Mystery World Report 25
ศึกษาโลกลี้ลับ ตอนที่ 25
เรื่องครูที่กาฬสินธุ์ไปเที่ยวนรกสวรรค์
กลับมาเล่าเรื่องให้ญาติ ๆ ฟัง
24 พ.ย.2554
อารัมภบท
เมื่อวานนี้ ญาติข้าพเจ้า ได้พากันมาทำบุญที่กุฎิข้าพเจ้า และได้เอาหนังสือเรื่อง "เบื้องหลังความตาย ครูสิทธินันท์ อุทโท ๒๕๕๔" มาถวายจำนวน30เล่มด้วย ซึ่งญาติของข้าพเจ้า ได้แก่นางทิพย์วัลย์ เชาว์วลีรัตน์ และครอบครัว นายสุรวุฒิ ไชยทิพย์และครอบครัว ได้จัดพิมพ์เผยแผ่เพื่อเป็นธรรมทาน บอกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก ถวายไว้ให้แจกจ่ายญาติโยมต่อไป
ข้าพเจ้าได้อ่านแล้ว มีเรื่องย่อ ๆ ก็คือ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2548 ครูสิทธินันท์ อุทโท รับราชการเป็นครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านคุ้มเก่า ต.คุ้มเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ วันที่เกิดเหตุ ปรากฎว่าขณะไปทำงานอยู่ในป่าไผ่ในสวนไร่ตนเอง แล้วเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกขึ้นโดยโดยกระทันกัน แล้วอึดใจต่อมาก็หายใจติดขัด ทุรนทุรายดิ้นรนลงกลางดิน แล้วสิ้นสติไป ญาติ ๆ นำส่งโรงพยาบาล ครูสิทธินันท์ มารู้ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ก็เห็นตัวเองเดินอยู่ในป่าใหญ่ แล้วมีเทพยดามาพาไปยังแดนนรก และพาไปสวรรค์ ได้เห็นความเป็นไปในนรกขุมต่าง ๆ น่าหวาดกลัวไปต่าง ๆกัน ได้เห็นความเป็นไปในสวรรค์ พบพ่อแม่ตนเองในสวรรค์ และอะไรอื่น ๆ อีกอย่างมากมาย ตามที่เล่าไว้ในหนังสืออย่างละเอียด ฯลฯ แล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นปีจึงพูดให้คนทั้งหลายฟัง ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องลึกลับน่าศึกษา และไม่คิดว่าจะมีการทุจริตอะไร จึงคิดว่าจะเอาลงบันทึกไว้ใน โลกลี้ลับนี้ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาต่อไป
เบื้องหลังความตาย
ครูสิทธินันท์ อุทโท ๒๕๕๔
พิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทาน
คำอุทิศ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมอุทิศบุญกุศลจากการสร้างหนังสือนี้ ให้แก่บรรพบุรุษและญาติมิตรทุกท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินท่านไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าท่านจะอยู่ในภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วปรดอโหสิกรรมและอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลนี้ด้วยเทอญ
นางทิพย์วัลย์ เชาว์ลีรัตน์ และครอบครัว
นายสุรวุฒิ ไชยทิพย์ และครอบครัว
นรก-สวรรค์ มีจริงหรือ?
อดีตชาติบาปบุญ เราเคยได้ยินตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย และคนรุ่นหลังเก่า ๆ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ทำบุญแล้วจะมีชีวิตที่ดีเกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าทำบาปจะเป้นอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้างในทางไม่ดี
แต่ก็ไม่มีใครพิศูจน์ได้ว่ามีจริง แม้กระทั่งเรื่องราวของนรก สวรรค์ก็เหมือนกัน เคยได้ยินมาตลอดจนชินหู ว่าทำบาปแล้วตกนรกนะ แต่ไม่มีใครเห็นว่ามีจริงหรือเปล่า
ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน ได้ยินมาตลอดว่ามีนรก - สวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่น แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติตามเท่านั้นเอง ด้วยความที่ไม่กลัวบาปหรือว่าตามองไม่เห็นธรรมหรือด้วยประการใดก็ไม่ทราบได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าได้ไปพบไปเห็นในสิ่งที่คนเราไม่เคยเห็นมาก่อน เป้นสิ่งที่น่าทึ่งมากสำหรับข้าพเจ้าที่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง
แต่จะจริงแท้แค่ไหน ข้าพเจ้าขอจูงมืออันสูงเกียรติ์ของท่านไปติดตามเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ท่านฟังต่อไปนี้นะขอรับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและฟังว่าจริงหรือเท็จเพราะข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียนหรือนักแต่งหนังสือแม้แต่นิด ข้าพเจ้าได้เขียนตามที่ข้าพเจ้าได้ไปพบเห็นมาด้วยตาตัวเอง
ประวัติส่วนตัวโดยย่อ
ข้าพเจ้า นายสิทธินันท์ อุทโท เกิดที่บ้านคุ้มเก่า ตำบลคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป้นลูกของพ่อเมือง - แม่บัวพันธ์ อุทโท เป็นลูกคนที่ ๕ ของครอบครัว และรับราชการครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์
ก่อนที่จะเล่าเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ไปพบไปเห็นมาให้พี่น้องและญาติธรรมทั้งหลายได้ฟัง ข้าพเจ้าขอกล่าวขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ได้เอ่ยนามและไม่ได้เอ่ยนามที่เกี่ยวข้องในการบรรยายในครั้งนี้ ที่ได้เอาเรื่องราวของเบื้องสูงมาเล่าให้สาธุชนฟัง เพื่อเป็นประโยชน์จะได้นำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง และเมื่อข้าพเจ้าผู้เล่าและสาธุชนผู้ฟังที่ได้รู้แล้ว ก็ขออย่าได้เป็นกรรมและอย่าได้เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นในชีวิต และขอท่านทั้งหลายที่ได้เอ่ยนามมาแล้วนั้น ขอได้โปรดอโหสิกรรม ให้กับข้าพเจ้าและสาธุชนทั้งหลายด้วยเทอญ ... สาธุ
เหตุเกิดในสวนไผ่
๑.........
ในวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันของข้าพเจ้า วันนั้น วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ วันนั้น ข้าพเจ้าไปทำงานตามปกติ หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับจากสอนหนังสือที่โรงเรียน ข้าพเจ้าได้เข้าไปทำงานในสวนไผ่ของข้าพเจ้าเป็นประจำ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังขุดดินใส่ปุ๋ยต้นไผ่อยู่นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บและแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออกทุรนทุรายดิ้นอยู่ในพื้นดินตรงนั้นเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว ตัวดำกล่ำ คิดว่าตัวเองไม่รอดแน่ ๆ แต่ก็มีสติ กระเสือกกระสนเอาตัวเองออกมาจากสวนไผ่ และร้องขอให้ผู้คนที่อยู่แถวนั้นช่วย ญาติพี่น้องก็นำตัวขงข้าพเจ้าส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ทีสุด แต่หมอบอกให้ส่งต่อเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ในขณะนั้นญาติ ๆ บอกว่าข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวแล้ว เหมือนหลับไป ไม่ได้ยินเสียงของใครเรียกหรือทำอะไรทั้งสิ้น แต่พอหลับไปได้สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองเดินอยู่ในป่าใหญ่ แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว มันวังเวงน่ากลัวจนจับจิตและไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน จะถามใครก็ไม่มีสักคน ข้าพเจ้าก็เดินไปพร้อมรำพึงรำพันคนเดียวว่า ที่นี่คือที่ไหนหนอ
พบมรรคนายก
๒.........
แล้วขณะนั้นก็มีชายแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาหาข้าพเจ้า ดูท่านเป็นคนแก่ที่มีสุขภาพผิวดี ผิวพรรณผ่องใส ข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า ที่นี่คือที่ไหนหรือครับท่านคุณตา และ ท่านบอกให้ข้าพเจ้าเรียกท่านว่า อาจารย์บุญ หรือลุงบุญก็ได้ ข้าพเจ้าได้คุยกับลุงบุญว่า นี่เมืองอะไรหรือครับท่าน ท่านก็บอกว่า ที่นี่คือ "แดนมนุษย์มาไม่ถึงนอกจากวิญญาณคนที่ตายแล้วเท่านั้น" ข้าพเจ้าก็เลยถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นกระผมก็ได้ตายแล้วนะสิท่าน ท่านบอกว่า ยังไม่ตาย แต่เจ้ามาได้นั้นเป็นเพราะเจ้ามีทั้งบุญและบาปอยู่ในตัวเจ้าเอง แต่บาปมีมากกว่า เจ้าใช้ชีวิตแบบประมาทเกินไปก็เลยอยากให้เจ้าเห็นว่าคนใช้ชีวิตที่ไม่คิดหน้าคิดหลังนั้น สุดท้ายจะเป็นเช่นไร
๓.........
ขณะที่เดินไปนั้นท่านลุงบุญกับข้าพเจ้าก็ได้คุยกันไป ข้าพเจ้าถามท่านว่า จะพาผมไปไหนหรือ ลุงบุญบอกข้าพเจ้าว่าจะพาไปดูสิ่งที่ไม่เคยเห็น และจะพาไปหาพ่อแม่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ตอบลุงบุญว่า พ่อเมือง กับแม่บัวพันธ์ท่านตายไปตั้งนานแล้ว ๓๐ กว่าปีเห็นจะได้ แล้วจะไปหาท่านได้อย่างไร ......
๔.........
ขณะที่เดินไปนั้นท่านลุงบุญกับข้าพเจ้าก็ได้คุยกันไป ข้าพเจ้าถามท่านว่า จะพาผมไปไหนหรือ ลุงบุญบอกข้าพเจ้าว่าจะพาไปดูสิ่งที่ไม่เคยเห็น และจะพาไปหาพ่อกับแม่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตอบลุงบุญว่า พ่อเมืองกับแม่บัวพันธ์ท่านตายไปตั้งนานแล้ว 30 กว่าปีเห็นจะได้ แล้วจะไปหาท่านได้อย่างไร
๕........
ลุงบุญเลยถามข้าพเจ้าว่า.... หิวไหม ในขณะนั้นรู้สึกกระหายน้ำมากก็เลยตอบไปว่า.... หิวน้ำ ท่านก็เลยบอกข้าพเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะเพราะเรามีเวลาไม่มากแล้ว เราสองคนก็เดินคุยกันไป ในระหว่างที่เดินนั้น สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่หนาตามาก ถ้าไปคนเดียวมีหวังออกมาไม่ได้แน่
๖.........
