Mystery World Report 22
ศึกษาโลกลี้ลับ ภาคภาษาไทย ตอนที่ 22
นี่คือการบันทึกข้อมูล เพื่อการวิจัยศาสตร์ลี้ลับ
ปรารภภารกิจที่คั่งค้าง
เรื่องราวที่ค้างอยู่ของผมที่ผมคิด ว่าจะต้องทำให้เสร็จ ก็เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ และเป็นประตูเส้นทางที่ต้องผ่านเข้าไปให้ได้ ทางนี้ทางเดียว ทางอื่นยังมองไม่เห็น ก็คือการที่ผมจะต้องไปเยี่ยมเยียนแดนนรก และเยี่ยมเยียนยมราชเจ้านรกให้ได้ นั่นเอง การที่ผมเสนอสมมติฐานนี้ขึ้นมา ก็เพราะผมมองเห็นทางที่จะทำได้จริง ๆ มีหลักการและเหตุผล พร้อมเทคนิกชั้นสูงที่จำเป็น หมายความว่า ผมมีความคิด แผนงาน และเทคนิกสำคัญ ไว้ในใจแล้ว และที่ผมยังคงมั่นใจในแผนการอยู่ก็คือ การที่ได้พบว่า มีบริวารของยมราชเจ้า 2 ตน คุมวิญญาณคน ๆ หนึ่ง(นายจี้ฮง) มาที่หน้าประตูกุฎิที่พำนักของผม ตามที่ผมได้บันทึกข้อมูลไว้ เรื่องหญิงหม้ายขอให้ดูว่าสามี(นายจี้ฮง) เขาตายแล้วไปไหน ผมเห็นรูปร่าง ลักษณะของยมบาล 2 ตน ที่คุมนายจี้ฮงมา และเห็นว่าเขามีสิ่งพิเศษก็คือ ดวงตาที่ลุกเป็นเพลิง ทั้ง 2 คู่นั้น ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า ดวงตาเพลิง แดงก่ำเจิดจ้าของพวกเขานั่นแหละ ที่จะเป็นสื่อติดต่อกับพวกเขาได้ ด้วยกสิณไฟ หรือเตโชกสิณ ที่ผมมีความชำนาญมาแต่เป็นเด็กอ่อนแล้ว ตรงนี้แหละที่ทำให้งานของผมจะง่ายเข้า เพราะผมจะเรียกยมบาลตาไฟพวกนี้มา ด้วยเทกนิคของกสิณไฟ มาหาผมเพื่อถามเรื่องราวของนรก แล้วให้พวกเขาพาเดินทางเข้าแดนนรก .......
ขณะนี้ก็จวนเข้าพรรษาแล้ว ปี 2553 นี้ ตรงกับวันที่ 27 กรกฎาคม 2553 วันเข้าพรรษา จะเป็นพรรษาที่ 28 ของผม (บวชมา 28 ปี) และดูว่าผมจะทำสำเร็จหรือไม่ ???? เพราะฤดูกาลเข้าพรรษาเป็นโอกาสของผมเสมอ เพราะเปิดโอกาสให้ผมได้ปฏิบัติธรรมแบบเข้ม ๆ ได้ตลอดเวลา 3 เดือน
และการผ่านประสบการณ์มาทำให้ได้วิชา ความรู้ใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ และสิ่งที่ผมได้มาใหม่วันนี้ ก็คือ ผมได้ขั้นตอน พบโดยบังเอิญ ....... การจะไปเยี่ยมยมโลก หรือยมราชเจ้า จะต้องผ่านขั้นตอนนี้ ...... คือพบพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน ..... และตรงนี้ ผมทำได้แล้ว สบายมาก.... จักเพิ่มความชำนาญไปอีก.....
ปีนี้ ถูกแล้ว เข้าพรรษาปีนี้........... คงไปถึงแดนยมโลก.......????
ผมจะทำได้หรือไม่ ????? ( จะ ต้องได้อยู่แล้ว !!!!)
รายงานจากหมู่บ้านผีปอบ
8 ก.ค. 2553
ยังคงมีรายงานจากหมู่บ้านผีปอบ นายกุณฑลกับนางพิมพา รายงานว่า ตั้งแต่วันที่พระอาจารย์กลับมาแล้ว พวกมันทำพิธีกรรมกันทุกคืน นายประเทือง ผีปอบ มันเร่งกรรมฐานมันอย่างหนัก ด้วยการบริกรรมคาถา ตีฝาผนังบ้าน กระทืบแผ่นดิน จนบัดนี้มาใช้หัวเข่าโขกพื้น ซึ่งวิเคราะห์ว่า มันพยายามปลุกวิชาของมัน แต่ปลุกไม่ขึ้น แต่มันก็พยายามต่อไป ล่าสุดแม่มันช่วย ด้วยการทำอาถรรพณ์ เดินออกมาเปิดผ้าหันก้นเข้าใส่ระฆังทองใบนั้น พลางด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย วิเคราะห์ว่า มันแพ้ระฆัง พยายามจะกำจัดอานุภาพของระฆัง แต่มันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ระฆังใบนี้แขวนถูกทางลมด๊ ยามดึก มันจะตีดังกังวาล เป็นระยะ ๆ ที่จริงคนทั้งหลายจะฟังไพเราะ แต่กลับขัดหูพวกผีปอบ
ล่าสุดคืนวันที่ 6 ก.ค. 2553 นายกุณฑลมาเล่าด้วยตนเอง ว่าเห็นนายประเทืองมันเชือดไก่เป็น ๆ รองเลือดกินสด ๆ แล้วนั่งกัดกินไก่ดิบ ๆ ไปตลอดคืนนั้น นายกุณฑลวิเคราะห์ว่า มันดูเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว อีกหน่อยคงได้ไปร.พ.บ้าศรีมหาโพธิ์
รายงานตามลำดับมานี้แสดงถึงจิตใจที่ ทรหดทนทายาทของผีปอบ ดูเหมือนว่า เมื่อมันยังไม่ตาย มันก็ยังไม่ละเลิกความคิดการกระทำที่จะทำร้ายคนอื่น ในความพยาบาทอาฆาตของมัน แต่พฤติกรรมล่าสุด ที่เชือดคอไก่ รองเลือดดื่ม และนั่งกินเนื้อไก่ดิบ ๆ ไปจนหมดตัว นั้น เป็นสิ่งที่น่าคิดระมัดระวัง ว่าใกล้จะวิกลจริตและทำร้ายผู้คนอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งในกรณีเช่นนั้น ต้องเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายบ้านเมืองไปเลย
