สารบาญ
6. นายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ ว่าที่สส.ศรีสะเกษคนล่าสุด
15. ฏีกาของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่ควรก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย
16. ฎีกาของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่ควรก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย (2)
19. ฎีกาแดงต้องผ่านกระทรวงยุติธรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
ในหลวง-ราชินีพระราชทานพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานแจกชาวใต้
11 มิย. 2552 15:47 น.
นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดประชุมสัมมนาเชิงนโยบาย วธ. ที่โรงแรมรอยัล ซิตี้ กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้แทนสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วม และรับมอบ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และความหมายภาษาไทย ฉบับพระราชทานจำนวน 5,000 ชุด ประมาณ 30,000 เล่ม จาก ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานคณะกรรมการอิสระเพื่ออำนวยความยุติธรรมและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในสามจังหวัดชายแดนใต้ (กอยส.)
ศ.ดร.อุกฤษ กล่าวว่า หนังสือชุดดังกล่าวจะขอให้ทาง วธ. ร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรี แจกจ่ายไปยังคณะกรรมการจุฬาราชมนตรี สำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลาม 36 จังหวัดทั่วประเทศ มัสยิดกว่า 1,000 แห่ง รวมทั้งสถานทูตในต่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศทางด้านอิสลาม เพื่อเผยแพร่พระกรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถให้แพร่หลาย โดยเฉพาะหน้าปกพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ได้ขอพระราชทานพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. คู่กับพระนามาภิไธย ส.ก. เป็นครั้งแรก ไม่มีที่ใหนได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอย่างนี้มาก่อน
“ข้างในของพระมหาคัมภีร์อัลกรุอาน เป็นคำแปลภาษาไทย ข้างๆเป็นภาษาอาหรับ แม้ปัจจุบันมีคนนำมาแปลกันเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ดังนั้น การจัดพิมพ์พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับนี้ถือเป็นที่ยอมรับ และเป็นฉบับพระราชทาน ที่สำคัญคณะผู้จัดทำคัมภีร์ชุดดังกล่าวไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งชื่อเสียง เงินตรา แต่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ เพราะที่ผ่านมาการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากไม่ได้ยึดหลักการทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพ ขาดความจริงใจ และมีประโยชน์ซ่อนเร้น สำหรับการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ รวมทั้งรัฐบาลที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่เกิดความรุนแรง รัฐบาลมุ่งแต่เพิ่มกำลังทหาร งบประมาณ แต่ละเลยจะเข้าไปศึกษาปัญหาที่แท้จริงคนใต้ต้องการอะไร ซึ่งจากการลงพื้นที่ชาวจังหวัดชายแดนใต้ต้องการคืออาหาร อาชีพ การศึกษา และสุขอนามัยมากที่สุด” ศ.ดร.อุกฤษ กล่าว
ท่านผู้หญิงสมร ภูมิณรงค์ ประธานมูลนิธิต่วน สุวรรณศาสน์ จุฬาราชมนตรี กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวมีพระราชดำริ ที่จะให้คนไทยได้มีพระมหาคัมภีรย์อัลกุรอาน ฉบับที่เป็นภาษาของประเทศของตนเอง และต้องการให้ชาวไทยมุสลิม และผู้ที่สนใจ ได้นำข้อความที่เป็นบทสอนนั้น นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ เมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จฯยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ พระองค์ทรงเห็นความไม่เข้าใจในหลักคำสอนทางศาสนาของประชาชน จึงมีพระราชดำริให้จัดพิมพ์ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เพื่อพระราชทานให้แก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหลักศาสนา รวมทั้งให้เกิดความสงบสันติขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
