ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์และคณะผู้ปกครองไทยจึงไม่คิดใช้วิธีการประชาธิปไตยมาจัดการกับปัญหาทางการเมืองและการบริหารที่กำลังสับสนและเสี่ยงต่อหายนะของประเทศชาติอยู่ในขณะนี้ ?
 
 
 
1. อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าหัวหน้ารัฐบาลไม่ได้รู้จักประชาธิปไตยในหลักการของประชาธิปไตย ตลอดไปถึงเทกนิควิธีการของประชาธิปไตย ไปจนถึงเงื่อนไขสำคัญ ๆ ของการเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย    ลองวิจัยหาคำตอบดู ก็จะได้พบว่าว่าพวกเขาน่าจะไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง ๆ   คำตอบนี้ยืนยันจากการศึกษาบทบาทของผู้นำพรรคการเมืองพรรคประชาธิปัตย์มาแต่แรกเริ่มที่มีหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
         นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งแต่เข้ารับเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มา จริงอยู่ ได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงคือ อ๊อกซ์ฟอร์ด(Oxford University)ประเทศอังกฤษ ระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยม) ระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์   แต่ดูเหมือนมิได้เอาความรู้และความเจริญทางการปกครองจากมหาวิทยาลัยนั้น มิได้สะท้อนความเป็นลูกศิษย์ที่มีคุณค่าจากสถาบันแห่งนั้น และจากประเทศอังกฤษที่ตนไปอยู่เป็นแบบอย่างความเจริญทางประชาธิปไตยมาใช้สร้างระบอบประชาธิปไตยในไทยเลย ในเมื่อเขามีโอกาสเป็นผู้นำทางการเมืองไทยจากระดับล่างมาจนถึงระดับบนสูงสุด ที่มีโอกาสอย่างมากมายเช่นนี้ 
         ข้อบ่งชี้ก็คือ เมื่อเขาได้เป็นผู้นำพรรคการเมือง เก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์  ได้นำพรรคเข้าต่อสู้ทางการเมือง การเลือกตั้งหลายครั้ง และพรรคของเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง โดยที่บอบช้ำที่สุดก็คือการเลือกตั้งปีพ.ศ.2544 พรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร กวาดไปถึง 248 ที่นั่ง ขณะที่ประชาธิปัตย์ ได้เพียง 130 ที่นั่ง และการเลือกตั้งสมัยต่อมา ปี พ.ศ.2548 พรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่งทางอีสาฯ-เหนือ และ กทม.ไปถึง 377 ที่นั่ง สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ โดยฝ่ายประชาธิปัตย์ได้เพียง 96 ที่นั่ง การที่แพ้อย่างหลุดลุ่ยแทบสิ้นสภาพพรรคใหญ่ไปในคราวนี้ เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์อิจฉาริษยา จนต้องเล่นนอกกติกา   นั่นคือ การบอยคอตการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2549 นอกจากนี้ เมื่อมีการเลือกตั้งหนหลังที่สุด คือการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นสถานการณ์ภายใต้การปกครองของคณะรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ที่มีคณะอมาตยาธิปไตยและกองทัพสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็ยังคงพ่ายแพ้พรรคพลังประชาชน และนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมา    มีข้อเท็จจริงว่า การพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ทุกครั้ง ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคนี้ เขาไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเป็นนักการศึกษาที่ผ่านความเจริญมา และประพฤติตนอย่างนักวิชาการหรือนักปราชญ์สมกับสถาบันเลย  นั่นคือมิได้มีการตรวจสอบตนเองว่าผลของความพ่ายแพ้มาจากเหตุอันใดบ้าง (มีสาเหตุประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีนโยบาย ไม่รู้จักคำว่านโยบายคืออะไร และไม่เคยมีการปรารภและทำการศึกษาวิจัยทางนโยบายการเมืองเลย มาแต่ยุคดั้งเดิม แม้มาเป็นรัฐบาลขณะนี้ ก็ไม่ได้มีความชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้วางนโยบายการบริหารประเทศไว้อย่างไร มีข้อครหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ยุคอภิสิทธิ์ได้ขโมยนโยบายพรรคไทยรักไทยเดิมมาแปรเป็นของตนแทบทั้งหมด แต่ทำไม่เป็น เช่นโอทอป เป็นต้น จึงได้รับผลเสียหายไปทั้งหมด     มีอะไรที่ได้ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมบ้าง ก็ไม่ปรากฏ   ดังจะเห็นได้จากการแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มิได้มีการแถลงนโยบายในรัฐสภา อันเป็นสถาบันของประชาชน แต่แอบไปซุ่มแถลงนโยบายในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนอกจากเป็นการผิดกฎหมาย หรือข้อครหาว่าไม่ชอบครรลองของนิติธรรมและครรลองของนิติศาสตร์แล้ว   ยังหมายถึงการที่ไม่เล็งเห็นความสำคัญของพรรคการเมืองกับนโยบายอย่างไรของพรรคประชาธิปัตย์ และทั้งการแถลงนโยบายคราวนั้นได้กระทำไปอย่างลวก ๆและรีบเร่ง สุกเอาเผากินอย่างยิ่ง ไม่คำนึงว่าประชาชนจะมีโอกาสรับทราบนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ อย่างไร รัฐบาลนี้จะทำอะไร ได้ประโยชน์อย่างไรแก่ประชาชนทั่วไป รัฐบาลนี้หาคำนึง หาให้ความสนใจใฝ่ใจไม่ อันแสดงถึงความไม่เข้าใจ ไร้เดียงสาต่อหลักและวิธีการการปกครองระบอบประชาธิปไตย   
 
          อีกประการหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้ารัฐบาล  ไม่เคยสะท้อนให้ประชาชนเห็นว่า มีสปิริตจิตใจของนักประชาธิปไตย อันเป็นประเด็นสำคัญของหลักการประชาธิปไตยเลย นั่นคือเมื่อเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งทุกครั้ง เขาไม่เคยแสดงความยินดีต่อฝ่ายที่ชนะ การเลือกตั้ง เขาไม่คิดทำอย่างอเมริกา หรือไม่เข้าใจในความสำคัญที่ได้เห็นจากอเมริกา ที่นักการเมืองเขาแสดงสปริตรทางการเมืองอย่างสูง ที่จะต้องถือเป็นจริยธรรมทางการเมืองข้อสำคัญ ที่จำเป็นขาดไม่ได้ จึงมีการโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีแก่กันและกัน (เห็นตัวอย่างของนาย จอห์น แครี,  นางฮิลลารี คลินตั้น และ จอร์จ บุช ล่าสุด หรือไม่) แต่ประเด็นคือ เขาน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นี่เป็นวัฒนธรรม จริยธรรมที่จำเป็นของระบอบประชาธิปไตยเลยทีเดียว ดังจะได้เห็นจากเวลาที่เขาออกปรากฏแด่ประชาชนที่สนับสนุนเขา ท่าทีของเขา ไม่อาจจะมองเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ประสีประสาในระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้มองว่า การที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้ามหาชน ฝ่ายที่สนับสนุนเขานั้นเป็นประเด็นสำคัญ เป็นประเด็นความอยู่รอดของระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นประเด็นหลัก ในหลักการความสามัคคีของคนในชาติ ตามหลักศาสนาพุทธ นั้นเป็นการเลิกแล้วต่อกันและกัน  ไม่อาฆาตเคียดแค้นจองเวรกันต่อไปอีก และให้เป็นการกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ และใช้เวลาที่ว่างจากการแข่งขัน เตรียมการแข่งขันเชิงนโยบาย  ต่อเมื่อถึงเวลาการเลือกตั้งครั้งต่อไปจึงกลับมาต่อสู้ด้วยการเสนอนโยบายครั้งใหม่ต่อประชาชน เพื่อประชาชนพิจารณาเลือกนโยบายกันและใช้ความเห็นที่แตกต่างกันเลือกพรรคที่ตนต้องการอีกครั้งหนึ่ง   ในทางประชาธิปไตยสากล ก็หมายถึงการกลบลบเรื่องความขัดแย้ง(เนื่องเพราะการเลือกนโยบายที่ตรงผลประโยชน์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่มหมู่อาชีพ) เดิมเสีย ประชาชนทั้งสิ้นกลับมาสู่ความเป็นกลาง ด้วยการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เลิกแล้วไปเป็นเกม ๆ ไม่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรกันต่อไปอีก สามัคคีธรรมในชาติก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง   ความสามัคคีธรรมของชาติในองค์รวม จึงจะเกิดขึ้น และประชาธิปไตยโดยรวมของประเทศทรงอำนาจขึ้น ประเทศเข้มแข็งขึ้น ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยก็ควรที่จะเข้าใจอย่างนี้ ประพฤติไปอย่างนี้ จึงจะสามารถนำพาประเทศชาติ สังคมของตนก้าวหน้าไปอย่างยิ่งใหญ่ได้ด้วยพลังมหาชน  แล้วคอยดูไปว่ารัฐบาล ฝ่ายที่ชนะ ได้บริหารประเทศไทยอย่างไร ตรงตามนโยบายหรือไม่ หรือหากว่าตรงตามนโยบายแล้วก็ถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายต่อไปเป็นต้น
 
           แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ เมื่อปรากฏต่อประชาชนภายหลังการรู้ผลแพ้ชนะแล้ว เขากลับแสดงออกซึ่งท่าทีไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้ามหาชนฝ่ายข้างเขา   แต่เขาได้บอกประชาชนว่าเขาถูกโกงการเลือกตั้ง เสมอไป ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้  ทุกครั้งคราวจะมีข้อกล่าวหาจากผู้นำและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้เงินซื้อเสียง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใช่เงินซื้อเสียงเลย ฝ่ายตนมีแต่การต่อสู้ใสสะอาด (ซึ่งเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่เป็นความจริง เพราะพรรคนี้ก็เคยถูกใบแดงและมีข้อกล่าวหา คดี และข้อครหาของคนทั่วไปในเรื่องทุจริตการเลือกตั้งพอ ๆ กับพรรคการเมืองอื่น ๆ)   และมักสรุปว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจยอมรับได้ พรรคฯและประชาชน โดยเฉพาะประชาชนชาวใต้จะไม่ยอมรับการเลือกตั้งหนนี้ จะต้องต่อสู้ต่อไป (มีมาแต่ครั้งนายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค นายชวนจะพูดว่าพรรคประชาธิปัตย์ใสสะอาดมีคุณธรรมสูง และด่าว่าฝ่ายตรงข้ามมาตลอดเวลาไม่เคยหยุดว่า ใช้เงินซื้อเสียง โกง ทุจริตในการเลือกตั้ง (จนกระทั่งกาลเวลาและเหตุการณ์ได้ทำการพิศูจน์พบความจริงว่าพรรคที่มีดีแต่การเจรจา เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น นี่คือ ประชาธิปัตย์)  นั่นเป็นความผิด และความที่ไม่อาจจะกล่าวสรุปได้อย่างไรนอกจากความที่อ่อนด้อย ไม่รู้เรื่องของประชาธิปไตย แล้วยังนำประชาชนฝ่ายเขาให้เข้าใจผิดตาม นั่นคือพาประชาชนฝังใจเคียดแค้นแด่ฝ่ายที่ชนะต่อไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อความสามัคคีธรรมชองชาติ ไม่ชอบธรรม และไม่ชอบด้วยจริยาของระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นการละเมิดกติกาการเมือง ของุทุกระบอบ โดยเหตุที่ขัดแย้งคติสำคัญของการแข่งขัน นั่นคือ การแข่งขันทุกชนิดต้องรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อันเป็นเหตุของสมานฉันท์ รู้จบลงตรงวันที่แข่งขันแพ้ชนะแล้ว อย่างเช่นกติกาของนักกีฬาทุกชนิดนั่นเอง หากแต่ว่านี่เป็นกติกาการแข่งขันทางการเมือง ซึ่งมิได้ต่างจากกติกาการแข่งขันกีฬาเลย ฉะนั้น ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้จบการศึกษามาจากประเทศที่เจริญ ที่เป็นที่คาดหมายว่าเขาจะนำเอาความเจริญทางประชาธิปไตยมาเผยแผ่ต่อยังประเทศไทยของเรา   แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้มีสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมความเจริญทางประชาธิปไตย ตามแบบอย่างประเทศที่เจริญ ที่เขาได้ไปหมกตัวศึกษาและซึมซาบรับอารยธรรมอันดีทางการเมืองติดตัวมาเพื่อประโยชน์แด่ประเทศชาติและประชาธิปไตยไทยเลยแม้แต่นิดเดียว

