**************************************************************************
1. อพยพของประชาชนนักสู้เสื้อแดงจากผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์
เหมือนชาวทาสเฮบบรูหกแสนยุคโมเสส
อพยพ เมื่อ 14 เมษายน 2553 แดงที่สพานผ่านฟ้า สละพื้นที่ให้ทางฝ่ายรัฐบาล โดยเหตุผลที่ว่า เมื่อรัฐบาลอยากได้พื้นที่นี้คืนเป็นอันมากถึงต้องส่งกองกำลังทหารติดอาวุธสงคราม เข้ามาทำการเข่นฆ่าปราบรามประชาชน จนฝ่ายรัฐบาลเองเกิดเพลี่ยงพล้ำ นั่นคือกองบัญชาการส่วนหน้าในสนาม ถูกถล่มด้วยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า ยุวธรรม หนึ่งในกองบัญชาการส่วนหน้า เสียชีวิตลงทันที พร้อมกับทหารอีกรวมเป็น 4 คน ยังมีนายพล.ต. ผู้บัญชาการสถานการณ์ฉุกเฉินหน่วยหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนต้องถอนตัวจากสนามรบโดยพลัน เพื่อนำตัวไปรักษาพยาบาล ทราบผลต่อมาว่า เพื่อเอาชีวิตไว้แพทย์ต้องตัดขาข้างหนึ่งออกไป รายละเอียดถูกปกปิดมิดชิดจากฝ่ายรัฐบาล การขาดการบัญชาการลงโดยฉับพลัน เป็นเหตุให้ทหารรวนเร แล้วเริ่มถอย จนในที่สุดรัฐบาลจำต้องยอมถอยทหารกลับไป สถานการณ์ในคืนที่ 10 เมษายน 2553 นั้น แท้จริงเป็นสถานการณ์การรบกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายประชาชนมือเปล่า ๆ แต่ได้เปรียบด้วยจำนวนนับแสนคน ฝ่ายรัฐบาลอ้างเหตุที่ทำสงครามได้ และเป็นฝ่ายประกาศสงคราม นั่นคือ ด้วยการประกาศ พรก.ฉุกเฉินร้ายแรง แต่การถอยด้วยเหตุที่การรบของฝ่ายตนผิดพลาดเช่นนี้ ย่อมเรียกได้ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายแพ้สงครามไปโดยเรียบร้อยแล้ว และฝ่ายประชาชนมือเปล่าเป็นฝ่ายชนะ โดยที่ประชาชนนักรบเหล่านั้น เพียงแค่การชนะด้วยความตื่นตกใจและสัญชาตญาณการป้องกันตัว ได้ต่อสู้ด้วยก้อนหินริมทาง ไม้ ฆ้อน ด้ามธงที่ถือ และหนังสติก ฯลฯ เท่าที่หาได้ริมทาง ถูกอาวุธปืนเสียชีวิตไป 18 ศพ และยังมีนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น ถูกกระสุนปืน (ซึ่งมีทหารเท่านั้นใช้อาวุธปืนในขณะนั้น) ถึงแก่ชีวิตอีก 1 คน ทางแกนนำพิจารณาว่า เมื่อรัฐบาลกระหายอยากได้พื้นที่คืนถึงขนาดนี้ ก็เลยตัดสินใจยกให้ และเริ่มการอพยพคนเรือนแสน ไปสู่แผ่นดินใหม่ นั่นคือแผ่นดินราชประสงค์
การอพยพนี้ เคยมีในประวัติศาสตร์การอพยพที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว นั่นคือการอพยพของชนชาติเฮบบรู(ยิว) เรือนแสน(ใน Exodus 12:37-39 แห่ง Holy Bible ระบุว่า ชนชาติอิสราเอลที่พยพคราวนั้น :- นับแต่ผู้ชายได้ประมาณหกแสนคน ผู้หญิงและเด็กอีกต่างหาก มีฝูงชนชาติอื่นเป็นจำนวนมากติดตามไปด้วยพร้อมทั้งฝูงสัตว์ คือฝูงแพะแกะและโคจำนวนมากมาย เขาเอาก้อนแป้งซึ่งนำมาจากอียิปต์นั้น ปิ้งเป็นขนมปังไร้เชื้อ เพราะเขาถูกเร่งรัดให้ออกจากอียิปต์ จึงไม่ทันเตรียมเสบยง) ที่ตกเป็นทาสของฟาโรห์แห่งอียิปต์ สืบสกุลทาสมาเป็นเวลานานถึง สี่ร้อยสามสิบปี และงานที่ทาสเหล่านี้ถูกบังคับให้ทำในยุคนั้นก็คือสร้างปิรามิดแห่งอียิปต์ ที่ปรากฎให้โลกปัจจุบันเห็นอยู่ในขณะนี้นั่นเอง การอพยพของพวกเขาครั้งนั้นเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายของฟาโรห์นามว่า รามเศส ละม้ายคล้ายการอพยพของชาวเสื้อแดงในวันนี้ มีข้อที่ลม้ายกันในแง่ที่ว่า พวกเขาอพยพไปสู่แผ่นดินสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะหาแผ่นดินไว้ให้พวกเขา และโดยการมีทูตของพระเจ้าเป็นคนนำทางไปสู่แผ่นดินสัญญานั้น นี่คือเรื่องราวที่ประชาชนทั้งหลายทั่วโลกได้เรียนรู้มาดีอยู่แล้ว โดยรู้จักชื่อของทูตพระเจ้านามโมเสส ก่อน เพราะเรื่องราวของพวกเขาผู้อพยพ ต่อมาได้กลายเป็นเรื่องราวของศาสนาอันยิ่งใหญ่ของโลก คือยูดาย และต่อมากลายเป็นศาสนาคริสต์ และพวกเขาได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่อมตะในเวลาต่อมา และคงความยิ่งใหญ่มาถึงปัจจุบันนี้
ส่วนการอพยพของชนเสื้อแดงนั้น แท้จริงเป็นการอพยพของคนยุคไฮเทก คือมนุษย์เหล่านี้ เป็นมนุษย์ที่มีมันสมองและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์พอ ๆ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่พยายามกดขี่ เอารัดเอาเปรียบโดยได้ฐานะของความเป็นผู้ปกครอง อันชิงมาได้โดยความอยุติธรรม ไม่สอดคล้องครรลองของกติกาที่เคยสัญญากันไว้ ว่าการได้อำนาจใดใดนั้น จะต้องเป็นอำนาจที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชน โดยที่ต้องฟังเสียงประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ จึงเป็นระบอบของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน บัดนี้รัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน และยังทำการปิดหูปิดตา ปิดเสียงเรียกร้องของประชาชน กระทำการต่อประชาชนอย่างกระทำต่อศัตรูตัวร้ายกาจของประเทศชาติ และกระทำด้วยวิธีการป่าเถื่อน อนารยธรรม เหี้ยมโหดมิผิดคนป่าเถื่อนยุคโบราณ แต่กดขี่ปราบปรามใช้อาวุธแก่ประชาชนมือเปล่า ๆ ซึ่งพฤติกรรมเลวร้ายของรัฐบาลขณะนี้ จะปรากฏไปในประเทศต่าง ๆ ของโลกยุคปัจจุบัน ที่เป็นโลกของคนทันสมัย และรัฐบาลที่โง่เขลา ล้าหลัง ที่ยังใช้อำนาจเป็นธรรมอยู่เช่นนี้ จะรอดสายตาโลกที่รักความเป็นธรรม และรักในความเป็นมนุษย์ ผู้มีสิทธิ เสรีภาพ มีความเสมอภาค และภราดรภาพไปได้อย่างไร และในที่สุดจะต้องถึงความพินาสน์ลงอย่างไร นี่เป้นสิ่งที่กำลังจะปรากฏขึ้นชัดเจนในเร็ว ๆ นี้
ตำนานการอพยพ(2) ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจในตำนานการอพยพต่อไปอีก อันเป็นเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อปลดแอกของชาวทาสฮิบบรู (ยิว) จากเผด็จการที่กดขี่ ในอียิปยุคนั้น นั่นคือ เมื่อโมเสสนำชาวทาสนับแสนคน อพยพจากเมืองราเมเสส มุ่งหน้าไปยังเมืองสุคคท ริมฝั่งทะเลแดง โดยความซื่อคิดว่าฟาโรห์จะรักษาสัญญา ที่ว่าจะปล่อยให้พวกเขาไป จะไม่คิดร้ายต่อพวกเขาอีกแล้ว ครั้นไปถึงตำบลปิหะหิโรท หัวขบวนอยู่ที่ตำบลนี้ ปลายขบวนอยู่ที่ตำบลบาอัลเซโฟน ฟาโรห์ได้นำกองทัพม้าศึก รถศึกที่เกรียงไกรของยุคนั้น ไล่ตามมาทัน มุ่งหมายจะเข่นฆ่าพวกไพร่ทั้งหมดให้สิ้นชีวิตและกวาดศพลงทะเลแดง ในขณะนั้นประชาชนชาวทาสทั้งหลายต่างพากันตื่นตกใจ รวนเรไปทั้งหมด แต่โมเสสบอกว่าให้รีบไปที่ฝั่งทะเลแดง แล้วโมเสสก็ยกไม้เท้าขึ้น กล่าวคำสรรเสริญพระเจ้า และร้องขอต่อพระเจ้าว่าพวกมันทรยศต่อคำวาจาที่ให้ไว้แด่ประชาชน อันเป็นคนของพระเจ้า พระเจ้าก็ดลบันดาลให้น้ำในทะเลแดงเปิดออกเป็นช่องทางบก โมเสสก็ให้ประชาชนรีบข้ามไปทางช่องที่เปิดนั้น ประชาชนก็รีบเร่งขนย้ายข้ามทะเลไป พอไปถึงฝั่งข้างหนึ่งได้แล้ว กองทหารของฟาโรห์ก็มาถึงพอดี ฟาโรห์ขับทหารลงไปให้ติดตามไปฆ่าประชาชนให้เกลี้ยง แต่พอกองทหารไปถึงกลางทาง กลางท้องทะเล น้ำก็ปิดเข้าเหมือนเดิม ท่วมทหารและฟาโรห์ตายทั้งหมด........
ในกาลอันยาวนานต่อมา ตราบการวิทยาศาสตร์ได้เจริญขึ้น ได้มีนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ได้แก่นักบุพชีพวิทยา(Paleologist) นักก่อนประวัติศาสตร์(Prehistorian) นักมานุษยวิทยา (Anthropologist) นักโบราณคดี (Archaeologist) ได้ร่วมมือกันทำการวิจัยเหตุการณ์ในยุคนั้น ได้พบว่า แท้ที่จริงเรื่องทะเลแดงเปิดออกให้ชาวทาสฮิบบรูหนีไปได้ และครั้นทหารฟาโรห์ไล่ตามไป น้ำทะเลก็ปิดท่วมฟาโรห์และทหาร พร้อมรถศึกตายไปทั้งหมด อันเป็นเรื่องราวอภินิหาริย์มหัศจรรย์เกินธรรมชาตินั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ไม่ได้มีอภินิหาริย์ใดให้ทะเลเปิดออก แท้จริงก็คือ ณ ตำบลปิหะหิโรท นั้น เป็นตำบลที่ทะเลแดงตื้นเขิน ชาวยิวพื้นเมืองสามารถเดินข้ามได้เป็นปกติอยู่แล้ว หากแต่คนไม่ชำนาญภูมิประเทศก็จะเดินข้ามอย่างมีอันตราย โดยเฉพาะกองทัพฟาโรห์ทั้งกองทัพ นักวิจัยเหล่านั้นได้ค้นพบว่า แท้ที่จริงได้เกิดการสู้รบกันขึ้น ณ บริเวณทะเลแดงหน้าตำบลปิหะหิโรทนั้นเอง ระหว่างกองทัพอันเกรียงไกรของฟาโรห์รามเสสแห่งอียิปต์ กับประชาชนชาวทาส ผู้มีมือเปล่า ขวานและไม้เท่าที่หาเอาได้โดยฉุกเฉิน อาศัยข้อได้เปรียบทางชัยภูมิที่ตั้งรับ และมีความเชื่อในอำนาจเร้นลับของพระเจ้าผู้ทรงความบริสุทธิ์ จึงสามารถสู้รบกับกองทัพทั้งกองทัพที่ติดอาวุธร้ายมีหอก ดาบ ธนู ขวาน พร้อมโล่กำบังอย่างปลอดภัยได้ และเมื่อปรากฏว่า องค์รัชทายาทแห่งอียิปต์ ที่คุมกำลังในสงครามคราวนั้น ถูกสังหารสิ้นพระชนม์ลง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้พบจากหัวกะโหลกของพระองค์ ที่ท้ายทอยบุบลงไป เป็นเหตุให้สันนิษฐานได้ชัดเจนว่าทรงสิ้นพระชนม์จากการสู้รบคราวนั้น โดยทรงถูกกระทำให้ล้มฟาดหงายหลังลงไปกระแทกหิน เป็นเหตุให้สิ้นพระชนม์ แล้วกองทัพฟาโรห์อันยิ่งใหญ่ก็ขวัญแตกกระเจิง หนีไปตามโขดหินในท้องทะเลแดงส่วนที่ต้นเขินนั้น และโดนลอบฆ่าตายไปเป้นจำนวนมาก และผลจากสงครามคราวนั้น เป็นเหตุให้ทาสฮิบบรูได้รับอิสรภาพนิรันตร ต่อมา และต่อจากเวลานั้นก็คือช่วงการอพยพที่ยาวนานของชนชาติอิสราเอล....และตำนานการอพยพของพวกเขาได้กลายเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกปัจจุบัน คือศาสนายูดาย แล้วกลายไปเป็นศาสนาคริสต์ ต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นศาสนาที่มีระชากรโลกจำนวนมากมายหลายพันล้านคนให้การนับถืออยู่ในปัจจุบันนี้
ตำนานนี้ลม้ายคล้ายการอพยพของชาวเสื้อแดงอยู่เหมือนกัน ......... และในการสู้รบวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็นับว่าลม้ายคล้ายกันมาก เพราะประชาชนมือเปล่า ๆ เท่านั้นเอง และถึงมีอาวุธก็เป็นการฉุกเฉิน พวกเขาคว้าเอาสิ่งที่อาจเรียกว่าอาวุธเบา ๆ ได้ริมทางเท่านั้น เช่นก้อนหิน ไม้รวก ไม้หน้าสามหน้าสี่ ยางสติกต่อสู้กับเปืนเอ็ม 16 และรถถัง และแม้เพียงกำปั้นของพวกเขา แล้วองอาจอาจชนะทหารติดอาวุธทันสมัย ที่ใช้ยุทธการแบบสงคราม นั่นคือมองประชาชนเป็นข้าศึกที่ต้องสังหารให้เรียบเกลี้ยง เลยทีเดียว นับตั้งแต่ใช้กองทัพบก(ที่กินภาษีเงินเดือนของประชาชน) เฮลิคอปเตอร์ทิ้งระเบิดถล่มประชาชนคนเสื้อแดงอย่างดุเดือดต่อเนื่อง จนควันระเบิดฟุ้งกระจายกินอาณาเขตไปกว้างไกล ใช้อาวุธสงครามทุกชนิด ไปจนกระทั่งมีการเคลื่อนรถถังออกมา ก็ปรากฎเป็นความจริง จนควันรบแดงดังเพลิงอมชมพู น่าหวาดหวั่น แต่แล้วภายในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาขีวะ(พลเรือนผู้รู้น้อยกระปิดกระปรอยแต่บังอาจสั่งการทหารเข้าสงคราม) ก็ประสบความพ่ายแพ้อย่างยิ่งใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ประชาชนยังอยู่ในวินัยและสัจจะของพวกเขาคือการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขาดำเนินไปโดย สันติธรรมและอหิงสา พวกเขาไม่ได้ถือโอกาสนั้นก่อการจลาจล สามารถควบคุมหลักการและอุดมการณ์เอาไว้ได้ นั่นคือสันติธรรมและอหิงสา(หากมิเช่นนั้นแล้ว กรุงเทพฯอาจจะลุกเป็นไฟไปแล้วก็ได้) และความจริงได้เปิดเผยภายหลังว่า การถอยของทหาร แท้จริงมิใช่ความรู้สึกรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะแม่ทัพผู้บัญชาการส่วนหน้าในสงคราม(พล.ต.......)ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ นายพันเอกชื่อ พ.อ.ร่มเกล้า ยุวธรรม เสียชีวิตพร้อมกับทหารอีก 3 นาย ถูกปลิดชีพลง เสียชีวิตลงโดยฉับพลัน..ในสนามรบ กองทัพขาดการบัญชาการ ......แล้วนายกรัฐมนตรีผู้ขี้ขลาดคนนั้นก็สั่งการให้ทหารกล้าถอนทัพกลับไป ..ประชาชนเป็นฝ่ายชนะสงคราม........และควรแก่การสรรเสริญว่าเป็นประชาชนผู้ประเสริฐในการที่สามารถต่อสู้ได้ตามอุดมการณ์สันติ อหิงสาของพวกเขา ..... และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงควรได้รับการเปิดเผยคุณงามความดี ให้ปรากฏไว้ไม่น้อยไปกว่าสงครามที่ทะเลแดงในบรรพกาลครั้งนั้น.....และท้ายที่สุด ชัยชนะย่อมต้องเป็นของฝ่ายประชาชนอย่างแน่นอน.....
