ดีเล่มที่ 46
เรื่องในเล่ม
ปีที่ 14 เล่มที่ 46 (ฉบับเอกสารแจกจ่าย)
มูลนิธิพระเทพวรมุนี ( เสน ปญฺญาวชิโร )
วัดมหาพุทธาราม ถนนขุขันธ์ ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000
- เพื่อการนำความคิดไปสู่ความดีงาม
เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา
For all good For all thought
เราจะบินบินบินและบินไป สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
มหาสมุทรสุดสายลมไกว จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน
ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร
เล่มที่ 46
เดือน ก.ย. - ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค. 2553 – ม.ค. –ก.พ.-มี.ค.- เม.ย. – พ.ค. –มิ.ย.2554
เรื่องเด่น.
1. บทนำศึกษาประชาธิปไตยไทย ประชาธิปไตยไทยอย่าเป็นอย่างพม่า
2. ปัญหามุสลิมในประเทศไทย บทบรรณาธิการ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2553
3. กอ.รมน.บุกยึดสถานีวิทยุชุมชน 13 แห่ง
4. โหราศาสตร์ ดวงชะตาพรรคเพื่อไทย – ประชาธิปัตย์ – ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
2. พุทธทำนายเดือน 4 ปีกุน
พุทธทำนายเดือน๔ปีกุน
เรื่องพุทธทำนายนี้มีปรากฏอยู่ในภาษาบาลีพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 27 หน้า 24 ขึ้นต้นว่า อุสุภา รุกฺขา คาวิโย ฯลฯ
และอธิบายไว้ในอรรถกถาเอกนิบาต ภาค 2 และเคยแปลเป็นภาษาไทยไว้ในชาดก ฉบับหอสมุดวชิรญาณ เล่ม 1
อาจารย์ศิลา วีรวงศ์ ได้แต่งเป็นกลอนลำอีสาน ประมาณ พ.ศ. 2490”
มีข้อความตอนสำคัญดังนี้ :-
“๑๑. ข้อสิบเอ็ด
พระฝันเห็นท่อนไม้แก้วแก่นจันทน์แดง ของมันราคาแพงค่าสูงแสนตื้อ เขาเลยเอาไปซื้อขายกินแลกไก่
เอาจันทน์แดงใส่กระชาน้อยแขวนห้อยเที่ยวขาย อันนี้แล้วเพิ่นว่าภายหน้าพู้นเคิ่งศาสนาพุทธ
มนุษย์มีโลภามืดมัวเมากุ้ม ชุมหมู่ถือศีลสร้างเป็นจัวเจ้าหัวบ่าว เห็นผู้สาวแล้วเอิ้นเสินเว้าดั่งสหาย
นอกจากนั้นกะซิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนาพุทธ เอาพระธรรมลงมุดจายขายกินจ้าง
ตั้งเป็นตึกเป็นห้างขายกินปิ้นไป่ ทังพระสูตรพระวินัยเอาลงใส่กระช้าโซนผ้าเที่ยวขาย
นี้จั่งแม่นต่อนฮ้ายขายฮูปพุทธองค์ สงฆ์บ่ถือวินัยไพร่เมืองบ่อยำอย้าน
มีแต่คนพาลกล้าโกธาเขี้ยวขุ่น ศาสนาเกิดวุ่นสูญเส้ามุ่นทะลาย สงฆ์ซิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนากู
สัพพัญญูเล็งเห็นหน่ายสะอางผางฮ้าย คันแม่นกายไปหน้าศาสนาของเฮาจั่งสิฟื้นขึ้นใหม่
ในปีกุนล่วงแล้วซิแววขึ้นลื่นหลัง ครั้งนั้นแหล้วคนสิอยู่เป็นสุข จั่งสิหายความทุกข์หมู่ภัย
ไกลเนื้อ ใผผู้ยังเหลือค้างซิเห็นทางฟ้าล่วง คนสิพ้นจากห่วงฝูงหมู่มารบาปฮ้ายเมื่อฟ้า
อยู่กะเสิม เริ่มแต่ค้าเดือนสี่ปีกุน ใผมีบุญจั่งสิเห็นหน่อพระธรรมเดอป้า
พากันถือศีลห้าภาวนาเดอแม่ หยังกะเห็นเที่ยงแท้บ่มีเว้นหว่างใด๋”
- จาก กลอนลำเรื่องพุทธทำนาย ชมรมวรรณกรรมอีสาน จัดพิมพ์ โดย ร.พ.
ไพศาลศิริ ท่าพระจันทร์ กทม. 2527 หน้า 7
หมายเหตุ บก.
เรื่องพุทธทำนายนี้ มีการระบุถึงเดือนสีปีกุน แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นปีกุนรอบไหน
พ.ศ.อะไร ระบุไว้กว้าง ๆ ว่าหลังยุคกึ่งพุทธกาลไปแล้ว คือหลังปีพุทธศักราช 2500
ไปแล้ว เมื่อมาถึงปีกุน พ.ศ.2502,2514,2526,2538 และ พ.ศ.2550
ตามลำดับมาแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรเป็นที่น่ายินดีสำหรับพระพุทธศาสนา
ก็น่าจะเป็นปีกุนรอบต่อไปในอีก 12 ปีข้างหน้าคือ พ.ศ. 2562
จะเป็นปีที่ตรงกับพุทธทำนาย อีก 12 ปีข้างหน้าก็ไม่นานเกินรอ และน่าจะเหมาะ
สมดีมากหากเราจะมานับเวลาเริ่มต้นทำงานเพื่อพระพุทธศาสนากันใหม่
และใน 12 ปีข้างหน้า เมื่อพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจก็ย่อมเป็นผลสำเร็จ และเตรียมการรับความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนากันในปี 2562 นั้น
สารบาญ
บทบรรณาธิการ
*************************************************************************************************
นี่คือหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 46 ประจำเดือนก.ย.-ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.
2553-ม.ค.-ก.พ.-มี.ค.-เม.ย.-พ.ค.-มิ.ย.2554
เราได้จัดทำหนังสือพิมพ์ดี ในนาม วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน
(แจกจ่ายทุกจังหวัดทั่วประเทศ) จนเปลี่ยนชื่อเป็น หนังสือพิมพ์ดี และ หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต)
ติดต่อกันมาเป็นเวลาย่างเข้า 14 ปีแล้ว สิ่งที่เราต้องการนั้นก็คือ
การประกาศสัจธรรมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบของสังคมและการเมืองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
โลกที่ดีกว่า และทางการเมืองเราเห็นว่านี่คือวิถีทางของระบอบประชาชน
อำนาจเป็นของประชาชน และประชาชนบริหารไปภายใต้อุดมการณ์ของเสรีชน
ที่มีความเสมอภาค และมีภราดรภาพในการปกครอง
พูดสั้น ๆ ก็คือ ระบอบประชาธิปไตยและวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
เราได้ประสบความสำเร็จหรือไม่ ? เราได้ประสบความสำเร็จ ในเมื่อในที่สุด
เวลานี้ ได้ปรากฏว่า ไม่ใช่เฉพาะเราที่ได้ต่อสู้มาในอุดมการณ์เดียวกันนี้
แต่กลับได้พบว่ามีประชาชนและผู้นำความคิดอุดมการณ์เช่นเดียวกับเรา
ได้นำพาประชาชนต่อสู้มาเนิ่นช้าคู่ขนานไปกับเรา จนบัดนี้จึงได้พบว่า มาบรรจบกันแล้ว
กลายเป็นกระแสเดียวกันอย่างอัตโนมัติ อย่างน่าพิศวงอย่างยิ่ง
นั่นคือ เสื้อแดง อุดมการณ์เสื้อแดง และตั้งแต่นั้นมาเราก็เสมือนหนึ่งได้ร่วมผนึก
ในการต่อสู้ไปกับพวกเขา และได้ประกาศตนอย่างเปิดเผยแล้วว่าเราคือเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย
คำประกาศของเราที่ว่า
เราจะบินบินบินและบินไป
สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า……ก็มีความหมายขึ้นเยอะ
เราขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ในช่วงหลัง ๆ มานี้ หนังสือพิมพ์ดี
ออกแต่ละเล่มกินเวลาช่วงละหลาย ๆ เดือน และมักข้ามปีไป
ทั้งนี้ก็เพราะเรามีนโยบายจะออกหนังสือพิมพ์ดี เป็นแบบ อินเทอเนต
ตามชื่อใหม่ล่าสุดที่ว่า ดี(อินเทอเนต) อยู่แล้ว และตามที่เราได้สร้างเวบ
ไซต์ของเราขึ้นรองรับนโยบายใหม่ไว้ถึง 2 เวบไซต์คือ
www.newworldbelieve.net และ www.newworldbelieve.com
ซึ่งโดยเหตุผลก็คือ ความเร็ว อินเทอเนตสามารถออกหนังสือพิมพ์ดี
(อินเทอเนต)ไปได้เรื่อย ๆ ทุกวัน ทุกชั่วโมง หรือทุกนาที ตามแต่สถานการณ์
ในขณะที่การจะออกเอกสาร ดี มาได้แต่ละเล่ม ต้องมีขั้นตอนงานมากมาย
และ กว่างจะจัดส่งอีก จึงใช้เวลามาก และทั้งดี(เอกสาร)
ก็สามารถบรรจุเรื่องราวต่าง ๆ ได้ไม่มาก ไม่ครบถ้วนเท่าดี(อินเทอเนต)
และซึ่งเราได้รายงานท่านผู้อ่านไว้แล้วตั้งแต่แรกเริ่มที่ว่าด้วยวิธีการ
ใหม่ด้านการสื่อสารของเรา ก่อนที่เราจะออกเวบไซต์ และได้แถลงต่อมา
เรื่อย ๆ ว่าเราจะละเลิกดี(เอกสาร)ลงไปตามลำดับ ๆ จะมุ่งทำดี(อินเทอเนต)
อย่างไรก็ตาม ดีเอกสาร ก็ยังคงจำเป็นที่เรายังต้องออกต่อไป
และซึ่งจะอยู่ในลักษณะประการที่เป็นอยู่ขณะนี้ นั่นคือช่วงจะยาว
ซึ่งบัดนี้เราก็ลงตัวในแบบแผนและวิธีการของหนังสือพิมพ์ดีเอกสาร
นั่นคือ เราจะออกหนังสือพิมพ์ดี(เอกสาร) ก็เพื่อเป็นเอกสารสำคัญส
ำหรับประเด็นบางประเด็นเท่านั้นเอง นั่นคือ การประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
และเป็นเพียงสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของเราเท่านั้น
โดยให้เป็นชนวนไปสู่เรื่องราวที่มากมายหลายหลากทางวิชาการและความคิดเห็น
อย่างครบถ้วนในเวบไซต์ จนอาจกล่าวได้ว่า หนังสือพิมพ์ดีที่สมบูรณ์ คือ เวบไซต์
www.newworldbelieve.net และwww.newworldbelieve.com นั่นเอง
เพราะฉะนั้น เกี่ยวกับการที่หนังสือพิมพ์ดีปรับแผนใหม่ แท้จริงจึงได้เริ่มมาหลายเล่มแล้ว
เรามาประกาศเพื่อทราบในเล่มที่ 46 นี้เพื่อเป็นกิจจะลักษณะ ให้ทราบโดยทั่วกัน
และเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับท่านผู้อ่านจะได้เข้าไปสู่เวบไซต์ของเราโดยตรง
เพราะในนั้นมีอะไรมากกว่าที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ดีเอกสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
รายการที่ท่านผู้อ่านจะร่วมกิจกรรมได้ด้วย อย่างไม่จำกัดก็คือ มีเวบบอร์ด
สำหรับแสดงความคิดเห็นได้ทุกเรื่องราว ทุกสถานการณ์ ทุกวันเวลาตลอด
24 ชั่วโมง และยังมี รายการที่เป็นที่นิยมยิ่งกว่ารายการใดใดในเวบไซต์นี้ ก็คือ
รายการโหราศาสตร์ ซึ่งเราเห็นว่าไม่เหมาะที่จะนำมาลงพิมพ์ในดีเอกสารได้ เป็นต้น
สำหรับดีเล่มนี้ เรามีบทสรุปประเทศไทยสั้น ๆ สำหรับท่านทั้งหลายก็คือ
ตั้งแต่ปฏิรูป 19 ก.ย.2549 เป็นต้นมา เป็นยุคของความตกต่ำและเหลวแหลก
มันได้พาประเทศชาติไปสู่ความเหลวแหลกอย่างไร ก็เห็นกันชัดเจนแล้ว
เราอยากจะกล่าวว่า เราได้เตือนทุกครั้ง ๆ ทางฝ่ายทหารว่า อย่าทำ.......
เพราะเหตุที่ว่าทำไปแล้ว มันไม่จบ........... เขาก็ไม่เชื่อ ครั้นจะทำการล้อมฆ่าประชาชน
19 พ.ค.2553 เราก็เตือนแล้วเตือนอีกว่า.......อย่าทำ เพราะทำไปแล้วมันก็ไม่จบ........
ก็หาฟังไม่ ........แล้วมันก็ไม่จบจริง ๆ...... น่าเสียดายเหลือเกิน
ที่ได้พบสาเหตุที่ทหารทำไปทำไม...ซึ่งคำตอบคือ อยากได้เงิน....
ดูราวกับว่าทหารหิวโซมานาน อดทนต่อไปไม่ได้..... ครั้นทำรัฐประหารแล้ว
ทหารก็มีโอกาสสั่งได้ตามใจ ว่าตนจะเอาอะไร และทหารก็ได้มา ๆ .....
ล่าสุดก็ได้งบไปซื้อเครื่องบิน และ อื่น ๆ ............
.อันนี้ก็สะท้อนไปถึงความคิดทหาร ว่าคิดสั้น คิดคับแคบ ไร้สิสัยทัศน์ และคิดผิด
นอกจากนั้นยังคิดล้าหลัง ฉุดประเทศให้ล้าหลังลงไป เห็น ๆ
และเมื่อร่วมกับพรรคการเมืองที่ถนัดในการร่วมมือกับทางทหารมาแต่เดิมคือประชาธิปัตย์ .....
อะไร ๆ ก็เลวลงไปหมดในประเทศไทยของเราขณะนี้ ......... ในด้านรัฐบาลนั้น บ่งบอกอะไร
ก็เห็นชัดว่า....นี่แหละ รัฐบาลเด็ก วันนี้พูดอย่างหนึ่ง วันพรุ่งนี้พูดอีกอย่างหนึ่ง
ไม่ผิดอะไรกับเด็กเลี้ยงแกะ ขณะนี้นายอภิสิทธิ์ ได้ออกปากว่าจะยุบสภา.......
ออกปากว่าอะไรก็ไม่ชัดเจน วันสองวันนี้เห็นออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้พูดว่าจะยุบสภาวันนั้น
........นี่คือรัฐบาลเด็กกะล่อน .........และในวันนี้ หลังจากออกปากจะยุบสภาในต้นเดือน
พ.ค. 2554 ก็หาความแน่นอนไม่ได้ว่าจะยุบวันที่เท่าไรกันแน่ .......
เราจะได้ยินนายอภิสิทธิ์พูดหรือเปล่าว่าเขาจะยุบสภาวันไหน ..? ทำไมเขาจึงทำลับ
ๆ ล่อ ๆ เต็มไปด้วยอุบาย เล่ห็เหลี่ยม ไม่ซื่อต่อประชาชน......
อันเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ประเทศไทยตกต่ำ ทรามที่สุดเท่าที่มีประเทศไทยมา
ในด้านการต่างประเทศ จะเห็นว่าดำเนินนโยบายผิดแล้วผิดอีก...
.ตั้งแต่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซ๊ยน โดยมีประเทศมา
ประชุมเพียง 4 ประเทศในวันเปิดประชุม ไม่มาถึง 6 ประเทศ ....... และนรม.
ไทยทำขายหน้า ด้วยการปราศรัยเชิงหมิ่นแคลนนรม.เขมรกลางที่ประชุมอาเซียน
.....นั่นเป็นการเริ่มต้นอย่างโง่เขลาและสร้างปัญหาขึ้นมา....จนกระทั่งบัดนี้
วันนี้ ชายแดนที่สงบ ๆ กลายเป็นการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างประเทศ
ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านขึ้นมา โดยไทยกลายเป้นเป้าสายตาของนานาชาติ
ประเทศไทยกลายเป็นประเทศปัญหาของกลุ่มประเทศอาเซียนไปเสียแล้ว
นั่นหมายถึงฐานะที่เคยเป้นผู้นำได้ตกต่ำลงไปเป็นประเทศที่
อยู่ใต้การประคองของประเทศอาเซียน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคหลังการรัฐประหาร
19 ก.ย.2549 นั้น ได้พิศูจน์ถึงความเห็นแก่ตัวของวงการทหาร และความล้าหลังของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งในขณะนี้ ประชาชนต่างรอ เพื่อได้ยินว่า นรม.พรรคประชาธิปัตย์จะ
เอ่ยออกมาว่าวันยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งนั้น จะเป็นวันที่อะไรแน่ ?
และเป็นที่คาดกันว่า ในการเลือกตั้งต่อไปนี้ จะเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ
ด้วยระบบสองมาตรฐาน การทุจริตนานาประการก็จะเกิดขึ้น เพื่อรัฐบาล
ประชาธิปัตย์ที่มีเครื่องมือพร้อมที่จะควบคุมการเลือกตั้ง ไปสู่ผลประโยชน์ของตน
โดยทุจริต .............ซึ่งแน่ละ ฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยหรือแดงทั่วแผ่นดิน
ได้มีความระแวงและระวังรู้ทันและจะต่อสู้ ฉะนั้นเราจึงหวังว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้
จะต้องเป็นไปอย่างมีความยุติธรรม...คงจะได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร
และในลำดับต่อไปนี้ สำหรับดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 46 ก็ถึงวาระที่เราจะ
ประกาศบุคคลแห่งปีของนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2553 ดังต่อไปนี้
6. บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
พุทธศักราช 2553
และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
พุทธศักราช 2553 เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศที่ไม่เอื้อแด่การมองในความเป็น
กลางอย่างเหมาะสม เราจึงชะลอการประกาศบุคคลแห่งปีมาล่าช้าไปหลายเดือน รวมทั้งเหตุ
ผลของการออกหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46 พลอยล่าช้าไปด้วย บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศ
เกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2553 ดังนี้
1. บุคคลที่ 104 นาง พวงแก้ว สาตรปรุง ทายาท พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา
พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน ของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการเปลี่ยน
แปลงการปก ครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 (ต่อจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา)
รวม 5 สมัย ตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2476 ถึงกันยายน 2481 รวม 5 ปี 5 เดือน 21
วัน ถึงแก่อนิจกรรมปี 2490 ขณะอายุ 60 ปี
พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน เกิดปี 2485 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
10 ปี ปัจจุบันอายุ 68 ปี สุขภาพยังแข็งแรง
มีคำถามสำคัญ ดังนี้
1. คำถาม ภูมิใจไหมที่พ่อเป็นหัวหน้าคณะราษฎรก่อการเปลี่ยนแปลง 2475 ?
