่นอน   เขาไม่ไว้ชีวิตคน 3 ประเภทนั้น   นั่นคือ   พวกเราชาวพุทธ ในฐานะเป็นกาฟีร์ พวกนอกศาสนาอิสลามด้วย  พวกคริสต์ ด้วย  และพวกยิว  อิสราเอลด้วย........    จึงเป็นเรื่องน่าติดตามและน่าวางแผนกันอย่างจริงจัง  (เราก็ต้องวางแผนนะครับ)  เพื่อต้อนรับสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 3

09:22 พยับ ปัญญาธโร และในฐานะกลุ่มการศึกษาไร้พรมแดน   เราก็ควรมีการศึกษาแล้วเอามา บอกกันนะครับ

09:35 พยับ ปัญญาธโร   อีหม่ามระดับสูงซาอุฯ เรียกร้องให้ฆ่าชีอะห์ ยิว และคริสเตียน ขณะนำละหมาดที่มัสยิดหะรอมโดย เอบีนิวส์ทูเดย์

 

 

09:37 พยับ ปัญญาธโร วีดีโอ 
 

 

 


  

 

09:38 พยับ ปัญญาธโร จากช่องข่าวสปุตนิก – คลิปวิดีโอชิ้นใหม่เผย อีหม่ามระดับสูงของซาอุดิอาระเบีย ขอพร(ดุอา) เรียกร้องให้ฆ่าชีอะห์ ยิว และคริสเตียน ในระหว่างการละหมาดที่มัสยิดหะรอม   มัสยิดอัลหะรอม ถูกรู้จักในฐานะมัสยิดสำคัญแห่งเมืองเมกกะห์ เป็นที่ตั้งของอาคารกะบะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของมวลมุสลิมที่เวลาละหมาดจะต้องผินหน้าไปทิศทางดังกล่าว

โดยระหว่างการละหมาดที่มัสยิดหะรอมซึ่งถูกถ่ายทอดสดผ่านทางช่องอัลกอหิเราะห์วันนาซ สถานโทรทัศน์ของอียิปต์ อิหม่ามนำละหมาดคนหนึ่งของซาอุฯ ได้กล่าวขอพร (ดุอา) ในภาษาอาหรับ มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า

โอ้อัลเลาะห์ โปรดประทานชัยชนะและเพิ่มขีดความสามารถให้กับพี่น้องมุสลิมของเรา (ญิฮาดิสต์) ในเยเมน ในชาม (ซีเรีย) และอิรัก และในทุกที่ โอ้พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก” และเน้นย้ำถึงสองครั้งว่า โอัอัลเลาะห์โปรดช่วยให้พวกเขามีชัยชนะเหนือพวกรอฟีเดาะห์ (มุสลิมชีอะห์) ที่ไม่มีพระเจ้า

จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า โอัอัลเลาะห์โปรดช่วยให้พวกเขามีชัยชนะเหนือชาวยิวผู้ทรยศ และชาวคริสต์ผู้มุ่งร้าย และบรรดามุนาฟิก (ผู้กลับกลอก) ที่ไม่น่าเชื่อถือ

โอัอัลเลาะห์โปรดช่วยให้พวกเขามีชัยชนะ และช่วยเหลือพวกเขา และประทานพละกำลังแก่พวกเขา


 

 

09:40 พยับ ปัญญาธโร รูปภาพ

 

 

 

 

 

 

  

09:42 พยับ ปัญญาธโร รูปภาพ

   

 

 

 

 

 

 

   

09:43 พยับ ปัญญาธโร .....บน   นี่แหละ หน้าตาผู้นำอิสลาม  แม้ยุคนี้เวลานี้   ในใจเขามีแต่คำว่า  ฆ่า  ฆ่า   ฆ่า  พวกกาฟีร์  ยะวาฮู  นัสรอนี  ให้หมด    และภาพ 2 ภาพ นั้นแหละที่ประกอบข่าว  ครับ

10:00 พยับ ปัญญาธโร ส่วนในประเด็นของ  สหราชอาณาจักร  หรือ  อังกฤษ  นะครับ  ก็มีประวัติศาสตร์เลย    อังกฤษย่อมชนะเสมอ   ก็คอยดู   เขาคงไม่ทิ้งกัน   อังกฤษ  กับ  อเมริกา   ไปด้วยกันเสมอ   แต่ ฝรั่งเศส   มักจะมีนั่นมีนี่หน่อย   แต่แล้ว  ก็ไปข้างเดียวกับ ฝ่ายที่ชนะ  ครับ

10:02 พยับ ปัญญาธโร 3   ประเทศนี้เขาไปด้วยกันจนได้แหละ    แต่ จีน  และ  รัสเซีย   นั้น    ต้องพูดกันหน่อยครับ  และต้องเริ่มแต่บัดนี้เลย  เอามาเข้าข้างเราให้ได้

10:08 พยับ ปัญญาธโร   ส่วนไทยเรา   ระวังมาเลเซียครับ     และขณะนี้  นายมหาเธ โมฮัมมัด  มันก็ยังไม่ตาย    ระวังคน ๆ นี้ก็แล้วกัน     แต่ไทย มาเลเซีย   เรื่องเล็กนะครับ   ทหารเตรียมไว้ให้พร้อม   เป็นโอกาสของไทยจริง ๆ แล้ว    มีเรื่อง โดยเฉพาะสงครามโลกขึ้น   บุกข้ามเขตไปยึดมาเลเซียเลย    ไม่ต่างจากเขมรหรอกครับ   ทำกับเขมรได้  ก็ทำกับ มาเลเซียได้   อย่าลืมสิ   เราเคยปกครองเขามาก่อนแล้ว  เป็นเมืองขึ้นของเรา  มาก่อน ๆ ฮอลันดา  อังกฤษ  จะเข้ามา ทหาร-ไทยต้องแนบ นิ่ง  กับสหรัฐ-อังกฤษครับ ก็จะชนะทุกการรบ

 

 

 

ฉะนั้น  เราจึงเห็นด้วยกับบทเสวนาของกลุ่มการศึกษาไร้พรมแดน   โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับบทบาทของท่านประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ท่านจอห์น ทรัมป์ ผู้นี้  ที่เราเห็นว่าท่านมองการศาสนาอิสลาม ในแง่ยุทธศาสตร์ของอิสลาม ได้ถูกต้อง ตามที่บทวิเคระห์มีว่า

 

1.  ประเด็นของเรื่องนี้   ก็คือ  ประเด็นศาสนาอิสลามโดยตรงเลย   . และน่าติดตามต่อไป  ว่า  ทรัมป์ จะทำอย่างไร  ......    แต่มาบัดนี้  ก็คงจะพอมองเห็นว่า   อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา  กับ  ทรัมป์  มีความเห็นตรงกัน   ค่อนข้างตรงกัน  ในประเด็นศาสนาอิสลาม  .....โอบามาประกาศอย่างเด็ดขาดว่า  ไอสิส ISIS  ที่เปิดตัวในนามมุสลิมนักรบใหม่ ขึ้นในซีเรีย ติดอิรัค นั้นแหละครับ  ...จะต้องถูกล้างไปให้หมดโลก  .........เขาบอกว่า  ไม่ใช่ล้างศาสนาอิสลาม   แต่ล้างพวกที่เข้าใจผิดในศาสนาอิสลาม ...นั่นเป็นคำแก้ตัวของโอบามา  .....  ซึ่งทรัมป์ มองเห็นอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว    เมื่อเขาสั่งในที่ประชุม ให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลก  นั่นแหละ เดินตามแนวคิดของโอบามาไปเลย    ผมจึงขอสนับสนุนว่าให้เอารัสเซีย และจีน มาเข้าข้างเดียวกันให้ได้  จึงจะสามารถกวาดล้างพวก  ไอสิส  ไปได้  และเพื่อการสร้างแนวคิดใหม่ขึ้นในมุสลิมโลก

 2. กรณีอิสลามอพพยพจาก 7 ประเทศ  แท้จริงเป็นแผนบ่อนทำลายสหรัฐอเมริกาโดยตรงของแนวคิดอิสลาม   ที่คิดว่า   สหรัฐอเมริกา นี่แหละศัตรูใหญ่ของโลก(อ้างว่าของโลก   แต่แท้จริง  ของอิสลามพวกเดียว)...... มีข่าวล่าสุดนะครับ   ออกมาวันสองวันนี้เอง    ที่ประชุมประเทศมุสลิม    พูดกันอย่างเป็นข้อตกลงร่วมกันเลย  ว่า  มุสลิม ทาสของอัลเลาะห์วันนี้จะต้องฆ่าคน 3 พวกให้หมดโลก   คือ  อิสราเอล  ชาวคริสต์   และ  กาฟีร์ใหญ่ อเมริกันเป็นต้น..... นั่นแหละที่แสดงความหมายว่า   พวกเขายังคงมองพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน  ว่าเป็นคำสั่งของพระเจ้าอยู่   และมุสลิมต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า...........ซึ่งในเรื่องนี้  ดังที่ผมเคยเอามาพูดแล้ว ว่าในพระคัมภีร์เขา  มีปัจฉิมนิเทศเอาไว้ว่า   ...คน 3 พวกนี้   มุสลิมต้องไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาด   คือ   นัสรอนี  ยะวาฮู   และ  กาฟีร์  ทั้งโลก ....ต้องฆ่าตายให้หมด..........ก็ไอสิส  นี่แหละครับ  ที่ถือว่าตัวเองเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า   พยายามทำอยู่    ....   และแน่นอน  มีแผนหลายหลาก หลายชั้น    รวมทั้งแผนอพยพคนมุสลิม 7 ประเทศ  เข้าสหรัฐ  นี้ด้วย .....ฉะนั้น  ในการมองของผม   จึงมองว่า  ทรัมป์ ตามทันแผนมุสลิมค่อนข้างดี(ดีกว่าโอบามาอีก เพราะโอบามาเพิ่งมารู้เอาเมื่อเกิด  ไอสิส   นี่เอง   รู้ทีหลังทรัมป์เสียอีก)  คิดว่า  ทรัมป์   ต้องชิงเริ่มก่อน   ตามหลักยุทธศาสตร์สากล    ใครเริ่มรบก่อน  ย่อมชนะ   นั่นเองครับ    จึงน่าติดตามและน่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว    ครับ    เดี่ยวผมจะมีข้อมูลมาให้ครับ   ที่ว่าพวกประเทศมุสลิมประชุมกันแล้วออกคำสั่งให้ฆ่า  นัสรอนี(ชาวคริสต์)  ยะวาฮู(อิสราเอล)  และ  กาฟีร์(คนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งพุทธไทย พุทธจีนด้วย)  ให้หมดโลก

ซึ่ง  ก็มีความหมายไปถึง  สงครามโลกครั้งที่ 3 โดยตรง    หากพวกนักรบจิฮัดส์อิสลามชนะสงครามโลกครั้งที่ 3    แน่นอน   เขาไม่ไว้ชีวิตคน 3 ประเภทนั้น   คิดว่า  ทรัมป์   ต้องชิงเริ่มก่อน   ตามหลักยุทธศาสตร์สากล    ใครเริ่มรบก่อน  ย่อมชนะ   นั่นเองครับ    จึงน่าติดตามและน่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว    ครับ    เดี่ยวผมจะมีข้อมูลมาให้ครับ   ที่ว่าพวกประเทศมุสลิมประชุมกันแล้วออกคำสั่งให้ฆ่า  นัสรอนี(ชาวคริสต์)  ยะวาฮู(อิสราเอล)  และ  กาฟีร์(คนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งพุทธไทย พุทธจีนด้วย)  ให้หมดโลก

 

 ฉะนั้น  เมื่อเราได้มองว่า ท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ได้มองประเด็นตรงกับปัญหา ยุทธศาสตร์ของอิสลาม  เช่นนี้  ก็เป็นที่น่าชื่นชมยินดี  และขอยกย่อง ท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ขึ้นเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 ของหนังสือพิมพ์ ดี  ในวันนี้ 

 

 

 

 

 

5.5  นายกนก จันทร์ขจร

5.  บุคคลที่ 129  นายกนก จันทร์ขจร    

 

 เรามีความยินดีที่ได้พบผลงานการเขียนหนังสือของบุคคลผู้นี้ คือหนังสือที่มีชื่อว่า   "คู่มือ ธรรมเพื่อชีวิต" พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน โดยพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  เรียบเรียงโดย นายกนก จันทร์ขจร  ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 เป็นหนังสือที่แพร่หลายในโรงเรียนมัธยมศึกษา ใช้เป็นคู่มือการอบรมนักเรียน  เราได้พบว่า ท่านผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้  ได้ทำไปด้วยความรู้ ความเข้าใจในพุทธศษสนาและพุทธประเพณีอย่างถูกต้องเยี่ยมยอด  น่าศรัทธาเลื่อมใสในความรู้ ความเข้าใจของท่าน  และแต่ละเรื่องที่ท่านเขียนออกมา นับแต่เรื่อง 9 คำสอนของพ่อ,  บทสวดมนต์ไหว้พระพร้อมคำแปล,  การกราบพระรัตนตรัย,  การบูชาพระด้วยดอกไม้ธูปเทียน,  การสวดมนต์ไหว้พระประจำวัน,  การพัฒนาคุณภาพชีวิตและธรรมะเพื่อชีวิต,  พิธีสงฆ์ที่ชาวพุทธควรรู้, วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา,   องค์ประกอบการปฏิบัติสำคัญของกรรมฐาน,  ตถตา  ความเป็นเช่นนั้น,  คำถวายพิธีต่าง ๆ   และจบลงด้วย  หลักเกณฑ์และการสอบแข่งขันตอบปัญหา   นับว่าเป็นเรื่องที่อธิบาย บอกกล่าว สั่งสอน  ที่ถูกต้อง มีแง่คิดแง่ปฏิบัติที่ลึกซึ้งในทางธรรมะชั้นลึกไปด้วย  จึงเห็นว่าเป็นหนังสือที่ดี ที่ควรเอาไปสั่งสอน เผยแพร่ต่อไป ไม่เฉพาะเด็กนักเรียน เยาวชน  แม้นักศึกษา และ  ประชาชนคนทั้งหลาย รวมทั้งพิธีกรทางพิธีกรรมต่าง ๆ ทางพุทธศาสนาเรา  ก็สามารถเอาแนวปฏิบัติจากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ได้  

และมีสิ่งที่น่าประทับใจก็คือ  ท่านผู้นี้  มีประวัติที่ดียอดเยี่ยมมาก ๆ   ปรากฎในคำ  แนะนำผู้เรียบเรียง ท้ายเล่ม  ดังนี้

นายกนก  จันทร์ขจร  

วุฒิ  ต.อ.2, ป.ป.,  พ.ม.,  วท.บ.,  ค.บ.,  ค.ม. Cert. in  I.S. ลูกเสือ  L.T.

เครื่องราชอิสริยาภรณ์   ป.ม. (2531)  ป.ช. (2535)

อดีต อจญ.ตากวิทยาคม,  ผดุงปัญญา,  ระยองมิตรอุปถัมภ์,  สตรีระยอง"บุญศิริบำเพ็ญ", อาจารย์ใหญ่โรงเรียนระยองวิทยาคม,  ผอ.มักกะสันพิทยา,  นวมินทราชูทิศ กรุงเทพฯ,  ผอ.ทวีธาภิเศก,  ทวีธาภิเศก 2, วิทยากรผู้ให้การอบรมผู้บริหารระดับสูง13 ปี,  ประธานชุมนุมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย,  อุปนายกสมาคมนักดาราศาสตร์ไทย,  ประธานจัดการแสดงและฝึกซ้อมดนตรีไทยมัธยมศึกษา,  กรรมการคุรุสภากทม., กรรมการสอบสวนฯ, กรรมการสหกรณ์ครู 3 สมัย,  ประธานกลุ่มโรงเรียน 2 สมัย,  ผู้ตรวจราชการกรมสามัญศึกษา คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรฯ กรมวิชาการ  กรรมการตรวจสอบคุณภาพโรงเรียนเอกชน  กรรมการประเมินโรงเรียนของ สมศ.  ประธานสภาวัฒนธรรม  กรรมการประเมินโรงเรียนกทม. อ.ก.ค.วิสามัญฯ วินัยและจริยธรรม ก.ค.,  อ.ก.ค.วิสามัญฯ  ประเมินบุคคลระดับ 9 กระทรวงศึกษาธิการ 10 ปี 

เกียรติคุณดีเด่น  ปริญญาตรี 3.50,  ปริญญาโท  3.88  ทั้งตรี โท ได้คะแนนสูงที่สุดในรุ่น  Cert. In High School Study Program U.S.A.} Cert In I.S. RECSAM.,  ผู้ชำนาญสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ส.ส.ว.ท., โล่ครู"จริยศึกษาดีเด่น"จากกระทรวงศึกษาธิการ โล่ผู้มีผลงานดีเด่นทางวิชาการและการบริหารจากจุฬาฯ,  ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่นจากส.บ.ม.ท.,  โล่"ผู้บริหารสถานศึกษาดีเด่น" จากคุรุสภากทม.  วุฒิบัตร"หัวหน้าผู้ให้การฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือ L.T.  "ผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีผลงานดีเด่นด้านวิชาภาษาไทย 2535,  เหรียญลูกเสือสดุดีชั้น 1 ,  เหรียญกาชาดสดุดีชั้น 2,  โล่"พ่อตัวอย่างแห่งชาติ พ.ศ.2532",   โล่"ศิษย์เก่าดีเด่นสถาบันราชภับ้านสมเด็จเจ้าพระยา",  โล่เชิดชูเกียรติ์ "ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลงานดีเด่นของกรมสามัญศึกษา พ.ศ.2537",  โล่ "ครอบครัวประชาธิปไตย"พ.ศ.2540  ได้บริจาคเงินตั้งกองทุนสงเคราะห์นักเรียนให้โรงเรียนต่าง ๆ  รวมประมาณ 1,100,000 บาท ทั้งนี้ไม่นับเงินมูลนิธิฯอีกประมาณ 3,000,000 บาท  โล่อาสาสมัครดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2550 

ศึกษาดูงาน  ประเทศสหรัฐอเมริกา 6 ครั้ง,  จีน 6 ครั้ง,  ฮ่องกง - เกาหลี 4 ครั้ง,  ออสเตรเลีย 2 ครั้ง,  อินเดีย  3 ครั้ง,  นิวซีแลนด์ 2 ครั้ง,  ฝรั่งเศส,  อังกฤษ,   เยอรัมน,   ญี่ปุ่น,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์  5 ครั้ง,  พม่า, ลาว, ใต้หวัน,  เวียดนาม,  สวีเดน,  นอรเวย์,  ฟินแลนด์,  ลิเบีย  

ปัจจุบัน  เลขาธิการพุทธสมาคมฯ และสาราณียกรวารสารพุทธธรรม,  นายกสมาคมผู้ปกำครองและครูโรงเรียนมักกะสันพิทยา,  ประธานกรรมการบริการและสารสนเทศ สภาสังคมสงเคราะห์ฯ,  กรมการ ศ.อ.ส.กทม.,  ประธานกรรมการสถานศึกษาฯกรรมการโรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  ประธานมูลนิธิฯเป็นวิทยากรบรรยายอบรมเยาวชนต่อต้านยาเสพติด การพัฒนาคุณภาพชีวิตครูนักเรียน

 

สิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าก็คือ  การที่นายกนก จันทร์ขจร พิจารณาเลือกเอาธรรมะในพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีพุทธทั่วไป ตลอดทั้งหลักพิธีกรรมในพุทธศาสนพิธี มากล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้  พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจนแจ่มแจ้งไว้ นั้น  น่าเป็นแบบอย่างเป็นมาตรฐาน ที่เชื่อถือได้ สำหรับชาวพุทธทั้งหลาย และส่วนที่เป็นศาสนพิธี ก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเป็นแบบอย่าง  จึงขอยกย่อง นายกนก จันทร์ขจร ให้เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 ของหนังสือพิมพ์ดี 

 

 

หนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่องบุคคลทั้ง 5 เขาทราย กาแล๊กซี [Koasai Kolacksy]  จูเลีย ไอลีน กิลลาต[Julia Guillat]  วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน [Vladimir Vladimirovich Putinr] โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ [Donald John Trump]  กนก จันทร์ขจร  เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 และหวังว่าบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 จะได้ดำเนินวิถีทางชีวิตและการงานของตน ที่ตนเกี่ยวข้องไปในทางที่ดีก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จ ตามความมุ่งหมายของตนต่อไปตลอดกาลนานอนาคต 

  

บรรณาธิการ    

3 กรกฎาคม  2560, 10.23 น.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี

พุทธศักราช

2560

 

 

 

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีปีพุทธศักราช 2560  เราได้มอบให้  บุคคลนี้....

 

4.7.1  บุคคลที่ 130 นายราม ณัฐ โกวินทร์ [Ram Nath Kovind] 

บุคคลที่ 130 นายราม ณัฐ โกวินทร์ [Ram Nath Kovind] ประธานาธิบดี คนที่ 14 ของ สาธารณรัฐอินเดีย

 

ราม ณัฐ โกวินทร์ มีประวัติ ตามที่ บีบีซี ไทย และสถานีข่าวการเมืองสากล รายงานไว้ว่า  ราม ณัฐ โกวินทร์ อายุ 71 ปี เขาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 14 ของ สาธารณรัฐอินเดีย โดยที่พรรคชาตินิยมฮินดู ภารติยะ ชนะตะ [Bharatiya Janata Party] หรือบีเจพี ของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ประกาศส่ง ราม ณัฐ โกวินทร์ เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่  และเขาชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาแต่ละรัฐรวมเกือบ 4,900 คนทั่วประเทศ ลงคะแนนเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2560  เขาชนะอย่างขาดลอย และได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2560   ทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอินเดีย ที่อยู่ในสถานะสังคมในวรรณะต่ำสุดของอินเดีย โดย เป็น นักการเมือง "จัณฑาล" คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อินเดียที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี โดยที่มีประธานาธิบดี จัณฑาล คนแรกของอินเดียคือ นาย เค.อาร์. นารายานัณ ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอินเดียที่เป็นคนชนชั้นจัณฑาลคนแรก ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 5 ปีระหว่าง ค.ศ. 1997-2002    [พ.ศ.2540-2545]

 

หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานประวัติที่ต้อยต่ำของเขาไว้ น่าสนใจ ดังต่อไปนี้ (เราให้สีที่คำมีความหมายต่ำทรามที่สุด)

The New York Times: A Dalit was elected India’s 14th president on Thursday, a rare achievement for a member of a community once known as “untouchables” and one of the most deprived groups in India. Ram Nath Kovind, 71, an understated politician from Prime Minister Narendra Modi’s governing Bharatiya Janata Party, was selected as his party’s candidate for the largely ceremonial position in an effort to secure the Dalit vote in future elections. That is a critical step in the expansion of the party, known as BJP.