2. รายงานเพื่อทราบครับ ASTVความเห็นที่ 10 (2027939)
อีปอง (อัญชลี ไพรีรักษ์) กับคุณเก๋..... เอเอสทีวีออกรายการ รอบวันทันเหตุการณ์ ......... เปิดฉากก็บิดข่าวทักษิณวีดีโอลิงค์ มาแก้ข่าวที่เอเอสทีวีกล่าวหาว่าท่านป่วย จนไปทำคีโม ...แล้วท่านเกรงเพื่อนสนิท มิตรสหายท่านจะเป็นห่วงก็วีดีโอลิงค์มาบอกเพื่อน ๆท่าน ไม่เกี่ยวกับนางอัญชลี ไพรีรักษ์คนนี้เลย แต่ก็เอาข่าวนี้ไปบิดเบือน ไปเป็นเรื่องร้ายไปเลย โดยไปด่าว่า ท่านนายกทักษิณ เป็นคนเสียสติ....คนบ้าทำลายบ้านเมืองเสียหาย.....ทักษิณเป็นคนมั่งมีแต่บ้าทำลายจึงร้ายแรง นึกว่าตายไปแล้ว "ยินดีด้วยที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาวีดีโอลิงค์ได้อีก"
ทำไมอัญชลี ไพรีรัก เป็นคนดี ไม่บ้าก็ดีแล้ว ขอชื่นชมที่คุณไม่เป็นคนบ้า ไม่เป็นคนเสียสติอย่างท่านทักษิณ ชินวัตร.....ก็เอาตัวให้รอดก็แล้วกัน..............ยังมีการบิดเบือนข่าวอื่น ๆ อีก คือนี่เป็นวิธีที่เรียกกันว่า ใส่สีตีไข่ นั่นเองครับ มีเรื่องหรือข้อเท็จจริงอยู่เล็กน้อย และแม้ขนาดว่ายังไม่รู้เลยว่า เท็จจริงอย่างไร ก็เอาไปบิด....วิจารณ์ให้ร้ายคนอื่นไปแล้ว ......ก็เลยไปด่าใครต่อใครไปหมด ด่าเสื้อแดง เช่น คุณขวัญชัย ไพรพนา...ที่ว่าระเบิดมาจากเนวิน ชิดชอบ ..... ไปจนถึง เทพชัย หย่องก็โดน .....ด่าไปถึง สปริงนิวส์ ว่าเอาใจเข้าข้างเสื้อแดงว่าทหารปราบปรามประชาชนเหมือนเดือนตุลา ......... ด่าไปถึงทีวีไทย.... "ทีวีไทย ใจดำน่ะ" ......... ด่าไปถึงนักข่าวคนหนึ่งของช่อง 7 ที่เปิดเผยตัวตน....... เขาเอ่ยว่า อ้าวเอเอสทีวีมาด้วยหรือ? ฟังได้ความว่า........ คงเจ็บใจที่วงการนักข่าวไม่ต้อนรับนักข่าวเอเอสทีวี ก็เลยซุ่ม ๆ ซ่อน ๆ ไปทำข่าว ..................(นักข่าวเอเอสทีวีอย่างนายจตุพร ยอดศิลป์ ที่รายงานเหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 โดยรายงานว่าปืนยิงจากเสื้อแดง ระเบิดแก๊สน้ำตาถูกขว้างจากฝ่ายเสื้อแดง ระเบิดมาจากฝ่ายเสื้อแดง ตลอด ...แต่ความจริงก็ปรากฏแล้วว่าประชาชนถูกยิงตายไปถึง 17 คน จากทั้งหมดล่าสุด 21 คน ..ทหาร 4 คน ) แล้วไปด่ารัฐบาลที่ไปยอมเจรจากับฝ่ายเสื้อแดง ........
แล้วไปขอพูดขอสัมภาษณ์กับพวกเดียวกันคือ ประสงค์ สุ่นสิริ ๆ ก็ว่ารัฐบาลไม่น่าจะบริหารราชการอยู่ต่อไปได้...... เพราะความไม่เข้าใจการทำงานของฝ่ายการเมือง ....นายกรัฐมนตรีเป็นคนพาทหารไปตาย....เพราะรัฐบาลมีเครื่องมือแต่ไม่ใช้ ไม่ทำตามกฎหมายที่ให้อำนาจเอาไว้......รัฐบาลควรจะยืนอยู่...........มันต้องให้ทหารเขามีเสรีในการวางแผนต่าง ๆ แต่รัฐบาลลดหย่อนไม่ให้ทหารติดอาวุธไป...เอาแต่โล่ กะบองไป .... รัฐบาลยังแก้ปัญหาที่หน่อมแน้มอย่างนี้.......เมษายยนปีนี้ไม่เหมือนปีที่แล้ว ปีนี้ไม่ใช่เพียงหัวโจก3คน แต่มีคนมาร่วมอย่างหลากหลายโดยเฉพาะอดีตนายทหาร 60-70 คน มีประสบการณ์การสู้รบ... มีเพื่อนอยู่ในกองทัพ............. การยิงเอ็ม.... มันไม่ใช่เสื้อแดงที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่บนเวที
ว่ารัฐบาลต้องให้แรง ไม่ใช่ไปทำละมุนละม่อม...............เป็นนายกมีอำนาจจัดการทุกกระทรวงแต่ไม่มีความกล้าหาญเด็ดขาด......... คุณสั่งถอยทำไมล่ะ.....ขนาดต้องทำตามเงื่อนไขเขา..ได้อย่างไร...
ผบ.ทบ.คิดว่าการเมืองแก้ด้วยการเมือง ก็ไม่ถูก.......
ทางเสื้อแดงถูกปล่อยปละละเลยมาเป็นปี ก็เติบโตไปเรื่อย มีคนมากขึ้น เมษาปีนี้จึงไม่ใช่เมษาปีที่แล้ว
อัญชลีถามว่าขนาดคนทั่วโลกเชื่อว่าทางรัฐบาลและทหารใช้อาวุธปราบปรามประชาชนไปแล้วจะทำอย่างไร? ตอบว่า ...ทำอยู่ขณะนี้ไม่ได้หรอก......
24 แกนนำต้องทำให้เด็ดขาด เข้าทำการจับกุมไปเลย............
ผมว่า คนพวกนี้เป็นเผด็จการนิยม อิจฉาริษยาจัด อย่างจิวยี่... อย่าง ประสงค์ สุ่นสิริ นี่ ไดโนเสาเต่าล้านปีเราดี ๆ นี่เอง ความนึกคิดของแกไม่สอดคล้องยุคสมัยเสียเลย และไม่เข้าใจประชาธิปไตย คืออะไร ไม่เข้าใจเลยเช่นนี้ก็พูดกับคนยุคใหม่ไม่รู้เรื่อง และเชื่อได้เลยว่าคำแนะนำของแก....ใครเชื่อเอาไปทำเข้าละก็.... จะนำไปสู่ความวุ่นวายยิ่งขึ้น.....อย่างคำแนะนำให้บุกไปจับแกนนำทั้ง 24 คนไปก็แล้วเรื่องนั้น..ฟังแล้วดี....แต่มันโง่ไปจริงที่คิดทฤษฎีเรื่องมนุษย์ไม่ออก หรือทหารว่า จิตวิทยาการรบ นั่นเอง ..... ขณะนี้ ที่ถูกคืออย่าทำอย่างนั้น...อย่าคิดแตะแกนนำ.......จะคุโชนอย่างรวดเร็ว......
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนนก วันที่ตอบ 2010-04-11 19:58:17
3. บุคคลห่มเหลืองใน ASTV จำลอง ศรีเมือง สาวกเทวทัต
ภาพล่าสุด บุคคลห่มเหลือง ใน ASTV พูด 12 เม.ย. 2553 ไม่พอใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่สั่งให้ทหารถอย จากการเข้าผลักดัน ขับไล่ประชาชน คืนวันที่ 10 เม.ย. 2553 บุคคล ๆ นี้ เสนอว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ควรเดินหน้าแก้ปัญหา ที่จัดการเอาคนเสื้อแดงออกไปพ้นจากกรุงเทพมหานคร ตำหนิว่ารัฐบาลมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือ แม้กองกำลังทหารติดอาวุธ ยังทำไม่สำเร็จ (บุคคลนี้ชื่อ จันทร์ สังกัดสันติอโศก พวกเดียวกับจำลอง ศรีเมือง กินผักกินหญ้ เป็นอาหาร สถานะของคนพวกนี้ไม่ได้ชื่อว่า สงฆ์ หรือ พระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา ในนิกายเถรวาทไทย พวกเขาเรียกตัวเองว่า สมณะ) เหตุที่กินผักกินหญ้าเป็นอาหารก็เพราะปรารถนาบำเพ็ญเป็นผู้มีเมตตาหาประมาณมิได้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ 10 เม.ย. 2553 ว่าเป็นการรุนแรง มีการฆ่าผลาญชีวิต ตายไปถึง 23 คน บาดเจ็บ กว่า 800 เช่นนี้แล้ว บุคคลผู้นี้ยัง กลับสนับสนุนให้ทำการล่าล้างผลาญชีวิตประชาชนมือเปล่าต่อไปอีก.......ถ้าประชาชนสังเกตหน่อยก็จะทราบว่าพวกสันติอโศก รวมทั้งบุคคลในภาพผู้นี้ด้วย มักพูดถึงรื่องราวที่สูง ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ คือชอบพูดเรื่องพระอริยบุคคล และอ้างว่าพวกสันติอโศกล้วนเป้นผู้มีคุณธรรมสูงล้วนสำเร็จโสดาบันกันทั้งนั้น ระดับพระโสดาบัน ไปจนถึงพระอรหันต์ อย่างคุณจันทร์บุคคลห่มเหลืองในภาพนี้ก็เป็นประเภทสวมแว่นสีเดียวกัน คือมองตนเองสูงส่งเป็นพระอริยบุคคลไปตาม ๆ กัน แต่แท้จริงเป็นคนกลับกลอกอย่างไม่น่าเชื่อ...