คำตอบ ภูมิใจสิคะ คุณพ่อทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศ คุณพ่อเสียสละอย่างสูงเลย
เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดเลย ไม่มีสุขใดจะเหมือนด้วย ที่เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ
คุณพ่อเป็นผู้ที่เสียสละอย่างสูงสุด มีจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีความต้องการส่วนตัว
มีอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรประเทศจะพัฒนาไปได้ นั่นละ จุดมุ่งหมายของคุณพ่อ
สูงสุดอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไม่เคยเอาทรัพย์สินของประเทศมาเป็นของตัวเลย สักนิดเดียวก็ไม่มี
2. คำถาม คิดอย่างไรกับสภาพบ้านเมืองที่เกิดวิกฤตความขัดแย้ง แตกแยกมา 5 ปี
ตั้งแต่ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549
คำตอบ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของพวกชนชั้นขุนนาง เป็นพวกเห็นแก่ตัว จะยึดแต่อำนาจไว้กับตัว
ไม่แผ่อำนาจลงมาให้ราษฎร มันเริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2490 ตั้งแต่โน่นแล้วที่
จอมพลผิน ชุณหะวัณ ปฏิวัติ ไม่ใช่เพิ่งเกิด คนพวกนี้เป็นพวกเห็นแก่ตัว
รัฐบาลเขาจะผิด เขาจะถูกอะไร เขามีศาลยุติธรรมอยู่ตั้ง 3 ศาล ก็ฟ้องไป
ให้ว่าไปตามระบบของมัน ฟ้องเขาไปสิ เขาผิดอะไร ไม่ใช่มาตัดสินเองด้วยอำนาจของตัว
เสร็จแล้วพอตัวมีอำนาจ ตัวโกงกินประเทศชาติ ประเทศชาติมันก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาทุกคนก็คิดว่า
แหม พอพวกนี้คนโกงประเทศ อุ๊ย... ต้องยึดอำนาจแล้ว ต้องทำรัฐประหารแล้ว มันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
ไปใส่ร้ายเขา ไปเอามาตรา 112 (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ฯลฯ)
ไปใส่ร้ายเขา มันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าคนขาดศีลธรรม ก็เป็นอย่างนี้แหละ
3. คำถาม ลูกสาวผู้ก่อการกับ"เสื้อแดง"
คำตอบ นางพวงแก้วบอกเมื่อถูกถามว่า ชอบสีไหน "ป้าเหรอ ชอบสีแดง... "(คนเสื้อแดง)
เขาเป็นคนชั้นล่างน่ะ แล้วมีมากด้วย แล้วยังไม่ได้พัฒนา ป้าสงสารเขา
เขาพัฒนาได้น้อยเพราะพวกมีอำนาจมัวแต่กินโกงประเทศกัน ไม่เอาเงินไปพัฒนาเขาให้มากกว่านี้
เขาถึงได้ต้องตื่นตัวขึ้นมาเมื่อท่านทักษิณเข้ามา เพราะเขารู้ว่า อ๋อ ประชาธิปไตยกินได้อย่างนี้นี่เอง
เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา เขาก็อยากจะอยู่แบบคนอื่นเหมือนกัน เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา มันของธรรมดา อกเขาอกเรา"
"ป้าก็ไม่เคยไปเข้าร่วมชุมนุมกับเขา แต่จะติดตามดูทางทีวีที่บ้านอยู่ตลอด ดูไปจนถึงตี
4 ตอนเห็นทหารฆ่าประชาชน ก็รู้ สงสัย เอ๊ะ เขาฆ่าได้ยังไง ฆ่าได้แม้กระทั่งพระสงฆ์"
"ตอนที่ทหารยิงประชาชน ป้าส่งจิตระลึกไปถึงคุณพ่อ อยากให้คุณพ่อมาช่วยจัง ทำไมคุณพ่อไม่มาช่วยประชาชน
ไม่รู้ดวงวิญญาณท่านไปถึงไหนแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าตายแล้ว ดวงวิญญาณไปที่ไหน ดังนั้น ประชาชนต้องช่วยตัวเอง"
ป้าพวงแก้วเสนอให้ไพร่กับอำมาตย์มารวมกัน เพราะต่างก็เป็นคนเหมือนกัน จะมามัวแบ่งแยกทำไม
"ไพร่กับอำมาตย์ไม่ใช่คนเหรอ ก็คนเหมือนกัน เราเลือกที่เกิดได้หรือเปล่า เราเลือกไม่ได้
ถือว่าเขาเป็นชนชั้นเดียวกันสิ เมตตากับเขาสิ อย่าไปให้เขาคิดว่า เขาต่ำต้อยเป็นไพร่
ท่านทำไม่ถูกหรอก ที่ให้เขาคิดอย่างนั้น แสดงว่าตัวท่านน่ะผิด ผิดอะไรต้องดู ต้องสำรวจตัวเองว่าผิดอะไร
เขาถึงคิดว่า เขาต่ำต้อยอย่างนั้น คนเรามันเกิดมามันก็เหมือนกันทุกคน น่ะ มาทางเดียวกัน
แล้วก็ไปทางเดียวกันด้วย เวลาไปแม้แต่ตัวเองยังเอาไปไม่ได้เลย ซี่โครงยังอยู่ เอาไปไม่ได้ ไปแต่วิญญาณเท่านั้น"
"ทำไมไม่คิดถึงตอนนั้นล่ะ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ทุกคน พระพุทธองค์ท่านสั่งสอนมาดีแล้ว ทำไมไม่ทำตามล่ะ..."
ประเด็นสำคัญที่เรายกย่อง พวงแก้ว สาตรปรุง ก็คือ ในเมื่อเวลานี้เป็นเวลาของ ประชาธิปไตย
มาถึงแล้ว เราก็ได้พบว่ามีผู้ที่ต่อสู้มาก่อน ตั้งแต่เริ่มแรกยุคการเปลี่ยนแปลง
อย่างโดดเดี่ยวเงียบเชียบ เพราะ นี่คือทายาทของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
ที่ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลใดใดทั้งสิ้นแห่งยุคประชาธิปไตยไทย เพราะ พวงแก้ว สาตรปรุง
ได้ต่อสู้มาตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดา (กำเนิดปี พ.ศ.2485 ขณะที่บิดา
เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยอยู่ ก่อนจะเสียชีวิตในปี พ.ศ.2490)
มาจนถึงขณะนี้ เมื่อมีอายุถึง 68 ปีแล้ว และยังคงจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไป ตราบสิ้นชีพ จึงน่าจะได้เป็นบุคคลแรกที่สุดที่ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อประชาธิปไตยไทยจริง ๆ เนื่องจากไม่มีใครเลยที่ได้ต่อสู้มาอย่างเนิ่นนานเท่านี้ และต่อสู้อย่างมีชีวิตอยู่ ต่อสู้เพื่อมีชีวิต ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อตนตายเสีย เพราะได้ต่อสู้มาตั้งแต่เกิดมาเป็นธิดาของนักปฏิวัติประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ฉะนั้น เธอจึงเป็นผู้ที่ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยมาท่ามกลางฝูงอมาตย์ ที่แข็งแกร่ง ในยุคที่อมาตย์มีความน่าสะพึงกลัวที่สุด แล้วผ่านมา ๆ การต่อสู้ของเธอ พร้อมกับความเอาตัวเองให้มีชีวิตอยู่ ผ่านมา ๆ ก็หาละวางมือในการต่อสู้ไม่ ตราบมาบรรจบพบกระแสอันหลายหลากแห่งเสื้อแดงเข้า และเป็นยุคที่อมาตย์ ทายาทอสูรเริ่มอ่อนแรง เราจึงได้เห็นความปิติยินดีของเธอ เผยออกมาว่าเธอคือสปิริตของประชาธิปไตยโดยแท้จริง และเธอคือประชาธิปไตยไทยที่แท้จริง และเธอคือ สติปัญญา ที่ต่อสู้แบบสู้เพื่อมีชีวิตเสรีชน มีชีวิตเพื่อต่อสู้ด้วยสติปัญญาเพื่อประชาธิปไตยโดยแท้จริง เราจึงขอยกย่อง พวงแก้ว สาตรปรุง ว่าเป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2553 ของหนังสือพิมพ์ดี ต่อไป และหวังว่า จักเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อโลก เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริงต่อไป
ต่อจากนี้ โปรดติดตามอ่านสาระต่าง ๆ ของดี(อินเทอร์เนต) เล่มที่ 46 ต่อไป
บรรณาธิการ
27 เม.ย. 2554
13.00 น.
7. เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ยุคการเมืองอนารยธรรม
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
(ยุคการเมืองอนารยธรรม)
7.1. บทนำศึกษาประชาธิปไตยไทย
คัดสรรบทวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยก่อนและหลัง 19 กันยายน 2549
เกี่ยวกับประชาธิปไตยไทย
7.1.1 ประชาธิปไตยไทยอย่าเป็นอย่างพม่า
ศึกษาจากเรื่องราวจริง และเหตุการณ์จริง ช่วงก่อนและหลังยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549
ประเทศไทยอย่าเป็นอย่างพม่า แม้ว่าพฤติกรรมละม้ายคล้ายคลึงพม่ามาตั้งแต่ยุคปฏิรูปปฏิวัติโดย สนธิ บุณยรัตนกลิน ทหารเผด็จการหัวเก่า เมื่อ 19 ก.ย. 2549 นั่นคือ เมื่อมีการเลือกตั้ง เดือนพ.ย. 2551 แล้ว ฝ่ายทหารพ่ายแพ้การเลือกตั้ง พรรคทหารกลายเป็นฝ่ายค้านในสภาไป ก็ไม่ยอม ใช้อำนาจกดดัน บีบคั้น สร้างสถานการณ์ ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ฝ่ายตนคืนสู่อำนาจ จนกระทั่งรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งมาถึง 2 รัฐบาล นับแต่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องยุบตัวลงไปด้วยชั้นเชิงกลโกงทางการเมือง กลายมาเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายทหาร อมาตยาธิปไตยที่ล้าหลังระบอบเก่าอย่างพม่าจึงขึ้นครองอำนาจมาจนกระทั่งบัดนี้ สถานการณ์ปัจจุบัน ระบอบอมาตยาธิปไตยไทยกำลังพาประเทศและประชาชนเดินตามรอยรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าไปอย่างกระชั้นชิด ไม่ผิดการก้าวย่างตามทับอย่างรอยเดียวกัน อย่างไม่ละอายต่อสายตาโลก เพราะอย่าคิดว่าจะปกปิดซ่อนเร้นการกระทำที่แอบแฝงความมุ่งหมายอันไม่ซื่อตรง ที่ทรยศต่อระบอบของประชาชนไปได้ หากแต่สายตาโลกที่เจริญด้วยวิถีทางประชาธิปไตยทั้งหลาย อันเป็นยุคใหม่ของเทกโนโลยี ที่มาพร้อมกับยุคใหม่ของลัทธิการเมืองประชาธิปไตย กำลังเริ่มไม่ไว้วางใจสถานการณ์ในประเทศไทย เริ่มมองหามาตรการที่จัดการเผด็จการในประเทศไทย เพื่อเข้าโอบอุ้มพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยไทย ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในไทยไม่ให้เฉออกนอกลู่นอกทางไปจนตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการทรราชอย่างลึกซึ้ง ยากจะถอนตัวกลับคืนสู่วิถีประชาธิปไตยได้อีกครั้ง อย่างเดียวกับพม่า
ประชาชนชาวไทยจึงควรที่จะตื่นตัวขึ้นมาศึกษาเหตุการณ์ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ และมีความต่อเนื่องของสถานการณ์อนารยธรรมทางการเมืองนอกระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติของทหารตาบอดเผด็จการ 19 ก.ย. 2549 มาจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่เกิดองค์การโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสี สร้างความเกลียดชังแก่รัฐบาลประชาธิปไตยครั้งใหญ่และแหลมคมขึ้นในปลายรัฐบาลทักษิณ ภายใต้การยุยงส่งเสริมของอมาตยาธิปไตยอำนาจเก่า ที่ซุ่มซ่อนคอยโอกาส และจังหวะกระทำการอยู่ อันเป็นเหตุของความร้าวฉานระหว่างประชาชนและความสับสนวุ่นวายขึ้นมาขณะนั้น จนเป็นเหตุให้คณะทหารและอมาตยาธิปไตยระบอบเก่าที่สูญเสียประโยชน์ทางอำนาจและเศรษฐกิจเนื่องด้วยนโยบายที่ฟื้นฟูอำนาจของชนทั้งหลายระดับสามัญชนขึ้นมาตามวิถีทางอำนาจประชาธิปไตย ได้โอกาสในการกระทำการแทรกแซงทางการเมือง และใช้อำนาจกองทัพในมือเข้าปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยลงเสีย สถาปนาอำนาจแบบเผด็จการทหารนำโดยอมาตยาธิปไตยขึ้นมาปกครองประเทศ เป็นผลสร้างความแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นในแผ่นดิน ๆ ระส่ำระสายมาไม่มีที่สิ้นสุด จนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ได้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้กับรัฐบาลทหารและอมาตยาธิปไตย โดยยุทธศาสตร์การสื่อสารความจริงวันนี้ ได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในแผ่นดินไทย นั่นคือคนทั้งประเทศตาสว่างขึ้นทั้งแผ่นดิน และสีแดงโหมโรมเร้าทั้งแผ่นดิน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเผด็จการคืนอำนาจให้ประชาชน แต่แล้วรัฐบาลเลือดเข้าตาก็อำมะหิต พอที่จะออกคำสั่งระดมพลและอาวุธร้ายที่ใช้ในการสงครามโดยตรง โดยระดมกองกำลังที่จัดว่าสุดยอดของกองทัพไทยดีเด่นที่สุดของกองทัพไทย รวมถึงหน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษนับแต่หน่วยสวาท อรินทร์ราช เป็นต้น พร้อมทั้งอาวุธหนักเบา แม้กระทั่งยานยนต์ขนาดหนักใช้ต่อสู้ในสงครามโดยตรงก็ถูกระดมมาเพื่อกระชับวงล้อมเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่า ๆ กลายเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับประชาชนฝ่ายรักประชาธิปไตยทั้งประเทศ เพราะรัฐบาลแม้ได้สั่งการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยตามสิทธิของระบอบที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ทหารและกองกำลังปราบปรามประชาชนก็ได้สังหารประชาชนด้วยอาวุธสงครามตายไปถึง 91 ศพ โดยไร้เหตุผล และยังเตลิดเลยไปทำการละเมิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเขตอภัยทานในพระพุทธศาสนา โดยการกระหน่ำยิงฆ่าประชาชนผู้ทำหน้าที่หน่วยกูภัยเสียชีวิตถึง 6 ศพ ซึ่งเป็นการผิดธรรมเนียมระหว่างโลกสากล มีผู้สูญหายและบาดเจ็บอีกจำนวนร่วม 2,000 คน ในเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งพฤติกรรมล้อมปราบปรามประชาชนเช่นนี้ รัฐบาลกลับไร้ความสำนึกรับผิดชอบไปโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น ยังไร้เหตุผลแนวคิดทางการเมืองอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย กลับกล่าวหาว่าประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย และมีพฤติกรรมบ่อนทำลายไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ไปอีก ทำการจับกุมคุมขัง ดำเนินคดีอย่างเร่งรัด โดยใช้หน่วยงานลับDSI เป็นเครื่องมือร่วมสร้างเหตุผลหลักฐานเท็จขึ้นกล่าวหาประชาชน ยิ่งกว่ายุคนาซีเยอรมันเสียอีก เป็นเหตุให้ประชาชนคั่งแค้นฝังใจไปทั้งประเทศ และรอคอยจังหวะของการกลับมาของอำนาจของประชาชน ตามหลักการประชาธิปไตย
ในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารทรราช เผด็จการอมาตยาธิปไตยไทยของมวลชนชาวไทยนั้น นับว่ามีข้อได้เปรียบกว่าทางประชาชนพม่าอย่างมากมาย เพราะประชาธิปไตยไทยได้เรียนรู้จากประชาชนพม่ามาก่อน โดยได้เห็นประชาชนพม่าที่ถูกกดขี่ และไร้อิสรภาพ เสรีชน นั่นเอง และครั้นผ่านเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมครั้งใหญ่ที่เจดีย์ชะเวดากอง เมื่อ 10 ตุลาคม 2550 อันเป็นผลให้ประชาชนเสียชีวิตร่วม 200 ศพ และฝ่ายพระสงฆ์เสียชีวิต 50 ศพ การควบคุมปิดหูปิดตาประชาชนก็เข้มขึ้น ประชาชนพม่า จำยอมอยู่ใต้ปกครองของอำนาจทหารเผด็จการอย่างไม่กล้าปริปาก ส่วนประชาชนไทยมีพื้นฐานที่ดีกว่า โดยมีองค์คณะบุคคล ทางการเมืองและการศึกษาที่ประกอบด้วยผู้รู้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่า รู้โลกมากกว่า ได้เรียนรู้หลักการปกครองเปรียบเทียบหลายหลักการ อันลึกซึ้งไปถึงรัฐศาสตร์แห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง มีสถาบันประชาธิปไตยตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หลายสถาบัน ที่พอจะทบทวนตนเองให้รู้ซึ้งไปในหน้าที่ของสถาบันหรือองค์กรประชาธิปไตยในยุคประชาธิปไตยนี้ดีกว่าประเทศพม่า อนึ่งในยุคประชาธิปไตยปกครองประเทศชั่วขณะหนึ่งก่อนหน้าการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ประชาชนได้เรียนรู้ประชาธิปไตยทางตรง โดยได้พบได้พิศูจน์ความดีงามมาอย่างชัดเจนถึงนโยบายรัฐบาลประชาธิปไตย ที่ทำให้ประชาธิปไตยกินได้ อันไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเป็นเหตุของการตื่นตัวรับทราบความดีงามของประชาธิปไตยไปอย่างกว้างขวาง และเพิ่มความศรัทธาในระบอบของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนยิ่งขึ้นไป ยิ่งกว่าประชาชนพม่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวคิดทางการเมืองที่ยังสับสนไม่ลงรอยกันในหลักวิชา หลักการทางทฤษฎีและทางปฏิบัติแห่งระบอบประชาธิปไตยไทย อันเป็นเหตุให้ลังเลใจ ขาดความมั่นใจในวิถีทางการเมืองของเสรีชน คนพ้นยุคความเป็นทาสทุกประการ ที่ให้อำนาจเป็นของประชาชนโดยหลักการของความเสมอภาค และภราดรภาพ อันเป็นสากล ขาดความมั่นใจ ชัดเจนต่อวิถีทางหรือครรลองของระบอบอำนาจของประชาชนอันเป็นการเมืองแห่งความเป็นธรรมของประเทศชาติ
เพื่อให้เป็นการเสริมเพิ่มเติมและเน้นย้ำลงไปในวิถีทางของระบอบหรือครรลองของประชาธิปไตย คืออำนาจเป็นของประชาชน โดยหลักความเสมอภาค ภราดรภาพ และหลักเสรีภาพของเสรีชนคนในระบอบ เราจึงขอเสนอเรื่องราวซึ่งเป็นผลมาจากการมองสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนสถานการณ์ 19 ก.ย.2549 ตราบมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นระยะที่รัฐบาลเร่งคดีที่กล่าวหาประชาชนอย่างร้ายแรงว่าเป็น การก่อการร้าย โดยกล่าวหาว่าประชาชนกระทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไม่ชอบด้วยหลักสันติ อหิงสา แต่โดยความคิดแก้ว 3 ประการของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยยุคก่อนคือแนวคิดก่อการร้ายด้วยองค์กร 3 องค์กร คือ (1) พรรคการเมือง หมายถึง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (2) มวลชน หมายถึงมวลชนที่ถูกจัดตั้ง หรือที่ถูกปลุกเร้าด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ และ(3) กองกำลัง หมายถึงกองกำลังติดอาวุธ หรือทหารป่าที่มีภาระในการต่อสู้ล้มล้างรัฐบาล ซึ่งเป็นการกล่าวหาโดยเหตุผลที่ล้าหลังอย่างยิ่ง และเห็นเจตนาใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพื่อกดข่ม ทำลายฝ่ายตรงข้ามลงไปโดยวิถีทางเผด็จการ
ฉะนั้น ประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่มีระบอบอื่นใดเลยที่อาจนำชาติและประชาชนไปสู่ความหมายของชีวิต คือความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เป็นวิถีทางที่ข้ามพ้นปัญหาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาการ ที่พบความสมหวัง ผลประโยชน์ และความสุขที่สมบูรณ์ ต่อไปนี้จะเป็นการเลือกสรรบทวิเคราะห์เกี่ยวกับทัศนะการมองเหตุการณ์เกี่ยวกับประชาธิปไตย มาตั้งแต่ต้นของสถานการณ์การเมืองอันสับสนในประเทศไทย มาแต่ก่อนสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และหลังการเปลี่ยนแปลง 19 ก.ย. 2549 เพื่อเป็นบทเรียนทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย ที่น่าจะเป็นทางทำความเข้าใจหรือบทศึกษาประชาธิปไตยที่แท้จริง ในทัศนะหนึ่ง เป็นเรื่อง ๆ ตามลำดับไป ดังต่อไปนี้
· บก.นสพ.ดี(อินเทอเนต)
20 ส.ค. 2553
7.2. ปัญหามุสลิมไทย จากเวบบอร์ด
ปัญหาที่เป็นแก่นแท้ของมุสลิมไทย และมีการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นของฝ่ายรัฐบาลอมาตยาธิปไตยหลังปฏิวัติ 19 ก.ย.2553 เรื่อยมา และเพิ่มพูนเพราะแก้ปัญหาไม่ถูกหลักการใหญ่ หรือหลักแก่นแท้(เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจหลายแง่มุมแห่งอิสลามและมุสลิม)
- ผู้ตั้งกระทู้ ประยุกต์ นามเสพ :: วันที่ลงประกาศ 2010-09-22 19:20:10
ความเห็นที่ 1 (3250579)
ซาอุฯ อาจเอาประเทศไทยยุคสุเทพเป็นเมืองขึ้นได้ไหมครับ ???? ......... มีสิทธิ์ .....