 

หลังจากที่ชนะเลือกตั้ง นายราม ณัฐ โควินทร์ ได้ประกอบพิธีรับตำแหน่งแล้วได้เดินทางไปสักการะสถานที่น่านับถือหลายแห่ง เช่น อนุสาวรีย์มหาตม คานธี ถนนเนลสัน เมนเดลา เมือง Djibouti  และได้ไปบูชาสถานที่ตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา รัฐพิหาร ซึ่งได้มีพระเถระจากนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนาร่วมเจริญชัยมงคลคาถา ในจำนวนนี้มีสมเด็จพระอัครมหาสังฆราชาธิบดีเทพวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ประเทศกัมพูชารวมอยู่ด้วย

 

ในด้านการเมือง โกวินทร์เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดูขวาจัด หรือ อาร์เอสเอส (Rashatriya Swayasevak Sangh) ซึ่งเป็นแบบอย่างทางอุดมการณ์ให้พรรคบีเจพี ที่เป็นรัฐบาลอยู่ขณะนี้ โดยมีนายนเรนทรา โมดี[Narendra Modi] เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ ในอดีต เขาทำงานเป็นทนายและเป็นสมาชิกวุฒิสภา 2 สมัยด้วยกัน เขายังเคยเป็นโฆษกของพรรค และเป็นผู้นำองค์กรชนชั้นจัณฑาลในพรรคบีเจพีด้วย

 

สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องของคน จัณฑาล ของอินเดียคนนี้ ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์ของนาย ซันเจ ปาสวาน ผู้นำชนชั้นจัณฑาลอาวุโสในพรรคบีเจพี กล่าวว่า

 

โกวินทร์มีส่วนช่วยสำคัญในการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์หลายที่แก่ บี.อาร์. อัมเบดการ์ [คนชั้นจัณฑาล ที่ได้ปฏิญญาณตนเป็นพุทธสาวก ละจากฮินดู อย่างเด็ดขาดเมื่อ ปี พ.ศ. 2549  แล้วยังความศรัทธาอย่างมากมายแด่คนอินเดีย ที่เมืองนาคปุระ ผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อชนชั้นจัณฑาลคนดังผู้ถูกขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย] เขายังเป็นคนทำให้เกิดการเปลี่ยนชื่อ "กระทรวงสวัสดิการสังคม" ให้กลายเป็น "กระทรวงความยุติธรรมทางสังคมและการเพิ่มขีดความสามารถ" ซึ่งเป็นชื่อที่บ่งบอกถึงการทำงานของกระทรวงที่แท้จริง เขาทำงานหลาย ๆ อย่างเพื่อชนชั้นจัณฑาล

 

ซึ่งการที่นายโกวินทร์ มีส่วนให้การสนับสนุนงานในอุดมการณ์ของ ดร. บี อาร์ อัมเบดการ์ นี้แล้วก็ทำให้เห็นได้ว่า  นายโกวินทร์ ที่ ในฐานะทางศาสนาพรหมณ์-ฮินดู   เขาเกิดในตระกูลของชนชั้นที่ต่ำ จนหลุดไปจากความเป็นมนุษย์  เพราะโดยปกติในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นั้น  ได้แบ่งคนออกเป็นระดับชนชั้นอยู่แล้วถึง 4 ระดับตระกูลมนุษย์ มีสูงสุด มีต่ำสุด แล้วยังมีระดับที่เรียกว่า จัณฑาล ที่มิใช่มนุษย์ มิใช่คน เป็นระดับล่างสุด มีคน หรือ ตำแหน่งของคน 4 ระดับเท่านั้น ที่กำหนดโดยครูอาจารย์ศาสนาพรหมณ์-ฮินดู  รู้จักกันไปทั่วโลกว่า วรรณะ  ว่ามี 4 วรรณะ   4 ชั้นของวรรณะนั้น  คือ 

 

-วรรณะที่ 1 วรรณะพราหมณ์ กำหนดให้เป็นชนชั้นพรหม ผู้ได้ฐานะที่ทรงเกียรติยศสูงสุด เหนือมนุษย์ใดใดเสมือนตัวแทนเทพเจ้าทั้ง3องค์ของอินเดีย  มีอำนาจหน้าที่ออกคำสั่งในฐานะเทพเจ้าให้คนทั้งหลาย นับแต่กษัตริย์ลงมา ปฏิบัติศาสนพิธีด้วยประการต่าง ๆ ตามแต่พราหมณ์จะสั่งหรือพาทำไป โดยอ้างอำนาจ เทพเจ้าทั้ง 3 คือ พรหม, อิศวร, นารายณ์ แม้ชนชั้นกษัตริย์ ในเรื่องศาสนพิธีแล้ว กษัตริย์ ก็ยังต้องฟังคำสั่งพราหมณ์นี้,  

 

-วรรณะที่ 2  ชั้นกษัตริย์ เป็นชนชั้นผู้ปกครอง ทรงอำนาจบารมีเด็ดขาดดุจเจ้าชีวิตคน เดิมมาจากสถานะของนักรบ ผู้นำทัพปกป้องแผ่นดิน ปกป้องประชาชนจากผู้รุกราน จากศัตรู ทำให้ได้ชื่อว่า กษัตริย์ของประชาชนทั้งปวง โดยประชาชนหวังเป็นที่พึ่ง

-วรรณะที่ 3 แพศ ชนชั้นกลาง ซึ่งจะมีมีอาชีพทางการค้าขายกันเป็นส่วนมากเป็นพวก ทำมาหากินด้วยการเดินทางขนสินค้าไปขายยังดินแดนต่าง ๆ  เอาสินค้าจากแดนต่าง ๆ เข้ามา ทำการแลกเปลี่ยนสินค้า ธุรกิจ การเศรษฐกิจของสังคม   และ

-วรรณะที่ 4 ที่ต่ำสุดแห่งความเป็นคนตามหลักศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ วรรณะศูทร ซึ่งเป็นกลุ่มชนจำนวนมากที่สุดของแผ่นดิน ซึ่งถูกบัญญัติให้ ไร้อำนาจวาสนาใดใด มีหน้าที่อย่างเดียวคือการฟังคำสั่ง และการรับใช้ ศูทร์ ชนชั้นล่างสุดได้แก่ชนชั้นชาวนา ชาวไร่ ชาวประมง และชนชั้นที่ใช้แรงงาน เป็นกรรมกร ที่มีจำนวนมาก มหาศาลที่สุดของประเทศ แต่กลับถูกบัญญัติให้เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะเยี่ยงทาส หรือเสมือนทาสของแผ่นดิน ที่ไร้เกียรติ์ ไร้อำนาจ วาสนาใดใดไปอย่างสิ้นเชิงโดยการกำหนดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อย่างไร้เหตุผล    

 

แต่กระนั้นชนชั้นที่ 4 ชนชั้นในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นี้ ก็ยังไม่ใช่ชนชั้นต่ำสุด  มีชนชั้นต่ำกว่านั้นไปอีก ซึ่งพราหมณ์-ฮินดูเป็นผู้กำหนดอย่างไร้เหตุผลของความเป็นมนุษย์ไปอีก โดยที่กำหนดว่า ในเมื่อเกิดกระทำผิดข้อบัญญัติของศาสนา ในเรื่องการสมรส โดยที่มีข้อบัญญัติเด็ดขาด ให้ชาวฮินดูในวรรณะทั้ง 4 สมรสกันเฉพาะชนชั้นในวรรณะเดียวกันเท่านั้น หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ  ห้ามอย่างเด็ดขาด เรื่องความรักต่างวรรณะ  หากมีคนต่างชั้นวรรณะสมรสกันแล้ว จะถือว่าเป็นความผิดที่ต่ำช้าสามานย์มาก จนทางศาสนาฮินดูจะต้องลงโทษ ประณามอย่างหนัก  โดยมีบทบัญญัติพิเศษ ที่กำหนดให้ให้ลูกที่เกิดมาจากการสมรสต่างวรรณะนี้  เป็นชนอีกชั้นหนึ่ง ที่มีฐานะเท่ากับคนบาป เป็นคนบาปทันทีที่เกิดมาในโลกของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยให้ชื่อว่า จัณฑาล หรือ ภาษาอังกฤษจะเห็นความหมายชัดกว่าคือคำว่า  The Untouchable ซึ่งเราได้ทราบจากประวัติของท่าน มหาตม คานธี มาว่า ท่านได้นำการต่อสู้มาตลอดเพื่อปกป้องยกระดับ คนจัณฑาล นี้ตลอดชีวิตท่าน  เพราะแท้จริงแล้ว  จัณฑาล เป็นสถานะที่ต่ำกว่า ความเป็นคน  ที่ชนชั้นจัณฑาล จะต้องยอมรับฐานะนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือก้มหน้าก้มตารับฐานะตนเองโดยเป็นฐานะที่  ไม่ใช่คน  นั่นเอง  และในเมื่อเป็นชนชั้นคนบาปที่คนทั้งหลายที่ถูกกำหนดให้มีวรรณะสูงกว่า จะไปคบหาสมาคม แม้การเดินผ่านไปถูกต้องตัวตนคนบาปนี้เข้าแล้ว ก็จะกลายเป็นบาปไปด้วยทันที  จึงไม่สามารถจะคบหาสมาคมกับหมู่ชนคนไหนไหนได้ นอกจากหมู่คนบาปด้วยกัน   ในยุคองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ชนจัณฑาล เวลาออกจากบ้านที่อาศัย เดินไปตามถนน หรือ ที่ดิน นา ป่า ไร่ก็ตาม จะต้องเอาแผงกวาดดิน ที่ทำด้วยหางนกยูง หรือขนห่าน หรือแผงไม้ไผ่ที่ทำแบบไม้กวาด มาผูกเอวเดิน  เพื่อว่าเมื่อเดินไปรอยของเท้าจะได้ถูกแผงหางนกยูงกวาดลบออก  เพราะคนอินเดียให้ตราบาปแด่จัณฑาลไว้ ว่า แม้เหยียบไปดินแดนไหน รอยเท้าก็จะฝากตราบาปลงไว้บนแผ่นดินนั้น  จะต้องทำการลบตราบาปจากรอยเท้าคนบาป  คนจัณทาล ออกไปให้เกลี้ยงแผ่นดินตลอดเวลา  จึงได้ทำแผงหางนกยูงแขวนเอวไปตลอดเวลาที่ออกจากที่พักอาศัย นอกจากนี้ เขาจะไม่ให้คนจัณฑาลนี้ เดินเงยหน้า ห้ามสบตา ห้ามคุยกับคนอื่น  ให้อยู่ หรือไปไหนได้เฉพาะแต่พวกเดียวกัน ในสมัยที่ ดร.บี.อาร์.อัมเบดการ์ ซึ่งเป็นคนในตระกูลจัณฑาล ผู้ซึ่งได้เป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญอินเดียยุคพ้นจากนาย เจ้าเมืองขึ้น อังกฤษมาเป็นเอกราช ประชาธิปไตย เริ่มเป็นประชาธิปไตย นั้น ดร.อัมเบดการ์ เป็น จัณฑาล เหมือนกัน เวลาไปเรียนหนังสือ  เขาไม่ให้นั่งเก้าอี้เหมือนเด็กคนอื่น  แต่ให้นั่งกับพื้น  ให้ก้มหน้าเรียนหนังสือ ไม่ให้สบตา หรือ มองดูเด็กคนอื่น กินอาหารร่วมกับคนอื่นไม่ได้   ในยุคคานธี ก็เหมือนกัน  คานธีเคยถูกหิ้วลงมาจากรถไฟ ฐานที่เป็นคนชั้นต่ำ ที่เขาไม่ให้ขี่รถไฟร่วมกับเขาได้   วรรณะทั้ง 4 นี้ จึงผิดหลักการของความเป็นมนุษย์ และนั่นคือผิดหลักการของพระพุทธเจ้า  จึงทรงให้เลิกเสีย โดยหลักธรรมว่า  กมฺมุนา วตฺตตี โลโก  คนในโลกดีหรือชั่วย่อมเป็นไปตามกรรมหรือการกระทำของตนเอง  และหลักการของพระพุทธศาสนาของพุทธองค์ นั้น การบรรลุธรรมสูงสุดระดับพ้นทุกข์ สู่ภาวะอรหันตบุคคลนั้  สำเร็จด้วย เสรีภาพ ส่วนตัวทั้งสิ้น  ไม่อาจสำเร็จจากการบังคับด้วยปากกระบอกปืน คนเราดีหรือชั่ว เพราะกรรม  ไม่ใช่สกุล หรือ ชั้นวรรณะ      

ฉะนั้น  การที่ประชาชนอินเดีย (โดยผู้แทนราษฎรอินเดีย จำนวน 4,900 คนทั่วประเทศ) ได้เลือกตั้ง ประธานาธิบดี จากคนชั้น จัณฑาล เป็นคนที่ 2 เป็นประธานาธิบดีของเขา  จึงให้ความหมายในเชิงหลักธรรมพุทธ โดยให้นัยยะความหมายที่น่าหวัง  น่าชื่นชมยินดีกับนายราม ณัฐ โกวินทร์ ว่าจะส่งเสริมธรรมะที่ดี   และเมื่อเขาไปร่วมในอุดมการณ์ของ ดร.อัมเบดการ์ ซึ่งเป็นนักปฏิวัติอินเดีย ทั้งเชิงการเมือง(เขาเป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอินเดียยุคสาธารณรัฐ  ประชาธิปไตย  เขียนรัฐธรรมนูญอินเดียไว้ ให้เลิกชนชั้น โดยเหตุผลว่า เพราะการกำหนดของพรามหณ์-ฮินดูให้มีชนชั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมแก่มนุษย์ และไม่ถูกหลักการเมืองของประชาชน แต่ในทางประเพณี ความเชื่อทางศาสนาชาวอินเดีย เรื่องพระเจ้าสูงสุดผู้ทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือคนทั้งหลายมีมานาน จึงยังไม่อาจจะเลิกได้ง่าย ๆ  เหมือนยุคอเมริกา ยุคต้น ๆ ที่มีการค้าทาส นั้นเอง  แต่อเมริกาไม่ยอมให้มีการลดฐานะมนุษย์ลงไปเป็นทาสเช่นนั้น  สปิริตของเสรีชนในอเมริกามีสูงส่งมาก เมื่อพูดกันไม่สำเร็จ  จึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เพื่อเลิกทาส และฝ่ายเสรีประชาธิปไตย อเมริกา ชนะ ทาสจึงหมดไปจากอเมริกาได้ไวในทันทีที่เสร็จสงครามก็ว่าได้ เพราะฝ่ายที่ชนะสงครามสั่งให้ฝ่ายที่แพ้สงครามเลิกทาส หากไม่เลิก ก็เอาไปสังหารหมด  ฝ่ายที่แพ้สงครามก็จำต้องยอมทันที  แต่อินเดียช้า เพราะไม่มีใครกล้าทำจริงเหมือนอเมริกา ไม่มีใครฉลาดทรงปัญญามองเห็นสิ่งที่ผิด ว่าผิด  อธรรม ว่า อธรรม เมื่อมีชนชั้นจัณฑาล ได้เป็นประธานาธิบดีมา เป็นคนที่ 2 บัดนี้ จึงน่ามีความหมายที่ดีขึ้น และน่ามีการก้าวไปอีกก้าวใหญ่  เชิงศาสนา และวัฒนธรรม ที่เมืองนาคปุระที่เป็นแบบอย่างคนอินเดียยุคใหม่  จึงน่ามีความหวังว่า  Sri Ram Nath Kovind (ท่านศรีรามนาถโกวินด์) ประธานาธิบดีอินเดีย คนล่าสุดคนที่ 14 นี้  จักได้มุ่งเดินหน้านำอุดมการณ์ศาสนาพุทธขึ้นในอินเดีย  และนำเดินตาม หลัง ดร. บี. อาร์. อัมเบดการ์ จัณฑาล ผู้ประกาศสัจธรรม 22 ข้อ ผู้กล้าหาญทางพุทธธรรมจนกล้าประกาศตรงไปตรงมาว่า  จะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ  พระวิษณุ นารายณ์ ต่อไป จะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ  เชื่อในศาสนาพุทธเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง ฯลฯ  นับแต่ ผู้ปฏิรูปฮินดูมาเป็นพุทธ จากที่ไม่มีคนพุทธเลย มาบัดนี้ มีคนพุทธร่วมกว่า 11 ล้านคนเข้าแล้ว  และโดยการวิวัฒนาการทุกด้านในอินเดียแรงขึ้น  กำลังมีการปลุกให้ชนชั้นต่ำสุด คือ แพศ ศูทร และ จัณฑาล  ซึ่งเป็นประชาชนคนจำนวนมหาศาล หมู่มากที่สุดใน สาธารณรัฐอินเดีย (เฉพาะชนชั้นบาปจัณฑาลในอินเดียมีการสำรวจล่าสุดพบว่ามีจัณฑาลอยู่ในอินเดียถึงกว่า 200 ล้านคน) ที่โดยระบบการเมืองใหม่ ที่เจ้าประเทศราชอินเดีย คือ จักรภพอังกฤษ ให้อินเดียนำมาใช้ คือประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนมีอำนาจ 1 คน 1 เสียงอำนาจปกครองประเทศนั้น กำลังถูกปลุกขึ้นมาด้วย ระบบการเมืองยุคใหม่ ยุค ประชาธิปไตย ที่คน ประชาชน พลเมือง ทุกคน ชาย หญิง ไม่มี เพศ ไม่มีชั้นวรรณะ(หมายความว่า วรรณะทั้ง 5 วรรณะ ในอินเดีย ตามคำสั่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อย่างไม่ยุติธรรม อย่าง อธรรม นั้น จะต้องเลิกไปเสียทันที รวมถึงเลิกการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งอินเดียไปด้วย  มิฉะนั้นประชาธิปไตยอินเดีย และ สาธารณรัฐอินเดียจะก้าวเดินไปไม่ได้เลย))  แต่ทุกคนมีอำนาจปกครองเท่ากันหมดคนละ 1 เสียง  ในอุดมการณ์ของ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ  [Liberty, Equality, Fraternity]   ความเป็นพี่น้องเดียวกัน อันเป็นหลักการขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักการที่นำไปสู่มรรค ผล นิพพาน ได้    โดยเริ่มที่เมือง นาคปุระ  และ นครมุมใบ  และ ท่านศรีรามนาถโกวินด์ กล่าวคำเดียวกับ ดร. บี.อาร.อัมเบดการ์ ที่ว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน”    สำนักข่าวฮินดูสถาน ไทมส์ ยังรายงานเน้นไปอีกถึงความเชื่อ ความคิดทางศาสนาของท่านประธานาธิบดี ราม นาถ โกวินทร์  ว่า โกวินทร์ยังได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์เป็น'สิ่งแปลกปลอมในประเทศอินเดีย  ซึ่งนั่น  แสดงถึงการมองศาสนาได้ชอบธรรมแล้ว  เพราะแท้ที่จริง ศาสนาในโลกนี้ มีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น  อย่างอื่น ไม่ใช่ศาสนา  อย่างที่ บี.อาร์. อัมเบดการ์ ระบุไว้ในคำปฏิญญาณข้อที่ 20 แล้วว่า พุทธศาสนาเท่านั้นเป็นศาสนาที่แท้จริง     

 

และในเมื่อปีนี้  ได้มีการรวมตัวของชาวพุทธ ชาวอินเดียเพื่อปฏิญญาณตนเป็นชาวพุทธ แน่นขึ้น    ตามที่มีข่าวมา

เมื่อ 26ธค.2560 ชาวอินเดียหลายหมื่นคน ทำพิธีเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ที่เมืองนาคปุระและนครมุมไบ แคว้นมหาราษฎร์ เป็นการปฏิณาณตนแบบ ดร..บี.อาร์.อัมเบดการ์ เป็นต้นแบบมีดังนี้

๑.ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป

๒.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป

๓.ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป

๔.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป

๕.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า

๖.ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป

๗.ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า

๘.ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป

๙.ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน

๑๐.ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน

๑๑.ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน

๑๒.ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน

๑๓.ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก

๑๔.ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น

๑๕.ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม

๑๖.ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด

๑๗.ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา

๑๘.ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา

๑๙.ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ

๒๐.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง

๒๑.ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง

๒๒.ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด 

หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน   https://youtu.be/YMJFe66sGHw

                

เราเห็นว่า ศรีราม ณัฐ โกวินทร์ ประธานาธิบดี คนที่ 14 ของ สาธารณรัฐอินเดีย คงจะกล่าวถ้อยคำเดียวกันกับ ดร.อัมเบดการ์  ในที่สุดที่ว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน”      เราจึงขอยกย่องว่า เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปี พุทธศักราช 2560  ขอให้ท่านได้เป็นชาวพุทธที่ดีต่อไป และยึดมั่นในคำปฏิญญาณ 22 ข้อข้างต้น      

 *****

         

 

4.7.2  บุคคลที่ 131  สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง

(Sitthichai Sitsongpeenong)

 

บุคคลที่ 131  นายสิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง

(Sitthichai Sitsongpeenong)

สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง มีความโด่งดังในฐานะนักมวยไทยผู้ที่มีฝีมือเชิงมวยไทยอย่างสมบูรณ์ ครบเครื่องอาวุธมวยไทยอย่างแท้จริง  ในการจัดมวยไทย เคหนึ่ง 71 กก. ที่จีน วันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 นี้เอง  สิทธิชัยพบ อี้หลง  ซึ่งเป็นนักมวยกังฟู ซุเปอรสตาร์จีน ซึ่งเป็นที่นิยมของคนจีนอย่างสูงสุดในประวัติมวยจีนกำลังภายในแบบกังฟู  และซึ่งเอาชนะนักมวยไทย อย่าง บัวขาว มาแล้ว   ในการพบกันบนเวทีกับสิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้องในวันนี้  สิทธิชัย เตะอี้หลง นักมวยกังฟูสลบคาเท้า การชกที่เมืองจีน  สิ่งที่เราให้คะแนนนักมวยไทยคนนี้ มีเหตุผลหลายประการ 