สาวกเทวทัต แล้วคนพวกเดียวกันคือ จำลอง ศรีเมือง ก็ชุมนุมสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตรฯ ซึ่งเดิมเราเรียกว่าม็อบสนธิจำลองประชาธิปัตย์ ซึ่งได้มีเครือข่ายเอเอสทีวี ทีวีโฆษณาชวนเชื่อ เป็นเครื่องมือหลอกลวงปลุกระดมมวลชนด้วยความเท็จทุกประการ และคล้ายเป็นการยื่นคำขาด ราวกับว่าตนเป็นเจ้าชีวิตอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่าให้ทำการสลายชนเสื้อแดงภายใน 7 วัน หากภายใน 7 วันรัฐบาลทำไม่ได้ พวกเขาจะทำเอง ซึ่งความหมายในคำพูดก็คือจะเข้าทำการสลายพวกเสื้อแดงเอง ด้วยกำลังมวลชนของพวกเขา ซึ่งไม่ทราบว่าจะทำได้อย่างไร เพราะแม้ทหารที่ติดอาวุธก็ยังสลายไม่ได้ พวกเทวทัตจะใช้อะไรสลาย ????? แต่ประเด็นก็คือ จำลอง ศรีเมือง มีสิทธิอะไรจะดำเนินการเช่นนั้น ?????? จำลอง ศรีเมือง ไม่คำนึงหลักกฎหมายที่ปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรมเลยหรืออย่างไร ?????? อะไรคือสิทธิตามกฎหมาย ที่จะอนุญาตให้คุณทำเช่นนั้นได้ ??????? มีความสำนึกทางประชาธิปไตยบ้างหรือเปล่า ???????? แล้วคืนวันที่ 18 เม.ย.2553 เวลาประมาณ 03.00 น. ทหารก็เข้ามาจุกรอบ ๆ บริเวณราชประสงค์ที่ชุมนุมเสื้อแดง พร้อมติดอาวุธสงคราม เตรียมเข้าโจมตี แต่ทางเสื้อแดง ซึ่งพวกเขายังคงมีจำนวนนับหมื่น ๆ ชีวิตพร้อมอุดมการณ์สันติ อหิงสาเหมือนเดิม ซึ่งยืนยันการเรียกร้อง ยุบ สภา ตามระบอบประชาธิปไตยก็เตรียมพร้อมสู้ เพียงด้วยมือเปล่า เราไม่คิดว่านี่เป็นการท้าทายทหารผู้ถืออาวุธ แต่นี่คือควมจริงใจของชนเสื้อแดงผู้กล้าตายพร้อมอุดมการณ์ประชาธิปไตยในจิตใจของพวกเขา
เราคิดว่า นายจำลอง ศรีเมือง บัดนี้ เป็นผู้หลงผิด และหลงทางธรรมไปอย่างสุด ๆ แล้ว จนกระทั่งเขาลืมสติไปแล้วว่า สิ่งที่ตนเรียกร้องนั้น คือ การเรียกร้องให้รัฐบาล ปราบปรามประชาชนคนเสื้อแดง แม้ด้วยการใช้อาวุธเพื่อให้แล้วเสร็จลงใน 7 วัน จำลอง ศรีเมืองแทบไม่แสดงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 ซึ่งเป็นการปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธ ทางบกและทางอากาศปานสงคราม โดยที่ประชาชนมือเปล่า จนกระทั่ง บัดนี้เสียชีวิตไปถึง 25 คนแล้ว ยังมีคนเจ็บอยู่ในห้องฉุกเฉินไอซียูอีกถึง 6 คน และป่วยอยู่โรงพยาบาลอีก 134 คน ซึ่งนี่คือ ไม่มีสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์อยู่ในจิตใจของนายจำลอง ศรีเมือง ต่อไปอีกเลย บัดนี้เขาคือคนบาป อสูรร้าย และนี่คือสัญลักษณ์ของทาสเทวทัตโดยสมบูรณ์ ......และนรกคือที่เขาจะได้รับการเชิญตัวและวิญญาณไป
นายจำลอง คนนี้ไม่ได้เคยติดตามดูอุดมการณ์ของเสื้อแดง ว่าพวกเขาสงบสันติและอหิงสา และต่อสู้ตามสิทธิครรลองประชาธิปไตยโดยแท้จริง พวกเขาไม่เคยยกพวกเข้ายึดที่ทำการรัฐบาล เช่นไม่เคยยึดทำเนียบรัฐบาล เหมือนพวกนายจำลอง ซึ่งยึดไว้เป็นเวลานานถึง 193 วัน อันเป็นความผิดฉกรรจ์ ตามหลักสากลประเทศ เพราะทำเนียบรัฐบาลหมายถึงศูนย์รวมอำนาจการบริหารสูงสุดของประเทศ ผู้รุกรานศูนย์อำนาจการบริหารสูงสุดของประเทศ นั้นย่อมเท่ากับกบฎ ทั้งนี้ตามหลักการของรัฐศาสตร์สากล นายจำลองเองน่าจะเข้าใจเพราะเคยเรียนหนังสือมาสมควรอยู่ และที่สำคัญพลเสื้อแดงไม่เคยกระทำการละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ เช่นที่พวกนายจำลอง ศรีเมือง เคยได้กระทำมา นั่นคือการปิดถนนราชดำเนินกั้นมิให้ขบวนพยุหยาตราทางสถลมาร์ค ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงษ์ ที่เสด็จไปในพระราชพิธีศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในยุครัฐบาลสมัคร และความผิดต่อกษัตริย์นี้ก็ยังไม่ได้รับการชำระโทษ ......ถ้ารำลึกไปแล้ว ก็จะพบเองว่า จำลอง ศรีเมือง ซึ่งบัดนี้มานำหมู่ประชาชนหมู่หนึ่งซึ่งน่าจะมาร่วมเพราะความเข้าใจผิด แทนสนธิ ลิ้มทองกุล เขาไม่ได้ชื่อว่านักปฏิบัติธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานต่อไปอีก ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเขาเป็น นั่นคือ พระอริยบุคคล ...ระดับสูงเสียด้วย (ว่าตนเป็นถึงระดับอนาคามีนู่น) แต่แท้ที่จริงคือ เพียงคนกินผักกินหญ้าเป็นอาหาร(เหมือนธรรมชาติของวัว ควาย ฯลฯ) และเป็นคนพาลเต็ม สมบูรณ์แบบ นั่นคือ ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ร้าย ๆ ผิดศีลและธรรมไปอย่างสุด ๆ แล้ว.....และที่สำคัญเขารู้ธรรมะน้อยเกินไป จนไม่เข้าใจสาระหลักของประชาธิปไตยว่าแท้จริงเป็นเนื้อหาของพระพุทธศาสนธรรม ที่นักประชาธิปไตยทั้งโลกเอามาเป็นหลักการปกครองในยุคใหม่ของโลก . ชาวพุทธทั้งปวงพิจารณามาดังกล่าวแล้ว ควรอัปเปหิไปเสีย.....แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองจึงจะกลับคืนมา.......
ล่าสุด เอเอสทีวี ดึกวันที่ 13 เม.ย.2553 ผู้ประกาศทั้ง 2 ดูประกาศข่าวเข้มข้นขึ้นทันที ภายหลังเอาข่าวสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงว่า ประเทศไทยถูกกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งยึดครองอยู่ ขอให้ช่วยกันกำจัดออกไป ผนวกกับการแถลงข่าวของพรรคการเมืองใหม่ ที่ว่ารัฐบาลไม่ควรยุบสภา แล้วมีข่าวท่านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ผู้ประกาศทั้งสองอ้างข่าวจากแหล่งข่าวอะไรไม่ชัดเจน แต่วิเคราะห์ว่าท่านทักษิณกำลังหาเงินหาทอง อีกหน่อยก็จะได้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีอีกครั้ง ทำนองนั้น... การที่เอาข่าวเอเอสทีวีมาขึ้นที่ช่องนี้ก็เพราะสังเกตว่าเอเอสทีวีเริ่มเข้มข้นขึ้นในคืนนี้แล้ว นั่นย่อมบอกสถานการณ์อะไรสักอย่าง วิธีการต่อสู้ของเอเอสทีวีเคยผ่านความยากลำบากมาตลอดเพราะการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตาย ไม่คำนึงชีวิต ไม่คำนึงผิดหรือถูก แบบที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยพาพวกต่อสู้มาเจอคดีกว่า 100คดี ก็โดยแบบตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง (หรือแบบหมาจนตรอก) แต่ผู้ประกาศทั้งสองนี้ดูจะต้องระวังสักหน่อยในเรื่องหมิ่นประมาท เพราะการวิเคราะห์ไปทุกเรื่องแบบที่เราไม่มีพื้นฐานความรู้เลย จะอาจจะพลาดได้ เว้นแต่จะดันไปแบบสนธิลิ้ม แบบตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง เดี๋ยวจะเสียอนาคตไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ฐานหมิ่นประมาท
4. ASTV. กล่าวหาว่าแดงคิดล้มฟ้าล้มแผ่นดิน
ASTV รายการรู้ทันประเทศไทย วันชัย สอนศิริ ทนายความหัวเก่า กับ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้มีจิตใจเปี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉาริษยาอย่างขมขื่น ต่อท่านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ กำลังทำสิ่งที่เรียกว่า การโฆษณาชวนเชื่อ ......... ให้ร้ายแด่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ และฝ่ายแดงประชาธิปไตยทั้งแผ่นดิน
สรรหาข่าวเรื่องร้าย ๆ มาขยายความออกไป......เพื่อใส่ร้ายให้สมเหตุผล เพื่อจะให้ไปสู่ข้อหาใหญ่ คือ ทักษิณเป็นขบวนการล้มจ้าว ....
นั่นไง ไปถึงข้อหาร้ายแรงเลยทีเดียว อันเป็นเป้าหมายของการโฆษณาชวนเชื่อ นั่นคือพยายามไปลงท้ายว่า เสื้อแดงมีเป้าหมายสูงสุดที่ "ล้มฟ้าล้มแผ่นดิน" คำนี้ เป็นถ้อยคำของ วันชัย สอนศิริ จำไว้เป็นหลักฐานสำคัญ เพื่อชำระให้สะอาดภายในระบอบประชาธิปไตย
วันชัย สอนศิริ กล่าวด้วยความเคียดแค้นอย่างแสนสาหัส ในเรื่องสื่อของเสื้อแดง ว่ากันเก็บอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทางโทรทัศน์ ปิดทางนี้ มันไปโผล่ทางนู้น ทางวิทยุก็หลายหลาก มีทั่วทุกทาง ทางหนังสือ สิ่งพิมพ์ก็มากมายเต็มตลาด (มันใช้อิทธิพลเงิน) มันสามารถทำได้อย่างไม่อาจจะกีดกั้นได้ สิ่งเหล่านี้ฉีดเข้าประชาชน ประชาชนก็หลงไปตามมัน................
คน 2 คนนี้มีระดับความคิดที่ต่ำเกินจะไปเข้าใจเรื่อง ความเป็นมนุษย์ ไม่เข้าใจว่า สิ่งนี้คือ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ....... ตรงที่พวกเขาไม่เข้าใจคือ นี่คือธรรมะ สำหรับดื่ม เพื่อความเจริญของประชาธิปไตย .......... ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ ที่พวกเขาชำนาญการทำมานาน .....
คนเสื้อแดง เสพเสรีภาพ ภราดรภาพ และ ความเสมอภาค ไม่รู้อิ่ม ยิ่งเสพยิ่งมีความสุข สงบและความหวัง..........ไม่แตกต่างจากการเสพธรรม..................ธรรมะ...เสพทุกวัน ๆ ทุกชั่วโมง ทุกนาที ยิ่งดี............
นั่นไง.......แดงที่แท้จริงคือ สันติ อหิงสา......
นี่ก็คือ ยอดธรรมะ ที่เหมาะสมจะเสพ บ่อย ๆ ทุกวันทุกชั่วโมง.......ขอเน้น เสพธรรม ไม่ใช่เสพการโฆษณาชวนเชื่อ แบบเอเอสทีวีทำ
เขาเป็นนักประชาธิปไตย ..... จริง ดร.เจิมศักดิ์ควรจะสรรเสริญพวกเขามากกว่า .............ต่างประเทศ นานาชาติเขาก็ยอมรับ............เพราะต่างประเทศเขาเป้นประชาธิปไตยหมดแล้ว เขาเข้าใจประชาธิปไตยดี แต่ เจิมศักดิ์ กับ วันชัย นี่สิ รวมทั้งพวก เอเอสทีวี ยังไม่เข้าใจ
เสื้อแดงฟังไว้ วันชัย สอนสิริ เจิมศักดิ์ ปิ่นทองว่า "จิตใจคนเสื้อแดงต่ำเพียงสัตว์เดรัจฉาน .............มันทึ้งกันยิ่งกว่าสัตว์ป่า ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ..........." คุณพูดอย่างนี้ คนที่จะแค้นและเป็นสัตว์เดรัจฉานตามไปก็คือ คนกลุ่มอื่น (เอเอสทีวี) นี่เอง รวมทั้งคนที่พูด ทนายวันชัย กับ ดอกเจิมศักดิ์ นี่แหละจะเป็น..........อย่างที่พูดตามไปจนได้ ยิ่งพูดบ่อยก็ยิ่งจะเป็นเร็ว ๆ ๆ ๆ ๆ..... ไม่ใช่เสื้อแดง.....
ทนายวันชัย นี่รู้กฎหมายอยู่ฉบับเดียวละมั้ง ทำไมแคบจังล่ะ.......... ไปดูรัฐธรรมนูญบ้างซี......และการอ่านกฎหมาย ให้เข้าใจสาระจริง ๆ ของกฎหมายด้วย อย่าจำเอาเพียงตัวอักษร......
ไปจับกบฎยึดทำเนียบก่อนเถิด..................
อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เขาเป็นวีรบุรุษ...ตั้งแต่ สถานการณ์พัทยา 2552 ยอมรับซีทนายความ......
- ผู้แสดงความคิดเห็น แดง ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2010-04-21 19:53:34
5. ล่าสุด 25 - 26 เมษายน 2553
สาเหตุเพราะรัฐบาลไม่ยอมมองปัญหาของประชาชน
ล่าสุด 26 เม.ย. 2553 เวลา 21.30 น. แกนนำ นปช. พายัพ ปั้นเกต เตรียมรับการสลายการชุมนึมของฝ่ายรัฐบาล ภาพนี้มาจากเวบไซต์ อีกเวบหนึ่ง ที่ผลัดเปลี่ยนกันหลบเลี่ยงการปิดกั้นของรัฐบาล ทำให้การสื่อสารของคนเสื้อแดงยังคงเดินไปได้
ล่าสุด 25 เม.ย. 2553 เย้น เสื้อแดงเปลี่ยนยุทธวิธีการรับ สุเทพ-อภิสิทธิ์ เตรียมสลายเสื้อแดงอีกครั้งหนึ่ง โดยให้เปลี่ยนเป็นเสื้อไม่มีสี หรือสวมเสื้อสีอื่น ทิ้งสัญลักษณ์ชั่วคราวเพื่อประโยชน์ในการต่อสู้ ทำให้การเดินทางเข้าร่วมในเวทีราชประสงค์สะดวกและคับคั่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีนี้ เนื่องมาจากการออกอากาศรายการไทยเข้มแข็งวันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ออกรายการด้วย ซึ่งปรากฎว่า ถูกยิงคลื่นสกัดสัญญาณทำให้ต้องหยุดการถ่ายทอดไปเป็นเวลาประมาณ 10 นาที (ซึ่งทำให้มีผู้เรียกร้องให้ถอดถอนนายสาธิต วงศ์หนองเตย ออกจากตำแหน่ง ฐานที่ทำให้เกิดความบกพร่องครั้งนี้) นายอภิสิทธิ์เน้นว่าจะต้องขอพื้นที่คืนให้ได้ พล.อ.อนุพงษ์ ว่าทหารไม่ได้ปล่อยเกียว่าง แต่การจะสลายมวลชนนั้นต้องรอจังหวะ คืนวันที่ 25 เม.ย. 2553 เสื้อแดงยังคงคับคั่งและเหนียวแน่น พร้อมสู้ ในด้านสถานการณ์ ฝ่ายแดงใช้การสกัดมิให้กองกำลังตำรวจที่ได้รับคำสั่งให้เข้ามาสลายการชุมนุม หยุดการเดินทางเสีย (ที่จริงตำรวจเองเป็นฝ่ายขอร้องโดยลับ ให้ส่งคนไปสกัด เพราะตำรวจเองก็เหนื่อยหน่ายไม่ชอบงานปราบปรามประชาชนอยู่แล้ว แต่ทำเป็นรับคำสั่งของรัฐบาลเผด็จการไปเท่านั้นเอง) ทางด้านต่างประเทศ โทรทัศน์ อัลจาชีรา ยังคงติดตามรายงานข่าว โดย Wayne Hey รายงานภาคดึก ประมาณ 22.20 น. วันนี้ ว่าฝ่ายแดงเปลี่ยนสีเสื้อเป็นหลากหลายสี และยังนำสารคดีชีวิตของคนเสื้อแดงระหว่างอยู่ในการต่อสู้ที่แยกราชประสงค์เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย มีความยาวประมาณ 5 นาที ออกอากาศต่อไป ทำให้ภาพฝ่ายประชาชนแดงดีขึ้น
เมื่อมีการเข้าสลายการชุมนุม เราจะรายงานที่นี่
26 เมย.2553
20.00 น.
เราได้รับทราบจากรายงานของสื่อต่าง ๆ ว่า มีการเคลื่อนไหวของทางฝ่ายทหาร นำโดยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่พยายามเคลื่อนกำลังเพื่อทำการสลายการชุมนุมประชาชนแดง ณ สี่แยก ราชประสงค์ สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ มีม็อบ ที่เรียกว่า พันธมิตรประชาชนฯ หรือ พธม. ออกมาทำการบีบบังคับรัฐบาลอย่างเปิดเผย ให้ทำการสลายเสื้อแดงที่ราชประสงค์ให้จงได้ ล่าสุด เราได้ทราบว่า หัวหน้าม็อบกลุ่มนี้ ซึ่งเป้นนักกินผักกินหญ้า นามว่า จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเราให้สมญาว่า อลัชชีสาวกเถรเทวทัต ถึงขนาดสั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 1 ประกาศกฎอัยการศึกจัดการกับพลเสื้อแดง รายงานข่าวที่เราได้รับมา มีข้อความว่าดังนี้ "จำลองบีบแม่ทัพภาค 1 ใช้กฎอัยการศึก เชื่อ 2 ชม.สลายแดงเรียบ สูญเสียไม่ผิดกฎหมาย" (wattanews 26 เม.ย.2553 18.38.48 น.)