ทางฝ่ายพระอาจารย์ ได้มอบเครื่องรางของขลังไว้ประจำตัวคนทั้งครอบครัวไปอีกชุดหนึ่ง ประจุด้วยพระคาถาเดียวกับที่ประจุไว้ในระฆังทองใบนั้น ยังคงต้องคอยติดตามรายงาน ผีปอบ ต่อไป อย่างไรก็ตาม จากการคำนวณดวงชะตาผีปอบแล้ว พบว่าหายนะกำลังมาสู่มัน และเดือนตุลาคม เป็นวันชดใช้กรรมอันหนัก ไม่พิการก็อาจถึงสิ้นชาติ
วิเคราะห์ แท้จริง ความลับของระฆังก็คือ พระอาจารย์ใช้เป็นเพียงของหลอกถ่ายพลังมันออกมาเท่า นั้นเอง เหมือนนักสู้วัวกระทิง ใช้ผ้าแดงหลอกวัว วัวก็หลงขวิดผ้าแดงไปจนอ่อนกำลังและพ่ายแพ้ไปเอง พฤติกรรมของมันเข้าแผนของพระอาจารย์ทุกอย่าง
พิธีกรรมอีกครั้งหนึ่ง
14 พ.ค. 2553
ยามเย็นมีรายงานว่า นางครองจิต บุญพรม แม่หลาน เกศรินทร์ กลับมาจากนาเมื่อเช้าวันนี้ แค้นให้นายประเทืองผีปอบจนลืมตัว ถือมีดโต้เดินเข้าไปในบ้านมัน พอไปชนผ้ากั้นประตูแล้วเกิดเจ็บที่ขา ตั้งแต่ที่ส้นเท้าขึ้นมา จนทรงตัวแทบไม่ไหว ค่อย ๆ กระย่องกระแย่งกลับ ต้องช่วยกันประคบประงมทั้งวันก็ยังไม่ดีขึ้น โทร.มารายงานหลวงพ่อช่วยดูให้หน่อยว่าหมอผีมันทำของหรืออย่างไร ..... ทีแรกคิดว่าจะไม่ทำพิธีกรรมแบบเดิมอีกแล้ว แต่เห็นจะต้องทำอีกครั้ง ...เพราะคิดว่ามันอาจจะใช้เวทมนต์ทำขาคนเจ็บก็ได้ ตามที่มันถนัด . เวลา 21.30 น. ทำพิธีกรรมไปถึง 22.50 น. ทำเหมือนเดิม ทรมาน กะว่ามันทรหดมากอย่างไร ก็เอาให้อยู่...
ผีปอบล้มแล้ว
15 ก.ค.2553
16.25 น. รายงานจากบ้านตะดอบว่า เมื่อชั่วครู่นี้เอง นายประเทือง ผีปอบ ล้มแล้ว ถูกเพื่อนบ้าน3-4 คน หามออกจากบ้านขึ้นรถไป โรงพยาบาล ว่ามันตัวสั่น หมดแรง ล้มลงกลางพื้น คนมาดูเต็มไปหมด แล้วช่วยกันหามขึ้นรถส่งโรงพยาบาล รายละเอียดมีว่า มันอุ้มเด็กไม่ได้เหมือนเดิม อุ้มแล้วร้อน ต้องวางลงไป ถ้ามันอุ้มเด็กได้ เป็นการเพิ่มพลังของมัน ถามว่าอาการมันเป็นอย่างไร บอกว่ามันตัวสั่นสะท้านไปหมด ยืนไม่อยู่ ล้มลงไปหน้าฟาดพื้น สั่นไปทั้งตัว ยืนไม่ได้ จนเพื่อนบ้านพากันมาดูเต็มไปหมด นึกว่ามันตายแล้ว แล้วช่วยกันหามขึ้นรถ นำส่งโรงพยาบาลเมื่อชั่วครู่ ก็รายงานให้หลวงพ่อทราบ ถามว่า ครองจิต เป็นอย่างไร บอกว่าหายแล้ว หายเดินได้เลย เป็นปกติแล้ว ว่าหลวงพ่อทำให้มันนิ่งไปเลย อย่าให้มันลุกขึ้นได้
20.30 น. รายงานมาว่า นายประเทืองผีปอบกลับมาแล้ว มันสลบ พอไปถึงโรงพยาบาลมันฟื้นขึ้นพอดี ก็เลยไม่เข้า กลับมาทันที พอมาถึงก็ทำพิธีกรรมใหญ่ มันโกรธ ทั้งกระทืบดิน ตีบ้านต้าม ๆ นางพิมพาบอกว่ากลัวหลานจะเป็นอะไร มันเริ่มจามแล้ว บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก
23.05 น. โทร.ไปสอบถามสถานการณ์ ว่ามันยังทำพิธีต่อไป แล้วออกมาเดินมองเข้ามาในบ้านนายกุณฑล เดินไปเดินมา แล้วกลับไปนั่งทำพิธีต่อ..... เห็นมีมันเพียงคนเดียว...ไม่เห็นแม่มัน เพื่อนมัน.....ดูเหมือนมันถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว...... มันต้องอายอดสูใจแทบแทรกแผ่นดินหนี ที่ถึงกับล้มสลบ ต่อหน้าชาวบ้าน เสียชื่อหมอผีอาคมขลังไปหมด และโดนหามส่งโรงพยาบาล พอฟื้นก็รีบแสดงความเข้มแข็ง ให้รถพากลับทันที และความโกรธของมันนั่นเองจะฆ่ามัน ทีละเล็กละน้อย และคืนนี้คงลดทอนกำลังมันลงไปทั้งหมด
ได้เคยเตือนนายกุณฑลไว้แล้วว่าให้ใจเย็น ๆ ไม่ต้องไปทำอะไรมัน เดี๋ยวมันตายเอง พวกเขาก็เชื่อฟัง.... จึงพากันนอนเงียบเชียบ แต่คอยสังเกตการณ์อยู่ ว่าพรุ่งนี้จะออกมาหาหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้ฟัง... เราสบายใจหมดห่วงขึ้นเยอะ....อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ได้เรียนคาถาไปใช้ ป้องกันตนเอง จนกล้าหาญกล้าสู้ขึ้นมาแล้ว.
อย่างไรก็ตาม จะต้องเข้าฌานเจตภูติสักหน่อย .......