           เมื่อผู้นำระดับนี้ซึ่งได้ผ่านการสอบจากประชามหาชนว่าไม่มีภูมิความรู้ ไร้จิตใจของนักกีฬาการเมือง ที่พึงรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยจึงนำพาประชาชนแตกแหกวิถีทางประชาธิปไตยออกไปอีก เขาพาประชาชน และพยายามพาประชาชนหลงไปนอกทางประชาธิปไตยตั้งแต่ต้นแล้ว  เป็นเหตุสำคัญของความแตกสามัคคีในชาติ เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกขนาดใหญ่ แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายและดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยมิจฉาทิฏฐิคือทิฏฐิที่เข้าใจกันไม่ถูกต้องต่อประชาธิปไตย ตาบอด เข้าใจไปในทางมิจฉาทิฏฐิ เมื่อพาหลงทางประชาธิปไตยไปแล้ว เขาก็ยังชักจูงประชาชนให้หลงไปตามเขาด้วย ทำให้เกิดการขัดแย้งขึ้นกับฝ่ายที่เขาตาดี ตาสว่างที่ไม่หลงทางไปทางอื่น ฝ่ายที่รักประชาธิปไตยและไม่หลงทางประชาธิปไตย   และการแตกแยกนั้นเป็นเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับว่าประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีกติกา มิแตกต่างจากเกมกีฬา ที่ต้องรู้ในความสำคัญของคติการต่อสู้ทางการเมืองที่ว่า   รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เฉกเช่นประเทศที่เจริญในอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน  เป็นต้น
 
2.   การบอยคอตการเลือกตั้ง   หมายถึงการปฏิเสธ ไม่ลงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองที่สะท้อนอนารยธรรมทางการเมืองอย่างยิ่ง และน่าจะไม่เคยปรากฏในประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว เหตุที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย    แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย และเกิดขึ้นโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 
 
          ในพฤติกรรมการบอยคอตการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2549 (มีพรรคการเมืองที่ร่วมในขบวนการราคีคาวทางการเมืองคราวนั้น อีก 2 พรรคคือพรรคชาติไทย ขณะนี้คิอ ชาติไทยพัฒนา มีนายบรรหาร ศิลปะอาชา เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคมหาชน พรรคเล็กเกิดใหม่) นั้น นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งลูกพรรคลงเลือกตั้งแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ดำเนินการต่อต้าน ขัดขวงการเลือกตั้งตามครรลองของระบอบอีกด้วย   กล่าวคือเมื่อมีการบอยคอตการเลือกตั้ง(ซึ่งไม่ควรมีอย่างยิ่ง) แล้ว โดยความถูกต้องเป็นธรรมตามหลักการการต่อสู้ทางการเมืองระบอบไหนก็ตาม  พรรคประชาธิปัตย์ก็ควรจะอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้มีการต่อสู้อยู่ระหว่างพรรคที่ลงสมัครเลือกตั้งเท่านั้น เพราะเมื่อตนสละสิทธิ์แล้ว ก็หมายถึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเสนอนโยบายของพรรคใดใด ไม่มีความชอบธรรมที่จะต้องเสนอนโยบาย หรือเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติให้ประชาชนรับไปพิจารณาในเฉพาะช่วงการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่ลงสมัคร ขณะนั้น   แต่พรรคประชาธิปัตย์สมัครใจไม่ลงสมัครเลือกตั้งเอง ไม่ได้สะท้อนความสุจริต ไม่สะท้อนว่าการไม่ลงสมัครเลือกตั้งนั้นหมายถึงการสละสิทธิ์ แต่เป็นการยอกย้อนซ่อนกล หวังผลทางการเมือง และแฝงกโลบายทุจริต ไม่จริงใจ ที่ใช้วิธีการต่อสู้อย่างไม่ชอบด้วยครรลองของประชาธิปไตย ไม่ชอบธรรมทุกประการในแบบแผนการต่อสู้อย่างมีความเป็นมนุษย์   เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีเจตนาที่ให้ความหมายถึงการสละสิทธิ์ของตนเองที่จะนำนโยบายของพรรคไปสู่ประชาชน โดยสมัครใจไปอยู่วงนอก ปล่อยให้พรรคที่ลงแข่งขันต่อสู้กันเชิงนโยบายกันต่อไป
 
          แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย   ทั้ง ๆ ที่ผ่านการศึกษามาระดับที่น่าหวังได้ว่าจะอาจเป็นผู้นำอย่างดีในทางเป็นแบบเป็นอย่างของระบอบที่มาจากประเทศที่เจริญแล้ว ที่นายอภิสิทธิ์เคยอยู่ เคยรับการศึกษาและอบรมทางวัฒนธรรมมา เพราะสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พาพรรคประชาธิปัตย์ทำก็คือนอกจากไม่เสนอนโยบายต่อประชามหาชน ตามหลักการพรรคการเมืองแล้ว ยังมีเจตนาก่อกวนการเลือกตั้ง โดยทำการกระจายหมู่พวกไปก่อกวนพรรคตรงข้ามตนที่เสนอนโยบายต่อประชาชน   ทำการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มก้อนทางการเมืองออกไปโจมตีพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด   ต่อหน้าองค์กรอิสสระที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการเลือกตั้ง(คือ กกต. แต่กกต.กลับไร้ความรู้สึก ทำเมินไปเสียไม่รับรู้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย เพราะละเว้นการกระทำหน้าที่ของตนในกาละที่ต้องทำหน้าที่นั้น) ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องหลักการพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย และไม่น่าที่ประชาชนจะให้การสนับสนุน เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยได้
 