ประการแรกก็คือ เขามีเจตนาในการที่จะแก้แค้นแทนมวยไทย ในลักษณะ ยกย่อง เชิดชูศักดิ์ศรีมวยไทย หรือ ศิลปะมวยไทย ที่เขาเองมองโดยหลักการต่อสู้ทางหมัดมวยว่า  ไม่มีทางที่จะแพ้กังฟู  อย่างเช่น อี้หลง นี้เลย ซึ่งโดยปกติแล้ว การมวยไทยนี้ จะเห็นเองอยู่แล้ว(โดยการวิจัยเชิงอาวุธและศิลปมวย)ว่า ศิลปะมวยไทย ไม่อาจจะแพ้มวยจีนกังฟู แบบที่ อี้หลง ที่ใช้มาแบบหนังจีนกำลังภายในเลย  และเมื่อสิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง จะต้องมาสู้กับมวยกังฟูเช่นนี้  เขาก็ได้มองเห็นช่องโหว่ ของกังฟู อี้หลง มองเห็นแนวทิศทางของอาวุธกังฟู ทุกหมัด ทุกอาวุธ จากกังฟู ว่าจะสามารถหลบโดยศิลปะมวยไทยได้ทุกหมัด ทุกอาวุธของกังฟู  และสามารถจะแทรกเข้าประชิดวางอาวุธมวยไทยลงสู่จุดอันตรายของฝ่ายคู่ต่อสู้ได้   และเขาก็ทำได้ตามแผนและตามประสบการณ์นักสู้มวยไทยครบเครื่องของเขา  ดังจะเห็นว่า  อีหลง ไม่สามารถใช้อาวุธกังฟูของเขาทำอะไรสิทธิชัยได้เลย เริ่มตั้งแต่เริ่มยก 1 ที่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่อี้หลงถีบสิทธิชัยกระเด็นไปขอบเชือก แล้วเขาก็ออกวิ่งเข้าหากะจะถล่มทะลวงรุกอย่างเฉียบขาด แบบกังฟูหนังจีนกำลังภายในที่หลอกลวงคนดูมาตลอด   แต่แล้ว  สิ่งที่เขาเจอกลับเป็นลำเท้าทั้งลำของสิทธิชัย สวนเข้าที่ปลายคางและแก้ม อย่างเต็มแบบเท้ามวยไทยเลยทีเดียว ซึ่งแท้จริง เท้าใบนั้น   ไม่ตาย ก็เลี้ยงไม่โตอยู่แล้ว อี้หลงน่าจะไปตั้งแต่เท้าลำนั้นแล้ว   ล้มลงไปกลิ้งทั้งตัว  แต่ไม่อยู่ ลุกขึ้นยืนได้ และออกรอยยิ้มเยาะมวยไทยเสียอีก  ซึ่งนี่คือ สิ่งที่คนจีนเชื่อในตัวเขา ว่ามีพลังแบบพลังกำลังภายใน  ไม่มีใครจะคว่ำ หรือ น๊อค เขาได้    แต่นั่นแหละ  ในหลักการมวยไทย มวยไทย จะค่อยลดพลังของคู่ต่อสู้ลงไปทีละน้อย ๆ   และสิทธิชัย ใช้หลักยุทธศาสตร์นี้   ทำให้อี้หลง ค่อยอ่อนลงไป ตั้งแต่ต้นยกที่ 1 ด้วยฝ่าเท้าหนักฝ่าแรกนี่เอง  และที่เห็น ๆ จากนี้ไป อี้หลงชกสะเปะสะปะไปเหมือนที่คนไทยว่า มวยวัด จริง ๆ  เขาไม่รู้แม้กระทั่งการตั้งการ์ด และเมื่อไม่มีการตั้งการ์ด ไม่มีการฝึกศิลป์ด้านนี้โดยที่ไม่ระวังยุทธศาสตร์ว่าด้วย  รู้เขา รู้เราเลย  ไม่รู้เรื่องฝ่าเท้ามวยไทยเลย  จึงเปิดคอและแก้ม ให้สิทธิชัยใช้โจมตีมาตลอดเวลา ซ้ำเข้าที่คาง คอ  ติดต่อกันไปได้ถึง 5 ครั้ง แต่ก็  แสดงความทนทานแบบพลังกำลังภายในหนังจีน  แบบที่ว่าโง่ แต่อวดดี  จนถูกเตะไป 5 ครั้ง ซ้ำเข้าไป ครั้งที่ 5 จึงทนไม่ไหว สลบคาเท้ามวยไทยไปเลย (ศิลปการสู้มวยไทยนั้นค่อยลดพลังคู่ต่อสู้ลงไปเรื่อย ๆ ๆเสมอไป แม้ไม่อาจจะน๊อคทันที ก็ลดพลังลงไปเรื่อย ๆ จนที่สุด คู่ต่อสู้ที่สิ้นพลัง ก็จะเหมือนกระสอบทรายให้มวยไทยทำฝ่ายเดียว)อ่อนระทวยลงไปแบบสิ้นฤทธิ์กังฟูไปเต็มที่ไปเลย  แต่แท้จริง น่าไม่ถึงยก 2 ด้วยซ้ำ น่าไปตั้งแต่โดนฝ่าเท้าแรก ยก 1 นั้นเลย  และ ปลายยกก่อนระฆังช่วย ก็โดนสิทธิชัยถีบช่องท้องเต็มที่ ล้มลงแบบไม่อยากลุกด้วยซ้ำ ก็แทบว่าจะไปไม่ไหวแล้ว ระฆังช่วยพอดี จึงรอดไปถึงยกที่ 2    และขณะเดียวกัน สิทธิชัยส่งอาวุธเข้าช่องว่างของมวยกังฟูได้อย่างหนักหน่วงอันตรายทุกหมัด ทุกเข่าทุกเท้า ของเขา อย่างมั่นใจ  แม้กระทั่งยังได้ออกมาดมวยไทย เชิงโน้มคอตีเข่าซ้ำไป 2 ครั้ง  ให้คนจีนดูอีก ถึง 2 ครั้ง(ให้รู้ว่ามวยไทยเต็ม ๆ คู่ต่อสู้อาจสลบคาเข่า แบบกอดคอตีเข่าซ้ำได้อย่างไร) แม้ว่าครั้งแรกกรรมการห้ามมวยจะเตือนก็ตาม สิทธิชัยอยากให้คนจีนเห็น (เพราะเขาไม่ให้ใช้แม่มวยไทยหลายอย่างที่อันตราย ๆ โดยเฉพาะเขาห้ามศอก ห้ามกอดคอตีเข่าซ้ำ โดยใช้กติกา kikboxing ที่ลดอาวุธมวยไทยอันตรายไป ดังกล่าว ) ก็ทำให้ดูอีกเป็นครั้งที่ 2  จนที่สุด  หลังจากใช้เท้าเน้นเข้าไป 5 ครั้ง  ติดต่อกัน ที่ต้นคอและใบหน้า จุดเดียวกัน  อี้หลงก็สิ้นกำลังภายในลง  พิสูจน์ว่า  กำลังภายในนั้น  ก็เป็นเพียงกำลังภายในในหนังจีนกำลังภายใน ที่เป็นเพียงการแสดงหลอกคนดูหนัง  มวย เป็นเรื่องศิลปะการต่อสู้ที่เป็นรูปธรรมเห็นชัดจากมวยไทยครั้งนี้   เหตุผลประการที่ 2.  เขามีแผนที่จะน๊อคมวยกังฟูคนนี้ด้วยเท้า และเขาก็ทำได้  โดยกระหน่ำเท้าเข้าใส่ปลายคาง และต้นคอของอี้หลงไปตลอดยกแรกจนเกือบจะน๊อคได้ตั้งแต่ปลายยกแรกอยู่แล้ว พอต่อยกที่ 2 ไม่กี่อึดใจ ก็วาดเท้าเข้าปลายคางอี้หลงติดต่อกัน  เข้าครั้งที่ 5  สลบลงคาเท้า ตามแผน และยกที่สอง จึงสำเร็จ เป็นเหตุให้อี้หลง โดนเท้าซ้ำเข้าไปติดต่อกันถึง 5 เท้า  หมัดและเข่าซ้ำเข้าไปอีกไม่หยุดหย่อน และทำให้ความทนทานอย่างกังฟู กำลังภายในต้องหดหายลงไปและทนทานไม่ได้ โดยโดนเท้าสุดท้ายอย่างแรง  สลบคาเท้านักมวยไทยไปเลย กังฟู อี้หลง ที่มีความมั่นใจจากหลักกังฟูแบบเพ้อเจ้อในหนังจีนกำลังภายในนั่นเอง คือฝึกตนให้ได้อย่างในหนัง ซึ่งเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น  ไม่ใช่หลักนักสู้อะไรเลยเมื่อมาพบมวยไทย  จึงแท้จริงเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ ดังที่เห็นมาแล้วจากการชกกับ สุดสาครแต่สุดสาครก็ไม่สามารถน๊อคยี่หลงลงได้  ชนะคะแนนไปใสสะอาดอยู่  อี้หลงจึงมีอย่างเดียวคือความทนทาน ที่ได้ฝึกมาให้ทนและทานได้  และความทนทานนี้ก็ได้รับการนับถือจากคนจีน ที่เชื่อเรื่องกำลังภายในว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ทนทานต่อพลังหมัด เท้าได้ตลอดและคนจีนก็มองว่า ความทนทานนี้แหละเป็นตัวตัดสินให้ชนะ  ไม่ว่าจะโดนหมัดโดนเข่า โดนเท้า  ขนาดไหน  หากทนทานได้  ไม่แสดงออกถึงความอันตราย  เขาก็นิยมยกให้ว่าเป็นประเด็นสำคัญของการต่อสู้   เป็นประเด็นแห่งการตัดสินให้ชนะของมวยกังฟูไปเลยทีเดียว   เพราะฉะนั้น  ในการชกกับบัวขาว ครั้งที่2 ที่อี้หลงขอแก้มือที่เมืองจีน แม้จะโดนทั้งเข่า ศอก หมัด เท้า ทกอาวุธมวยไทยจากยอดมวยไทยอย่างบัวขาว  บัวขาวไม่สามารถน๊อคอี้หลงได้  และเห็นได้ว่า บัวขา่ว ลดพลังที่กระทำลงไปถึง20% โดยเหตุผลส่วนตัวของบัวขาว คือมองว่าอี้หลงเป็นพระ ก็เลยไม่กล้าทำแรงกับพระ เอาบุญไป บัวขาวคิดเช่นนั้นตั้งแต่พบอี้หลงครั้งแรกแล้ว ดังจะเห็นว่า พอได้รับการประกาศว่าบัวขาวชนะ เขาก็ขอลดตัวลงกราบอี้หลง...อย่างที่เขาไม่น่าจะคิดเช่นนั้นเพราะจริง นี่ไม่ใช่พระแต่อย่างไร เป็นเพียงนักฝึกวรยุทธแบบตำนานกำลังภายในหนังจีน ที่มีชื่อวัดว่า วัดเส้าหลินเท่านั้น)ก็เลยถูกตัดสินให้แพ้ไป  ทั้ง ๆ ที่ตลอด 3 ยก บัวขาวประเคนเข้าให้ทุกอาวุธมวยไทย  บอบช้ำไป เพียงแต่ศิลปะที่บัวขาวใช้ไปทุกรูปแบบ แต่ล้มอี้หลง กำลังภายในไม่ได้ นั้นบอกถึงชัยชนะอย่างอี้หลง กังฟูกำลังภายใน  ความสามารถทนได้ จึงบอกถึงวิชากำลังภายในของอี้หลงสูงส่ง กรรมการจีน จึงให้ชนะบัวขาวไทยไปได้ แบบที่คน  นักวิจารณ์ทั้งหลาย บอกว่าเป็นการโกงมวยอย่างไม่น่าละอายใจเลย และยังขัดสายตาคนชมทั้งโลก ที่คนทั้งโลก เขาไม่ได้มองกังฟูกำลังภายในว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์เกินหลักวิชามวยไปได้อย่างไร   และนี่เองเป็นเหตุให้มีการเรียกร้องศักดิ์ศรีมวยไทยกลับมา  และนั้นแหละอยู่ในแผนการของ สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้องอย่างแรง (แม้ว่าจะมีธุรกิจมวยครั้งนี้มหาศาล สิทธิชัยชนะได้ 100,000 เหรียญสหรัฐ 3.4 ล้านบาทไทย) โดยแผนน็อคมวยจีนคนนี้ด้วยอาวุมวยไทยให้ได้  และแผนเขาก็บรรลุผลสำเร็จไปตามลำดับ เริ่มแต่ยกแรก  แม้กระทั่งเท้าแรกที่เข้าปลายคางต้นยก นั้นก็แทบทำให้อี้หลงสลบไปแล้ว แต่นั้นแหละพลังกำลังภายในของอี้หลง คนบวชวัดเส้าหลิน   แล้ว สิทธิชัยก็ทำสำเร็จ นั่นคือ ทำลายวิชากำลังภายในของกังฟู สลบลงคาเท้าอาวุธมวยไทยลงได้  โดนในจังหวะบวก คอเขาเอียงลงมารับเท้าพอดี เป็นแรงบวกเข้าไป  สลบคาเท้า ลงนอนไร้สติ นับ 6 จึงฟื้น พยายามลุกยืนขึ้นมาแต่ล้มลงไปอีก  ในอ้อมแขนของกรรมการตัดสิน....แท้จริง หากทนต่อไปได้ถึงยกที่ 3 ก็น่าจะเห็นชัดเจนลงไปเลยว่า มวยกังฟูอี้หลงนี้ จะเป็นกระสอบทรายอย่างชัด ๆ ที่ทนได้ด้วยกำังภายใน กว่าจะโดนสลบคาเท้าในปลายยกที่ 3 (แทนยกที่ 2)    พิศูจน์ถึงมวยไทยสะท้านภิภพ จริง ๆ  ชนะมวยทุกสกุลมวยโลกลงอย่างราบคาบจริง ๆ  เราจึงพอใจยกคะแนนบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2560 แด่นักมวยไทยคนนี้  สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง และหวังว่าโดยความยังหนุ่ม อายุเพียง 26 ปีของเขา จะเดินหน้าพิศูจน์ฝีเท้า ฝีมือมวยไทย สะท้านพิภพ ต่อไปอีกนาน

 

 *****

 

 

 

4.7.3  บุคคลที่ 132 พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา  

 

บุคคลที่ 132 พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา [General Prayuth Chan - ocha, Thailand Prime Minister 29th.]นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 

ผลงานที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 นั้น มีหลายประการที่น่าชื่นชมยินดี  แต่สิ่งที่หนังสือพิมพ์ดีเห็นสมควรแก่การยกย่อง เทิดทูน ให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2560 นั้น  ก็เนื่องจากผลงานการพระพุทธศาสนา  เราเห็นว่า ความเป็นนายทหาร ระดับผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือระดับผู้บัญชาการ โดยที่ได้อยู่ในวิสัยทหารไทยมาตลอด นับแต่เข้าโรงเรียนนายทหาร จปร. มาถึงระดับผู้บัญชาการกองทัพ โดยอยู่ในวิสัยทหารไทยมาตลอดชีวิต สะท้อนถึงอุดมการณ์อันสูงส่งของทหารไทยสืบต่อมาไม่เบี่ยงเบน  นั่นคือคำว่า ชาติ ศาสนา(พุทธ) และพระมหากษัตริย์ อยู่ในจิตใจของคนที่เป็นทหารไทยมานานนับพันปีแล้ว  ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เข้ารับภาระกิจการบริหารราชการแผ่นดินไทย  ได้พิศูจน์ผลงานของท่านครบทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ดังปรากฎว่าชาติไทย ได้ประสบภาวะปั่นป่วน วุ่นวาย จนแทบเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในยุคนี้ ก็สงบลงได้ ไม่ลุกลามไปใหญ่โต ก็เนื่องด้วยขณะนั้น มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา พาทหารรักษาแผ่นดินอยู่  ในด้านศาสนานั้น เรามองว่า กรณีศาสนาหลายกรณี ทั้งศาสนาอื่น และศาสนาพุทธไทยเราเอง ที่ได้รับการจัดการระงับยับยั้งสิ่งที่จะเป็นภัยต่อศาสนาพุทธไทยเอง  สำหรับศาสนาพุทธไทยนั้นก็มีกรณีธรรมกาย ที่เป็นกรณีที่มีความละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ที่ยากที่จะมีสายตาปัญญาชนมองเห็นอันตรายอันลึกซึ้งนั้นแม้กระทั่งสมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ในฐานะประมุขสงฆ์ตามพระธรรมวินัย จะทรงปฏิบัติหน้าที่ของท่าน ตามธรรมตามวินัย ได้ทรงตัดสินว่า ธัมมชโย เป็นปาราชิก  แต่พระองค์กลับถูกละเมิด ดูแคลน เพราะหมู่สงฆ์ใต้การปกครอง ไม่เคารพในคำตัดสินโดยธรรมโดยวินัยนั้น แสดงอาการตอบโต้ใส่ร้ายพระองค์เสียอีก เท่ากับไม่เคารพธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ธรรมกาย เหิมเกริมไปกว่าเดิมอีีก แต่การที่รัฐบาลประยุทธ สามารถดำเนินการระงับยับยั้ง นั้นแสดงถึงสติปัญญา  และความกล้าหาญทางจริยธรรมอย่างสูงส่ง จึงสามารถจัดการปัญหาธรรมกายลงได้   ทำให้ระบบงานพุทธพาณิชย์ของธรรมกาย  ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่ประกอบด้วยการโฆษณาชวนเชื่อไปอย่างสุด ๆ  เพื่อแสวงหาเงินตราและพณิชยการอย่างโลก ๆ ในระดับมโหฬาร ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง อำนาจ  ที่ยังไปมีส่วนกับการเมืองระบบเบี่ยงเบนไปนอกทางอันตรายเบื้องหลังอย่างลึกซึ้งไปอีก  อันนำระบบสงฆ์ไทยเบี่ยงเบนไปนอกทางปกติของความเป็นสงฆ์สาวก นอกทางมรรคผลนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถจัดการระงับยับยั้งธรรมกายพาณิชย์ลงไป  และนำวิถีทางพุทธธรรมกลับมา เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  นี่นับเป็นบทบาทอันน่าชื่นชมยินดีของพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในด้านการศาสนา   และที่เด่นชัดเจนในบทบาทผลงาน พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ไปอีกก็คือ ผลงานด้าน พระมหากษัตริย์  รวมเป็น ชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ อย่างครบสมบูรณ์  ซึ่งในด้านพระมหากษัตริย์นั้น  ก็คือส่วนที่เกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 นั้นเอง     ซึ่งรัฐบาลประยุทธ อยู่ในฐานะผู้รับผิดชอบอย่างเต็มที่   และได้ปรากฎว่ารัฐบาลได้บริหาร จัดการงานพระบรมศพ ตั้งแต่ต้นจนจบลงไปอย่างสมบูรณ์ ที่ปรากฎผลงานที่ดีออกไปทั้งโลก  โดยที่สุดในการถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2560 นั้น ได้มีกษัตริย์ทั่วโลก ทุกส่วนของทวีปต่าง ๆ  เสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างคับคั่ง   และงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เสร็จสิ้นลงอย่างดี มีพระเกียรติยศแผ่ฟุ้งขจรไปทั่วโลก  ทั้ง 3 ผลงานของพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา  ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 ด้านสถาบันสูงสุด ชาติ ศาสนา(พุทธ) และ พระมหากษัตริย์ ปรากฎว่าเห็นเด่นชัด  สมควรที่หนังสือพิมพ์ดี จะได้ยกย่องเทิดทูนให้เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2560 ของหนังสือพิมพ์ดีต่อไป จึงขอยกย่องท่านพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29  ไว้ ณ ที่นี้  

 

 

จากนี้โปรดติดตามเรื่อง  อื่น ๆ  จากหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53 ได้ต่อไป

 

บรรณาธิการ 

20 ม.ค. 2561

 

 

 

 

 บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี   

พุทธศักราช

 2561 

 

 

 

 

 

 5.1  บุคคลที่ 133 ศรีสะเกษนครหลวงโปรโมชั่น

1. บุคคลที่ 133  ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น

 

 

 

           

(ศรีสะเกษ ส.รุ่งวีระ Sisaket Sor Rungvira แชมเปี้ยนโลกมวยรุ่น World Super Flyweight........สภามวยโลก  WBC เป็นชาวศรีสะเกษ  ได้แชมป์สมัยแรก โดยเอาชนะ  TKO โยดะ ซาโตะ  เจ้าของแชมป์โลกจากญี่ปุ่น ในยกที่ 8.   และทำการป้องกันแชมป์เป็นผลสำเร็จ 3 ครั้ง จึงเสียแชมป์ให้ คาร์ลอส  ที่ เมกซิโก  โดยเกิดแตกยก 8 เพราะหัวชนกันโดยไม่เจตนา  แล้วมาได้แชมป์คืนอีกครั้งหนึ่ง ในการชกวันที่ 18 มีนาคม 2560 โดยได้แชมป์คืนจาก โรมัน กอนซาเลซในการชกที่สหรัฐอเมริกา   การที่ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น สามารถครองแชมป์ได้กลับคืนมาเป็นครั้งที่ 2 คว้าแชมป์มวยโลกยิ่งใหญ่ 115 ปอนด์ ชนะสะใจที่สหรัฐฯ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ชนะ โรมัน กอนซาเลซ, แชมป์ไร้พ่าย 46 ไฟต์  นั้นถือเป็นประวัติการณ์ของแชมป์โลกคนหนึ่งของไทย ผู้ที่มีพลังทางกายและจิตใจที่ไม่ยอมท้อถอย สามารถติดตามชิงตำแหน่งแชมป์โลกคืนมาได้สำเร็จอย่างน่าชื่นชม  
ล่าสุด เดือน ตุลาคม 2561 เขาได้ชกป้องกันแชมป์โลกครั้งล่าสุดกับ Iran Diaz  ซุเปอร์สตาร์จากเมกซิโก  12 ยก ชนะแทบทุกยกก็ว่าได้  รวมแล้ว  ศรีสะเกษชนะเป็นเอกฉันท์  การชกของศรีีสะเกษ บ่งบอกถึงจิตใจนักสู้โดยแท้จริง และเนื่องจากวงการมวยสากลนี้ มวยไทยก็ได้ปรากฎมีชื่อเสียงไปทั่วโลกโดยได้ครองแชมป์มวยโลกรุ่นต่าง ๆ มาตามลำดับ ไม่เคยขาด  ทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงในวงการมวยสากลและมวยไทย ศิลปะมวยไปไปทั้งโลก เพราะในสมัยนี้ ก็ได้ปรากฎว่า มวยไทย ศิลปะมวยไทย  ได้แพร่หลายไปเป็นที่ตื่นตะลึงและเลื่อมใสเป็นที่ต้องการฝึก ร่ำเรียนศิลปมวยไทยของคนทั่วโลก  มีการจัดตั้งเวทีสอนมวยไทย โดยครูมวยไทยในต่างประเทศขึ้นมาตามลำดับ ๆ ในขณะเดียวกัน ศรีสะเกษ ส.โปรโมชั่น ก็ได้แชมป์ มวยสากลมาอย่างเด็ดขาด เสริมสร้างศิลปมวยในประเทศไทยให้เด่นดังไปอีก นี่แหละเหตุผลที่เรายกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี 2560 
 จึงสมควรยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2561 และหวังว่า ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น  จะครองตำแหน่งได้ยาวนานเป็นประวัติการณ์ต่อไป 

 

 

 

 

5.2  นายจิรพันธ์ เพชรขาว 

2. บุคคลที่ 134  นายจิรพันธ์ เพชรขาว  
ที่คนรู้จักว่า หมอ
ปลา  มือปราบสัมภเวสี  ในทีวี ไทยรัฐช่อง 032

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการไสยศาสตร์ ซึ่งในประเทศไทยยุคนี้ การไสยศาสตร์ได้แผ่ออกไปโดยสื่อมวลชนอินเทอเนตอย่างค่อนข้างกว้างขวาง สิ่งที่น่าสังเกตที่เห็นได้จากวงการสื่อทั่วไปก็คือ มีการโฆษณาอ้างอิงอภินิหาริย์เทพเจ้า ต่างๆ มากขึ้น อย่างไม่สอดคล้องหลักสัจธรรมทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ทดลองได้ อย่างมากมายหลายรูปแบบ  โดยเฉพาะไสยศาสตร์ที่ไปเกี่ยวกับเรื่องเจ้า  การเข้าทรง  การทำนายโดยไม่อิงบนหลักการพยากรณ์ที่มีเหตุผล ทำให้ความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผลนี้เข้าครอบความคิดของคนผู้ปัญญาอ่อนครอบสังคมมากขึ้น  แล้วไปมีเบื้องหลังเกี่ยวกับการหวังผลประโยชน์อย่างซ่อนเร้น ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ เช่นมีการทำนายเรื่องร้าย ๆ จนบังเกิดผลทางจิตใจแด่ผู้รับทำนาย แล้วมีการเสนอการรักษาพยาบาลแบบไสยศาสตร์ แล้วครั้นกลับเพิ่มผลร้ายไปกว่าเดิม ก็ต้องหาค่าทำพิธีกรรมมาให้หมอไสยศาสตร์มากขึ้นไปอีก  เสียทรัพย์สินเงินทองให้พวกเจ้าเข้าทรงพวกหมอผี หมอไสยศาสตร์มากขึ้น  พวกที่เผยแผ่อิทธิฤทธิของเทพเจ้า  เช่นเทพในพราหมณ์-ฮินดู เป็นต้น  ก็อวดอ้างอภินิหาริย์เทพเจ้าเกินความเป็นจริง...เช่นอ้างว่าหากมาบูชาเทพองค์นี้แล้ว จะได้ลาภผลอย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้า หรือแท้จริงเป็นการกระทำไปอย่างเอาความเชื่อเป็นหลัก อย่างที่เอาพื้นฐานความเชื่องมงายของคนโง่เขลาเบาปัญญาเป็นหลักการ  ไร้ความจริงโดยสิ้นเชิง  มีเพียงความเชื่อที่ไร้สติงมงายเอามาครอบสังคมให้คนทั้งหลายหลงลืมสติตามไปด้วย  เช่นในการอ้างเทพเจ้า ที่โดยปกติก็จักบันดาลอะไรให้ได้อย่างง่ายอยู่แล้ว กลับไม่ทันใจ  ยิ่งไปอ้างว่าต้องมาบูชาเทพเจ้าองค์นี้ เรียกว่าเทพทันใจ ซึ่งเป็นการหลอกลวงไปมากกว่าเดิมอีก โดยหลอกลวงว่าเทพทันใจนี้แหละบันดาลโชคได้จริงและไม่ล่าช้าเลย เป็นต้น  (ซึ่งหมอผีเช่นนี้แหละที่ได้นำเอาไสยศาสตร์ของตนไปเกี่ยวด้วยกับพระบารมีของพระพุทธเจ้า  ดึงพระพุทธเจ้าให้ตกต่ำลงมาอย่างโง่เขลา ตามหลักการฮินดู ที่อ้างพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารองค์ที่ 9 ของเขา จึงมีอภินิหารย์ช่วยบันดาลให้ได้โชคลาภ เงินทอง หรือแม้ร่ำรวยจากการเล่นการพะนันได้อย่างมากมายมหาศาล  ซึ่งเป็นการกระทำไปอย่างไม่เข้าใจหลักการของชีวิต และหลักการมรรคผลนิพพานตามหลักการของพระพุทธเจ้านั่นเอง) . 