บันทึกข้อมูลเร้นลับ
มีข้อมูลที่ค้างบันทึกมาก่อนนี้มากมาย ล้วนน่าสนใจและตรงประเด็น ได้บันทึกย่อไว้ในไดอารีโหร ดังนี้
4 ก.ค.2553 พบคนทรงอายุ36ปีบ้านตูมชื่อคีตกวี จบปริญญาตรีทางเภสัช มาทำพิธีอุทิศ แล้วเล่าเรื่องราวว่าไปเที่ยวปราสาทกัมพูชามาแล้วมีวิญญาณจ้าวราชวงศ์เขมร ตามมาอยู่ด้วย เวลาไปไหนมาไหนจะอยู่บนหัวตลอดเวลา ลอยอยู่เหนือหัวประมาณ 2 เมตร ได้บันดาลโชคขนาดใหญ่ให้ถูกรางวัลที่ 1 ลือกันกระฉ่อนทั่วศรีสะเกษ ลงข่าวหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ด้วย แต่มีปัญหาเรื่องพิธีกรรม เพราะวิถีทางนี้มักต้องยุ่งกับพิธีกรรมจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแบบคนที่ เจริญยุคใหม่ ทำให้แม่ไม่ชอบ ให้ลูกออกไปเสียจากวิถีทางแบบไสยศาสตร์คนทรงเช่นนี้ มาปรึกษา พระอาจารย์พยับ จะให้ชำระให้ ได้ถวายของ 25 กระปุก ๆละ 1,250 บาท มูลค่า 30,750 บาท ฟังเรื่องราวแล้วคิดว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่แปลกน่าศึกษา และทั้งเป็นกรณีข้ามชาติ น่าเก็บไว้ศึกษา ได้เสนอเขาว่าให้รักษาไว้อย่างนี้ก่อน เอาไว้ดูก็มีประโยชน์ เขาจะมาปรึกษาต่อทีหลัง
6 ก.ค. 2553 ไปประชุมพระสัีงฆาธิการ ที่ศูนย์การคณะสงฆ์ฯ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ตั้งใจจะทำสมาธิ-ฌานติดต่อสำรวจยักษ์เจ้าที่ที่นั้น(ตามที่เคยรู้จักรายงาน ไว้ตอนต้น ๆ แล้ว) ได้เข้าสมาธิไปตลอดขณะมีการบรรยาย และเสียงทิพย์บรรเลงขึ้น อย่างไพเราะเพราะพริ้งเหมือนดนตรีสวรรค์ เหมือนเสียงที่ผุดมาจากสากลจักรวาล แม้เสียงค่อย แต่สงัดชัดเจนและไพเราะมาก ประเมินค่าแล้วน่าจะอยู่ระหว่าง D;5,000:L05U. เท่านั้นเอง แต่เสียงชัดเจนแจ่มใสมากเหมือนผุดมาในระหว่างอวกาศที่ว่างเปล่าเงียบสงัดทำ ให้เสียงชัดเจนมาก(นี่น่าเป็นการแปรไปอีกรูปแบบหนึ่งของฌานเสียงทิพย์ ที่ไม่จำเป็นต้องมีเสียงดังมาก....ที่ไม่จำเป็นต้องถึงระดับ D;10,000:L10-100U....หรือระดับดนตรีของเทพเจ้า ตามสมมุติฐานเดิม ก็ได้ผล) แล้วระหว่างนั้น มหายักษ์ก็ปรากฎขึ้น ผิวดำแดงดูแดงขึ้น รูปเหมือนที่เห็นมาก่อนแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นมหายักษ์ และทำกริยาเหมือนเดิม คือพนมมือหันหน้ามา และนิ่งอยู่ เพียงแต่ขยายขนาดสูงท่วมป่า ดีใจมากทำสำเร็จ
7 ก.ค. 2553 หญิงเกิดอุบัติเหตุล้มหัวฟาดพื้นแตกเย็บ 5 เข็ม กระทบแผลเก่า หมอพัทยาว่าจะเอาเข้า กทม.ใน 10 ก.ค.2553
11 ก.ค. 2553 เกศรินทร์ ลูกสาวยก บ้านผีปอบชัก เข้ารพ.2คืนออก13ก.ค.2553
12 ก.ค. 2553 เวลา 18.00 น. โยมมารับไปตรวจที่ ณ บ้านหลังใหม่ใหญ่โต เข้าฌาน อยู่ประมาณ 1 ชม. เจ้าที่จากบ้านตะดอบ(พื้นที่บ้านผีปอบนั้น) คนแก่ผมขาว สักไม้เท้าเดิน มาก่อนจากทิศตะวันออก นั่งด้านซ้ายมือ แล้วเจ้าที่ตลาดอุทุมพรพิสัย(สำรวจพบเมื่อเดือนมิ.ย.2553) ผิวแดง สวมชฎาสูง ถือหอก อ้วน ท่าทางกักขละแต่ใจดี มาเป็นองค์ที่ 2 นั่งด้านขวามือ ถัดไปนานทีเดียว ผุดขึ้นมาต่อหน้าใต้ดิน บริเวณรกร้างข้างหน้า สีดำคล้ำ เห็นหนวดเหมือนปลาหมึก คล้ายพิคเณศร ผุดขึ้นมาต่อหน้า รวมเป็นเจ้าที่ 3 ที่มาชุมนุมกัน เล่าให้เจ้าบ้านฟัง เจ้าที่ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่พบที่ห้วยคุ้มเป็นรายแรก เหมือนกันตรงที่ไม่พูดไม่จา ไม่แสดงความเคารพนอบไหว้ มายืน มานั่งสงบ ๆอยู่ มาพอสมควรแล้วก็หายไป ไม่ออกปากบอกกล่าว ... คงเป็นวินัยของพวกเขา...หรืออย่างไร..ยังต้องศึกษาต่อไป)
พิธีกรรมสุดฤทธิ์เพื่อความรอด
16 ก.ค. 2553
10.10 น. นายกุณฑลมารายงานให้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ โดยละเอียด ว่าบ่ายสามโมงเศษ ๆ วันที่มันจะล้มนั้น สังเกตว่ามันเดี้ยง เดินกะเผลก ๆ กลับมาบ้านมัน คล้ายเจ็บตะโพก และเท้า จากนั้นไปทำงานออกแบบตีมีดท้ายหมู่บ้าน จนกระทั่งได้ข่าวมันล้ม เมื่อเวลา 16.10 น. สภาพมันเหมือนตายไปแล้ว ตามันโปนออกมานอกเบ้า เลือดปากไหลออกมา มันล้มลงกระแทกพื้นปากแตก คนมาหามมันขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล พอไปถึงหมอยังไม่ทันทำอะไรมันฟื้นขึ้น แล้วได้สติ ก็ให้รถพากลับทันที ไม่ยอมให้หมอตรวจ พอมาถึงบ้าน กระทืบดินตูม ๆ แล้วกระทืบเสาประตูเข้าบ้านอย่างแรง เข้าไปในบ้านก็เริ่มทำพิธีกรรมทันที มันทำพิธีกรรมไปแทบทั้งคืน