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2010-09-22 19:36:52
ความเห็นที่ 2 (3251254)
ยิ่งนานไปก็ยิ่งเห็นความโง่เขลาของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนายกอภิทธิ์ คุณไม่รู้หรือว่าฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์อยู่ใน 14 จังหวัดภาคใต้ และส่วนใหญ่ก็เป็นมุสลิม คนมุสลิมเขาถือว่าการได้ไปประกอบพิธีฮัจจ์เป็นเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตของเขา มุสลิมทุกคนเชื่อว่าหากเขาพลาดโอกาสที่จะไปประกอบพิธีฮัจจ์อันศักดิ์สิทธิ์เท่ากับจิตวิญญาณของเขาจะต้องทุกข์ทรมานไปตลอดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังนั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนขนาดไหนเขาก็ต้องพยายามขวนขวายเพื่อให้ได้เดินทางไปเมืองเมกกะเพื่อเข้าเฝ้าองค์อัลเลาะห์พระเจ้าสูงสุดพระองค์เดียวที่เขานับถือ คนอย่างสุเทพและอภิสิทธิ์คงไม่เข้าใจความรู้สึกของชาวมุสลิม คิดว่าเขาศรัทธาพรรคประชาธิปัตย์อย่างไรก็เลือกอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ที่นายสุเทพและนายอภิสิทธิ์เฝ้ายืนยันอยู่หลายวันว่าการแต่งตั้งพลตำรวจตรีสมคิด บุญถนอมชอบด้วยความถูกต้องเหมาะสมของกฎหมายไทยแล้ว จนสถานทูตซาอุดิอารเบียไม่พอใจเรียกคืนวีซ่าของชาวมุสลิมไม่ให้ไปประกอบพิธีฮัจจ์ คนไทยได้เห็นจากภาพข่าวทีวีปรากฏสีหน้าอันทุกข์ระทมใจและอารมณ์โกรธแค้นของชาวมุสลิมที่ผู้นำรัฐบาลทำลายความฝันของชาวมุสลิมที่เฝ้ารอมาตลอดชีวิต คุณเป็นผู้นำประเทศได้อย่างไรจึงไม่เข้าใจเขา ไม่เข้าใจคนมุสลิม พวกเขาไม่มีวันรักพรรคการเมืองไหนมากไปกว่าความเชื่อทางจิตวิญญาณที่ผูกพันเขามานานหลายชั่ว
อายุคน คอยดูอวสานของพรรคประชาธิปัตย์มิได้เกิดจากใคร แต่เกิดจากความโง่เขลาที่ทำลายตนเอง หลงระเริงไปกับอำนาจที่เป็นเพียงภาพมายาได้เสพเสวยชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ผ่านไป แต่รัฐบาลในชุดนี้ไม่ได้ผ่านไปเฉยๆ แต่ได้ผ่านซากศพถึง 91 ศพและผู้บาดเจ็บจำนวนร่วม 2000 คน ผู้สูญหายอีกจำนวนมาก แล้วจะอยู่อย่างไรเมื่อน้ำลด
- ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-09-23 22:28:43
ความเห็นที่ 3 (3251987)
ที่...สุด ๆ ก็คือคนใหญ่โตใกล้ชิดสถาบันกษัตริย์ไทย ประธานองค์มนตรี พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ คิดจะอบรมเยาวชนมุสลิมให้เขาหันจากอิสลาม หันจากพระเจ้าอัลเลาะห์ของพวกเขา ไปนับถือพระเจ้าองค์ใหม่ คือ พระสยามเทวาธิราช เขาพูดในการเปิดการอบรมเยาวชนตามโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ ประมาณเดือนมีนาคม ปี 2552 ....... และมุสลิมทั่วโลกได้ยิน นี่เป็นความคิดผิดและโง่เขลาอย่างยิ่งใหญ่ และผลของมันก็ระเบิดออกมาเป็นระยะ ๆ เป็นต้นเหตุ 3 จว.มุสลิมใต้รุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีท่าทีว่าประเทศมุสลิมโลกเริ่มจะคุกคามประเทศไทย ในเซนส์ของประเด็นศาสนา
รัฐบาลทหาร-เด็ก จึงไม่รู้จักประชาธิปไตย......... แต่ทางแก้ของ3จว.ใต้คือต้องแก้ด้วยประชาธิปไตย .... ตราบใดที่ประชาธิปไตยไม่กลับมา 3 จว.และทั้งประเด็นต่างประเทศกับมุสลิมโลกจะแตกกว้างขวางออกไปอีก
วันนี้ ประชาธิปไตยไทย จึงนอกจากต้องการระบอบแล้ว ยังต้องการบุคคล คือนักการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย รอบรู้หลักการ และนโยบายทางการเมืองประชาธิปไตย ให้เป็นประชาธิปไตยกินได้ เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประชาธิปไตยจงอย่าให้นักการเมืองหน้าเก่า ๆ เช่นนายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสนั่น ขจรประศาสน์ นายเนวิน ชิดชอบ นายชัย ชิดชอบ นายกรุง ศรีวิลัย นาย....หมากระเป๋า.....นายอภิสิทธิ์ นายกร นายอนุพงษ์ และพรรคภูมิใจไทยทั้งหมด พรรคการเมืองใหม่ทั้งหมด..... รวมทั้ง เจ๊กลิ้ม ฯลฯ... อย่าได้เข้ามาอีกเลย......... นี่เป็นสิทธิของข้าพเจ้าที่จะพูดแสดงความเห็น ตามหลักการประชาธิปไตย ใช่ไหม????
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ2010-09-25 00:46:58
ความเห็นที่ 4 (3251988)
ใช่ครับ แต่ประเด็นซาอุฯ อาจเอาประเทศไทยยุคสุเทพเป็นเมืองขึ้น น่าสนใจจริง ๆ รัฐบาลทำเรื่องน่าอดสูจริง ๆ สำหรับคนไทยทั้งประเทศ โดยการแต่งตั้ง พล.ต.ต.สมคิด บุญถนอม เป็น ผช.ผบ.ตร. พร้อมคำยืนยันของนายกรัฐมนตรีว่าดีพร้อม เหมาะสม ทุกประการ แต่แล้ว พอซาอุดีอาระเบีย ว๊ากเพ้ยออกมา ว่าไม่ยอมให้ตั้งสมคิด รัฐบาลก็ถอย ....ให้สมคิดถอนตัว นีมันหมายความว่ากระไร ??? รัฐบาลเด็กไทย ต้องไปฟังคำสั่งของซาอุดีอาระเบีย หรือ ......???? น่าอดสูแท้ ทีกับเขมรละ พองดีทีเดียว..... แต่พอซาอุฯละแฟบ ......แสดงความขี้ขลาดออกมาเลยเทียว.........
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนก วันที่ตอบ 2010-09-25 00:57:09
ความเห็นที่ 5 (3252982)
ก็นั่นแหละรัฐบาลเด็ก และรัฐบาลสมองลิง 1.8 ล้านปีนู้น
ตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 มามีอะไรดีบ้าง ไม่มีเลย นี่แหละประชาธิปัตย์ ได้เป้นรัฐบาลทีไรก็มีแต่เรื่องราวอลเวงอยู่รอบ ๆ ตัวอย่างนี้ ไม่ไปไหน เพราะไม่รู้จะไปทางไหน(บริหารแบบไร้นโยบาย สร้างนโยบายไม่เป็น) แล้วก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา ก็กลบประเด็นทำงานไม่เป็น ไม่ก้าวหน้า ไปเสีย เอาตัวรอดไปได้ คนได้ดิบได้ดีคือรัฐบาล (ได้เงิน หากินกับงบประมาณ)
พอเสียทีเถิดประชาชนไทย
อย่าเอาคนหน้าแหลม ๆ กลับมาอีกเลย.......(คนหน้าแหลม สนั่น ขจรประศาสน์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชวน หลีกภัย เนวิน ชิดชอบ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประมาณนี้ครับ)
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ2010-09-28 14:04:56
ความเห็นที่ 6 (3253044)
อีกคนครับคนหน้าแหลม อยู่กระทรวงวัฒนธรรม.........อีกคนครับ เจ๊กลิ้ม ไล่ไปเมืองเจ๊กเสียเลย..
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนก วันที่ตอบ 2010-09-28 20:55:09
ความเห็นที่ 7 (3253520)
เจ๊กลิ้มหรือ? ไล่ไปเมืองกุ๊ยเหลียง นู้น
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2010-10-02 09:11:34
ความเห็นที่ 8 (3253522)
กลับมาประเด็นรัฐบาลเด็กไทย ฟังคำสั่งรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย โดยสถานทูตซาอุดีอาระเบียออกมาวาก !!!!! รัฐบาลเด็กก็หด ถอนพล.ต.สมคิดทันที นี่เป็นประเด็นนะครับ........... ผมว่าสำคัญมาก รัฐบาลนี้รักษาอธิปไตยชาติไว้ได้อยู่ทหรือ ???? จะให้รัฐบาลเช่นนี้อยู่ไปได้ มิเสี่ยงหรืออย่างไร ????? พอ ๆ กับยุคเสียกรุงสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ละมัง ........นึก ๆ น่าเป็นห่วงจริง ๆ ......
ผมอยากให้ประชาชนคิดประเด็นนี้ครับ........ มีคำอธิบายไหม ช่วยอธิบายหน่อย ........
- ผู้แสดงความคิดเห็น ประชา ไทยเสรีชน วันที่ตอบ 2010-10-02 09:27:58
ความเห็นที่ 9 (3253616)
เก่งแต่กับเขมรละมั้ง ..... กรณีเพชรซาอุ ไม่เห้นจบสิ้นเสียที มาจนถึงคดี เพชรธาริตุ เกิดใหม่
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2010-10-03 09:37:29
ความเห็นที่ 10 (3253617)
ได้ข่าวว่าสุเทพ จะไปแล้วนี่ครับ ลาออกจากรองนายกฯ
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนก วันที่ตอบ 2010-10-03 09:41:37
ความเห็นที่ 11 (3253619)
ปัญหามุสลิมไทย 3 จว.ใต้ ผมเห็นว่าประเด็นอยู่ที่ ประชาธิปไตย ไม่ว่ามีความคิดอะไรก็ตาม เช่นจะให้เป้นเขตการปกครองพิเศษ ก็ตาม ก็ต้องอยู่ใต้หลักการประชาธิปไตย นั่นคือให้สิทธิทางการปกครองเสมอกับประชาชนอื่น ศาสนิกอื่น อย่างไม่มีข้อจำกัด พวกเขาสามารถดำเนินนโยบายทางการเมือง และนำนโยบายการเมืองเสนอต่อประชาชนได้ และมีสิทธิ์ ขึ้นสู่สถานะผู้บริหารนโยบาย คือระดับสูงสุดของสถาบันได้ และมีสิทธิ์เต็มที่ ๆ จะต่อสู้ทางนโยบายไปจนกว่าประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับเขา นั่นเป็นความเป็นธรรม
ไม่ใช่ไปคิดแย่งอำนาจของเขาด้วยกำลังกองทัพ เช่นมุสลิมสนธิ บุณยรัตกลิน
กรณีปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก และเป็นประเด็นมุสลิม เหมือนกัน เพราะหัวหน้าปฏิวัติ คือพล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน เป็นมุสลิม และแน่นอนมุสลิมไทยต้องไม่คิดอย่างเขา เพราะปัญหาจะไม่รูจบสิ้น ถ้าคิดไปนอกกรอบประชาธิปไตย
สนธิ บุณยรัตนกลิน เป็นผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตยไทย เพราะได้โอกาสจากฐานะตำแหน่งผู้คุมกองกำลัง และยังมีลักษณะการทรยศต่อรัฐบาลทักษิณ ทรยศต่อประชาชนไทยทั้งชาติ และทรยศต่อไทยมุสลิมใต้ เพราะรัฐบาลทักษิณตั้งเขาขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นเพื่อให้ปรองดองกับมุสลิมด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาพวกเดียวกัน แต่สนธิ บังนี้ ทรยศ ...... และทำลายประชาธิปไตยไทย....
มุสลิมชอกช้ำต่อมาอีก เมื่อขุนอมาตย์เปรม ติรศุลานนท์ ประกาศนโยบายจะเกลี้ยกล่อมเยาวชนมุสลิมใต้ให้หันเหความเคารพต่อพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขา ซึ่งไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย คน 2 คนนี้ จะต้องได้รับการลงโทษ อย่างแน่นอน
จากทั้งประชาชน และจาก อัลเลาะห์
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2010-10-03 10:02:32
ความเห็นที่ 12 (3253891)
สถานการณ์ใต้รุนแรงอีกแล้ว เมื่อวานนี้ปะทะทหารพราน ๆ เสียชีวิต 3 คน ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน หลังการยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549
- ผู้แสดงความคิดเห็น 001 รายงาน (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-10-04 20:15:22
ความเห็นที่ 13 (3254023)
กรณีวิคเตอร์ บู๊ท นักค้าอาวุธ ก็โดนรัสเซียวากเอา ก็ระงับ ไม่ส่งไปอเมริกา นี่ก็ไม่ได้ความเหมือนกันนะครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุนาย วันที่ตอบ 2010-10-05 19:46:11
ความเห็นที่ 14 (3254181)
คุณคนนกหมายถึงสุเทพไหนครับ..... ถ้าสุเทพมนุษย์วานร 1.8 ล้านปี จะไปไหนก็ไปสิ ตามประสา ขออนุโมทนาเลย และอย่าได้กลับมาอีก
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุนาย วันที่ตอบ 2010-10-06 15:53:12
7.2.1 ไทยมุสลิมค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่เคยรู้บุญคุณไทยพุทธ
ความเห็นที่ 15 (3254495)
ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับปัญหามุสลิมใต้ก็คือ ปัญหาของชาวไทยพุทธ ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ไทยมุสลิมค่อนข้างเห็นแก่ตัว หากยอมรับว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย มุสลิมก็ต้องเคารพในสิทธิของไทยพุทธ หรือไทยที่นับถือลัทธินิกายศาสนาใดใด ในประเด็นสิทธิในทรัพย์สิน และสิทธิในการเลือกที่อยู่และการประกอบอาชีพ
ทุกวันนี้ จากแหล่งข่าวทางฝ่ายสงฆ์ ซึ่งจะชัดเจนมากว่า ไทยพุทธในสามจังหวัดชายแดนใต้ได้ถูกกระทำและกำลังถูกกระทำให้ขาดความมั่นใจว่าแผ่นดินที่เขาเคยอยู่มาแต่ชั่วปู่ย่าตายาย สวนยางที่ประกอบอาชีพมาแต่ชั่วปู่ย่าตายาย ไม่ใช่แผ่นดินของเขา ไม่ใช่แผ่นดินของคนนับถือพระพุทธศาสนา วัดวาอารามที่ชาวพุทธใต้นับถือกำลังถูกขับไล่ โดยส่วนหนึ่งแห่งมุสลิม
โดยประสงค์ให้สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นแดนของมุสลิมล้วน ๆ และแยกออกไปเป็นรัฐของมุสลิมอีกรัฐหนึ่งในโลกนี้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นจริงได้เลย และไม่มีความชอบธรรมที่ใครจะคิดทำเช่นนั้น
แต่ก็อยากถามพี่น้องมุสลิมใต้ว่า นี่เป้นความชอบธรรมหรืออย่างไร ????
แน่นอน คำตอบคือ ไม่ชอบธรรมอย่างแน่นอน .......... แต่ท่านทำอย่างนั้นทำไม ???? ท่านจะต้องหยุด.....
