11. นี่หรือทหาร ?
ทหารอากาศทำเสียเกียรติยศเลือดทหารหาญบรรพบุรุษไทยอีกแล้ว ปานประหนึ่งทหารหน้าตัวเมีย ภายหลังที่เจ้าทุกข์คือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เล่าสู่คนเสื้อแดงลำปางคืนวันที่ 23 พ.ย. 2552 ว่าเครื่องบินเอฟ 16 ติดอาวุธจรวดนำวิถีเต็มอัตราศึก(บรรจุเต็ม 4 ลูก) บินขึ้นประกบทันทีที่ เครื่องของดร.ทักษิณ ขึ้นบินจากกัมพูชา จนต้องเลียบหลบไปทางชายแดนเวียดนาม อินโดเนเซีย ไปดูไบ โดยเอฟ 16 ไทย คอยตีขนานด้วยท่าทีคุกคาม หากเข้าเขตแดนไทยก็คงจะโดนยิงตกทะเล เพราะเครื่องบินส่วนตัวของ ดร.ทักษิณ มีเพียงอาวุธมีดปอกกล้วยเล่มหนึ่งเท่านั้น
นี่หรือทหารอากาศไทย น่าสมเพชแท้ ๆ ทำเก่งทำเขื่อง ๆ กับเครื่องบินพลเรือนที่ไร้เขี้ยวเล็บได้เท่านั้นเอง แบบนี้จะไปรบกับใครได้ ???? ไม่มีจิตใจทหารนักสู้นักรบอยู่เลย ไม่นึกละอายใจในพฤติกรรมที่นักรบไม่อาจจะทำได้ เช่นนี้ (คือถ้าคำสั่งนั้น เป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยศ๊ลธรรมอันดี ในที่นี้คือไม่สมกับความเป็นทหาร ทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบันทหาร ก็สามารถปฏิเสธผู้บังคับบัญชาได้ นี่เป็นหลักการสากลของวิถีประชาธิปไตยอยู่แล้ว)
มีเรื่องน่าอับอายเกี่ยวกับทหารอากาศ สมัย ผบ.ทอ.คนก่อน พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก เป็นเรื่องที่ดูเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่แท้จริงเป็นเรื่องที่สะท้อน ความหมายอันยิ่งใหญ่ ที่ทดสอบศักดิ์ศรีของความเป็นทหาร ของทหารอากาศไทย
นั่นคือ รับใช้และอยู่ในคำสั่งของ เอเอสทีวี
ขณะนั้นรัฐบาลสมัครประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ทำเนียบรัฐบาลถูกพวกสนธิ-จำลอง หรือพันธมิตร ยึด นรม.สมัคร และรัฐมนตรีไม่มีที่อยู่ ต้องวิ่งไปพึ่งทหารบก ภาพที่เห็นตราตรึงใจก็คือนายกสมัครนั่งตัวจ๋องอยู่บนเก้าอี้แวดล้อมด้วยทหารมาดเขื่อง ๆ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ราวกับว่านายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เป็นเพียงคนขอทานในความเอ็นดูของกองทัพ แล้วครั้นประกาศสถานการณ์ โดยพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ไปก็ไม่ได้รับความสนับสนุนจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ผู้ซึ่งโดยพรก.นั้น ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเพียง 6 วันต่อมาทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ยังไม่มีการแก้ไข แต่รัฐบาลจำต้องเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ปล่อยให้โจรครองทำเนียบต่อไปจนครบ 193 วัน โดยเคลื่อนไปก่อการร้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิแทน จนถึงทุกวันนี้ยังมีคำถามว่า ทำไมทหารจึงขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ปฏิบัติงานกวาดล้างผู้ก่อการร้าย ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลเสร็จจบลง โดยเอาผู้ก่อการร้ายไปเสียจากสังคม สังคมก็คงสงบลงตั้งแต่ได้กำจัดผู้ก่อการร้ายยึดทำเนียบรัฐบาลไปตั้งแต่ครั้งคราวนั้นแล้ว ?
และส่วนของทหารอากาศ โดยพล.อ.ชลิต พุกผาสุก ผบ.ทอ.ขณะนั้น แทนที่จะฟังคำสั่งรัฐบาล กลับฟังคำสั่งเอเอสทีวี ให้ต้านตำรวจ ผู้เตรียมปฏิบัติงานตามคำสั่ง ในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลขณะนั้น
จนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยมีคำปฏิเสธจากกองทัพอากาศ หรือแม้แต่ทหารอากาศคนหนึ่งคนใด ต่อการโฆษณาของเอเอสทีวีที่เกี่ยวกับกองทัพอากาศ ว่ากองทัพอากาศเป็นพันธมิตรของเอเอสทีวีและพวกผู้ก่อการร้ายยึดทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
เสียงจาก เอเอสทีวีคืนวันที่วิกฤตที่สุดก้องไปทั่วแผ่นดิน ที่เอเอสทีวีรายงานคืนวันนั้นว่า ทหารอากาศสะกดหลังตำรวจมาช่วยพวกพันธมิตร “พี่น้องไม่ต้องตกใจกลัวตำรวจบุกเข้ามาไม่ได้อย่างแน่นอน ทางพันธมิตรของเรา ผู้บัญชาการทหารอากาศได้สั่งกองกำลังทัพอากาศสะกดรอยตามตำรวจมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างเพื่อพวกเราอยู่แล้ว ขอให้ไว้วางใจทหารอากาศว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรของเรา พี่น้องไว้วางใจได้ ตำรวจมันทำอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน”
ไม่เคยมีทหารอากาศหน้าไหนออกมาปฏิเสธ คำของเอเอสทีวีคืนนั้น ยังคงให้ความหมายว่าทหารอากาศไทยคงรับใช้พวกพันธมิตรโจรก่อการร้ายยึดทำเนียบ ยึดสนามบินนานาชาติกลุ่มนั้นโดยซื่อสัตย์มาจนถึงปัจจุบันนี้
นี่หรือ ทหารอากาศไทย ช่างไร้ค่า น่าสมเพชแท้
เพราะพฤติกรรมทั้งสองกรณีนี้ ได้สะท้อนภาคภายในที่ไร้จิตใจของนักรบ และไร้ค่าต่อแผ่นดินนี้ไปโดยสิ้นเชิง
วันนี้หรือวันใดภายหน้า หากโละทหารอากาศทั้งชุดทิ้งไปเสียเฉย ๆ จะมีคนไทยสักกี่คนที่นึกเสียดาย ?
- บานไม่รู้โรย
23 พ.ย. 2552