ล้มอีกครั้งตาโปนลิ้นแลบกระอักเลือดเจียนตาย
17 ก.ค. 2553
08.40 น. นางพิมพารายงานมาว่า นายประเทือง ผีปอบ ทำพิธีกรรมไปถึง 22.00 น. พอกลับจาก รพ. เมื่อคืนที่แล้ว ก็จามออกมา และอ๊วก เลือดออกจากปากแดงไปหมด แล้วชักกระตุก ๆ สลบลง ดวงตาโปนออกมาถลนและเป็นลูกโตเท่ากำปั้น คนไปดู ฉันก็ไปดูเหมือนกัน หลายคน แต่ไม่กล้าช่วยหรือทำอะไร แม่มันเอาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาบรรพบุรุษมัน แต่ไม่ฟื้น พาไปโรงพยาบาลศรีสะเกษ และอยู่โรงพยาบาลตลอดเช้ายังไม่กลับมา ขณะนี้มันอยู่โรงพยาบาล
นางพิมพาเล่าว่า ชาวบ้านวิจารณ์กันใหญ่ แท้จริงพวกเขาเชื่ออยู่แล้วว่ามันเป็นปอบ แต่ไม่กล้าพูด กลัวเวทมนต์ของมัน พอมันล้มจึงค่อยพูดกัน และว่าฉันเก่งที่กล้าสู้กับมัน แต่ฉันว่าฉันไม่เก่ง ครูบาอาจารย์ฉันเก่งมีบารมีคุ้มครองพวกฉัน ตอนหลังมานี้นายประเทืองเที่ยวไปพูดใส่ความนางพิมพาทั่วทุกแห่ง ว่านางพิมพาเองแหละเป็นปอบ สืบเชื้อจากปอบใหญ่ดั้งเดิม คือปอบยายนี คนรุ่นก่อนรู้ดี คราวนี้แม่มันก็บอกคนว่า ปอบยายนีมากินนายประเทือง
11.40 น. รายงานมาว่า ผีปอบมันกลับมาแล้ว ดูดีขึ้น เวลามันดีขึ้นมันจะดูขาว อ้วน มันคล้ายจะเยาะเย้ยผมว่า มันไม่ตายแล้ว พวกเขาจะตายก่อน รายงานว่าเมื่อคืนพวกมันวุ่นวายกันหมด แล้วพี่เขยใหญ่มันมา(ปอบฝ่ายพี่) กับเพื่อนมาครบถ้วนหน้า มาทำพิธีกันทั้งคืน ที่จริงนายประเทืองมันจะตายถึง 2 ครั้งก่อนแล้ว แต่มันทำพิธีแก้ มีพี่เขยใหญ่ของมันนี่แหละเป็นทีมช่วยเหลือมันอยู่ พร้อมกับแม่มัน คืนนี้มันก็ทำพิธีกัน เห็นควันธูปลอยออกมาจากในห้อง
ถามว่า นายประเทืองเป็นอย่างไร ว่าเวลาที่มันล้มนั้น มันทำพิธีกรรมอยู่ พออ๊วกออกมา เลือดออกปาก ก็ล้ม ลูกตาโปนออกมาใหญ่เท่ากำปั้น แล้วยังมีลิ้นแลบออกมายาวเฟื้อย คว่ำหน้าอยู่ คนเข้าไปดูทีแรก เห็นก็ตกใจวิ่งหนีกลับไป วิเคราะห์ว่า เป็นอาการของผีปอบ เวลามันจะตายเป็นอย่างนี้ อย่างผี ไม่เหมือนคนธรรมดา ว่าแม่มันเหมารถไปเยี่ยมมันกลางดึก ส่วนพวกพี่เขยแัละเพื่อนร่วมทีมทำพิธีกรรมกันทั้งคืน
บอกนายกุณฑลไปว่า กลับมาแล้วก็ช่างมัน ห้ามมันทำพิธีกรรม มันไม่เชื่อก็แล้วไป ต่อไปนี้มันก็จะค่อยทรุดลงไป ๆ ๆ อีกไม่นานมันก็จะกระดุกกระดิกไม่ได้ ถ้ามันทำพิธีกรรมต่อไป เดี๋ยวก็จะต้องล้มถูกหามเข้า รพ.อีกเหมือนเดิม
อำนาจของผีทำร้ายเด็ก
18 ก.ค. 2553
01.10 น. นางพิมพาโทรศัพท์มากลางดึก รายงานมาว่า ด.ญ. เกศรินทร์ ไม่ยอมนอน นอนไม่หลับมาแต่หัวค่ำแล้ว ครั้นประมาณเที่ยงคืนมา พยายามลุกขึ้นดื้อจะเดินไปที่ประตูจะออกไปข้างนอก บอกว่า อยากกลับบ้าน ต้องจับตัวเอาไว้ แล้วดึงสร้อยคอสามกษัตริย์ ที่หลวงพ่อให้ไว้ออกหมด บอกแต่ว่าอยากกลับบ้าน บอกว่าทางบ้านนั้นทำพิธี ทั้งคืน บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็หลับ
วิเคราะห์ นี่แสดงถึงการสกดจิต? มันอาจจะฟื้นอำนาจสกดจิตขึ้นได้เพราะทำพิธีกรรมอย่างแรงเอาเป็นเอาตาย แสดงความพยายามมุ่งมาดปรารถนาของมันแรงมาก ใช่หรือไม่ ? จะต้องคิดแก้ไข .....
19 ก.ค. 2553
ศึกไสยศาสตร์
20 ก.ค. 2553
นายกุณฑลเดินทางมาถวายภัตตาหารเพลและข้าวสาร เล่าเรื่องผีปอบประเทือง ว่ามันคิดอย่างเดียวจะเอาพวกผมให้ตายให้ได้ และจุดอ่อนที่สุดคือหลานเกศรินทร์ อายุ 3 ขวบ วันนี้ได้ทำการประจุคาถาลงในเครื่องรางของขลังซ้ำลงไป มี ระฆังทอง ตะกรุดพระเจ้า 5 พระองค์ 5 อัน ที่ใช้มาแต่แรกให้เอามาปลุกเศกใหม่ เล่าเรื่องผีปอบว่า แม้กระทั่งพี่เขยใหญ่ มันก็ออกปากว่าจะไม่ช่วยมันอีกแล้ว แม่มันก็ด่ามัน วางแผนสร้างเครือข่าย ให้นายกุณฑลเป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นหมอมือปราบผีปอบในละแวกนั้น บอกคาถาอาคมให้บทหนึ่ง กำหนดฤกษ์ให้เวลา 15.37 น. ต่อไปนี้ก็คงจะสนุกละ.....
