สารบาญ
22. อย่าหลงผิด ทำรัฐประหารอีกครั้ง บ้านเมืองจะบรรลัย
23. โดยมารยาท นายกรัฐมนตรีควรยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
1. คน ๆ เดียวเท่านั้นเองเป็นตัวปัญหาของชาติไทยทั้งหมด
จากกระดานถามตอบ
ความเห็นที่ 9 (1981773)
สนธิ ลิ้ม ให้สุริยะใส กะตะศิลา ออกมาข่มขู่ว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ เกิดเรื่องแน่ ๆ กลุ่มนี้ยืนยันคัดค้านแบบหัวชนฝาไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีคำอธิบายเลยแม้แต่คำเดียว
นี่มิแตกต่างอะไรจากแผน การก่อการร้าย
ลองใช้หัวคิดดูหน่อยพี่น้องปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ทหาร ตำรวจ และข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งปวง
โจร มีหรือจะยอมติดคุกหรือรับโทษ ซึ่งรู้อยู่ว่าถึงประหารชีวิต
โจร เมื่อดิ้นรนได้อยู่ จึงต้องใช้แผนการ การก่อการร้าย สถานเดียว มุ่งทำลายสังคมทุกอย่าง ทำลายทุกสถาบัน
หรืออย่าให้สถาบันใด อยู่อย่างสงบได้ ต้องให้สถาบันของชาติวุ่นวายไปตามลำดับ อย่าให้สถาบันใดทำงานได้ ให้เป็นอัมพาตไปหมด
เวลานี้ เราเห็นข้อเท็จจริงอะไรบ้าง
1. สถาบันรัฐบาล ได้รับการก่อกวนด้วยประการต่าง ๆ ทำให้รัฐบาลบริหารงานไปไม่ได้ ตลอดถึงล้มล้างรัฐบาล 2 รัฐบาล แม้กระทั่งการบีบบังคับรัฐบาลปัจจุบัน วุ่นวาย ทำงานไม่ได้ ไร้ประสิทธิภาพ
2. สถาบันรัฐสภา ทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร แตกแยกหาระบบมิได้ไปทั่ว จนตั้งหลักในระบบของตนเองไม่ได้ ซวนเซไปมา สมดังแผนการก่อการร้าย ขณะนี้จะแก้ไขกฎหมายอะไร ล้วนมีเสียงคัดค้านทั้งในสภาและนอกสภา เหมือนประสานเสียงรับกันของแผนการก่อการร้าย
3. สถาบันศาล เป็นตุลาการภิวัฒน์ขึ้นก่อน เพื่อเบิกทางเอาการเมืองไปปนกับสถาบันยุติธรรมแห่งชาติ ที่ขัดหลักการความเป้ฯอิสระ ที่จะต้องอยู่อย่างมีความเป็นอิสระ จนเป็นผลให้สถาบันตุลาการบริหารไปอย่างไร้หลักการของความยุติธรรม กล่าวคือไร้สำนึกของความเป้นตาชั่งแห่งความยุติธรรมไปสิ้นเชิง แต่เป้นไปตามใบสั่ง นี่แหละผลของแผนการก่อการร้าย
4. สถาบันทหาร โดนด่า โดนกระทืบ จากกลุ่มม็อบใด ไร้ศักดิ์ศรี ไร้เกียรติ์ และที่สำคัญทหารไร้สำนึกของวินัยอันดีโดยสิ้นเชิง เห็นจากการประกาศพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน สมัยสมัคร เมื่อม็อบกลุ่มใดยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล 193 วัน ทหารขัดขืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชา สมัยสมชาย ทหารขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา กรณีม็อบบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และสมัยอภิสิทธิ์ ที่ทหารเลือกปฏิบัติอย่างชัดแจ้ง และนั่นเป็นความผิด ของทหารอย่างร้ายแรง ฐานขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือนายกรัฐมนตรี 2 คน ออกคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วทหารไม่ปฏิบัติตามถึง 2 ครั้งครา อันเป็นผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ (ในสนามรบโทษทหารขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาคือ ตัดหัวสถานเดียว) และฐานรับใช้รัฐบาลที่ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟังคำสั่งอันไม่ชอบด้วยกฎหมายให้เข่นฆ่าประชาชน ด้วยการระดมยิงอาวุธสงครามใส่ประชาชน
5. สถาบันตำรวจ เป็นอย่างไร ทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมได้หรือไม่ ปั่นป่วนไปหมด แล้วใครจะจับโจรผู้ร้าย โจรก็คึกเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นผลเพราะอะไร ใครเป็นผู้ออกคำสั่งตะโกนก้องออกไปในเอเอสทีวีว่า ภัทรวาท วงษ์สุวรรณ อำนวย นิ่มมะโน จะต้องไป และแล้วมีผู้รับคำสั่งนั้น จนภัทรวาท ต้องไป
6. สถาบันการสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้าน ไทย-กัมพูชา ที่มีเรื่องทางสัมพันธไมตรีอันอ่อนไหวอยู่แล้ว แต่มีหัวคิดร้ายของคนกลุ่มใดพยายามทำลายให้ไทย กัมพูชา ต้องอลเวง เขามุ่งหมายไปถึงให้เกิดสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาด้วยซ้ำ นั่นคือแผนร้ายของ สนธิ ลิ้มทองกุลกับพวก
7. สถาบันกษัตริย์ ชนกลุ่มใดที่เจตนาปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนิน เนื่องในการเสด็จเป็นขบวนพระอิสรริยยศเต็มพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ทุก ๆ พระองค์ เพื่อพระราชดำเนินไปถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยกลุ่มม็อบกลุ่มใด ที่ปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนินจนต้องทรงเลี่ยงไปจากถนนราชดำเนินอันเป็นเส้นทางของกษัตริย์ เลี่ยงไปทางถนนลูกหลวงแทน ทั้ง 6 วัน(14-19 พ.ย.2551) ที่เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ฯ
นี่คือ แผนและงานอย่าง การก่อการร้าย ของ ขบวนการโจร
ขบวนการโจรที่ได้กระทำผิดกฎหมายและต้องโทษอย่างร้ายแรง ถึงขั้นกบฏ โทษถึงประการชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต แล้ว เขาจะต่อสู้อย่างไร ลองคิดดูดี ๆ
เขาต้องต่อสู้โดย แผนการก่อการร้าย สถานเดียว
เขาต้องก่อกวนทุกสถาบันทุกองค์การทุกหน่วยงานให้เป็นอัมมะพาต ให้กลไกทุกอย่างของประเทศไทยเรานี้ เป็นอันตรายและหยุดการเคลื่อนไหวลงทุกประการ ดังที่เกิดผลขึ้นต่อสถาบันหลัก ดังกล่าวมา
และคนไทยก็คงจะเห็นกันแล้วว่า ขบวนการม็อบกลุ่มใด เราต้องเพ่งเล็งไปที่คน ๆ หนึ่ง ที่เป็นหัวหน้าขบวนการร้ายนั้น
เพียงจัดการคน ๆ นั้นเท่านั้นเอง เท่ากับจัดการ แผนการก่อการร้ายของประเทศไทยได้
ท่านจะเอาเขาไว้ทำไม เขาไม่ได้ทำประโยชน์ มีแต่ทำร้ายประเทศไทยทุกวิถีทาง ท่านถือเครื่องมือของรัฐอยู่ เพียงพอมิใช่หรือที่จะเอาคนร้ายออกไปเสียจากสังคม อันเคยสงบสุขด้วยสามัคคีธรรมแห่งความเป็นธรรมในสังคม
หมาบ้า ถ้าไม่รีบจัดการมันเสีย มันก็เป็นภัยอยู่ตราบนั้น เราเคยเสนอไว้นานแล้ว
- ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2009-09-29 10:26:45
2. ปปช.ประพฤติตนเลวทรามดูแคลนประชาชน
ถึงเวลาที่ประชาชนจะเขียนกฎหมายเอง กฎหมายเป็นของประชาชน
จากกระดานถามตอบ ความเห็นที่ 43 (1982022)
ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะต้องเขียนกฎหมายเอง
ก็ไม่แปลกอะไร สำหรับสังคมระบอบประชาธิปไตย ที่กฎหมายจะต้องเขียนโดยประชาชน และกฎหมายเป็นของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน
เดี๋ยวนี้คนที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ไม่เข้าใจสาระสำคัญของกฎหมายเช่นนี้ คือไม่เข้าใจว่า กฎหมายเป็นของประชาชน เขียนโดยประชาชน และเพื่อประโยชน์ของประชาชน
เข้าใจอย่างผิดพลาดและฮึกเหิมมาตลอดว่ากฎหมายเป็นของตน ตนเป็นผู้ใช้กฎหมายอย่างสิทธิขาด ตามอำเภอใจของตน
คนเหล่านั้นเข้าใจผิดในสาระสำคัญที่ว่า ตนเป็นผู้รู้กฎหมาย ๆ จึงเป็นของตน ๆ จะใช้กฎหมายอย่างใดก็ได้ ไม่เกี่ยวกับประชาชน กลุ่มคนดังกล่าวที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ในขณะนี้ก็คือ ปปช. คตส. เป็นต้น
นั่นคือ พฤติกรรมของ ปปช. ทุกวันนี้ฮึกเหิมดูแคลนประชาชนเป็นอย่างยิ่ง คือมองข้ามประชาชนโดยเขลาไม่เข้าใจหลักการของประชาธิปไตยในประเด็นที่ว่า ประชาชนเป็นเจ้าของกฎหมาย กฎหมายเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
ปปช.ตีความกฎหมายเอาตามอำเภอใจตนเองอย่างไม่เกรงใจประชาชน ไม่เข้าใจว่าใครเป็นเจ้าของกฎหมาย เช่นนี้
และยังตีความกฎหมายไปอย่างไม่คำนึงหลักการความยุติธรรม ดูแคลนประชาชนว่าไม่รู้กฎหมายเช่นนี้ เป็นการเลวทรามที่ละเมิดประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
ดังปรากฎมาคดีแล้วคดีเล่าที่ ปปช.ตัดสินคดีตามอำเภอใจอย่างไร้ความยุติธรรม ไม่สอดคล้องทัศนะของประชาชนอย่างแรง ล่าสุดคือ การชี้มูลความผิด 2 คดี คือ คดี 7 ต.ค.2551 ที่ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ บุกปิดล้อมรัฐสภา จุกประตู ล่ามโซ่ประตู ทั้งข่มขู่จะฆ่าคณะรัฐมนตรีและ สส. แล้ว ปปช. ที่ชี้ให้ สมชาย วงษ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับตำรวจอีก 2 นาย ว่ามีความผิด และ วันนี้ 29 ก.ย.2552 ชี้ว่า สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง กับนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ มีความผิด คดีเขาพระวิหาร ฐานกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยและคนไทยทุกคน ซึ่งค้านสำนึกในความยุติธรรมของประชาชน เพราะในความจริง นายกรัฐมนตรีสมัครและ รมว.ต่างประเทศนภดล ทำให้ไทยไม่เสียดินแดน ต่างหาก
จึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ผู้รักประชาธิปไตย ประชาชนคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย จะได้ตระหนักในหน้าที่ของตน ตามระบอบประชาธิปไตย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกประการหนึ่ง นั่นคือหน้าที่ของการนิติธรรม กฎหมายเป็นของประชาชน ประชาชนจะต้องมองไปที่หน้าที่ของการเขียนกฎหมายของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ต่อไปในที่สุด
ในชั้นนี้จึงต้องทบทวนหลักการสำคัญ 2 ประการก่อนคือ 1. อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน 2. กฎหมายเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การตีความกฎหมายใดใด จะต้องสอดคล้องกับความเข้าใจ ไว้วางใจของประชาชน การตัดสินคดีความใด ๆ ผลลัพธ์จะต้องตรงกับความคาดหมายของประชาชน นี่คือความหมายที่ว่า กฎหมายเป็นของประชาชน
- ผู้แสดงความคิดเห็น นิติชน ประชาชัย วันที่ตอบ 2009-09-29 22:51:02
3. รัฐประหารไทยผ่านมา 3 ปี
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะทำอย่างไรกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ?
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในระยะ 5 เดือนเศษ ๆ ที่ผ่านมา ได้มีอันเป็นไปไม่ปกติโดยไม่ปรากฎแด่สังคมหายเงียบไป มีแต่ข่าวการหลบหนีไปจากบ้านสี่เสา หลบไปพักอาศัยในค่ายทหารโคราชบ้าง แม้กระทั่งมีข่าวลือว่าหลบไปถึงปัตตานีบ้าง แล้ววันนี้ ที่ 15 ต.ค. 2552 ก็ปรากฏตัวออกมา และเป็นข่าวอย่างดัง กรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พล.อ.เปรมปรากฏทางหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ โดยพล.อ.เปรมได้ออกวาทะสั้นเรียบว่า พล.อ.ชวลิต “อย่าทรยศต่อประเทศชาติ” ตามที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ วันที่ 16 ต.ค.2552 พาดหัวข่าวไปแล้ว ซึ่งก็ยังยืนยันว่า ทัศนะเช่นนี้แสดงถึงการปฏิเสธไม่ยินดีในระบอบประชาธิปไตย อันเป้นของประทานจากกษัตริย์ (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินยอมสละพระราชอำนาจ และคืนอธิปไตยสู่ประชาชน โดยทรงเน้นย้ำว่า ทรงมอบให้ประชาชนในส่วนรวม ไม่ทรงยินยอมมอบให้คณะบุคคลใดหนึ่งเป็นอันขาด) และที่สำคัญพล.อ.เปรมออกวาทะที่แสดงถึงความที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับระบอบการปกครองทางประชาธิปไตยเลย เพราะการเลือกพรรคการเมือง นั้นเป็นสิทธิ์ของประชาชน ผู้มีเสียงและสิทธิเท่ากันในระบอบนี้ ที่จะเลือกนโยบาย นั่นหมายถึงการเลือก พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้เป็นสิทธิโดยปกติอยู่แล้ว คนที่ไม่ยอมรับประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจักเห็นว่าการเลือกพรรคการเมืองเป็นเรื่องประหลาด และยิ่งไปมอง ขนาดว่า การไปสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ว่าพล.อ.ชวลิตไปขอสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรสำหรับนายทหารอย่างพล.อ.ชวลิต หรือไกลไปจนกระทั่งเ เป็นการทรยศต่อชาติ นั้น สะท้อนไปถึงว่า เป็นทัศนะอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นตัวปัญหาของประชาธิปไตยเลยทีเดียว และบัดนี้จึงได้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือศัตรูผู้ทำลายประชาธิปไตย โดยการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น เป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้สำหรับบุคคลผู้มีทัศนะเช่นนี้ นั่นก็เน้นย้ำไปอีกว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 อย่างแน่นอน และเมื่อคนขนาดนี้ยังไม่ยอมรับประชาธิปไตย ในยุคที่โลกหมุนไปสู่วิถีทางของประชาธิปไตยทั้งโลกแล้ว จะเป็นผู้อยู่ในฐานะการนำของชาติ ประชาชน แม้กระทั่งการชี้นำทางกองทัพได้อย่างไร ประเทศชาติจะต้องเสี่ยงขนาดไหนต่อบทบาทของบุคคลผู้มืดบอดทางภูมิปัญญาประชาธิปไตยเช่นนี้ ก็เห็นจากพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ วันนี้เอง
พล.อ.เปรม ยังมืดบอดอย่างยิ่ง ในความเข้าใจปัญหาศาสนาสากล จนกลายเป็นตัวผู้สร้างปัญหาขึ้นเองให้แก่ประเทศชาติและประชาชนในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ ภายหลังเอ่ยวาทะที่ร้ายแรง ออกไปในการเปิดโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ รุ่นที่ 12 ในวันที่ 23เมษายน 2552
แล้ววันที่ 15 ตุลาคม 2552 ก็ได้เดินทางไปทำพิธีเปิดการอบรมโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ รุ่นที่ 13 อีกรุ่นหนึ่ง ประกอบด้วย เยาวชนจากภาคใต้มาร่วมโครงการจำนวน 239 คน ได้กล่าวเปิดงานว่า “มี 2 สิ่งที่ต้องพูดทุกครั้ง คือเรื่องความเป็นไทย และความเป็นธรรม โดยความเป็นไทยอยากให้เด็กทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามมีความภาคภูมิใจ และหยิ่งทะนงว่าเราเป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศ ส่วนความเป็นธรรม เป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะให้ความเป็นธรรมต่อคนในชาติ ดังนั้น เด็กจะได้รับความเป็นธรรม และเท่าเทียมกัน จะเรียกร้องความเป็นธรรมเหนือกว่ากฎหมายไม่ได้ และรัฐจะให้ความเป็นธรรมน้อยกว่า เพราะนับถือศาสนาอิสลามก็ไม่ได้ เรามีหน้าที่ดูแลชาติบ้านเมืองเหมือนกัน”(ไทยรัฐ ออนไลน์ 16 ต.ค.2552)
ซึ่งการเปิดอบรมโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้นี้ มีลักษณะเนื้อหาเป็นระดับนโยบายของรัฐ ซึ่งต้องอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง แต่ก็ดูประหนึ่งว่า พล.อ.เปรม กระทำไปเองอย่างมีอำนาจอิสระเฉพาะพิเศษ โดยไม่คำนึงรัฐบาล ไม่คำนึงความชอบธรรมที่ในที่สุดรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในผลของโครงการทุกอย่าง โดยการที่แสดงถึงการกระทำไปอย่างอิสระ ประหนึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดทางการเมืองไปเสียเอง ที่สามารถสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารับใช้นโยบายของตนได้อย่างไร เช่นในวันนี้ การที่สร้างภาพให้ปรากฏออกไปถึงความเข้มแข็งทางทหาร โดยมีเหล่าขุนทัพทหาร คือผู้บัญชาการเหล่าทัพ เช่น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นต้นมาครบทุกเหล่า รวมทั้ง พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรีร่วมด้วยนั้น แสดงถึงความไม่ชอบธรรมในการดำเนินการบริหารของชาติ เพราะแสดงถึงอำนาจอันสูงสุดเหนือรัฐบาลไปอีก และผลที่ออกมาอย่างสากล น่าจะเป็นผลทางลบ มากกว่า และที่สำคัญคือการที่ไม่สอดคล้องสถานการณ์ใต้ ที่รัฐบาล ทหารควรจะต้องลดความกด ควบคุมประชาชน ท่าทีที่ไม่ไว้วางใจประชาชน ไม่เป็นมิตรประชาชน และลักษณะการใช้อำนาจเผด็จการลงไป นั่นก็เพราะสัจธรรมมีว่าที่ใดมีความกด ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ แรงตกเท่ากับแรงกระท้อน ฉะนั้นรัฐบาลที่แล้ว ๆ มาจึงมีแต่พยายามสร้างสถานการณ์ที่เป็นมิตรอย่างจริงใจต่อประชาชนมุสลิมชาวใต้
พล.อ.เปรม ยังได้กระทำความผิดต่อประชาชนมุสลิมใต้เอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ มากไปกว่านี้อีก นั่นก็คือได้เปิดเผยแผนลับของโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ในคราวเปิดประชุมโครงการฯรุ่นที่ 12 เมื่อ เดือนเมษายน 2552 โดยการกล่าววาทะว่า.“พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศ
ขอให้ภูมิใจว่าทุกคนเป็นสิ่งที่เราตั้งใจว่า จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มุ่งมั่นปรารถนาดูแลชาติบ้านเมืองให้มีความรักสามัคคีสมานฉันท์นำพาประเทศเจริญก้าวหน้า ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่แต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริงอยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราชและขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น ส่วนคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศให้มีอันเป็นไป” (ไทยรัฐ 24 เม.ย.2552)
การที่ไปแสดงท่าทีเกลี้ยกล่อมให้ไทยมุสลิมเสื่อมความศรัทธาลงไปจากพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขานั้น เป็นความผิด ซึ่งในกรณีศาสนาสากล จะมีความผิดอยู่ 3 ระดับ พล.อ.เปรม ได้กระทำความผิดครบถ้วนทั้ง 3 ระดับ โดยระดับที่หนึ่งคือแผนการร้ายที่คิดคดทรยศต่อพระเจ้า ระดับที่ 2 กล่าววาทะที่ทรยศนั้น และ ระดับที่ 3 การเริ่มปฏิบัติการตามแผนอันชั่วร้ายนั้น
การเปิดอบรมโครงการ สานใจไทยสู่ใจไต้ เป็นโครงการที่ได้ซ่อนแผนการร้ายต่อชาวมุสลิมไทยมานานถึง 12 รุ่นแล้ว เพิ่งมาเปิดเผยขึ้นในการอบรมรุ่นที่ 12 ในวันที่ 23 เมษายน 2552 ดังกล่าว จึงได้ทราบความลับของแผนการอบรมนี้ว่าร้ายต่อศาสนาอิสลามเลยทีเดียว และวันนี้ หมายถึง ท่าทีของกองทัพไทยทั้งกองทัพ ที่ให้การสนับสนุนแผนการชั่วร้ายนี้
ท่านทราบหรือไม่ว่าโดยกฎหมายสูงสุดของอิสลาม(คือพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน)ความผิดชั้นต้นหรือระดับที่ 1 คืออะไร? คือ แม้เพียงคนทั้งหลายเมินเฉย หรือไม่นับถือองค์อัลเลาะห์ หรือเพียงไม่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้นเอง ก็มีความผิดแล้ว คนทั้งหลายทั่วโลกใดที่ที่นับถือศาสนาอื่น โดยโองการของอัลเลาะห์สั่งว่านั่นเป็นพวกทรยศ(กาฟีร์) ทั้งสิ้น และโทษมีสถานเดียวคือ ต้องคำพิพากษาให้รับโทษทุก ๆ คนในวันสิ้นโลก ความผิดระดับที่ 2 คือ การพบภัยพิบัติ เคราะห์กรรม ความยากจนตลอดชีวิต ในขณะที่มีตัวตนบนโลกดลยามนุษย์นี้ และความผิดระดับที่ 3 คือ การลงนรกเพลิง การที่อัลเลาะห์ไม่อาจจะอภัยให้ได้เลย จะต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร พล.อ.เปรม กระทำความผิดครบทั้ง 3 ระดับต่อศาสนาอิสลาม ในรูปธรรมที่จะพึงเห็นก็คือ การเอ่ยคำชักจูงให้มุสลิมเปลี่ยนศาสนา หรือ เสื่อมความศัทธามานับถือพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวคืออัลเลาะห์ แล้ว ควรจะต้องจำไว้ว่า มุสลิมโลกเขาจะต้องจดจำอย่างไม่รู้ลืม จนกว่าจะได้ชำระโทษ แม้สิ้นไปจากชีพแล้ว อัลเลาะห์ก็จะให้กองทัพสวรรค์ มลาอิกะ มาจับตัวไปชำระโทษต่อหน้าอัลเลาะห์
สิ่งที่พล.อ.เปรม ทำผิดไว้อย่างยิ่งใหญ่ในประเด็นต่อไปอีกก็คือ ได้กระทำไปในนาม ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะที่เป็นประธานมูลนิธิองค์มนตรีและรัฐบุรุษ (ซึ่งหมายถึงทั้งสถาบันกษัตริย์และชาติไทยไปพร้อมกัน) โดยได้กล่าววาทะไว้ว่า ”พระสยามเทวาธิราช...ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง” การกล่าวถ้อยคำนี้ ทำให้เสียหายไปถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างร้ายแรง และโดยข้อเท็จจริงอันเป็นสัจธรรม องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาลที่ปฏิบัติต่อประชาชนชาวไทยผู้เป็นศาสนิกต่าง ๆ หลากหลายความเชื่อนั้น สถาบันกษัตริย์ไทย ไม่เคยมีดำริในการให้กระทบกระเทือนต่อความเชื่อของศาสนิกเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ทรงเพิ่มพูนศรัทธาในความเชื่อของพวกเขาไปยิ่ง ๆ ขึ้น ซึ่งเป็นความนึกคิดวิสัยทัศน์อันสูงส่ง (และนั่นหมายถึงวิสัยชาวพุทธอันประเสริฐสูงส่งโดยปกติอยู่แล้ว) ที่ตรงข้ามกันไปเลยกับความนึกคิดและวิสัยทัศน์ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งหมายถึงความนึกคิดและภูมิปัญญาอยู่ในระดับที่ต่ำต้อย เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง แต่วันนี้ พล.อ.เปรม ได้ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดไปถึงสถาบันด้วย จึงเป็นความผิดที่กระทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพล.อ.เปรม โดยแท้จริง เราจึงได้มีข้อเสนอไว้แล้วแต่ครั้งก่อนว่า พล.อ.เปรม ควรดำเนินการ 2 ประการ (1) หยุดบทบาทลงและทำตัวให้สูญหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิง และ (2) ให้เปลี่ยนเป้าหมายของการอบรมเสียใหม่ โดยดำเนินการอบรมเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยแทน เพราะไม่ใช่ปัญหาความแตกต่างทางศาสนา หรือลัทธิ นิกายของศาสนา แต่เป็นปัญหาความเข้าใจการปกครองระบอบใหม่คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน และประชาธิปไตยนั่นเองเป็นทางออกที่มีเหตุผลที่สุดของการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในยุคประชาธิปไตยนี้ ซึ่งมาวันนี้แสดงถึงปัญหาที่เกิดจากคนระดับ”รัฐบุรุษ” พล.อ.เปรม ก็หาเข้าใจไม่ คนโบราณคนนี้หูไม่กระดิก เมื่อพูดถึงประชาธิปไตยเห็นได้จากวันนี้ที่ออกมาแสดงทัศนะ โดยการเตือน พล.อ.ชวลิต ว่าระวังจะเป็นการทรยศต่อชาติ นั่นเอง (แสดงถึงการไม่ยอมรับประชาธิปไตย และหรือไม่เข้าใจหลักการแม้เบื้องต้นของประชาธิปไตย ที่ว่า สิทธิในการเลือกนโยบายหรือการเลือกพรรคการเมือง เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่เป็นปกติธรรมดาอย่างยิ่ง) นั่นเป็นวาทะแห่งประวัติศาสตร์ และความโง่เขลาของผู้นำระบอบอมาตยาธิปไตยไทย ยุค(ที่น่าอย่างยิ่งว่าจะเป็น)ยุคสุดท้ายที่จะต้องสิ้นชาติพันธ์ถอนรากถอนโคนไปเพราะพลังประชาชนคนเสื้อแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยไทยและรักประชาธิปไตยสากล
วันนี้ เราจึงยังยืนยันว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้กระทำความผิดหลายประการ ดังนี้
1. เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 และผลของการกระทำผิดพลาดครั้งนั้นก็ได้ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจน ภายหลังอยู่ในเวลา 3 ปีไปแล้ว คณะบริหารประเทศภายใต้บงการ พล.อ.เปรม ได้ทำลายชาติไทยลงอย่างย่อยยับ ปรากฏขึ้นในขณะนี้แล้ว รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นรัฐธรรมนูญโจร ที่เขียนกฎ กติกาของโจรขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของหมู่โจร เพราะเขียนขึ้นโดยคณะผู้ปล้นประชาธิปไตยไทยไป เป็นรัฐธรรมนูญฉบับพล.อ.เปรม โดยเฉพาะ และเป็นความผิดอย่างร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย
2. กรณีม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ทำการปิดกั้นถนนราชดำเนิน อันเป็นเส้นทางพระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตลอดเวลา 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 โดยจักทรงเสด็จแบบขบวนพยุหยาตราทางสถลมาร์ค อันทรงพระเกียรติยศยิ่ง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมขบวนรถพระบรมราชวงศ์ทั้งสิ้น ไม่อาจเสด็จทางถนนราชดำเนินเพราะคนกลุ่มนี้ปิดเส้นทางพระราชดำเนินอันเป็นวิถีทางแห่งกษัตริย์อยู่ ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้ จนต้องทรงเสด็จเลี่ยงไปทางถนนลูกหลวงแทน ถนนราชดำเนิน........... พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองค์มนตรี ได้มีการประชุมองค์มนตรี หรือมีความคิดเห็นในทางที่จะปกป้องกู้เกียรติยศอันสูงส่งของสถาบันอย่างไร เหตุใดจึงไม่ปรากฏความจงรักภักดีของบุคคลหรือคณะบุคคลผู้มีหน้าที่คล้ายพันท้ายนรสิงห์ในยุคอยุธยา เลยแม้แต่น้อย .....?
3. ได้กระทำความเสียหายแด่สถาบันอย่างยิ่งใหญ่ในกรณีดำเนินโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ เพราะได้ซ่อนแฝงเจตนาที่แท้จริงที่มุ่งหมายทำการเกลี้ยกล่อมเยาวชนมุสลิมให้เสื่อมศรัทธาในศาสนาเดิมของเขาโดยให้หันมานับถือพระเจ้าองค์อื่น โดยวาทะว่า...พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริงอยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราชและขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น… ซึ่งการกระทำนี้พล.อ.เปรม ได้กระทำไปในนามของสถาบันกษัตริย์ และชาติไทยคือประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ
4. ได้กระทำความเสียหายแด่ศาสนาสากลอย่างยิ่งใหญ่ เพราะการดำเนินโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ได้ซ่อนแฝงความมุ่งหมายเร้นลึกเอาไว้ โดยมุ่งหมายเกลี้ยกล่อมให้ชนมุสลิมไทยหันไปนับถือศาสนาและพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งเป็นการทรยศอย่างยิ่งใหญ่ มีความผิดอย่างร้ายแรงต่อศาสนาอิสลาม (สำหรับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีความผิดถึงระดับฉกรรจ์ 3 ระดับคือต้องรับโทษทั้งโลกนี้และโลกหน้า) และโดยนัยเดียวกันย่อมสร้างความระแวงแด่ศาสนิกผู้นับถือศาสนาอื่น มีคริสต์ ซิกส์ เป็นต้น การไปบังคับคนทั้งหลายที่มีความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง ให้มาเชื่อแบบเดียวกับเรา อย่างที่พล.อ.เปรม มุ่งหมายกระทำ นั้น เป็นสิ่งที่เป็นภัย และไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่น่าละอายใจจริง และนี่เป็นการทำลายความสามัคคีครั้งยิ่งใหญ่ของคนในชาติ
5. ได้กระทำความผิดอย่างอื่น อีกหลายประการจนยากจะบันทึกได้หมดสิ้น เช่น การแทรกแซง ก้าวก่ายหน้าที่ ของสถาบัน นับแต่ก้าวก่ายแทรกแซงสถาบันรัฐบาล นิติบัญญัติ ไปถึงศาล ส่งผลให้เกิดความไม่เป้นธรรมที่ทำลายมาตรฐานการบริหาร มาตรฐานการนิติบัญญัติ และมาตรฐานความยุติธรรม ของประเทศนี้ อันเป็นต้นเหตุสำคัญของการแตกสามัคคีธรรมของคนในชาติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่ล่อแหลมต่อความทำลายชาติ เท่าที่เคยมีมา
จึงน่าถามว่าประชาชนไทยจะลงโทษอย่างไรกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้อยู่ในตำแหน่ง ประธานองค์มนตรี และรัฐบุรุษ? และตำแหน่งประชาชนไทยควรสำหรับบุคคลนี้หรือไม่? และโทษานุโทษควรฉกรรจ์ขนาดใด?