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นสมควรที่จะเริ่มต้นติดตามข่าว การสลายแดงต่อไป นับแต่วินาทีนี้ (เพราะเราชักจะเชื่อแล้วว่า จำลอง ศรีเมือง มีอิทธิพล สั่งทหารไทยทั้งกองทัพได้จริง เสียแล้ว)
เราคิดว่าจะไม่พยายามฟังข่าวจากทีวีไทย เพราะเชื่อถือได้ยากยิ่ง เราจะพยายามฟังข่าวจากสื่อต่างประเทศ เป็นหลัก
เราคอยดู BBC.ตั้งแต่ 2 ทุ่ม เห็นเรือรบถุกระเบิดกลางลำ น่าดูมาก เพราะภาพที่ส่งมา ให้ Lucy Hocking อ่านในรายการ Impack Asia นั้น เห็นความแม่นยำจริง ๆ โดยระบิดกลางลำ เรือรบสะเทือนแล้วแตกออกเป็นสองส่วน แล้วจมลง..เป็นเรือรบของเกาหลีใต้..เหตุเกิดเมื่อดือนที่แล้ว....... ที่จริง BBC ก็ได้ติดตามข่าวแดงไทยมาตลอด แต่วันนี้ขณะนี้ยังไม่รายงาน........เราจะไปดู Aljazeera ต่อไป ..... ยัง ยังไม่ถึงประเทศไทย.......... ขอย่าให้มีรายงานมาเลย.......
20.25 น. แล้ว BBC รายงานข่าวเกี่ยวกับไทยโพลิติกส์ ว่า Thai King tells judge to bring peace. ไม่มีคำอธิบายอะไร เป็นเพียงข่าวสั้น ๆ เวลา 20.25 น. ซึ่งประกาศโดย Lucy Hocking
21.05 น. ตราบเวลานี้ Aljazeera ไม่มีข่าวจากประเทศไทย...... ที่เวทีคนเสื้อแดง เห็นจากรายงานข่าวทางเวบไซต์ แห่งหนึ่ง การชุมนุมยังคงคับคั่งและร่าเริง แกนนำคนสำคัญ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ยังคงทำหน้าที่อยู่ตามปกติ แสดงถึงพลังประชาชน เราได้รับข่าวการสกัดกั้นทหาร และตำรวจ ทุกทิศทางไม่ให้เข้ามาสู่กรุงเทพ จนกระทั่งทหารใช้วิธีแปลก ดังรายงานข่าว ดังนี้ "... ทหารเตรียมขึ้นเรือขนทรายจากอยุธยาล่องแม่น้ำเจ้าพระยามากรุงเทพหนีด่านคนไม่มีสี/คาดเป้าหมายราชประสงค์ รายงานเมื่อ 20.40 น. red." .....ขณะเดียวกันมีข่าวล่ารายงานว่า "จตุพรไม่ซีเรียสกรณีสลายด่านเสื้อแดงตลาดไทได้ เตือน ศอฉ.อย่าดีใจไปที่ทำสำเร็จเพราะแดงทะยอยกลับราชประสงค์เหลืออยู่แค่ 100 กว่าคน รายงานเมื่อ 20.14 น. red."
และแล้ว ก็แทบไม่น่าเชื่อว่า โทรทัศน์ไทย ได้รายงานข่าวใส่ร้ายประชาชนอย่างหนัก ช่อง 11 กลายเป็นทีวีโฆษณาชวนเชื่อ เหมือนสมุนของเอเอสทีวีไปเรียบร้อยแล้ว หมายความว่า ขาดความเป็นสถานีข่าวที่เชื่อถือได้ไปอย่างสิ้นเชิง และทั้งยังลดทอนคุณภาพของสถานีข่าวลงไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ จนกระทั่งลืมหน้าที่ของสถาบันข่าวไปเสียสิ้น เพราะข่าวทุกข่าวได้นำมาบิดเบือนใส่ร้ายคนเสื้อแดงไปทุกข่าว ทุกชิ้น ทั้งข่าวเก่าข่าวใหม่ แม้กระทั่งการนำเอาสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามาบิดเบือนโดยโง่เขลาในธรรมะ เช่นเอาวาทะท่านพุทธทาสภิกขุมาอ้างอิงให้ร้ายคนอื่น และเป้าหมายก็คือ จะให้คนทั้งหลายเชื่อให้ได้ว่าประชาชนที่ออกมาต่อสู้ทางการเมือง แบบประชาธิปไตยนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย สร้างภาพ และใส่ความทุกวิถีทางให้คนเกลียดชังประชาชนคนเสื้อแดงไปอย่างสุด ๆ และที่สำคัญพยายามป้ายเรื่องเสียหายอย่างร้ายแรงให้คนไทยกลุ่มหนึ่งว่าเป็นผู้ไม่มีความจงรักภักดี คิดล้มเจ้า และนั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลต้องการปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธ (ทำให้ได้ข้อพิศูจน์ที่แน่ชัดขึ้น กรณี 12 เม.ย.2552 ว่ามีการสั่งการฆ่าประชาชนจริง และล่าสุด 10 เม.ย. 2553 นั่นก็เป็นการล้อมปราบปรามประชาชนมือเปล่าที่ต่อสู้โดยสุจริตจริงใจ ต่อเป้าหมายทางการเมืองของพวกเขา นั่นคือ ความเป็นฆาตกร และรัฐบาลทรราช ที่โลกนับวันจะเข้าใจดีขึ้น
ความวุ่นวายทั้งหลายในประเทศไทยวันนี้ จึงเป็นเพราะรัฐบาลไม่ยอมมองปัญหาของประชาชน และไม่ยอมมองสิทธิของปัจเจกบุคคล ตามระบอบของความเท่าเทียมกันในฐานะไท ไม่ใช่ทาส ในฐานะคนผู้มีความเป็นมนุษย์ และบัดนี้ พวกเขาถูกบีบบังคับให้จำต้องป้องกันตนเอง จากความตาย จากกองกำลังอาวุธ และจากบุคคลผู้ถืออาวุธสงครามมุ่งเข้าเข่นฆ่าอย่างไมปรานี พวกเขาก็เป็นคนไทย มีบรรพบุรุษ แต่ไม่มีสิทธิในการป้องกันตนเอง ..สิทธิในการที่จะมีชีวิตอยู่ ..เลยหรืออย่างไร??? ในเมื่อแท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นเจ้าของประทศ (จะให้พวกเขาซึ่งมีเพียงมือเปล่า นอนรอคอยซึ่งการเข่นฆ่าเช่นเหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 อย่างนั้นหรือ ????) การเรียกร้องสิทธิ และการต่อสู้เพื่อสิทธิ ในประเทศที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่รัฐบาลยุคนี้ถือว่าเป็นการก่อการร้ายอย่างนั้นหรือ ? และที่สำคัญ รัฐบาลไม่เคยมองความต้องการของประชาชน ที่ต้องการความยุติธรรมทางกฎหมาย กฎหมายมีไว้เพื่อที่รัฐบาลจะอ้างไว้เพื่อการปราบปรามประชาชน เท่านั้นเองหรือ? ...และกฎหมายมีไว้เพื่อพวกพ้องของรัฐบาล ทำการโกงกินจากงบประมาณรายปีอย่างนั้นหรือ??? กฎหมายมีไว้เพียงเพื่อป้องกันพวกพ้องของรัฐบาล...จากการกระทำผิดกฎหมายเสียเอง ฉะนั้นจึงมีคำว่าสองมาตรฐานเกิดขึ้น เท่านั้นเองหรือ?? ......ทำไมรัฐบาลไม่มองตรงนี้บ้าง??? และในที่สุด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด.... นั่นเป็นของธรรมดา และธรรมชาติ แต่สมดุลของโลกทั้งโลกมีอยู่ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ มิฉะนั้นแล้วโลกก็หมุนไปไม่ได้ และโจรย่อมได้รับการตอบแทนของความเป็นโจร บัณฑิตย่อมได้รับการตอบแทนของความเป็นบัณฑิตเสมอ.....(ช่วงนี้รายงานและวิเคราะห์โดย สุไหงปาดี ชินะกุล)
6. BBC รายงาน Thailand Tension 27 เม.ย. 2553
A Second Urgent Message To Mynma
27 เม.ย. 2553
16.40 น. Thailand Tension ในชม.ข่าว Aljazeera เสนอข่าวสั้น ๆ หัวข้อว่า ประเทศไทยตึงเครียด แล้วเสนอภาพเหตุการการปิดเส้นทางรถไฟฟ้า BTS เมื่อเช้าวันนี้ ซึ่งเดิมไม่มีใครเชื่อว่า เป็นเสื้อแดงทำ และเสื้อแดงได้ปฏิเสธ ตามรายงานข่าวว่า "บชน.5 แจงตรวจสอบแล้ว นปช.ไม่ได้วางยางบนรางรถไฟฟ้า BTS แค่ตั้งแนวรับบนสถานี w. 10.28.06 น." ที่จริงมีกล้องวงจรปิดทุกสถานี สามารถดูพิศูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
มีข่าวต่างประเทศถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ของนางอ่องซาน ซุจี ผู้นำฝ่ายค้าน ที่นำประชาชนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดในย่างกุ้ง กรณี 10 ต.ค. 2550 ประชาชนออกมาร่วม 7 หมื่น พระสงฆ์อีก 3 หมื่น รวมเป็น 1 แสนคน/รูป เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย (ตามรายงานสำนักข่าวไทย ประเทศไทย) ถูกปราบปรามโดยกองทหารฝ่ายรัฐบาลทหารเผด็จการอย่างเหี้ยมโหด(โหดกว่าทหารไทยมาก) ประชาชนเสียชีวิตไปร่วม 200 คน พระสงฆ์มรณภาพไปร่วม 50 รูป(ตามรายงานข่าวบางกระแส) และให้กักกันนางอ่องซาน ซูจีไว้ เป้นเหตุให้ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกนับแต่อเมริกา อังกฤษ ทำการประท้วงมาเป็นระยะ ๆ ให้คืนประชาธิปไตยให้แด่ประชาชนชาวพม่า คราวนี้นางอ่องซาน ซุจี เพิ่งให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ในประเทศไทยมีสาเหตุมาจากคณะเผด็จการปกครองประเทศ ข้อความตามรายงานข่าวว่า "ซูจีมองไทย เผด็จการทำวุ่น ปณิธานสวนพม่าปิดกั้นข่าวเลยไม่รู้ความจริง wat. 26เม.ย.2553 11.36.05" การที่เราให้ความสนใจข่าวนี้ก็เพราะ ทางคณะรัฐประหาร-ปฏิวัติไทย 19 ก.ย.2549 ได้มองพม่าเป็นแบบอย่าง แต่กลับประเมินสถานการณ์ประชาชนไทยผิดพลาดไปมหันต์ จึงทำการยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549 อย่างผิดพลาด สร้างความเสียหายแด่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่โตมาจนถึงปัจจุบันนี้ คนอย่างนายปณิธาน วัฒนายากร ก็ยังมองไม่เห็นความผิดพลาดอย่างไร และยังมองไปถึงการปิดข่าวในพม่า แท้จริงเป็นเพราะรัฐบาลพม่าเองเป็นผู้ปิดข่าว โดยทำการปิดกั้นสื่ออย่างสนิท เดิมชาวโลกสามารถรับข่าวจากสถานีโทรทัศน์เมียนมาทีวี 1-2-3 ได้ ทำให้ทราบเรื่องราวในพม่าบ้าง แต่บัดนี้รัฐบาลเผด็จการได้ทำการปิดสถานีข่าว เมียนมาร์ทีวีเสียสนิท จนกระทั่งบัดนี้พม่าเป็นแดนสนธยา ไม่มีใครทราบเรื่องภายในอะไรในพม่าเลย และรัฐบาลอภิสิทธิ์-นายสุเทพ ประเทศไทย พยายามทำตามอย่างที่ผิดพลาดเช่นนั้นทำไม?????
17.00 น. อัลจาชีรา ถ่ายทอดข่าวสั้น เกิดการตีกันในขณะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรประเทศ Ukrain ถ้ามองแบบการกีฬาชนิดหนึ่งก็น่าดูไปอีกแบบหนึ่ง มีการยื้อยุดประท้วงขณะมีผู้อภิปราย บนบัลลังก์ แล้วมีการโยนของใส่กันและกัน แล้วมีต่อยตีกันปากแตกเลือดอาบไปหลายคน มีการโยนแก๊สหลังที่ประชุมควันโขมง อยู่ชั่วขณะการประชุมจึงสงบ เป็นการประชุมเพื่อผ่านกฎหมายฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเรือ(อัลจาชีรา ยังนำมาออกซ้ำอีกหลายครั้ง คงมองว่าดูสนุกดีเหมือนกัน)
ในเวลาก่อนที่จะเกิดฆ่าล้างผลาญกันอีกครั้งในพม่า หลังเหตุการณ์ 10 ต.ค. 2550 ทางเรายังได้เตือนไปยังรัฐบาลพม่า ให้ระวังการก่อกรรมบาป ถึง 3 ครั้ง เราจะยกมาให้ฟังครั้งที่ 2 ดังนี้ :-
A Second Urgent Message to Myanmar
According to tv news in Thailand and all over the world especially BBC in England and VOA in America today; October 31, 2550[2007], everyone sees a long parade of the monks in Union of Myanmar, marching along the road to protest the government of Myanmar about the soldier regime. They want not dictator. But they call for freedom. They want not autocracy. But they want democracy. These news remind us the sad stories in Myanmar last October 10,2550[2007]. For in the day,the government did a heavy sins. A specific source said more than 50 monks were killed which was an unexpected event in Myanmar. For Myanmar has been the land of pagodas or the land of yellow robes where Buddhism has been established firmly. The world has accepted many good things from Buddhism Myanmar. But today Myanmar seems to have a great change. They change from freedom to slavery. From grand expansive to narrow-minded and backward thought. From merciness to cruelty. So it seems the people of the world are being afraid that those monks marching in the street would be harmed, or killed as well as those eliminated in October 10,2550[2007]. Not only the European and American countries but all countries in the world dislike violence. Now the soldier regime in Myanmar is trying to do what would result a bad luck to its own country. For example; The minority groups in the border of Myanmar who are different in race and believes would grow stronger and cause a more trouble to all Myanmar and to its believe in its olden religion. What would reflect a justice conscience from the present ruler? So I would like to beg for peace not violence.To live not to die. The only way is to give the people a new constitution with freedom, liberty and equality. Men in uniform should withdraw. Best Wish from Me.
(โปรดติดตามไปอ่านเรื่องราวของ Messages ทั้งหมดที่เราเตือนไปยังพม่า คลิกที่นี่)
ข้อคิดก็คือ ต่อมาผลกรรมบาป ที่ฆ่าภิกษุและประชาชนคราวนั้น ประเทศพม่าได้เกิดพายุ นากิสถล่ม คนพม่าตายไปกว่า 1.5 แสนคน มากพอ ๆ กับคนตายรวมกันของสินามิของประเทศแถบทะเลอันดามัน ปีนั้นเสียอีก คงจะจำได้.....