วันที่ลงประกาศ 2009-06-11 16:46:20
ความเห็นที่ 1 (1447841)
เราเห็นว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญมากทีเดียว น่าขอบคุณ นิรนาม ที่ได้นำเรื่อง ที่น่าเป็นประวัติศาสตร์ต่อไปนี้มาเสนอ เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระมหาคัมภีร์ ประจำศาสนาของศาสนาอิสลาม ตามที่เก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติ เราจะเห็นว่ามีหลายสำนวน แต่สำนวนที่น่าเชื่อถือที่สุด น่าจะเป็น " พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ฉบับ แปลความหมาย และ ขยายความ โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์ (ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา) อดีตจุฬาราชมนตรี " เพราะเป็นสำนวนที่ดำเนินการโดย อดีตจุฬาราชมนตรี อันเป็นสถาบันของศาสนาอิสลามไทยโดยตรง ส่วนพระพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และความหมายภาษาไทย ฉบับพระราชทาน นี้ ข้างในของพระมหาคัมภีร์อัลกรุอาน เป็นคำแปลภาษาไทย ข้าง ๆ เป็นภาษาอาหรับ นี้ก็เคยมีมาก่อน แต่นายอุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภากล่าวว่า ไม่ได้รับการยอมรับ
ถ้าเราเชื่อนายอุกฤษ เราก็จะเชื่อตามว่า พระมหาคัมภีร์ฉบับพระราชทานนี้ เป็นที่ยอมรับ
และน่าจะมีส่วนส่งเสริมความเข้าใจอันดีของประชาชนไทยมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ให้มีความสามัคคีกันดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องศาสนาสากล นั้น เราจะมาสรุปเอาง่าย ๆ แค่นี้เห็นจะไม่ได้หรอก เหมือนกับชาวพุทธไทยทั่วไป หากยังไม่เคยอ่าน ศึกษาพระไตรปิฎก หรือแม้จะศึกษามา ก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์ได้ทะลุปรุโปร่งจนจะสามารถสรุปลงได้สั้น ๆ ง่าย ๆ อย่างนั้น
ประเด็นในที่นี้ น่าจะมีความหมายสำคัญเชิงว่า มีความพยายามกันหลายฝ่ายเหลือเกิน ในการจัดการดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในการนี้ ได้สิ้นเปลืองเงินทองของประเทศในองค์รวมของประเทศไปมากมาย เพื่อเอาอกเอาใจคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนทำให้ดูประหนึ่งว่า ชาวไทยใต้นั้นจักเขินกันไปตาม ๆ กัน ในประเด็นน่าคิดว่า เลี้ยงกันไม่รู้จักโตเสียที
เราหมายความว่า ยังมีพลเมืองไทยที่ลำบากยากจนอยู่ในประเทศไทยนี้มากมายมหาศาล เช่นประชาชนอีสาน และชายแดนกัมพูชา เขาก็ยากจน ไม่น้อยไปกว่าชาวใต้ แต่งบประมาณของประเทศปีหนึ่ง ๆ ไปไหน จึงไม่เข้ามาสู่พวกเขาบ้าง
ซึ่งชาวไทยทั้งสิ้นน่าจะได้คำนึงในประเด็นนี้ และสำนึกร่วมกันในการบริหารจัดการปัญหาในองค์รวมของประชาชาติทั้งมวล ไม่ไปเจาะจง หรือกระจุกลงไปที่ใดที่หนึ่ง เพราะเมื่อองค์รวมดีขึ้น ส่วนย่อย ๆ ก็ย่อมดีตามไปเอง
นี่เป็นประเด็นที่น่าพิจารณากันให้ลึกซึ้ง เป็นประเด็นทางศาสนธรรม ในแง่ที่ว่า ประชาชนย่อมเป็นญาติ และย่อมมองในความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เห็นความทุกข์ซึ่งกันและกัน แบ่งกันกินกันใช้ให้ทั่วถึงเป็นธรรมบ้าง
นี่จะเป็นประเด็นศาสนธรรมที่ตรงปัญหา
- ผู้แสดงความคิดเห็น อรบุศป์ ละอองธรรม
(newworld_believe-at-hotmail-dot-com)
วันที่ตอบ 2009-06-18 11:04:17
2. ข่าวด่วน ! การเลือกตั้งที่สกลนคร 21 มิ.ย.2552 พรรคเพื่อไทยชนะขาด
พรรคเพื่อไทยชนะขาดในการเลือกตั้งซ่อม สกลนคร ภูมิใจไทยโดยนาย ชวรัตน์ ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรค ยอมรับผลเลือกตั้ง ส่วนระเบิดใกล้เวทีปราศรัยพรรคเพื่อไทย นายชัย ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย บอกว่าให้ไปถาม พล.อ.พัลลภ ปิ่น มณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และ พล.อ.มนูญกฤต รูปขจร