..สำหรับการณีของนายจิรพันธ์ เพชรขาว หรือที่ได้ชื่อว่า  มือปราบสัมภเวสี นั้น สิ่งที่เราได้ยกเขาเป็นบุคคลแห่งปี เนื่องจากวิถีทางไสยศาสตร์ของเขานั้น  เป็นวิถีทางที่ตรงกันข้ามกับวิถีเจ้า เข้าทรงหมอผี  หมอเทพเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ หรือวิญญาณเก่าแก่ ที่ได้บรรยายมาแล้วนั้น  โดยมีข้อเท็จจริงที่มีเหตุการณ์ เกิดจากประชาชนที่ได้รับผลคือถูกครอบด้วยความเชื่อความคิดแบบนั้นจากด้านไสยศาสตร์เช่นนี้  ถูกครอบจากความเชื่อที่งมงายเช่นนี้ แล้วส่งผลไปสู่ปัญหาสุขภาพ ทั้งสุขภาพทางกายและทางใจไปอย่างแปลกประหลาด รวมทั้งผลจากโรคเฉพาะ ซึ่งโดยมากเป็นผลจากโรคที่การแพทย์ยังค้นไม่พบ  รักษาไม่หายสนิท  ผู้ป่วยก็ได้ไปขอรับการรักษาทางไสยศาสตร์ จากพวกทรงเจ้า พวกเข้าทรง  แล้วการไสยศาสตร์แบบคนทรง ที่ทรงเจ้าพ่อ เจ้าปู่ เจ้าเขาบอกให้ทำพิธีไสยศาสตร์อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการสิ่งของวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้มารักษามาทำพิธี ให้จ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้ ..แต่ก็ไม่หาย  เป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินเงินทองแบบไม่รู้จบและยังป่วยไข้แบบแปลกประหลาดต่อไปอีก ที่แพทย์พยาบาลตามหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แก้ไม่ได้ คนที่มีปัญหาเหล่านี้จึงได้มีทางออกจากการช่วยเหลือของ หมอปลา  และหมอปลาได้ทำการช่วยเหลือเป็นผลสำเร็จ  ช่วยชีวิตประชาชน  ช่วยประชาชนผู้ได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วยทางกายและจิตวิญญาณคนแล้วคนเล่า มีเหตุผลตามหลักการทางไสยศาสตร์  มีความจริงใจได้ผลดี จนทางไทยรัฐได้ตั้งฉายาให้ว่า  มือปราบสัมภเวสี  อันมีผลมาจากการไสยศาสตร์จากพวกทรงเจ้า เข้าทรง พวกหมอผี รวมทั้งพวกที่ถือลัทธิ ศาสนาผี เจ้า  เทพเจ้า  เทวดา  ต่าง ๆ ยอมพลีกายและจิตวิญญาณตนเองเป็นร่างทรงให้   ที่หวังลาภผลประโยชน์จากการใช้ไสยศาสตร์เวทมนต์ฝ่ายผี เจ้าเทพ เทวดาฝ่ายพราหมณ์ ฮินดู ทำร้ายให้บาดเจ็บแล้วได้โอกาสขายของ ใช้เวทมนต์รักษา  แต่ก็ไม่จริงใจรักษา  โดยเลี้ยงไข้ไปเรื่อย ๆ  เพื่อตนเองได้ประโยชน์ไปเรื่อย ๆ (ซึ่งความจริงคนทรง ร่างทรงเหล่านี้ ก็เกิดมาจากการที่ตนเองนั้นเองถูกครอบด้วยความเชื่อ ที่ว่ามีวิญญาณเทพเจ้า เจ้าปู่ เจ้าเขา เจ้าที่ เจ้าทาง มาอยู่กับตน...โดยเกิดความระยอบหวั่นเกรง และกลัวในอำนาจของเทพเจ้าเหล่านี้ ขึ้นมาเองแล้วตนเองศรัทธาเลื่อมใสถึงขนาดมอบกายมอบใจให้เป็นทาส เป็นขี้ข้า ผู้สามารถรับคำสั่งไปทำได้ทุกประการ  แม้กระทั่งให้ฆ่าลูกตนเอง เอาเลือดไปบูชาเจ้า ก็เคยมีมาแล้ว ซึ่งนี้เองเป็นสิ่งที่เป็นเพียงความคิดเพ้อเจ้อของตนเอง  หามีความจริงไม่ ...บทบาทของคนทรง ร่างทรงจึงมาจากการอยากได้ชื่อเสียง อยากให้ปรากฎอำนาจของตนออกไปให้คนทั้งหลายได้รับรู้และพากันมาบูชา...แต่แล้ว เนื่องจากไม่ใช่ความจริง  คนทรงจึงไปได้ไม่นาน ดังแล้วก็เสื่อมลง เสื่อมลงไป  ก็กลายเป็นคนอนาถา ที่น่าอนาถ น่าสงสารในสภาพที่ต่ำต้อยด้อยค่าอย่างไม่ใช่มนุษย์ในคราวที่สิ้นสภาพคนทรงไปแล้ว  นั่นเพราะผลที่เกิดจากเพียงความเชื่อ คิดเอาเอง หลงไปเอง  ฝันไปเองเท่านั้น  การทรงจึงเป็นเรื่องของคนผู้ใฝ่ต่ำและโง่งมงายอย่างแท้จริง เพราะที่สุดแล้วชีวิตทั้งชีวิตก็จะตกต่ำและความเป็นคนก็จะหมดสิ้นไปจนไม่อาจจะมาอยู่กับสังคมมนุษย์ ๆ ได้ ต้องหลบ เก็บตัวอยู่ในโลกของตนเองไปอย่างลำบากอดสู่ใจไปตลอดชีวิต)  ...แต่แล้วเมื่อมาพบหมอปลา  หมอปลาก็ทำการรักษาให้หายได้  

 

...สิ่งที่เราเห็นว่าหมอปลา มีคุณค่าแก่บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  ก็คือ  มีการต่อสู้ในทางไสยศาสตร์ ระหว่างหมอผี คนทรงเจ้า เข้าทรง คนในลัทธิศาสนาผี เจ้า ศาสนางู นาค  ศาสนาเทพเทวา พราหมณ์ฮินดู  พวกเทพทันใจ  เทพช้างสามหัว ที่ส่งของมาทำร้ายประชาชน กับ หมอปลา   ซึ่งได้พบความจริงว่า  พวกหมอผี  พวกศาสนาผี เจ้า เทพ เทวดา พราหมณ์ฮินดู  นั้น ใช้วิชาไสยศาสตร์มาทำร้ายประชาชน  โดยใช้เวทย์มนต์ คาถา วิชาทางศาสนาผีศาสนาเจ้า ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู  มาทำร้ายประชาชน  แต่แล้วสำหรับหมอปลา  ผู้ใช้วิชาช่วยเหลือประชาชน ชนะพวกหมอผี มาได้ทุกรายนั้น  หมอปลาได้ใช้เวทย์มนต์ไสยศาสตร์ทางพุทธเป็นหลักการต่อสู้หมู่มารอธรรมของเขา ในการประกอบพิธีรักษาเยียวยาคนเจ็บไข้คนพิการทางมันสมอง กายและวิญญาณ หรือคนที่ถูกครอบด้วยความเชื่ออันงมงาย ทำให้พิการทางมันสมอง พิการทางความเชื่อ ไปสู่ความไร้สติ  ไปสู่ความงมงาย  จนชนะ เอาชนะเรื่องร้ายต่าง ๆ ที่เกิดกับประชาชนอันเป็นผลมาจากไสยศาสตร์หมอผี เทพเจ้าเข้าทรงดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงเวทย์มนต์ที่นักไสยศาสตร์นำไปใช้นั้น  เวทมนต์พุทธ ชนะเวทมนต์ศาสนาผี ศาสนาเจ้า ศาสนาพราหม ฮินดู ...กล่าวคือมีข้อเท็จจริง ว่า  พวกหมอผี  ใช้คาถาอาคม  ที่ไม่ได้มาจากพุทธะ  แต่มาจากเทพเจ้า  อิศวร นารายณ์  พิฆเณศร เทพทันใจ ฯลฯ (พวกเจ้าเข้าทรง หมอผี ผีปอบ  ผีต่างๆล้วนใช้คาถาเทพฮินดูทั้งสิ้น คาถาที่มีมาแต่ดั้งเดิมในพระคัมภีรพระเวทของพรามณ์ฮินดูนั่นเอง) ส่วนหมอปลาใช้ไสยศาสตร์เวทมนต์ที่มาจากพุทธะ  ดังจะเห็นทุกครั้งคราวที่หมอปลาเริ่มต้นการใช้วิชาของเขาด้วยคาถาว่า  นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ (ขอนอบน้อมแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) เสมอไป และตัวเวทยมนต์ที่ใช้ก็เป็นบาลีพุทธมนต์ล้วน ๆ  ซึ่งหมายความว่าเขาได้เป็นศิษย์พุทธะ  และฝากตัวกับพุทธะ ตลอดเวลาต่อสู้กับพวกหมอผี หมอไสยศาสตร์เทพ เจ้า  พวกเข้าทรงทั้งหลาย  และแม้ตัวคาถาอาคมเองนั้น แท้จริงก็เอามาจากพุทธวาทะ หรือพุทธมนต์ทั้งสิ้น  ชัยชนะของเขา จึงบอกความจริงว่า  เวทย์มนต์ ที่มาจากพุทธะ หรือ พุทธศาสนา ซึ่งแท้จริงก็คือบาลีเวทมนต์พุทธแท้ ๆ นั้นเอง  ที่พิศูจน์ออกมาจากหมอปลาว่า ไม่อาจจะมีไสยศาสตร์เวทมนต์ที่มาจากหมอผี ศาสนาผี ศาสนาเจ้า พราห์มฮินดูเอาชนะได้  นั่นเอง 

หมอปลาจึงเป็นผู้ที่ได้พิศูจน์ถึงชัยชนะของเวทมนต์ที่มาจากพุทธะ ที่แสดงว่าพุทธะเป็นฝ่ายชนะมารเสมอไป พวกเทพเจ้าทั้งหลาย มาร  ผี ปีศาจ พระเจ้าหัวช้าง3งวงสามหัว  นาค 7 - 9 เศียร ทั้งหลาย ไม่อาจจะต้านทานพระพุทธเวทได้  นั่นเอง อนึ่ง ในการทำงานช่วยเหลือของหมอปลา ๆ ก็ได้พยายามบอกให้รู้ให้เข้าใจในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น  ว่าไม่มีเจ้าปู่ เจ้าเขา ไม่มีอำนาจเทพเจ้า อำนาจใดใด เนื่องมาจากความเชื่ออันงมงายแท้ ๆ ทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นได้(ดังเช่นมีการฆ่าโดยเกิดจากความคิดงมงายว่ามีเทพเจ้าสั่งการลงมาให้ฆ่า  แม้กระทั่งฆ่าลูกของตนก็เคยมีมาแล้วในสังคมคนเชื่อเจ้า สังคมคนทรง ร่างทรง) เพียงแต่จิตใจเข้มแข็งไม่เชื่อ และใช้สติปัญญาตรึกตรองดูตามเหตุตามผลแบบธรรมชาติเท่านั้นเอง  ก็รอดพ้นจากปัญหาการถูกครอบทางไสยศาสตร์ได้และสังคมเจริญทางสติปัญญาไปได้ ไม่ถูกครอบด้วยความเชื่ออันงมงายล้าหลัง ที่ถ่วงความเจริญของสังคมลงไปจากเรื่องไร้สาระแท้ ๆ   ดังจะเห็นว่าหมอปลา ได้ออกแรงแสดงการทำลายศาลเจ้า ทำลายจอมปลวกอภินิหาริ์ย์ต่าง ๆ ให้ดู รวมทั้งไปค้นหาของดี ของอาถรรพ์ ของที่เจ้าให้มาบูชา ติดต่อเทพเจ้า ที่คนป่วยรับเอามาจากเจ้าปู่ เจ้าพ่อ  คนทรงเจ้า หรือร่างทรง ออกมาทำลายเสียหมดทุก ๆ รายไป ว่านั่นแหละตัวปัญหาความเชื่อ ที่มาครอบเอาได้เพราะเพียงความเชื่อ นอกนั้นหมอปลากระทำไปด้วยประสงค์ช่วยเหลือคนที่ถูกกระทำอย่างโง่เขลา ก็เห็นได้ว่ามิได้เป็นธุรกิจ  มิได้มีการเรียกร้องค่าตอบแทนสินไหมอะไร เหมือนพวกเจ้าเข้าทรงพวกนั้น  อันบอกถึงจิตใจเมตตาช่วยคนเดือดร้อนให้พ้นทุกข์  และการดำเนินวิถีไปทางธรรมมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า และในเมื่อเป็นเช่นนี้ คือย่อมกลายเป็นฝ่ายตรงข้าพวกไสยศาสตรเจ้า ทรง เทพงู เทพช้าง เทพทันใจ  ฯลฯ  แน่นอน  เขาย่อมมีศัตรูเป็นจำนวนมาก โดยพวกที่ถูกเปิดเผยความจริงโดยหมอปลาเป็นผู้เปิดเผยนั่นเอง ย่อมเป็นศัตรูของเขาโดยอัตโนมัติ ปรากฏเป็นข่าวมาโดยตลอด  แต่นั่นแหละผู้ทรงธรรมผู้ที่ไม่โลภ  ผู้ที่มีจิตคิดเมตตาคนผู้เดือดร้อนและตนมีวิชาช่วยได้ ย่อมชนะเสมอไป   หมอปลา หรือ นายจิรพันธ์ เพชรขาว จึงเป็นบุคคลที่มีคุณค่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  2561 อย่างแท้จริง

 

 

5.3  บุคคลที่ 135  Robert spencer 

3. บุคคลที่ 135 ROBERT SPENCER   
ผู้เขียนเรื่อง  The Truth about Muhammad
 

 

เขาเขียนลงในคลิป บีบีซี ว่าดังนี้

เปิดโปงอัปรีย์พาล อภิบาลคุณธรรม   

12 มีนาคม ·

ความจริงของอิสฺสะลาม 

 

 

ศาสะนาอิสฺสะลามนั้นแท้จริงไม่ได้เป็นศาสะนาที่มุ่งหวังประโยชน์ในสัมปรายภพ หากแต่เป็นลัทธิมอมเมาเพื่อประโยชน์แก่การปกครอง การปกครองของผู้ปกครองประเทศทั่วๆ ไปมักใช้หลักกฎหมายและขู่ด้วยอาญาซึ่งสัมผัสได้ แต่อิสฺสะลามนั้นคือการปกครองด้วยกฎและการครอบงำทางจิตใจ นบีมูฮัมหมัดนั้นอ้างสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ว่าเป็นผู้สร้างโลก มีนามว่าอัลเลาห์ และเป็นผู้ออกคำสั่งในอัลกุรอานซึ่งแท้จริงเขียนโดยนบีฯเอง โดยนบีฯอ้างว่าอ้สเลาะน์นั้น สั่งให้ฆ่าและให้ลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตาม เช่น ให้ฆ่าผู้ออกจากศาสะนาอิสฺสะลาม ให้ฆ่าหรือให้ข่มขี่หรือให้เก็บส่วยจากผู้ไม่ยอมเข้ารับอิสฺสะลาม เป็นต้น ซึ่งถ้าเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่า คำสอนเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นคำสอนของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา แต่ควรจะเรียกว่ากฎข้อบังคับของกองกำลังทหารมากกว่า หลายประเทศชื่นชอบการปกครองจิตใจด้วยวิธีอย่างนี้ เพราะมันง่ายที่จะปกครองประชาชน ประชาชนไม่กล้าหือ สังเกตได้จากหลายๆ ประเทศที่มีการปกครองแบบอิสฺสะลามเต็มรูปแบบมักเป็นการปกครองแบบเผด็จการถาวร หรือไม่ก็เป็นระบอบสุลต่าน ทั้งๆ ที่ประเทศทั่วไปที่มีศาสะนาอื่นเป็นศาสะนาประจำชาตินั้นเลิกใช้ระบอบเผด็จการหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปนานแล้ว  

 

ชาวมฺสฺลิมอ้างว่าศาสะนาอิสฺสะลามเป็นศาสะนาแห่งสันติ แต่มักจะไม่พูดให้สุดว่า สันตินั้น เกิดจากคนทุกคนพื้นที่นั้นๆ ต้องเป็นอิสฺสะลาม และมีการปกครองตามกฎของศาสะนาอิสฺสะลาม(ที่เรียกว่า ชารีอะฮ์) ศาสะนาอิสฺสะลามจึงมักมีการพยายามจะเข้าไปแทรกแซงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและศาสะนาของประเทศนั้นๆ ให้เป็นไปตามแบบอิสฺสะลาม แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนในโลกนี้ควรจะมีสิทธิเสรีในนับถือศาสะนาต่างๆ ตามบรรพบุรุษและตามความเชื่อของตน และควรจะมีสิทธิ์ที่จะหวงแหนวัฒนธรรมอันเป็นมรดกชาติของตน ซึ่งแม้แต่มฺสฺลิมด้วยกันเองบางคนก็ไม่เคร่งตามคัมภีร์ของอิสฺสะลาม จึงไม่แปลกใจที่เรามักจะเห็นหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่มีอิสฺสะลามเป็นประชากรจำนวนมาก มักจะเต็มไปด้วยความไม่สงบ มักมีการจัดตั้งกลุ่มติดอาวุธ มีการก่อการร้าย อยู่ตลอดเวลา แต่ที่น่าแปลกใจคือ ฝรั่งในคลิปนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทย แต่ก็พูดถึงอันตรายของอิสฺสะลาม ในการที่พยายามจะกดขี่ผู้นับถือศาสะนาอื่น ในการที่พยายามจะทำอิสฺสะลามให้เหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชน และในการพยายามจะกำจัดชนต่างศาสะนาที่ไม่ยอมเข้ารับอิสฺสะลาม ซึ่งมันก็ตรงกันกับที่ประเทศไทยก็ประสบอยู่ในหลายๆ ที่. 

 

ขอให้ทุกๆ ท่านดูคลิปนี้ แล้วลองวิเคราะห์เทียบเคียงกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและในข่าวในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แล้วทุกท่านจะทราบว่า ฝรั่งสองคนในคลิป พูดจริงหรือไม่ 

@เปิดโปงอัปรีย์พาล อภิบาลคุณธรรม 

 

 

 

เขาคือ โรเบิรต สเปนเซอร์ (Robert Spencer)คนซ้ายมือในภาพนี้  ผู้เขียนหนังสือเรื่องล่าสุดของเขาคือ  The Truth about Muhammad ความจริงเกี่ยวกับมุฮัมมัด  โดยเขียนลงใน  The Newyork Times  และปรากฏว่าแป็นหนังสือที่ขายดีมาก  ฐานะของเขาคือ Islam Expert  (ผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสนาอิสลาม) ผู้ที่ได้ติดตามเรื่องราวของนักรบศักดิ์สิทธิ์ หรือ จิฮัดส์ ของอิสลาม(ซึ่งหมายถึงนักรบผู้ขึ้นตรงต่อพระเจ้าอัลเลาะห์ รับคำสั่งจากอัลเลาะห์...ผ่านนบีมุฮัมมัดโดยตรงและแน่นอนนักรบพวกนี้ถวายชีวิต มอบชีวิตแด่อัลเลาะห์อย่างไม่มีข้อสงสัยใดใด ในคำสั่งทุกประการ และนักรบศักดิ์สิทธินี้ได้เป็นแนวหัวหอกแห่งอิสลามในปัจจุบัน ในนามของ ไอสิส ISIS ผู้ที่โดยหลักการของศาสนาอิสลาม ตามพระคัมภีร์อัล กุรอาน สามารถกระทำการรบ เข่นฆ่าศัตรู ผู้ที่ได้ชื่อว่าทรยศต่อพระเจ้าอัลเลาะห์ของเขาใดใดได้อย่างไม่เป็นบาปกรรมใดเลย) มาตลอด จนได้รู้เรื่องของอิสลามดีว่าแท้จริงเป็นอย่างไร และซึ่งเขาได้นำมาเปิดเผยในหนังสือเล่มนี้  และตามภาพนี้ เป็นภาพที่ BBC.ได้เชิญเขาไปสัมภาษณ์ ถามถึงเรื่องราวที่เขาเขียนออกมา เปิดเผยความจริงของ นบีมุฮำมัดแห่งศาสนาอิสลาม ซึ่งโรเบิร์ต สเปนเซอร์ ระบุว่า มุฮำมัดเป็นคนรุนแรงใฝ่ในอำนาจเหมือนนายทัพนายกองผู้ใฝ่ขยายอำนาจของตนไปแบบโลกาภิวัตน์ นั่นเอง  ไม่ใช่ศาสนาหรือ ศาสดาอะไรเลย  เรื่องที่มุฮำมัดเขียนออกมา คือพระคัมภีร์อัลกูรอาน นั้น มิได้มีลักษณะเป็นคัมภีรศาสนา แต่เป็นอุบายในการรบเท่านั้นเอง มีจุดมุ่งหมายหลอกลวง หลอกใช้คนเข้ามาร่วมรบทำสงครามกับเขา โดยอ้างเอาพระเจ้าเป็นผู้ออกคำสั่งมา  และการจะทำอะไรไปให้ตรงความประสงค์ของตน ก็อ้างเอาพระเจ้า ว่าที่เขาวางแผนอะไรไปคิดทำอะไรล้วนมาจากคำสั่งพระเจ้า  อ้างอำนาจพระเจ้ามาหลอกลวงประชาชนเท่านั้น   และผู้ที่ถูกหลอกลวงก็คือ มุสลิมทั้งโลกนั่นเอง 

 

 

 

โดยสรุป  หนังสือถูกตีพิมพ์เป็นเล่มลงวันที่  15 ก.ย. 2549 ปรากฏว่ารัฐบาลประเทศปากีสถาน สั่งยึดหนังสือทุกเล่ม และแบนหนังสือเขา  ใน 3เดือนต่อมานั่นเอง โดยหาว่าเป็นวัตถุต้องห้าม  คือวันที่ 20 ธ.ค. 2549 ตามข่าวที่รายงานว่า 