เพราะเราจะได้คณะลูกศิษย์ทำการปราบหมอผีเองได้
22.00 น. รายงานว่า ด.ญ.เกศรินทร์ ไม่สบายมาแต่หัวค่ำ เป็นไข้ความร้อนขึ้นสูง แล้วในชั่วขณะที่ผ่านมาชักกระตุกไปทั้งตัว ขอให้หลวงพ่อดูให้ด้วย บังเอิญขณะนั้นจำวัดแล้ว ด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เพราะมีกรณีคล้าย ๆ นี้จากแดนไกล ที่เปลืองเอนเนอยีมาก ๆ อยากพักผ่อน บอกไปว่าไม่เป็นไรหรอกน่า ปรากฎว่าพาเข้าโรงพยาบาล ดีหน่อยที่ไม่ไกลนัก เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ขอบ ๆ เมืองเท่านั้นเอง หมอบอกว่าประวัติเดิม มักเป้นไข้ตัวร้อนสูง เหมือนกับที่เป็นครั้งก่อน ระหว่างวันที่ 11-13 ก.ค. 2553 ที่ผ่านมา เราเองก็ได้ทราบว่า คนไข้ขึ้นสูงแล้วก็มักชักกระตุกเช่นนี้เสมอไป ไม่ใช่เรื่องไสยเวทย์อะไรเป็นธรรมดาของคนไข้ตัวร้อนสูงเช่นนี้ ให้เอาน้ำเย็นลูบ ๆ ให้น้ำเกลือ ก็หาย ครั้งนี้ก็อยู่รพ.ทั้งคืน
21 ก.ค. 2553
10.30 น. นายกุณฑล กับนางพิมพา 2 ตายาย มาหาที่วัด นางพิมพามาจากโรงพยาบาล นายกุณฑลมาจากบ้านจะพากันไปโรงพยาบาล รายงานว่าหลานดีขึ้นตั้งแต่เช้าแล้ว ขณะนี้ได้ของเล่นจากหลวงพ่อ พอใจใหญ่ เล่าเรื่องให้ฟัง ว่าคืนวานนี้มันทำพิธีกรรมแรงมาก กระทืบดินตูม ๆ สุดแรงมัน ผสมกับตีผนังบ้านดังต้าม ๆ จนฉันทนไม่ไหวโยนไม้ไปท่อนหนึ่งถูกหลังคาบ้านมัน มันชงัก ตาเหลือก ทำท่าจะล้มลงเหมือนคราวที่แล้ว แล้วพอถึงสี่ทุ่มเกศรินทร์ก็ร้อนจัด จนชักกระตุกไปทั้งตัว กายก็อ่อนเหมือนไม่มีกระดูก จนต้องนำเข้าโรงพยาบาล หมอนางพยาบาลก็ให้น้ำเกลือไปทั้งคืน หมอว่าประวัติเก่า เป็นเพราะไข้ความร้อนสูง เอาผ้าเย็นลูบ ๆ เดี๋ยวก็ฟื้น ครั้นเสร็จกิจก็พากันไปโรงพยาบาล
11.10 น. กำลังฉัน โทร.มาจากโรงพยาบาลว่า เกศรินทร์ชักตัวงออีกแล้ว เสียงท่าตกใจ ว่าอยู่ ๆ ก็เป็นขึ้น นางพยาบาลวิ่งกันอุตลุต ไม่ทราบสาเหตุ เอาน้ำเย็นลูบตัวอยู่ ยังไม่ฟื้นเลย ตัวก็อ่อนเหมือนไม่มีกระดูก ไม่ใช่ไอ้ผีปอบมันมาหรือ มันมากับตา(นายกุณฑล) พอตามาถึงก็เป็นเลย(คนมักเชื่อว่าผีปอบมักมากับคน มากับพาหนะที่คนเอามา แล้วพอเจอเหยื่อก็ไปเข้าเหยื่อ) แต่เราคิดว่าเป็นอำนาจสกดจิตและวิชาผีปอบของมัน ตกใจนิด ๆ ว่าถ้ามันส่งจากบ้านนู้นมาถึง รพ. มันก็แก่กล้าพอสมควรทีเดียว เสียงสั่นว่าขอให้หลวงพ่อจัดการมันด่วนด้วย
ก็ต้องหยุดฉันก่อนทันที คิดว่ามันเก่งกล้าขึ้นเยอะหรือ ? ทำพิธีทีเดียว 3 อย่าง พร้อมเข้าฌานอึดใจหนึ่ง 5 นาทีผ่านไปโทร.ไปถามว่าเป็นอย่างไร ตอบว่าหายแล้ว รู้สึกตัวและเป็นปกติแล้ว เห็นของเล่นที่หลวงพ่อให้ไปแล้วก็ชอบ เอาไปเล่นแล้ว อยากข้าวด้วย กำลังจะหาข้าวให้กิน
ทำพิธีกรรมต่อไปอีกประมาณ 1 ชม. ครบเสร็จทั้งวงจร แล้วเก็บ ฝัง คอยดูผล
ช่วงเวลาวิกฤตและสับสน
22 ก.ค.2553
16.00 น. เมื่อ 17.00 น. วานนี้ เด็กเป็นไข้ตัวร้อนขึ้น ตัวร้อนจัดมาก แต่ก็ค่อยเย็นลงเมื่อเช้าวันนี้ จนกระทั่ง 16.00 น. วันนี้ เกิดตัวร้อนขึ้นอีก ยายบอกว่าเหมือนโยนลงไปในหม้อน้ำเดือด หมอก็ส่ายหน้าว่าไม่น่าจะเป้นไปได้ ให้หลวงพ่อช่วยด้วย ดูในดวงชะตาเด็กพบว่าน่าเป็นอันตรายมาตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.2553 แล้ว แต่พ้นคืนวันนี้เวลาตี2.48 น.ไปแล้วจะหาย หลังทำวัตรเย็นได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ฝนตกลงห่าใหญ่พอดี