4. ทหารไทยยุคอนุพงษ์ เผ่าจินดา ทำลายศักดิ์ศรีของสถาบันทหารไทยลงราบเรียบ
ทหารไทยยุคพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่เคยทำสิ่งไร ที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีแต่กระทำความผิดล้วน ๆ คือ(1) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือนายกรัฐมนตรีสมัคร ที่สั่งการตาม พรก.ฉุกเฉิน ในคราวที่ม็อบฯดังกล่าวเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไว้ถึง 193 วัน ในรัฐบาลสมัคร และ (2) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือนายกรัฐมนตรีสมชายที่สั่งการตามกฎหมายฉบับเดียวกันกับรัฐบาลก่อน ในคราวที่ม็อบจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์เข้ายึดสนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ การไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถือว่าไร้วินัย ไม่สมควรแก่ความเป็นทหาร นี่เป็นความผิดอันร้ายแรงทางวินัยทหาร ครั้นเมื่อผลการละเมิด ไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงขึ้นต่อประเทศชาติ ดังนี้แล้ว โทษย่อมฉกรรจ์ตามไปอีกหลายเท่า จนอาจจะเป็นได้ทั้งความผิดทางอาญาและทางแพ่งพร้อมกันไป ยังมีความผิดข้อที่ (3) ฟังคำสั่งและปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกคำสั่งโดยอำนาจตามกฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ร้ายแรงกว่า โดยให้เข่นฆ่า ใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ประชาชนผู้ชุมนุมตามสิทธิประชาธิปไตย ในเหตุการณ์ 13 เม.ย.2552 เป็นเหตุให้ประชาชนผู้สุจริตล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นี่เป็นความผิดล้วน ๆ ของทหารยุคหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความดีงาม และศักดิ์ศรีของสถาบันทหารไทยเหลือไว้อยู่เลย (ลดฐานะของทหารไทยที่มีศักดิ์ศรีลงไปเป็นกองโจรผู้ปล้นชาติขึ้นมาแทน) มาตราบปัจจุบันนี้ ยังมีความผิดต่อกรณีศาสนาสากลอีก โดยรับใช้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะประธานมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ดำเนินโครงการที่ซ่อนแฝงนัยยะอันไม่ชอบธรรมทางศาสนาสากล นี่เป็นการกระทำที่เป็นความผิดชนิดที่ชั่วร้ายของกองทัพไทยยุคอนุพงษ์ เผ่าจินดาทั้งสิ้น และประชาชนจะต้องจดจำไปจนกว่าโทษนี้จักได้รับการชำระ อย่างกับโทษของกองโจรผู้ปล้นชาติและประชาธิปไตย นั้นจักสาสมแก่ความผิด
- สุไหงปาดี ชินะกุล
20 ต.ค.2552
5. เวบบอร์ดสะท้อนการประชุมเอเซียนซัมมิต 15
ไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่าง 23-25 ต.ค. 2552
ณ โรงแรมดุสิตธานี อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
กระทู้: นายกกัมพูชาปรามาสนายกไทย
ได้เห็นข่าวอดีตนายกรมต.พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จับมือแสดงความเป็นมิตรกับนายกฮุนเซ็นของกัมพูชาที่ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และล่าสุดนายกกัมพูชายังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและเทศ ถึงความรู้สึกที่มีต่อชะตากรรมของพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และยินดีช่วยเหลือให้ที่พักพิงในประเทศแล้ว ต้องอดชื่นชมท่านไม่ได้ที่แสดงความกล้าหาญที่ต้องการประกาศต่อชาวโลกว่าท่านเป็นผู้รักประชาธิปไตย และไม่พอใจอย่างยิ่งต่อระบอบเผด็จการและความอยุติธรรมที่เพื่อนร่วมโลกของท่านได้รับ ท่าทีเช่นนี้นายกอภิสิทธิ์รู้หรือไม่ว่า ได้สะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่าผู้นำกัมพูชาต้องการบอกชาวโลกว่าท่านศรัทธาต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยืนอยู่ข้างความเป็นธรรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชาวกัมพูชาได้รู้ว่าผู้นำของเขาจะบริหารประเทศชาติด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยยึดความสุขของคนส่วนรวมเป็นหลัก และหากประชาชนคนใดไม่ได้รับความเป็นธรรมท่านยินดีปกป้องเรียกหาความเป็นธรรมให้ แต่รู้สึกว่าท่านอภิสิทธิ์จะอ่อนด้อยต่อความรู้สึกเช่นนี้ กลับไปตอบโต้ว่าท่านฮุนเซ็นคงแยกออกได้ระหว่างความเป็นเพื่อนกับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศท่านอภิสิทธิ์ท่านไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าท่านกำลังถูกปรามาสว่าเป็นผู้นำที่ขาดความเป็นธรรม ไม่รักประชาชน ผลักไสประชาชนให้ไปอยู่ใต้อำนาจของเผด็จการ ท่านไม่มีวันอยู่ในหัวใจประชาชนได้ เพราะตลอดเวลา9เดือนที่คณะของท่านเข้ามาบริหารประเทศได้สร้างความกดดัน ความเอารัดเอาเปรียบต่อประชาชนทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้กระทั่งการละเมิดทางความคิด คนไทยทั้งประเทศและทั่วโลกกำลังรอดูอยู่ว่าอนาคตทางการเมืองของท่านจะมีจุดจบเช่นไร และคงอีกไม่นาน
- ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2009-10-24 16:50:43
ความเห็นที่ 1 (1989989)
รายการ จุติพงษ์ พุ่มมูล รู้ทันอภิสิทธิ์ ไปถ่ายเอาสุทธิชัย หยุ่น ไปถามที่ชายหาด ถามว่าทำไมใช้กำลัง รปภ.อาเซียนซัมมิตมากถึง 18,000 คน อภิสิทธิ์ว่าเพิ่งไปต่างประเทศมา ที่นั่นใช้พอ ๆ กัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นไป ถาม 100 ฝันเสร็จไปกี่ฝัน ตอบว่า สิ้นปีจะประเมิน ถามว่าพร้อมเลือกตั้งหรือไม่ ตอบว่าพร้อม ถามว่าจะชนะเลือกตั้งไหม บอกว่า มั่นใจชนะ
อย่างนี้คือเอาตัวรอดด้วย นโยบายปาก คือไม่ดูความจริง เอาปากพูดกลบความเลวไปวัน ๆ งานไม่เคยทำ ก็เหมือนนายชวน หลีกภัย ดิกเลย นี่คือลูกศิษย์นายชวน หลีกภัย ได้แต่พูด ทำงานไม่เป็นเหมือนกันเลย
สิ่งที่คนทั้งหลายจะต้องมองอย่างเป็นประเด็นสำคัญ เพื่อพิจารณาว่าใครทำงานเป็นหรือไม่ก็คือ ตอนเกิดสินามิ ในภาคใต้เอง พรรคประชาธิปัตย์ทั้ง ๆ ที่มีสส.ทั้งหมดอยู่ในภาคใต้ ไม่เคยออกมาร่วมมือกับรัฐบาลทักษิณ ในการกอบกู้สถานการณ์อันร้ายแรงของชาติและประชาชนครั้งนั้นเลย
ที่สำคัญ ไม่เคยมีข่าวนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ออกมาแสดงท่าทีที่จะช่วยเหลือรัฐบาลเลย แต่มีข่าวว่า นายชวน มองเหตุการณ์ว่า เป็นเรื่องของรัฐบาล ฝ่ายค้านไม่ใช่ผู้บริหาร เช่นเคยเช่นที่เคยอ้างมาตลอด แต่ประชาชนจะเห็นว่าประธานาธิบดียอร์ช บุช ขณะนั้น ได้ส่งทูตมาทั้งฝ่ายรัฐบาล โดยส่งบุชผู้พ่อมา พร้อมกับฝ่ายค้านดีโมแครตขณะนั้น คือ บิล คลิ้นตั้น มาดูแลประเทศไทยร่วมกับรัฐบาลไทย คือทักษิณ ขณะนั้น (สินามิเดือน 26 ก.ย.2547) นั่นเป็ฯแบบอย่างของความมีมนุษยธรรม ซึ่งเป็นหลักการทางพระพุทธศาสนาอย่างสูงส่ง แต่นายชวนที่เป้นชาวพุทธ พร้อมพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ออกมาดูแลเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นแผ่นดินของตน นายชวนเคยทำความดีมา แต่นี่ได้ลบล้างความดีเขาทั้งหมด ลบล้างความนับถือที่มีต่อเขา ไปหมดสิ้น เพราะเขาเป้ฯคนไร้น้ำใจ เคยมีมาก่อนแล้ว กรณีปราบปรามยาเสพติด นายชวนนี่แหละที่เถียงคอเป้ฯเอ็น ว่านายกทักษิณ กระทำผิดสิทธิมนุษยชน ..... จนดูประหนึ่งว่าเห็นโจรร้ายค้ายาเสพติดดีกว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐบาลไปอีก แต่นี่คือผลจากวาทะของนายชวน เหมือนอภิสิทธิ์
ครั้นมาถึงการประชุมอาเซียนซัมมิตปีนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ทำความเสื่อมเสียในวงการอาเซียนอย่างมหาศาล เห็นจากสมาชิกขาดความเลื่อมใสศัทธา ไม่มาให้เกียรติ์ในการเปิดการประชุม วันที่ 23 ต.ค.2552 โดยเห็นได้ว่าเป็นเจตนา โดยเห็นได้ว่าเป็นประเทศมุสลิมถึง 4 ประเทศ คือมาเลเซีย อินโดเนเซีย ฟิลิปปินส์ ดูไบ และยังมีกัมพูชา ก็ไม่มา มีผู้เข้าร่วมเปิดประชุม 5 ประเทศนับทั้งไทยเจ้าภาพด้วย
แต่อภิสิทธิ์ แสดงภาพของความไม่หยี่ระ โดยไม่คิดเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่รัฐบาลทำอะไรผิดอย่างไรหรือไม่
และยิ่งไปแสดงความเป็นเด็กของตน โดยการไปวิจารณ์แขกที่มาประชุมคือสมเด็จฮุนเซน อย่างแรง โดยพูดเป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย เชิงสั่งสอนว่า ระวังจะเป็นการไปช่วยคนผิด โดยอ้างว่าท่านฮุนเซนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับทักษิณที่ไม่ถูกต้อง นี่คือความเป็นเด็กไร้วุฒิภาวะโดยแท้จริง โดยที่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตนทำผิดไปอย่างไร ไม่สมควรแก่ตำแหน่งอย่างไร (เราเป็นเจ้าบ้าน จะมีอะไร ๆ ก็ต้องอดคำพูดเอาไว้ก่อน อย่าพูด นี่เป็นมารยาท เป็นการถนอมน้ำใจกัน ที่สำคัญกัมพูชากับไทยก็เป็นเพื่อนบ้านกัน คุณตำหนิแขกที่มางานเลี้ยงในบ้านคุณได้อย่างไร คราวหน้าคุณไปประชุมเวียดนาม เขาด่าคุณในบ้านเขาอย่างนี้ คุณจะคิดอย่างไร ในยุคก่อนนั้น ต้องเกิดสงครามกันเลยทีเดียว ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหรืออย่างไร นี่เป็นการประชุมหัวหน้าประชาชนในประเทศของเขา เขามาในนามของประชาชนทั้งประเทศ ไปดูถูกเขาได้อย่างไร เสียมารยาทอย่างแรงเลยนี่ แล้วยังไม่รู้สึกอีก นี่แหละมีปากสักแต่ว่าพูด คือเด็ก) และ นี่คือส่วนที่คล้ายคลึงกันอย่างกับถอดแบบออกมาจากเบ้าเดียวกันของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ชวน หลีกภัย
ประเด็นคือ คนอย่างนี้ทำงานไม่เป็น
เหมือนนายชวน หลีกภัย คราวเป็นนายกรัฐมนตรีเคยไปประชุมที่ฟิลิปปินส์ ประชุมผู้นำอย่างนี้แหละ(มีบันทึกไว้ที่นี่ หนังสือพิมพ์ดีนี่) นั่งติดกับนายโจเซฟ เอสตราดา นายกรัฐมนตรีอินโดเนเซีย นายเอสตราดาสกิดเข่าถามว่า คุณขายข้าวไทยตันละเท่าไร ข้าวชั้นดีน่ะ ผมอยากจะขอซื้อ นายชวนตอบว่า เอ.. ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าเขาขายกันอย่างไร เอาละกลับประเทศไทยผมจะเอาไปถามให้ เขาเลยไปซื้อข้าวเวียดนามแทน จำนวนมหาศาลเลย น่าเสียดายมาก ๆ นี่คือพูดเป็น แต่ทำไม่เป็น เรื่องนี้น่าเจ็บ น่าจำนายชวนอย่างไม่รู้ลืม
มายุคอภิสิทธิ์นี้ก็เหมือนกันเลยทีเดียว เรื่องราคายางก็ตกต่ำลงไปทุกที ขณะนี้ราคายางอยู่ที่เท่าไร นายอภิสิทธิ์ และ สส.ใต้ ไม่ยอมพูดถึงเลย ในยุคนายชวน ราคายางอยู่ที่ 20-30 บาท พูดกันทั้งปีว่าจะทำนั่นทำนี่ แต่ไม่เคยทำ ยุคทักษิณ ๆ ต่อสู้เพื่อให้ยางราคาดี โดยมุ่งหมายว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลตัวอย่างแบบประชาธิปไตย และขึ้นไปได้จุดสูงสุดถึง 130 บาท ห่างกันขนาดไหนกับนายชวน นอกจากนั้นทักษิณยังขยายกิจการเกษตรยางออกไปถึงภาคอีสานใต้ รวยเพราะยางไปหลายจังหวัด เช่นศรีสะเกษขณะนี้มีไร่ยางขนาดใหญ่ เขาว่าที่สุดของประเทศไทย อยู่ใกล้ ๆ เขาพระวิหาร
วันนี้อภิสิทธิ เวชชาชีวะ กำลังใช้น้ำลายโดยคิดว่าน้ำลายจะลบกลบความทุจริตทั่วหัวระแหงของโครงการรัฐบาลตนเองได้ อย่างง่าย ๆ เพียงชิวหาสามนิ้วของตน (เอาความคิดขงเบ้งมาใช้เสียด้วย)
ช่างคิดโง่ๆ ไปได้ ดูถูกประชาชนหรืออย่างไร ?
น่าจะคิดถึงตนเอง จะย้ายที่อยู่หรือเปล่า? แคล้วคุกเพราะทุจริตหรือเปล่า? มิฉะนั้นจะหนีไปไหน ไม่เก่งอย่างทักษิณจะไปอยู่ต่างประเทศได้หรือ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-10-26 10:11:36
ความเห็นที่ 2
ชาวไทยเห็นหรือไม่ การประชุม Asian Summit ครั้งที่ 15 ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน จ.ซประจวบคีรีขันธ์ ไทยเป็นเจ้าภาพ มีประเทศมุสลิมทั้งหมด นับแต่เพื่อนบ้าน มาเลเซีย อินโดเนเซีย ฟิลิปปินส์ และ ดูไบ เขาไม่ให้เกียรติรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยไม่เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม วันที่ 23 ต.ค. 2552 รวมเป็นประเทศมุสลิม 4 ประเทศ และยังมีกัมพูชาอีกประเทศหนึ่ง ที่ไม่เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม จึงมีประเทศที่เปิดประชุมเพียง 5 ประเทศรวมทั้งประเทศไทย เจ้าภาพด้วย เห็นคุณอภิสิทธิ์ พูดท่าทีกร่างน่าดู ก็เด็ก
ที่ให้สังเกตก็คือ ทำไมประเทศมุสลิมทั้งสิ้นจึงทำอย่างนี้ ก็เพราะพล.อ.เปรม นั่นเอง เขาไม่พูดหรอก แต่เขาเข้าใจกันในหมู่พวกเขา และท่านชาวไทยจะต้องเชื่อเลยว่า บัดนี้รัฐบาลไทยใต้การบงการของเปรม ติณสูลานนท์ ได้กระทำความผิดระหว่างประเทศ ระหว่างศาสนาไว้อย่างยิ่งใหญ่มาก และทั้งจะเจรจากันได้โดยยากอย่างยิ่ง นับแต่บัดนี้เป้นต้นไป
แต่ไม่ทราบว่ารัฐบาลเด็กอภิสิทธิ์จะพอเข้าใจหรือไม่
- บก. (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)
26 ต.ค.2552
ความเห็นที่ 3
เสื้อแดงในโทรทัศน์ต่างประเทศ : อัลจาชีร่า
อัลจาชีร่า Aljazeera เครือบีบีซี รายงานเมืองไทย ซ้ำหลายครั้งวันนี้ 25 ต.ค.2552 แต่ไม่ใช่การประชุม Asian Summit ที่ประเทศไทย รัฐบาลเด็กอภิสิทธิ์ เป็นเจ้าภาพ แต่รายงานสถานะประเทศไทยโดยรวม เน้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ว่าแทบไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทย ปล่อยให้โรงแรมว่างเปล่า ผู้สื่อข่าวสาว AELA ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจหลายด้าน พบแต่ความเสื่อมโทรมลงไปของประเทศไทยยุคอภิสิทะ เขาเอาภาพคนเสื้อแดงมาชุมนุมวันที่ 17 ต.ค.2552 ว่าพวกประชาธิปไตยกลุ่มนี้กำลังต่อสู้เพื่อเอาประชาธิปไตยคืนมา หวังว่าความอยู่ดีกินดีจะคืนมาพร้อมการกลับมาของประชาธิปไตยไทยยุคใหม่ มีทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำ เขาเอาข่าวนี้ออกตลอดวันในอัลจาชีร่า
- ผู้ตั้งกระทู้ บก. (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-10-25 21:08:09
ความเห็นที่ 4 (1990160)
ฟังแล้วก็ได้ความคิดครับ ให้อาจารย์ ดร.จารุพรรณ กุลดิลกทำงานนี้น่าจะเหมาะสมดีนะครับ คือเราขาดครูบาอาจารย์ที่จะอบรมเด็กดื้อบางประเภท
ฟังรายการนี้แล้ว(นารีรัตน์ นันเนิ้ง ...) ได้คำตอบ ใช่เลยครับ ให้อาจารย์ ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นี่แหละเป็นผู้อบรมเด็กดื้อ 2 คนให้หน่อย คนหนึ่งอยู่ทำเนียบรัฐบาล ชื่ออภิสิทธิ์ อีกคนชื่อ สาธิต วงศ์หนองใน อยู่หอยม่วง
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-10-26 14:19:05
6. ประเด็นรัฐปัตตานีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไทย
กระทู้
พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ มีฐานะปัจจุบันเป็น ประธานพรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคการเมืองที่เสื้อแดงสนับสนุนเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
ท่านได้พูดทีแรกที่กัมพูชา ปัญหาไม่สลับซับซ้อนนัก ใช้ได้
....แต่..วันนี้ ท่านพูดที่สามจังหวัดชายแดนใต้ มีเพื่อน ๆ เดิมของท่าน(วัน มูหะมัด นอ มะทา ฯลฯ) ยุคร่วมสร้างอุดมการณ์ ฮารับ บัน บารู ร่วมกัน กับพี่น้องชาวมุสลิมไทย แน่นขนัด มหาศาล ที่มาชื่นชมยินดี
การพูดของท่านในวันนี้ ฟังแล้วมีความหวังกับการที่ท่านเสนอสร้าง นครปัตตานี ขึ้นมาใหม่ (ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย)
คำพูดของท่านพล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ยังคงลึกซึ้งและฟังยากอยู่เหมือนเดิม เหมือนครั้งที่ท่านเป็น นรม. ซึ่งครั้งนั้นเห็นกันว่ามีคุณชิงชัย มงคลธรรม เป็นคนคอยแปลให้อีกทีหนึ่ง จึงค่อยฟังชัดดีขึ้น
คนยิ่งใหญ่พูดไม่เหมือนกัน
สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ พูด เราคิดว่า ฟังเป็นวิทยาศาสตร์ดี ก็ไม่ต้องแปล
และยุคสมัยนี้ เราคิดว่ามาพูดกัน เป็นวิทยาศาสตร์ กัน จะช่วยให้อะไร ๆ ง่ายขึ้นเยอะ
เราไม่ทราบเหมือนกันว่า ที่พล.อ.ชวลิตพูด เป็น นโยบายของพรรคแล้ว หรือ ยัง ?
สำหรับเราเอง คิดว่า น่าเป็นเพียงขั้นการศึกษาอยู่ นั่นก็คือ ศึกษาว่าจะทำได้อย่างไรด้วย (ต้องสร้างความเข้าใจต่อประชาชนทั้งประเทศด้วย ไม่ใช่ไปพูดว่าพวกเขา ชาวสามจังหวัดจักอาจทำได้โดยพลการส่วนนั้นส่วนเดียว ต้องมององค์รวมว่าองค์รวมมีปฏิกริยาอย่างไร นี่แหละยาก และต้องทำความเข้าใจกัน) เพราะตรงนี้น่าเป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้คำพูด เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะมิฉะนั้นก็เป็นเพียงความฝัน และเอาเพียงความฝันมาหลอกลวงกัน เท่านั้น ก็จักขัดใจกันไปอย่างยิ่งใหญ่ ในภายหลังเสียอีก
เราอยากให้เอาเรื่องนี้ไปศึกษาทางนโยบายการเมือง เป็นลักษณะนโยบายของพรรค โดยด่วน โดยคำนึงความเป็นวิทยาศาสตร์ของนโยบายอย่างสมบูรณ์เสียก่อน แล้วรีบประกาศ ....
ระวังหน่อยนะครับ ท่านต้องระวังว่า นโยบายนี้จะต้องได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน อย่างไร (ทำอย่างไรคนจึงจะเข้าใจ) จึงจะชอบด้วยประชาธิปไตย และไม่เกิดการแตกแยกแรงไปกว่าเก่าอีก.......
- ผู้แสดงความคิดเห็น บก.นสพ.ดี(อินเทอเนต) (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-11-04 21:55:09
ความเห็นที่ 4 (1993092)
ฟัง พล.อ.ชวลิต อีกครั้งหนึ่ง
- ร.7 ทรงประทานอธิปไตยแด่ประชาชน 2475
- เป็นประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน
- โซ่ ที่อยู่ตรงกลาง ต้องมีกำลังแรงมากเหลือเกินจึงจะสร้างสมานได้ ผมทำไม่สำเร็จ จึงเลือกวิธีที่ 2 เลือกการเข้าข้างนี้ เอาพลังข้างนี้ทำงานเพื่อประชาชน เลือกพรรคใหญ่ 1 ใน 2 พรรค เลือกพรรคเพื่อไทยเพราะทุกคนชี้มาที่พรรคเพื่อไทย คนยากคนจนก็ชี้ให้ผมมาอยู่ที่นี่
- ไม่ถือว่าพรรคอื่นเป็นศัตรู
- จะขอให้มาร่วมกันแก้ปัญหา ให้ละวางความเป็นพรรค ความเป็นพวกไว้ก่อน
- 1. พี่น้อง 3 จว.ภาคใต้ติดอยู่ในคุกอินโด มาเล พม่า เวียดนาม 1,205 คน จะดูแล จะขอให้เขาดูแล 2. จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์
- ผมมามิได้มีอำนาจอยู่ในมือเลยแม้แต่น้อย มิมีเงิน มิมีกองทหาร อำนาจ แต่มีน้ำใจ จิตใจ แด่พ่อแม่พี่น้องประชาชนของผม
- ต้องการความยุติธรรม เราไม่ได้รับความยุติธรรมที่เพียงพอ ผมอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง...ทหาร ตำรวจ ช่วยมองข้าม เรื่องการแบ่งแยกดินแดน "มองไปถึงปัญหาจิตใจและน้ำใจเป็นสิ่งสูงสุดที่ต้องดูแล" มองเข้าไปถึง จิตใจ ที่เจ็บปวด ที่ได้รับจากความอยุติธรรม
- ชี้ทางให้พี่น้องเราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เช่น คอมมิวนิสต์ การอโหสิกรรม และ นิรโทษกรรม แด่พี่น้องที่หนีไปอยู่ป่า ผมเชื่อ.. ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานให้พวกเราเมื่อเวลามาถึง
- ขอสื่อไปถึงผู้อยู่ไกล ..... การออกพรบ.นิรโทษกรรม เป็นสิ่งที่จำเป็น
- ปัญหา กรือเซะ 2547 ผมประกาศยุทธศาสตร์ 3 ประการ 1. ดอกไม้หลากสี เพราะสังคมประกอบด้วยคนหลายฝ่าย มารวมกันเป็นประเทศชาติ สวยกว่า ทฤษฎีดอกไม้หลากสี ให้ประชาชนทั้งแผ่นดินเข้าใจ 2. ถอยคนละสามก้าว ให้เรามาพูดจากันได้ มานั่งแทนก็ได้ ต้องมีการพูดจา 3. นครปัตตานี ผมเสนอมาแต่ปี 2547 สิทธิในการดูแลตนเอง ในกรอบหนึ่งนั้นต้องอยู่ใต้กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ผมไม่เห็นปฏิเสธ คนมะลายู เป็นศูนย์กลางการศึกษา ศาสนา วิชาการทางโลก การค้า เกียรติประวัติในอดีตที่สูงส่ง มันผิดด้วยหรือที่จะเอาเกียรติประวัติของดินแดนในอดีต..กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ให้ปรากฎในโลก ?
- รูซัลตารา ที่เป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคนี้ เพื่อการเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนา 3-5 จ.ว.ชายแดนใต้ รู้ เสียชีวิตไปโดยไร้สาระ เขาพยายามจำกัดขอบเขตในการทำงาน ระเบิด...เท่านั้น ง่าย..... ไม่เคยมีการกระทำรุนแรงทางยุทธวิธีที่สูงกว่านี้ มีการ attack มีการ ambush ระดับเดิม
เอาละที่ผ่านไปก็ผ่านไป เรามา อโหสิกรรม ต่อกัน เพื่อจะสร้างสันติ เกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินขึ้น ต้องสมัยนี้ ไม่มีอีกแล้ว
- นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีเหตุการณ์ร้าย ใน รือเสาะ รามัญ กระทู้ ใน ยะลา นราธิวาส ปัตตานี เพื่อนทหาร ตำรวจ ขอฝากความรู้สึกที่ดีต่อท่าน ต้องใช้พลังของประชาชน ใช้พลังที่ยิ่งใหญ่นี้ เป็นการยากก็ตาม ค้าของเถื่อน ยาเสพติด มาเกี่ยวข้องที่นี่ ไม่เคยจับได้เลย ขอฝากขบวนการต่าง ๆ โปรดกรุณาคำนึงเกียรติศักดิ์ศรีของเราด้วยนะครับ ยุติ เลิก เบาลง ..นี่คือคำร้องขออย่างง่าย ๆ
- นี่คือเสียงกลองแห่งสันติภาพ ระฆังแห่งสันติสุข ได้เกิดขึ้นแล้ววันนี้
- กรุณา .... วันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม เป็นวันแห่งสันติภาพ ขอฝากสิ่งนี้ไว้กับพี่น้องด้วย
นี่คือ ฮารับ บันบารู เซอกัน ที่ผมเคยเอาไปสร้างพรรคการเมืองของผม เพื่อเป็นเกียรติ์แก่พ่อแม่พี่น้องของผม 3 จว.ภาคใต้
- ขอฝากความหวังนี้ไว้กับพ่อแม่ ..... ด้วยอำนาจของพระอัลเลาะห์ ...... "สวัสดีครับ"
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี จดบันทึก (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-11-05 08:49:29
ความเห็นที่ 5 (1993291)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ ตอบนักข่าวปัญหา 3 จังหวัดยุ่งยากมากขึ้นหรือไม่
"...เมื่อถามอีกว่าหลังจาก พล.อ.ชวลิตลงพื้นที่แล้วจะทำให้ประชาชนสับสนขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า มันคือการแข่งขันทางการเมือง เป็นสิทธิแต่ละฝ่ายอยู่แล้ว พรรคการเมืองแต่ละพรรคอาจจะเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่ตรงไหนน่าเชื่อถือแค่ไหน ใครทำงานลักษณะไหนอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน" จากไทยรัฐ 6 พ.ย.2552
น่าจดจำว่า ท่านพูดไว้เช่นนี้ ซึ่งแน่นอน เป็นสิทธิ์ของพรรคการเมือง ที่จักเสนอนโยบาย แล้วผู้ตัดสินคือ ประชาชน
อเมริกา ได้เพิ่งทำเป็นตัวอย่างมาอยู่แวบ ๆ ตอนเลือกตั้ง ปลายปี 2551 นั่นอย่างไร บุช ดำรงนโยบายตะวันออกกลาง โดยใช้กำลังทหาร ทำสงครามต่อ ต้องเสริมทหารเข้าไปให้ครบตามนโยบาย 150,000 คน ส่วน นายบารัค โอบาม่า เสนอตรงข้ามว่า ต้องถอนทหาร และต้องดำเนินนโยบายด้วยการเจรจาเท่านั้น ตรงข้ามกันเลย ไม่มีใครรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่อเมริกาเขาเข้าใจดีว่าต้องให้ประชาชนเป็นใหญ่ เขารู้กันอย่างนี้ คือรู้ว่าอย่าเถียงกัน แล้วแต่ประชาชน ประชาชนเป็นใหญ่
แล้วเสนอต่อประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน และเห็นแล้วใช่ไหมว่าประชาชนอเมริกันเขาตัดสินอย่างไร ขณะนี้นางฮิลลารี คลินตัน เดินทางไปเพื่อเจรจา นี้ ไปถึงมอรอคโค แล้ว นางจะต้องเดินไปเจรจาทั่วโลก เห็นไหม งานเจรจานั้นก็เป็นงานอย่างไร ...
เราคิดว่า ควรจะเข้าใจกันหน่อยว่าเมื่อเราเป็นประชาธิปไตย แต่ละพรรคการเมืองก็มีสิทธิ์ศึกษา และเสนอนโยบาย ได้ และประชาชนเท่านั้นเป็นผู้ตัดสิน
ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ตัดสินเสียเอง
ทางที่ถูก พรรคประชาธิปัตย์ ควรจะเอานโยบายของตนปฏิบัติไป อย่างที่ทำอยู่นี้ ก็ปฏิบัติไป พล.อ.เปรม ก็ปฏิบัติไป แล้วที่ไปทำผิดต่อศาสนาสากลเขาไป เช่นนั้นแหละ จะว่าอย่างไร แล้วรัฐบาลก็ส่งทหารเข้าไป ทุ่มงบทหารลงไป เช่นนั้น ผลเป็นอย่างไร ถ้าจะยืนนโยบายนี้ไปก็ยืนไป ไม่มีใครว่า
รอให้เลือกตั้ง ให้ประชาชนตัดสิน นั่นแหละเป็นการเลือกนโยบายละ
นี่คือประชาธิปไตย ควรจะแข่งกันในการสร้างนโยบาย นี่จะมีความหมายต่อประชาธิปไตยไทยนะครับ
ประชาธิปัตย์ก็ควรพูดให้ชัดเจนว่า นโยบายใต้ของเราจะทำอะไรต่อไป จะมีการปรับเปลี่ยนไปอย่างไรหรือไม่ การอบรมของมูลนิธิฯพล.อ.เปรม จะยังคงทำไปอยู่หรือเปล่า ? ก็ต้องให้ประชาชนเขาเห็นชัดเจน จนตัดสินใจได้
ผมว่าตามหลักการประชาธิปไตยนะครับ.....
