4. ทหารไทยยุคอนุพงษ์ เผ่าจินดา ทำลายศักดิ์ศรีของสถาบันทหารไทยลงราบเรียบ
ทหารไทยยุคพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่เคยทำสิ่งไร ที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีแต่กระทำความผิดล้วน ๆ คือ(1) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือนายกรัฐมนตรีสมัคร ที่สั่งการตาม พรก.ฉุกเฉิน ในคราวที่ม็อบฯดังกล่าวเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไว้ถึง 193 วัน ในรัฐบาลสมัคร และ (2) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือนายกรัฐมนตรีสมชายที่สั่งการตามกฎหมายฉบับเดียวกันกับรัฐบาลก่อน ในคราวที่ม็อบจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์เข้ายึดสนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ การไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถือว่าไร้วินัย ไม่สมควรแก่ความเป็นทหาร นี่เป็นความผิดอันร้ายแรงทางวินัยทหาร ครั้นเมื่อผลการละเมิด ไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงขึ้นต่อประเทศชาติ ดังนี้แล้ว โทษย่อมฉกรรจ์ตามไปอีกหลายเท่า จนอาจจะเป็นได้ทั้งความผิดทางอาญาและทางแพ่งพร้อมกันไป ยังมีความผิดข้อที่ (3) ฟังคำสั่งและปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกคำสั่งโดยอำนาจตามกฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ร้ายแรงกว่า โดยให้เข่นฆ่า ใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ประชาชนผู้ชุมนุมตามสิทธิประชาธิปไตย ในเหตุการณ์ 13 เม.ย.2552 เป็นเหตุให้ประชาชนผู้สุจริตล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นี่เป็นความผิดล้วน ๆ ของทหารยุคหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความดีงาม และศักดิ์ศรีของสถาบันทหารไทยเหลือไว้อยู่เลย (ลดฐานะของทหารไทยที่มีศักดิ์ศรีลงไปเป็นกองโจรผู้ปล้นชาติขึ้นมาแทน) มาตราบปัจจุบันนี้ ยังมีความผิดต่อกรณีศาสนาสากลอีก โดยรับใช้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะประธานมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ดำเนินโครงการที่ซ่อนแฝงนัยยะอันไม่ชอบธรรมทางศาสนาสากล นี่เป็นการกระทำที่เป็นความผิดชนิดที่ชั่วร้ายของกองทัพไทยยุคอนุพงษ์ เผ่าจินดาทั้งสิ้น และประชาชนจะต้องจดจำไปจนกว่าโทษนี้จักได้รับการชำระ อย่างกับโทษของกองโจรผู้ปล้นชาติและประชาธิปไตย นั้นจักสาสมแก่ความผิด
- สุไหงปาดี ชินะกุล
20 ต.ค.2552