23.45 น. ข้าพเจ้ากำลังประสบความสับสนในวิธีการของข้าพเจ้าเอง ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร พอ ๆ กับหมอที่โรงพยาบาล เขาก็ไม่แน่ใจว่าเด็กเป็นอะไร เมื่อชั่วครู่ใหญ่ชุลมุนกันไปหมดทั้งหมอ พยาบาล และแม่เด็ก ยายเด็กที่เฝ้าไข้ มาอย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะเด็กมีอาการร้อนไข้สูงและยังมีอาการออกเสียงหัวเราะประหลาด ๆ ในฝ่ายข้าพเจ้าเอง คิดว่าเป็นเรื่องของหมอ ก็ปล่อย ได้หลับไปงีบใหญ่ ๆ แล้ว ต้องลุกขึ้นมารับทราบรายงานทางโทรศัพท์ และเพื่อความไม่ประมาทได้ประกอบพิธีไสยเวทย์ทำการอย่างแรง และได้ตรวจสอบไปทางบ้านตะดอบว่าหมอผีมันทำพิธีกรรมหรือเปล่า นายกุณฑลซึ่งเฝ้าบ้านอยู่พบว่ามันไม่ได้ทำพิธีกรรมอะไร เงียบกริบมาแต่หัวค่ำ แล้วล่าสุด ประมาณ 4 ทุ่มมาจนถึงขณะนี้มันกำลังสุมหัวกับพวกลงเงินเล่นพะนันบ้องไฟกันอยู่ นั่นเป็นรายงานจากบ้านตะดอบ ยืนยัน อย่างที่ข้าพเจ้าเข้าใจอยู่ว่า เป็นเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เกี่ยวกับผีปอบเลย เพราะถ้าเกี่ยวกับผีปอบ มันทำพิธีกรรมแล้วข้าพเจ้าจะสัมผัสได้ และจัดการกับมันได้ (กระนั้นก็ยังสงสัยว่าอาจจะเป็นปอบคนละตัวกันกระทำแทนหรือเปล่า?) ในขณะที่ทางฝ่ายหมอได้ยินว่า เจาะเลือดเด็กไปตรวจ บอกว่าสงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก และขณะชั่วครู่นี้เด็กได้หลับลงไป แต่ยังมีความร้อนสูงอยู่ ทางยายนางพิมพานั้นพูดมาทางโทรศัพท์ว่าค่อนข้างเชื่อว่าเป็นผีปอบอย่างแน่นอน เพราะมันกล่าวอาฆาตอย่างแรงว่า ใครทำกูกูต้องทำมันให้ได้ ซึ่งที่จริงแล้ว ในทัศนะของชาวบ้านอาการกริยาอย่างที่เด็กเป็นนี่แหละ เป็นอาการของผีปอบเข้าเด็ก ตอนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล หัวค่ำนั้น ก็ได้บีบกระโหลกไว้แล้ว 3 ครั้ง จนเด็กอาการดีขึ้นมาก หายตัวร้อนแล้ว จึงได้กลับวัด แล้วกลับเป็นใหม่อีกก็เลยสับสนไปหมด
ทฤษฎีโหราศาสตร์
จำต้องพึ่งทฤษฎีโหราศาสตร์ดู อาทิตย์(๑)กาลกิณีจรทับลัคทับเสาร์(๗)เดิมประในกรกฎ แต่ร่วมธาตุกับพฤหันบดี(๕)เดิมที่พิจิก และพฤหัสบดี(๒)จรที่มีน ตรงจุดนี้เป็นอันตรายก็จริง และน่าเป็นเหตุให้ร้อนเพราะดาวคู่ธาตุไฟ แต่ก็อุ่นใจได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงอย่างแน่นอนเพราะดาวพฤหัส(๕) มีอำนาจทั้งมหาจักรและเกษตร 2 ดวงคุมอยู่ ยังอีกจุดหนึ่งสำคัญมากก็คือจันทร์(๒)ตนุลัคจรเข้าสู่พิจิกเป็นนิจ อับแสง ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 2553 แต่ก็ทับพฤหัสบดี(๕)มหาจักรเดิม และร่วมธาตุพฤหัสบดี(๕)จร จึงเกิดการเจ็บป่วยไข้ต้องไปรพ.เวลา 4 ทุ่มวันที่ 20 ก.ค.2553 และอยู่มาจนถึงวันนี้ และครั้นเวลาคืนนี้(23ก.ค.2553)เวลา 02.48 น.จันทร์(๒)ตนุลัคก็ย้ายออกจากพิจิก นั่นหมายถึงหายป่วย จึงได้บอกแม่เด็กว่าตี2.48น.จะหาย และหายเลย ไม่กลับเป็นอีก นี่ก็เป็นศาสตร์ที่ข้าพเจ้ามีความชำนาญและได้กระทำการบริการแด่มวลชนจนเป็นที่เชื่อถือได้ทุกครั้งที่ใช้ตรวจสอบเหตุการณ์ ฉะนั้น จะเกี่ยวกับผีปอบหรือไข้เลือดออกหรือไม่ ในคืนนี้เวลา 02.48 น.เป็นต้นไป เด็กหญิงก็จะหายป่วยพ้นขีดอันตราย
23 ก.ค. 2553
00.30 น. โทร.ไป รพ.สอบถามดู แม่มันตอบว่าเด็กมีอาการหนาวไข้ขึ้นสูงอีกแล้วเมื่อชั่วครู่นี่เอง แม่กอดไว้กับอกแน่น ส่วนผลตรวจเลือดจะทราบจากหมอพรุ่งนี้ ปลอบใจว่าคงไม่ใช่หมอผีมันทำหรอกเพราะถามไปทางตาที่บ้านแล้วว่ามันสุมหัวเล่นพะนันบ้องไฟอยู่ ก็พยาบาลไปตามที่หมอบอกนั่นแหละอีกไม่นานก็พ้นขีดอันตราย หลวงพ่อยังทำพิธีกรรมต่อไปอยู่ ไม่ประมาท ความจริงเราวางใจได้เลยว่าหมอผีมันไม่น่าจะรอดไปได้ และไม่จำเป็นต้องทำอะไรมัน ......แต่ขณะนี้เด็กจะรอดหรือไม่ ?
16.06 น. หมอบอกว่าผลตรวจเลือดวิเคราะห์โรค ไม่ได้เป็นไข้เลือดออก แต่เป็นไข้ธรรมดา จับสั่น ขณะนี้ยังจับสั่นอยู่เล็กน้อย จะค่อย ๆ ดีขึ้นไปตามลำดับ ให้เช็ดตัวไปตามอาการ ...... บอกว่าดีแล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องผีปอบอะไร ให้วางใจได้ว่าผีปอบทำอะไรไม่ได้หรอก สบายใจได้ ....