The government of Pakistan confiscated all copies of the book and banned it on 20 December 2006 citing "objectionable material" as the cause.[4] Spencer responded that the book does not assert anything that is not readily verifiable in the sunni sources he provides.[5] 

 

แล้วต่อมา  มีนักเขียน วิจารณ์หนัก กล่าวหาว่าสเปนเซอร์ ตั้งใจให้เกิดความเข้าใจผิดเอาข้อมูลมาอย่างละเอียดเพื่อเพาะให้คนเกลียดชังอิสลาม ดังเช่น Deepika Bains กับ  Azizza Ahmed  ที่มีข่าวการวิจารณ์ว่า

 

 

Two academics from Berkeley, Deepika Bains and Aziza Ahmed, strongly criticized the book, pointing out structural problems, as well as "deep substantive flaws", such as unfounded assertions and conclude that: "With its lack of analysis, absence of historical context, and gaps in information. Robert Spencer's The Truth About Muhammad accomplishes Spencer's goal of vilifying Muslims and misinforming readers about Islam." Furthermore, "Spencer frames his book partly as a testament to the importance of the freedom of speech.' However, Robert Spencer exercises his right to free speech free from responsibility, choosing instead to inspire hatred and encourage intolerance."[6] 

  

 

นักวิชาการ 2 คนจาก Berkeley คือ Deepika Bains กับ Aziza  Ahmed  วิจารณ์หนังสือเล่มนี้อย่างแรงโดยชี้ว่าขาดพื้นฐานความเข้าใจ พอ ๆ กับผิดพลาดอย่างลึกซึ้งในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือของอิสลาม  และสรุปว่า มีการบกพร่องของงานเขียน งานวิจารณ์ ขาดตกบกพร่องในฐานะทางประวัติศาสตร์และเรื่องข้อมูลข่าวสารสำคัญเกี่ยวกับอิสลาม  กล่าวว่า สเปนเซอร์ เพียงแต่มีความมุ่งหมายที่จะให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนมุสลิม และมุ่งหมายบอกเรื่องที่ผิด ๆของอิสลามให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในอิสลาม  ให้เกิดความเกลียดชังในอิสลาม  นี่เป็นประสงค์อันสูงสุดของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ 

 

 

 

 

David Thompson wrote in The Guardian that: "Robert Spencer provides a detailed and timely riposte to common misconceptions, outlining the mismatch between belief and historical reality and documenting the ways in which Muhammad's own deeds and purported revelations are used verbatim to mandate intolerance, xenophobia and homicidal 'martyrdom'." Concluding with "Denial, as they say, is not just a river in Egypt."[7] 

 

David Thompson วิเคราะห์ไว้ใน The Guardian ว่า ทำนองเดียวกันกับนักวิชาการจากเบอร์เลย์  ว่า โรเบิร์ต สเปนเซอร์ หารายละเอียดมามากมายเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ทางความเชื่อ ความเข้าใจที่ผิดพลาดต่ออิสลาม  เป็นต้นว่าเรื่องความเชื่อกับความจริงทางประวัติศาสตร์และชี้ให้เห็นว่า วิธีที่มุฮำมัดดำเนินการกระทำไปและเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่มุฮำมัดได้กระทำไปผิดๆ 

 

 

ส่วนนักวิจารณ์อีกฝ่ายหนึ่ง ที่เห็นด้วยอย่างมากกับสเปนเซอร์  มี 2 คน คือ Amndrew C. McCarthy  กับ  Bruce Thornton 

 

 

Andrew C. McCarthy wrote in National Review that this book is important and that everybody should read it: "Robert Spencer graphically illustrates the depth of our folly in thinking — or, rather, blithely assuming — otherwise. An alarming book, and a necessary one."[9] 

 

 

โดยที่ Amndrew C. McCarthy เขียนลง National Review ว่าเป็นหนังสือที่มีความสำคัญที่ทุกคนควรจะได้อ่าน และแล้วจะได้พบว่าโรเบิรต สเปนเซอร์ ให้ทำให้พวกเราเองเห็นว่ามีการนึกคิดอย่างที่โง่เขลาในเรื่องอิสลาม อย่างลึกซึ้ง โดยไปเข้าใจว่าอิสลามเป็นหรือมิฉะนั้น หากไม่เช่นนั้นก็เป็นการให้สิ่งสมมติที่เบิกบานแก่เรา   เป็นหนังสือที่เตือนภัยและมีความจำเป็นที่ต้องมีหนังสือเช่นนี้ 

 

 

 

Bruce Thornton wrote about this book: "Spencer's new book continues this important service of arming us with the facts we need in order to understand an enemy who wants nothing from us other than our conversion, death, or subjection. ... Unless we heed people like Robert Spencer, it seems that only another graphic example of jihadist violence within our borders has a chance of teaching us the history of the enemy."[10]  

ว่า หนังสือของสเปนเซอร์เล่มใหม่นี้ ได้ให้การรับใช้ที่สำคัญในเรื่องการติดอาวุธทางปัญญาให้เรา โดยให้เราเข้าใจศัตรูของเราผู้ซึ่งไม่หวังอะไรตอบแทนจากเรา มากไปกว่าการสนทนากับเรา  ความตายของเรา หรือการตั้งหัวเรื่องขึ้นมาให้ติดตามกันไป หากไม่มีคนอย่างสเปนเซอร์ เสียแล้วดูเหมือนว่า พวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ จิฮัดส์ ทางขอบชายแดนเราจะมีโอกาศสอนเรามากขึ้นในเรื่องประวัติศาสตร์ศัตรูของเรา   

 

สิ่งที่เราหนังสือพิมพ์ดี ได้ยกย่อง Robert Spencer เป็นบุคคลแห่งปี ก็เนื่องมาจาก การเขียนหนังสือเล่มนี้  The Truth about Muhammad เป็นการแทงทะลุเข้าไปสู่ความเป็นจริงเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และ มุฮัมมัด ศาสดา ผู้ประกาศศาสนาอิสลาม โดยเรียกตนเองว่า นะบี (ผู้ที่สื่อสารกับพระเจ้าอัลเลาะห์ได้) คนนี้  ที่โลกควรจะต้องรู้และได้เห็นภัย คือความไม่ถูกต้องของคำสอนของ มุฮัมมัด ซึ่งทำให้โลกส่วนหนึ่งเกิดสงคราม  เกิดการต่อสู้ เกิดความรุนแรงมาโดยตลอดตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวในนามพระเจ้าอัลเลาะห์ในโลกนี้ ตามคำสอนนั้นจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ในซีเรียที่มีการตายเพิ่มไปเรื่อย ๆ  ที่ 4 ปีหลังสุดตั้งแต่เกิด ไอสิสขึ้น มีการตายไปถึงสองแสนห้าหมื่นคน คนอพยพซึ่งล้วนเป็นมุสลิมนั้นเอง 11 ล้านคนไปแล้ว ดังที่กลายเป็นปัญหาของประเทศต่าง ๆ อยู่ทั่วโลก ตามข่าว : 

More than 250,000 Syrians have lost their lives in four-and-a-half years of armed conflict, which began with anti-government protests before escalating into a full-scale civil war. More than 11 million others have been forced from their homes as forces loyal to President Bashar al-Assad and those opposed to his rule battle each other - as well as jihadist militants from so-called Islamic State. This is the story of the civil war so far, in eight short chapters.

เมื่อมีการติดตามศึกษาอิสลามไปมาก ๆ ขึ้น อย่างเช่น Robert Spencer ก็ย่อมจะไปเน้นย้ำถึงสิ่งที่เป็นความจริงเกี่ยวกับอิสลามและโลกได้รู้ความจริงนั้น อย่างถูกต้อง เราจึงขอประกาศ Robert Spencer เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2561

 

 

 

5.4  บุคคลที่ 136  วรรรญา วรรณพงษ์ 

4.บุคคลที่ 136.... วรรรญา วรรณพงษ์

 

 

 วรรรญา นามพงษ์ เด็กหญิงอายุ 11 ขวบ เกิดวันที่  3 กุมภาพันธ์ 2550 นักเรียนชั้น ป.6 ร.ร.สุวิทย์เสรีนุสรณ์ เขตประเวศ์ กทม.  ได้เข้าแข่งขันใน  1 st FAI DRONE RACING CHAMPIONSHIPS 20้18 ระหว่างวันที่ 1- 4 พฤศจิกายน 2561 ณ เมืองเซิ่นเจิ้น มณฑลกวางตง สาธารณรัฐประชาชนจีน  ได้แชมป์เหรียญทองประเภทบุคคลหญิง กลายเป็นแชมป์บินโดรนที่อายุน้อยที่สุดในโลก  คว้าเงินรางวัล 8000 ดอลลาร์หรือ 254,000 บาท   โดยก่อนหน้านี้ น้องมิลค์ได้เข้าร่วมการแข่งขันโดรน เรซซิง โอเพ่น(2018 China Drone Racing open)จัดขึ้น ณ นครเซิ่นเจิ้น เช่นเดียวกัน วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เธอคว้าแชมป์มาครอง โดยสามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลกมากว่า 70 คน  ในขณะที่เข้าแข่งขันชิงแชมป์โดรนเรซซิง 1-4พ.ย.2561 ที่รับรองโดย FAI นั้นเธอพบคู่แข่งสำคัญเพียง 3 คนคือ จากเกาหลีใต้  ใต้หวัน  และ สหรัฐอเมริกา และเธอเป็นผู้ชนะเป็นแชมป์เหรียญทองประเภทบุคคลหญิง ส่วนแชมป์โลกประเภทชายคือ รูดี้ บราวนิง  วัย 15 ปี จากออสเตรเลีย ที่ชนะคู่แข่ง 129 คนจาก 34 ประเทศทั่วโลก 

การฝึกเล่นโดรนของเธอมีมาแต่อายุ 8 ขวบ  มีบิดาคือนายอาวุธ วรรณพงษ์ เป็นผู้ฝึกให้  และเป็นครูโดยตรง  ที่ได้ติดตามลูกศิษย์ไปอยู่ใกล้ชิดตลอดการแข่งขัน และคว้าชัยชนะมาได้โดยตลอด   และทั้งหลังชัยชนะที่เมืองเซิ่นเจิ้น มณฑลกว่างตง สาธารณรัฐประชาชนจีนจีนแล้ว  ต่อมาไม่นานคือวันที่ 9-11 พ.ย.2561 วรรรญา ยังได้เข้าแข่งขันชิงแชมป์นานาชาติที่ฮ่องกงอีก โดยคว้าแชมป์โดรนรุ่น International Challenge โดยการเชิญนักบินฝีมือดีเยี่ยมจาก 9 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน งาน ALISPORTS WESG Hongkong Exports Festival 2018 International Drone Racing Challenge 9-11 พ.ย.2561 และได้ชัยชนะเป็นแชมป์นานาชาติของฮ่องกงอีกด้วย   กลายเป็นแชมป์ 2 เวทีในปีเดียวกัน 

ฉะนั้น ด้วยความสามารถของเด็กไทยวัยประถมอายุเพียง 11 ปี  เมื่อเป็นแชมป์โดรนโลก พร้อม ๆกันถึง 2 เวที ก็ยังได้ชื่อเสียงไปอีกว่าแชมป์ผู้อายุน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีเด่นยิ่งยอดของเด็กไทย เลยที่ว่าเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อนึ่ง มีอีก 2 อย่างสำหรับการให้คะแนนบุคคลแห่งปี หนึ่ง เธอพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง ฟังคำตอบของเธอ คำถามของนักข่าวต่างประเทศก่อนออกไปว่า I'm very happy and thank you all sponsors  ฟังน่ารักมากเลย  และ สอง เธอไม่ยิ้ม เป็นคนไทย เด็กไทยที่ไม่ยิ้ม  ซึ่งเรามองว่าเป็นคนเอาจริง ถ้ายิ้มก็จะมักเล่นไม่เอาจริง  และที่จริง  นี่คือสมาธิที่นิ่งแน่วแน่มากเลย  ขณะที่เธอแข่งขันอยู่นั้น ระดับสมาธิของเด็กน้อยอายุ 11 คนนี้คงเข้าถึง  อุปจาระสมาธิ ไปเลยละ จึงสมควรกับตำแหน่งบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2561  และหวังว่าเธอจะต้องสร้างสรรค์กีฬาโดรนของเธอไปอย่างน่าประทับใจคนทั้งโลกต่อไป

 

 

 

 

 

5.5  บุคคลที่  137  ประธานาธิบดีสโลวาเกีย

5.บุคคลที่ 137...... ประธานาธิบดีสโลวาเกีย

ผู้ประกาศคว่ำศาสนาอิสลาม  ตามคลิปที่แผ่ไปทั่วโลก  ดังนี้คือ “ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้” 

โดยมีข้อสรุปออกมาใต้ภาพนี้ว่า

 

 ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้

 

.........   ผู้ประกาศอย่างสั้น ๆ ว่า  ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้”    ผู้สร้างประวัติศาสตร์อีกท่านหนึ่งในฐานะประธานาธิบดีประเทศใหญ่ ที่ต้านศาสนาอิสลาม  เรามองว่า  คนที่ประกาศออกมาเช่นนี้  อย่างเด็ดขาดเช่นนี้  นั้น ย่อมเป็นบุคคลใดก็ตาม  ผู้ที่ได้เข้าใจ ได้รู้แจ้งเรื่องศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง ว่าไม่ใช่ศาสนาแต่อย่างไร   คำสอนของอิสลาม  เป็นคำสอนที่ผิดหลักการแห่งศาสนจริยธรรม และหลักการมนุษยธรรมมานานร่วม 1500 ปีแล้ว  เพราะมาพร้อมกับความรุนแรงและสงคราม ตามลำดับ ๆ ถึงปัจจุบันนี้  คำสอนในคัมภีร์อิสลามจึง เป็นเพียงเล่ห์กลอุบายของการหลอกประชาชนไปรบไปสร้างประโยชน์ให้ผู้นำอิสลามเท่านั้น  ประชาชนทั้งปวง หรือ มุสลิมทั้งหลาย  ล้วนเป็นทาสที่ใบ้เบื้อ ที่ถูกหลอกอย่างไร้เมตตาจากผู้ปกครองขององค์การศาสนาอิสลามทั้งสิ้น    เช่นเดียวกับผู้นำประเทศหลายประเทศที่เริ่มเข้าใจบทบาทที่ไม่ชอบธรรมขององค์การอิสลาม หรือศาสนาอิสลาม  ตามที่ปรากฏมาระยะปัจจุบันนี้ เริ่มแต่ ……

………ประธานาธิบดี โชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส  แห่งแองโกลา ประกาศคำสั่งแบนศาสนาอิสลาม  เป็นประเทศแรกของโลก        แองโกลาได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศแบนศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา ออกมายืนยันที่กรุงลูอันดา เมืองหลวงของประเทศว่า จุดจบของศาสนาอิสลาม” ในแองโกลาได้มาถึงแล้ว  ......ตามรายงานข่าว เดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ..

...........จากนี้ก็มีรายงาน   นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย  จูเลีย กิลลาด กล่าวว่า มุสลิมที่กำลังเรียกร้องกฎหมายอิสลาม หรือ ชะรีอะห์ ได้ถูกขอให้ออกจากประเทศออสเตรเลียภายในวันพุธ เพราะว่าออสเตรเลียมองมุสลิมบ้าคลั่งเป็นผู้ก่อการร้าย สุเหร่าทุกแห่งจะให้ความร่วมมือกับเราในการค้นหามุสลิมกลุ่มนี้ มุสลิมที่อพยพจากประเทศอื่นเข้ามาอาศัยในประเทศออสเตรเลียจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับประเทศของเราและไม่คาดหวังที่จะเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างเขา ถ้าหากทำไม่ได้ เรายินดีเชิญให้ออกจากประเทศของเรา    มีคนออสเตรเลียจำนวนมากที่เป็นกังวลว่าเราอาจกำลังดูหมิ่นศาสนา... แต่ดิฉันขอให้ความมั่นใจกับประชาชนของประเทศออสเตรเลียว่าสิ่งที่ดิฉันดำเนินการอยู่นี้เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับประเทศและประชาชน

 

....…จากนั้นก็มาถึง วลาดีมีร์ ปูติน   ในฐานะผู้นำประเทศรัสเซียมหาอำนาจ  ได้เจอปัญหาผู้อพยพลี้ภัยมุสลิม  เช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เช่นฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ประเทศตะวันตก และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ  และวาทะที่ท่านประธานาธิบดีปูตินกล่าวออกมาสั้น ๆ   แต่บ่งบอกความหมายที่ชัดเจน  เป็นธรรม ดังในภาพที่ประกอบนี้ออกมาสั้น ๆ ที่ว่า......"ถ้าอยากทำมาหากินอยู่ในรัสเซีย ต้องเคารพกฎหมายเคารพวัฒนธรรมของรัสเซีย ถ้าชอบกฎอิสลามหรือ อยากใช้ชีวิตตามวิถีอิสลาม ให้ไปอยู่ประเทศที่เป็นอิสลามด้วยกัน เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม เราจะไม่ให้สิทธิใดใด"  แต่ก็พอที่เราจะเห็นได้ว่า  ท่านวลาดีมีร์ ปูตินนั้นมีความเด็ดขาดอย่างไร   ต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในประเด็นมุสลิมอพยพ ในประเทศรัสเซีย และประเด็นคำสอนของอิสลามที่สอนให้มุสลิมสาวกกระด้างกระเดื่องอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่คำสอนระบุว่าเป็นกาฟิร์ 

 

........  แล้วมาถึงจอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนปัจจุบัน พอเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ประกาศให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลกครั้งที่ 3 ทันที และประกาศไม่รับผู้อพยพมุสลิมจาก 7 ประเทศ  มี อิหร่าน [Iran], อิรัค [Iraq], ลิเบีย [Libya], โซมาเลีย [Somalia], ซูดาน [Sudan], ซีเรีย [Syria], and เยเมน[Yemen].โดยเหตุผลที่ว่า เพื่อป้องกันประเทศจากผู้ก่อการร้ายต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกา  [Protecting the Nation From Foreign Terrorist Entry Into the United States]

 

....….แล้วมาถึงประธานาธิบดีสโลวาเกีย ที่ประกาศอย่างเด็ดขาดสั้น ๆ ว่า   ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้”    ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังสือพิมพ์ดี มีความพอใจยกย่องให้ท่านประธานาธิบดีสโลวาเกียเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2561

 

 

 

 

 

ฉะนั้น ในหนังสือพิมพ์ดีเล่มนี้ เราจึงขอยกย่อง  ศรีสะเกษ โปรโมชั่น แชมป์โลก WBC รุ่น 115 ปอนด์หมอปลา จิรพันธ์ เพชรขาว มือปราบสัมภเวสีวรรรญา  วรรณพงษ์  แชมป์โดรนโลกอายุ 11 ปี ,โรเบิรต สเป็นเซอร์,  ประธานาธิบดีสโลวาเกีย   ,      เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2561 ของหนังสือพิมพ์ดี  และหวังว่าท่านจะได้จำเริญงอกงามต่อไปทางปัญญา ยิ่งขึ้น  ตลอดกาลนานอนาคต    

และได้โปรดติดตาม ดี เล่มที่ 54 ต่อไป 

 

บรรณาธิการ
15 ธ.ค. 2561 

 

 

 

 
 
บุคคลแห่งปี ของหนังสือพิมพ์ดี
พุทธศักราช 2562  

 4.2.1  เทรีซ่า แมรี่ เมย์ 

 

 1.     บุคคลที่ 138   Theresa Mary May (เทรีซ่า แมรี เมย์)          

 

         อดีต นรม.สหราชอาณาจักร หน.พรรค conservative party (อนุรักษ์นิยม) ระหว่างพ.ศ. 2559 – 2562 

 

 

 

 

 

 

เมย์เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร หลังประชาชนอังกฤษทำประชามติยืนยันเจตจำนงว่าต้องการให้สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปเป็นเหตุให้นายเดวิด คาเมรอน นากยกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ภารกิจของเธอตั้งแต่ก้าวขึ้สู่ตำแหน่งคือการผลักดันการแยกตัวนี้ให้สำเร็จ   

ตลอดการดำรงตำแหน่งมีการผลักดันเรื่องนี้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 3 ครั้งและล้มเหลวมาตลอด   

เมย์ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องออกจากตำแหน่งด้วยประเด็นความสัมพันธ์กับยุโรป ก่อนหน้านี้มากาเร็ต แทชเชอร์ จอห์น เมเจอร์ และเดวิด คาเมรอนก็ลาออกด้วยประเด็นเดียวกัน   

 

 

เทรีซา เมย์วางแผนจะลาออกจากตำแหน่งภายในวันที่ 7 มิถุนายน หลังกำหนดการพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา และร่วมพิธีรำลึกวันยกพลขึ้นบก และจะเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการจนกระทั่งพรรคอนุรักษ์นิยมเลือกผู้นำคนใหม่ได้   

โพลล์สาธารณะและผู้รับพนันถูกกฎหมายในประเทศเชื่อว่าหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ซึ่งจะกลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไปคือ บอริส จอห์นสัน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีมหานครลอนดอน โดยในครั้งนั้นดึงคะแนนเสียงจากผู้สนับสนุนพรรคแรงงานได้เป็นจำนวนมาก

 

  นอกจากนี้ อดีตรัฐมนตรี แอนเดรีย ลีดซอมที่เพิ่งลาออกจากคณะรัฐมนตรีของเมย์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็กล่าวว่ากำลังพิจารณาสมครเข้ารับตำแหน่งแทนหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน

 

 

ในปี2561  เมย์  ได้ออกหนังสือเชิญชวนคนทั้งโลก ให้ร่วมกันฉลองสมโภชน์วันวิสาขบูชา  ด้วยข้อความต่อไปนี้    

 

 ข้าพเจ้ามีความประสงค์อำนวยพรให้ท่านและสังคมของท่านทั้งหลาย ได้พบกับความสุขในวันวิสาขบูชา ที่ฉลองวันประสูติ วันตรัสรู้ และ วันนิพพาน ของพระพุทธเจ้า   วันวิสาขบูชาเตือนเราให้รำลึกถึงความสำคัญของ การให้  ของจริยธรรม  และ  การกระทำความดี   การปฏิบัติธรรมที่เป็นสิ่งที่โลกปัจจุบันนี้ต้องการมาก

ประเทศสหราชอาณาจักร เป็นดินแดนที่มั่งมีกว่าที่อื่น  ด้วยเป็นผลมาจากที่มีสมาคมชาวพุทธหลายสมาคม  พระพุทธศาสนาสอน ความชำนาญสำคัญ ๆ หลายอย่าง   เช่น เรื่องจิตใจที่อิ่มเต็ม   พอ ๆ กับสอนเรื่อง ความสำคัญของ ความเชื่อมั่นในตัวเอง   มันสืบต่อให้เราระลึกความสำคัญของสิ่งแวดล้อม  และความจำเป็นที่เราต้องรักษามันเอาไว้ เพื่ออนุชนรุ่นหลัง ที่จะตามเรามา 

ขอให้พวกเราทุก ๆ คน ได้ร่วมฉลองวันวิสาขบูชานี้ ทั้งที่อยู่ในสหราชอาณาจักร  และ  อยู่ต่างประเทศ  ถือเอาโอกาสนี้ ทบทวน ทำการปฏิญาณที่จะเดินวิถีชีวิตไปในวิถีทางที่ประเสริฐสูงส่ง  ทำการพัฒนาจิตใจ  ฝึกหัดให้เกิดความเมตตาและความรัก  และ  นำเอาความสันติภาพและความสมานสามัคคีมาสู่มนุษยชาติ      

การที่ท่านนายกรัฐมนตรี เทรีซ่า แมรี่ เมย์  ได้มองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างถูกหลักสัจธรรมของพระพุทธศาสนา  ดังจะเห็นว่าท่านได้กล่าวถึงธรรมะ ว่าด้วย  ทาน  หรือ  giving,  จริยธรรม  virtue,   และการกระทำความดี  การประพฤติปฏิบัติความดีทุกอย่าง   good deeds-all practices,  บอกถึงการที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนามาอย่างเข้าใจดี จนอดที่จะเผยแผ่ไปให้คนทั้งหลายทำตามบ้างนั้นเอง  ในเรื่องส่วนตัวหรือด้านธรรมะภายใน ท่านยกย่องเรื่อง ชีวิตที่ประเสริฐสูงส่ง  ความรักด้วยเมตตาจิต  ให้คนเราพัฒนาจิตใจ  ธรรมะเหล่านี้เท่านั้นจัก นำสันติภาพมาสู่มนุษยชาติได้    คือ ประโยคสุดท้าย  ที่ว่า     ขอให้พวกเราทุก ๆ คน ทั้งที่อยู่ในสหราชอาณาจักร  และ  อยู่ต่างประเทศ  ได้ร่วมฉลองวันวิสาขบูชานี้  ถือเอาโอกาสนี้ ทบทวน ทำการปฏิญาณที่จะเดินวิถีชีวิตไปในวิถีทางที่ประเสริฐสูงส่ง  ทำการพัฒนาจิตใจ  ฝึกหัดให้เกิดความเมตตาและความรัก  และ  นำเอาสันติภาพและความสมานสามัคคีมาสู่มนุษยชาติ   ซึ่งเรามองเห็นว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเทรีซ่า  แมรี เมย์ ท่านมองธรรมะในพระพุทธศาสนาสูงส่งประเสริฐ และการปฏิบัติธรรม นั้นเองเป็นหลักสามัคคีธรรม  หลักสันติภาพของโลก ที่ยุคนี้ยิ่งมีความต้องการอย่างจำเป็นยิ่งขึ้น ๆ ไปอีก ดังประโยคสุดท้ายที่ท่านกล่าวไว้อย่างน่าชื่นชมว่า    May everyone  celebrating VISAK, both here and abroad,  use the opportunity to reiterate their determination  to lead noble lives, to develop their minds, to practice loving kindness, and to bring peace and harmony  to humanity.   