แล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีผู้คนมากมายกำลังเดินบ้างนอนบ้างขวักไขว่ไปมา ข้าพเจ้าสังเกตเห็นที่หน้าบ้านก็มีป้ายชื่อติดไว้ทุกหลัง ข้าพเจ้ามองดูคนเหล่านั้นแล้วนึกในใจว่า เอ๋? คนเหล่านี้เขามาอยู่ที่นี่เพื่อทำอะไรกัน
พบคนที่เคยรู้จัก
๗.........
แล้วสายตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก แต่เขาตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเขามองเห็นข้าพเจ้า เขาก็เข้ามาถามข้าพเจ้าว่าตายหรือยัง ถึงได้มากับท่าน(หมายถึงลุงบุญ) และทางบ้านเมืองทางโน้นเป็นอย่างไร แล้วก็มีอีกหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักและเข้ามาหาข้าพเจ้าและถามสาระทุกข์สุกดิบกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ตอบคำถามของเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้ายังไม่ตายแต่ท่านลุงบุญพามาดูชีวิตหลังความตาย ว่าความเป็นอยู่แตกต่างกันอย่างไร และท่านจะพาไปหาคุณพ่อคุณแม่ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ไหน แล้วก็จะกลับบ้าน เพราะมีเวลาไม่มาก
๘........
และท่านลุงบุญก็ได้พาข้าพเจ้ามา ณ ศาลาหลังหนึ่งหลังใหญ่โตมากดูร่มรื่นและเย็นสบาย กลิ่นหอม มองดูภายในศาลานั้นจะมีโต๊ะจัดวางเป็นแถวอย่างมีระเบียบและมีป้ายชื่อติดอยู่ตามโต๊ะ ๆ หนึ่งข้าพเจ้ามองดูที่ป้ายชื่อว่าโต๊ะนายสิทินันท์ อุทโท
อาหารที่เคยทำบุญเอาไว้
๙.......
และลุงบุญพูดกับข้าพเจ้าว่า ลูกชายหิวไหม กินได้เลย ข้าวปลา อาหาร น้ำเหล่านี้เป็นของลูกชายทั้งนั้น เฉพาะในโต๊ะของลูกชายเท่านั้นนะ ส่วนโต๊ะอื่นนั้นอย่าไปแตะต้องของเขาเด็ดขาด เขายังไม่ได้อนุญาต ถ้าไปหยิบของเขาไฟจะไหม้มือทันที เพราะถือว่าเป็นการโขมยเจ้าของเขาไม่อนุญาต
๑๐........
ข้าพเจ้ามองดูอาหารเหล่านั้นรู้สึกมันคุ้นตาของข้าพเจ้ามากเลยเช่นต้มปลายังร้อนอยู่เลย ควันฉุยกลิ่นหอมน่ากินมาก นั่นผลไม้ที่เราเคยตักบาตรนี่หนา ข้าพเจ้ารำพึงออกมา และนั่นกองบุญที่เราเคยบวชถวายวัด สิ่งเหล่านั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วทำไมข้าวปลาอาหารเหล่านั้นยังร้อนอยู่ ทำไมมันจึงไม่เย็นชืดหรือหมดกลิ่นหรือไม่ก็เน่า ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยเป้นอย่างมาก
๑๑........
แต่พอมองออกไปอีกโต๊ะหนึ่ง อาหารบางชนิดกลับมีกลิ่นบูดเน่าแล้ว ข้าพเจ้าเดินดูแล้วให้เกิดความสงสัยเป็นยิ่งนัก จึงถามลุงบุญว่า ท่านลุงบุญ อาหารเหล่านี้เป็นของใครกันหรือ บางโต๊ะมีมาก บางโต๊ะมีน้อย อาหารบางอย่างมีกลิ่นบูด บางอย่างก็ยังร้อนอยู่เลย
๑๒.........
ท่านลุงบุญได้ตอบข้าพเจ้าว่า อาหารเหล่านี้คือของที่พวกเรามนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่ตายได้ทำบุญมา ถ้าเราทำบุญด้วยข้าวปลาอาหารที่ยังร้อนอยู่และหอม มันจะอยู่แบบนั้น และพอท่านทั้งหลายที่ทำบุญอยู่ในเมืองมนุษย์อธิษฐานจิตในส่วนกุศลเหล่านั้นมันก็จะมารอเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ จะมีคนดูแลรักษาไว้ให้จนเจ้าของจะหมดบุญจากเมืองมนุษย์ลงมาที่นี่
๑๓.........
แล้วลุงบุญก็พูดกับข้าพเจ้าอีกว่า ไหนลูกชายบอกว่าหิวน้ำมิใช่หรือ ดื่มซะสิ แล้วเราจะได้ไปหาพ่อแม่ของลูกชายกัน ข้าพเจ้าก็เลยหันกลับมาเพื่อดื่มน้ำ แต่พอคิดไว้ว่าจะดื่มน้ำเท่านั้นมันก็รู้สึกอิ่มแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยอยู่อีกว่าแล้วน้ำที่ข้าพเจ้าดื่มนั้นทำไมมันถึงได้ขุ่นขนาดนี้ ในเมื่อตอนที่ข้าพเจ้าเอาน้ำไปกรวดตอนที่พระให้พรนั้น ยังสะอาดและใสอยู่เลย แต่พอมาถึงวันนี้ทำไมถึงขุ้นไม่น่าดื่มเลย
น้ำดื่มขุ่น เพราะกรวดน้ำไม่ถูกวิธี
๑๔...........