(ข่าวสำคัญ....คลิก)
7. สงครามจิตวิทยา แม้ปิดสื่อแดงหมด แดงก็ยังคงชนะ
สาระของสถานการณ์ 8 เม.ย. 2553 คือวาทะแห่งความจริง
ล่าสุด 28 เม.ย. 2553 แกนนำ นปช. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ชี้แจงเหตุผลที่ให้เคลื่อนพล นปช.ในนามเสื้อไม่มีสีไม่มีเส้น โดยมอบหมาย ขวัญชัย ไพรพนา นักรบประชาชนสันติวิธี อหิงสา มือเปล่า ไปที่ตลาดไท โดยเหตุผลว่าทางรัฐบาลได้ปิดกั้นสื่อ ของประชาชนทุกชนิด ไปจนถึงเวบไซต์ โดยอิทธิพลเครื่องมือของรัฐที่เหนือกว่าทุกประการ เพื่อปิดกั้นความจริงของคนเสื้อแดง จึงต้องการส่งหน่วยเคลื่อนที่ไปประชาสัมพันธ์ความจริงให้ประชาชนทราบ โดยเพียงเครื่องขยายเสียงติดหลังคารถหกล้อ สู้กับสื่อของรัฐทุกช่องทีวี ทุกช่องวิทยุ ฯลฯ (รวมทั้งหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาทหาร ราบ 11 อ่อน ๆ นั้นด้วย) นายณัฐวุฒิ และเสื้อแดงมิได้ท้อถอยลงตามที่รัฐบาลคาดหวัง แต่กลับกร้าวแกร่งแข็งแรงและมีเหตุผลตามอุดมการณ์อันสูงส่งเพือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้มือเปล่าก็ยอมสละชีวิตได้แล้ว ขอให้รัฐบาลฟังเหตุผลการเรียกร้องให้ยุบสภาให้ได้ แต่รัฐบาลกลับทำการรังแกข่มเหงประชาชนแรงขึ้นไปตามลำดับ จนบัดนี้รัฐบาลกำลังสร้างข้อหาที่ฉกรรจ์คือ การก่อการร้าย และเมื่อยังไม่ได้รับการตอบสนองจากต่างประเทศ ก็เพิ่มข้อหาไปอย่างสูงสุดคือ ขบวนการล้มจ้าว (โดยเสี่ยงอย่างยิ่ง ต่อการพ่ายแพ้ทางกฎหมาย ถึงแม้จะเชื่อว่าตนคุมกระบวนการยุติธรรมไว้ได้ก็ตาม) เพื่อเป็นเหตุผลที่ทำการสลายประชาชนด้วยกองกำลังทหาร อาวุธ และมาตรการสงคราม กระทำกับคนมือเปล่า นายณัฐวุฒิจึงได้ขอร้อง บางคนอาจจะนึกว่าท้าทาย ให้นัดวันที่รัฐบาลพร้อมจะสลายประชาชน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปรับทราบจะได้ไม่หลงเข้ามาสู่บริเวณที่อาจเป็นอันตรายได้ ส่วนประชาชนเสื้อแดง อย่างไร ๆ พวกเขาไม่ถอยให้รัฐบาล....ซึ่งในเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้ประเมินสถานการณ์ประชาชนผิดพลาดมาตลอด ก็กำลังจะผิดพลาดต่อไป (เขาไม่เข้าใจว่าจิตใจนักรบพัฒนามาได้อย่างไร และจิตใจอย่างไรที่ไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวอด ไม่กลัวตาย และไม่กลัวนรกสวรรค์) .
การเจรจา ปราศรัย ในวันนี้ ไม่ว่าทางฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ต่างก็มีความหมายในเชิงสงครามจิตวิทยาด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ฝ่ายรัฐบาลอ่อนด้อย แม้คุมสื่อโทรทัศน์ทุกช่องไว้หมดแล้ว ก็ยังไม่สามารเอาชนะได้ทางสื่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนสัตว์ คือใช้กำลัง แล้วรัฐบาลจึงพาลหาเรื่องใส่ร้ายฝ่ายประชาชนจนต้องทำการปิดกระบอกเสียงของฝ่ายประชาชนเสีย ให้ฝ่ายตนพูดได้อยู่ฝ่ายเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็พูดบิดข่าวทุกข่าว ใส่ไคล้คนเสื้อแดง และเอาดีเข้าตัวเองล้วน ๆ แต่แม้กระนั้นผลก็ยังคงเหมือนเดิม เมื่อคนทั้งหลายได้ฟังได้ชมการต่อสู้ด้านจิตวิทยาการพูดแล้ว จึงเข้าใจประเมินได้ว่าผู้นำ นปช.แทบทุกคน มีความสามารถเชิงการเจรจา ปราศรัย ที่เหนือกว่าฝ่ายรัฐบาลมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้นำคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางฝ่ายรัฐบาลแล้ว พบว่านายอภิสิทธิ์พูดไม่มีเปอร์เซนต์หรือเครื่องหมายของเครดิต โดยปรากฎมาตั้งแต่จัดรายการเชื่อมั่นประเทศไทยทางทีวีช่อง 11 หอยม่วง ที่ไม่มีเรตติ้งขึ้นเลย ขณะที่ดีสเตชั่น ทำได้ดีจนฝ่ายรัฐบาลเคียดแค้น อิจฉาริษยาและโดยที่มีอำนาจของรัฐอยู่ในมือ จะทำอะไรก็ได้ ก็ใช้อำนาจปิดช่องดีสเตชั่นเสีย อย่างไม่ชอบด้วยหลักการประชาธิปไตย และที่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ครั้นต่อมาฝ่ายประชาชนได้ต่อสู้สร้างสื่อขึ้นมาใหม่คือ พีเพิ่ล ชาแนล สู้กับโทรทัศน์ไทยทั้งหมด ก็กลับเรียกคนดูทั้งประเทศได้ดียิ่งขึ้น จนกระทั่งเกิดปรากฎการณ์แดงทั้งแผ่นดิน และลัทธิสันติ อหิสกธรรม ขึ้นมา ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดไม่ได้ดีเท่าที่ควร แม้พยายามเอาข้อได้เปรียบเฉพาะตนมาใช้อย่างเต็มที่(เขาคิดว่าเขารูปหล่อหน้าตาดีผู้หญิงกรีดกราดเมื่อเห็นหน้าเขา แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น โหงเฮ้งเขาเสียหาย อาภัพอัปลักษณ์มาก) เพราะ ยิ่งพูด ยิ่งสร้างภาพเท็จที่บิดเบือน เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น ยิ่งมีคนเกลียดชัง (ปรากฎความจริงที่ไม่เคยมีปรากฎในประเทศไทยก็คือมีประชาชนที่ทนดูทนฟัง หรือทนดูหน้านายอภิสิทธิ์ไม่ได้ ไม่รู้จะระบายอย่างไรก็ใช้ฝ่าเท้ากระทืบไปที่จอโทรทัศน์ ขณะที่เห็นหน้านายอภิสิทธิ์ โผล่ออกมาทางจอ และไม่ยอมฟังสื่อโทรทัศน์ของรัฐอีกต่อไป ซึ่งเป็นความจริง ดูจากเรตติ้งได้) นั่นก็เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ ไร้ความสามารถทางการเจรจา ปราศรัย ในเชิงจิตวิทยาการสื่อสาร นั่นเอง และเหตุปัจจัยที่สำคัญก็คือ การพูดตลบแตลง เอาตัวรอดไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเองคือสาเหตุหลัก ของความเกลียดชัง ในขณะเดียวกันการพูดของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธ์ วีระ มุสิกพงษ์ อดิศร เพียงเกษ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย เหวง โตจิราการ ชินวัตร หาบุญพาด ขวัญชัย ไพรพนา ก่อแก้ว พิกุลทอง (เทียบกับคณะโฆษกตลบแตลงรายวันอย่างเทพไท เสนพงษ์ กษิต ภิรมย์ สรรเสริญ แก้วกำเนิด สุเทพ เทือกสุบรรณ สาธิต วงศ์หนองเตย หรือ ปณิธาน วัฒนายากรดูก็ได้) เป็นการพูดที่เต็มไปด้วยสาระความจริง มีเหตุผลหนักแน่น และแน่นอนความแรงย่อมมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่แรงเพราะไร้ความจริง แต่แรงไปตามสาระเนื้อหาของเหตุการณ์หรือความจริงนั้น (เช่นความจริงเบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ที่เริ่มเปิดเผยออกมาเรื่อย ๆ และคนเชื่อในเหตุผลนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราจะกล่าวหาว่าพูดรุนแรง หรือโฆษณาชวนเชื่อก็ไม่ได้ เพราะเป็นการกล่าวไปตามเนื้อหาความจริงอยู่ เพียงแต่เนื้อหานั้นเป็นเรื่องสำคัญและแรง อารมณ์ก็แรงตามไปด้วย นั่นคือความจริง) ฉะนั้น จริง ๆ แล้วรัฐบาลแพ้ทุกทาง แม้กระทั่งการเจรจา ปราศรัย ของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะนี้ ก็เทียบกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยาก การปลุกใจประชาชนทำได้ยากที่จะทำได้อย่างเขา นี่เป็นเหตุผลที่รัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลต้องนำไปตรึกตรองดู และควรยอมรับสิ่งที่ควรยอมรับ โดยให้ตรงตามที่นายอภิสิทธิ์พูดไว้บ่อย ๆ ที่ว่า ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อประเทศชาติ ล่าสุดบอก บีบีซีว่า จะยอมลาออกหากทำประโยชน์อะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ก็ขอให้พิจารณาตนเอง....(โปรดคลิกไปฟังณัฐวุฒิพูดล่าสุดก็จะพบว่าที่กล่าวมาไม่เกินความจริง ณัฐวุฒิพูดจาปราศรัย ได้เยี่ยมยอดยากที่นายอภิสิทธิ์จะลอกเลียนทัน) .
8. BBC & Aljazeera รายงานข่าวสลายแดง 28 เมษายน 2553
เมื่อมีการเข้าสลายการชุมนุม เราจะรายงานที่นี่
28 เม.ย. 2553
15.40 น. ข่าวต่างประเทศ บีบีซี และ อัลจาชีรา รายงานสั้น ๆ ช่วง เบรคข่าว พร้อม ๆ กัน ว่าประเทศไทยยังคงสับสนวุ่นวาย หาความสงบไม่ได้ Thailand Unrested เกิดการปะทะระหว่างเชิร์ตแดง กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รายงานด้วยภาพทหารใช้อาวุธปืนยิงตรงไปยังประชาชนเสื้อหลายสี และเห็นประชาชนเสื้อหลายสีวิ่งหนีไป เหตุเกิดที่ถนนเส้นหนึ่งนอกเมือง ข่าวท้องถิ่นรายงานว่า นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนสำคัญภาคอีสาน ที่ถูกหมายจับอยู่ ได้นำกำลังเสื้อแดงหลายสีไปด้วยรบกะบะ 100 กว่าคัน ไปที่ตลาดไทเพื่อปลอบขวัญประชาชนที่นั่น แต่ไปยังไม่ถึง ทหารได้ยกกำลังเข้าสกัดทั้งหน้าหลังขบวน จึงเกิดปะทะกันขึ้น จากนั้นก็มีฝ่ายเสื้อแดงยกออกมาอีก 3 จุด จากปทุมธานี การสูญเสียขณะนี้ยังไม่มีร้ายแรง ทางข่าวต่างประเทศรายงานว่าทหารเสียชีวิต 1 คน แต่ประชาชนบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง เพราะในขณะเกิดเหตุได้เกิดฝนตกลงมาขนาดใหญ่ ทำให้การประจันหน้าลดความตึงเครียดลงไป การจราจรติดขัดหนัก ขณะรายงานนี้เป็นเวลา 16.20 น. สถานการณ์ยังไม่สงบ ...มีข่าวล่าว่านายขวัญชัย ติดต่อกับราชประสงค์ได้แล้ว มีรายงานสรุปว่า "เหตุปะทะอนุสรณ์สถานเสื้อแดงเจ็บ 10 ทหารเจ็บ 1/ทหารยิงมั่วกระสุน M16 ทะลุกระจกรถเมล์ทำให้ปชช.แตกกระเจิง/ขวัญชัยปลอดภัยดีอย่าห่วง.".รายงานเมื่อ..16.21.50 น.
17.32 น. สถานการณ์สงบ ต่างฝ่ายต่างกลับที่ตั้ง แดงวิภาวดีสลายตัวแล้ว ทหารก็กลับที่ตั้ง ยังตำรวจ ทำหน้าที่การจราจรเร่งระบายรถ นายขวัญชัย ไพรพนาปลอดภัย นั่งรถตู้หนีตำรวจทหารไปได้ ขึ้นเวทีราชระสงค์ พร้อมดีเจอ้อม เป็นที่เรียบร้อย ยังมีรายงานม็อบเสื้อหลากสี(พวกพธม.เหลืองเดิม)ชุมนุมอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินำโดยหมอตุลย์พอเกิดเหตุตกใจรีบสั่งสลายตนเองทันทีอ้างว่ากลัวสูญเสีย.....BBC.ออกข่าวสั้นอีกทีหนึ่งเวลา 18.50 น. ว่า Thai clashed ภาพก่อนเกิดเหตุเห็นแดงเคลื่อนพลนำโดยมอเตอร์ไซค์มาตามสะพานดูคับคั้ง มหาศาล แล้วฉายภาพราชประสงค์ เห็นคนเสื้อแดงบาง ๆ ไปบ้าง แต่แถวยาวเหยียดอยู่ มีรายงานจากข่าวเสื้อแดงเองว่าการ์ดนปช.จับมือชี้เป้าสังหารซุ่มยิง หรือ สไนเปอร์ได้ 1 คน สารภาพมดเปลือกว่ามีคำสั่งให้จับตายแกนนำทุกคน ณัฐวุฒิแถลงศอฉ.ไม่สนคำสั่งศาลแพ่งสั่งทหารสลายแดงที่อนุสรณ์สถานไม่ยึดหลักสากล7ขั้นตอน/ชี้มาร์คเป็นฆาตกรต่อเนื่อง...
มีรายงานล่าสุดเวลา 18.49.02 น.รบ.สั่งปิดถนนทุกแยกที่จะเข้าราชประสงค์เปิดพื้นที่ให้ทหารตั้งกองกำลัง.....ท่าทีเหมือนจะเข้าสลายการชุมนุม.......แต่เราหวังว่าจะไม่ทำการเวลากลางคืนเป็นอันขาด เพราะจะสูญเสียกันมาก.........มีบทเรียนมาแล้ว........