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-11-05 17:19:31
หนังสือพิมพ์ดี : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก
วัตถุประสงค์ เพื่อนำความคิดไปสู่ความดีงาม เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา
เล่มที่ 44 ประจำเดือน ต.ค.-พ.ย. 2552
บทบรรณาธิการ
เราจะบินบินบินและบินไป
สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา
ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า
ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
มหาสมุทรสุดสายลมไกว
จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน
ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย
แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน
กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร
วันนี้เป็นวันที่หนังสือพิมพ์ดี ได้ต่อสู้มาเพื่อสังคม การศาสนา และการเมืองเป็นอันดับปัจจุบัน วันนี้เราได้ต่อสู้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึงปีที่ 13 แล้ว
สิ่งที่เราได้ทำให้ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วในวันนี้ ก็คือ เราได้กล่าวความจริงมาเป็นเวลา 12 ปีเต็ม ย่างเข้าปีที่ 13 แล้ว ทุกคำพูดทุกข้อความที่เรากล่าวไว้ เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ดี เป็นความจริง และย่อมจะดำรง สัจธรรมนี้ไว้ในธรณินต่อไป กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร
ฉะนั้น สิ่งที่เราพูดอยู่ทุกวันนี้ ขณะนี้ ก็คือความจริงเช่นเดียวกัน เพราะเราพูดแต่ความจริง การพูดความจริง เป็นสิ่งที่เป็นความดีและเป็นอาวุธ เพราะเรามุ่งหมายให้สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร
และในขณะนี้ ประเทศชาติ-สังคมไทย มีปัญหารอบด้าน อันเป็นเหตุมาจาก การเมือง โดยความเป็นจริงก็คือมีการช่วงชิงความเป็นใหญ่โดยไม่คำนึงกฎกติกาแห่งความเป็นธรรม แต่กระทำเยี่ยงโจร ปล้นชิงเอาอำนาจนั้นมาในเวลาที่เจ้าของเผลอ และวันนี้ เจ้าของประชาธิปไตย จึงตื่น และเร่งรีบมารวมตัวเพื่อรบชิงเอาประชาธิปไตยของเราคืนมา เอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนคืนมาสู่ประชาชนอีกหนหนึ่ง
และเราเห็นว่า นี่แหละเป็นทางออกที่มีเหตุผลสอดคล้องยุคสมัยที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือ ประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจะสามารถดำรงความเป็นธรรมให้แด่ประชาชนทุกท้องที่ท้องถิ่น ทุกภาคส่วนของประเทศไทย และทั้งทุกความเชื่อของกลุ่มประชาชนของประเทศกลุ่มต่าง ๆ
สำหรับเรื่องราวในหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44 นี้ ก็คงเป็นเรื่องราวที่ได้ออกไปแล้วใน ดี(อินเทอเนท) ผ่านเวบไซต์ https://www.newworldbelieve.net ของเราไปแล้ว ส่วนที่ได้นำมาลงในดีเอกสารนี้เป็นเพียงบางส่วนเฉพาะเรื่องสำคัญที่ตรงประเด็นเท่านั้น และเราได้นำเสนอในคอลัมน์เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วแบ่งเป็น 3 ตอนคือ ส่วนความคิดเห็นส่วนนสพ.ดีเอง ส่วนความคิดเห็นของคนอื่นทางกระดานถามตอบของเวบไซต์ของเรา และยังมีส่วนพิเศษคือ ส่วนที่เกี่ยวกับศาสนจักร เพราะเรากำลังจะเริ่มนำแนวคิดประชาธิปไตย ในด้านศาสนาจักร มาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง อันเนื่องมาจากความสนใจในปัญหาทางการปกครองของคณะสงฆ์ไทย
ในด้านสถานการณ์ปัจจุบันของชาติและประชาชนวันนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังคง บริหารงานไปอย่างผิดพลาด วันนี้เกิดความทุจริตขึ้นอย่างมากมายในการบริหารงบประมาณของประเทศ ซึ่งเราได้มองไว้แต่ต้นแล้วว่า บริหารงานงบประมาณแบบละหลวม ไร้สำนึกของการประหยัด รอบคอบ ไร้มาตรการระมัดระวัง ตรวจสอบไปโดยสิ้นเชิง เช่นนี้ พยากรณ์ได้เลยว่า เป็นการเปิดช่องให้โกงกินขนาดใหญ่กันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในรัฐบาลประเทศไทย
เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลนี้ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน
4.1 สิ่งที่ประชาชนได้พิศูจน์แล้ว
สิ่งที่ประชาชนได้เห็นและผ่านการพิศูจน์จนเชื่อแล้วก็คือ
- การรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เป็นการปล้นชิงอำนาจประชาธิปไตยของประชาชน และครั้นเมื่อประชาชนได้เห็นแล้วว่า เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ก็ได้ร่วมมือกันต่อต้านและเรียกร้องให้คืนประชาธิปไตยแด่ประชาชนหนาแน่นขึ้น เดิมก็เป็นพลังประชาชนประชาธิปไตยในนามเสื้อแดง ต่อมาภาคการเมืองและธุรกิจเริ่มเข้ามาหนาแน่นขึ้นอีก และล่าสุดก็คือการเดินทางเข้าสู่พรรคเพื่อไทยของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ประชาธิปไตย อดีต ผบ.ทบ. ผบ.สส. พร้อมนายทหารติดตามจำนวนมาก เพื่อร่วมสร้างสรรค์ประชาธิปไคย
- อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นตัวปัจจัยเหตุเป็นกระแสที่ร้อนแรงของประชาชนทุกส่วนที่ทำให้การเรียกร้องประชาธิปไตยแรงขึ้น นั่นก็เพราะประชาชนได้ตระหนักในเชิงเปรียบเทียบทางกาลเวลาสมัยนั้นกับสมัยนี้ว่า มีความแตกต่างกัน ประชาชนได้รู้จักนโยบายทางการเมืองว่ามีผลต่อการอยู่ดีกินดีอย่างไรของประชาชน และประเทศชาติ และครั้นเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ แล้วมีความแตกต่าง รัฐบาลอภิสิทธิ์ แสดงให้เป็ฯความไม่ชอบธรรมด้วยประการต่าง ๆ และดูเหมือนวิถีทางการเมืองโดยนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ จะกลายเป็นนโยบายเผด็จการที่แรงไปตามลำดับ ๆ ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังแด่ประชาชนยิ่งขึ้น ๆ
- ระบบอมาตยาธิปไตยก็ได้พิศูจน์แล้วว่าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 และอยู่เบื้องหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ และอยู่เบื้องหลังการสั่งการทหารไทย และเป็นผู้บงการองค์กรอิสระทุกองค์กรในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และเห็นชัดเจนถึงความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ต้องการขจัดคนเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเป็นความจริงที่ปรากฏชัดขึ้นจนประชาชนทั้งปวงหายสงสัยไปแล้ว และผู้รักความยุติธรรมจึงรวมตัวกันขึ้นอย่างกว้างขวางไปยิ่งขึ้น
- ระยะเร็ว ๆ นี้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ก็ได้ก่อความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงขึ้นต่อวงการศาสนาสากล และผลบังเกิดขึ้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น และในการประชุมอาเซียนซัมมิต ซึ่งไทยเป็นประธานปีนี้ และเป็นเจ้าของสถานที่การประชุม ปรากฏว่าได้รับการต่อต้านโดยที่มีประเทศมุสลิมถึง 4 ประเทศ คือ บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดเนเซีย มาเลเซีย และอีกประเทศที่กำลังมีเรื่องพิพาทเขาพระวิหารกันอยู่ คือกัมพูชา รวมเป็น 5 ประเทศ ไม่มาร่วมในพิธีเปิดการประชุม (บรูไน มาแต่ไม่เข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุม) ทำให้มีประเทศเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมเพียง 4 ประเทศเท่านั้นคือ พม่า ลาว สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกไปถึงสถานะของรัฐบาลไทยภายใต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าตกต่ำ ไร่ค่าในสายตาของผู้นำประเทศในเอเชียเพียงไหน นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวเปิดประชุมโดยกล่าวาทะเชิงแนะนำสั่งสอนไปยังผู้นำกัมพูชาด้วย ซึ่งถือเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองอย่างยิ่งของนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 27
4.2. คำถามว่าเราอยู่ฝ่ายใด? เราอยู่ฝ่ายแดงทั้งแผ่นดิน
ฉะนั้น เมื่อมีคำถามว่าเราอยู่ฝ่ายใด สิ่งที่เราจะต้องอธิบายไปอีกเพื่อความชัดเจนก็คือหนังสือพิมพ์ดี เป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายที่อยู่ข้างความถูกต้อง อย่างน้อยก็เป็นปณิธานของเราที่จะทำอย่างนี้ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอัตโนมัติ ที่เราจะต้องอยู่ฝ่ายนี้ ตามชื่อของเราคือ หนังสือพิมพ์ดี เมื่อจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจสัจธรรมนี้ ก็อาจจะอ้างหลักธรรมบทมาติกา(ที่พระสวดในงานศพ) ที่เรียกว่าสวดอภิธรรม 7 บท นั่นเอง มีพระสังคิณีว่าดังนี้
พระสังคิณี
กุสะลา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, ให้ผลเป็นความสุข
อะกุสะลา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, ให้ผลเป็นความทุกข์
อัพยากะตา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต, เป็นจิตกลาง ๆ อยู่,
กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหล่าไหนเป็นกุศล,
ยัสะมิง สะมะเย ในสมัยใด.
กามาวะจะรัง กุสะลัง, กามาวจรกุศลจิต,
จิตตัง อุปปันนัง โหติโสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง,
กามาวจรกุศลจิตที่ร่วมด้วยโสมนัส คือความยินดี, ประกอบด้วยญาณ คือ ปัญญาเกิดขึ้นปรารถนาอารมณ์ใด,
รูปารัมมะนัง วา, จะเป็นรูปารมณ์, คือยินดีในรูปเป็นอารมณ์ก็ดี,
สัททารัมมะนัง วา, จะเป็นสัททารมณ์, คือยินดีในเสียงเป็นอารมณ์ก็ดี
คันธารัมมะนัง วา, จะเป็นคันธารมณ์, คือยินดีในกลิ่นเป็นอารมณ์ก็ดี
ระสารัมมะนัง วา, จะเป็นรสารมณ์, คือยินดีในรสเป็นอารมณ์ก็ดี,
โผฏฐัพพารัมมะนัง วา, จะเป็นโผฏฐัพพารมณ์, คือยินดีในสิ่งที่กระทบถูกต้องกายเป็นอารมณ์ก็ดี,
ธัมมารัมมะนัง วา ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ จะเป็นธรรมารมณ์, คือยินดีในธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี,
ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ, อะวิกเขโป โหติ เย วา ปะนะ ในสมัยนั้นผัสสะและความไม่ฟุ้งซ่านย่อมมี
ตัสมิง สะมะเย, อัญเญปิ อัติ ปะฏิจจะสะมุปปันนา อะรูปิโน ธัมมา,
อีกอย่างหนึ่ง ในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใด,
แม้อื่นมีอยู่เป็นธรรมที่ไม่มีรูป, อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
อิเม ธัมมา กุสะลา ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล, ให้ผลเป็นสุข
(จาก ชมรมส่งเสริมจริยธรรมสาธารณสุขศรีสะเกษ, คู่มือฟังสวดพระอภิธรรมสำหรับพุทธศาสนิกชน, ธรรมสภากรุงเทพ จัดพิมพ์ มิ.ย.2546, หน้า 7)
ธรรม 3 บทต้นที่ว่า กุสะลา ธัมมา, อะกุสะลา ธัมมา, อัพยากะตา ธัมมา, กับ บทสุดท้าย อิเม ธัมมา กุสะลา (ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล, ให้ผลเป็นสุข) นั้น แสดงการจำแนกหมวดหมู่แห่งธรรมทั้งหลายไว้ 3 หมวด คือ หมวดธรรมขาว (กุสลา ธมฺมา) หมวดธรรมดำ (อกุสลา ธมฺมา) กับธรรมระหว่างขาวกับดำ หรืออยู่ระหว่างกลาง (อพฺยากตา ธมฺมา) ทรงตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ(จงอย่าทำบาปทั้งปวง) กุสลสฺสูปสมฺปทา(จงทำแต่ความดีที่เป็นบุญกุศลพร้อม) สจิตฺตปริโยทปนํ (จงชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ให้ขาวบริสุทธิ์ล้วน) นั้น หมายถึงทรงให้ปฏิเสธธรรมดำ (อะกุสะลา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, ให้ผลเป็นความทุกข์) กับธรรมที่เป็นกลาง ๆ ระหว่างดำกับขาว หรือที่อยู่หว่างกลาง คือ อัพยากะตา ธัมมา (ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต, เป็นจิตกลาง ๆ อยู่) ทรงชักจูงมนุษย์ให้เข้าสู่ธรรมขาว ให้ประพฤติความดี บุญกุศล หรือธรรมฝ่ายขาว (กุสะลา ธัมมา, ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, ให้ผลเป็นความสุข ล้วน ๆ) เท่านั้นจึงจะสำเร็จซึ่งพระนิพพาน การต่อสู้ก็ตาม เราจะต้องต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่เป็นความดีล้วน ๆ หมายถึงเพื่อประโยชน์และความสุขของประชามหาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อต้องการการปกครอง การเลือกระบบการปกครองที่สุดไป 2 อย่าง คือ ประชาธิปไตย กับ เผด็จการ โดยพิจารณาว่าอะไรเป็นความถูกต้อง อะไรเป็นธรรม(กุสฺลา ธมฺมา) อะไรเป็นอธรรม ไม่ถูกต้อง(อกุสลา ธมฺมา) และอะไรที่เป็นอัพยากฤตคืออยู่หว่างกลาง (อพฺยากตา ธมฺมา) ซึ่งคำว่า อัพยากตา ธัมมา ธรรมที่อยู่ระหว่างกลางในที่นี้จะหมายถึงความโลเล ความที่เป็นอวิชชาอยู่ การที่จิตมีอารมณ์แห่งจิตเป็นอัพยากฤตนี้ ย่อมหมายถึงยังไม่ส่ว่าง ความโลเล ความไม่รู้อะไรดีอะไรชั่ว ไม่รู้บาป ไม่รู้บุญอยู่ นั่นคือยังถูกครอบด้วย อวิชชาอยู่ ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาแล้วจึงเข้าสู่ธรรมขาวล้วน
ฉะนั้น โดยหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา ประชาชนผู้ปรารถนาความถูกต้องเป็นธรรม ย่อมจะไม่เลือกทางอื่น ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทางแห่งกุศลธรรมคือธรรมขาว (กุสลา ธมฺมา) เท่านั้น จึงจะถึงซึ่งประโยชน์และความสุขอันไพศาล(หิตาย สุขาย) ไม่อาจจะเลือกธรรมดำ (อกุสลา ธมฺมา) หรือ ธรรมที่เขลาบอดอยู่ โลเล ปนกัน อยู่ระหว่างกลาง ๆ (อพฺยากตา ธมฺมา) ได้ ต้องมาอยู่ฝ่ายดี ฝ่ายขาวฝ่ายกุศลล้วนเท่านั้น ในทางการเมือง ที่อยู่ในสถานการณ์เป็นฝักเป็นฝ่ายตามหลักการทางการเมืองที่สำคัญ 2 หลักการคือ เผด็จการและประชาธิปไตย จำเป็นต้องเลือกอยู่ฝ่ายเดียวล้วน ๆ คือ ประชาธิปไตย เท่านั้น จึงจักเป็นสามัคคีธรรม และไม่ควรที่จะเป็นฝ่ายกลาง ๆ หรือ อัพยากฤต เพราะนั่นหมายถึงโลเลและอวิชชา คือไม่รู้เรื่องการเมืองเลย(ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย จะเป็นประชาธิปไตยยาก) แล้วจากนั้นอาศัยธรรมอีก 2 ข้อ คือความพยายาม 1 กับ สติปัญญา 1 ซึ่งธรรม 2 อย่างนี้ประกอบกัน พระอรหันต์(พระนาคเสน ยุคพระยามิลินทน์ แห่งตะวันออกกลางปัจจุบันนี้ ออกบวชสำเร็จพระอรหัตผล 500 ปีหลังพุทธกาล)ท่านชี้แนะเอาไว้ว่า 2 อย่างนี้มีอยู่ที่บุคคลใด คณะบุคคลใด ประเทศชาติใด ย่อมแผ้วทาง ฝ่าอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จ แม้สู่พระนิพพานก็ได้ด้วยความพยายามและปัญญา 2 อย่างนี้(ท่านอุปมาเหมือนเกี่ยวข้าว มือที่รวบต้นข้าวมาคือความพยายาม มือที่ถือเคียวเกี่ยวรวงข้าวคือปัญญา) ในทางการเมือง เมื่อประชามหาชนได้เลือกฝ่ายที่ถูกต้องแล้ว นั่นหมายถึงจะสามารถนำพาประชาชน นำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จได้ และการรวมตัวอย่างแน่นแฟ้นในความดี(กุสลา ธมฺมา)ส่วนเดียว ย่อมมีพลังสามารถด้วยสามัคคีธรรมของหมู่ แม้เป็นงานใหญ่ขนาดย้ายภูเขา หรือพลิกแผ่นดินก็ย่อมสำเร็จลงได้ด้วยธรรม 2 ประการนี้ นี่เป็นสูตรสำเร็จของพระพุทธองค์ บรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา
โปรดติดตามอ่านรายละเอียดเรื่องราวและทัศนะของเราในหนังสือพิมพ์ดี และเพื่อทันสถานการณ์รอบด้าน และแนวทัศนะต่อเหตุการณ์ ทุกศาสตร์ ทุกวิชาการ ทุกวันทุกนาที โปรดติดตามเวบไซต์ของเรา คือ https://www.newworldbelieve.net ต่อไป
8. บันทึก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ประเด็นบุคคลิกภาพและจิตวิทยา
โดย บานไม่รู้โรย
บันทึก อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ประเด็นบุคลิกภาพและจิตวิทยา
(เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเชิงบุคลิกภาพและจิตวิทยา)
1. IQ. อาจจะสูง แต่ EQ ต่ำมาก อันหลังนี้เห็นได้จากบทบาทล่าสุดในการจัดประชุมอาเซียนซัมมิต ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อ 23-25 ต.ค. 2552 นั่นเอง และ EQ. นี้เป็นสิ่งที่ระบุว่า เขา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนที่ไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง ต่อการดำรงตำแหน่งระดับสูงที่ใช้ Decicion Making ระดับชาติ หรือที่เป็นของมวลชนในส่วนรวม นั่นคือ ควรต้องห้ามสำหรับตำแหน่ง ผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผุ้นำทางประชาธิปไตย
2. ปมเด่นของเขาคือ มีภรรยาเป็นคนสวย ความรู้ดี, ความเป็นนักเรียนนอก โดยเฉพาะคำว่า Oxford และ คำว่า อังกฤษ และเขาคิดว่าเขามีรูปร่าง หน้าตาดี หรือคำว่า รูปหล่อ แม้ว่าโดยหลักการบุคลิกภาพจีน-ไทยคือหลักโหงเฮ้ง-นรลัษณ์แล้ว เขามีโหงเฮ้งที่คับแคบและต่ำต้อยมาก หลงตัวเอง แต่ปมด้อยของเขาคือ ขาดความมั่นใจ เขาคิดว่าเขาทำอะไรไม่เป็นเลยจริง ๆ เขาก็รู้ตัวเองเช่นนั้น เขาฝึกมาทางการพูด และพยายามลอกเลียนแบบการพูดของบุคคลสำคัญระดับสูง แต่มันเป็นการเพียงลอกเลียนท่าที วาจามาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าประเด็นสำคัญของคนระดับผู้นำคืออะไร บางทีเขาอาจจะได้เรียนรู้ภายหลังด้วยความเสียดายก็ได้ว่า
3. เขาคบหากับนายชวนหลีกภัย กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ คบกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายกษิต ภิรมย์ ก็เนื่องจากมีอิทธิพลจากปัจจัยทางจิตวิทยาตรงกัน นั่นคือคนเหล่านี้มีจิตตรงกันเรื่อง ความอิจฉาริษยา ซึ่งมีระดับดีกรีที่สูงมาก โดยเห็นชัดเจนจากนายสนธิ ลิ้มทองกุลก่อน ซึ่งคน ๆ นี้มีความชั่วร้ายพอที่จะเปิดเผยตนเองว่าเป็นคนชั่วร้าย และกล้าเสี่ยงไปอย่างสุด ๆ แบบตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง คนนอกจากนี้ต่างซ่อนปุ่มปมความอิจฉาริษยาไว้ภายใต้บุคลิกภาพที่ราบเรียบ ที่เสแสร้ง ข่มกลั้น กล้ำกลืน แต่แล้วปมนี้ก็ค่อยโผล่ออกมา จนบัดนี้ปรากฏชัดเจน
บุคคลที่ทำให้ปมความอิจฉาริษยาของชนเหล่านี้โป่ง จนแตกระเบิดออกมาหลายครั้งแล้ว ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
บัดนี้ เมื่อทักษิณ ชินวัตร มีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาร่วมอุดมการณ์ด้วยแล้ว ปมอิจฉาริษยา ยิ่งโป่งพองไปอีก จนทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็น จิวยี่ ในสามก๊ก ไปได้ทันที และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดูเหมือนว่า โดยบุคลิกภาพของท่าน อาจทำให้อภิสิทธิ์ “จิวยี่” ถึงรากเลือดตายได้ พร้อมคำหลุดปากว่า “ฟ้าให้ยี่มาเกิด ไฉนให้ขงมาเกิดด้วย”
แล้ว เอเอสทีวี ทีวีแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ สนธิ ลิ้มและ ประชาธิปัตย์ มุ่งหมายใช้สร้างผลงานของรัฐบาล โดยนโยบายปากล้วน ๆ ก็เริ่มระดมบิดข่าว สร้างกระแสรักชาติด้วยปาก กันใหญ่ เมื่อเกิดกรณีกัมพูชาขึ้น ทุกตัวตนที่โผล่ออกมาในเอเอสทีวี เหมือนมีปากไว้ด่าคนทั้งหลาย ว่าไม่รักชาติ ท่าทีที่ผิดความจริงอย่างยิ่งคือ ทำว่ามีพวกตนหยิบมือหนึ่งเท่านั้นที่รักชาติยิ่งกว่าใคร ๆ และด่าประชาชนทั้งชาติว่าไม่รักชาติเท่าตน ด้วยคำหยาบคายไปสุด ๆ เอเอสทีวีขณะนี้จึงเต็มไปด้วยความหยาบคายไปอย่างสุด ๆ นั่นคือ กุ๊ยการเมืองโดยแท้จริง ที่ประชาชนต้องมาเรียนรู้
คำว่า อิจฉาริษยา เป็นศัพท์ตะวันออก มีนิยามไว้โดยหลักการพระพุทธศาสนาว่า “ทนเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนไม่ได้” มีผลทางจิตวิทยาสูงมาก พุทธธรรมระบุไว้ว่า เป็นกิเลสประจำตัวมนุษย์ ที่ละเอียดอ่อนมาก ระดับพระอนาคามี ก็ยังมีกิเลสตัวนี้อยู่ จนกว่าสำเร็จพระอรหันต์ จึงจะพ้นไปจากกิเลสตนนี้ได้
ความอิจฉาริษยานี้เป็นอันตรายมากขนาดทำลายโลกได้ สมตามพุทธภาษิตว่า อรติ โลกนาสิกา : ความอิจฉาริษยาทำให้โลกพินาศ (โลกพินาศได้ทั้งโลกเพราะกิเลส ความอิจฉาริษยานี้)
พุทธศาสนาจึงแนะทางออกให้ว่า เมื่อคนอื่นทำดีได้ดีกว่าตนแล้ว วิธีลดความอิจฉาริษยา คือ ทำความดีอย่างที่เขาทำบ้าง เขาทำอะไรได้ผลดี ด้วยอะไร อย่างไร ก็ทำอย่างเขาบ้าง วิธีนี้จะทำให้ลดทุกข์เพราะความอิจฉาริษยา ลงไปได้ นอกจากนั้นก็ให้มี มุทิตาจิต ต่อผู้อื่น ผู้ที่ได้ผลดี คือ ความพลอยยินดี ไปกับเขา มุทิตา แปลว่าพลอยยินดี เป็นธรรมพรหมวิหารคือธรรมของผู้เป็นใหญ่ ก็จะแก้ปัญหาทางจิตวิทยาตรงนั้นไปได้
คนอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ไม่รู้ธรรมข้อนี้ จึงทนทุกข์มาก เพราะขณะที่ตนเองเป็นบุคคลล้มละลายทางการเงิน ทักษิณ เป็นมหาเศรษฐีโลกที่โลกรับรอง ทักษิณ ประสบความสำเร็จในความนิยมของประชาชนเพราะสร้างผลงาน ไว้มหาศาลขณะเป้นนายกรัฐมนตรีจนถึงว่าคนทั้งหลายเรียกร้องให้กลับมาอีกครั้ง นั่นทวีความอิจฉาริษยาแด่คนพวกนี้ แล้วครั้นทักษิณกลายเป็นบุคคลที่โลกทั้งหลายต้อนรับและเห็นคุณค่าของเขา พวกคนที่มีจิตอิจฉาริษยายิ่งทุกข์ใจเพราะอานุภาพความแหลมคมของความอิจฉาริษยา และนี่เป็นเหตุของทุกข์
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า มีปมความอิจฉาริษยาอีกประการหนึ่งก็คือ การอายัดเงิน 76,000 ล้าน(เจ็ดหมื่นหกพันล้าน)บาท อันเป็นเงินส่วนตัวที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ทำมาหาได้โดยชอบธรรม และโดยสุจริตตามวิถีโลกธรรม ด้วยความเฉลียวฉลาด มีปัญญา และได้มาก่อนการเข้าเล่นการเมืองด้วยซ้ำ
กลุ่มคนอิจฉาเหล่านี้ ซึ่งครองอำนาจรัฐ จึงเท่ากับใช้อำนาจรัฐทำการอายัดยึดเงินทองของเอกชน ใต้การปกครองของรัฐ เป็นการรังแกข่มเหงเอกชนใต้ระบอบปกครอง ที่น่าละอายใจอย่างยิ่ง เพราะใช้อำนาจรัฐทั้งรัฐข่มขี่ผู้ใต้ปกครองตนเองอย่างไร้ความยุติธรรมและความเป็นธรรม (แทนที่จะส่งเสริม ปกป้องผลประโยชน์ของเอกชน) ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงอำนาจปกครองแบบเผด็จการ ที่ทารุณโหดร้าย (เช่นคลิปสั่งฆ่าของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ กรณี 13 เม.ย.2552 ซึ่งเขาได้รับในสภาฯว่าเป็นเสียงของเขาเอง) เป็นการไม่ชอบด้วยวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยย่อมส่งเสริมด้วยวัฒนธรรมเสมอภาคในโอกาสแสวงหาความร่ำรวย ไม่มีใครอิจฉาริษยา นี่เป็นทางให้เกิดความร่ำรวยขึ้นต่อเอกชน ทุกภาคส่วนของเอกชน รวมกันแล้วจึงจะส่งผลเป็นความร่ำรวยของประเทศชาติได้ แต่รัฐบาล คมช.กระทำการเหยียบย่ำรังแกเอกชน จึงเป็นที่น่าละอายใจอย่างยิ่ง และนี่คือผลของปมความอิจฉาริษยา
4. กรณีอาเซียนซัมมิต เป็นผลของปมด้อย และปมด้อยแสดงอิทธิพลออกมาในทางที่เป็นความเขื่องต่อประเทศอื่น คือกลุ่มประเทศมุสลิมโลกเป็นจุดด้อย ปมด้อยของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (เมื่อไปพูดกับคนกลุ่มนี้ ขาจะสั่น ปากจะซีด กลัวเขา) แต่เขามีปมเด่นต่อกัมพูชา เพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ เหตุผลทางเชื้อชาติ และเหตุผลทางศาสนา ความเชื่อ และด้วยวุฒิภาวะที่บกพร่องของเขา ได้กระทำเรื่องราวที่น่าขายหน้าขึ้น โดยพยายามข่มผู้นำกัมพูชา จากปมเด่นของตน แล้วกลายเป็นเรื่องน่าขายหน้า อย่างที่ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนำคนไทยทั้งชาตินี้ ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซ่อนไว้ไหน และจะไปไหนได้อีก ในแผ่นดิน ใต้หล้านี้ แม้แต่จะออกจากบ้านตนไปเยี่ยมใครที่บ้านหลังไหน
นั่นคือ ประเด็น ความเป็นเจ้าภาพ หรือ เจ้าบ้าน ผู้รับแขกบ้าน แขกเมือง เขาทำเสียหาย อย่างที่โลกทั้งโลกไม่อาจจะคาดถึงได้ว่า จะไร้อารยธรรม จรรยามารยาท จะป่าเถื่อน จะอนารยธรรมขนาดนี้ และยิ่งกว่า เด็กที่อมมือ หรือ เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ก็ไม่ปาน และประชาชนไทย 60 ล้านคนเศษ พลอยร่วมรับเอาความขายหน้านี้ไว้พร้อมกันหมด ยังเขลาเบาปัญญาว่า ข้าวกำลังจะเก็บเกี่ยว จะเอาข้าวไปขายตลาดไหน ไปทะเลาะกับคนทั้งโลกเช่นนี้จะเอาข้าวของไปขายที่ไหนได้ จะต้องถูกกดราคา เขาจะถือโอกาสเอารัดเอาเปรียบ ต่อรองอย่างที่สุด เขาจึงจะซื้อของ ๆ เรา นี่คิดไม่ได้ จึงเหมือนเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จริง ๆ
เขาเองก็นึกอับอายตนเอง จนแทบเอาหน้าซุกฝ่ามือไปตลอดชาติ และแล้วเขาก็พบทางออก นั่นคือ ประกาศถอนสัมพันธ์ทางการทูต เรียกทูตไทยกลับ เขาสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา เป็นเพียงสถานการณ์จิตวิทยาเท่านั้น แต่นั่นแหละ เด็กอมมือ เด็กเล่นไม้ขีดไฟ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ วอดวายบรรลัยได้ และนั่นเองคือเป้าหมายของพวกก่อการร้ายยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติ ที่โทษระดับประหารชีวิตอยู่แล้ว อย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องการและพยายามก่อกวนประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ก็เพื่อรอดจากการพิพากษา อย่างถึงที่สุด โดยชาติบรรลัยไปเขาก็ไม่รับผิดชอบ ไม่ถือว่าสำคัญ เพราะนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนกากเดนเชื้อจีนมาจากเมืองกุ๊ยเหลียง มาอาศัยเมืองไทยทำมาหากิน แต่มักอ้างความรักชาติรักสถาบันของตน เอามาอ้างว่าตนรักมากกว่าคนไทยทั้งประเทศ ๆ ไม่รักชาติไทย ไม่รักสถาบันเท่าตน ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้โฆษณาอวดอ้างเช่นนี้จนคนไทยหลงเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่นี่คือโจรผู้มุ่งร้ายต่อสถาบันไทย ทุก ๆ สถาบัน และเอเอสทีวี เป็นเครื่องมือของเขา บ่อนทำลายสถาบันต่าง ๆ มาตามลำดับ นับตั้งแต่สถาบันบริหารชาติ สถาบันกฎหมาย สถาบันศาล ตลอดไปจนถึงสถาบันกษัตริย์ ที่ชอบเอามาอ้างอยู่ตลอดเวลา จนหลังสุดถูกพิพากษาโดยศาลชั้นต้น ว่าดูหมิ่นสถาบันจนต้องคำพิพากษาให้ติดคุก 2 ปี (นี่คือข้อเท็จจริง ที่ควรแยกออกจากการโฆษณาชวนเชื่อของ เอเอสทีวี) จนวุ่นวายอยู่ในขณะนี้
5. จิตวิทยาอีกประการหนึ่งก็คือ ความเปล่าเปลี่ยว ในขณะนี้ เพราะอิทธิพลของความเปล่าเปลี่ยว ไร้ญาติ ขาดมิตร (แต่ก็ยังมีนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคฯ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ผู้ขึ้นเวทีประกาศปกป้องเอเอสทีวีอย่างถึงที่สุด เป็นพี่เลี้ยงคอยปลอบใจอยู่) ทำให้เขาไม่อาจวินิจฉัย และไม่รู้ว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรูของตนเอง เขากำลังพบสภาวะที่จิตวิทยาว่าเป็น frustration หรือ cause to feel dissatisfied or unfulfilled (สภาวะอารมณ์เกิดจากการที่ถูกบล็อก ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ ไม่สำเร็จสมปรารถนา) นั่นคือเมื่อเขาไปเป็นประธานเปิดเอเอสทีวี (ที่รู้กันว่าทีวีโฆษณาชวนเชื่อของนายสนธิ ลิ้มทองกุล) ภาคภาษาอังกฤษ ที่ให้นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ บริหาร ทำมาหากิน กลางปี 2552 นี้ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล , การที่เขาบังเกิดความโกรธ ลุแก่ทิฏฐิ ในการตั้ง ผบ.ตร พล.ต.อ ภัทชรวาท วงศ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. จนกระทั่งการแต่งตั้ง ผบ.ตร. แม้จะมีการประชุม กตช. มาสามครั้งแล้วก็ตาม ไม่สำเร็จ(ครั้งที่3 ของการประชุม กตร. พบการต่อต้านของ อดีต มท.1 ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ จนการประชุมล่มอีกครั้ง) และภายหลังสถานการณ์กัมพูชาแรงขึ้น ล่าสุด เขาแสดงออกชัดเจนว่า อยู่ใต้คำสั่งของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จริง ๆ ซึ่งเชื่อกันมาก่อนว่าเพราะนายสนธิอยู่ในฐานะผู้มีพระคุณให้ได้ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศไทยคือ ได้รับการสนับสนุนการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีรัฐบาลทักษิณ จนพังแล้ว ทำลายรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย จนได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 มาจนบัดนี้นับว่ามีพระคุณ สนธิลิ้ม จะสั่งให้เขาทำอะไร ก็ต้องรับฟัง
ซึ่งตรงนี้หมายความว่า นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นี้ แท้จริงก็คือ หนึ่งในผู้ก่อการร้าย ที่ก่อการร้ายมาตลอดจนถึงการปล้นชิงประเทศไทย มาจนถึงขณะนี้ก็ก่อการร้ายด้วยการช่วยเหลือพวกผู้ก่อการร้ายด้วยกัน นับตั้แต่แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ ผู้ก่อการร้ายยึดสนามบิน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นหนึ่งในกลุ่ม ที่ร่วมขบวนการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ และรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 นั่นเอง(ที่ นสพ.ดีระบุว่า ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ มาแต่เริ่มแรกนั่นเอง) และร่วมในการกระทำผิด 6 ประการ นับตั้งแต่ (1)พาพวกปิดกั้นถนนหนทาง แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ก็ต้องเสด็จเลี่ยงไปทั้ง6วันแห่งพระราชพิธีสำคัญนั้น ระหว่าง 14-19 พ.ย.2551, (2.) ยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไล่คณะรัฐมนตรีนายสมัครออกไปจากทำเนียบและยึดทำเนียบไว้เป็นเวลา193วัน (3.) ยกพวกไปปิดล้อมรัฐสภา 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายทำให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาออกไม่ได้ ต้องปีนบันไดฉุกเฉินออกทางหลังรัฐสภา แล้วภายหลังยังสั่งฟ้อง ปปช. ๆ ชี้มูลว่า อดีตนายกรัฐมนตรี 2 ท่านคือ สมชาย วงษ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับพวกอีกเป็น 4 คน ว่ามีความผิด ซึ่งเป็นการตีความกฎหมายแบบเผด็จการทรราช กฎหมายไม่ใช่กฎหมายของประชาชน โดยเจตนาของประชาชนตามหลักการประชาธิปไตย (4.) ยกพวกปิดล้อมและยึดสถานีโทรทัศน์ NBT ไล่เจ้าหน้าที่ออกไปเพื่อทำการใช้งานเอง (5.) ยกพวกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง อันเป็นสนามบินนานาชาติ อันเป็นเหตุให้คนต่างชาติหลายหมื่นคนเดือดร้อน และประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล (6.) กล่าวหาคนอื่น ด้วยวาจาหยาบคาย ใช้แต่คำดุด่า บริภาษคนทั้งหลายอย่างเต็มที่ ซึ่งแม้บัดนี้คนที่ทำความผิดก็ยังไม่ได้รับการจัดการจากรัฐบาลปัจจุบัน(รัฐบาลอภิสิทธิ์)อย่างไร ซึ่งนี่คือผู้ก่อการร้าย ที่สมควรได้รับการพิจารณาว่าเขาเป็นผู้ร้าย ที่สมควรนำตัวขึ้นสู่กระบวนการพิพากษาลงโทษระดับร้ายแรงอีกคนหนึ่งต่อไป
จึงน่าเสียดาย เมื่อมองแง่มุมทางจิตวิทยาแล้ว อภิสิทธิ เวชชาชีวะ น่าสงสาร เพราะตกอยู่ใต้อิทธิพล ปัจจัยทางจิตวิทยา ดังกล่าวมานี้ อย่างยากต่อการขัดขืนหลุดพ้นไปได้
อำนาจปมต่าง ๆ ทางจิตวิทยาเหล่านี้ ได้ครอบบุคลิกภาพและการกระทำของคน ๆ นี้ไปแทบทุกบทบาททุกการเป็นไป ในการเมือง และสังคมทุกระดับชั้น จนเกิดเรื่องราวที่ทุเรศ น่าสมเพชขึ้นทั้งหมดต่อประเทศไทย เรา ขณะนี้ มาตามลำดับ นับแต่เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นหน.พรรคการเมืองเป็นต้นมา และดิ้นรนอยากใหญ่ ในทางที่ไม่ชอบธรรมจนได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของประเทศ และบุคลิกภาพทราม ๆ นี้จะยังคงทำลายประเทศและประชาชนไทยอีกต่อไป นานเท่าไร? และประชาชนไทยเจ้าของประเทศ ผู้กุมอำนาจตามหลักการประชาธิปไตยจะต้องจัดการอย่างไร ?