ด้วยความสงสัย ข้าพเจ้าจึงได้เรียนถามท่านลุงบุญอีกว่า.... ลุงบุญ กระผมสงสัยว่าน้ำที่ผมเอามากรวดตอนที่พระให้พรนั้นใสกว่านี้ แต่พอมาถึงวันนี้ทำไมมันถึงขุ่นไม่น่าดื่มเลย ก็ไหนลุงว่าเราทานอะไรก็จะเป็นแบบนั้นไง ลุงบุญเลยตอบข้าพเจ้าอีกว่า เอ....เจ้านี่สงสัยเก่งเหมืนกันนะ เอา...ในเมื่อลูกชายสงสัย ลุงก็จะเล่าให้ฟังนะ ในการที่เราทำบุญแล้วถวายข้าวปลาอาหารกับพระแล้ว พระให้พรกับเราเสร็จแล้ว เราก็เอาน้ำไปกรวดเพื่ออุทิศให้กับญาติพี่น้องผู้ที่ตายไปแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าการกรวดน้ำนั้นมันมีผลมาถึงตัวเองด้วย
๑๕............
เพราะผลบุญที่เราทำด้วยความไม่รู้ เราจึงเทน้ำลงในดินและฝากพระแม่ธรณีให้เอาไปเก็บไว้ให้ แต่ถ้าเมื่อหยดน้ำลงดิน มันต้องขุ่น เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะกรวดน้ำลงดิน ควรหาใบไม้หรือใบตองมารองน้ำซะก่อน แล้วค่อยอธิษฐานจิตฝากพระแม่ธรณีบอกชื่อของเราด้วย หลังจากอธิษฐานจิตแล้วนั้นผลบุญกุศลเหล่านั้นก็จะมาถึงทันที และน้ำที่เรากรวดก็จะสะอาดไม่ขุ่นเหมือนที่เห็น แต่ถ้าเราถวายน้ำให้พระที่เป็นขวดเป็นชุดโดยตรงนั้น ก็เหมือนถวายอาหารทั่วไป คือสะอาดเช่นเดิม
ได้ข่าวพ่อแม่ที่ตายไปก่อนแล้ว
๑๖..........
หลังจากที่ได้ดื่มน้ำและคุยกันพอสมควรแล้ว ท่านลุงบุญและข้าพเจ้าก็ได้เดินออกจากศาลา ลุงบุญบอกกับข้าพเจ้าว่าจะพาไปหาคุณพ่อคุณแม่ของลูกชาย ข้าพเจ้าเลยถามลุงบุญว่าพ่อกับแม่ท่านอยู่ที่ไหนหรือ ลุงบุญตอบข้าพเจ้าว่าอยู่เบื้องบุญ ในขณะที่เดินมาตามทางนั้น ด้วยความหยากรู้ ข้าพเจ้าจึงได้ถามลุงบุญว่า ท่านลุงบุญครับ ผมขอถามลุงบุญอีกหน่อยสิว่านรก-สวรรค์น่ะมีจริงไหม ทำไมคนที่เมืองมนุษย์ชอบพูดกันจังเวลาไปวัดพระก็ชอบเทศน์ให้ฟังเรื่องนรก-สวรรค์ แม้กระทั่งตัวผมเองก็สอนเด็ก ก็ยังสอนให้เด็กทำดีจะได้ไปสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นครูสอนเด็กแต่ไม่รู้ว่าสวรรค์นั้นมีจริงหรือไม่ นางฟ้า เทพ เทวดา มีจริงหรือไม่ ลุงบุญช่วยตอบให้ผมหายข้องใจหน่อยเถอะ
๑๗..........
พอลุงบุญได้ยินข้าพเจ้าพูดเช่นนั้นก็หัวเราะและพูดกับข้าพเจ้าว่า แล้วลูกชายอยากไปไหนก่อนล่ะ จะไปดูเมืองนรกหรือว่าเมืองสวรรค์ก่อน ลุงจะพาไป ข้าพเจ้าก็เลยขอให้ลุงบุญนำไปหาพ่อกับแม่ก่อน ลุงบุญเลยบอกให้ข้าพเจ้ารีบเดินทางเดี๋ยวจะหมดเวลาก่อน
หมู่บ้านในโลกเร้นลับ
๑๘..........
แล้วเราก็พากันเดินตามทางที่จะไปหาพ่อกับแม่ ในระหว่างทางนั้นมีต้นไม้และสัตว์ป่าน้อยใหญ่วิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานและมีความสุข พอเดินมาได้ระยะหนึ่งข้าพเจ้าก็มองเห็นหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่งมีผู้คนมากมาย ลุงบุญพาข้าพเจ้าแวะเข้าไปในหมู่บ้านนั้น
๑๙...........
ข้าพเจ้ามองเห็นผู้คนล้วนแต่งกายสะอาดสะอ้าน และยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยกัน ให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่คนเหล่านั้นล้วนมีแต่คนที่ตายไปนานแล้ว เพราะบางคนข้าพเจ้ารู้จัก และมีท่านคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จักแต่ท่านตายไปนานแล้ว
พบอดีตผอ.คนตายแล้วมาอยู่ที่นี่
๒๐............