เช่นเดียวกับที่ชาวไทยพุทธในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้ความยอมรับในสิทธิชาวไทยมุสลิมส่วนนิดน้อยในจังหวัดของชาวพุทธที่เป็นชนส่วนใหญ่ ท่านจะไม่เคยเห็นเลยว่า มุสลิมส่วนนิดน้อยในต่างจังหวัด ไม่ว่าเหนืออีสาน หรือ กทม.เอง ถูกรังเกียจเหยียดหยามจากไทยพุทธ แม้กระทั่งถูกกีดกันในอาชีพใดใดก็ตาม ไม่ปรากฎเลย มุสลิมส่วนนิดน้อยในท่ามกลางชาวพุทธส่วนใหญ่มหาศาล ต่างมีความสุข และมีสิทธิ์เท่า ๆ กับชาวไทยพุทธทุกประการ ซึ่งผิดแผกแตกต่างจากดินแดนสามจังหวัดชายแดนใต้ขณะนี้ ที่ชาวไทยพุทธกำลังถูกไล่ล่า ขับให้หนีไปจากแผ่นดิน ที่เขาคิดว่าควรเป็นแผ่นดินมุสลิมล้วน ๆ ซึ่งนี่เป็นความเห็นแก่ตัว ๆ สร้างปัญหา และเป้าหมายอันไม่มีทางจะเป็นจริงขึ้นมาได้เลย ทำไมไทยมุสลิมใต้ ไม่ทำอย่างเดียวกับชาวพุทธ เป็นมิตร และให้สิทธิเท่าเทียม และไร้การกีดกัน แผ่นดินจะได้สงบลง
มองปัญหานี้ ประเด็นนี้ ให้ถ่องแท้ เข้าใจและรอบคอบ ตามหลักการประชาธิปไตย ก็จะค่อยแก้ปัญหาไปได้โดยสันติและเป็นธรรมแก่ชาวไทยพุทธ และทั้งเป็นธรรมแก่ชาวไทยทุกศาสนิกชนในประเทศไทยใต้พระบรมโพธิสมภาร
ความเห็นที่ 16 (3254587)
รัฐบาลไทยแทบทุกรัฐบาล ประกอบด้วยนักการเมืองส่วนใหญ่ที่สุด เป็นชาวพุทธ เรียกได้ว่าประเทศพุทธ รัฐบาลพุทธ ได้โอบอุ้มมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้มาอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันมาตลอด และที่สำคัญได้ทุ่มเทงบประมาณลงไปอย่างมากมายมหาศาลมาก ในแต่ละปี ๆ ทุ่มลงไปนับหมื่น ๆ ล้าน ขณะที่อิสานทั้งภาค 19 จังหวัด ยังคงไม่ค่อยได้รับการดูแลเอาใจใส่ พวกเขาก็ไม่ได้เคยนึกอิจฉาสามจังหวัดภาคใต้
ทำไมมุสลิมใต้ จึงไม่รำลึกความดีของชาวพุทธในแง่นี้บ้าง ?
และทำไมมุสลิมใต้ไม่คิดถึงหลักการประชาธิปไตย ในการบริหาร 3 จังหวัดชายแดนใต้ของตน ในประเด็นสิทธิ และเสรีภาพอันเท่าเทียมกัน และสิทธิในการปกครองที่ได้รับรองจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ นั่นคือ 1 คน 1 เสียง
มุสลิมในต่างจังหวัดทั่วประเทศ มีไทยพุทธไหนรังแกข่มเหง ให้เจ็บช้ำน้ำใจหรืออย่างไร ???? แล้วทำไมจึงต้องขับไล่ชาวไทยพุทธออกจากดินแดนสามจังหวัดภาคใต้
พระเจ้าอัลเลาะห์สั่ง อย่างนั้นหรือ ??????
ถ้าพระเจ้าไม่สั่ง ท่านก็ควรระงับแนวทางปฏิบัติอันคุกคามชาวพุทธในสามจังหวัดภาคใต้เสียเถิด ไม่มีทางใดจะแก้ปัญหาได้นอกจากวิถีทางประชาธิปไตย เริ่มบนพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่จำกัด ลัทธิ นิกาย ศาสนาใด นี้แหละทางแก้ปัญหา
- ผู้แสดงความคิดเห็น ชาวพุทธ วันที่ตอบ 2010-10-09 20:18:10
ความเห็นที่ 17 (3254993)
สถานการณ์ทุกวันนี้ มุสลิมใต้ยิ่งทำอย่างเปิดเผย แสดงตัวว่าแผ่นดินสามจังหวัดใต้ ไม่ต้อนรับชาวพุทธ จงอพยพออกไป เขาจะทำให้เป็นแดนอิสลามล้วน ๆ กระแสข่าวสงฆ์ระบุชัดเจน แม้กระทั่งสิทธิของนักบวชพุทธ คือพระสงฆ์องค์เจ้า ที่จะออกบิณฑบาต อันเป้ฯกิจวัตรตามพระบรมพุทธบัญญัติ ก็ไม่อาจจะกระทำได้อย่างแต่ก่อน แม้ว่าจะต้องมีกองกำลังคุ้มครองออกบิณฑบาตร ก็ยังไม่ปลอดภัย ...............................มุสลิมใต้ ทำเช่นนั้นไปทำไม ?????? คิดว่าจะจบลงได้ด้วยวิธีการอย่างที่คิดและทำอยู่นั้นหรืออย่างไร ????
จะให้เอาอกเอาใจไปถึงไหน ??????
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2010-10-12 19:45:41
ความเห็นที่ 18 (3254994)
เกลือจิ้มเกลือไปเลย......จะได้รู้สึกเสียบ้าง......
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุนาย วันที่ตอบ 2010-10-12 19:47:42
ความเห็นที่ 19 (3255175)
ประการแรก เลิกล้ม พรบ.มุสลิมที่ออกมาใหม่เสีย ไล่มุสลิมส่วนน้อยออกไปจากทุกจังหวัดของประเทศไทย แล้วเคลื่อนพลชาวพุทธมหาศาล ให้หลั่งไหลลงไปทางใต้ เอาพลอีสานก็ได้ ผมคนแรกเต็มใจไป เอาไปสัก 3 ล้านคนก็พอ ดูว่าแผ่นดิน3จว.พอแบ่งกันอยู่หรือไม่ ....... นี่แหละที่ผมว่า เกลือจิ้มเกลือละ ......กำแหงมานานเหลือเกินแล้ว จะได้รู้สึกกันเสียบ้าง ว่าชาวพุทธใจร้อนเป็นเหมือนกันนะว้อย .....
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุนาย วันที่ตอบ 2010-10-13 17:40:33
ความเห็นที่ 20 (3255176)
ที่จริงคนอีสานก็ไปตายที่นั่นอยู่ทุกวัน ๆ แล้ว ก็ทหาร ตำรวจระดับล่าง ๆ ที่คุมดูแล ล้วนเลือดเนื้อพี่น้องอีสานทั้งนั้น ตายกันไปแล้วไม่รู้เท่าไร อดจะไม่ได้แล้วนะ...
- ผู้แสดงความคิดเห็น อภิชัย ชัยกำภู วันที่ตอบ 2010-10-13 17:44:23
ความเห็นที่ 21 (3255413)
ไม่ตายได้อย่างไร ในเมื่อกองทัพซื้อเครื่องจีที 200 ที่ตรวจวัตถุระเบิดไม่ได้ผล ชีวิตของทหารพวกนี้เจอทั้งผู้ก่อความไม่สงบ และยังเจอความใจดำของผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีก เมื่อไรชีวิตคนไทยถึงจะมีค่าเสียที เลิกยกย่องคนไม่ดีได้แล้ว ทำไมจนป่านนี้สังคมไม่ตั้งคำถามกับกองทัพว่าใช้งบประมาณปีหนึ่งหลายแสนล้านบาท แต่ทำไมจึงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ทหารชั้นผู้น้อยไม่รู้สึกหรือว่าชีวิตคุณเหมือนอยู่บนเส้นด้ายทำอย่างนี้กับรั้วของชาติได้อย่างไร ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-10-15 09:06:13
ความเห็นที่ 22 (3257242)
เห็นด้วยกับสุนาย ........ ความคิดเยี่ยมมาก...... เอาด้วยคน......
- ผู้แสดงความคิดเห็น ประชา ไทยเสรีชน วันที่ตอบ 2010-10-29 19:59:44
ความเห็นที่ 23 (3257244)
เรื่องที่เป้นกิจเฉพาะของมุสลิมเอง เช่นการไปแสวงบุญที่เมกกะ รัฐบาลก็ยังทุ่มงบประมาณช่วยเหลือทุกปี ๆ โดยที่งบมาจากชาวพุทธทั้งประเทศด้วย ....... น่าจะรำลึกความดีของชาวพุทธไทยบ้าง แต่เปล่าเลย......
- ผู้แสดงความคิดเห็น ประชา ไทยเสรีชน วันที่ตอบ 2010-10-29 20:14:25
7.2.2 มุสลิมฆ่าล้างครอบครัวพุทธ จะให้หมู่บ้านมีแต่มุสลิมบริสุทธิ์
ความเห็นที่ 24 (3257301)
เดี๋ยวนี้ชาวพุทธทั้งหลายก็ยังคงมองมุสลิมว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติ เพื่อนที่รักชาติไทยเช่นเดียวกับชาวพุทธที่รักชาติ รักไทย รักในหลวง............. และพร้อมที่จะให้อภัย และพร้อมที่จะเข้าโอบอุ้ม ทั้ง ๆ ที่ตนเอง ชาวพุทธถูกเอารัดเอาเปรียบทุกประการ และที่สำคัญ มุสลิม 3 จังหวัดชายแดนใต้แสดงให้เห็นชัดเจนไปทุกที ว่าคิดไม่ซื่อตรง แสดงออกถึงการเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ศาสนามุสลิมของตนฝ่ายเดียว อาการว่าจะแยกตนเองเป็นแดนอิสระ โดยวิธีที่ไม่เป็นธรรม ไร้เหตุผล และ ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่สอดคล้องหลักการของสิทธิเสรีภาพของมนุษย์สากล บนโลกนี้ นั่นคือ ขับไล่ชาวพุทธออกไปจากถิ่นที่เคยอยู่เคยกินในดินแดนสามจังหวัดชายแดนใต้ ......
นี่คือแนวคิดที่สอดคล้องแนวคิดอาฟกานิสถาน ตอนที่ถล่มพระพุทธรูปขนาดสูงใหญ่ที่สุดในโลก ที่หน้าผาบาบียัน ปีนั้น เรียกว่าแนวคิดมุสลิมบริสุทธิ์ ให้มีแต่คนมุสลิมล้วน ๆ เป็น มุสลิมบริสุทธิ์...... แล้วจะนำแนวคิดนี้มาใช้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นดินแดนไทย เป็นประเทศไทย .......และประเทศไทยนี้ได้รับรองการมีสิทธิเสมอกันของพลเมืองเอาไว้ถ้วนหน้า ไม่จำกัดศาสนา ........... อันเป็นเยี่ยงอย่างเดียวกับประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลายในโลก ฉะนั้น ชาวไทยชาวพุทธจึงมิได้มีความรังเกียจคน ชนส่วนน้อย หรือศาสนิกชนคนส่วนน้อยในประเทศนี้ จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อันมีผลคุ้มครองคนไทยทุกศาสนา ไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับจำนวน คนส่วนน้อยส่วนใหญ่ต่างได้รับการคุ้มครองซึ่งสิทธิและเสรีภาพ เสมอเท่าเทียมกันหมด และศาสนิกแห่งศาสนาอื่น รวมทั้งมุสลิม จึงมีโอกาสเผยแผ่ศาสนาของตน คริส อิสลาม ฯลฯ ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ท่ามกลางชาวพุทธส่วนใหญ่ของจังหวัดและประเทศนี้ ได้อย่างเสรี และทั้งมีสิทธิ์ทุกประการเท่า ๆ กับชาวพุทธซึ่งมีจำนวนกว่า 90 % ของคนในประเทศนี้
นั่นคือสิทธิตามแนวทางของระบอบการปกครองโดยประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งโดยระบอบนี้ เรื่องสิทธิเสรีภาะรัฐธรรมนูญต้องรับรองไว้ และรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับได้รับรองเอาไว้ และนั่นหมายถึงมุสลิมไทยก็มีสิทธิ์ทุกอย่างโดยสมบูรณ์ เท่าเทียมกับสิทธิของประชาชนชาวพุทธที่เป้ฯชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ที่สำคัญ ..... สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย.......... สิทธิเสรีภาพในการเดินทาง การเลือกถิ่นที่อยู่ภายในราชอาณาจักร ........ สิทธิเสรีภาพในเคหะสถานของตน ทรัพย์สินของตนที่หามาได้ ........ ฯลฯ
ซึ่งด้วยเหตุนี้ จึงมีมุสลิมแทรกไปอยู่ยังแผ่นดินไทยทั่วทุกหัวระแหง แม้ว่ามีอยู่เพียง 2-3 คน หรือครอบครัว ท่ามกลางชาวพุทธที่หนาแน่น ก็อยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่มีชาวพุทธคนใดรังแกชาวมุสลิมเลย ............
มีหลายแห่งที่มุสลิมในบางจังหวัด มีความเป้ฯอยู่ร่ำรวย ท่ามกลางความยากจนของชาวพุทธ ๆ ก็ไม่ได้อิจฉาริษยาโกรธแค้น ...... มีบางจังหวัด มีมุสลิมอยู่เพียงครอบครัวเดียว แต่สามารถเปิดเสียงสวดอ้อนวอนพระเจ้าของตนได้ทุกเช้าดึกดื่น ........ น่าหนวกหู แต่ชาวพุทธก็ไม่ว่าอะไร .......... ชาวพุทธประชาธิปไตยรับได้ และเคารพในสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าจะละเมิดสิทธิของศษสนิกอืนไปบ้างเขาก็ให้อภัยแด่มุสลิมส่วนยน้อยนั้น .......... นั่นคือความรักในมนุษย์ด้วยกัน
แต่ทำไม มุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไม่เคารพสิทธิของชาวพุทธ ........ เช่นเดียวกับที่ชาวพุทธเคารพในสิทธิของมุสลิม...... ท่านจะอ้างว่า เพราะมุสลิมย่อมบริสุทธิ์ ..... ในแผ่นดินมุสลิม ย่อมไม่มีศาสนิกอื่นเจือปน.... และยกตนว่าเป็นเชื้อสายของพระเจ้าผู้สูงสุด ชนเผ่าอื่นเป็นเผ่าอัปปรีย์จัญไร เป็นผู้ทรยศต่อพระเจ้า เป็น มุนาฟิกส์ .....ต้องขจัด ล้างเสียอย่าให้ปนในแผ่นดินชาวมุสลิม..... อย่างนั้นหรือ...... นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และเป็นความคิดล้าหลังอย่างที่สุดเช่นเดียวกัน
การไล่ชาวพุทธออกไปจากแผ่นดินใต้ ล่าสุด มีรายงานในหนังสือพิมพ์กรณีที่ชัดเจนก็คือ เหตุเกิดที่ หมู่บ้านฮุแตยืลอ หมู่ 6 ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส มีผู้ร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน บุกเข้าไปใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 จ่อยิงชาวบ้านไทยพุทธ ซึ่งเป้นกลุ่มที่เหลืออยู่กลุ่มสุดท้าย เพราะตั้งมั่นไม่ยอมอพยพไปจากถิ่นที่อยู่ที่เคยทำมาหากินมาแต่บรรพบุรุษพุทธของเขา เป็นผลให้ไทยพุทธเสียชีวิตไป 4 ศพ ดังนี้
1. นายชื่น คงเพชร อายุ 83 ปี บิดา
2. นางห้อง คงเพชร อายุ 76 ปี มารดา
3. นางสมศรี บุญทอง บุตรสาว อายุ 58 ปี
4. นายเจริญศิลป์ บุญทอง ลูกเขย อายุ 47 ปี
เสียชีวิตพร้อมกัน ด้วยอำนาจปืนของคนมุสลิมใต้ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2553 แล้ววางเพลิงเผาบ้าน 3 หลังเหลือแต่เสาเรือน และเถ้าถ่าน ยังเหลือคนไทยพุทธในครอบครัวนี้ 3 ชีวิต ที่ยังอยู๋ "ฒ๋ญฮฒฮฑญฑ คือ
1. น.ส.ศิริลักษณ์ ระเบียบธรรม ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ศาลจังหวัดเบตง
2. น.ส.สินีนาถ ระเบียบธรรม อายุ 28 ปี เป็นครูอัตราจ้าง ในโรงเรียนนราธิวาส
3. นายวงศ์ศักดิ์ บุญทอง อายุ 17 ปี ยังอยู่ ม.5 รร.นราธิวาส
(ข่าวมติชนรายวัน 24 ก.ย. 2553 หน้า 15)
ถามมุสลิมใต้ว่า ยังมีชาวพุทธเหลืออยู่ 3 คน ในหมู่บ้านนั้น มุสลิมจะทำอะไรต่อไป ????.
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2010-10-30 14:01:53
ความเห็นที่ 25 (3257396)
ถ้าคุณต้องการอิสลามบริสุทธิ์โดยต้องไม่มีศาสนิกอื่นเจือปนเลย คุณก็ต้องฆ่าอีก 3 คนให้ตายไป หมู่บ้านนั้นก็จะปลอดจากชนเผ่าอัปรีย์นอกศาสนาอิสลาม เป็นหมู่บ้าน อิสลามบริสุทธิ์ อย่างนั้นหรือ ????
ความเห็นที่ 26 (3257400)
มุสลิมมีสิทธิในการฆ่าคนหรือ????
มุสลิมได้สิทธินั้นมาจากไหน ????