- บานไม่รู้โรย
10 พ.ย. 2552
9. ทบทวน
กระบวนการยุติธรรมไทยที่ใช้กับการยุบพรรคการเมืองยังไม่ยุติธรรม
เป็นเรื่องบ้องส์ส์ส์ ๆ ของตาบอดคลำช้าง นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ผิดฝาผิดตัว
ยกประโยชน์ให้จำเลยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรแก่กระบวนการยุติธรรม
เมื่อใช้วิสัยทัศน์โดยสามัญสำนึก(Common Sense) หรือด้วยวลีธรรมะคำว่า ญาณสัมปยุต หรือญาณทัศนะ คือการมองโดยระบบปัญญาองค์รวมทั้งหมด ต่อปัญหาการยุบพรรคการเมือง (พรรคที่กำลังพิจารณาอยู่ก็คือ พรรคชาติไทย กับ พรรคมัชฌิมาธิปไตย) ดังนี้
1. ระบบกฎหมายไทยในองค์รวมยังล้าหลังอยู่มาก ข้อบกพร่องที่ปรากฏจากเชิงการวิจัยทางสังคมศาสตร์อย่างง่าย ๆ ก็คือ ไม่สนับสนุนให้สังคมก้าวออกไปสู่วิสัยใหม่ ๆ แต่มีลักษณะรัดรึง ดึง และยึดติดกับความเก่า ถ่วงความมีสปิริตจิตใจที่ใฝ่ก้าวไปข้างหน้า ไม่เอื้อต่อสาขาความเจริญยุคใหม่ มีการพาณิช เศรษฐกิจ การเงิน การคลัง และโลกไซเบอร์ เป็นต้น แต่กระนั้น ก็ได้ปรากฏมาตลอดว่านักกฎหมายหรือวงการกฎหมายไทยกลับบอดต่อความบกพร่องอันนี้ อุปมาเหมือน นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ฉะนั้นตลอดเวลาอันยาวนานของการเมืองไทยยุคใหม่ นักกฎหมายไทยเองจึงมิได้เคยมีความรู้สึกในความบกพร่องของวงการตนเอง เป็นแต่เพียงผู้มีชีวิตอยู่เพื่อการอาชีพ เพื่อวาทะ คือมีกิจกรรมบทบาทและความพอใจอยู่เพียงการเอาชนะกันเชิงวาทะ จากตัวบทกฎหมาย ความรู้เรื่องกฎหมายที่ล้าหลังนี้ และด้วยความล้าหลังเช่นนี้ใช้เป็นทุนพื้นฐานการตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ไปถึงเรื่องใหญ่ ๆของสังคมมาตลอด จึงเป็นส่วนหนึ่งแห่งความถ่วงความเจริญของประเทศชาติยุคประชาธิปไตยอีกประเด็นหนึ่ง
2. การเมือง พรรคการเมืองเป็นเรื่องขนาดใหญ่เกินกว่าเรื่องกฎหมายหรือนักกฎหมายอันเป็นเพียงเสี้ยวส่วนนิดเดียวขององค์รวมของการเมืองและพรรคการเมือง เพราะหมายถึงประชาชนทั้งหมดของประเทศ มีนโยบาย และยุทธศาสตร์เพื่อความคงอยู่และความก้าวหน้า ความอยู่ดีกินดีของสังคมทั้งหมด ของประเทศทั้งประเทศ มีองค์ประกอบแห่งนามธรรมทั้งสิ้น คือความรู้วิชาการ ทุก ๆ แขนง ที่ต้องระดมมาสู่พรรคการเมืองนี้ และยังมีองค์ประกอบส่วนที่เป็นรูปธรรมทั้งสิ้นเป็นเครือข่าย นั่นคือ ระบบราชการทั้งหมด ระบบการเมืองเองทั้งหมด ระบบสังคมทั้งหมด ระบบกฎหมายและความยุติธรรมเองด้วย รวมทั้งระบบความเชื่อ ทางศาสนาและวัฒนธรรมทั้งสิ้น อันหมายถึงความเป็นสากลศาสนาด้วย และหมายถึงทรัพยากรทั้งสิ้นของแผ่นดิน บุคคล สัตว์ พืช ที่ดิน สินแร่ บรรดามีเป็นผืนแผ่นดินไทยทั้งหมดด้วย
3. เมื่อเอานักกฎหมายทั้งห้าคน ผู้ที่จะตัดสิน ขึ้นตาชั่งข้างหนึ่ง และเอา ปัญหาการยุบพรรคการเมือง ขึ้นตาชั่งอีกข้างหนึ่ง จึงเห็นขนาดน้ำหนักแตกต่างกันมากเหลือเกิน การที่เราให้อำนาจแก่คนกลุ่มหนึ่ง คือ กกต. ซึ่งล้วนเป็นนักกฎหมายทั้ง 5 คน บนวัฒนธรรมแห่งระบบกฎหมายที่ล้าหลังของไทยเช่นนี้ จึงมองเห็นได้ว่านี่เป็นความไม่เหมาะสมซึ่งกันและกันโดยแท้จริง กกต.เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสติปัญญาที่แคบ ๆ ที่ไม่ครอบคลุม หรือมองไม่เห็นส่วนของทั้งหมดของปัญหาของการเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะให้มาตัดสินพรรคการเมือง หรือสวมลงบนปัญหาการยุบพรรคการเมืองของประชาชน จึงเป็นสิ่งที่จะสวมกันไม่ได้ นั่นคือ ไม่ถูกฝาถูกตัวกันเสียเลย(ฝากระจิริดจะปิดปากตุ่มยักษ์ได้อย่างไร) และนั่นคือ เสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง ชนิดที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งความบ้องส์ส์ส์ของกระบวนการยุติธรรม เลยทีเดียว
เราจึงไม่เห็นด้วยกับการมอบอำนาจให้บุคคลที่โดยคุณภาพของบุคคลหมู่คณะนั้นไม่สมบูรณ์ในศักยภาพการมอง (ไม่สมบูรณ์ในญาณสัมปยุต หรือญาณทัศนะ)ที่ไม่อาจมองปัญหาได้ทั่วถึง ตามสภาพของตัวปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เกินสายตาของผู้มองไปเป็นอันมาก จะอุปมาก็เหมือนตาบอดคลำช้างนั่นเอง ซึ่งเมื่ออุปมาตาบอดคลำช้างแล้วจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ่น
และแท้จริง กระบวนการยุติธรรมนี้ได้กระทำผิดพลาดมาแล้ว นั่นคือครั้งยุบพรรคไทยรักไทยนั่นเอง สิ่งที่พิศูจน์ก็คือ ประชาชนไม่เห็นด้วย เมื่อพรรคพลังประชาชนมาสวมนโยบายพรรคไทยรักไทยเดิม จึงได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น จนได้เป็นรัฐบาล อีกครั้งหนึ่ง เราคิดว่าเมื่อกระบวนการไม่อาจสมบูรณ์ ให้ความเป็นธรรมไม่ได้เช่นนี้แล้ว ทางกฎหมายเองก็มีทางออกอยู่ นั่นคือการยกประโยชน์ให้จำเลย นั่นก็ไม่เห็นจะเสียหายอย่างไรแก่กระบวนการยุติธรรม ดีกว่าจะให้ประวัติศาสตร์จารึก เรื่องราวของตาบอดคลำช้าง นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ อันจะจารึกความบ้องส์ส์ส์ ไม่ถูกฝาถูกตัวของกระบวนการยุติธรรมไทยไปชั่วกาลนาน
- ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร.
11 มี.ค. 2551
เกี่ยวแล้ว อย่าให้หลุด
ฟังสุธรรม แสงประทุมแล้ว มาฟังจตุพร พรหมพันธ์ วีระมุสิกพงษ์
ครับ ! คุณจตุพรพูดถูก ถูกหลักการนักรบโดยแท้จริง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิสรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กห.ยุค ยุบพรรคไทยรักไทย ควรกล้าหาญ ในยามนี้ได้แล้วโดยไม่มีเงื่อนไข
พล.อ.ธรรมรักษ์ เป็นนักรบ หรือเปล่า อุตส่าห์ถ่อร่างไปก้มหัวให้กับหมอนั่น เปรม ติณสูลานนท์ จอมอมาตยาเฒ่า ผู้อมกล้ำกลืนแต่ความอิจฉาริษยาไว้เต็มกล้ำคนนั้น เขายังช่วยอะไรไม่ได้เลย ก็เพราะเขาเห็นว่า เป็นฝ่ายทักษิณ เท่านั้นเขาก็ฆาตโทษถึงตายแล้ว ไม่รู้หรือไง
บัดนี้ ควรออกมาได้แล้ว
เลือดนักรบไม่เหลืออยู่เลยหรืออย่างไร????????????????????????
อย่างน้อยก็เพื่อลูกหลานไทย และความเป็นธรรมในแผ่นดิน
คุณวีระ
ประกาศอีกสัก 100 ครั้ง อีกสักพันหน !!!!!!
เพื่อให้รู้ทั่วดิน ฟ้า และมหานรก
สำหรับ กกต.ชั่ว
ที่จะหลีกหลบไปไหนพ้น
จะต้องเอามาลงโทษทัณฑ์ ไม่ได้ตามวิถีโลก ก็ตามทำนองครรลองยมราชเจ้านรก
เรื่องสร้างหลักฐาน บุคคล เท็จนี้ ผมจะบอกไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วสายเลือดของตระกูล ไปชั่วนิรันดร
(ไม่ใช่ความอาฆาตแค้น จองเวร หรอกครับ แต่มีความเป็นเหตุเป็นผลตามธรรมดา เพื่อความยุติธรรมต้องดำรงมั่นไปในครรลองเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น ความเป็นธรรมไม่อาจจะสถาปนา ดำรงมั่นขึ้นไปได้)
อีกครั้งครับ วิชา มหาคุณ วิชา มหาคุณ วิชา มหาคุณ เรียงลำดับตระกูลมาเลยครับคุณ จตุพร กับคุณก่อแก้ว พิกุลทอง คอยฟังอยู่
เรียงพวก กกต. มาด้วยครับ เอาให้เรียบเกลี้ยง ก็คราวนี้
แต่ แดงเรา ต้องเข้มไปสุด ๆ ต้องสันตินะครับ มาถึงพันล้าน ร้อยล้าน สิบล้าน อย่าไปทำลายข้าวของของเขาหรือของเรา หรือของใครเลย ให้เกียรติประวัติโด่งดังไปชั่วฟ้าดินสลาย ในด้านคุณงามความดีบริสุทธิ์
ครับ ผมก็ภูมิใจด้วย ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งแห่ง วิถีทางสันติธรรม อันบริสุทธิ์ ที่จะอาจชนะได้ด้วยเรียบเกลี้ยงแห่งคุณธรรม สบาย ๆ อยู่แล้ว
สวัสดีครับ ด้วยอนุญาตของ บก.
· บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
18 พ.ย.2552
ทหารอากาศทำเสียเกียรติยศเลือดทหารหาญบรรพบุรุษไทยอีกแล้ว ปานประหนึ่งทหารหน้าตัวเมีย ภายหลังที่เจ้าทุกข์คือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เล่าสู่คนเสื้อแดงลำปางคืนวันที่ 23 พ.ย. 2552 ว่าเครื่องบินเอฟ 16 ติดอาวุธจรวดนำวิถีเต็มอัตราศึก(บรรจุเต็ม 4 ลูก) บินขึ้นประกบทันทีที่ เครื่องของดร.ทักษิณ ขึ้นบินจากกัมพูชา จนต้องเลียบหลบไปทางชายแดนเวียดนาม อินโดเนเซีย ไปดูไบ โดยเอฟ 16 ไทย คอยตีขนานด้วยท่าทีคุกคาม หากเข้าเขตแดนไทยก็คงจะโดนยิงตกทะเล เพราะเครื่องบินส่วนตัวของ ดร.ทักษิณ มีเพียงอาวุธมีดปอกกล้วยเล่มหนึ่งเท่านั้น
นี่หรือทหารอากาศไทย น่าสมเพชแท้ ๆ ทำเก่งทำเขื่อง ๆ กับเครื่องบินพลเรือนที่ไร้เขี้ยวเล็บได้เท่านั้นเอง แบบนี้จะไปรบกับใครได้ ???? ไม่มีจิตใจทหารนักสู้นักรบอยู่เลย ไม่นึกละอายใจในพฤติกรรมที่นักรบไม่อาจจะทำได้ เช่นนี้ (คือถ้าคำสั่งนั้น เป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยศ๊ลธรรมอันดี ในที่นี้คือไม่สมกับความเป็นทหาร ทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบันทหาร ก็สามารถปฏิเสธผู้บังคับบัญชาได้ นี่เป็นหลักการสากลของวิถีประชาธิปไตยอยู่แล้ว)
มีเรื่องน่าอับอายเกี่ยวกับทหารอากาศ สมัย ผบ.ทอ.คนก่อน เป็นเรื่องที่ดูเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่แท้จริงเป็นเรื่องที่สะท้อน ความหมายอันยิ่งใหญ่ ที่ทดสอบศักดิ์ศรีของความเป็นทหาร ของทหารอากาศไทย
นั่นคือ รับใช้และอยู่ในคำสั่งของ เอเอสทีวี
ขณะนั้นรัฐบาลสมัครประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ทำเนียบรัฐบาลถูกพวกสนธิ-จำลอง หรือพันธมิตร ยึด นรม.สมัคร และรัฐมนตรีไม่มีที่อยู่ ต้องวิ่งไปพึ่งทหารบก ภาพที่เห็นตราตรึงใจก็คือนายกสมัครนั่งตัวจ๋องอยู่บนเก้าอี้แวดล้อมด้วยทหารมาดเขื่อง ๆ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ราวกับว่านายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เป็นเพียงคนขอทานในความเอ็นดูของกองทัพ แล้วครั้นประกาศสถานการณ์ โดยพรบ.สถานการณ์ฉุกเฉิน ไปก็ไม่ได้รับความสนับสนุนจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ผู้ซึ่งโดยพรบ.นั้น ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเพียง 6 วันต่อมาทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ยังไม่มีการแก้ไข แต่รัฐบาลจำต้องเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ปล่อยให้โจรครองทำเนียบต่อไปจนครบ 193 วัน โดยเคลื่อนไปก่อการร้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิแทน จนถึงทุกวันนี้ยังมีคำถามว่า ทำไมทหารจึงขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ปฏิบัติงานกวาดล้างผู้ก่อการร้าย ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลเสร็จจบลง โดยเอาผู้ก่อการร้ายไปเสียจากสังคม สังคมก็คงสงบลงตั้งแต่ได้กำจัดผู้ก่อการร้ายยึดทำเนียบรัฐบาลไปตั้งแต่ครั้งคราวนั้นแล้ว ?
และส่วนของทหารอากาศ โดยผบ.ทอ.ขณะนั้น แทนที่จะฟังคำสั่งรัฐบาล กลับฟังคำสั่งเอเอสทีวี ให้ต้านตำรวจ ผู้เตรียมปฏิบัติงานตามคำสั่ง ในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลขณะนั้น
จนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยมีคำปฏิเสธจากกองทัพอากาศ หรือแม้แต่ทหารอากาศคนหนึ่งคนใด ต่อการโฆษณาของเอเอสทีวีที่เกี่ยวกับกองทัพอากาศ ว่ากองทัพอากาศเป็นพันธมิตรของเอเอสทีวีและพวกผู้ก่อการร้ายยึดทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
เสียงจาก เอเอสทีวีคืนวันที่วิกฤตที่สุดก้องไปทั่วแผ่นดิน ที่เอเอสทีวีรายงานคืนวันนั้นว่า ทหารอากาศสะกดหลังตำรวจมาช่วยพวกพันธมิตร “พี่น้องไม่ต้องตกใจกลัวตำรวจบุกเข้ามาไม่ได้อย่างแน่นอน ทางพันธมิตรของเรา ผู้บัญชาการทหารอากาศได้สั่งกองกำลังทัพอากาศสะกดรอยตามตำรวจมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างเพื่อพวกเราอยู่แล้ว ขอให้ไว้วางใจทหารอากาศว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรของเรา พี่น้องไว้วางใจได้ ตำรวจมันทำอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน”
ไม่เคยมีทหารอากาศหน้าไหนออกมาปฏิเสธ คำของเอเอสทีวีคืนนั้น ยังคงให้ความหมายว่าทหารอากาศไทยคงรับใช้พวกพันธมิตรโจรก่อการร้ายยึดทำเนียบ ยึดสนามบินนานาชาติกลุ่มนั้นโดยซื่อสัตย์มาจนถึงปัจจุบันนี้
นี่หรือ ทหารอากาศไทย ช่างไร้ค่า น่าสมเพชแท้
เพราะพฤติกรรมทั้งสองกรณีนี้ ได้สะท้อนภาคภายในที่ไร้จิตใจของนักรบ และไร้ค่าต่อแผ่นดินนี้ไปโดยสิ้นเชิง
วันนี้หรือวันใดภายหน้า หากโละทหารอากาศทั้งชุดทิ้งไปเสียเฉย ๆ จะมีคนไทยสักกี่คนที่นึกเสียดาย ?
- บานไม่รู้โรย
23 พ.ย. 2552
แด่ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ประเทศไทย
ในทางปฏิบัติที่ชาวพุทธทั่วไป ประพฤติอยู่จนกระทั่งกลายเป็นประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม (เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ที่ชาวพุทธ โดยเฉพาะชาวพุทธในประเทศไทย ถือเป็นกฎของชีวิต กฎของสังคม ของชาวบ้าน ของชาวกรุง ของคนทุกชนชั้น เพราะด้วยกฎ อโหสิกรรมนี้ ได้สร้างความสมานฉันท์ในสังคมไทย ในชาติไทย และในโลกให้สืบเนื่องมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
ในโอกาสที่ท่านสมัคร สุนทรเวช ถึงแก่อสัญกรรมลง ครั้งนี้ ขอให้ชาวไทย จงถือประเพณี อโหสิกรรมนี้โดยถ้วนหน้า
จำเป็นจะต้องย้ำก็เพราะ คนไทยยุคแตกฉานซ่านเซ็นทางการเมือง และประชาชน กำลังจะลืมข้อธรรมอันเป็นเครื่องมือสำหรับการสมานฉันท์ที่สำคัญนี้ไปเสีย โดยจะเห็นได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง ได้เคยไปห้อมล้อมยกป้ายประท้วง ในคราวที่ท่านสมัคร อดีตนายกรัฐมนตรี กับครอบครัว จำนวน 5-6 คน เดินทางไปเพื่อรักษาตัวที่ประเทศอเมริกา โดยที่เดินทางไปอย่างเป็นการส่วนตัวเงียบ ๆ ไม่ให้เป็นเรื่องลำบากแก่คนอื่นนอกญาติ แล้วไปเจอคนกลุ่มหนึ่ง ในครือเอเอสทีวี คอยประท้วงและแสดงกริยาเหยียบย่ำ รังแก โดยเข้าล้อมหน้าหลัง และกล่าวคำสาปแช่ง ด้วยผรุสวาทอย่างยิ่ง ด้วยเข้าใจผิดไปตามคำยุยงของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าท่านเป็นคนขายชาติ มีความเลวทรามในขณะเป็นรัฐบาล จนถึงกล่าวทางเอเอสทีวีว่า รัฐบาลสมัครเป็นรัฐบาลสัตว์นรก ดังปรากฏเป็นข่าวทั่วไป โดยเป็นการกระทำที่ประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรแด่ความเป็นชาวพุทธหรือชาวชนผู้นับถือศาสนา ชนผู้เจริญ หรือสังคมที่มีอารยธรรมใดใด
แม้เมื่อท่านถึงมรรกรรมไปวันนี้ เอเอสทีวีก็ยังคงวิจารณ์ด้วยความหยาบคาย ด้วยท่าทีส่อเสียด เยาะเย้ยอยู่ แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ มิได้รู้ธรรมะ มิได้รู้จัก อโหสิกรรม อันเป็นข้อธรรมชาวบ้าน ๆ (หมายถึงธรรมะที่รู้ดีกันทั่วไป ไม่มีใครที่ไม่รู้)ที่คนไทยถือเป็นจารีตประเพณีมาเนิ่นนาน โดยเป็นธรรมะที่สมานฉันท์ ให้ความแตกแยกกลายเป็นกลับคืนดี ให้แผลที่อันตรายต้องผ่าตัดสมานคืนสู่สภาพปกติ จนบ้านเมืองอยู่อย่างสมานฉันท์ มีความสุขสงบ มาบัดนี้ กลุ่มบุคคลที่ไม่รู้จักอโหสิกรรม จึงหมายถึงคนผู้สร้างความแตกแยก มุ่งหมายสร้างความแตกสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นพวกคนป่าเถื่อนที่ไม่รู้ธรรม จึงควรที่จะรู้ธรรมของชาวไทย ของชาวพุทธข้อนี้ เสียตั้งแต่บัดนี้
อโหสิกรรม เป็น 1 ในกรรม 12 ทางวิชาการให้ความหมายไว้ว่า
อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล ได้แก่กรรมดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ซึ่งไม่ได้โอกาสที่จะให้ผลภายในเวลาที่จะออกผลได้ เมื่อผ่านล่วงเวลานั้นไปแล้ว ก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป.... เป็นคำศัพท์เฉพาะในความหมายว่า “มีแต่กรรมเท่านั้น วิบากไม่มี” ดู พุทธธรรม ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ฉบับปรับปรุงและขยายความ พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ.2529 หน้า 219
เราให้อโหสิกรรมกันในโอกาสสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อ บุคคล ได้สิ้นชีพไปแล้ว เมื่อใด เราชาวพุทธก็จะถือว่า ต้องให้อโหสิกรรมแด่บุคคลนั้น และชาวพุทธไทยถือปฏิบัติมาตั้งแต่ได้รับนับถือศาสนาพุทธมาแล้ว ถ้าไม่เข้าใจ ก็ขอให้สังเกตในงานศพ วันที่จะฌาปนกิจศพ แม้โจรผู้ร้ายที่สิ้นชีพลงเขาเอามาเผา เวลาอ่านประวัติ เขาก็จะเลือกเอาแต่ส่วนประวัติที่ดีมาอ่านเท่านั้น ..นั่นคือความหมายของ อโหสิกรรม ในทางปฏิบัติของสังคมชาวพุทธไทย ที่มีมาแต่บรรพบุรุษนับร้อยพันปีมาแล้ว (เขาจะไม่เหยียบย่ำ เหมือนที่มีทีวีช่องหนึ่งทำอยู่ขณะนี้)
ในโอกาสที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ได้ถึงอสัญกรรม สิ้นชีพตักษัยไปครั้งนี้ ขอให้เราทั้งหลายมาน้อมรำลึกถึงธรรมปฏิบัติ และปฏิบัติธรรมข้อนี้โดยพร้อมเพรียงกัน นั่นคือธรรมะข้อ อโหสิกรรม จึงจะสมกับความเป็นชาวพุทธ สมกับความเป็นคนไทย สมกับความมีศาสนธรรมประจำใจ ผู้อยู่อาศัยใต้บารมีของผืนแผ่นดินไทย ใต้บารมีของพระมหากษัตริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ และใต้บารมีของพระพุทธศาสนา ในแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองผืนนี้
- บรรณาธิการ นสพ.ดี(อินเทอเนต)
25 พ.ย.2552
13. พล.อ.เปรม กับโทรทัศน์ TAN
เครือข่าย ASTV : ทีวีโฆษณาชวนเชื่อ
วันที่ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงอสัญกรรมลง ASTV ได้ออกโฆษณาทันทีว่าจะมีการสัมภาษณ์ พล.อ.เปรม เป็นกรณีพิเศษ ในวันรุ่งขึ้น (อันเป็นวันที่มีพระราชทานน้ำอาบศพท่านสมัคร สุนทรเวช) และในวันที่ 25 พ.ย.2552 เวลา 18.00 น. พล.อ.เปรม ได้ให้สัมภาษณ์นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ พิธีกร โทรทัศน์ ทีเอเอ็น เครือข่าย ASTV
เราเพียงแต่ต้องการบันทึกข้อสังเกต ไว้ว่า โทรทัศน์ TAN นี้ เพิ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง วันเปิดทีวีช่องนี้ตรงกับวันที่ 26 ส.ค.2552 (อิงวันเกิด พล.อ.เปรม) โดยเรียกช่องตัวเองว่า สุวรรณภูมิ (เอาชื่อสนามบินนานาชาติที่ตนไปก่อการร้ายมาตั้งเสียด้วย นี่คือชั้นเชิงการโฆษณาชวนเชื่อ ตามหลักฝรั่งว่า The Sun Also Rises : พระอาทิตย์ก็พลอยส่องแสงกับเขาด้วย) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณที่ไม่เปิดเผยของรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้การสนับสนุนทุนการจัดตั้งเครือข่ายนี้ขึ้นตามคำขอของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นัยว่าเป็นการตอบแทนที่ ASTV ของนายสนธิ ช่วยให้ได้เป็นรัฐบาล
ข้อสังเกตประการต่อไปก็คือ ทำไม คุณเปรม จึงมาออกโทรทัศน์ วันนี้ ในเมื่อหลบซ่อนตัวมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว หลังสุดก็เห็นเปิดโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ กลางเดือน เม.ย. 2552 )
เนื่องจาก TAN นี้เป็นเครือข่ายภาคภาษาอังกฤษ ของ ASTV ในสถานการณ์ที่มีการต่อสู้ทางสื่อรุนแรงขึ้น (เป็นเพียงระดับสงครามสื่อตามปกติ มิได้ถึงระดับสงครามจิตวิทยา หรือ Psychological Warfare ตามที่อีกฝ่ายมอง ที่มุ่งหมายทำลายกันให้สิ้นซาก)โดยฝ่ายทักษิณ ชินวัตร เปิดเกมรุกด้านสงครามสื่อที่น่าสะพึงกลัวด้วยการเปิดทีวี 100 ช่องขึ้นมา และฝ่ายเสื้อแดง มีทีวี ความจริงวันนี้(ตามแนวคิดของท่านสมัคร สุนทรเวช) และเครือข่ายไปทั่วโลก ที่จะเปิดเผยความจริงยิ่ง ๆ ขึ้นไป รวมทั้งความจริงเกี่ยวกับคุณเปรมเอง ที่เปิดเผยความลับเบื้องหลังที่คนไทยคาดไม่ถึงว่าคนอย่างคุณเปรม(ซึ่งเป็นถึงประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกทหารบกกองทัพไทย อดีตนายกรัฐมนตรี) จะอาจทำได้ เป็นได้ เช่นความเป็นเพชรฆาตหน้าตายที่โหดร้ายและความลามกอนาจารวิปริตผิดวิสัยมนุษย์(จนได้ชื่อว่า ขันทีเฒ่า หรือที่น่าอัปยศอดสูใจไปกว่าคือ ตุ๊ดเฒ่า ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากนายทหารผู้ใกล้ชิดไปแล้ว เช่นพล.อ.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาไทย และพ.อ.อภิวัน วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนฯ เป็นต้น ) แต่เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนว่าไม่ทำให้คุณเปรมสะดุ้ง เพราะเขามีวิสัยเผด็จการแบบดั้งเดิมเป็นสำนึกเบื้องลึกว่าเป็นเรื่องไทย ๆ ที่คุณเปรมมีความรู้สึกที่เหนือกว่า(มีปมเด่น) ที่เหยียดหยามเหยียบย่ำคนไทย ดูถูกคนไทยอย่างสุด ๆ จึงมองเมินความหมายของประชาชน ในความหมายของอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยไทยยุคใหม่ไปเสีย จนเลินเล่อคิดการอย่างประมาทในการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ที่ล้มล้างรัฐบาลของประชาชน อันแท้จริงเป็นความหมายของโจรผู้ปล้นชาติปล้นประชาชน นั่นเอง และนี่คือการยืนยันอย่างเปิดเผยแน่นแฟ้นอีกครั้งหนึ่งว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้บงการใหญ่ มีส่วนในการรัฐประหาร 19 ก.ย.2552 เขาคือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ที่ทักษิณ ชินว้ตร รายงานประชาชน ตั้งแต่เป็นรัฐบาลของประชาชนอยู่ และเป็นผู้ออกวาทะ....รัฐบาล....แค่จ๊อกกี้ ม้ามีเจ้าของคอก จ๊อกกี้ ต้องรู้ตัวว่าคอกไหน…
การที่เจตนาสื่อสารไปต่างประเทศ โดยเห็นได้ว่าคงต้องการสื่อไปถึงมุสลิมโลกด้วย เพราะใช้ภาษาอังกฤษถาม-ตอบกัน ซึ่งคุณเปรม คงได้เฝ้ามองโทรทัศน์ TAN นี้มาระยะหนึ่งแล้วคงเห็นว่าใช้ได้สำหรับแนวการโฆษณาชวนเชื่อต่อชาวโลก โดยมองด้วยสายตาเดียวกัน แว่นสีเดียวกันกับเครือข่ายนี้ที่ว่า TAN นี้อาจจะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการซักฟอกตนเอง และของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวกที่ต้องหากบฏ ฐานเข้ายึดทำเนียบ และสนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ นั่นเอง (และโดยจิตวิทยาคือความที่กลัดด้วยใจคิดอิจฉาริษยา) คุณเปรมคงมองเห็นว่านายสนธิ ยังคงทำงานชั่วร้ายทำนองนี้ได้ดี ก็ปรากฏตัวออกมาสนับสนุน (อาจจะโดยไม่สมัครใจก็ได้ เพราะ อาจจะโดนยุทธศาสตร์ แบล๊กเมล์ ของสนธิ ลิ้มทองกุลเข้าให้ก็ได้)
แต่สิ่งที่คาดคะเนได้จากการที่พยายามจะสื่อเรื่องโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ โดยต้องการกลบเกลื่อนสิ่งที่ตนได้หลุดถ้อยคำที่เปิดเผยแผนการอันส่อถึงความมีเจตนาร้ายต่อศาสนาสากล ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ไปพูดเกลี้ยกล่อมให้เยาวชนมุสลิมไทยไต้ ที่เอามาเข้าค่ายอบรม ให้นับถือพระเจ้าองค์อื่น ให้ทรยศต่อพระเจ้าองค์เดิมคือพระองค์อัลเลาะห์ จนเป็นเหตุให้สามจังหวัดภาคใต้คุร้อนขึ้นมาอีกในระยะหลังมาจนถึงขณะนี้) อันเป็นการก่อภัยร้ายให้แด่ตนเอง แก่ประเทศชาติ และแก่ศาสนา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
การปรากฏความเกลียดชังจากแนวร่วมศรัทธาของศาสนิกชนคนต่างศาสนาขึ้นอย่างเงียบเชียบลึกซึ้ง เหมือนคลื่นใต้น้ำ คงจะมาสู่กระแสจิตใต้สำนึกของพล.อ.เปรม และพลเปรมคงมาสำนึกได้ว่าตนได้ทำอะไรไปในภายหลัง
จึงคิดอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อของเครือข่ายพวกตนเองคือ TAN แห่ง ASTV นี้ ซักฟอก ฟอก ชำระความผิดของตนเองเสีย
แต่นั่นกลับจะเป็นการดูแคลนศาสนิกชนอื่นเขาอย่างร้ายแรงไปเสียอีก ท่านไม่เข้าใจสัจธรรมว่า คำพูดที่หลุดออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ คำพูดโกหกอยู่ได้ไม่นาน คำพูดจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย จะคิดไปอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเอาตัวรอดนั้น เป็นการคิดผิด ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องละลาย มิต่างจากน้ำแข็งที่ถูกกระแสแรงของดวงอาทิตย์
และที่สำคัญที่เป็นประเด็นของพล.เปรมวันนี้ก็คือ ที่ไปคะเนว่าลมปากจะลบล้างสัจธรรม ไม่เข้าใจไปถึงสำนึกจิตวิญญาณของนักรบอิสลามว่าพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร นอกจากเพื่อพระเจ้าของพวกเขา ที่บุคคลใดไม่อาจจะลบหลู่ได้ (คุณเปรมจึงแทนที่จะทำตัวให้หายไปเสียจากโลก และยุติบทบาทของตนลงไปโดยสิ้นเชิง ตามที่เราเคยแนะนำเอาไว้)
กลับไปเพิ่มท่าทีที่ดูแคลนเขาเข้าไปหนักกว่านี้อีกเช่นนี้
ก็มีแต่จะเพิ่มปัญหา ทั้งส่วนรวมและส่วนตัวยิ่งขึ้นไป
มาบัดนี้คุณเปรมดูท่าว่ายากที่จะรอดเสียแล้ว
14. รู้ทันเอเอสทีวี : ทีวีด่า
อดิศร เพียงเกษ เล่าว่า แวบเข้าไปฟังเอเอสทีวี เห็นการชุมนุมที่เพชรบุรีของเสื้อเหลือง มากันเป็นหย่อมใหญ่ พบพิภพ ธงชัยว่าเอาแต่ด่าทักษิณ ด่าเอาคนเดียว อดิศรขอให้พูดเรื่องอื่นบ้าง อย่าเอาแต่ด่า ตั้งพรรคการเมืองแล้วก็พูดเรื่องนโยบายบ้าง ....