           นี่เป็นพฤติกรรมที่น่าสรุปได้ว่าโง่เขลา ที่มืดบอดโดยสิ้นเชิงในความเข้าใจเรื่องจริยธรรมนโยบายพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย จักเป็นไปได้อย่างไรที่คนที่ได้รับการศึกษามาขนาดนี้ ในมหาวิทยาลัยขนาดนี้ จะทำอย่างนี้ได้   แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะก็ได้กระทำไปแล้ว และได้มีการจารึกถึงพฤติกรรมที่ไม่อาจกล่าวอย่างไรชอบนอกจากเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของคนผู้นี้ไว้ในวงการประชาธิปไตยไทยตลอดไป
 
3.     มีการกล่าวหายุบพรรคการเมือง ปลุกปั่นพยานเท็จ เพื่อล้มล้างพรรคการเมืองคู่แข่งของตน คือพรรคไทยรักไทย   นั่นคือมาบัดนี้ ล่วงมา 3 ปีแล้ว ได้มีการเปิดเผยพยานเท็จ ปากเอก ที่น่าเชื่อถือได้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์  เป็นผู้ได้ว่าจ้างพยานเท็จ 2 นาย ไปยืนยันให้การต่อ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ร้ายกล่าวหาพรรคไทยรักไทย คู่แข่งของตน   จนกระทั่งพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมาในสมัยที่ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้อย่างยับเยิน แทบสิ้นสภาพพรรคใหญ่ จนได้เป็นพรรคฝ่ายค้านขนาดเล็ก   จนกระทั่งศาลสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย   ครั้นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ไปก่อตั้งขึ้นใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน ก็หาเรื่องให้มีการยุบพรรคพลังประชาชนไปอีกครั้งหนึ่ง โดย กกต.และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการสั่งยุบพรรคพลังประชาชน  จนในขณะนี้ พรรคไทยรักไทยเดิม กับพรรคพลังประชาชนเดิมมารวมกันเป็นใหม่คือพรรคเพื่อไทย ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำการต่อสู้ทางการเมืองต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ และซึ่งอยู่ในสายตาจ้องมองของคณะอมาตยาธิปไตย นำโดยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เพื่อทำการยุบพรรคเพื่อไทยต่อไปอีก เพื่อกวาดล้างเส้นทางของตนให้เดินไปอย่างสะดวกง่ายดาย
 
           การยุบพรรคการเมืองโดยอำนาจอื่นนอกไปจากอำนาจของประชาชน เป็นเรื่องที่ผิดหลักการของระบอบประชาธิปไตย   แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย และคู่กรณีก็คือพรรคประชาธิปัตย์ อันมีนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้ารัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้อยู่เบื้องหลังความทุจริตทางพยาน โดยปั้นพยานเท็จขึ้นใส่ความเขา เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
 
          นี่ก็เป็นเรื่องที่ร้ายแรงไปอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยไทย โดยมีส่วนของความละเลย เขลา ไม่พยายามทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย โดยท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง นับตั้งแต่ กกต. 5 คน และ ศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน อันเป็นองค์การอิสสระตามรัฐธรรมนูญ เถื่อน รัฐธรรมนูญโจร 2550  ไม่ได้นำเอาสาระสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยมาร่วมให้น้ำหนักการพิจารณาตัดสินความในระบอบประชาธิปไตย  ที่เกี่ยวกับสถาบันหลักที่สำคัญอย่างยิ่งของระบอบประชาธิปไตย คือพรรคการเมือง อย่างไร   ไม่ทำความเห็นให้ตรงความสำคัญของพรรคการเมืองที่ว่า พรรคการเมือง มีความหมายถึงประชาชนทั้งมวล ซึ่งองค์กรใดไม่อาจจะใช้อำนาจใดยุบได้ นอกจากมวลมหาประชาชนเท่านั้น และการที่กฎหมายออกมาให้อำนาจในการยุบพรรคการเมืองได้ นั้นย่อมหมายถึงกฎหมายที่ออกมาโดยคณะบุคคล ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย   ไม่รู้ครรลองของประชาธิปไตย(หมายถึงความรู้ความเข้าใจว่า ประชาธิปไตยเดินไปอย่างไร การเดินไปอย่างสง่างามของประชาธิปไตยต้องประกอบด้วยสถานะแห่งระบอบ สำคัญ ๆ อะไร และอย่างไรบ้าง)   และหนึ่งในสถานะนั้นที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ พรรคการเมือง ต้องขึ้นตรงต่อประชาชน โดยตรง   การยุบพรรคการเมืองไม่อาจจะกระทำได้   ทำนองเดียวกันกับกฎหมาย และคณะบุคคลที่โง่เขลาโง่เง่า (คือ ปปช.) ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ในคดีที่ได้ตัดสิน ให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 แห่งประเทศไทย คือนายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งได้ง่าย ๆ เพียงข้อหา ว่า นายกรัฐมนตรีไปมีรายได้จากการออกรายการทางโทรทัศน์ ซึ่งตามข้อเท็จจริงรายการชิมไปบ่นไป ไม่ได้มีอันตรายอย่างไร และไม่เป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย มีแต่ได้ให้ความรู้ในหลักวิชาโภชนาการอย่างละเอียดลึกซึ้ง แต่ ปปช. สามารถอ้างคำนิยาม ที่ไม่มีในตัวบทกฎหมายที่ลงโทษ แต่อ้างจากพจนานุกรม มาปลดตำแหน่งอันสูงสุดทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย ได้อย่างไร?   เราจะอ่านความหมายนี้อย่างไร   นอกจากอ่านว่า ท่านผู้พิพากษาเหล่านี้ (จริงอยู่เป็นนักกฎหมายที่ผ่านการศึกษาทางกฎหมายมาอย่างดี อยู่ในระดับยอด ๆ ของการอาชีพนี้ แต่นักกฎหมายเหล่านี้ หากรู้กฎหมายแบบนกแก้วนกขุนทอง ฯ แล้ว ความรู้ดี ๆ เช่นนี้แหละกลับจะกลายเป็นโทษ และก็เป็นโทษต่อสังคมไทย การเมืองไทยอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะนักกฎหมายผู้มีความรู้ดีแต่ไม่เข้าใจสังคมเช่นนี้ และเช่นนักกฎหมายในพรรคประชาธิปัตย์ ด้วย) ที่ล้วนมืดบอด ไม่มีความเข้าใจ ไร้สปิริตจิตใจที่ภักดีต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าใจประชาชน และไม่เข้าใจครรลองของระบอบประชาธิปไตย(ไม่เข้าใจวิถีทางที่ประชาธิปไตยจะก้าวเดินไป ระบบและระเบียบที่เป็นหลักการหลักอันประเสริฐล้ำเลิศของระบอบประชาธิปไตย ที่พร้อมนำพาประชาชนไป และนำไปสู่ความเจริญ ความสำเร็จ ความมีชัยชนะมาสู่มวลมหาประชาชนในระบอบนี้อย่างไร (เคยฟังคำปราศรัยของประธานาธิบดี บารัค โอบามา หรือไม่ ที่เขากล่าวว่า เขาจะพาประชาชนอเมริกาไปสู่ชัยชนะและเสรีภาพ ด้วยประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะนำชัยชนะมาสู่ประชาชนอเมริกาอย่างไร เข้าใจคำว่า ประชาธิปไตยเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะอย่างไรหรือไม่?)   เลยโดยแท้จริง หมายความว่าคนที่รู้เชี่ยวชาญกฎหมายหรือระบอบกฎหมาย (รวมทั้งคนเก่งสาขาอื่น ๆ เช่นทหารใหญ่ ๆ ) ไม่ได้หมายความว่าท่านเหล่านี้จะเข้าใจประชาธิปไตย   เขาอาจจะเป็นเพียงเด็ก ๆ หรือมีความรู้พอ ๆ กับเด็ก ในสาขาวิชานี้ก็ได้ (สู้เด็กยุคคอมพิวเตอร์ได้หรือเปล่า กล้าแข่งคอมพิวเตอร์กับเด็ก 5-6 ขวบหรือไม่เล่า?) นี่คือประเด็นของความประมาท ละเลย ไม่พยายามมองประชาธิปไตย ในแง่ที่ลึกซึ้งและทรงคุณค่าของมวลมหาประชาชน
 