 

 ซึ่งในข้อความนั้นบอกไปถึง ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา   และเห็นว่าหลักสันติภาพที่พระพุทธศาสนาสอนเป็นหลักการสำคัญนั้น สมควรที่โลกทั้งโลกจะได้นำไปร่วมปฏิบัติ ในฐานะที่เธอเป็นผู้นำของประเทศมหาอาณาจักร ที่เคยปกครองโลก จนกลายเป็นดินแดนที่ตะวันไม่ตกดินมาแล้ว  จึงเห็นว่า ป็นการแสดงบทบาทการนำโลกทั้งโลก ในการให้ความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ความคิดของเธอในทางที่จะส่งเสริมพระพุทธศาสนาจึงออกมาเนื่องจากวันวิสาขบูชา 2561 วันที่ 29 เมษายน 2561 มาถึง  ซึ่งเป็นวันที่องค์การสหประาชาติยกย่องให้เป็นวันสำคัญของโลก  เธอจึงออกหนังสือชวนเชิญคนทั้งโลกให้ร่วมกันฉลองวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นการนำ ในการให้ความสำคัญแด่พระพุทธศาสนาอย่างย่ิงใหญ่ และมีผลต่อมา  เนื่องด้วย ปี2562 นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายจัสติน ทรูโด  ได้ออกหนังสือเช่นเดียวกันนี้ ยกย่องพระพุทธศาสนาและเชิญชวนผู้คนในโลกให้ฉลองวันวิสาขบูชาเช่นเดียวกัน การที่เห็นธรรมะในพระพุทธศาสนาในเชิงเหตุ ผล ทางวิทยาศาสตร์นั้น คือบุคคลผู้รู้ธรรมะที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ซึ่งย่อมมีฐานะทางภูมิปัญญาระดับสูงสุดของศาสนาพุทธ  เราจึงขอยกย่ เราจึงมีความพอใจยกตำแหน่งบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2562 ของ หนังสือพิมพ์ดีให้ ขอให้ท่านได้จำเริญด้วยพุทธธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปสู่แดนมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า และหวังว่าเธอจะดำเนินการทางธรรมะที่เธอรู้นี้โปรดแด่คนในโลกสืบไป

 

 

 

 

 

 4.2.2   จัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด

2.  บุคคลที่ 139   Justin Pierre James Trudeau   จัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด 

      นายกรัฐมนตรีหนุ่มน้อย แคนาดา นายกรัฐมนตรีรูปหล่อที่สุด  

 

 

 

จัสติน พีเอร์ เจมส์ ทรูโด (อังกฤษ: Justin Pierre James Trudeau, เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2514) เป็นนักการเมืองชาวแคนาดา นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนที่ 23 และคนปัจจุบัน ตลอดจนเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยม เขาเป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองรองจากโจ คลาร์ก (Joe Clark) และบุตรคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี พีเอร์ ทรูโด เป็นบุตรคนแรกของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่ง เขาทำให้ตระกูลทรูโดสามารถกลับมาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับแคนาดาได้อีกครั้งหนึ่ง 

ทรูโดเกิดในออตตาวาและเข้าศึกษาที่ Collège Jean-de-Brébeuf เขาสำเร็จปริญญาตรีในสาขาวรรณคดีภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแม็กกิลในปี พ.ศ. 2537 และครุศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในปี พ.ศ. 2542 เขาได้รับความสนใจจากสาธารณะอย่างสูงในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 เมื่อเขากล่าวบทยกย่องในรัฐพิธีศพของบิดาเขา หลังสำเร็จการศึกษา เขาทำงานเป็นครูในแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย แล้วศึกษาวิศวกรรมศาสตร์และเริ่มปริญญาโทสาขาภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม เขาใช้ชื่อเสียงของเขาสนับสนุนอุดมการณ์ต่าง ๆ และแสดงในภาพยนตร์ชุดสั้นทางโทรทัศน์เรื่อง เดอะเกรตวอร์ ในปี พ.ศ. 2550

 

 

 

 

 

หลังเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นหลังบิดาเสียชีวิต ทรูโดได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นสมาชิกสภาสามัญชนของเขตปาปีโน (Papineau) ในสภาสามัญชน ในปี พ.ศ. 2552 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเงา (critic) ในด้านเยาวชนและพหุวัฒนธรรมนิยมของพรรคเสรีนิยม และในปีต่อมาเป็นรัฐมนตรีเงาด้านความเป็นพลเมืองและการเข้าเมือง ในปี พ.ศ. 2554 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเงาด้านมัธยมศึกษาและเยาวชนและกีฬาสมัครเล่น ทรูโดเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยมในเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 และนำพรรคสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี พ.ศ. 2558 คว้าที่นั่งสำหรับพรรคเสรีนิยมเพิ่มขึ้นจาก 36 เป็น 184 ที่นั่ง เป็นกรณีที่พรรคได้ที่นั่งเพิ่มมากที่สุดในการเลือกตั้งแคนาดา

 

 

 

 

 

 

 

เรายกย่องเขาเป็นยบุคคลแห่งปี  ก็โดยที่ จัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด  ได้ศึกษาให้ความศรัทธาเลื่อมใสในหลักธรรมะของพระพุทธศษสนา  แล้วเห็นด้วยกับองค์การสหประชาชาติ ที่ยกย่องวันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก ของมนุษย์ทั้งโลก  ฉะนั้นการที่เขาได้ออกหนังสือมาทางสื่อมวลชน โดยได้ยกย่องพระพุทธศาสนาอย่างน่าชื่นชมยินดี และได้ชวนเชิญคนทั้งโลกให้ร่วมกันฉลองวันวิสาขบูชา วันที่ 18 พ.ค. 2562  ซึ่งเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่ทางองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันสำคัญของโลก  ตามหนังสือ เอกสารเผยแผ่ที่เขาเสนอออกมาภาพข้างล่างนี้  ซึ่งมีข้อความสำคัญยกย่องพระพุทธศาสนาว่าเป็นวันแห่งสันติภาพ ทีโลกเรามีความประสงค์ร่วมกันทั้งโลกอยู่แล้ว   ซึ่งแสดงถึงความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างซาบซึ้งตรึงใจในลักษณะเอกชนโดยตรงด้วย   โปรดดูเอกสารที่เขาออกมาสู่มวลชนโลก  

 

เพื่อนรักทั้งหลาย – ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เผยแผ่ความยินดีที่อบอุ่นที่สุดมายังทุก ๆ คนทุก ๆ ท่าน  ที่มีส่วนร่วมกันในการฉลองวันวิสาขบูชา และมรดก ณ เมืองอ๊อตตาวาฮอลแห่งนี้   วันวิสาขบูชา เป็นวันที่เราฉลอง  วันประสูติ  ตรัสรู้  และ การจากไปของ เจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ  ผู้ที่ก่อสร้างพระพุทธศาสนาขึ้นมา   ซึ่งเป็นข่าวสารแห่งแห่งความสันติสงบ  และความสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างมนุษย์ทั้งปวง  สามารถเป็นที่ยอมรับของศาสนาทั้งหลายได้    

เดือนแห่งมรดกตกทอดของเอเชียมานี้ได้ให้ชาวคานาดา เพื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกเอเซียน – คานาเดียนนี้   และฉลองสำหรับการเพิ่มพูนในความดีให้แก่ประเทศของเรา

ข้าพเจ้ามุ่งหมายจะขอบใจ แด่องค์การที่ได้ก่อเกิดการประสานงานร่วมมือกันให้เกิดความสำคัญขึ้นระหว่างโอกาสนี้ทั้งสองประเทศ    เสมือนหนึ่งว่าเป็นความรำลึกถึงที่สุดประเสริฐ ที่นำไปสู่พลังอันสูงส่งของชาติเรา

ได้โประรับคำอวยพรที่ดีที่สุดของข้าพเจ้าสำหรับการร่วมฉลองวเพื่อรำลึกถึงความสำคัญของวันนี้ 

ด้วยสุจริตใจ

ลงนาม...........

The Rt.Hon. Justin P.J. Trudeau , P.C. M.P. 

Prime Minister of Canada 

  

เช่นท่านนายกรัฐมนตรีหญิงอังกฤษ เทรีซ่า แมรี่ เมย์ ที่ท่านผู้นี้แหละเริ่มออกหนังสือในนามนายกรัฐมนตรีประเทศใหญ่ สหราชอาณาจักรชวนเชิญคนในโลก ให้ฉลองวันวิสาขบูชา ปี 2561 ก่อน แล้วมาปีนี้ทรูโด ก็ทำตาม ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับ บุคคลระดับโลกคนอื่น ๆ ที่เร่ิมหันมามองและรู้จักความดี ความประเสริฐของศาสนาพุทธกันแล้ว สำหรับทรูโดเราเห็นว่าในเรื่องพระพุทธศาสนานี้ ทรูโด น่าจะได้มีความสัมพันธ์กันอย่างดีกับท่านอดีต นรม.อังกฤษ คือท่านหญิง เทรีซาร์ แมรรี้่ เมย์  โดยเห็นจากการที่แคนาดานี้  ถึงอย่างไรก็นับถือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2  เป็นกษัตริย์ประจำชาติ จึงน่าจะเห็นได้ว่าในเรื่องสันติภาพของโลก จึงมีแนวคิดตรงกันกับ แมรี เมย์ ในเรื่องธรรมะของพระพุทธศาสนา และการออกเอกสารเผยแผ่ออกมาก็เห็นได้ว่าทำตามกันออกมา ออกหนังสือชักวนคนทั้งโลกให้ฉลองวันสำคัญ ตามหลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา  ที่ทรูโดมองถึงหลักการแห่งสันติภาพ  ซึ่งทำให้ความเข้าใจในศาสนาวิทยาศาสตคร์คือพุทธศาสนาเผยแผ่ออกไปทั่วโลกยุคนี้   จึงสมควรยกย่อง จัสติน ทรูโดเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ.2562 และหวังว่าท่านจะได้นำความคิดความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมพระพุทธศาสนาเผยแผ่ต่อไป  เพื่อประโยชน์แห่งสันติภาพของมวลมนุษย์โลกตามที่ท่านพูดถึงอย่างจริงจังต่อไป

 

 

 

  

 4.2.3   แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน เกรย์

3.    บุคคลที่ 140  Catriona Elisa  Magmayon Gray, Miss Universe 2018  

       แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน เกรย์   สาวจาก  the Philippines

 

 

 แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน เกรย์ (ฟิลิปีโนCatriona Elisa Magnayon Gray; เกิด 6 มกราคม พ.ศ. 2537) เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์, นักร้อง, นางแบบ, นักแสดงละครเวที และนางงามชาวฟิลิปปินส์เชื้อสายออสเตรเลีย เธอได้รับตำแหน่ง นางงามจักรวาล 2018 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และเธอเป็น นางงามจักรวาล คนที่สี่ของฟิลิปปินส์

 

 

คำวิจารณ์ นางงามจักรวาล แคทรีโอนา เกรย์ ชาวฟิลิปปินส์คนนี้ไว้ พอที่เราจะพิจารณาให้เป็นบุคคลสำคัญของเราแล้ว  ดังต่อไปนี้ 

 

" พอดีพบ ทีวีช่อง 036 พีพีทีวี ถ่ายทอดประกวดมิสยูนิเวอร์ส 2018,   10 สาวงาม(จาก94 สาวงาม) คนสุดท้าย ปรากฎว่ามีไทยอยู่ด้วย แล้วไปรอบ 5 คนสุดท้าย,  ไทยตกไป,  แล้วไปรอบ 3 คนสุดท้าย   มี 1. ฟิลิปปินส์  2. South Africa (อาฟริกาใต้)  และ 3. เวเนซูเอลา  ...ขณะนี้เวลา 09.50 น.  ให้ 3 คนสุดท้ายโชว์ครั้งสุดท้าย เขาให้เดินโชว์  ขณะนี้ดูอยู่  อีกเดี๋ยวเดียวก็รู้ผล สาวงามประเทศใดจะได้เป็น มิสยูนิเวอส  ปี 2018 ......เอาละ  ผลออกมาแล้ว  09.57 น.   อันดับ 3 เวเนซูเอลา   อันดับ 2 อาฟริกาใต้   อันดับ 1 มิสสยูนิเวอส ฟิลิปปินส์ Catriona Gray 

     

ความจริง ว่าจะพูดรายงานท่านสมาชิกกลุ่ม  เรื่องตกค้างอยู่เรื่องหนึ่ง  แต่พอดีพบเรื่องประกวดมิสสยูนิเวอร์ส พอดี  ก็เลยออกข่าวให้สมาชิกได้ทราบ  ได้รู้ผลพอดีเลย  มิสยูนิเวอรส ปี 2018  เป็นสาวงามฟิลิปปินส์  พิธีกร 2 สาวช่อง 036 วิจารณ์ต่อว่า สาวไทยก็สวยมาก ได้ 1 ใน 10  ส่วนฟิลิปปินส์นั้น ว่าน่าเก็งแต่แรกแล้ว ดูเด่น และสมจริง ๆ  เวียดนาม ก็สวย ได้ 1 ใน 5  

 

 

 

ไทยเราดูเหมือนว่างจากตำแหน่งมิสยูนิเวอร์สมานานหลายปีเลยทีเดียว   อาภัสรา หงสกลุล ได้เป็นนางงามจักรวาล มาร่วม 50 ปีแล้ว  ปีต่อมานั่นเองไทยก็ได้ซ้อนไปอีก เป็น 2 ปี ต่อกันเลย เป็นนางงามไทยได้เป็นมิสยูนิเวอร์ส ซ้อนกัน 2 คน  .... เธอคนที่ 2 นี้ก็คือ  ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาล(Miss Universe) คนที่ 2 ของไทย.... .....นั่นคือเรื่องนางงามจักรวาลสาวไทย และจนบัดนี้ยังไม่ปรากฎว่ามีสาวไทยได้ถึงนางงามจักรวาลอีกเลย  แต่ฟิลิปปินส์ ได้นางงามจักรวาล เป็นคนที่ 4 แล้ว   เพราะอะไร?   น่าคิดมาก  

 

 

 

มีข้อสังเกตต่อไปอีกเรื่องการจัดประกวดนางงามจักรวาลแต่ละปี ๆ มา ซึ่งทางคณะกรรมการกองประกวด   เขาคัดผู้หญิงสวยมาอย่างไร   94 คน เหลือ 10 คน  เหลือ 5 คน  และ 3 คนสุดท้าย เราได้ทราบข้อคิดเห็นของเธอจากการให้ตอบคำถาม  และเห็นได้   พอสรุปได้ไม่ผิดเลยว่า  สาวงามที่ผ่านระดับความงามมาทั้งหลายนี้  ล้วนแต่เป็น   เสรีชน .......  

 

และประเทศฟิลิปปินส์ เคย เป็นประเทศมุสลิม   สาวงามจักรวาลฟิลิปปินส์คนนี้  เป็นมุสลิมหรือเปล่า ?  เป็นมุสลิมคนที่4  ที่ได้ตำแหน่งนางงามจักรวาล?  ฟังจากคำพูด  ที่ตอบคำถามของเธอ  ที่ว่า  มนิลาเต็มไปด้วยความอดหยาก  ยากจน เธอเป็นคนรักเด็ก  เธอ หากได้ตำแหน่งแล้วก็จะใช้ตำแหน่งนี้ต่อสู้แก้ปัญหาเหล่านี้......    คือ หญิงมุสลิม  ที่ในประเทศมุสลิมแท้ ๆ  เช่นอิรัค  อิหร่าน ตะวันออกกลางการเปิดหน้า นุ่งกางเกงกระโปรงชะเวิบชะวาบ   แม้กระทั่ง การออกสังคม   การไปสังคม ท่องเที่ยว  เปิดเผยความงาม  อล่างฉ่าง อย่างนี้ เป็นข้อต้องห้ามอย่างเคร่งครัด  ดังเราได้พบข่าว ในประเทศนั้น  ทำการลงโทษผู้หญิงมุสลิมที่ขับรถออกไปนอกบ้าน  ที่ไม่คลุมหน้า   และ ยังมีการต่อสู้  ให้นักเรียน เช่นฝรั่งเศส  และไทย เป็นต้น  ให้หญิงมุสลิมสวมผ้าคลุม...โดยเหตุผลว่าการที่หญิงไม่คลุมหน้าผิดกฎอิสลาม ต้องมีโทษ นั้น ....แต่เมื่อมีนางงามจักรวาล   ที่แสดงออกซึ่งความเป็นเสรีชน  และ  หญิงยุคใหม่เช่นนี้   องค์การอิสลามจะทำอย่างไร   จะคิดว่าเธอทำผิดกฎอิสลามหรือ ?   และประเด็นคือ   ผิดอย่างไร ?    และนี่แหละ เมื่อหญิงมุสลิมคนหนึ่งออกท่าทางมาเป็น เสรีชน อย่างเต็มที่เช่นนี้   จึงได้ชนะใจคณะกรรมการการประกวดมิสยูนิเวอส ......เราเองพอมองเห็นว่า  ประเทศฟิลิปปินส์นั้น  ได้พัฒนาการอิสลามมาระดับหนึ่งแล้ว ควรที่จะพํฒนาไปไกลกว่าเดิม   ด้วยการทิ้งกฎที่ล้าหลังและที่ไม่ชอบธรรมของศาสนาอิสลามไปเสียเถอะ   และน่าจะมีนางงามจักรวาลคนใหม่ของฟิลิปปินส์นี้แหละเป็นหัวหอกด้านการเปลี่ยนแปลงฝ่ายหญิงมุสลิมต่อไป  

 

 

ด้วยเหตุผลที่ว่าด้วยเสรีชน  นางงามจักรวาลของฟิลิปปินส์ที่มีมาแล้ว  3 นางงามจักรวาล รวมกับคนล่าสุดนี้คือ แคทรีโอนา เกรย์   รวม 4 คน จึงดูประดุจว่าเป็นหัวหอกแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแรง สำหรับสังคมอิสลามฟิลิปปินส์ เช่นนี้แหละ เราจึงขอยกย่อง  ว่า แคทรีโอนา เกรย์  สาวงามจักรวาลฟิลิปปินส์คนนี้   เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีปี 2562   หวังว่าเธอจะได้ทำหน้าที่ตามบทบาทของเธอต่อไป  เพื่อสังคมอิสลามได้เดินไปอย่างทันสมัยทันยุคเสรีชน ต่อไป

 

 

 

 

 

 4.2.4   แสนชัย พีเค แสนชัยมวยไทยยิม 

 

 4.  บุคคลที่ 141  แสนชัย พี.เค. แสนชัย มวยไทยยิม

      [Saenchai P.K. Saenchai Muaythai Gym]   

 

 

 

นักมวยไทย ชาวจังหวัดมหาสารคาม ไปเผยแผ่วิชามวยไทยไปทั่วโลก  จนวันนี้ เขามีอายุเข้า 37 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงแสดงฤทธิมวยไทย เอาชนะนักมวยต่างประเทศได้ตลอด 

 

 

สิ่งที่เขาชกนั้น  บอกไปถึง ศิลปะ วิชามวยไทยอย่างสูงสุด และด้วยความเข้าใจและความชำนาญในศิลป วิชามวยไทยนี้เอง  ทำให้เขาเอาชนะมวย Thai Fight ได้ทั่วโลก ซึ่งมีข้อพิศูจน์จาก ขนาดรูปร่างของแสนชัยนั้น  แม้ตนเป็นคนไทยก็มีรูปร่างเตี้ยต่ำ เล็กไปกว่าคนไทยทั่วไป หากแต่สุขภาพดียอดเยี่ยม  ทำน้ำหนักได้พอ  แต่เมื่อไปต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันตก อเมริกา ล้วนแต่ได้พบคนตัวโตใหญ่กว่าล้วนคนฝรั่ง ตัวใหญ่ ตัวสูงกว่าเขาทั้งสิ้น  แต่การที่เขาเอาชนะได้ ในแบบที่ว่า แต่ละครั้งนั้นเหมือนครูมวยชกกับลูกศิษย์อะไรประมาณนั้น  นั่นแหละมันบอกถึงการชกด้วยศิลปะ วิชามวยไทยที่เขารอบรู้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริง  จนเวลาเข้าเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ เขาจะสามารถมองออกไปหมดถึงแผนการชกของคู่ต่อสู้  และแผนของเขาเองว่าจะรุก ประชิด ติดตัวข้าศึก และเอาชนะด้วยหมัด ด้วยอาวุธอะไร และ อย่างไร อย่างไม่ผิดพลาดเลย 

 

 

 

 

ลองไปดูการชกล่าสุดๆ แสนชัย VS Stephen Meleady Irand,Muay Thai Fight, 6 ก.ค. 2562  3 ยก ยก 1 คนตัวเตี้ยกว่าปล้ำคนตัวสูงพลิกล้ม 1 ครั้ง  2 ครั้ง 3  ครั้ง แก้ไม่ตก,   ยก 2 ถีบล้ม ต่อยล้ม,   ยก 3 ใช้หมัด ผสมไปกับเล่ห์กลการชกที่ฉลาด Stephen โดนทั้งหมัด เข่า ศอกไปไม่ไหว  กรรมการเข้าขวาง จับหยุดชก   คนชมวิจารณ์ Amiz hasseyni ว่า Saenchai is 39 still has super technique to defeat even much younger opponents. He has talent for fight moves.  แสนชัยอายุ 39 แล้ว ยังมีเทกนิกสูงสุด ไปสร้างความพ่ายแพ้ให้แด่คู่ต่อสู้ผู้ที่เยากว่ามากได้ เขามีความคล่องตัวสูงในการเคลื่อนตัวไปยังเป้าหมายเพื่อใช้อาวุธ ให้ตรงเข้าเป้าจุดตายของข้าศึก   Saita Cry ว่า ปรมาจารย์มวยไทย สุดยอด มีคนชมว่าเขาเป็นโคตรมวยเลยละ   