ผมเข้าใจท่านนะครับคุณอดิศร ผมจะเล่าบ้าง อย่าโกรธผมนะครับ เวลาดูเอเอสทีวี นี่ต้องทันมันนะครับ มันตั้งแกล้งยั่วยุให้คนโกรธ ให้คนเจ็บใจ ให้ระคาย ๆ เคือง และหัวฟัดหัวเหวี่ยง โดยโกหก เยาะเย้ย ถากถาง เพื่อให้เจ็บใจ ไปจนถึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง อย่างว่า มันมีศิลปทางทำชั่วเช่นนี้ ที่พัฒนามาเร็วมาก เพราะมันสอนกัน แต่คนดีเราเรียกว่า วจีทุจริต ตามหลักธรรมพุทธศาสนาเรานั่นแหละครับ แต่พวกนี้เป็นอธรรม โดยมองว่าเป็นวิชาการชนิดทันสมัยของโลก จึงไม่ละอาย จึงมีแต่วจีทุจริต ถ้ามันทำให้คนมีอารมณ์ตามมันได้อย่างนี้ก็สมเจตนาเอเอสทีวี
ที่นายกษิตพูดเรื่องตามจับทักษิณ บ่อย ๆ ก็เพื่ออย่างเดียวคือยั่วยุให้โกรธ ให้เจ็บใจ.... เท่านั้นเองครับ
เหมือนกันกับลีลาการพูดของพรรคประชาธิปัตย์ทุก ๆ คน เลย เช่นนายสุเทพพูดตอบโต้จตุพร จะมีเชิงการยุให้โกรธ ให้เจ็บใจ หรือบางทีแกล้งพูดผิด ๆ ไป ทำท่าไม่แคร์ ก็เหมือนกัน ยั่วยุให้โกรธในแบบเอเอสทีวีนี่เอง (ผมไม่ทราบว่าพวกผู้พิพากษาเคยฟังเอเอสทีวีหรือเปล่า ตามทัน รู้ทันพวกนี้หรือเปล่า? ถ้าผู้พิพากษาตามไม่ทันกลโกงของคนแล้ว ผู้พิพากษาจะตัดสินคดีได้โดยชอบ
ธรรมได้อย่างไร ?)
ยิ่งนายอภิสิทธิ์ นี่ ยิ่งพราวเลย แม้ท่าทางก็หมายให้คนเจ็บใจ ให้คนอิจฉา (คิดอะไรหวังผลเพียงสั้น ๆ )
ถ้าเราไม่โกรธ นิ่งฟังมันด่าเราได้ มันก็แพ้
และเราเอาจริงกับ เรื่องหมิ่นประมาท ฟ้องมันเลย ... ทุกเรื่องที่ออกจากปากมัน ..... มันก็จบ
จริง ๆ นะครับ เราใจเย็นได้ แล้วค่อยอธิบายเหตุผลให้พวกนี้ฟัง อย่างใจเย็น ๆ ให้เหยื่อของพวกนี้ ฟัง คือพวกที่แอบอ้างว่าตนเป็นเสื้อเหลืองนี้ ได้ถูกกระทำ โดยผ่านกระบวนการขั้นตอนล้างสมอง มาตามลำดับ จนถึงการล้างสมองครั้งใหญ่คือ 193 วันปฏิบัติการยึดทำเนียบ นั่นเอง จนถูกจูงจมูกไปไหนก็ได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้เหลือน้อยแล้ว เพราะพวกที่ถูกล้างสมองนี้ กำลังกลับคืนมาเป็นตัวของตัวเอง โดยเริ่มสังเกตว่าทำไมนายสนธิ กับพวกเอเอสทีวี จึงไม่มีอะไรเลย นอกจากด่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ หรืออย่างน้อยก็จะสังเกตได้ว่า ลงท้ายก็ด่า.................โดยไม่สมเหตุผล
ก็จะฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าเอเอสทีวีนี้ไร้ค่าจริง ๆ (ขนาดการรายงานข่าว ก็ต้องรายงานแบบการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งทีวีแดง พีเพิ่ลชาแนล ยังตามมันไม่ทันหรอก คือมันจะสอนให้หาข่าวแบบไหน ถ่ายภาพอย่างไร และรายงานบิดข่าวอย่างไร ... เรื่องดี ๆ นี่แหละ มันบิดไปนิด ๆ กลายเป็นร้ายไปได้ ...หมายถึงคนฟังเชื่อมันได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องไม่เป็นความจริง หรือไม่สมเหตุผล นี่คือเทกนิกการรายงานข่าวแบบโฆษณาชวนเชื่อ ....ที่เอเอสทีวีทำให้เห็นอยู่ขณะนี้ ......ในส่วนเหยื่อที่ว่า ก็ค่อยคืนกลับมา และหากยังหลงเหลืออยู่...ก็คงกลับมาจนหมด เพราะ ไม่นานเหยื่อเหล่านี้จะได้พบว่าตนได้เคยตกเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อของพวกนี้ไประยะหนึ่ง นานพอที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายไปอย่างยิ่งใหญ่มหาศาล แล้วพวกเขาก็จะเสียใจ และไหลมาสู่พลเสื้อแดง ที่พูดแต่ความจริง (เพราะมีความจริงมากมายที่ต้องพูด เพื่อแก้ความเท็จที่เอเอสทีวีพูดเอาไว้)
และ ก็จะคิดกลับใจ หนีไปเสียจากพวกชั่วนี้ได้ นั่นหมายถึงหลุดไปจากสมองดำ มาเป็นสมองขาวตามปกติ ของสัมปชัญญะอันดีได้
นั่นคือ อวสาน ของเอเอสทีวี ทีวีด่า ทีวีที่โฆษณาชวนเชื่อ อวสานเพราะไม่มีคนดู .......... เพราะไม่มีใครชอบเสียงด่า..........
- ผู้แสดงความคิดเห็น แดง ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2009-11-30 19:46:17
15. ทบทวนต้อนรับประเทศไทยปีใหม่
พุทธศักราช 2550
เราได้รัฐบาลใหม่ โดยการปฏิรูปการปกครอง ของคณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) และมีรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่กำหนดให้มีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)ทำหน้าที่ตามความหมายของชื่อตนเอง
บัดนี้ผ่านเวลาการปกครองแผ่นดินใหม่มาแล้วถึง 3 เดือน อะไรก็ยังไม่ดีขึ้น และดูเหมือนได้หลงประเด็นมาตลอด เช่นหลงว่าตนเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ในเมื่อแท้จริงเพียงรัฐบาลรักษาการณ์ระยะสั้น ๆ อีกหน่อยประชาชนเขาจะทวงเอาคืน หลงหน้าที่ของตน หน้าที่คือเตรียมการเลือกตั้งเท่านั้น อะไรที่เราเห็นว่าไม่สุจริต ไม่ยุติธรรมจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ๆ มา ก็วิเคราะห์วิจัยแก้ไข จัดเตรียมเสียให้พร้อมไว้ ให้เกิดระบบที่ยุติธรรมขึ้นมา และให้สมบูรณ์จนไม่มีข้อกล่าวหาทีหลังว่า การเลือกตั้งไม่สุจริต นี่เป็นงานเล็กน้อยอยู่หรือ?
และเมื่อมีการระเบิดส่งปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2550 ใหม่ ๆ นี้ ก็หลงประเด็นไปอีก เราเกรงว่าจะเตลิดไปอีกจึงขอเตือนหน่อยว่ารัฐบาลและคมช.กำลังจะหลงประเด็นไปไกล ไปลึกอีกครั้ง
นั่นคือ ทั้งนายกรัฐมนตรีพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ และประธานคมช.พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ออกมาอุทธรว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า ใช้ตรรกวิทยาคะเนเอาว่าเพราะกลุ่มอำนาจเก่ามีจุดหมายสำคัญเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลและ คมช.
ท่านไม่ได้มองความจริงว่า บัดนี้ท่านได้รับการดิสเครดิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับแต่วันแรกที่ปฏิรูป แล้วอะไรก็ไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิมเลย สถานการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ดีขึ้น และแล้วก็มีเหตุเผาโรงเรียนในกรุงและต่างจังหวัด ไกลถึงศรีสะเกษก็มีเผาถึง 2 แห่ง และแล้วก็มีระเบิดกลางกรุงทำลายความสุขของประชาชนไทยทั้งชาติผู้บริสุทธิ์ ในวันที่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศหวังจักได้รางวัลความสุขปีใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วมิหนำ ประธานคมช.ไม่ระแวง ไม่ตระหนักในหน้าที่ของตนเพราะละเลยไม่ระวังไม่ตระหนักในหน้าที่ เดินทางไปต่างประเทศเสียอีก และไม่มีใครทราบว่าท่านไปประเทศซาอุดีอาระเบียด้วยกิจอันใด
นี่ก็เป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีและคมช.ได้รับการดิสเครดิตไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ตัวหรือ?
การกู้เกียรติยศท่านกลับคืนมา มิใช่ออกข้อแก้ตัว และเพียงกล่าวหากลุ่มนั้นกลุ่มนี้ โดยไม่มีหลักฐาน
แต่ต้องเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ นี่ต่างหากคือประเด็น
ท่านเอาตัวผู้เผาโรงเรียนมาได้ เอาตัวผู้วางระเบิดมาได้ ทำคดีสมชายให้จบ ทำสามจังหวัดภาคใต้นำพี่น้องมุสลิมให้กลับคืนสู่ความรื่นรมย์ นั่นเป็นทางกู้เครดิตของท่าน
หากไม่เช่นนี้ ผลก็คือ เป็นความผิดหรือบกพร่องในหน้าที่ของ รัฐบาลและคมช. ฐานทำลายนโยบายสมานฉันท์ของชาติที่เขาตั้งไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อนให้ย่อยยับไป และนำไปสู่ความยุ่งยากที่ไม่มีวันจบ
ได้โปรดสงสารประเทศไทยบ้างเถิด!!!!
- ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร.
1 มกราคม 2550
16. ทบทวน : ถาม วิเคราะห์หนังสือพิมพ์สักหน่อยซิ ทำไมจึงมีแต่ข่าวปั่นหัวคนอยู่ทุกวัน ๆ
ตอบ ก็เนื่องจากปัญหา ทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนกันนี้แหละ หนังสือพิมพ์เขาก็ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนกัน เขาเอาข่าวมาขาย ข่าวที่จะขายได้ดีก็ต้องเป็นข่าวร้าย ๆ ที่มัน ต้องกระเทือนเลื่อนลั่นไปในวงการต่าง ๆ นี่คือหลักการขายของหนังสือพิมพ์และวงการนี้ เขาก็มีการศึกษาหาข้อสรุปไว้หมดแล้ว ว่าข่าวที่จะขายได้ต้องมีลักษณะอย่างไร ๆ บ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข่าวร้าย ๆ ข่าวที่มีแรงสั่นสะเทือน ข่าวเลือดข่าวเหล็ก ถ้าเอาข่าวดี ๆมาขายก็ขายไม่ออกเพราะธรรมชาติมนุษย์เป็นธรรมชาติที่กลัวอันตราย จึงระวังแต่เรื่องร้าย ๆ ชอบอ่านข่าวร้าย ๆ หนังสือพิมพ์ก็เหมือนพ่อค้าแม่ค้ารู้จักจัดหาของที่ถูกความต้องการของตลาดนั่นเอง
แต่ของที่หนังสือพิมพ์จะขายได้เป็นหลักธรรมดาของอาชีพนี้ ก็ต้องเป็นข่าวหรือเรื่องร้าย ๆ เคยมีคนพูดยกย่องว่าหนังสือพิมพ์เป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพที่มีเกียรติกว่าอาชีพอื่น จนเรียกว่าเป็น เอสเตทที่ 4 ในอังกฤษ ในไทยก็พลอยได้รับยกย่องตามเขาไปด้วยว่าเป็น ฐานันดรที่ 4 นั่นแหละ แต่จริงแล้วทุก ๆ อาชีพที่สุจริตล้วนมีเกียรติ์เสมอเหมือนกันหมด แท้จริงอาชีพเกษตรกรรมก็มีเกียรติ์สูงสุดมาก เพราะอาชีพชนิดนี้เป็นธรรมชาติที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ และเอื้อต่อธรรมะในพระพุทธศาสนามาก
ขณะนี้ทุกอาชีพต่างก็เดือดร้อนขึ้น เพราะปัญหาในกรอบใหญ่ทางเศรษฐกิจโลก หนังสือพิมพ์ดูจะเริ่มเขวออกไปนอกคุณธรรมมากขึ้นเหมือนกัน และเราก็ตามไม่ค่อยทันเขาต้องคอยระวังตัวแจว่าในบทความ หรือข้อเขียนข้อวิจารณ์ของเขา จะมียาพิษแฝงอยู่หรือไม่เนื่องจากเท็คโนโลยี่ คือความรู้ความสามารถของคนทำหนังสือพิมพ์ก็ก้าวหน้าสูงตามไปด้วย ลักษณะการใช้เทคนิกในการทำข่าวขายก็ก้าวหน้าไปอีกหลายขั้น ที่เห็นชัดเจน และที่ควรรู้ก็คือ กลายเป็นอุตสาหกรรมข่าวขึ้นมา และตรงนี้แหละที่ก่อให้เกิด ปัญหาขึ้นมามาก ๆ อยู่ในขณะนี้ เพราะหนังสือพิมพ์พยายามแปรข่าว ไปเป็นสินค้าอุสาหกรรมไปหลายรูปแบบเหลือเกิน
บางทีข่าวเพียงชิ้นเล็ก ๆ แทบไม่มีความหมายหรือมีความหมายน้อย หนังสือพิมพ์ก็สามารถเอาไปแปรเป็นอุตสาหกรรมชิ้นใหญ่ ออกมา ขายได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสามารถเอาข่าวไปขยายความหรือวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบขึ้น และรูปแบบที่ทำไปก็ต้องให้เป็นเรื่องร้าย ๆ ต้องให้เกิดพลัง กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้อ่านให้ได้นั่นเอง เมื่อเป็นกระแสขึ้นเขาก็ยิ่ง ขายได้เยอะขึ้น นี่แหละเป็นวิธีที่พวกหนังสือพิมพ์เขาทำมาหากินของเขา ไม่ได้ตั้งอยู่บน หลักการอะไรพิเศษมาก อย่างที่เรายกย่องให้เกียรติ์ นี่ก็ว่าไปตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนี้และเนื่องจากมีเป้าหมายเพื่อหาเงิน โดยไม่คำนึงถึงผลที่ไปกระทบส่วนรวมอย่างใด
จึงเห็นได้ชัดเจนว่า หนังสือพิมพ์ได้กลายเป็นตัวปัญหาที่สร้างความปั่นป่วนให้สังคมได้ ไม่น้อยไปกว่าอาชีพอื่นที่ใช้ปาก หรือปากกาเป็นอาวุธเลย เมื่อเขาเอาข่าวไปแปรรูปจนเกินไปโดยย้อมสีเข้าไป ขยายเรื่องให้น่าตื่นเต้น ให้คนวิตก เกิดความไม่แน่ใจ ไม่ไว้วางใจใน สถานการณ์ แล้วคนก็จะได้ติดตามอ่านข่าว ตามซื้อสินค้าของเขา ๆ ขนาดเรื่องราวที่มีความอ่อนไหวมาก ๆ หนังสือพิมพ์ก็มิได้มีความระมัดระวังมิได้ยับยั้ง ทุกวันนี้เขาสามารถทำตามใจได้ทุกอย่างโดยมีข้ออ้างชัดมากคือ สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ จึงทำให้เขา สามารถทำออกมาในหน้าหนังสือพิมพ์พวกเขาได้ อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสามารถ หรือมีสิทธิที่จะทำได้ขนาดนั้น ฉะนั้น โดยวิธีนี้เขาก็สามารถทำรายได้ไปเลี้ยงครอบครัวเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย หรือ เลี้ยงตัวเองต่อไปเป็นวงจรอาชีพของเขา
นี่ก็คือหลักของ หนังสือพิมพ์ทุกวันนี้
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ วิธีทำมาหากิน วิธีทำอุตสาหกรรมข่าวใน แบบที่มุ่งแปรรูปข่าวให้ขายได้อย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิธีการอันเป็นธรรม หรือที่ถูกธรรมของหนังสือพิมพ์นั้น กำลังจะทำลายอาชีพหนังสือพิมพ์ไทยเอง น่าวิตกว่าต่อไปอาจถูกแย่งอาชีพไปเสีย จะกลายเป็นกลุ่มที่เดินขบวนไปปักหลักที่หน้าทำเนียบ แทนสมัชชาคนจนไปเพราะที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลต่อระบบประสาทของผู้อ่านมากขึ้น อ่านแล้วก็ปวดหัว ไปตาม ๆ กัน เพราะวิธีการเสนอข่าว วิธีการแปรรูปข่าว ไปเป็นอุตสาหกรรมข่าวใน หนังสื่อพิมพ์ทั้งฉบับนั้น ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างภาพของความขัดแย้งใน วงการเมือง สังคม และเศรษฐกิจของชาติ ให้ประจักษ์ในสายตาประชามหาชน ด้วย เทคนิคที่กลมกลืนระหว่างข้อเท็จจริง ( FACT ) อันเล็กน้อย กับความโกหกหลอกลวงเป็นอันมาก ทำให้คนอ่านตื่นและพลอยกังวลกับสถานการณ์ที่พวกเขาวาดขึ้นอย่างมีศิลป์นั้น พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าชาติ สังคม ชีวิตของประชาชนทั่วไป กำลังอยู่ระหว่างภัยอันตรายอันยิ่งใหญ่ นี่คือ วิธีการ หรือความพยายามที่จะขายสินค้า ของพวกเขาโดยไม่ชอบธรรม และแม้จะเกินความเป็นจริงไปมาก ๆ คนก็มิทันได้สังเกต
นอกจากวิธีการนี้ก็คือ การทำข่าวทำบทวิจารณ์ ทำข้อความคำพูดให้มันสะใจคนทุกรูป แบบ โดยไม่คำนึงว่าจะไปก่อความละเมิดสิทธิคนอื่นใดหรือไม่ บางกรณี การกล้าละเมิด สิทธิคนบางคน กลับเป็นวิธีที่ทำให้ขายได้ดีอีกวิธีหนึ่งด้วยซ้ำ นั่นแหละเขารู้กาละเทศดี ว่าจะใช้ศาสตร์และศิลป์ในทางฉลาดแกมโกงนี้ได้เมื่อไร และอย่างไร เพื่อสร้างภาพความกล้าหาญของตนไปอย่างสุด ๆ ใช้ถ้อยคำมันสะใจอย่างยิ่ง คนก็ตื่นและสะใจ ก็ซื้อไปอ่านเพื่อสนองตัณหาตัวเอง แต่แล้ววันหนึ่งคนอ่านก็เริ่มจะปวดขมอง เพราะความสับสน ในเนื้อหา สับสนระหว่างพาดหัวข่าวกับเนื้อข่าว สับสนระหว่างรายงานข่าวกับความคิด เห็น ที่พวกเขาวาดระบายสีไปในเนื้อข่าวนั้น เพราะในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันนั้น แม้ ในปัญหาเดียวกัน นักวิจารณ์ก็มองไปคนละทิศละทาง แต่นั่นแหละเป็นวิธีการหากินของพวกเขาอีกวิธีหนึ่งละ
คือการจะเสนอบทความที่ขัดแย้งกันอย่างมากจนเป็นธรรมดา เพื่อ ขายให้ลูกค้าของตน ๆ ไปนั้น ก็เป็นเท็คนิกทางการขายอย่างหนึ่งของพวกเขาด้วยเหตุที่หนังสือพิมพ์ไทยแข่งขันกัน โดยไม่คำนึงความชอบธรรมเช่นนี้แล้ว วันหนึ่ง คุณก็จะได้พบว่าเมื่อคุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับ คุณจะรู้สึกว่าคุณสุขภาพจิตดีขึ้นเยอะเลย ผมเองได้พบกับตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
จนกระทั้งผมได้พบหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของโลกฉบับหนึ่ง เขาเบนเข็มมาทำภาษาไทยออกจำหน่ายและมีระบบการจัดการขายอย่างเหนือชั้นมาก ที่สำคัญคืออ่านแล้วปลอดโปรงไม่ปวดหัว และได้รู้สึกขึ้นมาอย่างจริงจังว่า เขาเสนอข่าวสารที่ตรงไปตรงมา เชื่อถือได้ การวิพากษ์วิจารณ์ของ เขามีเหตุผลและใช้เหตุและผล และเขาได้แสดงออกว่า ต้องใช้ความพยายามอย่างมากใน การที่จะหาเอาเหตุและผลมาสนันสนุนแนวทางวิจารณ์ หรือข้อเสนอแนะของเขาให้ได้ ให้เพียงพอ
นี่เองทำให้ผมรู้สึกว่าเขาได้ใช้หลักวิชาการหนังสือพิมพ์ ที่ถูกต้องและด้วยหลักวิชาการที่ถูกต้องนั้น เขาจึงใช้เป็นฐานการวิเคราะห์ตลาด และเขาก็คงพบอย่างที่ผมพบนี้ คือพบว่าหนังสือพิมพ์ไทยกำลังทำไปอย่างไม่ถูกหลักการหนังสือพิมพ์ที่ดี คนอ่านจะต้องปวดหัวและเบื่อหน่ายในวันหนึ่งเพราะผลที่คนอ่านจะประสบไปตาม ๆ กันคืออ่านแล้ว รบกวนประสาททำให้ปวดหัว เสียสุขภาพจิตไปทุกวัน ๆ ชีวิตก็ไม่เป็นสุข เพราะ หนังสือพิมพ์ คอยแต่สร้างภาพหลอนให้ตลอดเวลา เขาก็มองเห็นลู่ทางที่จะมาทำหนังสือไทยให้ดีกว่าคนไทยทำอยู่ และเริ่มทำขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้เอง
หนังสือพิมพ์ยักษ์ฉบับภาษาไทยรายคาบที่ต่างชาติทำขึ้นนี้แหละ ทำให้ผมเกิดความรู้สึกขึ้นมาจริง ๆว่าสักวันหนึ่งคนหนังสือพิมพ์ไทยที่ทำอยู่ทุกวันนี้จะตกงาน จะเสียงานให้แก่คนต่างชาติไปอีกรายการหนึ่ง และอาจเป็นไปได้ที่วันหนึ่ง คนกลุ่มนี้จะต้องมาปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องสิทธิที่จะให้รัฐบาลช่วยเหลือในด้านการงานอาชีพต่อไปแทนสมัชชาคนจนอีสาน ไม่มีอะไรจะวิเคราะห์ให้ได้ถูกตรงไปกว่านี้ เมื่อมองหนังสือพิมพ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้เมืองไทย จึงเป็น เมืองที่เริ่มจะตกไปสู่หายนะอันเลวร้ายลงไปทุกขณะ เพราะอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ หากไม่สามารถทำให้คนพูดหรือคนเขียนให้ถูกธรรมะ รู้จักการประมาณ รู้ระวังงานของตน มี ความรับผิดชอบต่อสังคมต่อประเทศชาติขึ้นมาได้แล้ว ย่อมไม่มีอะไรดีขึ้น
ทำไมเราไม่คิดแก้ปัญหาหนังสือพิมพ์กันให้จริงจังกว่านี้บ้าง เขามิใช่อภิสิทธิชน เพราะระบอบประชาธิปไตย ไม่อนุญาตให้ผู้ใด กลุ่มใดมีอภิสิทธิมิใช่หรือ แต่เราก็ได้เห็นอยู่โดยปกติว่าคนหนังสือพิมพ์เป็นอภิสิทธิชน เช่นเขาสามารถใช่ถ้อยคำที่หยาบคายได้อย่างผิดปกติ คำด่าว่าต่างๆลงท้ายด้วย วะ โว้ย มึง กู อะไรเหล่านี้ ไม่ทราบว่าเขาได้อภิสิทธิมาจากไหนแม้นักการเมืองเขาหยาบคาย แต่เขาก็มีอภิสิทธิตามรัฐธรรมนูญอยู่ ทำไมเราไม่ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบหนังสือพิมพ์ และคอยตอบคำถามและคำชี้แจง ให้ความรู้แด่หนังสือพิมพ์อย่างถูกต้อง คนของรัฐที่ตามทัน ตามความรู้ความสามารถทันเท็คนิกของทุกอาชีพในประเทศนี้ จะต้องมี และจะต้องมาทำหน้าที่ดูแลทุกอาชีพ แม้หนังสือพิมพ์ก็ต้องไม่ละเว้น เขาควรได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้รู้เท่าทันทางสติปัญญาอันสูงสุด
ทำไมเราจึงไม่ให้นามปากกาเปิดเผยตัวจริงออกมาให้ สังคมรู้จักบ้างเพียงให้เขาออกมาสู่แสงสว่างให้สาธารนชนเห็นใบหน้า เห็นตัวเขาบ้าง เท่านั้นเอง เขาก็คงจะอ่อน สุภาพขึ้น เพราะแสงสว่าง การเปิดหน้ากาก จะทำให้เขาดีขึ้น ทำไมรายการโทรทัศน์ชั้นนำ ๆ ไม่ให้ความสนใจพวกเขาที่อยู่ในเงามืดบ้าง เอาใจเขาบ้างสิ เพราะพวกเขาก็มีหัวใจ เอาเขามาออกรายการ ให้คนชมได้ถามเขาว่า คุณมีเป้าหมายทางการเมืองหรือไม่ในชีวิตคุณ เป้าหมายของคุณในการเขียนคอลัมน์คืออะไรแน่ ถามเรื่องฐานะส่วนตัวของเขาบ้าง ถามเรื่องลูกเมียครอบครัวของเขาบ้าง ถามเรื่องงานอดิเรกของ พวกเขาบ้าง และถามเรื่องอายุอานามของเขากับถามเรื่องเด็ก ๆ ของเขา และขอร้องให้เขาเล่าชีวประวัติของเขาเมื่อเด็ก ๆ ให้ฟัง ให้เขาร้องเพลงให้ฟัง และให้เขาอ่านบทกวีให้ฟังบ้าง ถ้าเป็นรายการเด็ก ๆ ก็เอาตัวเขาไปพูดคุยออกรายการเด็ก ให้เขาแนะนำตัว และแนะว่าเด็กควรประพฤติอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่าเด็กดี เป็นต้น
และเมื่อหนังสือพิมพ์ถูกพิพากษาให้แพ้คดี ทำไมไม่ให้พวกเขาขอโทษขออภัย
ในหน้าหนึ่งเลย และให้ตัวใหญ่ ๆ ทำไมเราไม่แก้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพกว่านี้ ข้อเสนอวิธีแก้ง่าย ๆ แค่นี้เอง หนังสือพิมพ์เราก็คงจะไม่ต้องตกงานให้แก่ต่างชาติ
- จาก ดี เล่มที่ 4/มิ.ย.2540
คำตอบนี้รวมถึงปัญหาโทรทัศน์ขณะนี้ด้วย เอเอสทีวี ก็ตรงที่สุดตามนี้
บก./11 ธ.ค.2552
17. กระบวนการยุติธรรมไทย+ รัฐบาลโจร+ 40สว.+ พันธมิตร กลุ่มคนตาบอดคลำช้าง
สส.ฝ่ายค้านช่วยสกัดโครงการอภิมหาโกงโกงบ่น้ำด่วนด้วย
กระทู้ ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นชาวพุทธขออธิบายพระพุทธพจน์เปรียบเทียบกับสถานการณ์บ้านเมืองในยุคปัจจุบัน
เรื่อง "ตาบอดคลำช้าง" ดังนี้
1. กรณีปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2552
2. คมช. แต่งตั้งองค์กรอิสระโดยไม่ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง
3. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคและตัดสิทธิ์นักการเมืองถึง 4 พรรค
4. รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดตั้งรัฐบาลมาบริหา รประเทศ
5. ปปช. คตส. กกต. หน่วยงานเถื่อนที่มีอำนาจล้นฟ้าใครแตะต้องไม่ได้
6. แกนนำพันธมิตรพาพวกยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินนาชาติ สถานที่ราชการ ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ประชาชน โดยไม่มีความผิด และล่าสุดแสดงความเป็นอันธพาลรุกรานคนศรีสะเกษและประเทศเพื่อนบ้าน
สถานการณ์บ้านเมืองในประเทศไทยเริ่มยุ่งเหยิงสับสนวุ่นวาย นับตั้งแต่องค์กรเหล่านี้ได้ก่อตั้งขึ้น และแผ่รังสีความไม่มีธรรม ไม่เป็นธรรม ไปครอบงำการปฏิบัติงานของข้าราชการทุกภาคส่วน กลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนมีทัศนคติ ความเชื่อที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ยึดติดในความเชื่อ ความคิดของตนเองว่าถูกต้องชอบธรรมอย่างเหนียวแน่นสุดโต่ง และบีบบังคับให้ประชาชนทั้งประเทศต้องยอมรับ ยอมจำนนในคำตัดสินขององค์กรเหล่านี้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งได้เกิดกระแสต่อต้านวิพากษ์วิจารณ์องค์กรเหล่านี้ว่าไม่มีความยุติธรรม แต่รัฐบาลอาศัยความได้เปรียบที่ได้ครอบครองพื้นที่สื่อพยายามโฆษณาชวนเชื่อทางทีวีทุกช่องว่ารัฐบาลแก้ปัญหาได้ผล เห็นแก่ความสุขของประชาชน องค์กรอิสระเป็นกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน เพื่อกลบเสียงความเดือดร้อนของประชาชนเสีย นี่หรือคือภารกิจขององค์กรเหล่านี้ นับวันความเดือดร้อน ความแตกแยกก็จะปรากฏขึ้นในสังคมไทย
ประเทศไทยเสียโอกาสดีๆไปมากแล้ว รัฐบาลในอดีตของพรรคไทยรักไทยมีนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดจนเกือบราบคาบ ส่งเสริมสุขภาพถ้วนหน้า ชำระหนี้ให้ประเทศจนเป็นไทยจาก IMF แต่ปัจจุบันได้พลิกผันไปสู่สภาพที่ย่ำแย่กว่าเดิม ประเทศมีหนี้สินล้นพ้นตัวยาบ้าระบาด ผู้มีอิทธิพลออกอาละวาดฟาดหัวฟาดหางไปสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ล้วนมาจากการที่สังคมไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มคนที่มองอะไรเพียงด้านเดียว คิดคำนึงถึงความได้เปรียบของกลุ่มตนเอง ไม่มองถึงประโยชน์ของประเทศ และความสุขของประชาชนโดยรวม เปรียบเหมือนคนตาบอดคลำช้าง หากสังคมใดถูกครอบงำโดยกลุ่มคนที่มีความเห็นผิด มีความคิดคับแคบ ย่อมเสียหายเดือดร้อน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของส่วนรวมได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละความเห็นผิดเช่นนี้เสีย
ในความเป็นจริงประเทศต้องดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น รัฐบาลทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร สว.ทำหน้าที่นิติบัญญัติ และศาลทำหน้าที่ตุลาการ องค์กรเหล่านี้ต้องใช้อำนาจในทางที่ชอบ ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลที่มีสติปัญญารอบคอบ มองอะไรทั่วถึงทั้งทางโลกและทางธรรม รู้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม สร้างความมั่นคงให้สถาบัน บ้านเมืองจึงจะสงบสุข ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในหลักอปริหานิยธรรมว่า
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิจ การอยู่ร่วมกัน การทำงานร่วมกันของคนในสังคมจะต้องมีการ พบปะ ประชุมปรึกษาหารือกันสม่ำเสมอ เพื่อแก้ไขปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับในเหตุผลที่ถูกต้องที่เป็นประโยชน์ เพื่อความเข้าใจที่ดีต่อกันของทุกคนในสังคมซึ่งความเจริญ
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุมและกระทำกิจที่ควรทำ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหมู่คนที่อยู่รวมกัน ไม่กินแหนงแคลงใจกัน จะทำงานอะไรก็สำเร็จได้
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติและไม่เลิกล้มสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว เช่น บ้านเมืองจะสงบสุขได้ ทุกคนจะต้องบัญญัติและไม่ล้มเลิก ระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของคณะและสังคมตามความพอใจของตนหรือของกลุ่มโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง
4. เคารพนับถือผู้ใหญ่การเคารพและรับฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี การอยู่ร่วมกันในสังคมต้องมีผู้นำ ถ้าเราให้การเคารพและเชื่อฟังผู้นำ สังคมก็จะไม่วุ่นวาย
5. ไม่ข่มเหงล่วงเกินสตรี รวมถึงประชาชนทั่วไป ปกป้องไม่ให้ใครละเมิดสิทธิหรือข่มเหงรังแก
6. การให้ความเคารพและปกป้องรักษาสิ่งที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ เพื่อจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของกลุ่มคนในหมู่คณะที่อยู่ร่วมกันและระลึกถึงกัน
7. ให้การอารักขา คุ้มครอง อันชอบธรรมแก่บรรพชิต ซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป
บัดนี้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังลิ้มรสของความเสื่อม ความเดือดร้อนกันโดยทั่วหน้า เพราะองค์กรก่อตั้งขึ้นและบริหารองค์กรไปอย่างคนตาบอดคลำช้างมองอะไรด้านเดียว
บ้านเมืองไปถึงความเสื่อม และจะเสื่อมยิ่งกว่านี้ถ้าไม่รีบจัดการกำจัด ไล่ไปให้พ้นๆจากประเทศไทยเสียที อย่าปล่อยให้มีอิทธิพลเที่ยวไปใช้อำนาจในทางที่ผิดต่อใครได้อีก และสถาปนาบุคคลที่มีจิตใจเป็นธรรมมาบริหารประเทศ มาดูแลกฎหมาย มาใช้อำนาจตุลาการ สถาบันทุกสถาบันจึงจะมีความมั่นคง
- ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2009-09-29 07:16:24
ความเห็นที่ 1 (1982398)
เห็นด้วยกับผู้ตั้งกระทู้อย่างยิ่ง องค์กรอิสระ แต่มีจิตใจคับแคบ อยุติธรรม เช่นนี้ จะสร้างความเสื่อมเสียต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทย สร้างความเดือดร้อนต่อความสงบสุขของชาติบ้านเมืองและประชาชน ประเทศไทยโชคร้ายที่กลุ่มอนารยชนคล้ายคนจิตใจพิกลพิการเข้ามามีอำนาจ ถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต้องขับไล่ออกไปให้พ้น อย่าปล่อยให้คนวิกลจริตไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วมาเชิดหน้าชูตาเที่ยวพ่นพิษใส่ประชาชนอยู่อย่างนี้
- ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2009-10-01 00:44:33
ความเห็นที่ 2 (1982935)
ผมไม่เข้าใจว่า ม็อบที่ยึดทำเนียบ ล้อมรัฐสภา ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เอาสีเหลือง เสื้อเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ของตนได้อย่างไร ในเมื่อเสื้อเหลืองที่เราเห็นในวันที่ 4 ธ.ค. ของทุกปีนั้น หมายถึงประชาชนผู้จงรักภักดีทั้งสิ้น คนเสื้อเหลืองสองกลุ่มนี้แตกต่างกันราวกับฟ้าและดิน เหลืองสนธิลิ้มนั้น มันโจร ผู้ก่อการร้าย นี่ครับ แต่เหลือง 4 ธ.ค. นั้นเป็นข้าบาทบพิตรผู้จงรักภักดี แล้วมันจะมารวบเอาเป็นของมันทั้งหมดได้อย่างไร ไอ้สนธิลิ้ม
หรือว่าผมตกข่าว ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น จาน ประครองจิต วันที่ตอบ 2009-10-02 16:00:25
ความเห็นที่ 3 (1983109)
อวสานพรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตร
ตลอดเวลา 3 ปีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วยข้อกล่าวหาจากแกนนำ และนักวิชาการอำมาตย์ว่ารัฐบาลขายสมบัติของชาติ โคตรโกง และคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม A-STV แรกๆก็มีประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก เพราะข้อกล่าวหาดังกล่าวอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนไทย คนไทยหวงแหนเอกราช ความเป็นชาติ และมีศูนย์รวมใจอยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมทนไม่ได้ที่ใครจะคิดร้ายต่อสิ่งที่เขาเทิดทูน
แต่แล้วเมื่อแกนนำพันธมิตรพาคนเสื้อเหลืองไปปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็เริ่มทำให้คนทั้งประเทศตาสว่างขึ้น และยังมีกรณีที่แกนนำไม่ยอมเปิดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระเจ้าแผ่นดิน ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ฯ ต่อมาได้นำสิ่งปฏิกูลไปทำพิธีทางไสยศาสตร์ต่อหน้าพระบรมรูปทรงม้า ล้วนแล้วแต่สร้างความกังขาให้ประชาชนทั้งประเทศรวมไปถึงคนเสื้อเหลืองจำนวนมากว่าการกระทำที่อุบาตรเช่นนี้ จะเกี่ยวข้องกับความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้อย่างไร และได้ล่าถอยออกมาเรื่อยๆเพราะเริ่มประจักษ์แจ้งแล้วว่าตนถูกหลอกให้ร่วมอุดมการณ์ลมๆแล้งๆหาสาระแก่นสารและประโยชน์ของชาติไม่ได้แม้แต่น้อย มีแต่ทำลายเศรษฐกิจ ชาติบ้านเมืองเหมือนคนขาดสติ
แต่ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกลับมาท่าทีวางเฉยไม่กล้าแม้จะตักเตือนห้ามปรามการกระทำที่ไม่บังควร ไม่กล้าเอาผู้กระทำผิดร้ายแรงต่อบ้านเมืองมาขึ้นศาล แต่กลับไปเพ่งโทษร้ายแรงต่อเจ้าหน้าที่ที่รักษากฎหมาย ทำให้กลุ่มพันธมิตรเหิมเกริมได้ใจบังอาจไปทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และยังได้ไปแสดงนิสัยอันธพาลทำร้ายประชาชนบ้านภูมิสรอล ชายแดนไทย-กัมพูชา และเจ้าหน้าที่จนต้องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง ด้วยมีคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ทำอะไรพวกพันธมิตรเด็ดขาด ภาพข่าวที่ปรากฏสู่สายตาชาวโลกได้สร้างความอัปยศอดสูน่าสมเพชให้แก่ประเทศไทยที่เหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน ตำรวจต้องเกรงอำนาจของผู้ร้ายแล้วจะไปช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาราษฎร์ผู้สุจริตได้อย่างไร
ล่าสุดวันที่ 2 ตุลาคม 2552 กลุ่มแกนนำพันธมิตรได้พาคนเสื้อเหลืองไปโบกธงชาติที่ปราสาทพระวิหารจำลองที่เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ประกาศถึงชัยชนะที่สามารถยึดปราสาทพระวิหารคืนมาจากกัมพูชา การกระทำที่ไร้สาระตลกขบขันเช่นนี้ คนปกติเขามองออกว่า เป็นการกระทำของคนที่มีสุขภาพจิตเข้าขั้นโคม่า สะท้อนมาถึงรัฐบาลอำมาตย์ที่ยืนเคียงข้างพันธมิตรว่าบริหารประเทศเข้าขั้นโคม่าเช่นกัน คือสนใจแต่ปัญหาของพรรค ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน แล้วจะแก้ปัญหาประเทศได้อย่างไร น่าสมเพชเวทนาสยามเมืองยิ้มจะยืนอยู่ตรงไหนในเวทีโลก
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรยิ่งมีมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงถึงความเป็นอันธพาลไปสร้างศัตรูกับประชาชนเจ้าของท้องที่เพราะขัดขวางการทำมาหากินหาได้ของเดขา และรัฐบาลเองจะไปทำกิจกรรมอะไรก็ประกาศแต่ พรบ.ความมั่นคง ทำให้ประชาชนเขาลำบากในเรื่องการทำมาหากิน หยุดเถอะ ยิ่งเคลื่อนไหวมากเท่าไร ความพ่ายแพ้ก็จะมาถึงเร็วมากเท่านั้น แม้แต่เลขานุการนายกรัฐมนตรียังต้องถอนตัว เพราะเริ่มจะมองไม่เห็นอนาคตทางการเมือง ว่าแต่คนในพรรคร่วมรัฐบาลเถอะ เคยได้ยินพระพุทธพจน์ว่า “ อเสวนา จะ พาลานัง ” บ้างหรือไม่
กระจกเงา
4 ตุลาคม 2552
- ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2009-10-03 22:58:45
ความเห็นที่ 4 (1985541)
อยากให้ฝ่ายค้านตรวจสอบว่านายกอภิสิทธิ์ได้นำเงินของรัฐไปให้แกนนำพันธมิตรเปิดทีวีช่อง A-STV ภาคภาษาอังกฤษจริงหรือไม่ เพราะไม่ใช่สื่อของรัฐ และกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีคดีอาญาร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศหลายคดี เท่ากับสนับสนุนการก่อการร้าย่างมากยสากล ประชาชนไม่พอใจเป็นอย่างมาก รัฐบาลนี้ถูกต่อต้านเพราะไม่สนใจความรู้สึกและความต้องการของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ขาดคุณสมบัติของผู้แทน คอยดูนะอย่าว่าแต่การเป็นรัฐบาลเลย แม้แต่การเป็น ส.ส. ในสมัยหน้าความหวังก็อาจจะริบหรี่ ตอนนี้ประชาชนทั้งประเทศเขาเห็นจิตใจพวกคุณหมดแล้วแจ่มแจ้งมากสมัยนายกมาร์คนี่เอง
- ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2009-10-11 03:18:26
ความเห็นที่ 5 (1985543)
ส.ส. ฝ่ายค้าน และเกษตรกรช่วยสกัดโครงการอภิมหาโกงด้วย เพราะเห็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะขุดบ่อให้เกษตรกรทำการเกษตร โดยใช้งบประมาณของรัฐช่วยบ่อละ 10,000 บาทและคิดจากเกษตรกรอีกบ่อละ 2,500 บาท ปกติสำนักงานพัฒนาที่ดินในแต่ละจังหวัดก็บริการขุดบ่อน้ำให้ชาวบ้านที่ทำการเกษตรอยู่แล้ว โดยเจ้าของบ่อเป็นผู้ออกค่าน้ำมันเอง ที่ผ่านมาใช้เงินไม่เกิน บ่อละ 2,500 บาท แล้วเหตุไฉนกระทรวงเกษตรจะมาใช้งบประมาณของรัฐอีก ทั้งๆที่ก็จะเก็บจากเกษตรกรเจ้าของบ่ออยู่แล้ว ไม่เชื่อลองไปตรวจสอบบ่อที่สำนักงานพัฒนาที่ดินเคยขุดให้เกษตรกรมาแล้วก็ได้ โอ้โฮคิดได้ยังไง กินทั้งเงินหลวง กินทั้งเงินชาวบ้าน และยังมีหน้ามาบอกว่ารัฐอยากช่วยแก้ปัญหาน้ำแล้งให้เกษตรกร และการให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมจะช่วยตรวจสอบการทำงานของผู้รับจ้างอีกทีหนึ่ง จะบอกให้ถึงเป็นชาวไร่ชาวนา คนรากหญ้าเขาก็ไม่โง่นะ และจะไม่ปล่อยให้กินเงินหลวงฟรีๆด้วย
- ผู้แสดงความคิดเห็น คนอีสาน วันที่ตอบ 2009-12-10 03:46:09
ความเห็นที่ 6 (2003630)
ขอบคุณ คนอีสาน มาก ๆ เรื่องกลโกงบ่อน้ำชนบทบ่ละ 10,000 บาท ไม่มีโครงการไหนที่รัฐบาลนี้ไม่โกง ไม่กิน ที่ขอบคุณเพราะท่านเป็นประชาชนที่เอาใจใส่ครับ บ้านเมืองเป็นของประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของ มีอำนาจตามคตินิยมโลกที่เจริญ เป็นประชาธิปไตย อย่างนี้แหละครับคือการต่อสู้ที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และเป็นบทบาทของเจ้าของอำนาจโดยแท้จริง ถ้าพบอะไรไม่เป็นธรรมแล้ว เราไม่กล้าพูด ก็ไม่ใช่ประชาชนเจ้าของอำนาจแหละครับ ถ้าเช่นนั้นประชาธิปไตยเจริญยาก นี่เป็นอีกตัวอย่างความโกงกินของรัฐบาลเด็กอภิสิทธิ์ โดยแอบกินกับประชาชน ไปทุกโครงการ แล้วไม่มีใคร องค์กรใดจัดการได้ เพราะถูกควบคุมด้วยระบอบอมาตยาธิปไตย มีเปรม ติณสูลานนท์ เป็นบ็อสใหญ่ สนธิ ลิ้มทองกุลเคยด่ารัฐบาล ทักษิณ สมัคร สมชายว่า เลว ทำลายชาติ โกงกินชาติทุก ๆ นาทีไป ไล่รัฐบาลออกไปเสียได้บัดนี้ เท่ากับหยุดการโกงชาติเท่ากับหยุดการทำลายชาติได้ บัดนี้ จึงต้องรวมพลังประชาชนมาเพื่อรีบหยุดรัฐบาล หยุดการทำลายชาติลงเสียทันที แต่สาระของสนธิ ลิ้มทองกุล คือสาระของ เอเอสทีวี นั่นคือการโกหกหลอกลวง โฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น เพื่อให้ประชาธิปัตย์ได้เป้นรัฐบาล ครั้นได้เป็นรัฐบาลแล้วกลับเป็นของจริงที่โกงชาติ ที่ขายชาติตัวจริง นี่คือความจริงของรัฐบาลเด็กอภิสิทธิ์ขณะนี้ นั่นเองจริงที่สุด โกงที่สุด ทำลาย ขายชาติที่สุด หยุดรัฐบาลนี้ลงได้ เร็วเท่าไรยิ่งหยุดการทำลายชาติได้เร็วเท่านั้น
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-12-10 09:07:17
ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์และคณะผู้ปกครองไทยจึงไม่คิดใช้วิธีการประชาธิปไตยมาจัดการกับปัญหาทางการเมืองและการบริหารที่กำลังสับสนและเสี่ยงต่อหายนะของประเทศชาติอยู่ในขณะนี้ ?
1. อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าหัวหน้ารัฐบาลไม่ได้รู้จักประชาธิปไตยในหลักการของประชาธิปไตย ตลอดไปถึงเทกนิควิธีการของประชาธิปไตย ไปจนถึงเงื่อนไขสำคัญ ๆ ของการเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ลองวิจัยหาคำตอบดู ก็จะได้พบว่าว่าพวกเขาน่าจะไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง ๆ คำตอบนี้ยืนยันจากการศึกษาบทบาทของผู้นำพรรคการเมืองพรรคประชาธิปัตย์มาแต่แรกเริ่มที่มีหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งแต่เข้ารับเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มา จริงอยู่ ได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงคือ อ๊อกซ์ฟอร์ด(Oxford University)ประเทศอังกฤษ ระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยม) ระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ แต่ดูเหมือนมิได้เอาความรู้และความเจริญทางการปกครองจากมหาวิทยาลัยนั้น มิได้สะท้อนความเป็นลูกศิษย์ที่มีคุณค่าจากสถาบันแห่งนั้น และจากประเทศอังกฤษที่ตนไปอยู่เป็นแบบอย่างความเจริญทางประชาธิปไตยมาใช้สร้างระบอบประชาธิปไตยในไทยเลย ในเมื่อเขามีโอกาสเป็นผู้นำทางการเมืองไทยจากระดับล่างมาจนถึงระดับบนสูงสุด ที่มีโอกาสอย่างมากมายเช่นนี้
ข้อบ่งชี้ก็คือ เมื่อเขาได้เป็นผู้นำพรรคการเมือง เก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ได้นำพรรคเข้าต่อสู้ทางการเมือง การเลือกตั้งหลายครั้ง และพรรคของเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง โดยที่บอบช้ำที่สุดก็คือการเลือกตั้งปีพ.ศ.2544 พรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร กวาดไปถึง 248 ที่นั่ง ขณะที่ประชาธิปัตย์ ได้เพียง 130 ที่นั่ง และการเลือกตั้งสมัยต่อมา ปี พ.ศ.2548 พรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่งทางอีสาฯ-เหนือ และ กทม.ไปถึง 377 ที่นั่ง สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ โดยฝ่ายประชาธิปัตย์ได้เพียง 96 ที่นั่ง การที่แพ้อย่างหลุดลุ่ยแทบสิ้นสภาพพรรคใหญ่ไปในคราวนี้ เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์อิจฉาริษยา จนต้องเล่นนอกกติกา นั่นคือ การบอยคอตการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2549 นอกจากนี้ เมื่อมีการเลือกตั้งหนหลังที่สุด คือการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นสถานการณ์ภายใต้การปกครองของคณะรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ที่มีคณะอมาตยาธิปไตยและกองทัพสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็ยังคงพ่ายแพ้พรรคพลังประชาชน และนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมา มีข้อเท็จจริงว่า การพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ทุกครั้ง ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคนี้ เขาไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเป็นนักการศึกษาที่ผ่านความเจริญมา และประพฤติตนอย่างนักวิชาการหรือนักปราชญ์สมกับสถาบันเลย นั่นคือมิได้มีการตรวจสอบตนเองว่าผลของความพ่ายแพ้มาจากเหตุอันใดบ้าง (มีสาเหตุประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีนโยบาย ไม่รู้จักคำว่านโยบายคืออะไร และไม่เคยมีการปรารภและทำการศึกษาวิจัยทางนโยบายการเมืองเลย มาแต่ยุคดั้งเดิม แม้มาเป็นรัฐบาลขณะนี้ ก็ไม่ได้มีความชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้วางนโยบายการบริหารประเทศไว้อย่างไร มีข้อครหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ยุคอภิสิทธิ์ได้ขโมยนโยบายพรรคไทยรักไทยเดิมมาแปรเป็นของตนแทบทั้งหมด แต่ทำไม่เป็น เช่นโอทอป เป็นต้น จึงได้รับผลเสียหายไปทั้งหมด มีอะไรที่ได้ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมบ้าง ก็ไม่ปรากฏ ดังจะเห็นได้จากการแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มิได้มีการแถลงนโยบายในรัฐสภา อันเป็นสถาบันของประชาชน แต่แอบไปซุ่มแถลงนโยบายในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนอกจากเป็นการผิดกฎหมาย หรือข้อครหาว่าไม่ชอบครรลองของนิติธรรมและครรลองของนิติศาสตร์แล้ว ยังหมายถึงการที่ไม่เล็งเห็นความสำคัญของพรรคการเมืองกับนโยบายอย่างไรของพรรคประชาธิปัตย์ และทั้งการแถลงนโยบายคราวนั้นได้กระทำไปอย่างลวก ๆและรีบเร่ง สุกเอาเผากินอย่างยิ่ง ไม่คำนึงว่าประชาชนจะมีโอกาสรับทราบนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ อย่างไร รัฐบาลนี้จะทำอะไร ได้ประโยชน์อย่างไรแก่ประชาชนทั่วไป รัฐบาลนี้หาคำนึง หาให้ความสนใจใฝ่ใจไม่ อันแสดงถึงความไม่เข้าใจ ไร้เดียงสาต่อหลักและวิธีการการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อีกประการหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้ารัฐบาล ไม่เคยสะท้อนให้ประชาชนเห็นว่า มีสปิริตจิตใจของนักประชาธิปไตย อันเป็นประเด็นสำคัญของหลักการประชาธิปไตยเลย นั่นคือเมื่อเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งทุกครั้ง เขาไม่เคยแสดงความยินดีต่อฝ่ายที่ชนะ การเลือกตั้ง เขาไม่คิดทำอย่างอเมริกา หรือไม่เข้าใจในความสำคัญที่ได้เห็นจากอเมริกา ที่นักการเมืองเขาแสดงสปริตรทางการเมืองอย่างสูง ที่จะต้องถือเป็นจริยธรรมทางการเมืองข้อสำคัญ ที่จำเป็นขาดไม่ได้ จึงมีการโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีแก่กันและกัน (เห็นตัวอย่างของนาย จอห์น แครี, นางฮิลลารี คลินตั้น และ จอร์จ บุช ล่าสุด หรือไม่) แต่ประเด็นคือ เขาน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นี่เป็นวัฒนธรรม จริยธรรมที่จำเป็นของระบอบประชาธิปไตยเลยทีเดียว ดังจะได้เห็นจากเวลาที่เขาออกปรากฏแด่ประชาชนที่สนับสนุนเขา ท่าทีของเขา ไม่อาจจะมองเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ประสีประสาในระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้มองว่า การที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้ามหาชน ฝ่ายที่สนับสนุนเขานั้นเป็นประเด็นสำคัญ เป็นประเด็นความอยู่รอดของระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นประเด็นหลัก ในหลักการความสามัคคีของคนในชาติ ตามหลักศาสนาพุทธ นั้นเป็นการเลิกแล้วต่อกันและกัน ไม่อาฆาตเคียดแค้นจองเวรกันต่อไปอีก และให้เป็นการกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ และใช้เวลาที่ว่างจากการแข่งขัน เตรียมการแข่งขันเชิงนโยบาย ต่อเมื่อถึงเวลาการเลือกตั้งครั้งต่อไปจึงกลับมาต่อสู้ด้วยการเสนอนโยบายครั้งใหม่ต่อประชาชน เพื่อประชาชนพิจารณาเลือกนโยบายกันและใช้ความเห็นที่แตกต่างกันเลือกพรรคที่ตนต้องการอีกครั้งหนึ่ง ในทางประชาธิปไตยสากล ก็หมายถึงการกลบลบเรื่องความขัดแย้ง(เนื่องเพราะการเลือกนโยบายที่ตรงผลประโยชน์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่มหมู่อาชีพ) เดิมเสีย ประชาชนทั้งสิ้นกลับมาสู่ความเป็นกลาง ด้วยการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เลิกแล้วไปเป็นเกม ๆ ไม่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรกันต่อไปอีก สามัคคีธรรมในชาติก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ความสามัคคีธรรมของชาติในองค์รวม จึงจะเกิดขึ้น และประชาธิปไตยโดยรวมของประเทศทรงอำนาจขึ้น ประเทศเข้มแข็งขึ้น ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยก็ควรที่จะเข้าใจอย่างนี้ ประพฤติไปอย่างนี้ จึงจะสามารถนำพาประเทศชาติ สังคมของตนก้าวหน้าไปอย่างยิ่งใหญ่ได้ด้วยพลังมหาชน แล้วคอยดูไปว่ารัฐบาล ฝ่ายที่ชนะ ได้บริหารประเทศไทยอย่างไร ตรงตามนโยบายหรือไม่ หรือหากว่าตรงตามนโยบายแล้วก็ถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายต่อไปเป็นต้น
แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ เมื่อปรากฏต่อประชาชนภายหลังการรู้ผลแพ้ชนะแล้ว เขากลับแสดงออกซึ่งท่าทีไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้ามหาชนฝ่ายข้างเขา แต่เขาได้บอกประชาชนว่าเขาถูกโกงการเลือกตั้ง เสมอไป ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ ทุกครั้งคราวจะมีข้อกล่าวหาจากผู้นำและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้เงินซื้อเสียง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใช่เงินซื้อเสียงเลย ฝ่ายตนมีแต่การต่อสู้ใสสะอาด (ซึ่งเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่เป็นความจริง เพราะพรรคนี้ก็เคยถูกใบแดงและมีข้อกล่าวหา คดี และข้อครหาของคนทั่วไปในเรื่องทุจริตการเลือกตั้งพอ ๆ กับพรรคการเมืองอื่น ๆ) และมักสรุปว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจยอมรับได้ พรรคฯและประชาชน โดยเฉพาะประชาชนชาวใต้จะไม่ยอมรับการเลือกตั้งหนนี้ จะต้องต่อสู้ต่อไป (มีมาแต่ครั้งนายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค นายชวนจะพูดว่าพรรคประชาธิปัตย์ใสสะอาดมีคุณธรรมสูง และด่าว่าฝ่ายตรงข้ามมาตลอดเวลาไม่เคยหยุดว่า ใช้เงินซื้อเสียง โกง ทุจริตในการเลือกตั้ง (จนกระทั่งกาลเวลาและเหตุการณ์ได้ทำการพิศูจน์พบความจริงว่าพรรคที่มีดีแต่การเจรจา เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น นี่คือ ประชาธิปัตย์) นั่นเป็นความผิด และความที่ไม่อาจจะกล่าวสรุปได้อย่างไรนอกจากความที่อ่อนด้อย ไม่รู้เรื่องของประชาธิปไตย แล้วยังนำประชาชนฝ่ายเขาให้เข้าใจผิดตาม นั่นคือพาประชาชนฝังใจเคียดแค้นแด่ฝ่ายที่ชนะต่อไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อความสามัคคีธรรมชองชาติ ไม่ชอบธรรม และไม่ชอบด้วยจริยาของระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นการละเมิดกติกาการเมือง ของุทุกระบอบ โดยเหตุที่ขัดแย้งคติสำคัญของการแข่งขัน นั่นคือ การแข่งขันทุกชนิดต้องรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อันเป็นเหตุของสมานฉันท์ รู้จบลงตรงวันที่แข่งขันแพ้ชนะแล้ว อย่างเช่นกติกาของนักกีฬาทุกชนิดนั่นเอง หากแต่ว่านี่เป็นกติกาการแข่งขันทางการเมือง ซึ่งมิได้ต่างจากกติกาการแข่งขันกีฬาเลย ฉะนั้น ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้จบการศึกษามาจากประเทศที่เจริญ ที่เป็นที่คาดหมายว่าเขาจะนำเอาความเจริญทางประชาธิปไตยมาเผยแผ่ต่อยังประเทศไทยของเรา แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้มีสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมความเจริญทางประชาธิปไตย ตามแบบอย่างประเทศที่เจริญ ที่เขาได้ไปหมกตัวศึกษาและซึมซาบรับอารยธรรมอันดีทางการเมืองติดตัวมาเพื่อประโยชน์แด่ประเทศชาติและประชาธิปไตยไทยเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อผู้นำระดับนี้ซึ่งได้ผ่านการสอบจากประชามหาชนว่าไม่มีภูมิความรู้ ไร้จิตใจของนักกีฬาการเมือง ที่พึงรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยจึงนำพาประชาชนแตกแหกวิถีทางประชาธิปไตยออกไปอีก เขาพาประชาชน และพยายามพาประชาชนหลงไปนอกทางประชาธิปไตยตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นเหตุสำคัญของความแตกสามัคคีในชาติ เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกขนาดใหญ่ แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายและดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยมิจฉาทิฏฐิคือทิฏฐิที่เข้าใจกันไม่ถูกต้องต่อประชาธิปไตย ตาบอด เข้าใจไปในทางมิจฉาทิฏฐิ เมื่อพาหลงทางประชาธิปไตยไปแล้ว เขาก็ยังชักจูงประชาชนให้หลงไปตามเขาด้วย ทำให้เกิดการขัดแย้งขึ้นกับฝ่ายที่เขาตาดี ตาสว่างที่ไม่หลงทางไปทางอื่น ฝ่ายที่รักประชาธิปไตยและไม่หลงทางประชาธิปไตย และการแตกแยกนั้นเป็นเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับว่าประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีกติกา มิแตกต่างจากเกมกีฬา ที่ต้องรู้ในความสำคัญของคติการต่อสู้ทางการเมืองที่ว่า รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เฉกเช่นประเทศที่เจริญในอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นต้น
2. การบอยคอตการเลือกตั้ง หมายถึงการปฏิเสธ ไม่ลงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองที่สะท้อนอนารยธรรมทางการเมืองอย่างยิ่ง และน่าจะไม่เคยปรากฏในประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว เหตุที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย และเกิดขึ้นโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ในพฤติกรรมการบอยคอตการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2549 (มีพรรคการเมืองที่ร่วมในขบวนการราคีคาวทางการเมืองคราวนั้น อีก 2 พรรคคือพรรคชาติไทย ขณะนี้คิอ ชาติไทยพัฒนา มีนายบรรหาร ศิลปะอาชา เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคมหาชน พรรคเล็กเกิดใหม่) นั้น นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งลูกพรรคลงเลือกตั้งแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ดำเนินการต่อต้าน ขัดขวงการเลือกตั้งตามครรลองของระบอบอีกด้วย กล่าวคือเมื่อมีการบอยคอตการเลือกตั้ง(ซึ่งไม่ควรมีอย่างยิ่ง) แล้ว โดยความถูกต้องเป็นธรรมตามหลักการการต่อสู้ทางการเมืองระบอบไหนก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ก็ควรจะอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้มีการต่อสู้อยู่ระหว่างพรรคที่ลงสมัครเลือกตั้งเท่านั้น เพราะเมื่อตนสละสิทธิ์แล้ว ก็หมายถึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเสนอนโยบายของพรรคใดใด ไม่มีความชอบธรรมที่จะต้องเสนอนโยบาย หรือเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติให้ประชาชนรับไปพิจารณาในเฉพาะช่วงการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่ลงสมัคร ขณะนั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์สมัครใจไม่ลงสมัครเลือกตั้งเอง ไม่ได้สะท้อนความสุจริต ไม่สะท้อนว่าการไม่ลงสมัครเลือกตั้งนั้นหมายถึงการสละสิทธิ์ แต่เป็นการยอกย้อนซ่อนกล หวังผลทางการเมือง และแฝงกโลบายทุจริต ไม่จริงใจ ที่ใช้วิธีการต่อสู้อย่างไม่ชอบด้วยครรลองของประชาธิปไตย ไม่ชอบธรรมทุกประการในแบบแผนการต่อสู้อย่างมีความเป็นมนุษย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีเจตนาที่ให้ความหมายถึงการสละสิทธิ์ของตนเองที่จะนำนโยบายของพรรคไปสู่ประชาชน โดยสมัครใจไปอยู่วงนอก ปล่อยให้พรรคที่ลงแข่งขันต่อสู้กันเชิงนโยบายกันต่อไป
แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ผ่านการศึกษามาระดับที่น่าหวังได้ว่าจะอาจเป็นผู้นำอย่างดีในทางเป็นแบบเป็นอย่างของระบอบที่มาจากประเทศที่เจริญแล้ว ที่นายอภิสิทธิ์เคยอยู่ เคยรับการศึกษาและอบรมทางวัฒนธรรมมา เพราะสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พาพรรคประชาธิปัตย์ทำก็คือนอกจากไม่เสนอนโยบายต่อประชามหาชน ตามหลักการพรรคการเมืองแล้ว ยังมีเจตนาก่อกวนการเลือกตั้ง โดยทำการกระจายหมู่พวกไปก่อกวนพรรคตรงข้ามตนที่เสนอนโยบายต่อประชาชน ทำการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มก้อนทางการเมืองออกไปโจมตีพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ต่อหน้าองค์กรอิสสระที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการเลือกตั้ง(คือ กกต. แต่กกต.กลับไร้ความรู้สึก ทำเมินไปเสียไม่รับรู้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย เพราะละเว้นการกระทำหน้าที่ของตนในกาละที่ต้องทำหน้าที่นั้น) ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องหลักการพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย และไม่น่าที่ประชาชนจะให้การสนับสนุน เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยได้
นี่เป็นพฤติกรรมที่น่าสรุปได้ว่าโง่เขลา ที่มืดบอดโดยสิ้นเชิงในความเข้าใจเรื่องจริยธรรมนโยบายพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย จักเป็นไปได้อย่างไรที่คนที่ได้รับการศึกษามาขนาดนี้ ในมหาวิทยาลัยขนาดนี้ จะทำอย่างนี้ได้ แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะก็ได้กระทำไปแล้ว และได้มีการจารึกถึงพฤติกรรมที่ไม่อาจกล่าวอย่างไรชอบนอกจากเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของคนผู้นี้ไว้ในวงการประชาธิปไตยไทยตลอดไป