ท่านเป็น ผอ.ในโรงเรียนที่ข้าพเจ้าเคยทำงานด้วย พอท่านมองเห็นข้าพเจ้าท่านก็เดินตรงมาหาข้าพเจ้า และท่านก็ได้มาทำความเคารพท่านลุงบุญอย่างนอบน้อม และข้าพเจ้าก็ได้พูดคุยทักทายกับท่าน ผอ.ด้วย ท่านถามข้าพเจ้าว่า นี่ครูตายแล้วหรือถึงได้มาที่นี่ ข้าพเจ้าเลยตอบท่านว่า ยังไม่ตาย แต่ท่านลุงบุญพามาให้รู้จักและนำไปบอกสาธุชนปฏิบัติตัวให้ถูกและรู้ว่าควรจะทำความดีหรือทำความชั่ว ทาน ผอ.ก็เลยได้ฝากให้ข้าพเจ้ามาบอกบุญญาติพี่น้องของท่าน และมนุษย์ทุกคนว่า ขอให้เราทำบุญให้มากจะได้สบาย เมื่อละบุญจากโลกมนุษย์มา
๒๑............
ท่านว่าเมื่อตอนที่ท่านมาอยู่ใหม่ ๆ นั้น ท่านทุกข์ทรมานมาก เพราะก่อนที่จะมานั้นไม่ได้ทำบุญไว้เลย ทำก็นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเองเพราะคิดว่าตัวเองย งเป็นหนุ่มแน่นอยู่ไม่ตายง่าย ๆหรอก ก็เลยไม่ทำบุญ แต่พอไม่นานก็ตาย เลยต้องทรมานมาก จะคอยแต่ให้ญาติทำบุญมาให้ มันก็ไม่ได้เต็ม เพราะคนที่เขาทำเขาก็ต้องแบ่งเป็นของเขาด้วยถึงแม้เขาจะอ ทิศให้เรา เราก็ได้เพียงน้อยนดเท่านั้น จึงขอฝากให้ไปบอกเหล่ามนุษย์ทั้งหลายด้วยนะ อย่าลืมซะล่ะ
ทางเดินไปสู่สวรรค์
๒๒.............
หลังจากที่พูดคุยกันพอสมควร ข้าพเจ้าและลุงบุญก็ได้ลาท่าน ผอ.ออกมาและลุงบุญก็ได้พูดคุยกับข้าพเจ้าว่าจะพาไปสวรรค์ ข้าพเจ้าดีใจมากจะได้เห็นสวรรค์วันนี้แหละ.....จะได้ไปหาคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าดีใจจนบอกไม่ถูกเลย และคิดว่าเอ....สวรรค์มีจริงด้วยหรือนี่
๒๓.............
ลุงบุญได้พาข้าพเจ้าเดินมาตามทางที่เต็มไปด้วยความร่มรื่นและเย็นสบาย มีเสียงนกและเสียงดังกังวานเหมือนมีคนมาบรรเลงเพลงที่ไพเราะจับจิตจับใจให้เราฟัง ยิ่งเข้าไปใกล้สวรรค์เท่าใด ยิ่งได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้น และมีกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณ มันหอมชื่นใจจนบอกไม่ถูกว่าจะเปรียบกับอะไรได้ในโลกมนุษย์แห่งนี้ ข้าพเจ้ามองดูสองข้างทาง ดูมันสวยสดงดงามเสียจริง ๆ และมีชีวิตชีวาเหมือนกับเนรมิตขึ้นมา ข้าพเจ้าได้ถามลุงบุญว่า สิ่งเหล่านี้เนรมิตขึ้นมาหรือ ลุงบุญตอบว่าเปล่า มันเป็นดินแดนของทางขึ้นสู่สวรรค์นั้นเอง ลุงบุญบอกข้าพเจ้าว่าเราใกล้ถึงสวรรค์แล้วนะ ข้าพเจ้าถามลุงบุญว่าสวรรค์เป็นอย่างไร เป็นบ้านหรือเป็นจังหวัดเหมือนกับโลกมนุษย์ไหม
สวรรค์ 6 ชั้น พรหม 20 ชั้น
๒๔..............
ลุงบุญบอกข้าพเจ้าว่าสวรรค์มี 6 ชั้น ต่อจากชั้นที่ 6 ขึ้นไปเรียกว่าชั้นพรหม.... ชั้นพรหมมี 20 ชั้น
สวรรค์ชั้นที่ 1 ชื่อว่า จาตุมหาราชิกา
สวรรค์ชั้นที่ 2 ชื่อว่า ดาวดึงส์
สวรรค์ชั้นที่ 3 ชื่อว่า ยามา
สวรรค์ชั้นที่ 4 ชื่อว่า ดุสิต
สวรรค์ชั้นที่ 5 ชื่อว่า นิมมานรดี
สวรรค์ชั้นที่ 6 ชื่อว่า ปรนิมมิตสวัสตี
ประตูสวรรค์
๒๕ .......
ท่านลุงบุญได้อธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง พร้อมกับเดินมาจนถึงประตูของสวรรค์. ข้าพเจ้ามองดูแล้วนึกในใจว่า....โอ้โห ประตูสวรรค์หรือนี่ ทำไมถึงได้สวยเหลือเกินหาที่เปรียบไม่ได้ กำแพงก็สวย นี่ขนาดประตูกับกำแพงแล้วข้างในจะขนาดไหน ลุงบุญบอกกับข้าพเจ้าว่ากำแพงนี้ทำด้วยแก้วผลึก.....แล้วท่านลุงบุญก็ขออนุญาตนายประตูที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสวรรค์ แล้วประตูก็เปิดออกทันที พอประตูเปิด ลุงบุญก็พาข้าพเจ้าเข้าไป.....
๒๖..........
ก้าวแรกที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไป ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่า ตั้งแต่เกิดมาในโลกใบนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ไหนสวยและอากาศหอมขนาดนี้เลย ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบ ตรงที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไปก็อ่อนนุ่ม ข้าพเจ้ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย ข้าพเจ้าถามลุงบุญว่า สวรรค์ชั้นที่ 1 มีคนอยู่มากไหม
สวรรค์ 4 แคว้น
๒๗.......