 

 

ไปดูอีกรอบเขาชกกับ Chadd Collins นักชกออสเตรเลีย สนามยะลา ไทยเรา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2560 ยก 1 เตะล้ม  ถีบล้ม  ยก 2 แสนชัยโดนบ้าง   ยก 3 ทัังหมัด  ทั้งเข่า  ทั้งแข้ง    ชนะคะแนนไปอย่างน่าดูน่าชมของคนดู  สมกับคำว่า  ยอดมวยสยามเลยละ 

 

แล้วอีกคู่หนึ่ง แสนชัยพบ Massaro Glunder ชกในอังกฤษ ณ สนาม  the Macron Stadium เมือง Bolton ในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ชกแบบมวยไทย 5 ยก  พบคนตัวโตกว่าเช่นเคย  ยก 1 ปกติ   ยก 2 ปล้ำ ล้ม แล้วปล้ำอีก ฝรั่งล้มอีก  ตั้ง 3 ครั้ง3หน  ยก 3 กอด  เตะล้ม  โดนหมัด โดนนศอก   ยก 4 ปล้ำล้มตลอด   ยก 5  ก็เห็นว่ามวยฝรั่งไปไม่ไหว  แสนชัยชนะคะแนนไป  นี่ก็คือการชกในต่างประเทศ ที่ดูจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับแสนชัย  โคตรมวยคนนี้  เพราะเขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับต่างประเทศ พอ ๆ กับชกในเมืองไทยเลย  เขาได้สร้างชื่อเสียงขึ้นว่า มวยไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก 

 

มาดูอีกครั้งหนึ่ง มวยรับถ้วยพระราชทาน Thai Fight Bangkok 2018  แสนชัย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม VS เฮนริเก้ มูลเลอร์  Saenchai P.K. Saenchai Muay Thai Gym VS Henrique Muller  67 kg. ชิงถ้วยพระราชทาน ชกวันที่ 27 ม.ค.2561  ปรากฎว่าแสนชัยตั้งใจจะแสดงผลงานให้สุดยอด  ทั้งนี้ก็เพราะ ได้พาเอาครอบครัว ลูก เมีย พ่อ แม่ บ้านเกิดมหาสารคาม มาชมการชกด้วย โดยประกาศว่าจะทำให้ดูสมใจเลยละ   ปรากฎว่าเขาทำได้อย่างตั้งใจไว้ อย่างไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียง หรือลำบากใจอะไรเลย สมกับคนพากษ์มวยบอกว่าดูแสนชัยชกแล้วสบายใจ เพราะเขาชกเหมือนแสดงละครให้คนดูสบายใจ ไม่มีความเครียด  อันเนื่องมาจากการแสดงของเขาด๊ไปหมดในบทของพระเอกนั่นเอง  นั่นเป็นเพราะเขารอบรู้จริง ๆ ในชั้นเชิงมวยไทย และทั้งมองช่องโหว่จากคู่ต่อสู้ได้ทะลุปรุโปร่ง นั้นเอง  เลย และไม่ผิดหวังที่คนดูของเขา ได้เห็นการน๊อคแบบพิเศษเลย  ยก 1 บุกตลอด   แต่นักมวยตัวโตอดทนดี  ยก 2  เอามุลเลอร์มวยฝรั่งถึงนับ  และยก 3  มากลาง ๆ ยกเท่านั้น แสนชัยยกเท้าขึ้น แล้วมีการตวัดแวบไปเข้าแก้มขวาของคู่ต่อสู้  ดูแล้วเหมือนไม่น่ามีพิษ ร้ายแรงอะไร  แต่ผลออกดูช้า  แต่แล้วเห็นคู่ต่อสู้ตาลอยไป  แล้วค่อย ๆ ล้มลงไปหลังฟาดพื้น  ไม่ยอมลุก  นั่นแหละสุดยอดฝ่าเท้าเลยทีเดียว     

 

 

 

 

เขาควรจะชื่อว่า โคตรมวยจริง ๆ  จากการชกกับ ไอแซค ซานโตส เมื่อ 27 ก.ย. 2561 ที่เชียงราย  เพรกาะเขาแทบว่าไม่ให้ไอแซค ทำอะไรได้เลย   จริงอยู่ ไอแซคมีแผนบุกแน่นอน  แต่ถูกแสนชัยสกัดแผนไว้หมด  ที่คิดจะออกหมัดออกมา  ออกเท้าออกมา  หรือทำอะไรออกมา  แสนชัยรู้ก่อนหมดแล้วสกัดก่อนทุกยุทธวิธีเลย  ไอแซคจึงเหมือนเพียงคนขึ้นไปกำกำปั้นไว้เฉย ๆ   ฝ่ายที่ทำเอา ทั้งเตะ  ทั้งรุกประชิดศอก  เข่า  หมัด  ถีบ  ออกไปสกัดไว้หมด  จนดูเหมือนว่าไอแซค ไม่เป้ฯมวย  แสนชัยชกกับคนไม่เป็ฯมวย ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ว่า ไอแซกมาชกกับโคตรมวยก็เลยตนเองเหมือนเด็กมวยไป   

 

 

นี่แหละโคตรมวย ผู้ที่เผยแผ่มวยไทยไปทั่วโลก  แบบนี้  จึงขอยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2562 ของหนังสือพิมพ์ดี แม้แสนชัยจะอายุเข้า 39 แล้ว แต่เราหวังว่า ความเป็นผู้รู้ชั้นเชิงศิลปมวยไทยอย่างยากที่จะหาได้ในแผ่นดินยุคนี้ ขอให้สืบทอดต่อไปยาวนานชั่วชีวิต 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 4.2.5    นายบุญมี สุระโคตร 

 

 5.  บุคคลที่ 142  นายบุญมี  สุระโคตร   

วิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสงจังหวัดศรีสะเกษ สุดยอดข้าวไทย  TOP THAI RICE   

 

 

 

 

 

 

นายบุญมี สุระโคตร  อายุ ๕๖ ปี  การศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลาย (กศน.) 

 

 

 

ที่อยู่ ๑๕๕ บ้านอุ่มแสง  หมู่ที่ ๗  ตำ บล ดู่ อำ เภอราษีไศล จังหวัด ศรีสะเกษ 

 

โทรศัพท์ ๐๘๒-๓๖๘๕๑๕๑ 

 

เว็บไซต์ : www.kasedtip.com, www.facebook.com/kasedtipboonmeeorganicrice 

 

นายบุญมี สุระโคตร เกิดมาในครอบครัวชาวนาที่อาภัพ พ่อเสียชีวิตต้งัแต่อยู่ในครรภ์แม่ได้๔ เดือน 

 

การทำนาของนายบุญมี สุระโคตร เป็ นการท านาแบบอินทรีย์เริ่มจากลดการใช้ปุ๋ ยเคมีและสารเคมีมา 

 

ต้งัแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๔ และได้น้อมน าเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใชด้ว้ยการลดรายจ่ายลดต้นทุนการ 

 

ปลูกข้าวควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เริ่มจากการไม่เผาตอซังและไถกลบตอซังและหว่านพืชปุ๋ยสด 

 

(ปอเทืองและถั่วพร้า มาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๔) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้ทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพใช้ในนาเพื่อ 

 

เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และได้สร้างเครือข่ายการรวมกลุ่มสมาชิกในหมู่บา้นและบ้านใกล้เคียง จำ นวน ๔๗ ราย 

 

เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ระดมทุนได้ ๖๐๘,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มต้นในการผลิตปุ๋ยอินทรียช์ีวภาพ 

 

และนอกจากน้ียังได้คิดค้นวิธีการทำอาหารเสริมพืชชนิดน้ าข้ึ้นมาใช้เองรวมถึงสกัดสารไล่แมลงด้วยพืช 

 

สมุนไพรหลายชนิด ซึ่งสามารถป้องกันแมลงศัตรูพืชโดยเฉพาะเพล้ี้ยต่างๆ และเช้ือราในนาข้าวเป็นอย่างดี ซึ่ง 

 

ได้นำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านและหลักวิชาการจากนักวิชาการมาปรับใช้เป็นองค์ความรู้ในการทำนา โดยการปรับที่นาให้สม่่ำเสมอ เพื่อให้สามารถควบคุมปริมาณน้า ไดอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมปลูกไม้ยืนต้น เช่น มะม่วง ยูคา และต้นตะกู รอบแปลงนาเพื่อให้เป็นปอดหายใจและอนุรักษส์ิ่งแวดล้อม ซึ่งในการใชปุ้๋ยอินทรีย์ ได้นำเอาแร่ธาตุที่ขาดมาเป็นส่วนผสมด้วย  เช่น ภูไมค์ปูนมาร์ล และโดโลไมด์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มข้ึนจนประสบความสำเร็จ  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แนวคิดในการทำนา นายบุญมี สุระโคตร ยึดหลักการทำนาแบบอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมีเพิ่มผลผลิตโดยการใช้ปุยอินทรีย์พืช ปุ๋ยสด ปุ๋ ยหมัก ไถกลบตอซังข้าวและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ป็นแบบอย่างแก่ชุมชน และความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่ดีข้ึนในปัจจุบนัและอนาคต

 

  

 

 


 


ผลงานและความส าเร็จของผลงาน 

 

นายบุญมีสุระโคตร เข้าใจและมองถึงปัญหาการทา นาอย่างเป็นระบบ ทำ ให้เขาตดัสินใจขุดแหล่งน้ำสำรองในนาข้ึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตข้าวจากที่ทำนาไดเ้พียง ๑ คร้ั้งต่อปีทำให้เขาประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนคร้ั้งในการทา นา ทำให้มีรายได้เพิ่มข้ึน สามารถทำนาได้ถ้ึงสองคร้ังในหน่ึงปีโดยในฤดูท ำนาปกติ

 จะทำนาในพ้ืนที่๒๒ ไร่และในฤดูแล้งสามารถทำนาได้อ้ีกคร้ังในพ้ืนที่๕ ไร่จากเดิมที่สามารถทา ไดเ้พียงคร้ั้งเดียวต่อปีเพราะเป็นพ้ืนที่นอกเขตชลประทาน  

 

โดยทำนาปีละ ๒ คร้ังคือทำนาปี ๒๒ ไร่  นาปรัง ๕ ไร่   ทำนา ๓ ประเภท คือ นาดำ  นาหว่าน และนาโยน  ใช้ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ ๑๐๕ ผลผลิตนาดำ ๕๒๐ กก./ไร่ นาหว่าน ๕๐๐ กก./ไร่ และนาโยน ๕๔๐ กก./ไร่  ในปี ๒๕๕๓ มีรายได้ท้งัสิ้น ๑๔๔,๕๐๐ บาท   ปี ๒๕๕๒ มีรายได้ ๑๓๙,๕๐๐ บาท   และปี ๒๕๕๑ มีรายได้ 

 

๑๒๕,๖๐๐ บาท   นอกจากน้นั ยังได้ผลิตปุ๋ ยอินทรีย์อัดเม็ด และแปรรูปผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕ เป็ นข้าวกล้อง และข้าวกล้องออกจำหน่ายให้แก่สมาชิก 

 

เกษตรกรในหมู่บ้าน ตำบล  อำเภอ  และจังหวัด จนเป็นที่ยอมรับและติดตลาดในนามกลุ่มเกษตรกรเกษตรทิพย์ และข้าวตราลุงบุญมีนอกจากน้ียังได้รับเชิญเป็น

วิทยากรบรรยายเรื่อง การผลิตข้าวอินทรีย์การผลิตข้าวคุณภาพการแปรรูปข้าวเพื่อการค้า ตามโรงเรียนและส่วนราชการต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับความเป็นผู้นำและการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในด้านต่างๆ   

 

 

 


 

 นายบุญมี สุระโคตร มีตา แหน่งในด้านสังคมและผูน้ า ชุมชนมากมาย เช่น เป็นปราชญ์ชาวบ้านเรื่อง เกษตรอินทรีย์เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนทอ้งถิ่น (ส.อ.บ.ต). ตำบลดู่ เป็นกรรมการโรงเรียนหวายคาวิทยา และโรงเรียนบ้านกระเดาอุ่มแสง เป็นประธานศูนย์ข้าวชุมชน ตำบลดู่ เป็นกรรมการกองทุนหมู่บา้นอุ่มแสง เป็นประธานกลุ่มออมทรัพยเพื่อ ์ การผลิต เป็นประธาน OTOP ระดับออำเภอราษีไศล เป็นรองประธาน OTOP เครือข่ายจังหวัดศรีสะเกษ และเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจงัหวดัศรีสะเกษ ด้านวิสาหกิจชุมชน เป็นประธานวิสาหกิจชุมชน เป็นอนุกรรมการวิสาหกิจชุมชนอำเภอราษีไศล

 


นอกจากน้ียังได้อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยการเป็นวิทยากรประจำกลุ่มเกษตรทิพย์เพื่อ

ถ่ายทอดความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนผู้สนใจทั้งในและนอกสถานที่

 

ผลงานของนายบุญมี สุรโคตร ดีมาตลอดทำให้รับรางวัลต่างๆมาตามลำดับดังปรากฎรางวัล หรือประกาศเกยีรติคุณที่ได้รับ ดังนี้  

 

พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดร้ับคดัเลือกใหเ้ป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาอาชีพทำนา ประจา ปี๒๕๕๔ 

 

พ.ศ. ๒๕๕๕ บัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาสหวิทยาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น จากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 

 

พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้รับเลือกให้เป็นปราชญ์เกษตร 72 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

 

 -ไดร้ับรางวลัชนะเลิศหมอดินอาสาดีเด่นสาขาการปรับปรุงดิน ประจา ปี๒๕๕๗ 

 

พ.ศ. ๒๕๕๘ -ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 หมอดินอาสาดีเด่น กรมพัฒนาที่ดิน  ประจำปี ๒๕๕๘  

 

 -ได้รับคัดเลือกเป็ น “ครอบครัวร่มเย็น เนื่องในโอกาสวันแห่งครอบครัว ประจำปี ๒๕๕๘ 

 

พ.ศ. ๒๕๖๐ -ได้รับรางวัลทูตวิทยาศาสตร์ด้านข้าว จากสถาบัน IRRI ประเทศฟิลิปปินส์ 

 

 -ไดร้ับรางวลัครูภูมิปัญญาไทยรุ่นที่ 8 ด้านเกษตรกรรม 

 

 -ได้รับรางวัล พ่อดีเด่น แห่งชาติ 

 

 

 

 

   

 

 

เรายังได้ข้อมูล เรื่องราวสำคัญ เด่นๆ ของนายบุญมี สุระโคตร จากเวบ  

 

https://businesstoday.co   เลิกใช้สารเคมี  เพิ่มเติมประวัติความดีของเขามา ดังนี้   

 

บุญมี สุระโคตร ได้รับยกย่องจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็น ปราชญ์เกษตรกร ประเภทข้าว  แม้จะมีพื้นฐานการศึกษา ระดับมัธยมปลาย แต่มีความคุ้นเคยชินกับการเกษตรเป็นชีวิต สามารถทำการวิจัยการเกษตรออกมาเป็นผลดีตลอดมาได้ 

 ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และกิจกรรมทางการเกษตรที่ดำเนินการผลิตข้าวอินทรีย์หรือข้าวปลอดสารพิษ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมนิล ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวเหนียวดำ โดย รวมกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมี ภายใต้ชื่อทางการค้า “ข้าวตราลุงบุญมี” ทำ ให้สามารถผลิตข้าวปลอดสารพิษได้ประมาณ 2,000 ตันต่อปี มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิ จำ นวน 600 ถึง 650 กิโลกรัมต่อไร่ และข้าวไรซ์เบอร์รี่ จำ นวน 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ ยังเป็นหมอดินที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตปุ๋ยหมัก อินทรีย์ที่มาจากใบยูคาลิปตัสและมูลไก่ไข่ รวมทั้งใช้สมุนไพรผลิต สารไล่แมลงและสารเร่งการเจริญเติบโตให้กับต้นข้าวด้วย   

 

 

 

 

   

 

 

ทำได้ยังไง "ลุงบุญมี" ปลูกข้าวขายทั่วโลกปีละ100ล้าน "ไม่ใช้สารเคมี" 

 

 13 OCTOBER 2019 

 

กระแสต่อต้านการใช้สารกำจัดศัตรูพืช”พาราคว็อต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส” นับวันจะแรงขึ้นเรื่อยๆแต่จะได้ผลหรือไม่ในอีกไม่กี่วันก็จะรู้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้เหมือนเรื่องง่ายๆเพราะรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกพรรคต่างก็เห็นด้วยหมด แต่ วงในว่ากันว่าคนที่ต่อต้านจริงๆไม่ใช่มีแค่พวกนักธุรกิจ พ่อค้าที่หากินกับสารพิษ แต่เป็นคนที่เกี่ยวข้องและเป็นผู้ดูแลประชาชนกลายเป็นผู้เสียประโยชน์เสียเอง จึงเล่นใต้ดินยื้อไม่ให้มีการยกเลิก 

 

การที่แรงต้านออกมาค่อนข้างแรงและชัดเจนก็เพราะกระแสคนรักสุขภาพมีความต้องการสินค้าเกษตรปลอดสารพิษมีมากขึ้นเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศประกอบกับกระแสความตื่นตัวของเกษตรกรก็หันมาปลุกพืชแนวทางเกษตรอินทรีย์มากขึ้นด้วย ที่หวาดวิตกว่าหากปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ต้นจะทุนจะเพิ่มผลผลิตจะไม่งามนั้นตอนนี้ในบ้านเรามีเกษตรกรไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในการทำนาข้าวปลูกผักแบบอินทรีย์ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีแม้แต่นิดเดียว   

 

ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของชาวนาที่ไม่ใช้สารเคมีและประสบความสำเร็จอย่างมากคือ”วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนอุ่มแสง(เกษตรทิพย์)”ที่ทำนาข้าวอินทรีย์ แปลงใหญ่ 20,000 ไร่ รวมพันธมิตรในเครือข่ายราวๆา1แสนไร่น่าจะเป็นนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย   

 

วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เริ่มก่อตั้งครั้งแรกในปี 47โดยมีผู้นำเป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่ชื่อ “บุญมี สุระโคตร” ที่เริ่มสังเกตเห็นว่าการปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีชาวนาเป็นหนี้เป็นสินมาล้นพ้นตัวแถมมีปัญหาเรื่องสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ จึงคิดหาออกทางว่าจะทำยังไง     

 

 

 

  

 

 

 

ในที่สุดคำตอบอยู่ที่การทำนาเกษตรอินทรีย์  จึงชักชวนคนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆกันมาตอนแรกมีแค่47รายได้เงินลงขัน 6หมื่นกว่าบาทแต่ทุกวันนี้มีกว่า 1200ครอบครัวแล้วที่บอกว่าหากไม่ใช้สารเคมีต้นทุนจะเพิ่ม ผลผลิตไม่ดี นั้น ผมได้พูดคุยลุงบุญมี แกเล่าให้ฟังว่าการทำนาข้าวอินทรีย์ช่วย”ลดต้นทุนการผลิตข้าว”อย่างเห็นได้ชัด คนในหมู่บ้านก็มีสุขภาพดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้นผลผลิตข้าวก็งอกงามกว่าแต่ก่อนที่สำคัญข้าวสารอินทรีย์ขายได้ราคาดีกว่าข้าวสารที่ใช้สารเคมีตลาดต่างประเทศต้องการมากจนผลิตไม่ทัน แต่เกษตรกรต้องอดทนเมื่อทุกอย่างลงตัวคุมยิ่งกว่าคุ้ม   

 

ลุงบุญมียังบอกอีกว่า หัวใจสำคัญจริงๆเกษตรกรจะต้องมีความรู้”เรื่องดิน” ว่าดินที่ทำอยู่นั้นมีแร่ธาตุหรือไม่ มีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าไม่มีจะทดแทนอย่างไร หรือต้องมีความรู้เรื่อง”เมล็ดพันธุ”ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน  

ทุกวันนี้ข้าวอินทรีย์ของอุ่มแสง ส่งขายต่างประเทศ 80% ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐและ ยุโรปส่วนเอเชีย มีบ้างเล็กน้อยแต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆที่เหลืออีก20% ขายในประเทศ   ในอนาคตลุงบุญมีบอกว่าจะขายในประเทศมากขึ้นเพราะอยากให้คนไทยบริโภคข้าวปลอดสารเคมีมากๆส่วนยอดขายเท่าไหร่นั้นลุงบุญมีไม่ได้บอกแต่แอบรู้มาว่าปีนี้ใกล้ๆ100ล้านบาทโดยที่ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางในเมืองไทย ทำให้ไม่ต้องถูกกดราคา   

 

ลุงบุญมียังเล่าอีกว่า ส่งออกอินทรีย์ข้าวในนามชุมชนฯนั้น เป็น”เสน่ห์การตลาด”อย่างหนึ่งเพราะฝรั่งเขารู้ว่าหากซื้อข้าวไปบริโภคแล้วเงินถึงมือเกษตรกรแน่ๆทุกวันนี้ที่อุ่มแสงไม่ได้ส่งออกข้าวอย่างเดียวยังแปรรูปสินค้าที่ต่อยอดจากข้าวส่ออกมากมายหลายชนิด    

 

ความฝันของลุงบุญมีบอกว่า อยากทำให้ศรีษะเกษบ้านเกิดเป็น”มหานครแห่งเกษตรอินทรีย์”และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ เกษตรบริการ รองรับลุกค้าต่างประเทศที่ทุกวันนี้อยากมาเยี่ยมคนที่ปลูกข้าวให้เขากิน     

 

ครับคงอีกไม่นานเกินรอ

   

 


    

 

เราเห็นว่า คนอย่างลุงบุญมี สุระโคตร เป็นคนธรรมชาติจริง ๆ  ในด้านการเกษตรกรรมซึ่งเป็นพื้นฐานการอาชีพมาแต่ดึกดำบรรพ มา   ซึ่งต้นตระกูลเขาก็ทำมาแบบธรรมชาติตลอด  จนถึงวันนี้  คนทั้งหลายรอบด้านลุงบุญมี ต่างใช้สารเคมีกันหมด  แต่ลุงบุญมีก็ยังคงดำรงวิถีทางธรรมชาติต่อไป  และมีการศึกษารอบรู้ อย่างนักการศึกษา นักวิจัยวิชาการเกษตรคนหนึ่ง และได้เห็นพิษภัยของ สารเคมี  ในขณะเดียวกันได้ปรับปรุงวิถืทางการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ต่อไป  รวมทั้งการปรับระบบธุรกิจให้ทันสมัยขึ้น  จนสามารถรวมกลุ่มเกษตรอุ้มแสงได้  ได้ผลกำไรดีขึ้น  อย่างที่ว่า คือ ปลูกข้าวขายทั่วโลก ได้กำไรปีละ 100 ล้านบาท  และยังไม่เท่านั้น ลุงบุญมียังพยายามขยายวงการตลาดของท่านนี้ออกไปให้กว้างขวางไปอีกโดยเฉพาะตลาดอเมริกา และยุโรป ที่นิยมข้าวไร้สารเคมีของเขามากขึ้นไปเรื่อย ๆ  และความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเขาที่ว่า   อยากให้ศรีสะเกษบ้านเกิดเป็น "มหานครแห่งเกษตรอินทรีย์" นั้น มองเห้ฯได้ว่าน่าจะไม่พ้นไปจากความพยายาม ความนำของท่านผู้นี้   เราจึงเห็นสมควรยกย่องให้นายบุญมี สุระโคตร เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ.2562 หวังว่ากิจการเกษตรอินทรีย์ของเขาจะเจริญก้าวหน้าตลอดไปตามที่ใฝ่ฝันไว้ในวันข้างหน้า  

 

 

 

 

 

 4.2.6   นายศรีสุวรรณ จรรยา

  6.  บุคคลที่ 143  นายศรีสุวรรณ จรรยา

นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ทำคดีมาแล้ว 4,000 เรื่อง

 

 

 

เราได้เรื่องราวเกี่ยวกับ ศรีสุวรรณจรรยา จาก คลิปนี้

เปิดอก พี่ศรี(สุวรรณ) จรรยา” กับคำถาม ร้องทุกวัน แล้วทำมาหากิน ...

https://mgronline.com › daily › detail

 

4 พ.ค. 2562 - สัมภาษณ์พิเศษ ศรีสุวรรณ จรรยา” เปิดใจประเด็นร้อนๆ แง่มุมลับๆ ที่น้อยคนนักจะรู้ สุดเอกซ์คลูซีฟ!