รายงานจากสื่อโทรทัศน์ไทยเบื้องต้นว่าคะแนนที่ได้ พรรคภูมิใจไทย ของนายพิทักษ์ จันทศรี ได้ 47,198 คะแนน เพื่อไทย ของนางอนุรักษ์ บุญศล ได้ 83,312 คะแนน การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีสิ่งที่น่าสังเกต 2 ประการ ประการที่ 1 คะแนนออกเสียงล่วงหน้า มีทั้งหมด 21,000 คะแนนเศษ ภูมิใจไทยชนะขาดได้ถึง 16,000 คะแนนเศษ เพื่อไทย ได้เพียง 3,000 คะแนนเศษ นี่ก็คือผลงานของรัฐบาลที่ระดมโฆษณาให้ประชาชนไปออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า โดยที่ไม่ชอบด้วยหลักการการเลือกตั้ง และข้อสังเกตประการที่ 2 นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มท. พรรคภูมิใจไทย พาพวกสวมเสื้อสีน้ำเงิน ไปหาเสียงช่วยนายพิทักษ์ อย่างเปิดเผย แม้หลังเลือกตั้งรู้ผลแล้ว ก็ยังเปิดเผยตัวเองว่าเป็น สีน้ำเงิน โดยปรากฎภาพหมู่เสื้อสีน้ำเงินให้สัมภาษณ์ เป็นที่ทราบกันว่าคนกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินนี้ มีความสัมพันธ์กับกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินที่ก่อเหตุจลาจลการประชุมเอเซียนที่พัทยา ที่มีสาเหตุมาจากคนกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินจำนวนหนึ่ง ได้บุกเข้าขว้างปาและโจมตีทำร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่นำโดย อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ที่เดินทางไปเพื่อประท้วงตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตย จนเกิดการจลาจลขึ้นในเดือนเมษายน 2552 อันเป็นเหตุให้เกิดการปราบปรามของรัฐบาลครั้งใหญ่ คราวนั้น แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรกับกลุ่มที่ก่อเหตุสีน้ำเงินกลุ่มนั้น มาจนถึงบัดนี้
ยังมีการเลือกตั้งซ่อมอีกจังหวัดหนึ่งที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มิถุนายน 2552 ได้แก่เขต 1 จังหวัดศรีสะเกษ ระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน คือชาติไทยพัฒนา กับ เพื่อไทย ขณะนี้ได้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20-21 มิ.ย.2552 ผลการรณรงค์ของรัฐบาลให้ไปเลือกตั้งล่วงหน้าทำนองเดียวกับกรณีสกลนคร ได้ปรากฎว่ามีผู้ไปเลือกตั้งล่วงหน้าในจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 11,174 คนไปแล้ว คาดว่าผลการเลือกตั้งน่าจะออกมาแบบเดียวกับสกลนคร
3. ข่าวด่วน !! ไมเคิล แจคสัน ราชาเพลงป๊อป เสียชีวิตแล้ว
ไมเคิล แจคสัน ราชาเพลงป๊อป เสียชีวิตแล้ว ที่เมือง ลอส แอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย อายุ 50 ปี ทั้งนี้ตามรายงานข่าวด่วนของโทรทัศน์ต่างประเทศหลายแห่ง เมื่อเช้าวันที่ 26 มิ.ย.2552 อัลจาชีรารายงานสั้น ๆ ว่า
pop singer michael jackson has died age 50 in los angeles califoenia
โทรทัศน์อินเดีย (India TV) เวลาเดียวกัน รายงานเรื่องประกอบภาพ แม่น้ำ หนอง บึง สกปรกในอินเดีย ที่น่าประหลาดใจก็คือสาเหตุทั้งหมดล้วนมาจากพิธีกรรม ตามความเชื่อแบบฮินดูของชาวอินเดีย หลายหลากความเชื่อเกี่ยวกับการเอาอกเอาใจเทพเจ้า สะท้อนว่าขณะนี้แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ในอินเดียกำลังอยู่ในภาวะเสื่อมโทรมลงไปอย่างหนักทุกวัน ๆ อันมีสาเหตุมาจากพิธีกรรม มีภาพประชาชนร่อนดอกไม้ และเครื่องบูชาต่าง ๆ ไม่ว่าน้ำมัน กระดาษ แม้กระทั่งเงินหรือธนบัตร มีแม้กระทั่งไก่ หัวหมูที่ใช้บวงสรวงเทพเจ้า ที่โยนลงไปในบึงข้าง ๆ เทวาลัย จนกระทั่งน้ำในบึงดำคล้ำ เป็นโคลนตมไปแล้ว คนอินเดียก็ยังคง โยนสิ่งของเครื่องบูชาที่ว่านั้นลงไปเป็นการสักการะบูชาของพวกเขา ไม่เคยหยุดหย่อน (คงจะรวมถึงพิธีกรรมเผาศพริมฝั่งแม่น้ำคงคา อันเป็นพิธีกรรมชนาดใหญ่ของฮินดูด้วย แต่ในรายการนี้ไม่มีรายงานถึงพิธีกรรมนั้น) รายการเช้านี้ดูเหมือนจะบอกไปถึง ว่าอินเดียมาถึงเวลาจริง ๆ แล้ว ที่จะต้องมีการรณรงค์กันให้กว้างขวางเพื่อแก้ปัญหามลภาวะในแม่น้ำของอินเดีย โทรทัศน์อินเดียเช้าวันนี้ ยังไม่สนใจข่าวราชาเพลงป๊อบถึงแก่ชีวิตไปแล้วเหมือนโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ
ส่วนโทรทัศน์จีนหลายช่อง ก็ยังไม่สนใจข่าวไมเคิล แจคสัน เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งช่อง i-Horizon ซึ่งเป็นโทรทัศน์เพลง-คอนเสิตทันยุค ก็ยังไม่มีรายงานหรือ braking news เข้ามา
โทรทัศน์รัสเซีย มีรายงานข่าวนักวิจัยให้ความเห็นกรณีอิหร่าน มีภาพประชาชนจำนวนมากมหาศาล ในอิหร่าน และมีรายงานเรือรบลำใหญ่เข้าจอดท่า แล้วบัดนี้เอง(0815 น.) ก็มีรายงานข่าวภาพไมเคิล แจคสัน เข้ามา แต่เขาให้เวลาแค่อึดใจเดียว เห็นภาพแจคสันในแอคชั่นร้อนแรงสุด ๆ แวบเดียว (รัสเซียไม่อนุญาตให้แจคสันเข้าประเทศในคราวทัวร์คอนเสิต ที่เรียกว่า dangerous tour เมื่อ 10 ปีก่อน ที่เมืองไทยต้อนรับกันอึงคะนึงไปหมด คราวนั้น พอ ๆ กับมีหมีจีนตัวหนึ่งออกลูกออกมา โทรทัศน์ไทยลงข่าวอึงคะนึงอยู่เดือนหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง
- 001 รายงาน /07.00-08.25 น.26 มิ.ย.2552
4. ข่าวทักษิณ ชินวัตร ใน BBC news
Page last updated at 17:55 GMT, Saturday, 27 June 2009 18:55 UK
E-mail this to a friend Printable version
Thaksin demands fresh resistance
The protesters want the government to resign and call elections
Thailand's ousted former leader Thaksin Shinawatra has addressed a big crowd of supporters in Bangkok by telephone, urging them to continue protesting.
The crowd cheered as Mr Thaksin, who lives in exile in Dubai, criticised the policies of the current government.
He complained of being lonely and told the crowd not to leave him "dying in the desert", promising to "work for the people" if he could return.
Police estimated more than 25,000 were at the rally - the largest since April.
Prime Minister Abhisit Vejjajiva called a state of emergency in April as the rallies by red-shirted protesters threatened to destabilise his government.
The protest leaders eventually called off their action after days of rioting and clashes with security forces left at least two people dead and more than 100 injured.
'Loathing injustice'
Mr Thaksin told his supporters they had gathered because they wanted to see "true democracy".
Royalists saw Mr Thaksin's popularity as a threat to the monarchy
"We loathe injustice. We loathe double standards. We're here to say if you want us to stop, then return justice and true democracy," he said.
To roars of approval, he said the current government was good for three things: "Borrowing, hiking taxes and hounding Thaksin."
He also entertained the crowd with songs, and begged them to find a way for him to return to Thailand.
"Why do you have to leave me dying in the desert when I can work for our country?" he said.
"I'm a grateful person. When I'm back, I'll work for the people right away."
Mr Thaksin has spent much of his time abroad since he was deposed in a military coup in 2006.
He was convicted of corruption in 2008 - a prosecution he says was politically motivated - and faces jail if he returns to Thailand.
Yellow vs red
Mr Abhisit came to power last December after previous Thaksin-supporting governments were brought down by a concerted street protest by yellow-shirted demonstrators.
He was eventually chosen as leader after several MPs who had previously backed Mr Thaksin were persuaded to change sides.