ลุงบุญบอกว่า สวรรค์ชั้นที่ 1 นี้ แบ่งออกเป็น 4 แคว้น มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีแคว้นยักษ์ แคว้นคนธรรพ์ แคว้นนาคา แคว้นมนุษย์ แต่ละแคว้นมีเจ้าแคว้นปกครองอยู่
๒๘.........
ข้าพเจ้าถามลุงบุญว่า แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะได้มาอยู่สวรรค์ชั้นนี้ ลุงบุญบอกว่าต้องทำบุญให้มาก ๆ ...ให้ทาน.....ปฏิบัติธรรมด้วย และไม่ผิดศีล ลุงบุญพาข้าพเจ้าไปขออนุญาตกับท่านปกครองสวรรค์ชั้นที่ 1 ขอผ่านขึ้นไปชั้นที่ 2 แต่ละชั้นมีระยะทางห่างไกลกันมาก นับไม่ได้ว่าไกลเท่าไหร่....
พ่อแม่อยู่พรหมชั้น ๗
๒๙.........
เราก็พากันขึ้นถึงสวรรค์ชั้นที่ 2 ข้าพเจ้าถามลุงบุญว่าพ่อแม่อยู่ชั้นไหนทำไมไม่ถึงสักที ... ลุงบุญบอกว่าท่านพ่อเมืองแม่บัวพันธ์ ท่านอยู่พรหมชั้น ๗ ผมถามลุงบุญว่า แล้วเราจะไปถึงไหมล่ะ ลุงบุญตอบว่าถึงแน่ ๆ พอข้าพเจ้ากับลุงบุญเดินมาอีกสักระยะหนึ่ง ก็ถึงประตูสวรรค์ชั้นที่ ๒ พอเราขออนุญาตนายประตู ๆ ก็เปิดออก.....
สวรรค์ชั้น ๒
๓๐..........
สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็น มันช่างสวยงามจนไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้ ข้าพเจ้าว่าสวรรค์ชั้น ๑ สวยงามไม่มีที่ติแล้วนะ แต่พอได้เห็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ .นี้ ข้าพเจ้ามองจนตะลึง เดินไม่ออกเลย จะว่าทางเดินมันเป็นพรม จะว่าพรมมันก็เป็นทางเดินเท้า แต่ทุกสัมผัสมันอ่อนนุ่มเหลือเกิน อีกทั้งกลิ่นหอมที่โชยมาแต่ไกล มันหอมเหมือนดอกไม้นานาพันธ์ หอมเย็นชื่นใจจนบอกไม่ถูก มันทำให้ข้าพเจ้าสดชื่นมีความสุขจนไม่อยากกลับบ้าน
นางฟ้าเมืองสวรรค์
๓๑..........
ในขณะที่ลุงบุญได้พาข้าพเจ้าเดินไปนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นผู้คนทั้งชายหญิง ชายแต่งกายด้วยสีขาวบ้าง เหลืองบ้าง และสีชมพูอ่อน ๆ เย็นตา เวลาผู้คนเหล่านั้นเยื้องย่างกายไปไหน ผ้าแพรก็จะสบัดพริ้วไปตามลม มองดูอ่อนนุ่ม น่าสัมผัส ใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นยิ้มแย้มแจ่มใส สวยงามมาก ผิวพรรณไร้ไฝฝ้าราคีใด ๆ ทั้งสิ้น
พระอินทร์
๓๒.......
ข้าพเจ้าเลยถามลุงบุญว่า คนเหล่านั้นทำไมดูมีความสุขจังเลย และดูสวยงามมาก เขามาทำอะไรกันที่นี่ เขาเป็นใคร ลุงบุญว่า เขาเหล่านี้คือนางฟ้า - เทวดาหรือเทพบุตร - เทพธิดา - พรหม นั้นเอง เขามีบุญมากก็ได้มาเกิดที่นี่ สวรรค์ชั้นนี้เรียกว่าชั้นดาวดึงส์ มีท่านท้าวเวศสุวรรณหรือท่านท้าวสักกะ และในอีกหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนรู้จัก และชอบเรียกว่าพระอินทร์ นั้นแหละคือคน ๆ เดียวกันนั้นเอง เป็นผู้ปกครองของที่นี่ ไป..ลุงจะพาลูกชายไปกราบท่าน ลุงบุญพูดกับข้าพเจ้าแล้ว เราก็มาถึงอาศรมของท่าน
๓๓.......
โอ้ ช่างสวยงามเหลือเกิน สวยงามมากไม่มีที่ติเลย วิจิตรพิสดารมาก ข้าพเจ้าและลุงบุญเข้าไปกราบท่านเพื่อขออนุญาตผ่านขึ้นไปเบื้องบนอีก..... ท่านองค์อินทร์ได้ถามข้าพเจ้า เป็นอย่างไร... บ้านของเราน่าอยู่ไหม และเรามีตัวเขียวเหมือนที่มนุษย์ทุกคนพูดไหม พูดจบท่านก็หัวเราะ.... ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของมนุษย์อย่างข้าพเจ้า ก็เลยตอบท่านไปว่า บ้านของท่านน่าอยู่มาก ทั้งสวยงามและมีความสุข ท่านองค์อินทร์เลยพูดกับข้าพเจ้าว่า เมื่อเจ้ารู้และเห็นว่าบ้านของเราน่าอยู่และมีความสุข เราขอฝากไปบอกมนุษย์(หน้าโง่) ทุกคน รวมทั้งตัวของเจ้าด้วยว่า ให้พากันเร่งทำบุญ.....ละบาป ให้ทานและหมั่นเจริญภาวนาให้มาก เพราะคนที่มาอยู่ที่นี่ได้ คือคนรวยบุญเท่านั้น ไม่ใช่รวยสิ่งของภายนอกกายเหมือนพวกมนุษย์เข้าใจกัน ...