หมายเหตุ การเสียชีวิตของทหาร 1 คนนั้น บีบีซี วิเคราะห์ว่าเป็นเพราะทหารเพื่อนกันเอง ยิงพลาดเป้า ติดตามรายละเอียดได้ คลิกเลยครับ (ช่วงนี้รายงานโดย สุไหงปาดี ชินะกุล)
9. สุเทพกล่าวหาพล.อ.ชวลิต ว่าอยู่ในขบวนการล้มเจ้า
ว่าขั้นต่อไปต้องออกหมายจับ
แจ้งความแล้ว ข้อหาฆาตกร
เสื้อแดงแจ้งความ"อภิสิทธิ์-สุเทพ"สั่งฆ่าผู้อื่น
ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมฯ แจ้งความดำเนินคดี"อภิสิทธิ์-สุเทพ"ฐานสั่งฆ่าผู้อื่น ขณะที่ค..โปรดคลิกเพื่ออ่านข่าวละเอียด.
ล่าสุด : 28 เม.ย. 2553 สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวหาพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยข้อหาร้ายแรงมาก ที่กระเทือนความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศ นั่นคือ กล่าวหาว่าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้มีส่วนในเครือข่ายล้มจ้าว ล้มสถาบัน วันนี้ 28 เม.ย. 2553 ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ได้ออกหมายเรียกพล.อ.ชวลิตเป็นครั้งที่ 2 ไปแล้ว ต่อไปต้องออกหมายจับ
ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้คนไทย อย่างน้อยก็คนที่เคยเลื่อมใสศรัทธาพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยได้สร้างผลงานไว้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในภาคอีสานก็ได้ดำเนินโครงการน้ำพระทัยในหลวงที่รู้จักกันดีว่า อีสานเขียว ซึ่งต่อความคิดไปถึงโครงการโขง ชี มูล ต่อมา ทางใต้ก็มีโครงการที่ปรานี ๆ ต่อประชาชนเช่นเดียวกันนี้ตามน้ำพระทัยของในหลวง นั่นคือ โครงการฮารับบันบารู .... การกล่าวหาพล.อ.ชวลิต ว่าคิดล้มสถาบัน เป็นเรื่องที่ช็อคความรู้สึกคนเป็นจำนวนมาก ไม่มีใครเชื่อ ไม่น่ามีขึ้นเลย นี่แสดงถึงเหตุอาเพทอะไรขึ้นในวงการรัฐบาลไทยยุคนี้
และการตอบโต้ทางกระบวนการยุติธรรม จะสามารถเอาตัวรอดเพียงไร ในสถานการณ์การปกครองทหารเผด็จการยุคนี้ ?????.... นอกจากการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน.....................ถูกแล้ว...... การต่อสู้อยู่ข้างเดียวกับประชาชน เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว.........
10. ยาก 10 อย่าง ทำไมเราจึงเข้าข้างฝ่ายเสื้อแดง
ถึงโคตรเหง้าไทย 100%-คนไทยคนหนึ่ง
เราได้รับทราบ.....
“ความเห็นที่ 5 (2030174)
เว็บไซต์นี้ตั้งใจทำให้คนมืดเป็นสว่างจริงหรือ
ตอนแรกนึกว่าเป็นเว็บไซต์เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ทำไมถึงได้มีข่าวจากเสื้อแดงด้วย หากสนับสนุนกลุ่มแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทำไมถึงไม่นำเสนอข่าวทั้งสองด้านล่ะ และคำพูดที่ใช้ในการรายงานข่าวก็แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งอยู่แล้ว แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
มีข้อเสนอแนะว่าหากอยากทำเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย น่าจะเอาข่าวที่นำเสนอเรื่องเดียวกันจากหลายๆ แหล่งมาลงซะ แล้วให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสินใจเองว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนั้นๆ นะ จะดูดีกว่านี้เยอะเลย…..คนไทยคนหนึ่ง”
เราขอชื่นชม ท่านผู้ตั้งคำถามในนาม คนไทยคนหนึ่ง ใน ความเห็นที่ 5 เข้ามา เรามองว่าท่านเป็นวิญญูชนคนหนึ่ง เราทราบในความจริงใจของท่าน........................... เราจะไม่โต้แย้งท่านเลย ............ เพียงแต่เราขอบอกหน่อยว่า
1. เป็นการยากที่จะบอกใคร ๆ ว่า เรามุ่งไปเส้นทางเดียวเท่านั้น(only one way) คือเส้นทางที่ถูกต้อง(right way) ที่มีความสว่างอยู่เบื้องหน้า และเส้นทางนั้นมีท่านผู้รู้ชี้บอกไว้แล้ว และเราวิเคราะห์ด้วยตนเองแล้วทราบว่าเป็นจริง เรารู้เส้นทางทุกเส้นทาง แต่เส้นทางที่นำไปสู่ความมืด เราย่อมไม่เดินไป การที่ตั้งใจทำให้คนมืดเป็นสว่าง จึงเป็นการยากจริง ๆ
2. เป็นการยากที่จะบอกใคร ๆ ว่า เราปฏิเสธเส้นทางที่ผิด (wrong way)เส้นทางที่พาเราไปสู่หมู่โจร(to thieves) เราจะไม่เดินไปในเส้นทางที่ผิด อย่างเด็ดขาด แม้จะใช้อาวุธบังคับให้ไปก็ไม่ไป ฉะนั้นเป็นการยากที่จะไม่ให้ใคร ๆ คิดว่า เราเอนเอียง แต่เราหวังว่ากาลเวลาจะเป็นสิ่งที่พิศูจน์ ดังสุภาษิตจีนดั้งเดิมกล่าวเอาไว้ว่า ระยะทางพิศูจน์ม้า กาลเวลาพิศูจน์คน นั่นอย่างไร
3. เป็นการยากที่จะบอกใคร ๆ ว่า ศาสนา สาระของศาสนาทั้งหมด แท้ที่จริงคือเรื่องราวของสังคมทั้งหมดนั่นเอง ศาสนามิได้แยกออกไปอยู่โดดเดี่ยวจากสังคม แต่อยู่ในสังคม ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสังคม ท่านลองคิดตรรกกะนี้ดู ถ้าศาสนาไม่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อประชาชน ต่อสังคมแล้วศาสนาจะมีไว้เพื่ออะไร?
4. เป็นการยากที่จะบอกใคร ๆ ว่า ทำไมถึงได้มีข่าวจากเสื้อแดงด้วย แต่เป็นการง่ายที่จะบอกว่า เพราะเสื้อแดงได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเราเห็นว่า ประชาธิปไตยนี่แหละเป็นเส้นทางที่ถูกต้องของสังคมไทย
5. เป็นการยากที่จะบอกคนไทยทั่ว ๆ ไป ผู้ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนา ว่าสาระที่แท้จริงของประชาธิปไตยนั้นมาจากสาระคำสอนส่วนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เริ่มจาก ความเป็นมนุษย์ และ ในหลักการของ เสรีภาพ(Freedom) ความเสมอภาค(Equality) และภราดรภาพ (Fraternity) ซึ่งนี่คือหลักการอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา ยากเพราะไทยพุทธ ประกอบด้วยความอิจฉาริษยามาก
6. เป็นการยากที่จะบอกคนไทยทั่ว ๆ ไปว่า แท้จริงประเทศประชาธิปไตยในตะวันตกและอเมริกา นั่นคือพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง ที่ได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาส่วนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง จริง ๆ ในเรื่องการเลือกวิธีการปกครองตามหลักการพระพุทธศาสนา คือประชาธิปไตย นี้ ยากที่ชาวพุทธไทยจะเชื่อได้ จริง ๆ เพราะพวกเขาเป็นชาวพุทธแต่เพียงในทะเบียนสัมมะโนครัว (ท่านปัญญานันทะภิกขุ พูดประโยคนี้ไว้ก่อนแล้ว) ท่านหมายถึงสติปัญญาน้อยเกินกว่าจะเข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
7. เป็นการยากที่จะบอกคนไทยทั่ว ๆ ไปว่า แท้จริงพระพุทธศาสนธรรมได้แผ่ผายออกไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน จากหลักการว่าด้วยประชาธิปไตย นี่อง โลกที่เป็นประชาธิปไตย ละไปแล้วจากการคิดพึ่งพาเทพเจ้า จากที่เคยถูกปกครองโดยคณะผู้แทนเทพเจ้าบนโลกมนุษย์เดิมในยุโรปอเมริกา มาเป็นคณะผู้ปกครองตนเอง จากตัวแทนของมนุษย์ ตัวแทนของปวงประชาชนทั่วประเทศ ตามหลักความเสมอภาค(Equality) มนุษย์สร้างโลกขึ้นเองด้วยมือทั้งสองของมนุษย์ พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าสร้างให้พวกเขาอีกแล้ว(เพราะแท้จริง พระเจ้านั้นคือความหลอกลวง สิ่งที่เป็นจริงคือมนุษย์ และพิศูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์ และประชาธิปไตยเป็นวิทยาศาสตร์)
8. เป็นการยากที่จะทำให้ใคร ๆ ได้รู้ซึ่งความถูกทาง(right way)และความผิด(wrong way) ธรรมะ หรือ อธรรม เพราะคนปนเปกันอยู่ทั่วไป ผสมผสานกันไปหมด ระหว่างคนดี คนชั่ว ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์ต่างมีความคิดแตกต่างกันไปหลายหลากมากมาย และธรรมชาติของมนุษย์นั้น ต่างก็มีความเห็นแก่ตัว(selfish) พวกเขาหลงไปตามความได้ ความดี ความเป็นประโยชน์เฉพาะตน พวกของตนเป็นหลัก พวกเขาจึงยากที่จะรู้จักทางที่ถูกและทางที่ผิด หรือแม้เขารู้ พวกเขาก็ยากที่จะทำตามที่รู้ เพราะมีความเห็นแก่ตัว จึงจำเป็นต้องมีระบบการปกครองที่ถูกต้อง และเป็นธรรม ขึ้นมาจัดการความเป็นไปของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว และบัดนี้ มี ประชาธิปไตย ที่ถอดออกมาจากหลักการของพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นการยากที่จะให้คนทั้งหลายเข้าใจตามดังกล่าวมานี้
9. เป็นการยากที่จะบอกใคร ๆ ว่า ประชาธิปไตยโลก ยังคงต้องการการพัฒนาไปอีกไกล เพื่อบรรลุอุดมการณ์สูงสุด ตามหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง
10. เป็นการยากที่เราจะอาศัยเพียงคนหนึ่งคนเดียว เพื่อการอธิบายเผยแผ่ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
ด้วยความยากทั้ง 10 ประการนี้ จึงมี https://www.newworldbelieve.net ขึ้นมา โดยที่เราไม่คิดว่าเป็นการยากที่ท่านทั้งหลายจะเข้ามา และเสวนาหาความจริงกัน ณ ที่นี้ และเราเป็นสิ่งที่ https://www.newworldbelieve.net ได้เป็นมา กำลังเป็นอยู่ และจะเป็นไปแบบนี้ทำนองนี้ในอนาคต โปรดมาศึกษาเพื่อที่จะเป็นแบบเดียวกับเราก็ได้ หรือไม่เป็นแบบเดียวกับเราก็ได้.....แล้วแต่ประโยชน์...ที่อยากจะเอาจะได้....
-บุษบา บุญเสฏฐ์
-อรบุศป์ ละอองธรรม
- ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-04-30 09:52:31
11. รัฐบาลทหาร-อมาตย์ทำผิดตลอด (ทบทวน)
แม้ขณะนี้ ฝ่ายที่สร้างความรุนแรงก็คือฝ่ายรัฐบาล ทหารหน่วยรบของชาติที่ได้ชื่อว่ากล้าหาญที่สุด ได้รับการฝึกไว้อย่างดีที่สุดของประเทศนี้ ได้รับคำสั่งติดอาวุธพร้อม เคลื่อนเข้ากรุงเทพมหานครแล้ว ตามลำดับ และเป้าหมายก็คือการปราบปรามประชาชนมือเปล่า ๆ นี่เป็นแนวคิดและแผนการที่ไร้เกียรติยศทหารไทยที่น่าอดสูเศร้าใจจริง สำหรับทหารยุคนี้ และผู้ปกครองไม่ว่าอมาตย์เปรม ตินสูลานนท์ ผู้แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงซ่อนตัวอยู่เพื่อสร้างอำนาจ สะสมความมักใหญ่ใฝ่สูงไว้เพื่อตน อย่างไร้จิตใจของความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี แม้เพียงในฐานะของประชาชนคนไทยธรรมดา ๆ ผู้หนึ่ง เพราะพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ เป็นถึงประธานองค์มนตรี แต่กระทำการข้ามหน้าข้ามตา ประหนึ่งตนเป็นกษัตริย์เสียเอง ตนเองเป็นผู้ทรยศ แต่ออกอุบายเล่ห์กลใส่ร้ายประชาชนว่าเป็นผู้ทรยศ ไม่จงรักภักดีด้วยความคิดร้ายโง่เขลาโดยแท้จริง ด้วยการประกาศว่าเสื้อแดงจะบุกร.พ.ศิริราช ซึ่งประชาชนย่อมรู้ทัน เพราะการแอบอ้างสถาบันเป็นวิสัยมาแต่ดั้งเดิมของฝ่ายรัฐบาลนี้ และในความเป็นจริงแล้วประชาชนไม่มีวันจะคิดได้อย่างที่รัฐบาลคิด
รัฐบาลอมาตย์คิดผิด พูดผิด และกระทำผิดมาจนถึงบัดนี้ ก็กำลังทำความผิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ และที่เป็นความผิดฉกรรจ์คือแผนการคุกคามและปราบปรามประชาชน โดยคิดใช้กองกำลังรบพิเศษมีหน้าที่เฉพาะสำหรับล่าสังหารตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้สัมภาษณ์คือ สวาท อรินทรราช ฯลฯ เตรียมไว้เพื่อล่าสังหารประชาชน แล้วประชาชนทั้งปวงเห็นว่ากระทำไม่ถูก การกระทำของรัฐบาล-ทหารเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนความเขลาเบาปัญญาในการบริหารประเทศ รัฐบาลอภิสิทธิ-สุเทพภายใต้บงการของอมาตย์เปรม ไม่ยอมคิดถึงประวัติศาสตร์ ในยุคที่หลังสุดที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านมา นั่นคือประวัติศาสตร์สงครามประชาชน คอมมิวนิสต์ จบลงได้อย่างไร ก็ควรทำอย่างนั้น ประวัติศาสตร์สอนมาทำไมไม่คิดดู แล้วจะเห็นว่าวิธีการที่ท่านทำนี้ ไม่เป็นผลดี ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาแต่อย่างใดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรวัติศาสตร์สอนเราว่า ไม่ได้แก้ไขด้วยความรุนแรง แต่ความรุนแรงกลับจะขยายปัญหา ออกไปใหญ่กว้างยิ่งขึ้น ๆ ปัญหาคอมิวนิสต์ไทยก็ได้สอนมา ว่าการใช้อาวุธ กำลังปราบปรามประชาชน กลับทำให้ปัญหาขยายตัวออกไปทั่วประเทศ จนต้องกลับมาใช้แผนสันติธรรม หันมาฟังเสียงประชาชน ขจัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยปราศจากความลำเอียงเลือกปฏิบัติ ประเทศจึงสงบลง สิ้นปัญหาอันยาวนานมาหลายสิบปีแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย
สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลน่าจะรู้จากประวัติศาสตร์คราวนั้นก็คือ ประชาชนเกลียดชังตำรวจ เพราะตำรวจใช้อำนาจไม่เป็นธรรม กดขี่ข่มเหงประชาชนในพื้นที่ และใช้ความรุนแรง ต่อเมื่อมีการแก้ไขปัญหาตำรวจลง ความสงบจึงดีขึ้น ในการแก้ไขปัญหาตำรวจนั้น เราได้นำแบบอย่างมาจากจีนคอมมิวนิสต์ เอาแบบอย่างว่าตำรวจคอมมิวนิสต์เขาต้องประพฤติตนอย่างไร จึงเรียกว่าตำรวจรับใช้ประชาชน ดังจะเห็นภาพยนต์ซีรี่สั้น ๆ ออกมาสอนตำรวจไทยว่า ตำรวจจีนคอมมิวนิสต์ขณะปฏิบัติหน้าที่นั้นจะต้องไม่ถือปืนอย่างเด็ดขาด มีแต่ตะบองเล็ก ๆ เท่านั้น และแม้เพียงตะบองเล็ก ๆ เขาก็จะสอนวิธีใช้ด้วย ว่าให้ตีอย่างเอ็นดู อย่ามีประสงค์ร้าย และที่สำคัญก็คือตำรวจต้องทำสีหน้าให้ยิ้มแย้มกับประชาชน เวลาประชาชนถามหรือขอร้องอะไรตำรวจจะต้องกระตือรือร้นรับใช้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตำรวจทำหน้าบึ้งกับประชาชนถือเป็นความผิด นี่คือตำรวจที่รับใช้ประชาชนในประเทศคอมมิวนิสต์ (ซึ่งนี่คือวิธีการตามครรลองประชาธิปไตย ในคติว่ารัฐบาล ข้าราชการรับใช้ประชาชน นั่นเอง) จีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมเหมา แม้เป็นคอมมิวนิสต์ก็ยังรู้จักการศึกษาปัญหาของประชาชนและฟังเสียงประชาชน และเลือกใช้วิธีการของประชาธิปไตย เรื่องนี้ กอ.รมน.ก็น่าจะรู้และเข้าใจดีอยู่แล้ว เพราะ กอ.รมน.ยุคนั้นเองได้นำตัวแบบนี้เข้ามาเพื่ออบรมข้าราชการ ทหารและตำรวจ นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาการทะเลาะไปจนถึงการทำสงครามประชาชน
รัฐบาลทำเขลา ๆ คุกคาม แสดงอำนาจบาทใหญ่ เตรียมการทำสงครามกับประชาชนมือเปล่าเช่นนี้ จะแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหา ขอเตือน ......