คุณเคยไปที่หน้าเว็บนี้ 3 ครั้ง ไปครั้งล่าสุดเมื่อ 29/10/2019

 

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงชิงพื้นที่สื่อมีเรื่องร้องเรียนแทบไม่เว้นวัน สำหรับ ศรีสุวรรณ จรรยา” นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ซึ่งช่วงหลังๆ มานี้สวมบทบาท นักร้องเรียน” ชนิดที่ว่า ร้องถี่ยิบ” จนเป็นเป้าโดนสาดคำถามสารพัด เป็นต้นว่า ศรีสุวรรณ จรรยา คือใคร”, “ทำไมวันๆ เอาแต่ยื่นเรื่องร้องเรียนโน้นนี่”, “ทำงานทำการอะไรรับเงินใครมาหรือเปล่า” ฯลฯ

 

อาจจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ศรีสุวรรณ จรรยา” ทำหน้าที่เป็นนักตรวจสอบเป็นปากเสียงให้กับประชาชน มานานกว่า 20 ปี ทำคดีและร้องเรียนเรื่องต่างๆ มาแล้ว 3,000 - 4,000 เรื่อง สัดส่วนความสำเร็จแม้ไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าบรรลุเป้า อย่างน้อยๆ ประเด็นต่างๆ ได้ถูกขยายผลตรวจสอบ สร้างการรับรู้ตระหนักรู้แก่พี่น้องประชาชน

 

ศรีสุวรรณ จรรยา” เติบโตในเส้นทาง NGO นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ชีวิตช่วงหนึ่งผันตัวลงสนามการเมืองแต่พ่ายแพ้ราบคาบ ช่วงปี 2550ก่อตั้ง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน” เพื่อเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และในปี 2552 ก่อตั้ง สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย” เพื่อเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง เรียกว่า ประสบการณ์โชกโชนในคดีสิ่งแวดล้อม เป็นโต้โผใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลัง อาทิ คดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ

 

สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ ศรีสุวรรณ จรรยา” จะมาเปิดใจในประเด็นร้อนๆ และแง่มุมลับๆ ที่น้อยคนนักจะรู้ สุดเอกซ์คลูซีฟ!

 

 

- ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นใครมาจากไหน

 

ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แล้วก็มาทำงาน NGO รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้ม อยู่กับ ดร.โจ - ดร.พิจิตต รัตนกุล (อดีตผู้ว่าฯ กทม.) ประมาณ 2535 - 2536เป็นต้นมา ทำงานด้านการรณรงค์กับมูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ประกอบกับ ดร.โจ มีภารกิจด้านการเมืองลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ผมได้ช่วยหาเสียงซึ่งเป็นการซึมซับงานการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง

 

ส่วนตัวผมทำงานหลักเรื่องของการรณรงค์มลพิษด้านสิ่งแวดล้อม กระทั่ง มีโอกาสไปช่วยงานในสภาทนายความ ช่วยงานดำเนินคดีสิ่งแวดล้อมของสภาทนายความควบคู่กันมาโดยตลอด ต่อมา ผมได้แยกตัวออกมาตั้งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ช่วงปี 2550 ร่วมมือกับเพื่อนๆ ที่เป็นทนายความ นักกฎหมาย ตั้งสมาคมขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการฟ้องร้องคดีให้กับชาวบ้านที่รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือปัญหามลพิษจากทั่วประเทศ ก็ฟ้องคดีใหญ่ๆ มาเยอะแยะ อย่าง ฟ้องคดีมาบตาพุด ก็เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศในตอนนั้น

 

หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมเห็นว่าคดีที่ผมทำมานับพันคดีล้วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐและนักการเมืองทั้งสิ้น ก็เลยเห็นว่าถ้าเราไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับนักการเมือง ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาปลายท่อที่ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกัน ผมก็เลยตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ในปี 2552 เพื่อทำหน้าที่การติดตามตรวจสอบข้าราชการ นักการเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่น ความไม่เป็นธรรมในสังคม

 

- จาก NGO สิ่งแวดล้อมผันตัวเป็น นักร้องเรียน” ทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ประชาชน

 

 

 

การทำหน้าที่ของผมคือยื่นตรวจสอบความไม่เป็นธรรมในการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง และช่วยประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษ จากความไม่เป็นธรรม ผมทำหน้าที่ของผมมาโดยตลอด ซึ่งหลังๆ มานี้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของผมเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะหลังจากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาทำรัฐประหาร ผมเป็นที่เพ่งเล็งของผู้มีอำนาจ ถูกเชิญผมไปปรับทัศนคติหลายครั้ง รวมทั้ง โดยส่งทหารมาเยี่ยมเยียนที่บ้านเป็นสิบยี่สิบครั้ง

 

ผมเห็นว่าในยุคของการปฏิรูปสิ่งสำคัญคือเรื่องของการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบนักการเมืองถือเป็นลำดับต้นๆ เพราะนักการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจ และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่จะต้องไปใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน ฉะนั้น เราจะอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้นักการเมืองที่มีอำนาจไปทำอะไรตามอำเภอใจคงไมได้ ดังนั้น เมื่อมีประเด็นอะไรไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม ผมก็จะใช้สิทธิในการออกแถลงการณ์บ้าง ในการไปยื่นตรวจสอบหน่วยงานองค์อิสระบ้าง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษย์ชน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมทั้ง ยื่นคำร้องต่อนายกฯ รัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ผมได้ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่องนับ 10 ปีครับ

 

 - ทำมาหากินอะไรถึงมีทุนในการทำหน้าที่ร้องเรียนประเด็นต่างๆ อย่างต่อเนื่องนับร้อยพันเรื่อง

 

 

 

งานหลักผมทำคดีฟ้องร้องให้กับชาวบ้าน งานคดีทั้งหมดวันนี้ไม่ต่ำกว่า 4,000 คดีนะครับ แล้วงานคดีของผมส่วนใหญ่เป็นคดีสาธารณะมีผู้ร่วมฟ้องเยอะบางทีเป็นร้อยๆ คน ซึ่งผมจะไม่คิดค่าใช้จ่าย ใดๆ กับชาวบ้าน แต่ว่าชาวบ้านก็มีน้ำใจ ร่วมบริจาคให้คนละเล็กละน้อย รวมๆ กันแล้วตัวเลขเยอะเหมือนกัน ที่สำคัญผมทำให้ทุกคน ไม่เกี่ยงยากดีมีจนหรือรวยเศรษฐีพันล้าน ผมก็ทำให้หมดไม่คิดมูลค่า แต่เขาเห็นเรามีน้ำใจทำให้ก็เลยช่วยบริจาค ทำอย่างนี้มาโดยตลอดไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือต่างจังหวัด ชาวบ้านก็มักช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมาโดยตลอด แล้วมันเป็นคดีเยอะมันก็หัวเฉลี่ยกันไป

 

สมมติ ชาวบ้านบริจาคคดีละ 10,000 บาท ผมทำมา 4,000 คดี เป็นเงินเท่าไหร่ก็คำนวณไป แต่ว่ามันยอดเงินบริจาคนั้นไม่ตายตัวไม่ได้อยู่ที่ 10,000 บาทเสมอไปนะครับ บางคดีเขาก็ให้มา 20,000 บาท 30,000 บาท 50,000 บาท บางคดีคนรวยหน่อยก็ให้เป็น 100,000 บาทนะครับ

 

มีคดีให้ทำตลอด เดือนหนึ่งคนร้องเรียนเข้ามาเกือบ 10 คดี วันๆ ก็วุ่นอยู่กับการเขียนคำฟ้อง คำให้การ คือการทำคดีกับร้องเรียนคนละส่วนกัน เรื่องทำคดีให้ชาวบ้านไม่มีอะไรเป็นเรื่องน่าหนักใจของ ถ้าผมช่วยได้ ผมก็ช่วยทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีรังเกียจรังงอนใดๆ ทั้งสิ้น

 

นอกจากนั้น ผมเรียนมาหลายปริญญา ปริญญาตรี 3 ใบ ปริญญาโท 2 ใบ และปริญญาเอกอีก ในส่วนนี้ก็เอาความรู้ไปทำด้านงานรีเสิร์ชให้กับมหาวิทยาลัย สถาบันวิชาการต่างๆ รับทำเป็นโปรเจ็กต์ๆ เหล่านี้เป็นรายได้ให้พออยู่ได้ครับ

 

- พักหลังๆ มานี้ปรากฏตัวหน้าสื่อร้องเรียนประเด็นการเมืองบ่อย จนเกิดข้อครหาว่ารับงานมาบ้าง เอื้อประโยชน์กลุ่มการเมืองบ้าง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

 

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่แล้วแต่จะคิดกันไป เพราะว่าเรื่องบางเรื่องถ้าร้องไปบางทีมันก็ได้ประโยชน์กับกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มเสียประโยชน์ เหมือนกรณีร้องเรียนเรื่องนักการเมืองนั่นละครับ ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์แต่อีกฝ่ายหนึ่งเฮเพราะได้ประโยชน์ ซึ่งฝ่ายหนึ่งก็จะค่อนแคะว่าผมถูกจ้างมาหรือไม่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้หรือไม่จริงๆ ผมก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แทบจะทุกพรรคการเมืองผมยื่นตรวจสอบ

 

ตรงนี้เป็นเรื่องปกติที่ผมทำใจมาโดยตลอดอยู่แล้ว ไม่ได้ซีเรียส คิดแต่เพียงว่าเราทำหน้าที่ของเราให้มันถูกต้อง และคิดว่ามันน่าจะช่วยจรรโลงสังคมได้ภายใต้ความรู้ที่เรามี ทำงานด้วยความตั้งใจด้วยความมุ่งมั่นโดยไม่เป็นเพียงนักเลงหน้าคอมฯ นั่งวิจารณ์คนอื่นไปวันๆ โดยที่ตัวเองไม่ออกไปทำอะไรเลย ผมว่ามันไม่ใช่... ผมคิดว่าสิ่งไหนที่ถูกต้อง ต้องออกไปแอ็กชันด้วยตัวเอง ผมเป็นนักปฏิบัติ ซึ่งมันก็ทำให้คนรักคนชังเยอะ

 

 

 

 

 

-เรื่องการทำงานเพื่อสังคมทราบว่าได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว

 

พ่อมีอิทธิพลค่อนข้างสูงครับ เพราะผมเองเป็นคนต่างจังหวัด พ่อแม่เองก็ทำไร่ทำนา แต่พ่อเป็นคนชอบช่วยเหลือคน เวลามีใครเดือดร้อนไม่มีเงินทำไรทำนา หรือแม้แต่ไม่มีเงินบวชลูกบวชหลานแต่งลูกแต่งเมีย ก็มักจะมาหยิบยืมพ่อผมโดยตลอด พ่อผมก็ใจดีให้มาโดยตลอด แต่บางทีให้แล้วก็ไม่มาคืน พ่อผมก็ต้องใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องร้องบังคับใช้หนี้ ผมก็ติดสอยห้อยตามพ่อไปขึ้นศาล อีกอย่างพ่อผมชอบติดตามข้อมูลข่าวสาร อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูทีวี ตลอดเวลาแล้วมาวิเคราะห์สังเคราะห์ชี้ประเด็นของนักการเมืองคนนั้นคนนี้ ผมก็ซึมซับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด

 

ต้องเท้าความก่อนว่า ผมเรียนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพราะพ่อแม่ผมเป็นเกษตรกรทำไร่ทำนา ก็มีความคิดอยากจะเอาความรู้ทางเกษตรมาพัฒนาอาชีพของตระกูลของพ่อแม่ แต่เผอิญตอนเรียนผกผันได้กลายไปเป็นนายกองค์การนักศึกษา ผู้นำนักศึกษา และหัวรุนแรงพอสมควร นำนักศึกษาปิดถนนประท้วงขับไล่ผู้ว่าฯ 2 วัน 3 คืน เพราะเห็นความไม่ได้รับความเป็นธรรมของชาวบ้าน จากการละเลยปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ พอเรียนจบออกมาก็เลยเข้ามาทำงานประเภทนี้ เห็นความไม่ถูกไม่ควรไม่ถูกต้องเราต้องออกมาเคลื่อนไหว รณรงค์ในรูปแบบของ NGO มีความรู้สึกว่าไม่อยากไปรับราชการใดๆ ทั้งสิ้น อยากทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะตัวเองมีความรู้สึกไม่อยากไปเป็นลูกน้องใครไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร อยากทำงานในลักษณะส่วนตัวมีความอิสระ

 

- เรื่องที่ยากลำบากในการทำงานเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง 

ไม่มีอะไรเป็นยากนะครับ แต่เรื่องปริวิตกเนื่องจากว่าการทำงานของตัวเองไปกระทบต่อผู้สูญเสียประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ ก็อาจจะถูกข่มขู่คุกคามบ้าง ข่มขู่ผ่านโทรศัพท์ คุกคามโดยสะกดรอยตามบ้าง ซึ่งก็ทำให้ตัวเองต้องระมัดระวัง จากที่เป็นคนไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้ก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังระวัง ขาไปไปทางซ้าย ขากลับกลับทางขวา ระแวดระวังมากขึ้นทำให้ตัวเอง

 

 

 

 

 

- ความภูมิใจสูงสุดของผู้ชายชื่อ ศรีสุวรรณ จรรยา 

ผมเกิดมาชาติหนึ่ง แล้วมีโอกาสได้เรียนสูงในระดับที่ในตำบลอำเภออาจะไม่มีใครเรียนมากเท่าผม ผมเป็นคนต่างจังหวัดเป็นคนบ้านนอก การมีโอกาสได้เรียนถึงระดับนี้เป็นที่น่าภูมิใจ เป็นหน้าเป็นตาของพี่น้องญาติตระกูล และการมาทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นงานสาธารณะงานเพื่อประโยชน์ของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนผู้คนทั้งแผ่นดิน แล้วงานคดีบางคดีก็ช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยหยุดยั้งการใช้อำนาจของหน่วยงานภาครัฐ หยุดการทุจริตคอร์รัปชั่นเยอะแยะมากมาย ทำให้สังคมและกฎหมายได้รับการเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นความภาคภูมิใจที่เราสามารถช่วยเหลือคนที่ทุกข์ร้อน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมมาตลอด 20 - 30 ปี ที่ผมทำงานตรงนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และจะทำอย่างนี้ไปจนกว่าลมหายใจจะหมดไป

 โดยสรุป เรื่องราวของ "ศรีสุวรรณ จรรยา" กว่า 20 ปีบนหน้าสื่อ ในฐานะนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ผู้ประสบความสำเร็จในฐานะเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม มี 5 เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับชายคนนี้ ที่บีบีซีไทยรวบรวมมานำเสนอ 

1. นายศรีสุวรรณ จรรยา เป็นชาว อ.วังทอง จ.พิษณุโลก จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนวังทองพิทยาคม และปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้รับแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือคนจากบิดาที่มักไปขึ้นศาลช่วยชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้ง ๆ ที่จบเพียง ป.4 

2. ความสนใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของนายศรีสุวรรณ เกิดขึ้นระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยที่ได้มีโอกาสออกค่ายอาสาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเรียนจบ จึงผันตัวไปเป็นเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมกับเข้าไปช่วยสภาทนายความทำคดีสิ่งแวดล้อม ทำให้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีสิ่งแวดล้อมสำคัญ ๆ เช่น คดีโรงไฟฟ้าแม่เมาะ คดีสารตะกั่วห้วยคลิตี้ 

3. ชื่อของนายศรีสุวรรณมาปรากฎอยู่ในหน้าสื่อเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2540 ในฐานะรองเลขาธิการมูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ก่อตั้งโดย นายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. โดยคดีสิ่งแวดล้อมแรกที่ศาลปกครองมีคำตัดสิน เมื่อปี 2549 โดยศาลให้ ขสมก. แพ้คดีกรณีปล่อยให้รถเมล์เสื่อมสภาพวิ่งปล่อยควันพิษ ก็มาจากการฟ้องร้องโดยมูลนิธิป้องกันควันพิษฯ ที่มีนายศรีสุวรรณ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญ 

4. ชีวิตการเมืองของนายศรีสุวรรณถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งในฐานะนายทะเบียนและรองหัวหน้าพรรครักษ์ถิ่นไทย ระหว่างปี 2545-2546 เมื่อลงสมัครเป็น ส.ว. กทม. ในปี 2557 ก็พ่ายการเลือกตั้งอีก 

5. ปี 2550 นายศรีสุวรรณกับเพื่อนร่วมกันก่อตั้ง "สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน" ซึ่งถือเป็นองค์กรที่สร้างชื่อให้กับนายศรีสุวรรณ จากคดีสำคัญ ๆ อาทิ คดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และคดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยเขามักใช้ชื่อองค์กรนี้เคลื่อนไหวประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเป็นประเด็นการเมืองมักเคลื่อนไหวในนาม "สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย" ซึ่งก่อตั้งมาในปี 2552

 

เส้นทางการตรวจสอบรัฐบาล คสช. ของนายศรีสุวรรณ 

 ปี 2557 

           ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบกรณี สนช. เสนอชื่อแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้ง สนช. มาเองทั้งหมด 

 ปี 2558

           ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กรณีแต่งตั้งเครือญาติเป็นสมาชิก สปท. 

ปี 2559 

           ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีบริษัทของบุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ได้งานจากกองทัพภาคที่ 3 ในระหว่างที่ พล.อ.ปรีชาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 

           ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบ พล.อ.ปรีชา กรณีสร้างบ้านพักหลังใหม่ใน จ.พิษณุโลก โดยไม่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. เข้าข่ายเป็นการยื่นบัญชีเท็จหรือไม่ 

           ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. กรณีเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) 

           ยื่นศาลปกครอง เพิกถอนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2015) และให้ระงับการประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน  

ปี 2560 

           ยื่นประธาน สนช. ตรวจสอบสมาชิก สนช. 7 คน กรณีขาดประชุมเกินกำหนด อาจมีปัญหาเรื่องสมาชิกภาพ 

           ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 กรณีให้สัมภาษณ์สนับสนุนทหารที่ยิงวิสามัญเยาวชนชาวลาหู่ 

           ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม และ พล.ท.วิชัย แซจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 กรณีปล่อยให้มีการตั้งกาสิโนบริเวณพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

 

 

 

ล่าสุด ตั้งแต่ปี 2561 มาถึงปัจจุบัน  เขามาสนใจทางการเมืองพรรคฝ่ายค้านมากขึ้น โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่  เกี่ยวกับการเงิน บัญชีรายรับรายจ่าย  รายได้ ของพรรคอนาคตใหม่  หลายเรื่อง  และล่าสุด ยื่นฟ้อง นางพรรณิกา     โฆษกพรรคอนาคตใหม่  เรื่อง บริจาคเงิน ให้พรรคอนาคตใหม่ โดยมีเหตุผลว่า  นางช่อ  มีเงินในบัญชีที่แสดงในบัญชีตามรัฐธรรมนูญ  ราว  8 หมื่นบาท   แต่ทำไมบริจาคเงินได้ถึง 1 ล้านบาท  เกรงว่าจะเป็นเงินคนอื่น ไปเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือเป็นผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ 2560  จึงฟ้อง ให้ตรวจสอบ   หากเป็นเงินคนอื่น  เป็นของใคร ซึ่งมีโทษทางการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมืองที่มีโทษถึงขั้นการยุบพรรคได้

 

เราเห็นว่า การที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ได้ทำการต่อสู้เพื่อสังคมมาโดยตลอดไม่มีการวรรค เว้นเลยกว่า 20 ปีมา  มีคดีที่ทำการฟ้องร้องไปแล้วกว่า 4000 คดีนั้น ได้บอกถึงความเป็นคนที่มีอุดมการณ์  ได้ตกเข้ามาสู่ชีวิตอุดมคติของตนเอง ที่เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ   อย่างมีเหตุ และมีผล  วิถีทางการงานเขาจึงตกอยู่ใต้ตัวแปรของ เหตุ ของ ผล มาตลอด  เป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมของเขาตลอดไป  อย่างไม่ว่างเว้น  ฉะนั้นในเมื่อเข้าสู่วิถีทางธรรมชาติแบบที่พระพุทธศาสนาสอนไว้เรื่องความเป็นไปของชีวิต ย่อมเป็นไปอันเนื่องมาจากมีเหตุให้เป็น จึงไปบังเกิดผลขึ้นตามเหตุนั้น   เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามเรื่องเหตุ เรื่องผล แล้ว   ก็จะเป็นสิ่งที่ดีต่อตนเอง  ต่อคนอื่น และต่อสังคมที่ตนอยู่อาศัย ในแบบที่เป็นธรรมชาติ   ไม่เกี่ยวกับว่ามีอามิสสินจ้างใดใด ไม่เกี่ยวกับ ลาภ ยศ สรรเสริญใดใด หรือโลกียธรรมใดใด ไม่เกี่ยวกับความเป็นมิตร หรือ ศัตรูกับใคร ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดมาผลักดัน มาก่อเกิดความเคลื่อนไหวของเขา นั้นแสดงถึงภาวะความเป็นไปเองตามกฎธรรมชาติ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นเอง   จึงขอยกย่อง  ศรีสุวรรณ จรรยา  เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2562  และหวังว่าจะได้ดำเนินวิถีชีวิตไปด้วยหลักการแห่งเหตุ และ ผล ไปจนถึงจุดสูงสุดถึงจุดหลักการสูงสุดของเรื่องเหตุ และ ผล  ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปตลอดกาลนานในชีวิตนี้   

 

 

 

หนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่องบุคคลทั้ง 6 ท่านดังกล่าวมา  เป็นบุคคลสำคัญของเราในปีพุทธศักราช 2562 คือ  นางเทรีซ่า แมรี่ เมย์  อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร,  นายจัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา, แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน  เกรย์ นางงามจักรวาล 2561, โคตรมวยไทย แสนชัย พี.เค.แสนชัย มวยไทยยิม, นายบุญมี สุระโคตร , นายศรีสุวรรณ จรรยา, เราขออำนวยพรให้ท่านทั้ง 6 นี้ ได้ประกอบกรรมดีต่อไป  และที่สุดถึง นำโลกทั้งหลายสู่แดนสงบ แดนแห่งสันติสมตามที่ท่านเองต้องการด้วยเทอญ 

 

  • บรรณาธิการ

      9 พ.ย.2562, 23.00 น.

 

  







Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----