๓๔........
และอีกอย่างที่ข้าพเจ้าสงสัยว่ามีจริงไหม ก็คือ ทิพย์อาสน์ของท่าน ข้าพเจ้าก็เลยขอดู ท่านก็เลยให้ดู ให้จับแตะต้องสัมผัสดู มันอ่อนนุ่ม ไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนที่เราพูดกันเลย ข้าพเจ้าก็เลยถามท่านว่าไหนว่าทิพย์อาสน์แข็ง วันนี้ทำไมอ่อนนุ่มจัง ท่านตอบว่า เพราะวันนี้มนุษย์ไม่ได้บนบานหรือร้องขออะไรให้เราเดือดร้อน ทิพย์อาสน์เลยอ่อนนุ่ม แต่ถ้าวันไหนมีมนุษย์มาร้องขอหรือบนบานเรียกชื่อของเรา ทิพย์อาสน์ก็จะแข็งทันที
๓๕........
ข้าพเจ้าขอถามท่านอีกว่า เวลาที่มนุษย์มาบนบานขอให้ท่านช่วยอะไร ท่านก็จะประทานให้เลยหรือ ท่านตอบข้าพเจ้าว่า เปล่าเลย เราจะต้องเอาปัญหานั้นมาพิจารณาดูก่อนว่า มนุษย์ผู้นั้นบุญบารมีของเขาถึงจุดที่เขาควรได้รับความช่วยเหลือบ้างหรือยัง ถ้าบุญเก่าเขามาถึงแล้ว เราก็จะประทานพรนั้นให้ แต่บุญมาไม่ถึงก็ไม่ได้ แล้วท่านก็บอกให้ท่านลุงบุญพาข้าพเจ้าเดินไปดูสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่าจะสวยงามขนาดไหนและมีอะไรบ้าง
เจดีย์จุฬามณี
๓๖...........
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์จะมีเจดีย์อยู่องค์หนึ่งสวยงามมากเรียกว่าเจดีย์จุฬามณี มีความสูงไม่รู้กี่โยชน์ ลุงบุญบอกข้าพเจ้าว่าเจดีย์นี้สร้างด้วยแก้ว 7 ประการ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและในทุก ๆ วันพระ เหล่าเทพ เทวดา ก็จะพากันมาเพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งมาคารวะท่านท้าวเวศสุวรรณด้วย
ศาลาสุธรรมา
๓๗.....
และไม่ห่างจากเจดีย์ไปเท่าไหร่นัก ก็จะมีศาลาเพื่อเป็นที่ประชุมของเหล่าเทพทั้งหลาย คือศาลาสุธรรมา ข้าพเจ้าได้ถามลุงบุญว่าทำไมศาลานี้ถึงได้ชื่อว่าศาลาสุธรรมาล่ะ ท่านตอบว่าเพราะเป็นชื่อของเจ้าของที่สร้างศาลานี้ คือนางสุธรรมา ข้าพเจ้าถามว่านางสุธรรมาเป็นใครหรือ ถึงได้มีบุญบารมีมากขนาดนั้นนะ
มเหสีทั้ง 4 ของพระอินทร์
๓๘.........
ลุงบุญได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พระอินทร์มีมเหสี 4 คน รวมทั้งนางสุธรรมาด้วย เมื่อตอนเป็นมนุษย์ท่านองค์อินทร์ได้ทำบุญและช่วยเหลือสังคม และ เพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก .รวมทั้งขุดบ่อน้ำ ก่อศาลา มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้สร้างศาลาที่พักริมทางเอาไว้เพื่อให้ผู้คนผ่านไปมาได้พักหลบแดดฝน ท่านได้ร่วมกับชาวบ้านที่ท่านอาศัยนั้น คนนั้นก็บริจาคอันนี้ และหลาย ๆ คนก็ได้ช่วยกันบริจาควัสดุที่ทำศาลาจวนจะครบหมดแล้ว พอนางสุธรรมาได้รู้ว่าสามีทำศาลาก็อยากร่วมด้วย จึงบริจาคทรัพย์ของตนช่วยจนสร้างเสร็จ แต่ยังขาดอยู่คือป้ายชื่อ แต่ก็ไม่มีใครนึกเห็น....มีนางคนเดียวที่นึกได้ นางจึงได้สลักชื่อของนางลงในแผ่นไม้แล้วนำไปแขวนไว้ ด้วยแรงแห่งบุญและการอธิษฐานจิตของนาง ศาลานี้เลยมีชื่อของนางสุธรรมา
๓๙..........