*...บุษบา บุญเสฏฐ์
12 มี.ค.2553/08.05 น.
12. สุเทพแถลงที่ ASTV ว่าแดงเป็นผู้ก่อการร้าย
ล่าสุด สุเทพ เทือกสุบรรณ ยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรับผิดชอบฝ่ายความมั่นคง ของประเทศอยู่ ภาพนี้ออกที่เอเอสทีวี ดึกคืนวันที่ 13 เม.ย.2553 แถลงว่าพวกเสื้อแดงคือผู้ก่อการร้าย ประเทศไทยถูกยึดครองโดยผู้ก่อการร้าย ขอให้ประชาชนออกมาช่วยกันขับไล่พวกก่อการร้าย และด้วยการแถลงของ สุเทพ ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีก ตลอดคืน โดยได้มีกระแสการเข้าปราบปรามประชาชนขึ้นอีก ซึ่งถ้านับยกแล้ว รัฐบาลแพ้มา 2 ยกแล้ว กำลังพยายามจะแก้ตัวอีก เป็นยกที่ 3 บางทีรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะพลาดในเรื่องการบริหารจัดการบุคคลไปอีกครั้งหนึ่ง โดยเอาคนหัวเก่าที่สุด มาจัดการเรื่องความมั่นคง ซึ่งเป็นการใช้แนวคิดที่ผิดยุค จนกระทั่งเราก็ได้เคยชี้แนะเอาไว้ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ........ แกเป็นคนยุคไดโนเสาเต่าล้านปีจริง ๆ ...คนผิดยุค........... และมีเหลือมาเพียงไม่กี่ตัว กำลังจะสูญพันธ์ ๆ สุดท้ายแล้ว ........... เพราะอึดอัด นึกไม่ออกว่าแกจะปรับตัวอย่างไร จึงจะอยู่ต่อไปได้ในยุคไฮเทกนี้.............. คำว่าความมั่นคง มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด ......... ไม่ใช่กองทหาร.......ไม่ใช่อาวุธ................. ไม่ใช่รถถัง..........ถ้าคุณคิดแบบนั้น มันผิดยุค......มันสิ้นเปลืองงบประมาณเหลือเกิน โดยไม่คุ้มค่า...และไม่เกิดความมั่นคงเลย .................. ยุคนี้ ความมั่นคงอยู่ที่การจัดการประชาชน ให้เขาเลื่อนไหลไปตามครรลองของสิทธิ....ผลประโยชน์.... การอาชีพ.........วิธีที่เขาได้เขาเสียอย่างไร......ให้เกิดความเป็นธรรม............ ซึ่งวิธีเหล่านี้แหละเรียกว่าครรลองประชาธิปไตย....... เข้าใจหรือเปล่า???????? ซึ่งสุเทพ ทึบเกินกว่าจะเข้าใจและบริหารได้ จึงเกิดเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 อันเป็นเหตุของหายนะแก่รัฐบาลเขาเอง เมื่อได้ชื่อเต็มสมบูรณ์ว่ารัฐบาลทรราช รัฐบาลฆาตกร
เป็นเวลา 9 วันต่อมา ในวันที่ 21 เม.ย.2553 ภายหลังการออกวาทะของนายสุเทพ เทือกสุบรรณว่า พวกเสื้อแดงคือผู้ก่อการร้าย ประเทศไทยถูกยึดครองโดยผู้ก่อการร้าย ขอให้ประชาชนออกมาช่วยกันขับไล่พวกก่อการร้าย จนเป็นเหตุให้สถานการณ์ตึงขึ้นมาทันที สืบมาถึงปัจจุบันนี้ (พวกเอเอสทีวี ระดมกันยุยงส่งเสริมฝ่ายตรงข้ามเสื้อแดงกันใหญ่ โดยระดมกล่าวหาว่าพวกเสื้อแดงคิดการจะล้มจ้าวอีกต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีสถาบันของรัฐให้การชำระความยุติธรรมแด่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหา) ได้มีข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา อันเป็นประเทศแบบอย่างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริการะบุสั้น ๆ เชิงเตือนสติฝ่ายรัฐบาลไทยว่า เหตุการณ์เสื้อแดงในประเทศไทยเป็นเรื่องการเมือง (แบบประชาธิปไตย) ประชาชนที่ออกมาประท้วงไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และให้คำมั่นว่าการท่องเที่ยวในประเทศไทยมีความปลอดภัยสูง (Wattnews.21เม.ย.53 10.44.31) ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะต้องรับผิดชอบอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนไทยจะต้องมองด้วยความเป็นธรรมและโดยการใช้พิจารณญาณบนพื้นฐานหลักการการปกครองของระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักสำหรับการตัดสินใจด้วย ซึ่งสำหรับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เราขอเน้นว่า ท่านจะต้องเข้าใจประเด็นของความมั่นคงให้ถูกต้องตามยุคสมัยเสียก่อน ขอเน้นว่า ความมั่นคงของยุคใหม่ ยุคที่ประชาชนมีเสรีภาพ มีภราดรภาพ และมีอำนาจการปกครองคนละ 1 เสียง ตามหลักความเสมอภาคสากลนั้น ความมั่นคงของชาติไม่ได้อยู่ที่ อำนาจ ไม่ใช่กองทหาร.......ไม่ใช่อาวุธ................. ไม่ใช่รถถัง..........ถ้าคุณคิดแบบนั้น มันผิดยุค......มันสิ้นเปลืองงบประมาณเหลือเกิน โดยไม่คุ้มค่า...และไม่เกิดความมั่นคงเลย .................. ยุคนี้ ความมั่นคงอยู่ที่การจัดการประชาชน ให้เขาเลื่อนไหลไปตามครรลองของสิทธิ....ผลประโยชน์.... การอาชีพ.........วิธีที่เขาได้เขาเสียอย่างไร......ให้เกิดความเป็นธรรม............ ซึ่งวิธีเหล่านี้แหละเรียกว่าครรลองประชาธิปไตย....... เข้าใจหรือเปล่า???????? และวันนี้สิ่งที่รัฐบาลจะต้องหยุดเพื่อการไตร่ตรองให้รอบคอบ มีเหตุมีผลก็คือ ความต้องการของประชาชน พวกเขาเรียกร้องอะไร และเพียงความพอใจในทฤษฎีที่ว่า เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ เท่านั้นเอง ท่านก็จะสามารถตัดสินใจได้โดยง่ายดาย และ ประเทศคืนสู่ความสงบทันที.... โปรดเชื่อในประชาชน เชื่อในประชาธิปไตย
การพูดพล่อยจะต้องได้รับโทษ
การกล่าวหาว่าคนอื่นเป็นผู้ก่อการร้าย นอกจากการพูดโดยพล่อยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี(ฝ่ายความมั่นคง)แล้ว นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศไทย ยังได้กล่าวในที่ประชุมต่างประเทศด้วย โดยพล่อย ๆ เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยคิดเอาง่าย ๆ ว่าตนครองอำนาจขนาดนี้จะพูดจะคิดจะทำอะไรใครก็ได้ แต่ยุคสมัย ยุคเสรีชนประชาธิปไตย ไม่ได้อนุญาตเช่นนั้นแล้ว โปรดดูรายละเอียด การฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทของนายกษิต ภิรมย์ จะรอดโทษานุโทษได้อย่างไร? โปรดคลิกไปดูรายละเอียด
13. เอเอสทีวี ทีวีด้อยคุณภาพ ไร้จรรยามารยาท ต่ำกว่าระดับสากล สื่อที่น่าอับอายของประเทศ
ASTV ล่าสุด วันที่ 3 พ.ค. 2553 เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น.เป็นต้นไป (ถึง 02.10 น.ยังวิจารณ์ข่าวอยู่) ผู้ประกาศ เอเอสทีวี 2 คนตามภาพนี้ เอารูปที่ตกแต่งตามภาพข้างบนถัดขึ้นไป มาออกเอเอสทีวี วิจารณ์แล้วหัวเราะกันงอหงาย โดยมองว่าคนในภาพคือจตุพร พรหมพันธ์ มีความละม้ายคล้ายกันกับผู้นำอูกันดา ผู้ประกาศ(จะเรียกว่าผู้ประกาศได้หรือเปล่า?) 2 คนนี้ วิจารณ์ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง ป่าเถื่อน เผด็จการคล้าย ๆ กัน การที่เอเอสทีวีเอารูปมาแต่งเช่นนี้แล้วประกาศไปในสาธารณชน ย่อมเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะบุคคลทั้ง 2 คนนี้ เป็นผู้นำของประเทศ ย่อมมีเกียรติในความเป็นมนุษย์ พอ ๆ กับคนในทวีปอื่น ๆ ทั่วโลก เป็นการไม่เหมาะสมที่เอเอสทีวีจะเอามาล้อเลียน อย่างเสียหาย ไม่ให้เกียรติ์ และการล้อเลียนนั้นมีการทำท่าทางเยาะเย้ยถากถาง อย่างออกหน้า คนในเอเอสทีวี แทบกล่าวได้ว่าทุก ๆ คนที่ออกทีวีช่องนี้ มักจะใช้คำพูด วาจาเราะราย หยาบคาย พร้อมการเยาะเย้ยถากถาง หัวเราะเยาะ จนเป็นเอกลักษณ์สื่อ การโฆษณาชวนเชื่อ โดยไม่คำนึงว่า สื่อจะต้องมีมารยาท ถ้ามีเหตุผลก็ไม่เป็นไร แต่การเอาคนอื่นซึ่งถึงแม้เขาอยู่ไกลถึงต่างประเทศ คนละทวีปกับไทย มาล้อเลียนเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นการเหมาะสม นอกจากนั้นแล้วคนทั้งสองยังได้โฆษณาย้ำข้อกล่าวหาเดิม ๆ ของเอเอสทีวี ที่กล่าวหาอย่างไม่คำนึงหลักฐาน แต่โดยเจตนาเพื่อการโฆษณาใส่ร้ายให้คนอื่นเสียหาย ไปก่อนการได้พิศูจน์ โดยวันนี้ได้กล่าวหาใส่ร้ายว่าผู้นำเสื้อแดงว่าเป็นกบฎ เป็นขบวนการผู้ก่อการร้าย และขบวนการล้มจ้าว ซึ่งแน่นอนผู้ประกาศทั้งสองนี้ เมื่อกล่าวออกไปโดยความคิดเห็นของตนเองแล้ว จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ในฐานะที่ทำธุรกิจการสื่อสารมวลชน สิ่งที่ต้องคำนึงอย่างยิ่ง โดยที่ไม่ควรจะไม่ให้มีขึ้นในวงการผู้ประกาศข่าวก็คือ อาการที่เยาะเย้ยถากถางบุคคลในข่าว อย่างผู้หญิงที่ประกาศข่าวคนนี้(ไม่ทราบชื่ออะไร) ที่วิจารณ์ข่าวโดยแสดงถึงเจตนาที่จะกล่าวคำที่ถากถาง เยาะเย้ย อย่างมีความตั้งใจให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนทางจิตใจ โดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มีเจตนา รู้ว่าพูดไปแล้วยั่วยุให้คนอื่นโกรธเคือง หัวฟัดหัวเหวี่ยงได้ แล้วตั้งใจพูดตั้งใจทำอย่างนั้น นั่นถือเป็นการดี เป็นการสำเร็จผลทางการเสนอของตน ซึ่งการกระทำดังนั้นไม่ใช่มารยาทของสื่อที่เจริญแล้ว แต่เป็นมารยาทของสื่อที่ด้อยความเจริญ ไร้การศึกษา และป่าเถื่อน ที่ยังมีอยู่ที่ประเทศนี้ แห่งเดียว ในโลก (ทำไมไม่ศึกษาจากสื่อมาตรฐานในโลก เช่น บีบีซี และ อัลจาชีรา (แม้จะดูลาวสตาร์ หรือ กัมพูเจีย อินเดีย ก็ได้) เป็นต้น เพื่อดูแบบอย่างเขา ดูวิธีการประกาศ เขาต้องวางตัว สีหน้า ริมฝีปาก สายตา อย่างไร จะต้องระวังท่าทางที่อเกรสิฟ(ท่าทางอเกรสิฟ คือท่าทางกระด้าง ๆ ออกไม้ออกมือที่แสดงอำนาจ ไม่รู้จักการวางสายตา ให้ดูดี ไม่ระราน ข่มคนอื่น นับแต่ไม่ระรานข่มคนฟังคนชม ไม่ระรานข่มผู้ที่มาร่วมรายการ การออกตัวของคนในทีวี เช่นผู้ประกาศ หรือเจ้าของรายการ ก็เหมือนคนขายของนั่นแหละ ถ้าไปออกอาการกระด้าง ๆ มีอเกรสิฟ ทั้งท่าทางและคำพูด ยกไม้ยกมือแสดงอำนาจ ทำท่าหัวเราะเยาะ ถากถาง ฯลฯ คนก็ไม่อยากมาใกล้ ๆ ไม่อยากซื้อของ ๆ เรา สินค้าเราก็จะขายไม่ออก .. ควรเรียนรู้ว่าอะไรควรละเว้น ไม่ทำ และอะไรควรทำ..ฯลฯ...เพื่อความดี ศักดิ์ศรีของสื่อในองค์รวมของประเทศไทย จะได้ดีขึ้น
14. การที่รัฐบาลนัดประชุมครม.นัดประกาศกฎอัยการศึก เพื่อจัดการคนเสื้อแดง ก่อนการเสนอแนวทางปรองดองแห่งชาติ
ในหลวงพระราชินีพระราชทานค่ารักษาทำศพผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน สถานการณ์ล้อมปราบปรามประชาชน 10 เม.ย. 2553 โปรดคลิกเพื่ออ่านข่าวละเอียดที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแด่ไพร่ฟ้าของพระองค์
#อ่านเรื่องย้อนหลังทุกเรื่อง ใหม่สุด คลิก
#อ่านย้อนหลัง : หน้าHOMEPAGEที่เก็บไว้
ล่าสุด : 2 พ.ค.2553 การถ่ายทอดจากเวทีคนเสื้อแดงราชประสงค์ ผ่านเวบไซต์ วันนี้ ยังมีประสิทธิภาพดี ในภาพ วันที่ 2 พ.ค. 2553 เวลาประมาณ 12.00 น. เห็นประชาชนยังคงคับคั่ง และมีหลายสี ปนกันไปหมด มีประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญทุกประเด็น โดยเฉพาะประเด็นพลทหารเสียชีวิตในเหตุการณ์ 28 เม.ย.2553 ซึ่งทางเสื้อแดงตอบโต้รัฐบาลฝ่ายที่กล่าวหาว่าประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย และอยู่ในขบวนการล้มจ้าว ว่า ประชาชนมือเปล่าไม่ได้ยิงทหาร อ้างข่าวบีบีซี ว่าทหารยิงพลาดเอง บีบีซีว่า friendly fire แกนนำนปช.ยังนำคลิปวีดิโอ มายืนยันความจริงหลายอย่าง ในเรื่องหาว่าฝ่ายแดงคิดล้มจ้าว ชัดเจนขึ้นทุกทีถึงการใส่ร้ายป้ายสีของรัฐบาลต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และวันนี้มีข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี น่ามีการประกาศกฎอัยการศึก เพื่อที่จะนำทหารเข้ากวาดล้างปราบปรามประชาชน ต่อไป แกนนำเสื้อแดงเตือนว่า ขณะนี้รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเป็นรัฐบาลที่ฆ่าสังหารประชาชน 25 คน (ใครฆ่าคนเหล่านี้??? คำตอบคือ รัฐบาล ผู้รับผิดชอบคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ) จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไปไม่ได้ แกนนำยังได้แสดงการชื่นชมต่อนักการเมืองอาวุโส คือนายเสนาะ เทียนทอง ที่ออกมามองสถานการณ์ว่า รัฐบาลทำการรุนแรง ควรยุบสภา และตั้งรัฐบาลกลางมารับผิดชอบ ....