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ2010-10-31 20:21:21
ความเห็นที่ 27 (3258273)
เดินเรื่องเลยครับ แผนการมีอะไรบอกมาเลย
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุพร อ่อนราย วันที่ตอบ 2010-11-07 20:16:19
ความเห็นที่ 28 (3274642)
ตามหลักประชาธิปไตยแล้ว สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นแผ่นดินไทย ที่พลเมืองไทยทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าไปอยู่อาศัยได้
เช่นเดียวกับจังหวัดอื่น หรือ ผืนแผ่นดินไทยทั้งสิ้นนี้ ประชาชนพลเมืองไทย ไม่จำกัดศาสนา แม้มุสลิม ก็มีสิทธิเข้าไปอยู่ได้..........................นี่เป็นสิทธิของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
เราจงมุ่งลงใต้กันเถอะ....................................... สามจังหวัดภาคใต้กำลังเป็นแผ่นดินร้าง นาไม่มีคนทำ สวนยางไม่มีคนกรีด เหนือและอีสานค่อนข้างยัดเยียดและคับคั่งแล้ว เราจงมุ่งแดนใต้สุดกันเถิด ตามสิทธิของระบอบการปกครองที่โลกยอมรับกัน และประเทศไทยยอมรับหลักการประชาธิปไตยข้อนี้อยู่แล้ว
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2010-11-25 19:00:50
ความเห็นที่ 29 (3286494)
ทุกวันนี้คนไทยเป็นเหมือนประชาชนชั้นสองไม่ใช่เจ้าของประเทศแล้ว คนพุทธทำผิดติดคุก คนมุสลิมทำผิดไม่กล้าจับ สถานที่ต่างๆทำไมต้องทำห้องละมาสให้มุสลิม ประเทศมุสลิมไม่เห็นทำอะไรพิเศษให้ศาสนาอื่นๆเลย เพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนังก็ต้องแยกฉากพิเศษให้มุสลิม ทำไม หากมุสลิมต้องการเสมอภาคก็ทำตัวห้เสมือนคนไทยเชื้อสายจีน ลาว ฮินดู ที่เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรพิเศษนอกบ้านของตัวเอง
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนไร้พรมแดน วันที่ตอบ 2011-03-02 19:28:14
ความเห็นที่ 30 (3286495)
คนไทยควรรักความเป็นไทย ไม่ใช้เชื้อชาติศาสนามาแบ่งแยก มุสลิมควรเลิกคิดว่าพวกตัวเหนือกว่าเผ่าพันธ์อื่น ไม่งั้นจะเหมือนฮิตเล่อร์ที่คิดว่าอารยันเหนือกว่าทุกเผ่าในโลก ยิ่งพยายามให้อภิสิทธิ์มุสลิมมากเท่าไรคนไทยเชื้อสายอื่นก็ยิ่งหมั่นไส้มุสลิม ควรหันมาทำกับมุสลิมไทยเหมือนไทยเชื้อสายอื่น ผิดก็ติดคุก แต่ไม่กินหมูเราก็ไม่ว่า ใช้ห้องน้ำห้องท่าร้านอาหารเดียวกับคนไทยทั่วไป ไม่กีดกันคนไทยเชื้อสายอื่นด้วยการทำตัวผิดแผกแบ่งแยก ขนบธรรมเนียมประเพณีดีๆก็เก็บไว้ในบ้านอย่ามาเรียกร้องให้สังคมต้องจัดหาอะไรให้เป็นพิเศษ
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนไทยไร้พรมแดน วันที่ตอบ 2011-03-02 19:41:16
ความเห็นที่ 31 (3286559)
ผมเห็นด้วยกลับคุณคนไทยไร้พรมแดนจากคนไทยพร้ดถิ่นสวรรค์ในอกนรกอยู่ในใจครับผิดชอบชั่วดีอยู่ที่คน
ผู้แสดงความคิดเห็น คนไทยพรัดถิ่น วันที่ตอบ 2011-03-03 09:55:29
ความเห็นที่ 32 (3286590)
มีข่าววงในหรือวงนอกไม่ทราบได้ว่า ชาวมุสลิมได้รับการบอกกล่าวให้สวมหมวกสวมผ้าคลุมเพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงเวลามีการใช้ความรุนแรง เราจึงเห็นคนมุสลิมสวมใส่กันมากขึนตั้งแต่ปี 2545-46 ในขณะที่หลายประเทศทั้งยุโรปและอเมริกาไม่อนุญาตให้มุสลิมคลุมหน้าแล้วเพื่อป้องกันการก่อจรากรรม แต่ประเทศไทยยังเห็นแก่ได้ กลัวอาหรับมุสลิมไม่มาเที่ยว ยอมให้คนไทยทั้งประเทศต้องเสี่ยงกับการไม่รู้ว่าภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นโจรหรือไม่ คนไทยไปธนาคารก็สวมหมวกกันนอกสวมหน้ากากมอเตอร์ไซด์ไม่ได้ แต่มุสลิมคลุมทั้งหน้าไม่มีใครว่า หรือต้องรอให้พวกนี้หยิบระเบิดหยิบปืนขึ้นมาปล้นก่อน หรือโจรอาจนำไปใช้เป็นเทคนิคการปลอมตัวแบบหนึ่งก็ได้ ข่าววงรอบอีกเหมือนกันที่ชี้แจงว่าเป็นเช่นนี้ได้เพราะมุสลิมเข้าไปแฝงตัวในทุกชนชั้น ทุกวงการ มีนักธุรกิจ นักการเมือง นักแสดง ข้าราชการ แม้แต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็เคยเป็น หากดูสถิติจะพบว่า ข้าราชการและผู้บริหารตลอดจน สส ในสภามีมุสลิมเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าเสื้อแดงเสื้อเหลืองต่างรุมกันแย่งฐานเสียงภาคใต้ทั้งนั้น คนอีสานเองก็แต่งกับมุสลิมมากขึ้น ว่ากันว่าเป็นแผนแปลงศาสนา เหมือนที่เคยทำกับคนผิวดำในอเมริกาสำเร็จมาแล้ว ทั่วโลกและหลายคนในไทยเล็งเห็นแต่ไม่กล้าพูดเพราะนโยบาย สมานฉันท์ มาปิดปากไว้
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนไทยไร้พรมแดน วันที่ตอบ 2011-03-03 12:25:30
- ผู้ตั้งกระทู้ จิตติโชติ ไพรภักดี :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-27 19:00:46
[1]
ความเห็นที่ 1 (3292799)
ที่น่าประหลาดใจคือ กอ.รมน. มีหน้าที่อะไร ?
กอ.รมน.ยุคนี้ถูกทำให้เป็นอะไร ที่รับใช้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และทหาร ......ทำไม ?
เป็นเรื่องที่โง่เง่ามาก........................
กอ.รมน.เป็นอะไร ? รักษาความมั่นคงภายใน หรือ รักษาความมั่นคงของทหารและพรรคประชาธิปัตย์ ?...................
ไม่รู้จักประชาธิปไตยใช่ไหม ? นั่นแหละคือ การใช้หลักการรักษาความมั่นคงภายในที่โง่เง่า........... ไม่เข้าใจวิถีทางประชาธิปไตย งมโข่งไปในความมืดมิด.................แล้วเอานายกรัฐมนตรีมานั่งเป็นประธาน กอ.รมน.เพื่ออะไร ? คุมอำนาจเบ็ดเสร็จที่ทหารหรือ ? โง่แท้......
คุณจะทำประเทศพังไปยิ่งกว่าพม่า...................
- ผู้แสดงความคิดเห็น จิตติโชติ ไพรภักดี วันที่ตอบ 2011-04-29 20:43:01
ความเห็นที่ 2 (3293151)
ทหารและ กอ.รมน. มีสิทธิ์อะไร ที่เข้าไปงัดแงะอาคารบ้านช่องคนอื่น และหอบเอาเข้าของ ๆ เขาในอาคารบ้านช่องนั้นไป ......... คุณเป็นโจรดี ๆ นี่เอง
ผมหมายถึง ทหารงัดบ้านเข้าไป แล้วเอาเครื่องส่งวิทยุชุมชนไป ........... ของ ๆ เขา ๆ ซื้อมา เป็นทรัพย์สินของเขา คุณบุกเข้าไป.......เอาของคนอื่นโดยพลการ ........... ได้อย่างไร ...... เพราะ.. นี่คือพวกปล้นเราดี ๆ ...............นี่เอง...
มีสิทธิ์แจ้งความฟ้องร้อง ข้อหาปล้นทรัพย์ได้ไหม ?........ ต้องได้ซี........
เพราะมีเหตุผลอะไรที่คุณบุกเข้าบ้านคนอื่น แล้วเอาข้าวของ ๆ เขาไปโดยพลการ........... นี่คืออันธพาล ไม่ใช่ทหาร...........
กอ.รมน. ทำได้อย่างไร ??
โลกจะต้องต่อต้านพฤติกรรมอันนี้ของคุณ กอ.รมน. ..........
- ผู้แสดงความคิดเห็น อภิชัย ชัยกำภู วันที่ตอบ 2011-05-03 19:30:32
ความเห็นที่ 3 (3293153)
ผมจะขอให้ เลิกล้มหน่วยงานนี้เสีย ............. กอ.รมน.จะต้องถูกยุบไปโดยอำนาจของประชาชน ............ โดยพลันที่ ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เราไม่ต้องการ กอ.รมน. มาทำงานโง่ ๆ แบบเข้าไปงัดแงะเอาเข้าของชาวบ้าน เยี่ยงพวกปล้น เช่นนี้
และเราไม่ต้องการ กอ.รมน. มาทำงานที่อ้าว่า ความมั่นคงภายใน โดยความคิดโง่เง่าเต่าตุ่น ระบบเผด็จการล้าหลังสุดกู่เช่นนี้
มันไม่ใช่หลักการความมั่นคงภายใน หรือภายนอกหรอกครับ แต่เป็นหลักการความมั่นคงเพื่อพวกเพื่อหมู่ของตน เพื่อพวกเพื่อหมู่ของตน เท่านั้นเอง........
แล้วจะเอาไว้ทำไม.........
แล้วอย่าปิดเวบเขานะครับ.....
ผมเพียงแสดงความเห็นตามสิทธิเสรีชน ผ่านสื่อเสรีเท่านั้น
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2011-05-03 19:40:06
ความเห็นที่ 4 (3293155)
อย่างเรื่องยุบสภานี่ เด็กอภิสิทธิ์รีรอแล้วรีรออีก นายชัยออกมาว่าทูลเกล้าแล้ว ให้รอ .............. แต่วันนี้อภิสิทธิ์ มาปฏิเสธ หักหน้านายชัย ผู้เฒ่า ว่ายังไม่ได้ทูลเกล้า ฯ แล้ว มันจะทูลเกล้าเมื่อไร .............
เราก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ ว่ามันรีรออยู่ทำไม ๆ ไม่ทำให้ชัดเจนเสียที หรือมันจะไม่ยุบ...................
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2011-05-03 19:48:03
ความเห็นที่ 5 (3293292)
เดิม กอ.รมน. มีเหตุมีผล........................ รู้แก้ปัญหาของประเทศชาติด้วยเหตุและผล.............. ด้วยรู้จักวิเคราะห์และวิจัยถึงสมุฏฐานต้นเหตุ...............
เราเคยทำงานเพื่อชาติอย่างยิ่งใหญ่มาแล้ว คือ คอมมิวนิสต์ ที่ยืดเยื้อมานับครึ่งศตวรรษ มาสำเร็จเสร็จสิ้นลง ประเทศไทยทั้งประเทศสงบลง............กอ.รมน.ยุคนั้นมีเหตุมีผล รู้ปรับปรุง เปลี่ยนแก้ซึ่งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี รู้งานวิจัยปัญหา เพื่อเล็งเป้าหมายให้ถูกต้อง จนมาสำเร็จลง สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยนโยบาย เศรษฐกิจ-การเมืองนำการทหาร(ภายหลังใช้ทหารนำอย่างแรงแล้วกลับเพิ่มแดงขึ้นทั่วประเทศ) โดยคำสั่งฉบับนั้น .................(มันนานแล้วครับ ผมลืม....ในขณะนั้นผมก็อยู่ในนั้น.) ......... และ กอ.รมน. เป็นสถาบันที่มีเกียรติยศสูงสุดในฐานะผู้ดับไฟแผ่นดินให้สงบลงอย่างราบคาบ
แต่วันนี้ กอ.รมน. เป็นอะไร ??? คุณไปรับใช้ทรราชได้อย่างไร ?
และผลงานที่ห่วยแตกที่สุดก็คือ คุณไปปล้น สถานีวิทยุเขา 13 แห่ง นั่นทำได้อย่างไร ?
ทหารเข้างัดแงะ บุกรุกบ้านเคหสถาน แล้วเอาเข้าของเขาไปโดยพลการเช่นนั้นได้อย่างไร
นั่นคือการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย นั่นเป็นความผิดอย่างน่าละอายอย่างยิ่ง ....(งานแค่นี้ทำไมไม่ให้พลเรือนทำ ให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ไปทำก็ได้...เดือดร้อนอย่างไรกับ กอ.รมน. ไม่เข้าใจเลย)
กอ.รมน.เป็นองค์การใหญ่โตมโหฬารปานยักษ์ ไปรังแกเด็กตัวเล็ก ๆ ที่น่าสงสารได้อย่างไร ?
ผมจะขอร้อง พอนายอภิสิทธิ์ ยุบสภา มันไปแล้ว ก็วางมือเสียเถอะ มาช่วยประชาชนนำประชาธิปไตย กลับคืนมาสู่บ้านเมือง นั่นเป็นวิถีทางของเกียรติยศศักดิ์ศรีของ กอ.รมน.ที่จะได้รับความสรรเสริญทั้งแผ่นดิน
เพราะ นั่นเป็นวิถีทางสร้างความมั่นคงภายในที่ถูกต้อง และเป็นธรรมที่สุด มีเกียรติยศที่สุด
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-05-04 21:31:17
ความเห็นที่ 6 (3293666)
กอ.รมน. ต้องรู้จักทำ สิ่งที่เคยรู้จักทำ และเป็นบทเรียนมาแล้ว ................บทเรียนที่ว่าแก้ไข ปรับปรุง นโยบายอย่างไร จึงสามารถกลับสถานการณ์จากการพ่ายแพ้ไปเป็นชัยชนะได้ ............... ยุคคอมมิวนิสต์....
กอ.รมน.ขณะนี้ กำลังอยู่ระหว่างการจะหลงผิดทางนโยบาย เหมือนคราวก่อน ...................
คือหลงไปใช้กำลังปราบปรามประชาชน ใช้อำนาจ กองทัพในมือไปรังแก สร้างความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน และ ล้อมปราบปรามประชาชน กรณีเหตุการณ์ 19 พ.ค. 2553 และก่อนนั้นหลายเหตุการณ์........................ ผล ก็คล้าย ๆ คราวปราบปรามคอมมิวนิสต์.............................ทำให้ แดงทั้งแผ่นดิน
จะต้องปรับเปลี่ยน ...................... กอ.รมน. ต้องยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย นี่เป็นนโยบายแห่งชัยชนะ และ รักษาความมั่นคงภายในอย่างแท้จริง
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-05-09 13:41:54
ความเห็นที่ 7 (3294527)
กอ.รมน.ต้องหวลไปวิเคราะห์.......ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ปัญหาคอมมิวนิสต์................. ประภาส จารุเสถียร เป็นคนเริ่มต้น ....... ตั้งแต่เปลวไฟวอม ๆ แวม ๆ ............... ประภาส จารุเสถียร มีอำนาจมาก ก็อย่างเผด็จการเลย ก็ออกอำนาจ.....ออกวาทะใหญ่โต ว่าผู้ก่อการร้ายหยิบมือหนึ่ง ในนาแก ........เอาทหารสักกองพัน ดาหน้า ถือปืนเข้าไป ฆ่าให้เกลี้ยงแผ่นดิน........เท่านั้นเองแผ่นดินก็สงบ...............
นี่ไม่ใช่ตัวอย่างของ คนคิดผิด ผู้ทำนโยบายที่ผิดพลาดในอดีต..................และเป็นต้นเหตุให้คอมมิวนิสต์.......แตกกระจายขยายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไฟลามทุ่ง ................หรือ.......? ไฟที่เพียงวอมแวม ๆ อยู่ กลับลามพรึบทั้งแผ่นดินขึ้นมาได้ เพราะคน ๆ นี้ ..... เพราะจากอีสาน ลามถึงใต้ ป่าพะยอม พัทลุง และแดงเต็มแผ่นดิน ...... ทำไม กอ.รมน.ยุคนี้ ไม่รู้จักคิด และหลงอำนาจไปเหมือนยุคเริ่มต้นที่ผิดพลาดยุคนั้น
ผมจึงได้ข้อสรุปอย่างไรครับ ว่าหลักการว่าด้วยความมั่นคงภายใน อย่างรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คิดนั้น มันยิ่งกว่าไดโนเสาเต่าล้านปี เลยไปถึงมนุษย์วานร 1.8 ล้านปีด้วยซ้ำ ......
ในข้อเท็จจริง เมื่อวันเสียงปืนแตกเกิดขึ้น ที่นาแก นครพนม คอมมิวนิสต์ก็ลามไปอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ
เพราะความคิดที่ใช้นั้น มองคนอื่นไม่ใช่คน คิดว่าเขาเป็นตอไม้ เป็นต้นไม้ ...............ไร้ความคิด จิตวิญญาณ ไร้ความรู้สึก พอถือปืนดาหน้าเข้าไปก็ยิง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มันก็ตาย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ตายหมดก็จบ (ความคิดหมาตัวไหนที่ใช้กับประชาชนที่ราชประสงค์)
แต่เขาเป็นคน เขามีความคิด ฉะนั้น เขาจึงไม่นิ่งให้เป็นเป้านิ่งให้คุณยิงเขา (คุณดูที่ตะวันออกกลางขณะนี้สิ รัฐบาลที่มีทหารทั้งกองทัพอยู่ในมือพร้อมอาวุธสงครามทุกรูปแบบ....ทำสงครามกับประชาชนที่เป้นรองมาก ๆ เพราะเริ่มด้วยมือเปล่า ๆ แต่แล้วฝ่ายประชาชนเขาจัดการอย่างไร จึงสามารถมาต่อสู้อย่างทัดเทียมกันได้ และมีแนวโน้มของชัยชนะไปเรื่อย ๆ) ........ แต่เขาใช้ยุทธวิธี ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ด้วยมันสมองของคน จึงมี ............. มึงมากูมุด.....................มึงหยุดกูตี......มึงหนี กูไล่.....มึงหลับ กูแหย่ ..มึงเหนื่อยลงนอนแผ่กูก็เข้าแล่เนื้อมึง......... และพวกทหารตายลงเป็นใบไม้ร่วง เพราะความโง่เขลาของเจ้านายตนเอง ......................เขาเรียกว่า สงครามประชาชน .......และมีระดับเป็นยุทธศาสตร์สงครามประชาชน.......... เพราะเขาหลบไปอยู่กับประชาชน และทำความดีแก่ประชาชน เขาเอาชนะใจประชาชน........................ผู้นำคอมมิวนิสต์ในยุคนั้นจึงมีลักษณะนักพัฒนาสังคม ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ...........เขาจึงว่า เขาเหมือนปลา ประชาชนเหมือนน้ำ น้ำกับปลาต้องอาศัยกัน
ยุคต่อมา กอ.รมน. ก็รู้จักคิด รู้งานการวิจัยปัญหา.......... จึงได้พบประเด็นว่าด้วย ความไม่เป็นธรรม........... และพบเรื่องราวนี้มีมากในแดนไกลปืนเที่ยง .........ไกลหูไกลตาของรัฐบาล ส่วนกลาง...........
และกอ.รมน.รู้ปรับนโยบาย.................จึงเริ่มด้วยเปลี่ยนชื่อ กอ.ปค.(กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์) มาเป็น กอ.รมน.(กองอำนายการรักษาความมั่นคงภายใน) คือหน่วยงานนี้ (ที่เอาทหารไปปล้นบ้านประชาชนอย่างเปิดเผย แต่ไม่มีความผิดนี่แหละ.....)
และประเด็นหลักก็คือ เรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน เรื่องตำรวจกับประชาชน............ก็แก้ไขกันมา แบบโยนนโยบายการใช้อาวุธ..ปราบปรามทิ้งไปเลย มาเริ่มต้นนโยบายใหม่ และนั่นคือ ...........การเศรษฐกิจ-การเมือง นำ การทหาร........ และมองประชาชน ไม่ใช่มองเขาเป็นผู้ก่อการร้าย แต่มองเขาเป็นประชาชนไทย ผู้มีสิทธิ์เสรีภาพ มองว่าเป็นเพื่อนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย............... นี่อย่างไร นโยบายที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตย ................. บ้านเมืองจึงสงบลง และปัญหาคอมมิวนิสต์ จบลงอย่างราบเรียบจริง ๆ
อันเป็นบทบาทของ กอ.รมน.ที่ประทับใจในยุคนั้น
ขอให้ กอ.รมน.ยุคนี้ มาทบทวนกันใหม่ ..............อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ..