24 ก.ค. 2553
19.00 น. นายกุณฑลโทร.มาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนี้โทร.มา 2 ครั้ง รายงานว่าเด็กดีขึ้น กินข้าว และลุกเดิน และเล่นตุ๊กตาแล้ว ต่างเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องความเจ็บไข้ ไม่ใช่ผีปอบ คราวนี้รายงานว่า ทางบ้าน นายประเทืองผีปอบกับแม่มัน พากันทำพิธีกรรมอยู่ แม่เด็กที่กลับไปเฝ้าบ้านแทนนายกุณฑล ที่มา รพ. รายงานให้ทราบ ก็บอกว่าไม่เป็นไร จะดูให้ และว่าถึงอย่างไรมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันหมดฤทธิ์แล้ว ดูเหมือนจะเชื่อกันเช่นนั้น เชื่อว่าผีปอบมันทำพิธีอะไรไม่ขึ้นอีกแล้ว มีแต่จะเป็นอันตรายแก่มันเอง
25 ก.ค. 2553
26 ก.ค. 2553
วันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 พ.ศ. 2553 หมออนุญาตให้เด็กกลับบ้านได้ ว่าคืนวันที่ 23 ก.ค. 2553 เด็กที่ตายอายุพอๆกันเลย และทั้งยังป่วยแบบเดียวกัน คือเป็นไข้ตัวร้อนสูงเหมือนกัน เกิดปุ๊บปั๊บเหมือนกัน อันแสดงถึงโรคไข้แบบเดียวกัน แล้วเขาเอามานอนเตียงตรงกันอีก แต่คนละห้อง ขณะที่หลวงพ่อพูดโทรศัพท์อยู่นั้น ยังไม่ตาย หมอกำลังปั้มหัวใจอยู่ แต่เอาไว้ไม่ได้ ไม่นานก็ตาย แล้วเกศรินทร์ก็ดีขึ้น ว่าหลวงพ่อมาวันนั้นมาช่วยชีวิตหลานจริง ๆ แต่เราคิดจะบอกว่าหมอเขาเก่งต่างหาก
27 ก.ค. 2553 เข้าพรรษาแล้ว
บันทึกโทรศัพท์ลับลึกลับ
31 ก.ค. 2553
04.30 น. มีโทรศัพท์ เสียงบอกว่ามาถึงอุทุมพรพิสัยแล้ว ให้เตรียมตัว คราวนี้เอาจริงแน่ ๆ ต้องได้ตัว
06.00 น. รีบสรงน้ำ ครองผ้าแล้วออกไปจากกุฎี ไปเดิน ๆ แถวศาลาเมรุ เจ้าของเสียงโทรศัพท์เดินทางมาจากพัทยา ไปนครราชสีมา ไปร้อยเอ็ด แล้วมุ่งเป้าหมาย ศรีสะเกษ มาคนเดียวขับรถสปอร์ตคันหรูมา แม่เลี้ยงเขาโทร.มาบอกเตือนล่วงหน้าแล้ว ให้ระวังตัว.....
1 ส.ค. 2553
19.45 น. คนลึกลับเดินทางจากโรงแรมที่พักไป ห้วยขะยุง แล้วจะกลับ..... บอกว่าจะไม่มาศรีสะเกษอีก
ต้นไม้แห่งความกังวล
2 ส.ค. 2553
05.10 น. หญิงไปถึงโคกสวาย ตระเตรียมจัดการการสอบ ทั้ง ๆ ที่ขับรถมาทั้งคืนก็ไม่ยอมพักผ่อน
11.50 น. แม่บ้านโทร.มาว่าหญิงน๊อคเลือดออกปากจมูก ล้มทั้งยืน ว่าอาจจะส่งรพ.โคราช
15.10 น. ยังไม่ทราบข่าว ไม่มีโทรศัพท์มา แสดงว่ายังสลบอยู่เช่นเคย ต้องไปตาม ทำพิธีกรรม บริหารเจตภูติ เร็วมาก พุ่งไปถึงนอกโลก แล้วนั่งบนยอดเขา เรียกหญิงสาวให้กลับมา 1 ชม.ต่อมาไปทำวัตรเย็น 18.00 น.จึงฟื้น โทร.มาบอกว่าปวดหัว เหนื่อยที่สุด กลัวจะจากพ่อไปแล้ว ..... แล้วหลับต่อไป...... นี่คือต้นไม้แห่งความกังวล ที่เจริญงอกงามมาตลอดเวลา 3 ปีเศษ ๆ แล้ว
19.30 ฟื้นโทร.มา ว่าพ่อ หญิงจะเล่าอะไรให้ฟัง ฝันเห็นพระแก่ ท่านมายืนที่หัวนอน เรียกให้หญิงตื่น ว่าอย่าไปเลยนะลูกนะ ยังไม่ถึงเวลา มีกรรมที่ต้องชดใช้ก่อน ลูกจะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ให้ชนะ เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาจะไป เวลาจะไปลูกจะไปอย่างสบาย ๆ ไม่ใช่เวลานี้ คนเราไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง อะไรที่อยากได้ ไม่ได้ อะไรที่ไม่อยากได้กลับได้ก็มี เป็นธรรมดา ลูกเป็นคนดีสู้ต่อไปจะชนะ เธอว่าหลวงปู่อายุ 100 กว่าปี หนังเหี่ยวไปหมด เล็บนิ้วมือยาว ว่าถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่รู้อย่างไรว่าหญิงอยากได้อะไร? .... ถามว่าพ่อทำอะไร ที่จริงพิมพ์คำพูดเธอลงไปสด ๆ คงน้อยใจ...ปิดโทรศัพท์ ...เป็นเช่นนี้เสมอ..... เลยไม่ได้ฟังเรื่องต่อ...