3. มีการกล่าวหายุบพรรคการเมือง ปลุกปั่นพยานเท็จ เพื่อล้มล้างพรรคการเมืองคู่แข่งของตน คือพรรคไทยรักไทย นั่นคือมาบัดนี้ ล่วงมา 3 ปีแล้ว ได้มีการเปิดเผยพยานเท็จ ปากเอก ที่น่าเชื่อถือได้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ได้ว่าจ้างพยานเท็จ 2 นาย ไปยืนยันให้การต่อ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ร้ายกล่าวหาพรรคไทยรักไทย คู่แข่งของตน จนกระทั่งพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมาในสมัยที่ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้อย่างยับเยิน แทบสิ้นสภาพพรรคใหญ่ จนได้เป็นพรรคฝ่ายค้านขนาดเล็ก จนกระทั่งศาลสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย ครั้นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ไปก่อตั้งขึ้นใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน ก็หาเรื่องให้มีการยุบพรรคพลังประชาชนไปอีกครั้งหนึ่ง โดย กกต.และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการสั่งยุบพรรคพลังประชาชน จนในขณะนี้ พรรคไทยรักไทยเดิม กับพรรคพลังประชาชนเดิมมารวมกันเป็นใหม่คือพรรคเพื่อไทย ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำการต่อสู้ทางการเมืองต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ และซึ่งอยู่ในสายตาจ้องมองของคณะอมาตยาธิปไตย นำโดยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เพื่อทำการยุบพรรคเพื่อไทยต่อไปอีก เพื่อกวาดล้างเส้นทางของตนให้เดินไปอย่างสะดวกง่ายดาย
การยุบพรรคการเมืองโดยอำนาจอื่นนอกไปจากอำนาจของประชาชน เป็นเรื่องที่ผิดหลักการของระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย และคู่กรณีก็คือพรรคประชาธิปัตย์ อันมีนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้ารัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้อยู่เบื้องหลังความทุจริตทางพยาน โดยปั้นพยานเท็จขึ้นใส่ความเขา เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
นี่ก็เป็นเรื่องที่ร้ายแรงไปอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยไทย โดยมีส่วนของความละเลย เขลา ไม่พยายามทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย โดยท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง นับตั้งแต่ กกต. 5 คน และ ศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน อันเป็นองค์การอิสสระตามรัฐธรรมนูญ เถื่อน รัฐธรรมนูญโจร 2550 ไม่ได้นำเอาสาระสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยมาร่วมให้น้ำหนักการพิจารณาตัดสินความในระบอบประชาธิปไตย ที่เกี่ยวกับสถาบันหลักที่สำคัญอย่างยิ่งของระบอบประชาธิปไตย คือพรรคการเมือง อย่างไร ไม่ทำความเห็นให้ตรงความสำคัญของพรรคการเมืองที่ว่า พรรคการเมือง มีความหมายถึงประชาชนทั้งมวล ซึ่งองค์กรใดไม่อาจจะใช้อำนาจใดยุบได้ นอกจากมวลมหาประชาชนเท่านั้น และการที่กฎหมายออกมาให้อำนาจในการยุบพรรคการเมืองได้ นั้นย่อมหมายถึงกฎหมายที่ออกมาโดยคณะบุคคล ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ไม่รู้ครรลองของประชาธิปไตย(หมายถึงความรู้ความเข้าใจว่า ประชาธิปไตยเดินไปอย่างไร การเดินไปอย่างสง่างามของประชาธิปไตยต้องประกอบด้วยสถานะแห่งระบอบ สำคัญ ๆ อะไร และอย่างไรบ้าง) และหนึ่งในสถานะนั้นที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ พรรคการเมือง ต้องขึ้นตรงต่อประชาชน โดยตรง การยุบพรรคการเมืองไม่อาจจะกระทำได้ ทำนองเดียวกันกับกฎหมาย และคณะบุคคลที่โง่เขลาโง่เง่า (คือ ปปช.) ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ในคดีที่ได้ตัดสิน ให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 แห่งประเทศไทย คือนายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งได้ง่าย ๆ เพียงข้อหา ว่า นายกรัฐมนตรีไปมีรายได้จากการออกรายการทางโทรทัศน์ ซึ่งตามข้อเท็จจริงรายการชิมไปบ่นไป ไม่ได้มีอันตรายอย่างไร และไม่เป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย มีแต่ได้ให้ความรู้ในหลักวิชาโภชนาการอย่างละเอียดลึกซึ้ง แต่ ปปช. สามารถอ้างคำนิยาม ที่ไม่มีในตัวบทกฎหมายที่ลงโทษ แต่อ้างจากพจนานุกรม มาปลดตำแหน่งอันสูงสุดทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย ได้อย่างไร? เราจะอ่านความหมายนี้อย่างไร นอกจากอ่านว่า ท่านผู้พิพากษาเหล่านี้ (จริงอยู่เป็นนักกฎหมายที่ผ่านการศึกษาทางกฎหมายมาอย่างดี อยู่ในระดับยอด ๆ ของการอาชีพนี้ แต่นักกฎหมายเหล่านี้ หากรู้กฎหมายแบบนกแก้วนกขุนทอง ฯ แล้ว ความรู้ดี ๆ เช่นนี้แหละกลับจะกลายเป็นโทษ และก็เป็นโทษต่อสังคมไทย การเมืองไทยอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะนักกฎหมายผู้มีความรู้ดีแต่ไม่เข้าใจสังคมเช่นนี้ และเช่นนักกฎหมายในพรรคประชาธิปัตย์ ด้วย) ที่ล้วนมืดบอด ไม่มีความเข้าใจ ไร้สปิริตจิตใจที่ภักดีต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าใจประชาชน และไม่เข้าใจครรลองของระบอบประชาธิปไตย(ไม่เข้าใจวิถีทางที่ประชาธิปไตยจะก้าวเดินไป ระบบและระเบียบที่เป็นหลักการหลักอันประเสริฐล้ำเลิศของระบอบประชาธิปไตย ที่พร้อมนำพาประชาชนไป และนำไปสู่ความเจริญ ความสำเร็จ ความมีชัยชนะมาสู่มวลมหาประชาชนในระบอบนี้อย่างไร (เคยฟังคำปราศรัยของประธานาธิบดี บารัค โอบามา หรือไม่ ที่เขากล่าวว่า เขาจะพาประชาชนอเมริกาไปสู่ชัยชนะและเสรีภาพ ด้วยประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะนำชัยชนะมาสู่ประชาชนอเมริกาอย่างไร เข้าใจคำว่า ประชาธิปไตยเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะอย่างไรหรือไม่?) เลยโดยแท้จริง หมายความว่าคนที่รู้เชี่ยวชาญกฎหมายหรือระบอบกฎหมาย (รวมทั้งคนเก่งสาขาอื่น ๆ เช่นทหารใหญ่ ๆ ) ไม่ได้หมายความว่าท่านเหล่านี้จะเข้าใจประชาธิปไตย เขาอาจจะเป็นเพียงเด็ก ๆ หรือมีความรู้พอ ๆ กับเด็ก ในสาขาวิชานี้ก็ได้ (สู้เด็กยุคคอมพิวเตอร์ได้หรือเปล่า กล้าแข่งคอมพิวเตอร์กับเด็ก 5-6 ขวบหรือไม่เล่า?) นี่คือประเด็นของความประมาท ละเลย ไม่พยายามมองประชาธิปไตย ในแง่ที่ลึกซึ้งและทรงคุณค่าของมวลมหาประชาชน
4. การดิ้นรนใฝ่อยากเป็นใหญ่โดยไม่ชอบด้วยครรลองการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคการเมือง และผู้นำทางการเมือง ในที่นี้คือพรรคประชาธิปัตย์ และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีความใฝ่ทะเยอทะยานเกินตัว จนกระทั่งไม่คำนึงสถานะทางความรู้ประสพการณ์ของตนเองต่อระบอบประชาธิปไตย ต่อความถูกต้องชอบธรรม ไม่ว่าโดยนิตินัย หรือพฤตินัย ในนัยของวัฒนธรรมองค์รวมของสังคมและประเทศชาติ ด้วยการคบกับกลุ่มการเมืองนอกรัฐสภา ที่เรียกตนเองโดยแอบอ้างสถาบันและมวลชนว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลุ่มพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผนวกนักบวชสันติอโศก และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเราเรียกมาแต่เดิมและจะเรียกต่อไปว่าม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ทำการต่อสู้ทางการเมือง โดยอาศัยอิทธิพลสื่อทำการปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังรัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายตน โดยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ในการนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมในกลุ่มม็อบ ที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีพฤติกรรมสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมาตั้งแต่ต้น ที่ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมมวลชน ให้เกลียดชังโกรธแค้นต่อรัฐบาล (เริ่มตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ที่มีความประมาทชะล่าใจในการต่อสู้ทางสื่อ และการโฆษณาชวนเชื่อ) จนสามารถสร้างเงื่อนไขการรัฐประหารแก่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ผบ.ทบ.ขณะนั้น เริ่มเกิดความคิดอ่านการทรยศต่อผู้มีพระคุณขึ้นมาในใจ และเกิดการรัฐประหารขึ้นใน 19 กันยายน 2549 โดยภาพอันป่าเถื่อนที่ทหารจากกองทัพไทยเคลื่อนพล กำลังอันแข็งแกร่งที่ใช้ป้องกันศัตรูภายนอกราชอาณาจักร เข้าล้มล้างขับไล่รัฐบาลพลเรือนประชาธิปไตยของประชาชน ในขณะที่หัวหน้ารัฐบาลประชาชนไปปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรติในต่างประเทศ(ขณะนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปเจรจาขยายตลาดการค้าอยู่หลายประเทศในอาฟริกา แล้วเลยไปเข้าประชุมสหประชาชาติ กำลังจะขึ้นกล่าวปราศรัยในองค์การสหประชาชาติในวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว ก็เกิดการยึดอำนาจเสียก่อน) อันเป็นการไม่ชอบธรรม ซึ่งเป็นที่เข้าใจไปทั่วโลกประชาธิปไตยไปอย่างเปิดเผยแล้วว่า เป็นการยึดอำนาจอย่างไม่ชอบธรรม และจัดตั้งคณะผู้ปกครองขึ้นอย่างมีลับลมคมใน เป็นแผนลับ ลวง พราง ไปทั้งสิ้น โดยมีเป้าหมายโค่นล้มบุคคลเพียงคนเดียวคือ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ให้จงได้ ครั้นทนต่อกระแสประชาชนผู้รักประชาธิปไตยไม่ได้ ก็จำยอมจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายรัฐบาลเดิม ที่ถูกรัฐประหาร นั่นคือผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 23 ธันบาคม 2550 ฝ่ายรัฐบาลเดิมชนะ และนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่ายรัฐประหารซึ่งเป็นคณะอมาตยาธิปไตย มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เป็นต้น ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ มีม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์สนับสนุนด้านการโฆษณาชวนเชื่อ จึงดำเนินการขจัดพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายทักษิณ ต่อไป โดยให้กลุ่มการเมืองที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (คือม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์)ทำการก่อกวนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต่อมา 2 รัฐบาล คือ รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย โดยกระทำการอุกอาจ เชิงการโฆษณาชวนเชื่อ ที่บังอาจด่าคนได้ทั้งแผ่นดินโดยไม่มีความผิด(เช่นนางอัญชลี ไพรีรักษ์ ด่า ผบ.ทบ.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจำเริญว่า โง่เหมือนควาย เอากะโหลกศีรษะมาใกล้ ๆ จะเคาะให้ฉลาดขึ้น ผ่านเอเอสทีวี เป็นต้น) รวมทั้ง กระทำความผิดต่าง ๆ จนกระทั่งถึงยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ทำการขับไล่คณะรัฐมนตรีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชหนีไปจากทำเนียบ อันเป็นที่ทำการของคณะรัฐมนตรี อันเป็นการกระทำเยี่ยงโจรปล้นชาติ และซ้ำยึดเอาไว้อย่างเหิมเกริมเป็นเวลา 193 วัน เพื่อประกอบความผิดร้ายแรงต่อไป โดยการเคลื่อนไปยึดสถานี NBT หรือสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยขณะนั้น และยังมีการบังอาจ ที่ปิดเส้นทางพระราชดำเนิน ถนนราชดำเนินกลาง ที่ทรงเสด็จผ่านไปถวายพิธีการศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตลอด 6 วันแห่งพิธีการที่สนามหลวง(ระหว่าง 9-16 พ.ย.2551) โดยไม่มีผู้ใดกล้าเอาความผิดฐานละเมิดกษัตริย์ แม้ฐานที่บังอาจลบหลู่ไม่จงรักภักดี (เพราะมีคณะอมาตยาธิปไตย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีหนุนหลังอยู่) แล้วบุกไปยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อการต่อรองให้รัฐบาลสมชายลาออกไป เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ตราบมีการยุบพรรคพลังประชาชน (หรือ ไทยรักไทยเดิมลงอีกหน) ซึ่งมีผลให้นายสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทางคณะอมาตยาธิปไตย นำโดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และคณะทหารในกองทัพไทย จึงใช้วิธีการบีบบังคับ ทั้งได้ใช้เล่ห์กลรวมพรรคงูเห่ามาเข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเดิมเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อรวมเป็นเสียงข้ามาก ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ต่อมา ที่ได้สร้างแต่ความหายนะมาตราบปัจจุบันนี้
การที่คณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 กระทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลทักษิณ ที่มาตามระบอบประชาธิปไตย แล้วตั้งระบอบอมาตยาธิปไตยขึ้น มุ่งหมายทำการนำชาติและประชาชนไปในครรลองเดียวกับเผด็จการทหารพม่า ที่มีนางอ่องซาน ซูจี เป็นฝ่ายประชาธิปไตย(แต่สถานะของประชาชนไทย ค่อนข้างได้เปรียบกว่าพม่า ล้ำพม่าไปหลายขั้น) ทำการทำลายฝ่ายตรงข้ามตนทุกวิถีทางโดยมิชอบด้วยครรลองประชาธิปไตย เพราะการดำเนินการของระบอบอมาตยาธิปไตยโดยมีเป้าหมายเพื่อการปล้นชาติปล้นประชาชนอย่างแยบยลนั้น มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำแกนหลัก การล้มรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย ซึ่งมาโดยชอบตามระบอบประชาธิปไตย เสียงข้างมาก(ฝ่ายประชาธิปไตย) ลงนั้นเป็นเป้าหมายของคณะอมาตยาธิปไตย และการให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นรัฐบาลนั้นก็เป็นเป้าหมายอันสูงสุด ซึ่งในที่สุดคณะอมาตยาธิปไตยก็สามารถดำเนินการเป็นผลสำเร็จ โดยเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าสู่สถานะหัวหน้ารัฐบาล แต่การดำเนินการเหล่านี้หาชอบด้วยครรลองหรือวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยไม่ เพราะการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้มีการประชุมแต่งตั้งกันในค่ายทหาร แทนที่จะมีการเคารพในพรรคการเมือง ทำการประชุมกันในพรรคการเมือง โดยบงการ การชี้นำของเผด็จการทหารนั้น เป็นการขัดแย้งกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย อย่างตรงกันข้าม ในการนี้ย่อมบอกไปถึงเหล่าทหาร สถาบันทหารที่ด้อยความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย พร้อมร่วมมือกันกันกับหัวหน้าพรรคการเมือง คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไร้เดียงสาต่อระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวมา ทั้ง ๆ ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาจากประเทศแบบอย่างทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย นำวัฒนธรรมนั้นมาสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ตามประสงค์ของสถานศึกษา และเมืองแม่ จึงทำลายประชาธิปไตยไทยลงไปตามลำดับ
การเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ขึ้นมาโดยไม่ชอบด้วยครรลองประชาธิปไตย เพราะได้ตั้งองค์กรอิสสระขึ้นมาหลายองค์กร โดยมีความมุ่งหมายเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมล้างรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ไปเล่นกลการเมืองและกฎหมาย โดยองค์กรอิสสระที่ตั้งขึ้นสนองการปกครองระบอบอมาตยาธิปไตย กล่าวหาใส่ความและตัดสินเอง นับตั้งแต่ตัดสินยุบพรรคการเมืองของประชาชนฝ่ายรัฐบาลอันเป็นเสียงข้างมากเดิมคือพรรคไทยรักไทย แล้วพอสมาชิกพรรคไทยรักไทยไปจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นมาใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน ก็หาเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนลงไปอีกเป็นซ้ำสอง ครั้นต่อมาจึงได้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นมาว่า เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้หาเหตุยุบพรรคไทยรักไทย ด้วยการว่าจ้างสร้างพยานเท็จขึ้นมาอย่างแยบยลสมคบกันกับองค์กรอิสสระ จนยุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์คือไทยรักไทยได้ ในที่นี้เป็นที่ชัดเจนจริงว่า เพียง ดร.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียวเท่านั้น คณะอมาตยาธิปไตยเห็นว่าเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จนต้องใช้เครื่องมือการบริหารทุกชนิด ระดมมาเพื่อล่าและล้างให้จนได้ ตราบระยะหลังสุด ก็สั่งให้เครื่องบินที่ประจำหน่วยรบอากาศยานกองทัพอากาศไทยเอฟ 16 กับ เอฟ 5 อี ติดอาวุธครบอัตราศึก ขึ้นประกบเครื่องบิน ดร.ทักษิณ ขณะบินออกจากประเทศกัมพูชา ที่มาตามคำเชิญเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ท่านอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน โดยมุ่งหมายทำลายชีวิต ดร.ทักษิณ หากแต่สามารถล่วงรู้แผนการและหลบหนีไปได้ในน่านฟ้าสากล ตามที่เป็นข่าวไปทั่วเอเชีย และโลก ซึ่งนอกจากปรากฏในสายตามหาชนเสื้อแดงแล้วว่า ไม่เป็นความยุติธรรม ต่อมนุษย์คนหนึ่ง แล้ว ยังไร้ความชอบธรรมประการใดใดที่จะทำอย่างนั้น เพราะโดยศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาประจำชาติ ได้มีกฎแห่งสังคมไว้เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ว่าด้วยการฆ่า การทำลายชีวิต ว่าด้วยการพยาบาท การมุ่งอาฆาต และการจองเวร (หมายถึงเลิกแล้วต่อกันในเรื่องของอดีต ที่จักเป็นผลให้เรื่องราวเป็นเหตุเป็นผลของกรรม-วิบากต่อไป คือเรื่องไม่จบลงเสียที มีแต่จะต่อเรื่องให้ยืดยาวออกไปไม่รู้จบ) เพื่อเป็นเครื่องมือทำร้ายฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมือง ทำลายความสมดุลทางอำนาจ ที่ต้องคานกันอย่างมีอิสสระของสถาบันหลักที่มาจากเจ้าของอำนาจ คือปวงชนชาวไทย และให้เกิดความไขว้เขวในหน้าที่ของสถาบัน จนในที่สุดเกิดอำมะพาตทางการบริหาร ทำลายสถาบันหลัก ๆ ลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำลายมาตรฐานของสถาบันไปอย่างสิ้นเชิง อันเป็นสถานะของการเมืองการบริหารชาติไทยในเวลานี้ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากคณะรัฐประหารเป็นต้นเหตุ และอมาตยาธิปไตยเป็นตัวการหลัก ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ มีความเบื้อใบ้ ไม่เข้าใจความหมายของการปกครองของระบอบประชาธิปไตย แต่ฝ่ายอมาตย์ใช้รัฐธรรมนูญล้มล้างพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามตนโดยไม่ชอบด้วยความยุติธรรม ความเป็นธรรม และไม่ชอบด้วยครรลองของระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญ ได้แฝง ดังจะเห็นว่าในยุคอมาตย์นี้ มีการล้มพรรคการเมือง โดยมีความมุ่งหมายให้ฝ่ายค้านอ่อนแอ ไม่สามารถดำเนินการสร้างสรรค์ทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยไปได้
5. ยังมีสิ่งที่บอกไปถึงความไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยอีกหลายประการ ได้มีการก่อการหลายอย่าง ที่ร้ายแรง ซึ่งมีประชาชนคนไทยฝ่ายที่ไม่เข้าใจนั้นจำนวนหนึ่งก็ยังคงเห็นว่า ควรจะลืมเสีย นานพอแล้วที่ควรจะลืม ซึ่งบ่งไปถึงความไม่เข้าใจประชาธิปไตย โดยไม่เข้าใจว่า การตรงต่อกติกา และตรงต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อย่างจริงจังเท่านั้นจึงจะสามารถสถาปนาความเป็นธรรมขึ้นได้ในแผ่นดิน และย่อมจะตรงต่อสัจธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จะทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตาม บุคคลย่อมได้รับผลดีและชั่วที่ตนได้กระทำนั้น ไม่มีใครจักล้างกรรมตนเองได้ กรรมจะต้องตามสนองไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งหากมองตามหลักกรรมนี้ ความผิดที่มนุษย์กระทำไปจะต้องได้รับการติดตามชดใช้ โดยไม่มีอายุความ จนกว่ากรรมจะได้รับการสนองคืน และวิบากสิ้นสุดลงเท่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยของสถาบันและคนระดับนักการเมืองนักปกครองในประเทศนี้ยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
อันแสดงว่าประเทศสังคมไทยยังประกอบด้วยคนในความคิดอันป่าเถื่อนทั้งหลายมากมาย กว่าจะก้าวทันระบอบประชาธิปไตยที่เจริญก้าวหน้าในประเทศประชาธิปไตยที่แท้ได้ และกว่าจะไปเข้าใจคำกล่าวปราศรัยวันชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกาว่า จะนำประชาชนอเมริกาไปสู่อิสสรภาพและชัยชนะ ด้วยประชาธิปไตย (ประชาธิปไตยคือวิถีทางแห่งชัยชนะ อย่างไร?)
รัฐบาลจึงน่าจะหวลมาทบทวนพิจารณาตนเองว่าปัญหาทางการเมืองและการบริหารที่เกิดสับสนวุ่นวายขึ้นตามลำดับมานี้ ล้วนเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการบริหารไปตามวิถีทางประชาธิปไตยนั่นเอง และคติประชาชนคือเสียงสวรรค์ จึงน่าจะไม่ละเลยความหมายนี้เสีย หากรัฐบาลและสังคมยังไม่เข้าใจประเด็นปัญหาครรลองประชาธิปไตยอันนี้แล้ว ยากที่ประเทศไทยจะกลับสู่ความสงบ ยากที่จะเกิดการบริหารอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมวลชนประชาธิปไตย เพราะเท่ากับประเทศไทยได้เกิดมีกระแสที่สวนทางกัน คือกระแสเก่าที่หมุนกลับย้อน ซึ่งกำลังสวนทาง และต่อต้านคัดค้านกระแสใหม่คือประชาธิปไตย ทำไมประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานอำนาจการปกครองมาสู่ประชาชน ให้เป็นประชาธิปไตย จึงยังจะลังเลต่อไปอีก ทำไมจะต้องให้เสียเวลาการพัฒนาการไปตามเส้นทางประชาธิปไตย อันเป็นเส้นทางแห่งชัยชนะ ?
แต่ความจริงมีว่า เมื่อประชาธิปไตยมีหลักการที่คนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน โดยมีสิทธิ์เท่ากันคนละ 1 เสียงแล้ว ภาษิตว่า เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ และเมื่อเสียงประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอะไร ก็ดุจกระแสน้ำ นั่นแหละยากที่จะพ่ายแพ้ได้ อย่างไรก็ต้องก้าวไปสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเหตุผลพื้น ๆ ธรรมดา ๆ ซึ่งนำไปสู่หลักการประชาธิปไตยก็คือ คนมีความคิด หรือหลักการพระพุทธศาสนาก็คือ คนเป็นเวไนยสัตว์ ชาวพุทธย่อมเข้าใจดี เวไนยสัตว์คือคนที่สอน เรียน ศึกษาได้ คนมีวัฒนธรรม และคนรู้ดีว่าวัฒนธรรมนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ (วัฒนธรรมไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความคิดโบราณ ๆ แต่หมายถึงความคิดใหม่ หรือวิชาการใหม่ ๆที่สร้างสรรค์ ทั้งหมดด้วย หากไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้วจักพาประเทศชาติไปได้อย่างไร) ซึ่งนี่คือกระแส เว้นไว้แต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง อีกอย่างหนึ่งที่รัฐบาลและคณะผู้ปกครองควรจะได้มาสำนึกทบทวนว่า ประชาธิปไตยไทยเป็นผลมาจากกษัตริย์ โดยตรง ดังจะเห็นว่า รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาสทั่วแผ่นดิน นั่นหมายถึงอะไร ถ้าไม่ใช่การเตรียมยกระดับมวลชนพื้นฐานเพื่อทรงสร้างรัฐไทยให้เป็นประชาธิปไตย ท่านเข้าใจได้ว่าประชาธิปไตยระดับขั้นต้นพื้นฐานนั้น อย่างไร ๆ ระบอบทาสจะต้องได้รับการขจัดไปเสียก่อน เช่นเดียวกับประเทศอเมริกา ที่มีการขจัดระบบทาสอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นสงครามฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้อันยิ่งใหญ่ของสงครามกลางเมืองอเมริกา ที่สังเวยชีวิตทหารหาญที่รบเพื่อประชาธิปไตยไปอย่างมหาศาล นั่นแหละประชาธิปไตยอเมริกาจึงได้รับการสถาปนาขึ้นบนเลือดและเนื้อชีวิตของนักรบ ประชาธิปไตย และพวกเขาเป็นฝ่ายที่ชนะ สถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้อย่างมั่นคงและกลมกลืนกับความแตกต่างทางผิวสี เชื้อชาติ และศาสนาความเชื่อที่แตกต่างหลายหลาก ประชาธิปไตยเกิดไม่ได้ในระบอบทาส ชาวไทยทุกคนจึงต้องพ้นจากความเป็นทาส ทาสทางกายและทาสทางภูมิปัญญาความคิดอ่าน และอีกประการหนึ่งก็คือ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 นั้น ท่านอย่าลืมเป็นอันขาดว่ามีส่วนสำคัญของกษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้พระราชทานประชาธิปไตย ให้แด่ปวงชนชาวไทย โดยทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกเมื่อ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งพระบรมราช
โองการของมหาราชกษัตริย์ประชาธิปไตยพระองค์นั้น ได้ทรงเน้นเงื่อนไขว่า ทรงสละพระราชอำนาจ มิใช่เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือคณะบุคคลหนึ่งคณะบุคคลใด แต่ทรงพระราชทานอำนาจอธิปไตยนี้แด่ปวงชนชาวไทยทั้งสิ้น จึงน่าระลึกว่า การกระทำอย่างไร เป็นการขัดพระบรมราชโองการ และการขัดพระบรมราชโองการนั้นย่อมมีโทษานุโทษหนักเบา แต่กรณีนี้ย่อมหนัก จะต้องถึงตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรได้ตามระบอบกษัตริย์ไทยมาแต่โบราณ จึงจะต้องสังวรให้มากทั้งในนัยของกฎหมายสูงสุด และนัยของความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ก็ย่อมทรงน้อมรับพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงพระราชทานอำนาจสูงสุดนี้แด่ปวงชนชาวไทย มาปฏิบัติตามอยู่แล้ว รัฐบาล ข้าราชการ ทหาร หรืออมาตย์ ข้าราชบริพารในองค์พระมหากษัตริย์ จึงต้องมาคิดว่า ไหน ๆ ประเทศไทยก็ได้รับพระราชทานระบอบประชาธิปไตยลงมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2475 และกษัตริย์ทุกพระองค์แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงสนับสนุนประชาธิปไตยมาตลอด จึงยากเหลือเกินที่กระแสประชาธิปไตยจะไหลไปสู่ระบอบอื่นตามที่คนสำคัญบางคนที่หัวเก่าเป็นอมาตยาธิปไตยจะรับเอาไว้ได้ เพราะประชาชนเขาไม่ยอมรับ ประชาชนคือเสียงสวรรค์เท่านั้น เสียงสวรรค์ย่อมนำไปสู่ชัยชนะอย่างแน่นอน โดยปราศจากความสงสัยคลางแคลงใจใดใดเลย
การแก้ปัญหาทางการเมืองยุคนี้ ยุคที่คนเป็นอิสรภาพ ปราศจากระบบทาสแล้วนั้น จึงมีทางเดียววิถีทางเดียวคือ แก้ปัญหาด้วยวิถีหรือครรลองประชาธิปไตย เท่านั้น
ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็โปรดนำไปคิดดูความหมาย คำว่า “จงคืนอำนาจให้ประชาชนเสียเถิด” (ให้ประชาชนเขาตัดสินใจในเรื่องการปกครองของพวกเขาเอง)
และวลีอมตะวันนี้ก็คือ จงเชื่อในประชาชน! จงเชื่อในประชาชน! จงเชื่อในประชาชน!
- บานไม่รู้โรย
13 ธ.ค. 2552
19. กระทรวงศึกษาธิการทำอะไร? สอนอะไร?