แต่การที่รัฐบาล จะประกาศกฎอัยการศึกโดยมุ่งหมายจะปราบปราม หรือสลายการชุมนุมด้วยกำลังกองทัพ ด้วยอาวุธ นั้น น่าระวังว่าความคิดนี้เป็นความคิดที่ล้าหลัง และเป็นความคิดที่ผิด และซึ่งได้รับการพิศูจน์ว่าผิดมาแล้ว ในยุคคอมมิวนิสต์ อันเป็นเหตุให้เรื่องราวยืดเยื้อไปร่วม 20 ปี ขณะนี้รัฐบาลพลเรือนแต่คิดจะทำแบบทหารยุคนั้น คิดอย่างไร??? จริงอยู่เมื่อท่านสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ ด้วยความุนแรง จับกุมแกนนำไปได้ทั้งหมดแล้ว ประชาชนเขาไปไหน ? ท่านคิดว่าเขาจะยอมแพ้หรือ??? สมัยนั้นพวกเขาเข้าป่า ทำการต่อสู้ในป่า แล้วค่อยออกมาในชนบท ด้วยยุทธวิธีป่าล้อมเมือง ตามลำดับ แต่สมัยนี้ พวกเขาจะไม่จำเป็ฯต้องเข้าป่า เพราะพวกเขามีแผ่นดินของพวกเขาอยู่เพียงพอแล้ว นั่นคือไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งแม้ขณะนี้ก็เป็น ๆ อยู่ เมืองเหนือทั้งเมือง พอที่จะตั้งเป็นประเทศ ๆ หนึ่งได้ พอ ๆ กับอีสานทั้งอีสานที่พอจะตั้งเป็นอีกประเทศหนึ่ง และมวลชนแดงในกรุงเทพก็มากพอที่จะทำให้กรุงเทพแตกออกเป็นเขต ๆ ได้เช่นเดียวกัน นั่นคือ กลับจะกระจายปัญหาและการต่อสู้ออกไปกว่าเดิมเสียอีก ทฤษฎีที่ว่า ยิ่งกด ยิ่งมีแรงสู้ นี่แหละได้รับการพิศูจน์มาแล้ว และหากเกิดเป็นขึ้นมาเช่นนั้นล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์นี่เองที่ต้องรับผิดชอบ
ฉะนั้น รัฐบาลต้องคิดแบบผู้ใหญ่ ไม่มีทางอื่น นอกจาก ยุบสภา และโปรดคิด ใช้สติปัญญา ว่าประชาชนเขาออกมาทำไม มากมายมหาศาลขนาดนี้ อย่าทำการสลายประชาชนด้วยอาวุธ อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าพวกทหารและรัฐบาลจะแพ้ แต่ ประเทศไทยจะบอบช้ำมากเกินไป อย่างไร้เหตุผล ต่างหาก...(รายงานข่าวและวิเคราะห์โดย สุไหงปาดี ชินะกุล).
ภาพล่าสุด 1 พ.ค. 2553 จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคนสำคัญของ นปช. เพื่อประชาธิปไตยบนเวทีราชประสงค์ สบาย ๆ เมื่อวานนี้
วีระ มุสิกพงษ์ ประธานนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ขณะออกรายการ intelligence พบจอม เพชรประดับ ประเด็นนายกรัฐมนตรีเสนอแผนปรองดองแห่งชาติ ให้เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.2553 ภาพนี้วันที่ 7 พ.ค.2553เวลา 21.25 น. แต่แล้ว ณ วันนี้ 12 พ.ค.2553 แผนปรองดองแห่งชาติทำท่าว่าจะล้มเหลวลง และแนวคิดในการปราบปรามประชาชนกำลังก่อหวอดขึ้นมาใหม่
เราคิดว่า รัฐบาลกำลังจะทำดีแล้ว ในการเสนอแผนปรองดองแห่งชาติ แม้ว่าแผนความคิดของรัฐบาล โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธาน ศอฉ.โดยตรง จะยังตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ชอบด้วยครรลองประชาธิปไตย หากแผนความคิดของนายกรัฐมนตรี เป็นแผนที่ตั้งอยู่บนครรลองประชาธิปไตย นั้นแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยเด็ดขาดก็คือ แผนการปราบปรามประชาชน โดยใช้วิธีการข่มเหงรังแก ผู้อ่อนแอกว่า อุปมาเหมือน ทำร้ายด้วยกำลังที่เหนือกว่า ทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า (ตัวโตกว่ารังแกคนอ่อนแอกว่า) ประชาชนมือเปล่าไร้อาวุธ จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด เพราะหากเคารพในประชาธิปไตย ต้องเคารพในสิทธิในการที่จะเรียกร้อง บอกกล่าวแด่ผู้ปกครอง และสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการอันชอบธรรมของพวกเขา มีสิทธิที่จะอยู่อย่างสงบ ไม่ถูกทำร้าย ทางร่างกายและจิตใจ ของผู้อื่น มีสิทธิในการที่จะมีฃีวิต และเมื่อมีชีวิตแล้วก็อยู่มีชีวิตต่อไป เขาต้องไม่ถูกฆ่าให้ตายไปเสียจากชีวิตของเขา ต้องรู้ว่าชีวิตมีค่า ต้องเคารพในสิทธิความเสมอภาคของปัจเจกบุคคลในระบอบประชาธิปไตย คือท่านอย่ามองประชาชน เอกชน ในระบอบประชาธิปไตยว่าต่ำต้อย ด้อยค่า ชีวิตพวกเขามีค่าน้อยกว่าชีวิตพวกท่าน หรือน้อยค่ากว่าคนอื่น ๆ อย่ามองว่าพวกเขาเป็นสวะสังคมที่จะเก็บจะกวาดไปทิ้งเสียที่ไหนเมื่อไรก็ ได้ มองอย่างนี้ ไม่ถูก และไม่ถูกตามครรลองประชาธิปไตยแล้ว ยังไม่ถูกหลักการของศาสนาสากล ทุก ๆ ศาสนา ในศาสนาคริสต์กำหนดไว้ในบทบัญญัติ 10 ประการ ความว่า จงอย่าฆ่าคน, อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา, อย่าลักทรัพย์, อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน... (You shall not murder! You shall commit no adultery! You shall not steal ! You shall not witness falsely against your neighbour!...Holy Bible : Exodus 20.13-14-15-16..) ตรงกับหลักศาสนาพุทธ ที่กำหนดไว้ในศีลทุกระดับ ที่จะเริ่มด้วยข้อที่ 1 เสมอไปที่บัญญัติว่า จงอย่าฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต (ปาณาติปาตา เวรมณี) แม้ในศาสนาอิสลามก็ระบุถึงการที่ต้องทำความสันติสงบ แก่ผู้อื่น (อัสลามอเลกุม) และหลักการประชาธิปไตย ได้ให้ความละเอียดไปตามหลักการศาสนานี้ จึงเป็นประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน (ประชาชนมีความสำคัญที่สุด ที่ท่านไม่อาจจะสั่งฆ่าเขาได้) สำหรับคนที่มีสติปัญญา(โดยเฉพาะชาวพุทธทั้งหลาย) เข้าใจเรื่องราวมาตั้งแต่หลักการดั้งเดิมทางศาสนา และอีกประการหนึ่ง ในครรลองประชาธิปไตย ชีวิตคนย่อมมีค่ามากมายหลายเท่ากว่าวัตถุ ถ้าเรารับและรักในประชาธิปไตย นั้น หมายความอยู่ในตัวเอง ถึงความรักในผู้อื่น ในศาสนาคริสต์กำหนดว่า ถึงผู้อื่นเป็นศัตรู เราก็ต้องรักแม้กระทั่งศัตรูจึงจะเป็นประชาธิปไตย มีวาทะของพระศาสดาเยซูว่า เมื่อเขาตบแก้มซ้ายเรา ก็ยื่นแก้มขวาให้เขาตบอีกด้วย
(... ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
You have heard that it was said, “An eye for an eye and a tooth for a tooth”
But I tell you not to resist an evil person. But whoever slaps you on your right cheek, turn the other to him also.
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาต่อตาและฟันต่อฟัน
ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
[Holy Bible; Matthew 5:38-39]...)
ในศาสนาพุทธ ชีวิตถูกรับประกันไว้ถึงโลกหน้าหรือชาติหน้า เพราะการประหารชีวิตเป็นบาปอย่างหนัก และท่านอาจจะเผลอไปกระทำบาปแด่พระสงฆ์องค์เจ้า แด่พระผู้ตั้งใจมีปณิธานการสั่งสมบารมีถึงระดับพระโพธิญาณ แล้วก็จะเป็นบาปอันหนัก ระดับถูกแผ่นดินสูบลงนรกโลกันต์ทั้งเป็น ๆ (เช่นเทวทัตแน่นอน)
ฉะนั้น ขอให้รัฐบาล และทุก ๆ ฝ่ายที่ประกอบกันเป็นผู้ปกครอง จงมุ่งตรงไปในทางที่ได้เริ่มไว้ดีแล้วที่สอดคล้องครรลองอันถูกต้องแล้ว ให้เดินไปตามครรลองของประชาธิปไตย นั่นคือ ไม่มีทางอื่น นอกจาก ระงับการทำร้าย เข่นฆ่า ปราบปรามประชาชน หรือแม้พฤติกรรมใดที่จะมีการเสี่ยงต่อการเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ ซึ่งในกรณีนี้ เป็นประชาชนมือเปล่า ๆ จริง ๆ และพวกเขาได้ประพฤติและปฏิบัติตรงตามธรรมะที่ได้ประกาศ เห็นชัดเจนในคุณธรรม ของพวกเขาแล้วทั้งโลก นั่นคือ สันติ และ อหิงสา ความคิดที่จะบีบบังคับเอาตามใจให้ประชาชนยอมจำนนให้ได้นั้น ไม่อาจจะทำได้ ท่านต้องมาสู่สติ ก่อนที่จะทำไปท่านจะต้องถามตนเองก่อนว่า หากทำอย่างนั้น หรือปราบปรามด้วยอาวุธแล้ว เรื่องมันจะจบหรือไม่????? คำตอบมีชัดเจนเลยทีเดียวว่า มันไม่จบ ท่านฟังไหม????? มีคำตอบจากประวัติศาสตร์มายืนยันแล้วว่า การปราบปราม ฆ่าผู้ไม่เห็นด้วยทิ้งเสียนั้น ไม่ใช่คำตอบเลย ท่านตาถั่วหรืออย่างไร???? ประชาชนที่มานี่ จำนวนเรือนแสน .....พวกเขามาทำไม???? และแม้ไม่มีประวัติศาสตร์มายืนยัน แต่ใช้เหตุผลมองไปในเรื่องความเป็นมนุษย์ ท่านก็จะเห็นว่า ไม่ใช่ทางที่ยุติปัญหาอย่างแน่นอน ฉะนั้นมีทางเดียวคือ การเจรจา และ ยุบสภาในที่สุด และรัฐบาลควรจะมีความจริงใจ และมีความปรารถนาดี อย่างสุจริต รู้จักเคารพในประชาชน แม้จะไม่เคารพประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ก็เคารพในฐานะที่เขาเป็นคน ๆ หนึ่ง นั่นก็จะบอกไปถึงคุณค่าครรลองประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน วันนี้ ถ้ารัฐบาลมองประชาชนถูกต้อง ตามฐานะที่เป็นจริงของความเป็นคน เท่านั้น รัฐบาลและแม้กองทัพ หรือ ศอฉ. ของสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็จะแก้ปัญหาได้ เพราะเมื่อเข้าใจสัจธรรมดังกล่าวมาแล้วนี้ ความเสียสละก็มีขึ้น ความไม่เห็นแก่ตัวก็มีขึ้น ฉะนั้น แม้ไม่เข้าใจสาระแห่งสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ แต่ระลึกทางปฏิบัติที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ โดยคติว่า .... อย่าเห็นแก่ตัว แต่จงเห็นแก่ประชาชน นั่นเป็นวิถีทางประชาธิปไตย และ .... วิถีทางบุญ....... จงมีศรัทธาในคำสอนของศาสนา....(บุษบา บุญเสฏฐ์ และ อรบุศป์ ละอองธรรม วิเคราะห์ 13 พ.ค.2553/08.30 น.)