4.    การดิ้นรนใฝ่อยากเป็นใหญ่โดยไม่ชอบด้วยครรลองการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคการเมือง และผู้นำทางการเมือง   ในที่นี้คือพรรคประชาธิปัตย์ และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีความใฝ่ทะเยอทะยานเกินตัว   จนกระทั่งไม่คำนึงสถานะทางความรู้ประสพการณ์ของตนเองต่อระบอบประชาธิปไตย ต่อความถูกต้องชอบธรรม  ไม่ว่าโดยนิตินัย หรือพฤตินัย ในนัยของวัฒนธรรมองค์รวมของสังคมและประเทศชาติ    ด้วยการคบกับกลุ่มการเมืองนอกรัฐสภา ที่เรียกตนเองโดยแอบอ้างสถาบันและมวลชนว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลุ่มพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผนวกนักบวชสันติอโศก และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเราเรียกมาแต่เดิมและจะเรียกต่อไปว่าม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ทำการต่อสู้ทางการเมือง โดยอาศัยอิทธิพลสื่อทำการปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังรัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายตน โดยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ในการนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมในกลุ่มม็อบ ที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีพฤติกรรมสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมาตั้งแต่ต้น ที่ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมมวลชน ให้เกลียดชังโกรธแค้นต่อรัฐบาล (เริ่มตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ที่มีความประมาทชะล่าใจในการต่อสู้ทางสื่อ และการโฆษณาชวนเชื่อ) จนสามารถสร้างเงื่อนไขการรัฐประหารแก่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ผบ.ทบ.ขณะนั้น เริ่มเกิดความคิดอ่านการทรยศต่อผู้มีพระคุณขึ้นมาในใจ  และเกิดการรัฐประหารขึ้นใน 19 กันยายน 2549 โดยภาพอันป่าเถื่อนที่ทหารจากกองทัพไทยเคลื่อนพล กำลังอันแข็งแกร่งที่ใช้ป้องกันศัตรูภายนอกราชอาณาจักร เข้าล้มล้างขับไล่รัฐบาลพลเรือนประชาธิปไตยของประชาชน ในขณะที่หัวหน้ารัฐบาลประชาชนไปปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรติในต่างประเทศ(ขณะนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปเจรจาขยายตลาดการค้าอยู่หลายประเทศในอาฟริกา แล้วเลยไปเข้าประชุมสหประชาชาติ กำลังจะขึ้นกล่าวปราศรัยในองค์การสหประชาชาติในวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว ก็เกิดการยึดอำนาจเสียก่อน) อันเป็นการไม่ชอบธรรม ซึ่งเป็นที่เข้าใจไปทั่วโลกประชาธิปไตยไปอย่างเปิดเผยแล้วว่า เป็นการยึดอำนาจอย่างไม่ชอบธรรม และจัดตั้งคณะผู้ปกครองขึ้นอย่างมีลับลมคมใน เป็นแผนลับ ลวง พราง ไปทั้งสิ้น โดยมีเป้าหมายโค่นล้มบุคคลเพียงคนเดียวคือ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ให้จงได้ ครั้นทนต่อกระแสประชาชนผู้รักประชาธิปไตยไม่ได้ ก็จำยอมจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายรัฐบาลเดิม ที่ถูกรัฐประหาร นั่นคือผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 23 ธันบาคม 2550 ฝ่ายรัฐบาลเดิมชนะ และนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่ายรัฐประหารซึ่งเป็นคณะอมาตยาธิปไตย มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เป็นต้น ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ มีม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์สนับสนุนด้านการโฆษณาชวนเชื่อ จึงดำเนินการขจัดพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายทักษิณ ต่อไป โดยให้กลุ่มการเมืองที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (คือม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์)ทำการก่อกวนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต่อมา 2 รัฐบาล คือ รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย โดยกระทำการอุกอาจ เชิงการโฆษณาชวนเชื่อ ที่บังอาจด่าคนได้ทั้งแผ่นดินโดยไม่มีความผิด(เช่นนางอัญชลี ไพรีรักษ์ ด่า ผบ.ทบ.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจำเริญว่า โง่เหมือนควาย เอากะโหลกศีรษะมาใกล้ ๆ จะเคาะให้ฉลาดขึ้น ผ่านเอเอสทีวี เป็นต้น) รวมทั้ง กระทำความผิดต่าง ๆ จนกระทั่งถึงยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ทำการขับไล่คณะรัฐมนตรีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชหนีไปจากทำเนียบ อันเป็นที่ทำการของคณะรัฐมนตรี   อันเป็นการกระทำเยี่ยงโจรปล้นชาติ   และซ้ำยึดเอาไว้อย่างเหิมเกริมเป็นเวลา 193 วัน เพื่อประกอบความผิดร้ายแรงต่อไป โดยการเคลื่อนไปยึดสถานี NBT หรือสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยขณะนั้น และยังมีการบังอาจ ที่ปิดเส้นทางพระราชดำเนิน ถนนราชดำเนินกลาง ที่ทรงเสด็จผ่านไปถวายพิธีการศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตลอด 6 วันแห่งพิธีการที่สนามหลวง(ระหว่าง 9-16 พ.ย.2551) โดยไม่มีผู้ใดกล้าเอาความผิดฐานละเมิดกษัตริย์ แม้ฐานที่บังอาจลบหลู่ไม่จงรักภักดี (เพราะมีคณะอมาตยาธิปไตย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีหนุนหลังอยู่) แล้วบุกไปยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ  เพื่อการต่อรองให้รัฐบาลสมชายลาออกไป เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ตราบมีการยุบพรรคพลังประชาชน (หรือ ไทยรักไทยเดิมลงอีกหน) ซึ่งมีผลให้นายสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี   ทางคณะอมาตยาธิปไตย นำโดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และคณะทหารในกองทัพไทย จึงใช้วิธีการบีบบังคับ ทั้งได้ใช้เล่ห์กลรวมพรรคงูเห่ามาเข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเดิมเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อรวมเป็นเสียงข้ามาก ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ต่อมา ที่ได้สร้างแต่ความหายนะมาตราบปัจจุบันนี้ 
 