นโยบายด้านการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ ไม่มีรูปธรรมเลย ทำอะไรบ้างเกี่ยวกับการศึกษาของชาติในขณะนี้ ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ล่าสุดมีผลงานชนิดหนึ่งที่เกี่ยวอยู่บ้าง เป็นโครงการของรัฐบาล(หมายความว่ามีงบประมาณสนับสนุนสำหรับว่าจ้างประชาชน) ระดมมวลชนมาร้องเพลงชาติ ในโรงเรียน เวลาเย็น ๆ ค่า ๆ พากันร้องเพลงชาติ แต่กลับร้องเพลงชาติในขณะชักธงชาติลง ซึ่งไม่เคยมีคนไทยเคยทำมาก่อน ในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องตลกและขบขันที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นแนวคิดทำงานที่ไร้ความหมาย การชักธงชาติลง ภาพที่เห็นคือธงสามสีของไทยเลื่อนจากสูงลงมาต่ำ ในสังคมคนทั้งหลายทั่วโลก ยังคงมีการถือความเชื่อเดิมอยู่มาก โดยคนเก่าก่อนถือว่าเป็นลางร้าย คนสมัยใหม่ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ตกต่ำ ทุกคนย่อมมีความพอใจยินดีที่จะได้เห็นการเคลื่อนไปสู่ความสูงส่งมากกว่าจะเห็นการเคลื่อนลงมาต่ำใต้ ดังเช่นความชื่นชมที่ได้เห็น การประชุมระดับชาติ ล้วนเห็นธงทิวของชาติต่าง ๆ สะบัดพลิ้วอยู่เหนือยอดเสา เป็นต้น
มีเรื่องราวที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ในยุคนี้ก็คือ การศึกษาทางเพศศึกษาฟูเฟื่องมากจริง ๆ โดยมีการจัดผ่านสื่ออินเทอเนต ซึ่งในการนี้ได้มีการถ่ายภาพชุดเพศศึกษาภาคปฏิบัติในโรงเรียน ในโรงแรม ในบ้าน ในชายหาด และชายทุ่ง ฯลฯ ออกมาเป็นเรื่อง ๆ มีการรับสมัครเด็ก เยาวชน นักศึกษาเพื่อไปถ่ายภาพเพศศึกษานี้โดยให้ค่าตัวอย่างสูงลิ่ว และซึ่งกำลังดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ในวงการศึกษาเป็นอย่างมาก แล้วทะยอยเอาเรื่องราว ซึ่งอ้างว่าเป็นเพศศึกษาภาคปฏิบัติซึ่งที่จริงคือภาพโป๊ะที่ปลุกเซกส์อย่างแรง ที่เร่งความกำหนัดไปอย่างสุด ๆ ออกสู่สื่ออินเทอเนต ตามลำดับ เป็นวงจร มีการวางแผนการผลิต มีการรับสมัครดาราโป๊ว ซึ่งโดยมากรับนักเรียน นิสิตนักศึกษา เยาวชน ที่ยังไม่ประสีประสาในเรื่องเพศสัมพันธ์ มีการสร้างฉากถ่ายทำจริง ๆ ไปจนถึงแผนการตลาด ซึ่งเป็นระบบการอาชีพสกปรกชนิดหนึ่งเต็มบ้านเมืองไทยขณะนี้ ซึ่งไร้การดูแลตรวจสอบจากผู้ที่เกี่ยวข้อง มีบทเรียนเพศศึกษาสำหรับเด็กเยาวชน นักเรียนที่ดังมากก็คือ เรียนเพศศึกษาภาคปฏิบัติกับน้องพลอย ซึ่งเป็นเรื่องที่รายงานเหตุการณ์จริง เกี่ยวกับเยาวชนหญิง มัธยมศึกษาตอนต้นคนหนึ่ง ที่ได้เรียนเพศศึกษาภาคทฤษฎีจากโรงเรียนมาแล้ว ก็ออกไปศึกษาเพศศึกษาภาคปฏิบัติ แล้วไปพบรุ่นพี่ ก็ได้ศึกษาภาคปฏิบัติจากรุ่นพี่ สอนให้เข้าใจในสิ่งที่สงสัยทุกเรื่อง นับตั้งแต่เรื่องอวัยวะเพศ ของชายหญิง และอาการของมันที่เมื่อมีความต้องการทางเพศ มันจะเป็นอย่างไรบ้าง และตลอดทั้งที่สงสัยที่สุดก็คือ การร่วมเพศคือทำอย่างไร ก็ได้มีการสอนภาคปฏิบัติให้น้องพลอยอย่างแจ่มแจ้งสิ้นความสงสัยทุกประการ เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ยังมีการเดินเรื่องต่อไปอีก มีเพื่อนของน้องพลอยเก่งทางเพศศึกษาแล้ว ก็ทำตัวเป็นครูสอนเพศศึกษาให้เด็ก ๆ ผู้ชาย กลายเป็นว่าเด็กหญิงล่าชาย เป็นครูสอนเพศศึกษาให้ผู้ชายเสียอีก นี่เป็นเรื่องที่กำลังฮิตกันมากในวงการเพศศึกษาภาคปฏิบัติ ในวงการเวบไซต์ลามกอนาจารไทย
แต่ที่ชัดเจนกว่าข้อเขียนก็คือทำการถ่ายทำเป็นภาพสด ๆ การร่วมเพศ ชายหญิง มีทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น ถึงชราภาพแล้ว แสดงการศึกษาทางเพศสัมพันธ์อย่างจริง ๆ เป็นเรื่องจริง ออกมามากมาย และมีบุคคลและบริษัทสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับเพศศึกษาภาคปฏิบัตินี้เกิดขึ้นใหม่ ๆ มากมายหลายบริษัท ที่แข่งขันกันอย่างหนัก สามารถเสนอขายสินค้าในนามเพศศึกษาภาคปฏิบัตินี้สู่มวลชน ผ่านสื่อทุกชนิด แม้กระทั่งมีการโฆษณาซื้อขายกันผ่านระบบไปรษณีย์ไทยก็มีมากจนเป็นเรื่องปกติ แน่นอน เด็ก ๆ เยาวชนในโรงเรียน ที่นายจุลินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ดูแลอยู่ เขาแอบไปศึกษากัน
การที่ปล่อยให้วงการสื่อสารมีเคเบิลทีวี และอินเทอเนตเปิดให้มีการสอนเพศศึกษาภาคปฏิบัติที่แสดงการเพศสัมพันธ์กันอย่างโจ่งครึ่มนี้ รัฐบาลไม่มีมาตรการจัดการเลย ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องรับผิดชอบร่วมกันไปกับกระทรวง ไอซีที (ยังมีกระทรวงนี้อยู่หรือเปล่า?) และแน่นอน ต้องรับผิดชอบร่วมกับนายสาธิต วงศ์หนองเตย รมว.สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ควบคุมดูแลสื่ออยู่ แต่ก็จะเห็นว่า นายสาธิต วงศ์หนองเตย ไม่สามารถทำอะไรได้กับสื่อลามกอนาจารเหล่านี้เลย ยิ่งนายสาธิตนี้มีข้อครหามากว่า ดีแต่คอยควบคุมสื่อที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะควบคุมสื่อฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองฝ่ายเดียว ทำได้แต่กับสื่อไทย ๆ แต่สื่อนอก ๆ อย่างกูเกิล น่าจะลองไปประสานงานกับเขาดู ได้หรือไม่
แต่ประเทศไทยยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญหามากมายหลายปัญหาเหลือเกิน แต่ละปัญหาก็ไม่เคยมีการแก้ไข มีแต่แก้ไปผิดพลาดไป จึงเพิ่มปัญหาบ้านเมืองขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดจบ ปัญหาเวบโป๊ว ที่กำลังทำลายเด็ก ๆ มัธยมศึกษา ที่ไม่มีรัฐบาลเหลียวแลดูแลเลย เป็นอีกปัญหาด้านหนึ่งที่นับวันจะมากขึ้น ๆ เพราะมีสาเหตุมาส่วนหนึ่งจากพิษเศรษฐกิจทรุด แล้วมีการสร้างและเสนอขายของบริษัทเวบโป๊วมากมายหลายบริษัท โดยผู้สร้าง มุ่งรับสมัครเด็กนักเรียน เยาวชน นักศึกษา ให้ไปถ่ายภาพ และคลิปวีดีโอโป๊ ให้ค่าจ้างอย่างสูง ซึ่งในขณะนี้ลามไปถึงระดับแม่บ้าน ระดับครอบครัวผัวเมีย ที่ถ่ายภาพการร่วมเพศของตนส่งขายยังบริษัทเวบโป๊ว เพื่อสนองตลาด ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะคิดแก้ไข ด้วยมาตรการใดใดเลย
นั่นคือปัญหาสังคม วัฒนธรรม และศาสนา
ด้านวัฒนธรรม สังคมไทยยุคอภิสิทธิ์กำลังเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่ลามกอนาจารไปสุด ๆ นั่นคือวัฒนธรรมกาม โดยที่ได้รับการเผยแพร่ออกไปทางสื่อโดยเฉพาะสื่ออินเทอเนต โทรทัศน์ และ เคเบิลทีวีที่มีภาพยนตร์มาฉายกันตลอดวันตลอดคืน และกลุ่มเป้าหมายของวัฒนธรรมใหม่ที่ลามกอนาจารหรือวัฒนธรรมกามนี้ก็คือ เด็กเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ ยุคนี้ก็ไร้ความรับผิดชอบไปโดยสิ้นเชิง ๆ อันจะเป็นการทำลายวัฒนธรรมอันดี นี้เลย
การสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นในวงการเยาวชน นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัย ขณะนี้กำลังขยายออกไปบนฐานเดิมของวิชาเพศศึกษา ขยายออกไปในนามเพศศึกษาภาคปฏิบัติจริง ๆ ที่เกินขอบเขตของการศึกษาเพศศึกษาตามปกติ แต่เป็นเพศศึกษาที่เลยเถิดไปถึงเป็นวัฒนธรรมการเสพกาม อย่างไร้ความหมายของความเป็นมนุษย์ เกินความหมายของความเป็นประชาธิปไตย เพราะเกิดวัฒนธรรมทราม ๆ ขึ้นในวงการสื่อ เป็นต้นว่าวัฒนธรรมการเสพกามหมู่ เช่นรุมเสพกามโดยมีผู้หญิงคนเดียวผู้ชายจำนวนมากมาย(เป็นโขลง) มีวัฒนธรรมเสพกามแบบซาดิสม์ ไปสุด ๆ มีการเล่าเรื่องประกอบ เช่นเรื่องเมียหม้ายผู้หยิ่งผยองของท่านนายพล ที่เดินเรื่องให้ได้มาเสพกามกับคนชั้นต่ำ และทหารทั้งค่าย กำลังแพร่ระบาดไปทุกวงการ ไม่เฉพาะในวงการเยาวชน นิสิต นักศึกษา เนื่องด้วยเวบโป๊วเต็มแผ่นดินไทยขณะนี้ในยุคนายสาธิต วงศ์หนองเตยบริหารสื่อ ในยุคที่นายจุลินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ บริหารโรงเรียน และในยุคที่มีนายธีระ สลักเพชร เป็นรัฐมนตรีฝ่ายวัฒนธรรมของกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งไม่มีผลงานอะไรกับเขาเลยเหมือนกัน(แม้กระทั่งชื่อรัฐมนตรีก็ไม่มีใครรู้จัก)
ซึ่งการดูแล บริหารนโยบายวัฒนธรรมระดับนี้ก็ควรตกอยู่กับกระทรวงวัฒนธรรม ในรูปแบบประเด็นของวัฒนธรรมก็คือ การปฏิบัติต่อกันทางเพศ ได้มีลักษณะเป็นวัตถุนิยมไปอย่างเต็มตัว นั่นคือ ไม่มีเรื่องของจิตใจ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันดีของสังคมอยู่เลย เป็นเรื่องของวัตถุแห่งความใคร่กันล้วน ๆ คือมีการมองเรื่องปฏิบัติการทางเพศเป็นเพียงการสนองความต้องการชนิดหนึ่ง มองมนุษย์เป็นเพียงวัตถุแห่งความใคร่ซึ่งกันและกันเท่านั้น ซึ่งเมื่อมีความต้องการขึ้นแล้วก็ไม่จำเป็นหรือไม่พึงมองเหตุผลอื่นใดนอกไปจากสนองต่อความอยากเสียในขณะบัดนั้น ซึ่งมีผลเกิดขึ้นก็คือ พ้นทุกข์ทรมานไปเพราะความกำหนัด ความอยากได้ลดหายไปเสร็จสมดังอารมณ์ที่ปรารถนาแล้วก็แล้วกันไป นี่คือวัตถุนิยม ซึ่งโทษของมันนั้นอย่างไร กระทรวงวัฒนธรรมควรจะต้องเข้าใจ เพราะการบำบัดความใคร่ด้วยความใคร่ ไม่เคยมีการหยุดจบ มีแต่จะเพิ่มความใคร่ให้ทวี เพิ่มความปรารถนาลามกอนาจารยิ่งขึ้นไป ๆ เหมือนโรคระบาด จนกำลังกลายเป็นการนิยมเสพกามกันในหมู่นักเรียนนักศึกษากันอย่างโจ๋งครึ่ม การนิยมเสพกามระหว่างครูกับลูกศิษย์ ทั้งครูชาย กับทั้งครูหญิง ที่เสพกามกับลูกศิษย์ นายจ้างฝรั่งแอบเสพสมกับลูกจ้างสาวไทย การนิยมเสพกามหมู่ เช่นผู้หญิงคนเดียวเสพกับผู้ชายหลายคน ผู้ชายคนเดียวเสพกับผู้หญิงหลายคน ในครอบครัว แพร่มาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น พ่อเสพกามกับลูกสาว ปู่เสพกามกับหลานสาว หลานสาวเสพกามกับปู่ ตอบแทนพระคุณ ทั้งหมดนี้มีเผยแผ่อย่างเปิดเผยทางอินเทอเนตไทย ในเมืองไทยทุกวันนี้หลายหลากรูปแบบหลายหลากความหมาย หลายหลากรสนิยมอย่างยิ่ง โดยการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่เข้าใจถึงพิษภัยของอนารยธรรมนี้เลย และกระทรวงที่เกี่ยวข้องเมินเฉย ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของชาติไทย ทำลายเด็ก นักเรียน เยาวชน เป็นบ่อเกิดของความหมกมุ่นในกามารมณ์กันตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้สังคมไม่ให้ความสำคัญของวัฒนธรรมอันดีงาม ที่เคยรักนวลสงวนตัว หรือสังคมพรหมจารี ที่เป็นวัฒนธรรมทางเหตุผลแห่งสังคมปกติ ต้องล้มเหลวลงไป
สิ่งเหล่านี้นี่เกิดขึ้นในรัฐบาลนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายจุลินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสาธิต วงศ์หนองเตยเป็นรมต.คุมสื่อสารมวลชนทั้งหมด รวมทั้งนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงไอซีที(ไม่แน่ใจว่ามีกระทรวงนี้หรือไม่?) ซึ่งประชาชนไม่ค่อยรู้จักและไม่รู้ไม่ได้ยินชื่อรัฐมนตรีด้วยซ้ำ ซึ่งมีหน้าที่แต่ไม่เคยเหลียวแลดูปัญหาเยาวชน เช่นนี้เลย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวมาจากเมืองจีนว่าจีนตั้งค่าหัวเว็บโป๊ เวบละ 72,000 บาท เนื้อข่าวมีว่า เจ้าหน้าที่ในประเทศจีนเอาจริงเอาจังในการปราบเว็บไซต์ลามก ด้วยการ เสนอเงินรางวัลสูงถึง 72,000 บาท สำหรับนักเล่นอินเตอร์เน็ตที่รายงานเว็บไซต์ที่เผยแพร่ภาพลามก (ข่าวไทยรัฐ 6 ธ.ค.2552) ถ้าไม่กล้าทำเพราะไม่มีความคิด เมื่อได้ยินข่าวจากจีนนี้แล้วก็ควรลอกเลียนแบบเขาได้แล้ว อย่าปล่อยให้ทำลายเยาวชน ทำลายสังคมต่อไปอีกเลย บ้านเมืองกำลังประดังปัญหาด้านมาต่าง ๆ ตามมาเป็นระลอก ๆ เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเอง
- ปาลภพ พิบูลย์มโนธรรม
16 ธ.ค.2552
20. สื่อบิดเบือนไม่พูดความจริง ทำลายความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง
ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของระบอบอำมาตยาธิปไตย และอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตย กลุ่มมวลชนที่นิยมการปกครองทั้ง 2 ระบอบอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม เพื่อความมั่นคงของคนในชาติ
การปกครองของระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นระบอบเก่าที่มีเจ้าขุนมูลนายเป็นผู้ปกครอง ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายระดับล่างอย่างหมู่บ้าน ตำบล ท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศ เป็นระบอบการสรรหาผู้ปกครองเข้ามาบริหารองค์กร โดยผ่านความเห็นชอบของกลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจคณะหนึ่งเรียกโดยรวมว่าอำมาตย์ แล้วเสนอนามให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง จึงจะถือว่าถูกต้องสมบูรณ์ การสรรหาในลักษณะนี้ประชาชนมิได้มีส่วนร่วมในการคัดสรรผู้ปกครอง เพราะอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่อำมาตย์ ที่ถูกอุปโหลกมาช้านานว่ามีคุณธรรม มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ คิดเห็นอะไรถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น เพราะเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจการบริหารผ่านตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งมาบริหารองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการปกครองระดับหมู่บ้าน ตำบล ท้องถิ่น หรือระดับประเทศ มีผู้แทนสมัครลงเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ละพรรคจะต้องประกาศนโยบายเพื่อจูงใจให้ประชาชนชื่นชอบ และเมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้วก็ดำเนินงานตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ การปกครองในระบอบนี้ต้องเคารพเสียงข้างมากของประชาชน จะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ เพราะหลักการประชาธิปไตยคือ การปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน
กลุ่มคนเสื้อเหลืองและนักวิชาการอำมาตย์ คือกลุ่มบุคคลส่วนน้อยของประเทศที่นิยมการปกครองในระบบเก่าเป็นระบอบศักดินาเจ้าขุนมูลนาย มอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้กลุ่มอำมาตย์คัดเลือกคณะบุคคลเข้ามาบริหารประเทศ ดังนั้นคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้เจ้าขุนมูลนายชื่นชอบ จึงจะได้เข้ามาสู่ตำแหน่งบริหาร และเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่มีอิสระในการตัดสินใจ เพราะอิงอยู่กับอำมาตย์ การดำเนินนโยบายต่างๆไม่เด่นชัดไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ไม่ละเว้นแม้แต่ค่านิยม ความรู้สึกนึกคิด ประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปกำหนดให้ผู้ปกครองต้องทำตาม
กลุ่มคนเสื้อแดง คือกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศที่นิยมการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือเสรีนิยม โดยมีหลักการว่าผู้ปกครองต้องมาจากพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ประชาชนมอบอำนาจให้มาทำหน้าที่บริหารประเทศในระบบตัวแทน ด้วยมุ่งหมายว่าผู้แทนที่เลือกเข้ามาจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้กับประชาชนและผู้ปกครองต้องได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นทางการจากองค์พระประมุขของประเทศจึงจะถือว่าถูกต้องชอบธรรมด้วยกฎหมาย การปกครองในระบอบนี้ผู้แทนต้องฟังเสียงประชาชน การดำเนินนโยบายใดๆที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความอยู่ดีกินดีของประชาชน ประชาชนสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนจะได้รับก็คือความพึงพอใจ สิทธิเสรีภาพอันควรจะเป็นตามที่กฎหมายกำหนด
พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร ”
“ บัดนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ”
นับแต่นั้นมาประเทศไทยจึงมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ประกาศว่าประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย นับเป็นเวลาถึง78 ปี แต่การเมืองในประเทศไทยไม่เคยมีเสถียรภาพ มีการรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึง 12 ครั้ง แต่ละครั้งโดยคณะนายทหารทั้งสิ้นและจัดการให้คณะบุคคลของตนมาบริหารประเทศแทน สร้างความไม่พอใจให้กับนักวิชาการ นักศึกษา ประชาชนได้ออกมาชุมนุมต่อต้าน และถูกกวาดล้างจากกำลังของกองทัพตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2516 2519 2535 ด้วยข้อหากล่าวหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อจลาจล นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นภัยร้ายทำลายความมั่นคงของประเทศ
การที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองออกมาชุมนุม โจมตีและขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เพราะคนกลุ่มนี้ศรัทธาในระบอบอำมาตยาธิปไตย หรืออาจมีมวลชนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างถ่องแท้จึงเข้าร่วมขบวนการล้มล้างรัฐบาลด้วย เพราะเข้าใจว่านายกทักษิณและส.ส.พรรคไทยรักไทยคิดเป็นใหญ่ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี ตามคำโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อ A-STV ของแกนนำกลุ่มพันธมิตร แต่ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อถือได้ ด้วยตลอดเวลา 5 ปี ที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศได้ดำเนินนโยบายประชานิยม ตามที่แถลงไว้ครบถ้วน ไม่เคยมียุคใดในระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยจะได้รับการช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาเท่ายุคที่พรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ ดังนั้นเมื่อดึงมวลชนไม่สำเร็จ จึงเกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าเรียกตนเองว่า คมช. ครั้งนี้ได้พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรีมาเป็นนายกรัฐมนตรี มีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ.2540 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ คมช. พ.ศ.2550 ตั้งองค์กรอิสระขึ้นหลายหน่วยงาน ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาคุมอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ แต่องค์กรเหล่านี้มิได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง ฯ คมช.จึงให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติ เพื่อรับรองทั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และองค์กรอิสระไปพร้อมๆกัน ผลปรากฏว่าผ่านการรับรองจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยหวังใจว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้นโดยเร็ว โดยที่ประชาชนไม่ล่วงรู้เลยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ให้อำนาจแก่องค์กรอิสระอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด องค์กรอิสระสามารถสั่งยุบพรรคการเมืองได้และตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี สามารถตัดสินให้โทษย้อนหลัง ซึ่งไม่มีกฎหมายประเทศไหนเขาทำกัน จนกระทั่งได้ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยองค์กรอิสระไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเหล่านี้ได้แสดงหลักฐานคัดค้านแต่อย่างใด และกองทัพได้สนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคอื่นมาบริหารประเทศแทน
แม้กาลต่อมาปรากฏว่ามีพยานบุคคล 2 คนออกมาบอกว่าถูกว่าจ้างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย องค์กรอิสระก็ไม่ยอมให้มีการสอบสวน กลับอ้างว่าเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชัดแจ้งว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำผิด พรบ.พรรคการเมือง ไม่รักษาและบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรกรณียึดสนามบินนานาชาติ และสถานที่ราชการ มีการร้องเรียนจากประชาชน กลุ่มแพทย์ชนบท ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทุจริตเชิงนโยบายในโครงการไทยเข้มแข็งแทบทุกกระทรวง ไม่สนใจการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซ้ำเติมประชาชนด้วยการขึ้นภาษีน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต สร้างหนี้ให้ประเทศมหาศาล ใช้งบประมาณไปในเรื่องไม่เป็นเรื่อง สนใจแต่ความอยู่รอดของรัฐบาล ไม่สนใจความอยู่รอดของประชาชน สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนอย่างยิ่ง คือนโยบายการสร้างภาพว่าประชาชนอยู่ดีมีสุข ทั้งๆที่เสียงที่สะท้อนออกมาไม่เป็นเช่นนั้น
การยึดอำนาจของประชาชน และบริหารประเทศไม่ได้ ประชาชนลำบากยากจนไปตามๆกัน ทำให้ประชาชนต้องออกมาชุมนุมต่อต้านเพื่อให้ยุบสภา ลาออก และจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ รัฐบาลกลับเพิกเฉยและใช้สื่อของรัฐ กล่าวหาประชาชนที่ไม่เห็นด้วยว่าเป็นพวกนิยมระบอบทักษิณ มีความคิดจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อจลาจล เป็นภัยของชาติ ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานกับประชาชนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล ไม่ดำเนินการกับองคมนตรีผู้บุกรุกเขายายเที่ยง และนายทุนอำมาตย์ที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเขาสอยดาวมาสร้างเป็นสนามกอล์ฟ
สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และกำลังฉุดรั้งประเทศให้ล้าหลังหรือถ้าไม่ยุดยั้งให้เป็นไปตามนิติธรรม นิติรัฐอาจหมายถึงสงครามกลางเมืองและการสิ้นชาติได้
แทนที่สื่อสารมวลชนจะตระหนัก และทำหน้าที่ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา รายงานข่าวสารตามที่เป็นจริงแก่ประชาชนทั้งหมด มิใช่รายงานความจริงเพียงด้านเดียว ของฝ่ายรัฐบาลและนักวิชาการอำมาตย์ ที่ถูกต้องไปถามคนเสื้อแดงว่าเขาออกมาเคลื่อนไหวทำไมอย่างไร และมีเป้าหมายเพื่ออะไร คนเสื้อเหลืองต้องการอะไร ทำไม ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจว่าใครผิดใครถูก แนวความคิดไหนเป็นประโยชน์ เป็นโทษ ดังเช่นประชาชนคนเสื้อเหลืองจำนวนมากพอมาได้ยิน ได้ฟังความรู้สึกนึกคิดและอุดมการณ์ของประชาชนคนเสื้อแดงทางสถานีประชาชน ประกอบกับความจริงที่ปรากฏได้อธิบายเหตุผลของตัวมันเอง เขาตาสว่างทันทีว่า “ กูนี่ช่างโง่เหลือเกิน สิทธิเสรีภาพของตนเองไม่อยากได้ ดันจะกลับไปเป็นทาส จึงหันมาใส่เสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตยกับเขาด้วย ” มิใช่มานำเสนอว่าคนเสื้อแดงกำลังคิดจะล้มเจ้า สร้างความปั่นป่วน เป็นศัตรูคุกคามความมั่นคงของชาติ เพราะแท้จริงแล้วฝ่ายอำมาตย์ องค์กรอิสระ และรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หักหาญบีบคั้นจิตใจของประชาชนอย่างรุนแรง ด้วยการไม่ยอมให้พรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลือก เข้ามาบริหารประเทศ แม้เมื่อชนะการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ก็ใช้อำนาจล้มล้างไปถึง 3 รัฐบาลและประชาชนต้องยินยอมให้รัฐบาลที่อำมาตย์เห็นชอบให้เข้ามาบริหารประเทศโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่รัฐบาลชุดนี้บริหารไม่ได้ สร้างหนี้สินให้ประเทศ นำความลำบากอดอยากยากจนมาสู่ประชาชนโดยถ้วนหน้า ประชาชนก็ต้องยอมรับสภาพความแร้นแค้นโดยดุษฎี เพราะกลุ่มอำมาตยาธิปไตย รัฐบาลอำมาตย์ เขาเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ใครขัดขืนไม่ได้ หากขัดขืนจะกลายเป็นคนเลว เป็นผู้ร้ายขายชาติ เป็นโจรปล้นแผ่นดิน
อยากถามว่าสื่อสารมวลชน ซึ่งที่จริงก็คือนักวิชาการแขนงหนึ่งว่า “ ประชาชนผู้รักเสรีภาพเขายังคับแค้นใจไม่พอหรือ คุณยังซ้ำเติมเขาด้วยการร่วมเป็นสื่ออำมาตย์บิดเบือนความจริงเข้าไปอีก คุณทำเช่นนี้กับคนไทยทั้งประเทศได้อย่างไร หากประเทศต้องลุกเป็นไฟเพราะการยุแยงแตกแยก คุณจะมีแผ่นดินที่สุขสงบเช่นนี้อีกหรือ ประชาชนที่เคยใส่เสื้อเหลือง ไปชุมนุมกับแกนนำพันธมิตรเขายังคิดได้ ทำไมคุณยังตาบอดอยู่ แล้วจะเหมาะกับอาชีพสื่อสารมวลชนได้อย่างไร
หรือไม่เชื่อคุณลองเช็คเรตติ้ง ยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ จำนวนดาวเทียมที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่เว้นแม้แต่อำเภอต่างๆในชนบท ทำนายได้เลยว่าอนาคตของสื่ออำมาตย์จะต้องเป็นบุคคลผู้ด้อยโอกาสทางความสามารถหาเลี้ยงชีพ เพราะความลวงโลกได้ทำลายความน่าเชื่อถือของคุณหมดแล้ว เมื่อนั้นคุณอาจกลายสภาพมาเป็นสมัชชาคนจนเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอให้รัฐบาลช่วยเหลือ พระพุทธองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่า “ ผู้มีวาจาทุศีลเป็นนิจจะทำลายบารมีของบุคคลนั้น จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด แม้เป็นความจริงก็ไม่มีใครเชื่อถือ ” กัมมุนา วัตตตีโลโก”
กระจกเงา
24 ม.ค. 53
21. แนวรบ ไซเบอร์ Cyber Front
พลเอกเปรม กำลังคุกคามสถาบันกษัตริย์
ความเห็นที่ 10 (2014839)
พลเอกเปรม เป็นประธานองค์มนตรี ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประพฤติธรรมทศพิธราชธรรม คือธรรมสำหรับคนดี กษัตริย์ดี ถึง 10 ประการ จนคนไทยทั้งประเทศได้สัมผัส คนทั้งโลกล่วงรู้กิตติศัพท์ ว่าทรงประพฤติธรรมอย่างไร ทรงบริสุทธิ์อย่างไร และทรงประกาศธรรมอย่างไร จะปกครองโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม
และทรงยอมรับรัฐธรรมนูญทุกฉบับเสมอไป ซึ่งหมายถึงทรงยอมรับว่าทรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจเป็นของประชาชน
พลเอกเปรม เป็นคณะอะไร (โดยพฤตินัยก็คือข้าราชการนอกราชการ ที่เกษียณอายุแล้ว ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปก้าวก่ายหน้าที่ของราชการงานเมืองอีกต่อไปแล้ว) นอกจากคณะรับใช้ องค์พระมหากษัตริย์ ประพฤติตนอย่างนี้ ดุจดั่งทำการคุกคามสถาบันกษัตริย์ ด้วยซ้ำ การแสดงออกถึงอำนาจเหนือกองทัพ เหนือสถาบันของประชาชนทั้ง 3 อำนาจ คือนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ นั่นหมายถึงการซ่องสุมกำลัง ขนาดหนัก ร้ายแรง จนน่ามองว่าเป็นการคุกคามสถาบันกษัตริย์
น่าเป็นห่วง ที่ประชาชนไม่ได้รู้ความจริงเบื้องหลังการซ่องสุมกำลังของพลเอกเปรม เช่นนี้เลย ว่าหมายความว่ากระไรบ้าง ต่อสถาบันกษัตริย์
และสถาบันกษัตริย์ มิได้ทรงแสดงพระอาการอะไร ทรงนิ่งอยู่ในธรรมอย่างสนิท.. แต่ประชาชนก็เป็นห่วงพระองค์ ...
- ผู้แสดงความคิดเห็น บึงมะลู(หิ่งห้อย) วันที่ตอบ 2010-01-14 22:22:09
ความเห็นที่ 11 (2014960)
เพราะพระมหากษัตริย์ไทย ทรงประพฤติธรรมในพระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งสันติ เมตตา พระพุทธศาสนามิให้ถืออาวุธ กษัตริย์ไทยจึงทรงสละเสียซึ่งพระเดช ทรงบำเพ็ญแต่ด้านเดียวคือ พระคุณ มิได้ทรงเอาชนะด้วยพระเดช แต่ทรงเอาชนะด้วยพระคุณสถานเดียว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทรงสละเสียซึ่งอาวุธ และกองกำลัง มาถือธรรมะ อุปมาเหมือนพระยาราชสีห์ที่สละเขี้ยวเล็บ สิ้นแล้ว ทรงอยู่ในธรรม จำศีล ดุจพระองค์หนึ่ง
คณะผู้รับใช้ คือ องค์มนตรี ซึ่งเป็นข้ารับใช้ ก็ย่อมจำเริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นคือ บำเพ็ญตนอย่างพระ ตามไปด้วย ต้องสละเสียซึ่งอาวุธ กองกำลัง มาถือธรรมะ ตามพระองค์ไปด้วย มาเป็นเสือสิงห์ถอนเขี้ยวเล็บมาจำศีล ไปตามด้วย
และที่จริงรัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดให้องค์มนตรีมีหน้าที่อย่างไร โดยไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่แล้ว
แต่แล้ว มาบัดนี้ คณะผู้รับใช้พระองค์ คือคณะองค์มนตรี นำโดยพลเอกเปรมตินสูลานนท์ กลับแสวงหาอำนาจ แสวงหาพระเดช โดยเป็นการทรยศต่อระบอบประชาชน และกระทำผิดกฎหมายสูงสุดของประชาชน โดยการใช้กำลังกองทัพไทย ยึดอำนาจของประชาชนคืนไป ด้วยการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2553 โดยการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ (อ้างว่าตนเป็น คณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)
ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยพระบรมราโชบายการปกครองประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงยอมรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทรงยอมรับในอำนาจของประชาชนโดยที่ได้ทรงปฏิบัติมาสม่ำเสมอในการที่ทรงยอมรับรัฐธรรมนูญทุกฉบับเสมอไป ซึ่งหมายถึงทรงยอมรับว่าทรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน และที่สำคัญก็คือทรงสละฆราวาสวิสัย โดยทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมมาตลอดพระชนมายุ
แต่บัดนี้ องค์มนตรีต่างประพฤติตนทุจริต โลภ มัจฉริยะตระหนี่ กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วไร้สำนึกของความชอบธรรม และไร้ธรรมะ ไร้หิริโอตตัปปะ ไม่สมควรแก่การเดินตามรอยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรากฎแก่สายตาประชาชนทั้งหลายอย่างโจ่งแจ้ง
มิได้มีความรู้สึกสำนึกความผิดชอบ ชั่ว ดี ดำเนินการปราบปรามประชาชน เจ้าของอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยหนักข้อยิ่งขึ้นกระทำตนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของชาติเด่นชัดยิ่งขึ้น ดังเช่นล่าสุดได้เรียกนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยเข้าไปรับนโยบายถึงที่พำนักของตนโดยสั่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไม่ให้ยุบสภาฯ เป็นต้น .......
อันแสดงความชัดเจนไปเรื่อย ๆ ว่า คณะองค์มนตรีประพฤตตนในทางที่ขัดแย้งพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประพฤติผิดหลักทศพิธราชธรรมอันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนมายุของพระองค์ท่าน
ประชาชนกำลังมองดู อาการที่คณะองค์มนตรีกระทำอยู่ขณะนี้ ที่เป็นการแสดงอำนาจเหนือสถาบันของประชาชนทั้ง3สถาบัน คือบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยขณะที่ตัวเองอยู่ในสถานะของข้ารับใช้องค์พระมหากษัตริย์
ซึ่งแสดงถึงอำนาจเป็นการคุกคามต่อสถาบันกษัตริย์ ??
- ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-01-15 11:10:12
22. อย่าหลงผิด ทำรัฐประหารอีกครั้ง บ้านเมืองจะบรรลัย
อีกครั้งหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีไทย รับคำสั่ง เปรม เข้าบ้านสี่เสา และมีการประชุมฝ่ายความมั่นคง เย็นวันนี้ที่ 4 ก.พ.2553 ทั้งนี้ตามข่าวรู้กันทั่วไป นัยว่าจะดำเนินการปฏิวัติอีกครั้ง เมื่ออนุพงษ์ ไปอเมริกา และประยุทธ์เถลิงอำนาจ ช่วง 10 วันข้างหน้านี้
เรามีความเห็นนว่า ไม่ควรจะปฏิวัติ-รัฐประหารอะไรทั้งสิ้น ควรยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนจะดีกว่า อย่าให้ประเทศชาติต้องเสียหายด้วยการยึดอำนาจของพวกทหารอีกเลย หากมีการรัฐประหาร-ปฏิวัติแล้ว จะเกิดเรื่องที่ยุ่งยากลำบากเหลือเกิน เกิดความเสียหายอย่างย่อยยับ เพราะประชาชนจะไม่ยอม ก็จะยากที่จะจบเรื่องราวลง ก่อความเสียหายไปเรื่อย ๆ อย่างเคย ใครก็ตามที่มีอำนาจ ขออย่าทำรัฐประหารอีก สิ่งที่ท่านควรจะทดสอบตัวเองนั้นก็คือ ท่านเข้าใจประชาธิปไตยจะนำไทยก้าวหน้าอย่างไรหรือไม่ หากเข้าใจแล้ว ความคิดรัฐประหารก็จะไม่มี และคืนอำนาจให้ประชาชน ยุบสภาเสีย แล้วจะโล่งอก สบายใจกันเสียทีทุก ๆ ฝ่าย
- บก.นสพ.ดี(อินเทอเนท)
4 ก.พ.2553
23. โดยมารยาท นายกรัฐมนตรีควรยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
ควรรีบพิจารณายุบสภาเสีย เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้บริหารงานมาครบ 1 ปี เพียงพอที่พิศูจน์ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการบริหารงานอย่างชัดเจนแล้ว ปรากฎแล้วต่อสายตาประชาชน แล้วผลก็คือ ไม่อาจพาประเทศชาติบรรลุเป้าหมายได้ ไม่ว่าเป้าหมายด้านความสงบภายในประเทศ ภายนอกประเทศ ล้มเหลวอย่างเด็ดขาด เป้าหมายทางเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำมาตั้งแต่มีการรัฐประหารก็ล้มเหลว ประชาชนอดอยากยากจน ระส่ำระสายไปทั่วหย่อมหญ้า รัฐบาลก็ดำเนินนโยบายผิดพลาดไปทุกนโยบาย มีทุจริตอย่างหลายหลากไปทั่วทุกโครงการ จากเงินที่กู้ยืมมาถึง 8แสนล้านบาท เป้าหมายทางการเมือง ๆ ภายใต้การบริหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ล้มเหลวไปอีก เพราะไม่สามารถสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้ กลับเพิ่มสาระของเผด็จการ ที่ปล้นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นไป จนเกิดมีความคิดจะทำรัฐประหารซ้ำอีกเช่นนี้ เป็นการแสดงถึงความล้มเหลวของการบริหารการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาจึงไม่สามารถบริหารต่อไปอีกได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ โดยมารยาทที่ดีของระบอบประชาธิปไตย เขาจะไม่คิดไปอย่างอื่น..นอกจากยอมรับว่าเมื่อรัฐบาลนี้ไม่อาจจะบริหารต่อไปได้แล้ว นายกรัฐมนตรีไม่อาจบริหารไปด้วยดีแล้ว ก็ควรวางมือให้คนอื่นเสีย ให้คนอื่นในพรรคของเรา หรือให้พรรคอื่นเขาบริหาร ตัวเองลาออก นี่เป็นประเพณีของระบอบประชาธิปไตย ตามที่ปรากฎในประเทศที่เจริญแล้ว
ถ้าไม่ลาออกก็ยังมีอีกทางหนึ่ง คือยุบสภาเสีย นี่ก็ชอบด้วยครรลองประชาธิปไตย ในแง่ว่า คืนอำนาจให้ประชาชน แล้วแต่ประชาชนเจ้าของประเทศจะตัดสินใจ นี่คือประชาธิปไตย
เราขอสนับสนุนให้ท่านนายกรัฐมนตรี เลือกตัดสินใจประการหลัง คือยุบสภาเสีย คืนอำนาจให้ประชาชนเสียเถิด แล้วประชาธิปไตยจะนำพาบ้านเมืองเราไปสู่ความสงบโดยพลัน และก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ในอนาคต ด้วยประชาธิปไตย
- บก.นสพ.ดี(อินเทอเนท)
6 ก.พ.2553