และโปรดมาเข้าใจประชาธิปไตยให้ถูกต้อง................ คนผู้มาเรียกร้องประชาธิปไตย...........ถูกตีความหมายว่าเป็น......ผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง...........ได้อย่างไร...........คุณกลั่นแกล้ง ปั้นเรื่อง ใส่ความเขา.....อันเป็นเหตุของสังคมไร้ความเป็นธรรม ได้อย่างไร....... นั่นแหละคือต้นเหตุของ นโยบายรัฐบาลและ กอ.รมน. ที่ผิดพลาดไปแล้ว.........เหมือนในอดีตไม่มีผิดเลย............................
ฉะนั้น จงกลับใจเสียโดยพลันทันที ก่อนที่อะไรจะสายไปอีก......................
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-05-18 07:40:57
ความเห็นที่ 8 (3295015)
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ การปิดวิทยุชุมชน 13 แห่ง
ก็มาเริ่มต้นด้วยคำถามที่ตรงประเด็นว่า วิทยุชุมชนเหล่านั้นมีความผิดอะไร ?
ในข้อเท็จจริง วิทยุชุมชน ไม่ได้มีเป้าหมายทางการโฆษณา เหมือนกับที่ กอ.รมน. เคยมีประสบการณ์มาในยุคคอมมิวนิสต์ นั่นคือ วิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย(วิทยุของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่มีเป้าหมายปลุกระดมมวลชนเพื่อล้มล้างรัฐบาล)
วิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย เป้นวิทยุที่สนับสนุนการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมมวลชนขึ้นเพื่อล้มล้างรัฐบาล
ประเด็นคือ การโฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda วิทยุเสียงประชาชนฯ เป็นวิทยุที่ทำการโฆษณาชวนเชื่อ นี่เป็นข้อเท็จจริง
แต่วิทยุชุมชนในยุคประชาธิปไตยวันนี้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมว่าพวกเขาไม่ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อ แต่พวกเขาโฆษณาความจริง เท่านั้นเอง ที่เป็นประเด็นของความแตกต่าง
เราอยากให้ กอ.รมน. ได้หวลไปมองประเด็นการการโฆษณาชวนเชื่อ ของวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย .... ว่าอย่างไรเรียกว่า การโฆษณาชวนเชื่อ ตามหลักวิชาว่าด้วย Propaganda ....... ถูกละ การโฆษณาของวิทยุเช่นวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุคนั้น ............. จำเป็นที่ต้องจัดการกวาดล้างไป โดยเหตุผล ที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ อย่างแท้จริง
แต่ วิทยุชุมชน ที่ท่านไปทำการระงับ ยึดเข้าของของเขาไปนั้น เขาโฆษณาความจริง ... เขาไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ
ขอให้มองด้วยความเป็นธรรมเถิด... ประเทศชาติจะไม่เสียหาย
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-05-21 19:51:20
ความเห็นที่ 9 (3295133)
และในยุคหลังสงครามคอมมิวนิสต์ สงครามเย็นมาแล้วนี้ ได้เริ่มเกิดมีการโฆษณาสาธารณะ ขึ้นในประเทศไทย โดยสื่อโทรทัศน์.....โดยโทรทัศน์ทั้งระบบ และโดยรายการบางรายการของโทรทัศน์ ..... ที่ได้ลอกเลียนแบบการโฆษณามาจากวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย วิทยุการก่อการร้าย ..............โดยนำเอาทั้งหลักการ Propaganda และทั้งหลักการ Brain Washing มาใช้อย่างครบเครื่อง
หลักการข้อที่ว่าด้วย The sun also rise นี่แหละ.......ที่ฝ่ายโจรร้ายเอามาใช้อย่างตั้งใจ จึงปรากฎรูปธรรมออกมาเป็นเรื่องราวทางกฎหมาย ว่าด้วย ม.112 และ การละเมิดสถาบัน กลายเป็นเรื่องใหญ่โต สับสนวุ่นวายไปอย่างไม่น่าเป็น และเป็นประเด็นความมั่นคงภายในโดยตรง
แต่ทำไม กอ.รมน.จึงไม่สนใจเลย.......โดยเฉพาะในยุครัฐบาลทักษิณ รัฐบาลประชาธิปไตย.............และทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงปล่อยให้มีการโฆษณาชวนเชื่อ...โดยหลายหลากสื่อของรัฐบาล และโทรทัศน์บางช่อง อยู่ได้มาจนถึงปัจจุบันนี้ ?????
และดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์เอง มีความช่ำชองในหลักการข้อที่ว่า All that glitters is not gold. ทั้ง ๆ ที่แท้จริง นี่คือการหลอกลวงเราดี ๆ นี่เอง
นี่เป็นประเด็นคำถามที่เตือนสติ...............
ว่าเมื่อเช่นนี้แล้ว บ้านเมืองจะสงบความวุ่นวายลงได้อย่างไร......................และจะหาที่จบลงได้อย่างไร จะต้องคิด...........
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-05-23 08:25:12
ความเห็นที่ 10 (3295514)
แล้วประเด็นความมั่นคงภายนอกล่ะครับ.......ยะลา ปัตตานี เป็นอย่างไรครับ..........????
ตายกันวันต่อวัน.........แต่ทำไมเงียบ เพราะคนเขาสมน้ำหน้าพวกคุณไง.......!!!!1
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2011-05-25 23:08:27
ภาคโหราศาสตร์
8.1 คำพยากรณ์การเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 เพื่อไทยชนะประชาธิปัตย์
ดวงชะตาพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554
*-ให้การพยากรณ์ไว้ ณ วันที่ 12-13 พฤษภาคม 2554
8.1.1 ดวงชะตาพรรคเพื่อไทย
ประวัติ
พรรคเพื่อไทย ได้จดทะเบียนก่อตั้งจากทางราชการ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2550 มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมเอาไว้รองรับ สส.พรรคพลังประชาชน ซึ่งขณะนั้นกำลังจะถูกพิจารณายุบพรรค โดยศาลรัฐธรรมนูญ นัดหมายพิจารณาคดีวันที่ 2 ธ.ค. 2551 โดยมีนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นหัวหน้าพรรค
ดวงที่ 1 ดวงชะตาพรรคเพื่อไทย
๒๐ กันยายน ๒๕๕๐
ดวงที่ 1
รูปดวงชะตาพรรคเพื่อไทย
๕/๒๐ ก.ย.๒๕๕๐
ลักคณาสถิตราศีตุล
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีกันย์ 2องศา 51 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีธนู
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีมิถุน
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีตุล
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี สิงห์ กุมดาวเสาร์(๗)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีสิงห์ กุมดาวศุกร์(๖)
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีกุมภ์ กุมดาวมฤตยู(๐) และเกต(๙)
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีกุมภ์ กุมดาวมฤตยู(๐) และราหู(๘)
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีกุมภ์ กุมดาวเกต(๙) และ ราหู(๘)
ดวงที่ 2ดวงชะตาพรรคประชาธิปัตย์
6 เมษายน 2489
ดวงที่ 2
รูปดวงชะตาพรรคประชาธิปัตย์
๗/6 เมษยน 2489
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีมีน 23 องศา 24 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีพฤษภ กุม มฤตยู(๐)
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีกรกฎ
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกุมภ์ กุมเกต(๙)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีตุล
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี เมษ
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีเมถุน กุม ราหู(๘)
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีเมถุน กุมเสาร์(๗)
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีกุมภ์ กุมพุธ(๔)
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีพฤษภ กุมจันทร์(๒)
ดวงที่ 3 ระบบดาววันเลือกตั้ง
3 กรกฎาคม 2554
ดวงที่ 3
รูประบบดาวจรในวันเลือกตั้ง
๑/3 กรกฎาคม 2554
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีเมถุน กุมศุกร(๖) 17องศา 2 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีกรกฎ กุมพุธ(๔)
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีพฤษภ
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกรกฎ กุมจันทร์(๒)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีเมษ
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศีเมถุน กุมอาทิตย์(๑)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีกันย์
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีมกร
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีมีน
8.1.1.2 ปัญหาที่ตั้งลักคณาในดวงชะตาพรรคเพื่อไทย
เนื่องจากไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเวลาที่จดทะเบียนพรรคนี้ จึงต้องใช้วิธีพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง จนได้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือได้ เราได้ทำการศึกษาข้อมูลแล้ว มีข้อพิจารณา ก่อนได้ข้อสรุป ดังนี้
เวลาที่จดทะเบียนก่อตั้งพรรคเพื่อไทย จะต้องเป็นเวลาราชการ จึงน่าจะอยู่ระหว่างเวลา 08.29 น. – 15.41 น. คงไม่หลุดไปจากห้วงเวลานี้ แต่ในช่วงเวลานี้ จะอยู่ในราศี 3 ราศี คือ ราศีตุล ราศีพิจิก และ ราศีธนู เราตัดราศีพิจิกออก เพราะนอกจากเป็นช่วงเวลา เที่ยงวัน ถึงบ่ายโมงเศษ ๆ ซึ่งเป็นเวลาหยุดแล้วยังได้พบเหตุผลทางโหราศาสตร์เพียงพอที่จะตัดออกไปนั่นหมายถึงมั่นใจว่าลักคณาไม่อยู่พิจิก ก็ยังเหลืออยู่ราศีตุล กับราศี ธนู มาพิจารณา ดังนี้
1. เมื่อลัตุล เห็นชัดว่าพรรคมีความสัมพันธ์กับดวงชะตาของทั้ง ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ เชิงความหมายที่ดี นั่นคือ
1.1 กับ ดร.สุชาติ ให้ความหมายถึง ผู้ก่อตั้งพรรค ผู้สร้างสรรค์พรรคนี้ขึ้นมา และเห็นได้ว่าเมื่อ ดร.สุชาติ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบบดาวจรขณะนั้น มีสัมพันธ์อันเลวต่อกันระหว่างดวงชะตาพรรค(ที่มีลักคณาอยู่ราศีตุล) กับ ดวงชะตาของ ดร.สุชาติ นี่คือความหมายเมื่อลักคณาดวงพรรคอยู่ราศีตุลเท่านั้น
1.2 กับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ให้ความหมายว่า เป็นผู้มาสร้างความมั่นคงทางนโยบาย และความเป็นปึกแผ่นให้แก่พรรคเพื่อไทย เมื่อลักคณาอยู่ตุล
2. เมื่อลักคณ์อยู่ธนู
2.1 กับ ดร.สุชาติ ค่อนข้างบอกถึงความสัมพันธ์ทางเลวระหว่างพรรคกับ ดร.สุชาติ นั่นคือบอกว่า ดร.สุชาติ ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรแก่พรรค ซ้ำยังนำพรรคไปสู่ปัญหาทางการเงินและการงานที่ไม่เคลื่อนไหว จนนิ่งกับที่อีกด้วย(ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องกับข้อเท็จจริง...ผู้วิเคราะห์)
2.2 กับยงยุทธ แสดงว่า ยงยุทธสามารถสร้างสมาชิกพรรคมากมาย การงานของพรรคมั่นคง ก้าวหน้า แต่ขณะเดียวกันสร้างศัตรูถาวรแด่พรรค พร้อมปัญหาหลายอย่างชนิดที่ไม่รู้จบ (ซึ่งก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก....ผู้วิเคราะห์)
3. จะเห็นว่าข้อพิจารณาข้อ1+2 แม้จะส่อว่าลักคณาพรรคเพื่อไทยน่าจะอยู่ราศีตุล มากกว่าจะอยู่ราศีธนู ก็ยังไม่เด็ดขาด ชัดเจนนัก โดยเฉพาะข้อ 2.2 ก็ดูมีความถูกต้องอยู่ไม่น้อย (ที่ลักคณาพรรคจะอยู่ราศีธนู) ลองมองจากเรื่องอื่นตามข้อ 4ต่อไป
4. เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ วันที่ 2 ธ.ค.2551 กับ เหตุการณ์ วันที่ 7 ธ.ค.2551
4.1 วันที่ 2 ธ.ค.2551 เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน (พร้อมกับพรรคชาติไทย และ มัชฌิมาประชาธิปไตย) เป็นเหตุให้ สส. พปช.แห่มาเข้าพรรคเพื่อไทย
4.2 วันที่ 7 ธ.ค.2551 เป็นวันประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคเพื่อไทยเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ กรรมาธิการบริหารพรรคคณะใหม่ โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ได้รับเลือกเป้นหัวหน้าพรรค แทน ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ซึ่งเปิดทางให้ด้วยการลาออกไปก่อนนี้แล้ว
5. ระบบดาว ให้อิทธิพลอย่างไร ระหว่างราศีตุล กับ ราศีธนู
5.1 เมื่อลักคณาดวงพรรคอยู่ราศีตุล จะพบอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ใน 2 วันนั้น ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่มาเสริมสร้างพรรคเพื่อไทยให้สมบูรณ์ในด้านความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพียบพร้อมด้วยบุคคลากรที่มีคุณภาพด้านต่าง ๆ และทั้งความพร้อมทางเศรษฐกิจการเงิน อุดมสมบูรณ์และหมายถึงระดับบารมีความยิ่งใหญ่ของพรรคการเมืองไทยในระดับสมบูรณ์มาก
5.2 แต่หากลักคณาดวงพรรคอยู่ราศีธนู ก็ยังเป็นการเสริมพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน มีความหมายถึงความเป็นปึกแผ่นมั่นคง ก้าวหน้า แต่น้อยกว่า 5.1 ด้วยความหมายจนเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ความหมายที่เสียหายก็คือบอกถึงการใช้จ่ายเงินของพรรคจนเกลี้ยงไม่เหลือหลอ การบริหารการเงินของพรรคตกต่ำ มีปัญหาเงินไม่พอใช้ เดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา และเป็นเหตุของการแตกแยกภายในพรรค
5.3 ซึ่งความเป็นจริง น่าจะตรงกับข้อ 5.1 นั่นคือตั้งแต่มีการย้ายของ สส.พปช. มาสู่พรรคเพื่อไทย และได้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ เป้ฯหัวหน้าพรรคแล้ว พรรคเพื่อไทยก็เจริญก้าวหน้า มีสมาชิกเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อย ๆ ......ซึ่งความหมายทั้งหมดเหล่านี้ตรงกับลักคณาดวงพรรคอยู่ที่ราศีตุล
6. ฉะนั้น จึงพอยุติได้ในชั้นนี้ว่า ลักคณาดวงชะตาพรรคเพื่อไทย สถิตราศีตุล ธาตุลม และน่าจะเป็นช่วง เทวีฤกษ์ หากมีเหตุการณ์ที่พิศูจน์ว่าไม่สอดคล้องมตินี้ ก็คงต้องเปลี่ยนแปลงต่อไป
8.1.1.3 ภาคการคำนวณ (ต่อ)
ในประเด็นสำคัญคือ ที่ตั้งลักคณาของดวงชะตาพรรคเพื่อไทย น่าจะมีสิ่งที่ยืนยันได้เพิ่มเติมไปอีก ก็คือ การเปรียบเทียบระหว่างดวงชะตาพรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์
และเมื่อได้ทำการเปรียบเทียบแล้ว ก็ได้พบอย่างชัดเจนว่า เมื่อลักคณาดวงชะตาพรรคเพื่อไทยสถิตราศีตุล ก็พบความสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ ในเชิงเป็นศัตรูคู่แข่งอย่างชัดเจนมาก ชนิดที่ไม่มีวันที่พรรค 2 พรรคนี้จะร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ว่าในสถานะภายนอก ก็มีแนวทางที่เหมือนว่า อุปถัมภ์กัน มีอุดมการณ์เดียวกันอยู่ เพียงแต่ไม่มีแรงสนับสนุนให้เกิดแนวทางร่วมกันนี้แรงพอ (คงหวังว่าจะเดินไปบนอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่อ่อนแรง) หากแต่แรงสนับสนุนหนักไปในด้านการเป็นศัตรูต่อกัน
ซึ่งลักษณะนี้ จะเห็นว่าตรงกับความเป็นจริง ตามที่มองโดยเหตุผลทางการเมืองของนักวิชาการ และประชาชนทั่วไป
ฉะนั้น นี่จึงเน้นย้ำเข้าไปอีกว่า ลักคณาดวงชะตาพรรคเพื่อไทย ตั้งอยู่ ณราศีตุล มีดาวพุธ(๔) กุมลักคณ์
จึงยุติประเด็นลักคณาดวงชะตาพรรคเพื่อไทยลงได้อย่างมั่นใจ
ต่อจากนี้ ก็จะเป็นภาคพยากรณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ครบถ้วนของพรรคเพื่อไทย ที่โหรมั่นใจว่าจะแม่นยำและถูกต้อง......
เราจะเริ่มด้วยการมองที่พรรคคู่แข่งเพื่อไทย คือ ประชาธิปัตย์ก่อน
ตามที่เราได้พยากรณ์ล่วงหน้าไว้นานหลาย ๆ เดือน ร่วมปีมาแล้ว ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าสู่วาระความตกต่ำในเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป........................(โปรดดูเรื่องเดิม ในสารบาญโหราศาสตร์.......)............การเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 จะส่อแววออกมาในลักษณะที่สอดคล้องหรือไม่ อย่างไร ?