3 ส.ค. 2553
ชีวิตประหลาดและลึกลับของเด็กสาวโรงงานคนนั้น
แม่เลี้ยงโทร.มาบอกว่ามันไม่รับยามากินอีก ถ้ามันหยุดกินยาโรคก็จะกำเริบเป็นอันตราย
4 ส.ค. 2553
04.50 น. หญิงโทร.มา ว่าจะไปทำงานทางไกล คงไม่ได้โทร.มาอีก เพราะเป็นแดนอับคลื่น ขอให้ลืมเสีย
06.00 น. แม่เลี้ยงโทร.มาว่ามันกำลังจะไปจากเรา ขอให้พ่อช่วยห้ามอย่าให้ไป เท่ากับมันคิดจะทำอันตรายตัวเอง
18.50 น. หญิงออกจากรพ. บอกว่าจะเดินทาง2ทุ่มคงไม่ได้พูดกันอีก
20.00 น. หญิงตกลงรับปากจะไม่ไป
5 ส.ค. 2553
06.00 น. หญิงเดินทางถึงพัทยา เธอเป็นนกแห่งอาณาจักรโรงงาน จะบินไปจะอาศัยอยู่ จะกินจะนอนแห่งใดก็ได้ที่มีโรงงาน
6 ส.ค. 2553
10.00 น. แล้วผลของการไม่รับยาต่อก็เกิด โทร.มาบอกว่าน๊อคไป ขณะนี้อยู่รพ. อาการเหน็ดเหนื่อย ไร้เรี่ยวแรง และปวดหัวมาก ว่าหมอจะถ่ายเลือดให้เย็นนี้ และจะเจาะกะโหลกศีรษะอีก เขาพบว่าที่เดิมมีน้ำเยิ้มทำให้ปวดหัว จะต้องดูดเอาน้ำออกมา
20.00 น. โทร.มาบอกว่าเจ็บปวดไปทั่วตัว หายใจไม่คล่อง มือเท้าไม่มีเรี่ยวแรงเลย ถ้ารอดคืนนี้ได้ก็ไม่ตาย ขอให้พ่อเอากระดูกหญิงไปไว้ที่บ้านโคกกลางของพ่อด้วย
23.00 น. ทำพิธีป่าวประกาศเทวดา ว่าลูกสาวอยู่ระหว่างอันตรายขอให้ช่วยดูแลด้วย
7 ส.ค. 2553 04.30 น. เสียงทิพย์บรรเลงขึ้นสนั่นสดใสมาก และดังอยู่ใกล้ ๆ ริมหู นี่คือดนตรีแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง แม้ค่าจะอยู่ประมาณ D;7000:L10U. โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่คืนวานนี้จนกระทั่งบัดนี้
07.40 น. เสียงโทรศัพท์ เสียงสดใส ร่าเริง บอกว่า หญิงเพิ่งฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เอง หายปวดหัวแล้ว ไม่ตายแล้ว ถ้าไม่ตายเมื่อคืนก็แปลว่าไม่ตายแล้ว ว่าอาการเมื่อคืนหนักมาก หญิงไม่เคยเป็นมาขนาดนี้เลย ถึงขนาดอุจจาระออกเปรอะเปื้อนยังไม่รู้ตัว น้อยรู้ตัวว่ากำลังจะจากพ่อไป จึงเตรียมตัวไว้แล้ว เขียนจดหมายบอกไว้ทุกอย่าง เข้าของที่นา ไร่จำนวนมหาศาลมูลค่านับร้อยล้านบาทก็แจกแจงไว้หมด ยังขอให้เขาเอากระดูกส่วนหนึ่งไปถวายพ่อให้ไปไว้ที่บ้านเกิดของพ่อ บ้านโคกกลาง ...... จากนั้นก็คุย ๆ ๆ ๆ ต่อไปราว 2 ชม. หมอมา......(เรื่องราวของเด็กหญิงคนนี้ได้เล่าไว้แล้วใน โลกลี้ลับ 12-13-14-15)....
เขาบอกว่าเขาเป็นคนสวยงามมาก คนเห็นหน้าก็จะหลงไหล ปั่นป่วน จึงต้องคลุมหน้าตัวเองไว้ตลอดเวลา ไม่ให้ใครเห็น คนจึงเรียกว่าอีสาวน้อยปิดหน้า เกรงจะเกิดอันตรายเพราะความสวยของตน..... เขาว่าลองเอาสำลีไปวางกับแขนของพ่อดู สำลีนั่นแหละผิวของเขา เป็นคนขาวเนียนอย่างสำลี อย่างดอกฝ้าย ..... แม่เลี้ยงเขา ก็บอกเช่นนี้เหมือนกัน ....... แต่บอกว่ามันเป็นคนฉลาดมีสติปัญญาดีมาก พ่อมันเป็นมหาเศรษฐีญี่ปุ่น แต่มันตัดขาดพ่อมันเพราะพ่อมันทำให้แม้มันผูกคอตายตั้งแต่อายุได้ 10 วันเท่านั้น แล้วพ่อมันไม่เคยมาเหลียวแลดู จนกระทั่งมันโตเป็นสาว พ่อมันเห็นความสวย ความฉลาดของมันก็อยากได้ ถึงกับไปฟ้องศาลขอให้เธออยู่ในอุปการะของพ่อ กลับทำให้มันยิ่งเกลียด และยังลามไปถึงการเกลียดชังผู้ชายทั้งโลก จนไม่คิดแต่งงานกับผู้ชายใดเลย..... เขาเล่าเรื่องพระครู กับหลวงปู่ ที่อุบล .... ว่าพระครูเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ ๆ มีสมบัติมาก.... แม่ได้ผูกข้อมือเอาไว้เป็นลูกตั้งแต่ยังเป็นเด็กสาวรุ่น ๆ แต่พระครูก็ไม่คิดลาสิกขา.....เขาก็เคยถามว่าพระครูทำไมไม่สึกไปครองสมบัติแม่และจะไม่คิดแต่งงานกับผู้หญิงสักคนหรือ...เขาเล่าว่ามีผู้ชายหลายคนล้วนคนสำคัญ ๆ มาชอบเขา หลังสุดเขาหนีพี่ชายพี่สะใภ้ไปเพราะเขาจะหาคนมาให้แต่งงานด้วยอ้างว่ามึงจะได้มีความสุขสบาย......แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาพอใจ.... เขาพอใจทำมาหาเลี้ยงด้วยมือสองข้าง มันสมองตนเอง ........ เป็นเสรีชน......ไม่ง้องอนใคร....
10.30 น. โทร.มา ว่าให้โทร.ไปตังหมด.......
29 ส.ค. 2553 สรุป ปอบเสื่อมฤทธิ์ลงไปเกลี้ยง ทำอะไรด้วยไสยเวทไม่ได้อีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องของคนที่คั่งแค้น กลัดอก เขากำลังจะกลายเป็นคนบ้าโรควิกลจริตในเร็ว ๆ วันนี้ ตามคำพยากรณ์หรือไม่ น่าติดตาม
จบตอนที่ 22 โปรดติดตามตอนต่อไป
09.20 น. ยังไม่มีโทร.มาจาก รพ. เงียบเช่นนี้แสดงว่าไม่มีอะไร แต่ถ้ามีอะไรเสียงโทรศัพท์มาทันที เมื่อคืนนี้มาตอนตีหนึ่งเศษ ๆ ว่าเด็กเป็นอีก และว่ามีเด็กข้างห้องตายไปคนหนึ่ง ว่าหมอมาดูไม่ทันตายก่อน ได้ยินเสียงคนร้องไห้ บ่นว่าฟูมฟายแว่ว ๆ บอกว่าไม่กล้าไปดู กลัว แล้วตี 4 ก็โทร.มาอีก ว่าเด็กยังไม่หายเลยเวลาที่บอกตี2.48มาแล้ว บอกว่าจะค่อยดีไปไม่ต้องกลัว ถึงอย่างไรก็รอดปลอดภัย ปล่อยให้เป็นหน้าที่หมอเขา ....