        การที่คณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 กระทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลทักษิณ ที่มาตามระบอบประชาธิปไตย แล้วตั้งระบอบอมาตยาธิปไตยขึ้น มุ่งหมายทำการนำชาติและประชาชนไปในครรลองเดียวกับเผด็จการทหารพม่า ที่มีนางอ่องซาน ซูจี เป็นฝ่ายประชาธิปไตย(แต่สถานะของประชาชนไทย ค่อนข้างได้เปรียบกว่าพม่า ล้ำพม่าไปหลายขั้น)   ทำการทำลายฝ่ายตรงข้ามตนทุกวิถีทางโดยมิชอบด้วยครรลองประชาธิปไตย เพราะการดำเนินการของระบอบอมาตยาธิปไตยโดยมีเป้าหมายเพื่อการปล้นชาติปล้นประชาชนอย่างแยบยลนั้น มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำแกนหลัก การล้มรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย ซึ่งมาโดยชอบตามระบอบประชาธิปไตย เสียงข้างมาก(ฝ่ายประชาธิปไตย) ลงนั้นเป็นเป้าหมายของคณะอมาตยาธิปไตย   และการให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นรัฐบาลนั้นก็เป็นเป้าหมายอันสูงสุด ซึ่งในที่สุดคณะอมาตยาธิปไตยก็สามารถดำเนินการเป็นผลสำเร็จ โดยเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าสู่สถานะหัวหน้ารัฐบาล แต่การดำเนินการเหล่านี้หาชอบด้วยครรลองหรือวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยไม่   เพราะการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้มีการประชุมแต่งตั้งกันในค่ายทหาร แทนที่จะมีการเคารพในพรรคการเมือง ทำการประชุมกันในพรรคการเมือง  โดยบงการ การชี้นำของเผด็จการทหารนั้น เป็นการขัดแย้งกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย อย่างตรงกันข้าม   ในการนี้ย่อมบอกไปถึงเหล่าทหาร สถาบันทหารที่ด้อยความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย พร้อมร่วมมือกันกันกับหัวหน้าพรรคการเมือง คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไร้เดียงสาต่อระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวมา ทั้ง ๆ ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาจากประเทศแบบอย่างทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย นำวัฒนธรรมนั้นมาสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ตามประสงค์ของสถานศึกษา และเมืองแม่   จึงทำลายประชาธิปไตยไทยลงไปตามลำดับ
 
          การเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ขึ้นมาโดยไม่ชอบด้วยครรลองประชาธิปไตย   เพราะได้ตั้งองค์กรอิสสระขึ้นมาหลายองค์กร โดยมีความมุ่งหมายเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์    ร่วมล้างรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ไปเล่นกลการเมืองและกฎหมาย โดยองค์กรอิสสระที่ตั้งขึ้นสนองการปกครองระบอบอมาตยาธิปไตย กล่าวหาใส่ความและตัดสินเอง นับตั้งแต่ตัดสินยุบพรรคการเมืองของประชาชนฝ่ายรัฐบาลอันเป็นเสียงข้างมากเดิมคือพรรคไทยรักไทย แล้วพอสมาชิกพรรคไทยรักไทยไปจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นมาใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน ก็หาเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนลงไปอีกเป็นซ้ำสอง ครั้นต่อมาจึงได้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นมาว่า เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้หาเหตุยุบพรรคไทยรักไทย ด้วยการว่าจ้างสร้างพยานเท็จขึ้นมาอย่างแยบยลสมคบกันกับองค์กรอิสสระ จนยุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์คือไทยรักไทยได้  ในที่นี้เป็นที่ชัดเจนจริงว่า เพียง ดร.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียวเท่านั้น คณะอมาตยาธิปไตยเห็นว่าเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จนต้องใช้เครื่องมือการบริหารทุกชนิด ระดมมาเพื่อล่าและล้างให้จนได้ ตราบระยะหลังสุด ก็สั่งให้เครื่องบินที่ประจำหน่วยรบอากาศยานกองทัพอากาศไทยเอฟ 16 กับ เอฟ 5 อี ติดอาวุธครบอัตราศึก ขึ้นประกบเครื่องบิน ดร.ทักษิณ ขณะบินออกจากประเทศกัมพูชา ที่มาตามคำเชิญเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ท่านอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน โดยมุ่งหมายทำลายชีวิต ดร.ทักษิณ หากแต่สามารถล่วงรู้แผนการและหลบหนีไปได้ในน่านฟ้าสากล ตามที่เป็นข่าวไปทั่วเอเชีย และโลก ซึ่งนอกจากปรากฏในสายตามหาชนเสื้อแดงแล้วว่า ไม่เป็นความยุติธรรม ต่อมนุษย์คนหนึ่ง แล้ว ยังไร้ความชอบธรรมประการใดใดที่จะทำอย่างนั้น   เพราะโดยศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาประจำชาติ ได้มีกฎแห่งสังคมไว้เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ว่าด้วยการฆ่า การทำลายชีวิต ว่าด้วยการพยาบาท การมุ่งอาฆาต และการจองเวร (หมายถึงเลิกแล้วต่อกันในเรื่องของอดีต ที่จักเป็นผลให้เรื่องราวเป็นเหตุเป็นผลของกรรม-วิบากต่อไป คือเรื่องไม่จบลงเสียที มีแต่จะต่อเรื่องให้ยืดยาวออกไปไม่รู้จบ) เพื่อเป็นเครื่องมือทำร้ายฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมือง ทำลายความสมดุลทางอำนาจ ที่ต้องคานกันอย่างมีอิสสระของสถาบันหลักที่มาจากเจ้าของอำนาจ คือปวงชนชาวไทย   และให้เกิดความไขว้เขวในหน้าที่ของสถาบัน จนในที่สุดเกิดอำมะพาตทางการบริหาร ทำลายสถาบันหลัก ๆ ลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำลายมาตรฐานของสถาบันไปอย่างสิ้นเชิง อันเป็นสถานะของการเมืองการบริหารชาติไทยในเวลานี้  อยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากคณะรัฐประหารเป็นต้นเหตุ และอมาตยาธิปไตยเป็นตัวการหลัก ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ มีความเบื้อใบ้ ไม่เข้าใจความหมายของการปกครองของระบอบประชาธิปไตย แต่ฝ่ายอมาตย์ใช้รัฐธรรมนูญล้มล้างพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามตนโดยไม่ชอบด้วยความยุติธรรม ความเป็นธรรม และไม่ชอบด้วยครรลองของระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญ ได้แฝง ดังจะเห็นว่าในยุคอมาตย์นี้ มีการล้มพรรคการเมือง โดยมีความมุ่งหมายให้ฝ่ายค้านอ่อนแอ ไม่สามารถดำเนินการสร้างสรรค์ทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยไปได้
 
 
5.          ยังมีสิ่งที่บอกไปถึงความไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยอีกหลายประการ ได้มีการก่อการหลายอย่าง ที่ร้ายแรง ซึ่งมีประชาชนคนไทยฝ่ายที่ไม่เข้าใจนั้นจำนวนหนึ่งก็ยังคงเห็นว่า ควรจะลืมเสีย นานพอแล้วที่ควรจะลืม   ซึ่งบ่งไปถึงความไม่เข้าใจประชาธิปไตย   โดยไม่เข้าใจว่า การตรงต่อกติกา และตรงต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อย่างจริงจังเท่านั้นจึงจะสามารถสถาปนาความเป็นธรรมขึ้นได้ในแผ่นดิน   และย่อมจะตรงต่อสัจธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จะทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตาม บุคคลย่อมได้รับผลดีและชั่วที่ตนได้กระทำนั้น   ไม่มีใครจักล้างกรรมตนเองได้ กรรมจะต้องตามสนองไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งหากมองตามหลักกรรมนี้ ความผิดที่มนุษย์กระทำไปจะต้องได้รับการติดตามชดใช้ โดยไม่มีอายุความ จนกว่ากรรมจะได้รับการสนองคืน และวิบากสิ้นสุดลงเท่านั้น
 
          ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยของสถาบันและคนระดับนักการเมืองนักปกครองในประเทศนี้ยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
 
          อันแสดงว่าประเทศสังคมไทยยังประกอบด้วยคนในความคิดอันป่าเถื่อนทั้งหลายมากมาย กว่าจะก้าวทันระบอบประชาธิปไตยที่เจริญก้าวหน้าในประเทศประชาธิปไตยที่แท้ได้ และกว่าจะไปเข้าใจคำกล่าวปราศรัยวันชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกาว่า จะนำประชาชนอเมริกาไปสู่อิสสรภาพและชัยชนะ ด้วยประชาธิปไตย   (ประชาธิปไตยคือวิถีทางแห่งชัยชนะ อย่างไร?)
 
          รัฐบาลจึงน่าจะหวลมาทบทวนพิจารณาตนเองว่าปัญหาทางการเมืองและการบริหารที่เกิดสับสนวุ่นวายขึ้นตามลำดับมานี้ ล้วนเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการบริหารไปตามวิถีทางประชาธิปไตยนั่นเอง   และคติประชาชนคือเสียงสวรรค์ จึงน่าจะไม่ละเลยความหมายนี้เสีย หากรัฐบาลและสังคมยังไม่เข้าใจประเด็นปัญหาครรลองประชาธิปไตยอันนี้แล้ว ยากที่ประเทศไทยจะกลับสู่ความสงบ ยากที่จะเกิดการบริหารอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมวลชนประชาธิปไตย   เพราะเท่ากับประเทศไทยได้เกิดมีกระแสที่สวนทางกัน คือกระแสเก่าที่หมุนกลับย้อน ซึ่งกำลังสวนทาง และต่อต้านคัดค้านกระแสใหม่คือประชาธิปไตย ทำไมประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานอำนาจการปกครองมาสู่ประชาชน ให้เป็นประชาธิปไตย จึงยังจะลังเลต่อไปอีก ทำไมจะต้องให้เสียเวลาการพัฒนาการไปตามเส้นทางประชาธิปไตย อันเป็นเส้นทางแห่งชัยชนะ ?
 