8.1.2 คำพยากรณ์พรรคประชาธิปัตย์
ดวงที่ 1 ดวงชะตาพรรคเพื่อไทย
๒๐ กันยายน ๒๕๕๐
ดวงที่ 1
รูปดวงชะตาพรรคเพื่อไทย
๕/๒๐ ก.ย.๒๕๕๐
ลักคณาสถิตราศีตุล
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีกันย์ 2องศา 51 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีธนู
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีมิถุน
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีตุล
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี สิงห์ กุมดาวเสาร์(๗)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีสิงห์ กุมดาวศุกร์(๖)
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีกุมภ์ กุมดาวมฤตยู(๐) และเกต(๙)
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีกุมภ์ กุมดาวมฤตยู(๐) และราหู(๘)
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีกุมภ์ กุมดาวเกต(๙) และ ราหู(๘)
ดวงที่ 2ดวงชะตาพรรคประชาธิปัตย์
6 เมษายน 2489
ดวงที่ 2
รูปดวงชะตาพรรคประชาธิปัตย์
๗/6 เมษยน 2489
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีมีน 23 องศา 24 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีพฤษภ กุม มฤตยู(๐)
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีกรกฎ
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกุมภ์ กุมเกต(๙)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีตุล
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี เมษ
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีเมถุน กุม ราหู(๘)
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีเมถุน กุมเสาร์(๗)
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีกุมภ์ กุมพุธ(๔)
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีพฤษภ กุมจันทร์(๒)
ดวงที่ 3 ระบบดาววันเลือกตั้ง
3 กรกฎาคม 2554
ดวงที่ 3
รูประบบดาวจรในวันเลือกตั้ง
๑/3 กรกฎาคม 2554
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีเมถุน กุมศุกร(๖) 17องศา 2 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีกรกฎ กุมพุธ(๔)
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีพฤษภ
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกรกฎ กุมจันทร์(๒)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีเมษ
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศีเมถุน กุมอาทิตย์(๑)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีกันย์
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีมกร
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีมีน
พรรคประชาธิปัตย์จะถูกทำลายไปหมดทุกแนวรบ โดยอำนาจอิทธิพลของดาวเสาร์(๗) ซึ่งเป็นกาลกิณีจรสถิตอยู่ในราศีกันย์ ดังต่อไปนี้
1. ดาวเสาร์(๗) ทำลายอาทิตย์(๑) ซึ่งเป็นตนุลักคณ์ในภพมรณะ ณ ราศีมีน ซึ่งขณะนั้นอาทิตย์(๑)โดนมฤตยู(๐)จรทับอยู่แล้ว ผลก็คือ พัง ชื่อเสียงเกียรติยศเสื่อมเสียลงไปหมด
2. ดาวเสาร์(๗) ทำลายจันทร์(๒)เดิมในดวงชะตา ซึ่งเป็นมหาอุจและองค์เกณฑ์ความสำเร็จอันเด่นโด่งดังของพรรคประชาธิปัตย์อันเป็นที่นิยมอย่างสูง การที่ดาวเสาร์(๗)ถึงจันทร์(๒)นี้ มีความรุนแรงมาก เพราะเสาร์(๗)เพิ่มพลังเป็น 2 เท่าของความร้ายกาจเชิงการทำลาย โดยในฐานะที่เสาร์(๗)ในฐานะบาปเคราะห์คู่อริสำคัญของจันทร์(๒)และในฐานะที่จรมาเป็นกาลกิณี เพราะฉะนั้น ความหวังของ ปชป.ถูกทำลายลงหมดอย่างเรียบเกลี้ยง
3. ในระบบดาววันเลือกตั้ง ปชป.หวังความสำเร็จจากดาวอังคาร(๓)ที่จรสู่ราศีพฤษภขณะนั้น 1. และจากดาวอาทิตย์(๑)ในราศีมิถุนขณะนั้น 1. เพราะดาวอังคาร(๓) และดาวอาทิตย์(๑)อยู่ในฐานะดาวที่เสริมสร้างความสำเร็จแก่พรรคประชาธิปัตย์อย่างแรงมีพลังจริงเพราะมุมดาวกระชับและเล็งเป้าชัดเจน กับทั้งเป็นดาวคู่ที่มีศักดิ์เป็นราชาโชคทั้ง 2 ดวง ทั้งดาวอาทิตย์(๑) และดาวอังคาร(๓) และสำหรับดาวอังคาร(๓)เองนั้น (อันหมายถึงพวกในเครื่องแบบทหาร) ยังเป็น 10 แก่ลักคณ์ในราศีสิงห์ เป็นองค์เกณฑ์แห่งราศีปัสสวะ อันหมายถึงมีพลังความสำเร็จอย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งครั้งนี้
แต่แล้วความหวังจากดาวอังคาร(๓)จร และดาวอาทิตย์(๑)จรดังกล่าวนี้ ก็กลับถูกทำลายลงด้วยอำนาจของเสาร์๗)กาลกิณีดวงนี้ไปอย่างเรียบเกลี้ยง เช่นเดียวกัน รวมทั้งอาทิตย์(๑) ซึ่งหมายถึงพวกพลเรือน มหาดไทยด้วย ในขณะเดียวกันดาวจรอีกดวงคือศุกร(๖)ที่กุมอาทิตย์(๑)จรไปด้วยกันก็พลอยถูกทำลายจากดาวเสาร์(๗)กาลกิณีจรดวงนี้ลงแบบเรียบเกลี้ยง ไปพร้อมกันด้วย ยังมียิ่งไปกว่านั้นอีกคือพังตามกันไปเป็นแถบ ๆ ก็คือดาวเสาร์(๗)กาลกิณีจรดวงเดียวนี้ยังทำลาย ภพที่11 ที่เข้มแข็งของชาตาพรรคประชาธิปัตย์ด้วยดาวเดิมคู่มิตรใหญ่คือเสาร์(๗)+ราหู(๘) ไปอย่างเรียบเกลี้ยงด้วย ผลก็คือภพที่ 11 ที่เข้มแข็งถูกทำลายลงอย่างเรียบราบ หมายถึงทางที่จะชนะไม่มีอีกแล้ว
4. ดาวที่มาแรงในขณะนั้นก็คือราหู(๘)จรเป็นมหาอุจอยู่ราศีพิจิก ซึ่งโดยปกติแล้วจะไปเพิ่มแรงความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใหญ่หลวง โดยไปเพิ่มพลังให้แก่ดาวอังคาร(๓)จร และจันทร์(๒)เดิมในราศีพฤษภ แต่แล้วราหู(๘)จรมหาอุจดวงนี้กลับเปลี่ยนใจไปร่วมมือกับมหามิตร คือเสาร์(๗)กาลกิณีจร พลอยเป็นกาลกิณีไปด้วยและยิ่งแรงร้ายไปอีกเพราะพลังมหาอุจ ที่พุ่งไปทำลายเป้าหมายที่อยู่ในราศีตรงข้ามในพฤษภคืออังคาร(๓)จร และจันทร์(๒)เดิมที่เป็นดาวคู่ความหวังของพรรคประชาธิปัตย์ลงอย่างเรียบเกลี้ยง
ฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์พังครั้งนี้เป็นเพราะอำนาจดาวเสาร์(๗)จรดวงเดียวแท้ ๆ ดวงเดียวเท่านี้จริง ๆ
5. ประชาธิปัตย์เหลืออะไร ?
เหลือดาวเพียงดวงเดียวคือพฤหัสบดี(๕) ซึ่งขณะนั้นจรเป็นบริวารจร ไปสถิต ณ ราศีเมษ และมีศักดิ์เป็นราชาโชค ทับศุกร(๖)ศรีเดิมประ เป็นภพที่ 9 ของดวงชะตา และพฤหัสบดี(๕)จร+ศุกร(๖)เดิมนี้เล็งดาวพฤหัสบดี(๕)เดิมที่ราศีตุล
นี่แหละเป็นขุมกำลังของพรรคประชาธิปัตย์ที่เหลืออยู่ และน่าจะเป็นขุมกำลังใหญ่ เพราะทั้งพฤหัสบดี(๕)จร + ศุกร(๖)เดิม และพฤหัสบดี(๕)เดิม รวมพลังกันแล้วเป็นพลังมหิมาอยู่ และทั้งอยู่มุมที่เปล่ง
กระแสถึงและคุ้มครองลักคณาได้พอดี จึงเป็นที่หวังของประชาธิปัตย์อีกขุมหนึ่ง
วิเคราะห์ว่าพฤหัสบดี(๕)ดวงนี้มาจากไหน..... มาจากภพปุตตะ+มรณะ เป็น3แก่ลักคณ์เป็นอายุเดิมและอายุจร ความหมายก็คือ คะแนนเสียงที่ได้เป็นของพรรคประชาธิปัตย์มาแต่เดิม เป็นของตายอยู่แล้วสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ พวกฮาร์ดคอร์ที่อย่างไร ๆ ก็ทิ้งประชาธิปัตย์ไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็จงรักภักดีต่อพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเอง
แต่คราวนี้คงได้มาไม่เท่าที่เคยได้ เพราะมีดาว 4 ดวงจรทำลายเรือนพฤหัสบดี(๕)ที่ราศีมีนขณะนั้น คือ จันทร์(๒)จรกุมพุธ(๔)จรในกรกฎ ราหู(๘)จรเป็นมหาอุจในพิจิก และมฤตยู(๐)จรในราศีมีน ทับเรือนพฤหัสบดี(๕)อยู่
นอกจากนี้ ดาวเสาร์(๗)กาลกิณีจร กับราหู(๘)จร ยังทำมุมแหลมแบบปลายหอกแทงดาวพฤหัสบดี(๕)จรที่ราศีเมษ ทำให้เกิดการรั่วไหลขนาดใหญ่
ทั้งหมดนี้จึงลิดรอนขุมกำลังเดิมพวกฮาร์ดคอร์ของพรรคประชาธิปัตย์ ให้ร่อยหรอลงไปอีก จนแทบไม่มีเหลือ
6. ยังมีร่องรอยของการเป็นคดีความที่มีการฟ้องร้องอันเนื่องจากมีการทุจริตในการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์อีก
แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเหลือเท่าไร ?
จึงสรุปได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะบอกถึงการพังและการตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์โดยแท้จริง แม้เมื่อกาลเวลาล่วงไปข้างหน้าถึง 2 ปี จากวันนี้ไปถึงสิ้นปี 2555 ซึ่งโดยระบบดาวจรพรรคประชาธิปัตย์จะรุ่งโรจน์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เนื่องเพราะดาวที่คาดว่าจะให้คุณให้ความรุ่งโรจน์กลับจรวิปริตและอ่อนแสงต่อไป ฉะนั้นผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่น่าที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้มากพอจนอาจกลับมาจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้งหนึ่ง
12 พ.ค.2554
23.32 น.
8.1.3 คำพยากรณ์พรรคเพื่อไทย
ดวงที่ 4ลักษณะระบบดาวในวันที่คาดว่าจะได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่
วัน ๓/26 กรกฎาคา 2554
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีกรกฎ กุมศุกร(๖) พุธ(๔) 8องศา 59 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีพฤษภ
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีเมถุน
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกรกฎ กุมอาทิตย์(๑) ศุกร(๖)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีเมษ
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี กรกฎ กุมพุธ(๔) อาทิตย์(๑)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีกันย์
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีมกร
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีมีน
ดวงที่ 5 ลักษณะระบบดาวในวันที่คาดว่าได้รัฐบาลใหม่
วัน ๖/๒9 กรกฎาคม 2554
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีกรกฎ กุมศุกร(๖) พุธ(๔) 11องศา 51 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีกรกฎ กุมอาทิตย์(๑) ศุกร(๖) พุธ(๔)
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีเมถุน
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกรกฎ กุมอาทิตย์(๑) ศุกร(๖) จันทร์(๒)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีเมษ
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี กรกฎ กุมพุธ(๔) อาทิตย์(๑) จันทร์(๒)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีกันย์
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีมกร
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีมีน
8.1.4 คำพยากรณ์พรรคเพื่อไทย(ต่อ)
1. คำปรารภ
พรรคเพื่อไทยได้ประสบปัญหาชนิดหนึ่งมาตั้งแต่กลางปี 2553 แล้ว โดยมีการตัดสินใจผิดพลาดในบางเรื่อง ที่มีผลต่อความนิยม ความดีงาม และความตั้งมั่นน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทย มาจนถึงขณะนี้ ประเด็นนี้ยังคงมีปัญหาอยู่ และจะยังคงมีปัญหาต่อไป และมีส่วนที่ฉุดคะแนนการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยเป็นอย่างมาก (น่าจะเป็นประเด็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย...หรือผู้ที่พรรคเพื่อไทยจะส่งไปเป็นแคนดิเดทตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั่นเอง) อย่างไรก็ดี ในปัญหานี้ ทางพรรคเพื่อไทยก็สามารถแก้ปัญหาได้ทันในระยะการเลือกตั้งนี่เอง ปรากฏในดวงชะตาว่า ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2554 สถานะที่เป็นจุดอ่อนตรงนี้ได้รับการแก้ไข และทำให้พรรคเพื่อไทยประคองตัวรอดไปได้ จนเข้าสู่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ก่อนวันเลือกตั้งเพียง 2 วัน สถานการณ์ตรงนี้ ได้กลับกลายเป็นคุณประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง ต่อผลสำเร็จของพรรคเพื่อไทยขึ้นมาได้ในระดับสำคัญ
พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ ?
ร่องรอยของชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเริ่มปรากฏขึ้นในระยะที่ดาวพฤหัสบดี(๕)บริวารจรมาสู่ราศีเมษ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 กระแสดาวพฤหัสบดี(๕)ที่จรสู่ราศีเมษนี้เป็นกระแสดาวใหญ่ที่ประกอบด้วยศักดิ์ของดาวโดยมีตำแหน่งเป็น ราชาโชค และเป็นกระแสที่พุ่งตรงสู่ราศีตุลที่อยู่ตรงข้าม และพบกับกระแสของดาวพุธ(๔)มนตรีเดิมที่กุมลักคณ์อยู่ นี่คือการเริ่มต้นที่แสดงร่องรอยของชัยชนะแล้ว เพราะกระแสของดาวพฤหัสบดี(๕)จร ค่อนข้างมีอานุภาพที่กระตุ้นระบบดาวแทบทั้งหมดในดวงชะตาของพรรคเพื่อไทยให้ระยิบระยับมีเรี่ยวแรงแข็งแกร่งขึ้นมาทันที นับตั้งแต่ พฤหัสบดี(๕)จรเปล่งกระแสถึงศุกร์(๖)ตนุลักคณ์เดชเดิมในราศีสิงห์ ที่อยู่ในมุม 60 องศาหรือโยคหลังลักคณา+พุธ(๔)มนตรีเดิม พร้อมกับถึงจันทร์(๒)กัมมะ-มูละเดิมในราศีธนู ที่อยู่ในมุม 60 องศาหรือโยคหน้าลักคณา+พุธ(๔)มนตรีเดิม นี่ก็เป็นข้อได้เปรียบอย่างแรงไปอีกชั้นหนึ่ง ที่บ่งบอกถึงชัยชนะ เพราะฉะนั้น ด้วยอานุภาพของดาวพฤหัสบดี(๕)จรสู่ราศีเมษเพียงดวงเดียว ก็เพียงพอที่จะให้พรรคเพื่อไทยบรรลุสู่ชัยชนะครั้งนี้
แต่ในระหว่างนี้ ไม่ใช่มีเพียงดาวพฤหัสบดี(๕)จรมาให้คุณเท่านั้น ยังมีกระแสดาวหนุนเนื่องสมทบมาให้พลังความสำเร็จเพิ่มมาอีก และที่เป็นตัวตัดสินชัยชนะอย่างปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยเลยนั้นก็คือการจรของดาวจันทร์(๒) ซึ่งมีศักดิ์ฐานะเป็นดาวกัมมะ เจ้าเรือนภพที่ 10 ของดวงชะตาพรรคเพื่อไทย และดาวอีกดวงหนึ่งที่มีความหมายมากพอ ๆ กับจันทร์(๒)จร ก็คือดาวพุธ(๔)เจ้าเรือนศุภะ-วินาสน์ที่กุมลักคณ์เดิม-มนตรีเดิมจรมาเป็นศรีจร
ดาวจันทร์(๒)เป็นกัมมะเดิมเป็นเจ้าเรือนราศีกรกฎ ภพที่ 10 จากลักคณา+พุธ(๔)มนตรีเดิม บัดนี้จรมาเป็นอายุจร เริ่มแสดงอานุภาพเรี่ยวแรงขึ้นตั้งแต่จรมาถึงราศีเมถุนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ซึ่งจะบ่งบอกถึงความนิยมของพรรคเพื่อไทยจะพุ่งสูงขึ้นในวันนี้ และครั้นถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2554 เวลา 15.45 น.ดาวจันทร์(๒)ก็จรถึงราศีกรกฎเรือนเกษตรตนเอง และเป็นเรือนที่มีความหมายอย่างยิ่งของพรรคเพื่อไทยเพราะเป็นภพที่ 10 ของพรรคเพื่อไทย อันหมายถึงชัยชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ และตรงราศีกรกฎนี้ จันทร์(๒) ย่อมทรงศักดิ์ ทรงพลังสูงสุด และหมายถึงชัยชนะอย่างเด็ดขาด
กระนั้น ก็ยังมีดาวพุธ(๔)ดาวที่กุมลักคณา ศุภะ-วินาสน์-มนตรีเดิม จรมาเป็นศรีจรมาครองอยู่ที่ราศีกรกฎนี้ก่อนที่จันทร์(๒)จะจรมาถึง โดยพุธ(๔)จรมาถึงในวันที่ 26 มิถุนายน 2554 เวลา 23.17 น.
ซึ่งการจรของดาวพุธ(๔)นี้ ความเป็นศรีจร บ่งบอกถึงการต่อสู้อย่างสุจริตเป็นธรรมในการหาเสียงเลือกตั้ง และเป็นผลต่อคะแนนเสียง โดยอานุภาพของดาวพุธ(๔) ได้เพิ่มพูนความนิยมมาตลอดตั้งแต่ดาวพุธ(๔)จรเข้ากษตรตนเองคือราศีเมถุน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2554 มาแล้ว
ช่วงต่อจากวันที่ 9 มิถุนายน 2554 ไปจนถึงวันเลือกตั้งนี้ จัดเป็นโค้งชัยชนะของพรรคเพื่อไทย และจะถูกจับตามองจากคู่แข่งอย่างไม่วางตา เพราะกระแสความนิยมจะเริ่มไหล ฉะนั้น เมื่อมาถึงวันที่ 26 มิถุนายน 2554 เมื่อดาวพุธ(๔)จรเข้าราศีกรกฎ กระแสพุธ(๔) สัมผัสกระแสราหู(๘)จรมหาอุจที่ราศีพิจิกทันที นั่นหมายถึงปฏิบัติการสกัดกั้นของศัตรูคู่แข่งของพรรคเพื่อไทยอย่างแรงและหลายหลากวิธีการที่ไม่สะอาด ปรากฏความหมายของดวงชะตาช่วงนี้ได้ว่าจะมีการเล่นไม่สุจริตเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม มีพร้อมทั้งการกล่าวหาใส่ความ แม้กระทั่งทำเป็นคดีอาญา มีการฟ้องร้อง พรรคเพื่อไทยจะพบกับสถานการณ์สกัดกั้นเช่นนี้ไปจนกว่าจะถึงวันที่ดาวจันทร์(๒)จรมาสมทบดาวพุธ(๔)จรในราศีกรกฎ ซึ่งก็จะเป็นวันที่ 2 กรกฎาคม 2554 เวลา 15.45 น. ก่อนวันเลือกตั้งเพียง 1 วัน และเมื่อจันทร์(๒)จรมาสถิตเรือนตนเองมีศักดิ์เป็นเกษตรแล้วย่อมเข้มแข็งและเมื่อสมทบกับมหามิตรคือพุธ(๔)ที่จรมารออยู่ก่อนแล้ว ย่อมหมายถึงพลังอันเฉียบขาดที่เผด็จศึกลงได้อย่างราบเรียบ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 วันเลือกตั้ง
ยังมีพลังที่หนุนเนื่องมาสนับสนุน ในดวงชะตาของพรรคเพื่อไทยเพื่อการต่อสู้ในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 อีก นั่นคือมีดาวอาทิตย์(๑) ที่จรเข้าสู่ราศีเมถุนทันก่อนการเลือกตั้ง โดยอาทิตย์(๑)จรเข้าสู่ราศีเมถุนในวันที่ 15 มิถุนายน 2554 และจะอยู่ที่นี่ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2554 ตราบถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ก่อนวันเลือกตั้งเพียง 2 วันเท่านั้นดาวศุกร์(๖)ตนุลักคณ์-กาลกิณีจรมาทัน ทำให้พ้นปัญหาใหญ่ไปได้อย่างหวุดหวิดเนื่องเพราะพ้นจากภพมรณะมาทันก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 วันนั่นเอง และยังทับดาวมหามิตรคืออังคาร(๓)เดิมในราศีเมถุนนั้นไปจนกว่าเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง
ส่วนดาวอังคาร(๓)จรอยู่ ณ ราศีพฤษภ อันเป็นภพมรณะแก่ลักคณาพรรคเพื่อไทย แต่อังคาร(๓)จรนี้ก็นั่งเรือนศุกร์(๖) และมีศักดิ์เป็นราชาโชค อันบ่งความหมายถึงการช่วยเหลือแบบลับ ๆ จากกลุ่มบุคคลในเครื่องแบบและทหารอยู่ส่วนหนึ่ง
3. พรรคเพื่อไทยชนะแบบท่วมท้นหรือไม่ ?