แต่ก็ใช่ว่ามเหสีคนอื่นของท่านจะไม่สร้างร่วมนะ สวนทั้ง 4 ด้านที่เจ้าเห็นนี้ด้วย เป็นของมเหสีคนอื่นของท่านองค์อินทร์เหมือนกัน พอท่านลุงอินทร์พูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็มองไปรอบ ๆ สวน มีดอกไม้นานาชนิดหลากหลาย หอมตลบอบอวน สวยงามมาก ดอกไม้ที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น บางชนิดก็มีบนพื้นโลก บางต้นก็สูงใหญ่ บางต้นก็เล็ก ข้าพเจ้าลืมบอกไปว่า ดอกไม้สวรรค์นี้จะออกดอก 1 ปี ต่อ 1 ครั้ง เวลาเราเดินผ่านหรือเราอยากเชยชมดอกเหล่านั้นก็จะลอยลงมาอยู่ที่ฝ่ามือของเรา ถ้าเราไม่อยากชมเชยก็จะลอยขึ้นไปอยู่ที่เดิม จะไม่ร่วงลงพื้นดิน
พระอินทร์ตัวไม่เขียว
๔๐.......
เมื่อเดินดูและเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ข้าพเจ้าและลุงบุญก็ได้กราบลาท่านองค์อินทร์เพื่อจะขึ้นไปหาพ่อกับแม่ของข้าพเจ้า ก่อนจะออกมา ท่านองค์อินทร์ยังย้ำกับข้าพเจ้าว่าอย่าลืมที่เราฝากไปบอกสาธุชนนะ และอีกอย่าง เจ้าอย่าลืมบอกเขาล่ะว่าเราตัวเขียวหรือเปล่า แล้วท่านก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี และใจดีมีเมตตา ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า พระอินทร์ไม่เขียวเหมือนที่เราคิดและพูดกัน ท่านหล่อมาก สูงสง่าเหลืองผ่องใสเหมือนคนที่ศีลจับ
พรหมชั้น ๗
๔๑.......
ข้าพเจ้ากับลุงบุญก็ออกมาและขออนุญาตผ่านชั้นต่าง ๆ จนถึงพรหมชั้น 7 ซึ่งเป็นที่อยู่ของคุณพ่อและคุณแม่ และข้าพเจ้ากับลุงบุญก็ขออนุญาตนายประตูเข้าไปยังอาศรมของท่าน ข้าพเจ้าเห็นอาศรมของพ่อและแม่ ข้าพเจ้าก้มลงกราบมองดูภายในอาศรมสวยงามมาก ท่านทั้งสองอยู่อย่างสบาย และมีความสุขมาก เมื่อข้าพเจ้าเจอคุณพ่อและคุณแม่ ข้าพเจ้าร้องไห้ และวิ่งไปกอดแม่ด้วยความคิดถึงเป็นที่สุด เพราะแม่เสียชีวิตมานานประมาณ 30 กว่าปีแล้ว คุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าได้ถามข้าพเจ้าว่า ลูกมาที่นี่ได้อย่างไร ญาติพี่น้องเป็นอย่างไรบ้าง
คำสอนของพ่อ
๔๒........
ข้าพเจ้าได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่พร้อมทั้งน้ำตาอยู่ระยะหนึ่ง แล้วพ่อเมืองก็ได้บอกข้าพเจ้าว่า จำเอาไว้นะลูก เมื่อเจ้ากลับถึงบ้านแล้ว เจ้าต้องบอกญาติพี่น้องทุกคนให้ทำแต่ความดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ละจากสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ หันมาปฏิบัติธรรมถือศีลให้ทาน ช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาส ตกทุกข์ได้ยาก เหมอนกับที่พ่อเคยทำมาตลอด ถ้าพ่อรู้ก่อนหน้าว่าการที่คนเราพอละบุญจากโลกมนุษย์แล้วมาอยู่ที่นี่ นั้น ต้องรวยบุญเท่านั้นถึงจะอยู่สบาย พ่อเสียดายที่ทำบุญน้อย ถ้ารู้อย่างนี้ จะทำบุญให้มาก จะถือศีลไม่ให้ขาด
๔๓........
พ่อกับแม่ได้สอนข้าพเจ้าหลายอย่าง และข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่อีกอย่างในใจเลยถามแม่ว่า แม่ครับ ทำไมที่บ้านของพ่อกับแม่ถึงได้มีผู้คนมาหามากมายขนาดนี้ และแม่เอาผลไม้อะไรมาต้อนรับพวกเขา ทำไมมันมีกลิ่นหอม และมีสีสวยสดน่ากินจัง แต่ทำไมแม่ไม่เอามาให้ผมมั่ง
คนหมดบุญในสวรรค์ต้องจุติ
๔๔........
พอแม่ได้ฟังก็ตอบข้าพเจ้าว่า คนเหล่านี้พวกเขาถึงวาระการเกิดแล้ว พวกเขาหมดบุญในเมืองสวรรค์ หรือไม่ บางคนก็ยังมีกรรมในเมืองมนุษย์อีกมาก พอถึงวาระที่พวกเขาจะลาไปเกิดในเมืองมนุษย์ เขาเหล่านั้นก็มาลา และขอบคุณพ่อที่เคยช่วยเหลือเขามาตลอด และผลไม้นั้นเป็นผลไม้ที่กินแล้วทำให้ลืมสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและมิอาจจำได้ว่าตนมาจากไหน แล้วแม่ก็บอกกับข้าพเจ้าว่า ถ้าลูกอยากกินก็กินสิ จะได้ลืมทุกอย่างเลยเมื่อไปถึงบ้าน พอข้าพเจ้าได้ยินแม่พูดอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่กล้ากินผลไม้นั้นเลย เพราะกลัวจะลืมเรื่องราวต่าง ๆ
๔๕........
เมื่อพูดคุยกันพอสมควรแก่เวลา .
.
...
.