          แต่ความจริงมีว่า เมื่อประชาธิปไตยมีหลักการที่คนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน โดยมีสิทธิ์เท่ากันคนละ 1 เสียงแล้ว ภาษิตว่า เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์  และเมื่อเสียงประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอะไร ก็ดุจกระแสน้ำ  นั่นแหละยากที่จะพ่ายแพ้ได้   อย่างไรก็ต้องก้าวไปสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเหตุผลพื้น ๆ ธรรมดา ๆ ซึ่งนำไปสู่หลักการประชาธิปไตยก็คือ คนมีความคิด หรือหลักการพระพุทธศาสนาก็คือ คนเป็นเวไนยสัตว์ ชาวพุทธย่อมเข้าใจดี เวไนยสัตว์คือคนที่สอน เรียน ศึกษาได้ คนมีวัฒนธรรม และคนรู้ดีว่าวัฒนธรรมนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ (วัฒนธรรมไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความคิดโบราณ ๆ แต่หมายถึงความคิดใหม่ หรือวิชาการใหม่ ๆที่สร้างสรรค์ ทั้งหมดด้วย หากไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้วจักพาประเทศชาติไปได้อย่างไร) ซึ่งนี่คือกระแส เว้นไว้แต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง อีกอย่างหนึ่งที่รัฐบาลและคณะผู้ปกครองควรจะได้มาสำนึกทบทวนว่า ประชาธิปไตยไทยเป็นผลมาจากกษัตริย์ โดยตรง ดังจะเห็นว่า รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาสทั่วแผ่นดิน   นั่นหมายถึงอะไร ถ้าไม่ใช่การเตรียมยกระดับมวลชนพื้นฐานเพื่อทรงสร้างรัฐไทยให้เป็นประชาธิปไตย ท่านเข้าใจได้ว่าประชาธิปไตยระดับขั้นต้นพื้นฐานนั้น อย่างไร ๆ ระบอบทาสจะต้องได้รับการขจัดไปเสียก่อน เช่นเดียวกับประเทศอเมริกา ที่มีการขจัดระบบทาสอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นสงครามฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้อันยิ่งใหญ่ของสงครามกลางเมืองอเมริกา ที่สังเวยชีวิตทหารหาญที่รบเพื่อประชาธิปไตยไปอย่างมหาศาล นั่นแหละประชาธิปไตยอเมริกาจึงได้รับการสถาปนาขึ้นบนเลือดและเนื้อชีวิตของนักรบ ประชาธิปไตย และพวกเขาเป็นฝ่ายที่ชนะ สถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้อย่างมั่นคงและกลมกลืนกับความแตกต่างทางผิวสี เชื้อชาติ และศาสนาความเชื่อที่แตกต่างหลายหลาก   ประชาธิปไตยเกิดไม่ได้ในระบอบทาส ชาวไทยทุกคนจึงต้องพ้นจากความเป็นทาส ทาสทางกายและทาสทางภูมิปัญญาความคิดอ่าน และอีกประการหนึ่งก็คือ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 นั้น ท่านอย่าลืมเป็นอันขาดว่ามีส่วนสำคัญของกษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้พระราชทานประชาธิปไตย ให้แด่ปวงชนชาวไทย โดยทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกเมื่อ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งพระบรมราช
โองการของมหาราชกษัตริย์ประชาธิปไตยพระองค์นั้น ได้ทรงเน้นเงื่อนไขว่า ทรงสละพระราชอำนาจ มิใช่เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือคณะบุคคลหนึ่งคณะบุคคลใด แต่ทรงพระราชทานอำนาจอธิปไตยนี้แด่ปวงชนชาวไทยทั้งสิ้น จึงน่าระลึกว่า การกระทำอย่างไร เป็นการขัดพระบรมราชโองการ และการขัดพระบรมราชโองการนั้นย่อมมีโทษานุโทษหนักเบา แต่กรณีนี้ย่อมหนัก จะต้องถึงตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรได้ตามระบอบกษัตริย์ไทยมาแต่โบราณ   จึงจะต้องสังวรให้มากทั้งในนัยของกฎหมายสูงสุด และนัยของความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ก็ย่อมทรงน้อมรับพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงพระราชทานอำนาจสูงสุดนี้แด่ปวงชนชาวไทย มาปฏิบัติตามอยู่แล้ว รัฐบาล ข้าราชการ ทหาร หรืออมาตย์ ข้าราชบริพารในองค์พระมหากษัตริย์       จึงต้องมาคิดว่า ไหน ๆ ประเทศไทยก็ได้รับพระราชทานระบอบประชาธิปไตยลงมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2475 และกษัตริย์ทุกพระองค์แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงสนับสนุนประชาธิปไตยมาตลอด จึงยากเหลือเกินที่กระแสประชาธิปไตยจะไหลไปสู่ระบอบอื่นตามที่คนสำคัญบางคนที่หัวเก่าเป็นอมาตยาธิปไตยจะรับเอาไว้ได้ เพราะประชาชนเขาไม่ยอมรับ ประชาชนคือเสียงสวรรค์เท่านั้น เสียงสวรรค์ย่อมนำไปสู่ชัยชนะอย่างแน่นอน โดยปราศจากความสงสัยคลางแคลงใจใดใดเลย
 
          การแก้ปัญหาทางการเมืองยุคนี้ ยุคที่คนเป็นอิสรภาพ ปราศจากระบบทาสแล้วนั้น จึงมีทางเดียววิถีทางเดียวคือ แก้ปัญหาด้วยวิถีหรือครรลองประชาธิปไตย เท่านั้น 
ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็โปรดนำไปคิดดูความหมาย คำว่า จงคืนอำนาจให้ประชาชนเสียเถิด  (ให้ประชาชนเขาตัดสินใจในเรื่องการปกครองของพวกเขาเอง)   
 
           และวลีอมตะวันนี้ก็คือ จงเชื่อในประชาชนจงเชื่อในประชาชน!   จงเชื่อในประชาชน!
 
 
  • บานไม่รู้โรย
    13 ธ.ค. 2552
 







แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----