เมื่อมองจากดาวพฤหัสบดี(๕)อุตสาหะจร ที่มีศักดิ์เป็นราชาโชค ในราศีเมษขณะนั้น และมองดาวพุธ(๔)เดิมที่กุมลักคณาในราศีตุล บ่งบอกแรงสนับสนุนที่สำคัญของคน-บุคคลที่มีระดับตั้งแต่ที่มีฐานะสูงส่งสูงสุดในสังคม รวมตลอดถึงการสนับสนุนจากฝ่ายคณะสงฆ์ ตลอดถึงนักบวชในศาสนาต่าง ๆ ตลอดทั้งบุคคลในความหมายของนักวิชาการ ครูอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาทุกระดับ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นพลังสนับสนุนอย่างมีเหตุผลและอย่างแรง
และเมื่อมองจากดาวพุธ(๔)จรที่ราศีกรกฎ เป็นศรีจร ซึ่งมีจันทร์(๒)เกษตรกุมเป็นคู่มหามิตรอยู่ กับทั้งพุธ(๔)เดิมในราศีตุล ที่บ่งบอกถึงการสนับสนุนของบุคคลในวงการธุรกิจการพาณิชย์ การเศรษฐกิจ และบุคคลในวงการวิชาชีพการสื่อสารมวลชน หรือ ด้วยวิธีการสื่อสารมวลชน เป็นหนทางได้ชัยชนะ การที่พุธ(๔) เป็นศรีจร หมายถึง การตั้งใจสนับสนุนอย่างสุจริต มีเหตุมีผลจริง ๆ และประชาชนมหาศาล(จันทร์เกษตร)ให้การยอมรับ และจุดนี้เป็นจุดตัดสินชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างขาวสะอาด
จุดที่น่าวิตกอยู่แต่แรกก็คือ ดาวศุกร(๖) ซึ่งเป็นตนุลัคณ์ของดวงชะตา ย่อมมีความสำคัญมาก นั้น ขณะนี้เป็นดาวกาลกิณีจร ได้วิเคราะห์ไว้แต่ต้นแล้ว ในความหมาย และบังเอิญดาวศุกร(๖)ได้พ้นออกมาจากภพมรณะในราศีพฤษภก่อนวันเลือกตั้ง โดยย้ายเข้าสู่ราศีเมถุนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ก่อนวันเลือกตั้งเพียง 2 วัน การที่ดาวตนุลักคณ์ศุกร(๖) จรพ้นจากภพมรณะมาทันก่อนการเลือกตั้งอย่างหวุดหวิดนั้น ค่อนข้างบ่งบอกความหมายสำคัญ นั่นคือ หมายถึงชัยชนะ พ้นจากความยุ่งยากและสงครามไปเสียได้อย่างสะบักสบอม (เพราะเป็นกาลกิณีจร) นี่ ก็ยิ่งชี้ยืนยันถึงชัยชนะของพรรคเพื่อไทย
และอีกจุดหนึ่งก็คือดาวอาทิตย์(๑)ที่เคลื่อนสู่ราศีเมถุน ทำมุม 120 องศาแด่ลักคณา หมายถึงพลเรือน-มหาดไทย ประมาณกึ่งหนึ่ง(อาทิตย์จรพบอังคาร)ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย
ที่น่าสนใจก็คือ ดาวอังคาร(๓)จรในภพมรณะ แต่เป็นเรือนของศุกร(๖)มหามิตร ในขณะเดียวกันดาวศุกร(๖)จรทับอังคาร(๓)เดิมอยู่ สลับกัน บ่งบอกการสนับสนุนอย่างลับ ๆ ของวงการทหารและคนในเครื่องแบบอีกส่วนหนึ่ง
จึงสรุปได้ว่า คนทุกวงการให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ การที่ดาวใหญ่มีพลังในจุดสำคัญ ๆ ทรงศักดิ์ คือจันทร์(๒) จรเป็นเกษตร พุธ(๔)จรเป็นศรีจร อาทิตย์(๑)จรเป็นราชาโชค และพฤหัสบดี(๕)จรเป็นราชาโชค พอเห็นผลได้ถึงชัยชนะว่า น่าจะท่วมท้น ทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยจะเริ่มสัมผัสกับแรงบีบกดดันรอบด้าน อย่างรุนแรง นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป ถึงวันเลือกตั้ง และเลยไปจนถึงเดือนธันวาคม 2554 เนื่องด้วยดาวเสาร์(๗) กับราหู(๘)จรเข้าบีบลักคณาพรรคเพื่อไทย แบบอยู่ในเขาควาย คือเสาร์(๗)จรเข้าบีบด้านหลังลักคณา ขณะเดียวกันราหู(๘)จรสวนทางมาเข้าด้านหน้า บีบลักคณาที่อยู่ตรงกลาง ด้วยแรงบีบขนาดหนักของราหู(๘)มหาอุจและเสาร์(๗) ประธานดาวร้ายในจักรราศี สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ การทำงานของพรรคเพื่อไทยจะพบกับปัญหารอบด้าน อย่างหนักหน่วง ต้องฝ่าฟัน ฝ่าวงล้อมไปด้วยความฉลาด สติปัญญา ใช้ปัญญาแก้ปัญหา และยังหมายถึงการพบมรสุมของการกลั่นแกล้ง ใส่ความ หาเรื่องราวด้วยประการต่าง ๆ กระทั่งปั้นเรื่อง สร้างข้อกล่าวหา เป็นคดีความในระยะก่อนการเลือกตั้ง ตามที่ได้วิเคราะห์ไว้แล้ว และประเด็นการกล่าวหาใส่ความนี้ จะกลายเป็นประเด็นต่อไปอย่างเนิ่นนานแม้ผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว
4. พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ?
ดวงที่ 5 ลักษณะระบบดาวในวันที่คาดว่าได้รัฐบาลใหม่
วัน ๖/29 กรกฎาคม 2554
ดวงที่ 5
รูประบบดาววันที่ 29 กรกฎาคม 2554
ที่คาดว่าจะได้รัฐบาลใหม่
-ดาวอาทิตย์(๑) อยู่ราศีกรกฎ กุมศุกร(๖) พุธ(๔) 11องศา 51 ลิปดา
-ดาวจันทร์(๒) อยู่ราศีกรกฎ กุมอาทิตย์(๑) ศุกร(๖) พุธ(๔)
-ดาวอังคาร(๓) อยู่ราศีเมถุน
-ดาวพุธ(๔) อยู่ราศีกรกฎ กุมอาทิตย์(๑) ศุกร(๖) จันทร์(๒)
-ดาวพฤหัสบดี(๕) อยู่ราศีเมษ
-ดาวศูกร(๖) อยู่ราศี กรกฎ กุมพุธ(๔) อาทิตย์(๑) จันทร์(๒)
-ดาวเสาร์(๗) อยู่ราศีกันย์
-ดาวราหู(๘) อยู่ราศีพิจิก
-ดาวเกต(๙) อยู่ราศีมกร
-ดาวมฤตยู(๐) อยู่ราศีมีน
การดูจากดวงชะตาพรรคเพื่อไทยในประเด็นการเลือกตั้งนี้ พอจะได้พบว่า ชนะการเลือกตั้ง อย่างท่วมท้น แต่การจะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้น
พบว่าสถานการณ์วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2554 ณ ราศีกรกฎอันเป็นภพที่ 10 ของดวงชะตาพรรคเพื่อไทย นั่นคือดาวศุกร(๖)ตนุลักคณ์จรเป็นราชาโชค +พุธ(๔) ดาวที่กุมลักคณ์เดิม ร่วมศุกร์เป็นอสีติธาตุ ในกรกฎ+อาทิตย์(๑) ลาภะจรเป็นมหาจักร และขณะนั้นจันทร์(๒)จรในราศีพฤษภเป็นอายุจรมหาอุจ .......... ทั้งหมดนี้ พบกระแสแรงของราหู(๘)จรมหาอุจในพิจิก
วันนี้ น่าเป็นวันได้ตัวนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย
จากนี้ไปถึงวันที่ 29-30-31 กรกฎาคม 2554 น่าจะได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
นี่คือระบบดาวภายหลังวันเลือกตั้ง ที่บ่งบอกความหมาย....ถึงการปกครอง การบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทย…….ไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์.....เพราะในขณะเดียวกัน การรวมตัวของพระเคราะห์ 4 ดวง ที่บอกความหมายในวันดังกล่าวนี้ ปรากฏอยู่ในภพวินาสน์ของดวงชะตาของพรรคประชาธิปัตย์ อันบ่งบอกความผิดหวังของพรรคประชาธิปัตย์
· · ชลัมพุช โหรชนบท
13 พ.ค. 2554
20.45 น.
ผู้แสดงความคิดเห็น ชลัมพุช โหรชนบท วันที่ตอบ 2011-05-13 21:08:16
8.1.5 คำพยากรณ์ดวงชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
-ให้คำพยากรณ์ไว้ ณ 26 พ.ค.2554
ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เกิดวันพุธ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2510
ดวงที่ 1 รูปดวงชะตา เป็นอย่างนี้
ดวงที่ 1 ดวงกำเนิด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
๔/21 มิถุนายน 2510
ลั กรกฎ(โดยการคำนวณ) กุม ๕๖
๑ เมถุน กุม ๔
๒ พิจิก
๓ กันย์ กุม ๙
๔ เมถุน กุม ๑
๕ กรกฎ กุม
๖ กรกฎ กุม ๕
๗ มีน
๘ เมษ
๙ กันย์ กุม ๓
๐ สิงห์
ข้อพิจารณา
1. วันที่ปรากฏตัว เพื่อเดินทางไปสมัคร สส.สัดส่วนที่อาคารกีฬาเวศ2 วันที่ 19 พ.ค.2554 ในนามผู้สมัครสส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 แล้วพรรคเพื่อไทยโดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ จับสลากได้หมายเลข 1 นั้น นับเป็นปรากฎการณ์ที่ดียอดเยี่ยมและมือโชคอย่างแท้จริง จึงสามารถจับได้เบอร์ 1 (1ใน26หมายเลขทั้งหมด) และเป็นพรรคใหญ่อันดับ 1 อีกด้วย เมื่อสำรวจระบบดาววันนั้นและเวลาที่จับสลากได้นั้น (ซึ่งอยู่ระหว่าง 08.26 – 10.26 น.) ปรากฏว่า ลักคณาฤกษ์(เวลาที่จับสลาก) อยู่ที่ราศีกรกฎ ขณะที่ดาว 4 ดวงสำคัญล้วนพระเคราะห์ให้คุณคืออังคาร(๓)เกษตรจร ศุกร์(๖) มนตรีจร พุธ(๔) เดชจร และพฤหัสบดี(๕) มูละจร ราชาโชค กุมกันอยู่ราศีเมษ ภพที่ 10 จากราศีกรกฎ ทำให้เป็นที่สังเกตว่า กรกฎน่าจะเป็นราศีที่มีความหมายดีที่สุด และพบว่า ลักคณาของดวงฤกษ์ทับลงบนดาวสำคัญในชะตาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์พอดี นั่นคือดาวพฤหัสบดี(๕)เดิม ซึ่งมีศักดิ์สูงสุดคือเป็นมหาอุจ เป็นเดชเดิม กุมอยู่กับดาวศุกร(๖)เดิม ซึ่งมีศักดิ์เป็นราชาโชค เป็นมูละเดิม ซึ่งดาวคู่นี้ถือว่าเป็นดาวขนาดใหญ่ในจักรราศีฝ่ายธรรมะ ที่มีอำนาจบันดาลความสำเร็จอย่างสูงแก่ชีวิต และการที่ดาว 4 ดวงดังกล่าวอยู่ราศีเมษ จากราศีกรกฎหมายถึง การเปล่งกระแสจากภพที่ 10 กัมมะจากราศีกรกฎ จึงเป็นข้อสังเกตแต่แรกว่า ลักคณาของดวงชะตาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ควรจะอยู่ที่ราศีกรกฎ จึงจะสอดรับกับกระแสดาวทั้ง 4 ได้ความหมายที่ดีออกมาเช่นนี้ และครั้นถึงวันเปิดรับสมัคร สส.เขตทั่วประเทศ วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2554 ปรากฏว่าดาวจรทั้ง 4 ดวงนั้น ยังคงสถิตที่ราศีเมษ และโดยที่เป็นเวลาที่ ลักคณาฤกษ์วันเปิดรับสมัครอยู่ราศีกรกฎ จึงเป็นว่าบุคคลที่มีลักคณาอยู่ราศีกรกฎ จักได้รับรัศมีโชคจากดาวทั้ง 4 ดวง อย่างเต็มที่ กล่าวคือ วันที่ 19 และวันที่ 24 พ.ค. 2554 จึงเป็นวันที่เปิดศักราชความสำเร็จเกียรติยศ ชื่อเสียง การงานหน้าที่อันยิ่งใหญ่แก่ชีวิตนี้
2. ที่จริงลักคณาอาจจะอยู่ในราศีใดราศีหนึ่งคือ กรกฎ สิงห์ ตุล และ ธนู และพบว่า กรกฎและตุล แทบไม่มีความหมายแตกต่างกัน แต่เมื่อดูจากดาวราหู(๘) ที่อยู่ราศีเมษแล้ว พบความหมายของราศีกรกฎตรงกว่า นั่นคือหมายถึงผู้ที่ต้องรับภาระหน้าที่อันยากลำบาก ที่แปลว่า ภาระหน้าที่ของการแก้ไข เผชิญปัญหาอันสลับซับซ้อนหรือวิกฤตของประเทศไทย จึงน่าเป็นว่า ลักคณา อยู่ราศีกรกฎ
ดวงที่ 2
ดวงระบบดาววันที่จับฉลากได้เบอร์ 1
ดวงที่ 2
ดวงระบบดาววันที่ 19 พ.ค.2554
วันที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หน.พรรคเพื่อไทยจับฉลากได้เบอร์ 1
3. ความหมายเมื่อลักคณาอยู่ราศีกรกฎ ค่อนข้างบอกความหมายที่ดีกว่าราศีตุลเมื่อมองไปในอนาคต และอนาคตอันใกล้ที่สุดก็คือ วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง ในวันนั้นดาวพฤหัสบดี(๕)ที่มีศักดิ์เป็นมหาอุจเดิม เป็นราชาโชค และยังจรมาเป็นศรีจรอีกด้วย มาสู่ราศีเมษ เป็น 10 แก่ลักคณากรกฎ+ศุกร์(๖)เดิม+พฤหัสบดี(๕)เดิม ในราศีกรกฎ บ่งในทางดีที่ให้ความมุ่งหมายสำเร็จอยู่แล้ว และมองดูที่ราศีกรกฎพบว่ามีดาวจันทร์(๒) ซึ่งเป็นเจ้าเรือนราศีกรกฎ หมายถึงตนุลักคณา จรมาโดยกุมพุธ(๔)จร คู่มิตร กุมกันทับลักคณา ทับศุกร์(๖)เดิม+พฤหัสบดี(๕)มหาอุจเดิม
ที่สำคัญที่สุดอีกจุดหนึ่งก็คือขณะนั้นดาวราหู(๘)จรมาสู่ราศีพิจิกแล้ว เป็นราหูจรมหาอุจ และเป็น5แก่ลักคณาราศีกรกฎ ตำแหน่งอัมพุชเกณฑ์ สุดยอดปรารถนาของคนมีลักคณาในราศีกรกฎ เพราะนี่คือความหมายของความสำเร็จอย่างรุ่งโรจน์ และจะมีความหมายต่อไปในวันข้างหน้าถึง 5 ปีติดต่อกันไป
อ่านความหมายโดยรวมได้ว่าชนะการเลือกตั้งอย่างบอบช้ำที่สุดแต่ก็เป็นวันแห่งความสุขและสมหวัง ........แล้วครั้นถึงวันที่ 26 ก.ค.2554 ซึ่งได้ตรวจสอบไว้ล่วงหน้าแล้ว และพยากรณ์ไว้แล้ว(ในคำพยากรณ์พรรคเพื่อไทย)ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย พบว่าดาวตนุลักคณ์ จันทร์(๒)ของคุณยิ่งลักษณ์ จรมาเป็นมหาอุจอยู่ราศีพฤษภ เป็น 11 แก่ลักคณ์ นี่คือความสำเร็จในระดับสูงสุด(มหาอุจแปลว่าสูงสุด) จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และครั้นล่วงไปถึง วันที่ 29-30-31 ก.ค. 2554 (ที่ให้ความหมายว่าจะได้รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย-ไม่ใช่ประชาธิปัตย์) ดาวจันทร์(๒)ตนุลักคณ์นี้จรมาถึงราศีกรกฎพร้อมดาวจร+ดาวเดิม+ลักคณา รวมเป็นดาว 6 ดวงคือ ศุกร์(๖)จร+อาทิตย์(๑)จร + พุธ(๔)จร + จันทร์(๒)ตนุลักคณ์เกษตรจร+พฤหัสบดี(๕)มหาอุจเดิม+ศุกร์(๖)ราชาโชคเดิม+ลักคณา ซึ่งหมายถึงความสำเร็จของเจ้าชาตานี้เน้นเข้าไปอีก
และมีข้อสังเกตเป็นพิเศษก็คือ วันที่ 18 สิงหาคม 2554 ซึ่งน่าเป็นวันดีที่สุดอีกวันหนึ่งของชะตานี้ ที่บ่งบอกถึงอำนาจบารมีอย่างสูงสุด น่าคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น [ดาวศกร์(๖)จร+พุธ(๔)จร กุมกันบริสุทธิ์ ไม่มีดาวเคราะห์อื่นเจือปน ในราศีกรกฎธาติน้ำ เป็นอสีติธาตุน้ำ ทับลักคณา……มีความหมายถึงคดีความสำคัญ ?]
ดวงที่ 3
ดวงระบบดาววันเลือกตั้ง
3 ก.ค.2554
ดวงที่ 3
ดวงระบบดาววันเลือกตั้ง
วันที่ 3 ก.ค.2554
4. สรุปเฉพาะประเด็นนี้ก่อนว่า นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 ในระบอบประชาธิปไตย จะได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ผลงานของเธอน่าจะไปไกลกว่า ทักษิณ ชินวัตร .... ปรากฏไปใน 5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ของเจ้าชาตานี้ ก่อนที่จะได้ชัยชนะ ได้มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อย สุขภาพทรุดโทรมและความเจ็บไข้ และร่องรอยของผลจากศัตรูคู่แข่ง ที่พยายามสกัดกั้นทุกวิถีทาง แม้กระทั่งความคิดที่จะทำให้เจ้าชาตานี้ต้องเป็นอัมมะพาต เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือแม้ด้วยอุบัติเหตุถึงชีวิต ...... แต่ก็จะกั้นไม่อยู่.......
- ชลัมพุช โหรชนบท
26 พฤษภาคม 2554
08.02 น.
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดของหนังสือพิมพ์ดี
ได้ทางเวบไซต์ของเรา คือ