Analysts say the rift in Thai society - symbolised by the red and yellow shirts - remains strong.
Many Thais in rural areas support Mr Thaksin and ally themselves with the red-shirt cause.
The "yellow shirts" draw their support from Bangkok's urban elite, the middle classes and the conservative royalists.
5. เสื้อแดงชุมนุมใหญ่สนามหลวง 27 มิ.ย.2552
เมื่อเย็นวันที่ 27 มิถุนายน 2552 ชมรม นปช.และเสื้อแดงชุมนุม ณ สนามหลวง นำโดยแกนนำมี วีระ มุสิกพงษ์ น.พ.เหวง โตจิราการ จตุพร พรหมพันธ์ วิภูแถลง พัฒนภูมิไท ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รวมทั้งทิตย์แรมโบ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่พึ่งลาสิกขามา และแกนนำเพียบ แต่ก็เผชิญช่วงเริ่มชุมนุมมีฝนตกลงมาอย่างหนักจนเปียกไปทั่วสนามหลวง แต่ประชาชนก็สู้ไม่ถอย ว่าเป็นนิมิตของความชุ่มเย็นที่ดี เวลาประมาณ 21.40 น. พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอิน โดยมีวีระ มุสิกพงษ์ ดำเนินการสัมภาษณ์ จบลงเวลา 22.25 น. ประชาชนมาร่วมฟังคับคั่งเต็มสนามหลวง ร่วม แสนชุมนุมฟังทักษิณโฟนอิน ดร.ทักษิณ แนะรัฐบาลบริหารปัญหาเศรษฐกิจด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยเครื่องคิดเลข อย่าขึ้นภาษีน้ำมันเลย ถึงใจประชาชน ว่าการเลือกตั้งสกลนคร ประชาชนได้พามาถึงฝั่งโขงแล้ว แต่ยังข้ามโขงไม่ได้ ขอให้ประชาชนศรีสะเกษแบกข้ามโขงชายแดนเข้าไทยต่อมาด้วย หลังจากนั้นมีขบวนนักศึกษาเรียงหน้าขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยขับไล่อภิสิทธิ์ ตามลำดับ แล้ว อาจารย์มานิต จิตจันทร์กลับ คนอายุ 71 ปี ขอนั่งพูด ว่าวัตถุประสงค์ของชาวเสื้อแดงมี 3 อย่าง 1. เอาประชาธิปไตยของเราคืนมา 2. ไล่อภิสิทธิ์ ออกไป 3. เอาทักษิณคืนมา ให้แนวทางกฎหมายไว้ว่า การปฏิรูป 19 ก.ย.2549 หมายถึงโจรกบฏ รัฐบาลทักษิณ เป็นผู้เสียหาย ร่วมกันกับประชาชน ชนเสื้อแดง โดยหลักนิติธรรมโจรไม่มีสิทธิ์ยกโทษให้ตนเอง โจรก็คือโจร ผู้เสียหายก็คือผู้เสียหาย จะต้องคืนอำนาจให้ประชาชน ประชาชนต้องมาเรียกร้อง ให้เลิกใช้รัฐธรรมนูญ 2550 เพราะเป็นรัฐธรรมนูญของกบฏบงการให้เขียนขึ้น ไม่ใช่ตัวแทนปวงชนชาวไทยเขียนขึ้น เป็นรัฐธรรมนูญปลอม เป็นเอกสารปลอม ไม่เอา นายกรัฐมนตรีก็มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ขอให้ไปแจ้งความตำรวจข้อหานายกใช้เอกสารปลอม ฯลฯ ทำให้คำพิพากษาเป็นโมฆะ ทักษิณก็รอด นายมานิต เรียกร้องให้ประชาชนไปแจ้งความ แล้ว ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ขึ้นมาโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ในฐานะอมาตยาธิปไตย ไปไม่กี่นาที จอแก้วก็เริ่มมืดลง ดุจมีคลื่นตัดคลื่นแต่ยังมีเสียงณัฐวุฒิอย่างเข้มข้น คาดว่าจะมีการปราศรัยไปตลอดคืน และประชาชนก็คงไม่ถอยไปตลอดคืน
- 001 รายงาน 27 มิ.ย.2552/23.30 น.
6. นายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ ว่าที่สส.ศรีสะเกษคนล่าสุด
การเลือกตั้งซ่อม เขต1ศรีสะเกษ ประกอบด้วยประชาชนในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ กันทรารมย์ โนนคูณ ราษีไศล ยางชุมน้อย ศิลาลบาด บึงบูรณ์ พยุห์ และ โพธิ์ศรีสุวรรณ รวม 9 อำเภอ ได้จัดหน่วยเลือกตั้งไว้ 945 หน่วย ใน 9 อำเภอ มีผู้ใช้สิทธิ์ทั้งหมด 355,694 คน ใน 861 หมู่บ้าน 118 ชุมชนการเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษเขต2 ครั้งนี้ มีข้อที่ควรสังเกตในระบอบประชาธิปไตยก็คือ อดีตสส.นายสุตา พรหมดวง ที่ลาออก โดยไม่มีเหตุผลที่กระจ่างแจ้งมาจนถึงเวลานี้ เพราะนายสุตา พรหมดวง ไม่ยอมแถลงเหตุผลแก่สื่อมวลชน แม้กระทั่งสื่อระดับชาติและระดับท้องถิ่นก็ไม่ได้รับทราบเหตุผลจากเขาว่าเขาลาออกไปเพราะเหตุใด ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่ง แม้สถาบันการเมืองที่เขาสังกัด ก็มิได้ทราบเหตุผลนั้นเลย ตามระบอบการเมืองประชาธิปไตยแล้ว สส.เป็นลูกจ้างของประชาชน การจะเข้าหรือออกจากตำแหน่งสส.จะต้องได้รับอนุมัติจากประชาชนผู้เลือกตั้งเขาเข้าไป ซึ่งกรณีนายสุตา พรหมดวง นี้ ทำให้เสียหายแก่สถาบันประชาชนอย่างยิ่ง การที่ไม่มีการแถลงเหตุผลในการลาออกจากตำแหน่งสส.เลยนั้น เป็นการไม่ตรงไปตรงมาต่อประชาชน เป็นการทรยศต่อประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักการสำคัญของระบอบ นักการเมืองเช่นนี้ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะต้องจดจำเขาว่า เขาไม่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ควรที่จะขจัดออกไปจากการเมืองระบอบของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน และไม่ให้โอกาสแด่คนเช่นนี้อีก เพราะเราจะต้องตระหนักกันเป็นอย่างดีว่า การเล่นการเมืองของนักการเมืองไปอย่างไม่คำนึงผลที่จะกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของความด้อยพัฒนาทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยไทย
ผลการเลือกตั้งนายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ พรรคเพื่อไทย ได้ 124,327 คะแนน นางสกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ์ ได้ 76,435 คะแนน นายสุรชาติ จึงเป็นผู้ชนะเป็นว่าที่ สส.ศรีสะเกษ อีกคนหนึ่ง ใน 9 คนของทั้งหมดจังหวัดศรีสะเกษ (ภาพเมื่อ26มิ.ย.2552 กับศุภรัตน์ นาคบุญนำ บนเวที รร.ศรีสะเกษวิทยาลัย อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ)
29 มิ.ย.2552
7. การเลือกตั้งตัวอย่างในจังหวัดศรีสะเกษในทัศนะของข้าพเจ้า
ประชาธิปไตย ยังมีอีกหลายเรื่องที่คนในระบอบจะต้องเข้าใจ จึงจะนำไปปฏิบัติโดยถูกต้อง เป็นผลดีแก่ประชาชนเจ้าของอำนาจ และทำให้ระบอบเดินไปได้ตามวิถีทางของระบอบ โดยหลักการของระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน จะต้องประกอบด้วยหน่วยของประชาชนแต่ละหน่วยที่มีความสมบูรณ์ทางสติปัญญาพร้อมที่จะปกครองตนเอง และใช้อำนาจของตนเองตามสิทธิของประชาชนในระบอบนี้ จึงจนพอที่จะใช้ในการวินิจฉัยตัดสินใจต่อปัญหาใดใดด้วยตนเอง ได้โดยชอบธรรมหรือเป็นธรรมตามระบอบ ทั้งนี้รวมถึงทั้งมหาประชาชนเจ้าของอำนาจและผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ด้วย
กรณีการเลือกตั้งในจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ 28 มิถุนายน 2552 นั้นหมายถึงประชาชนทั้งปวงต้องการตัวแทนของเขา ซึ่งหมายถึงตัวแทนผลประโยชน์ที่ตนต้องการ เพื่อไปต่อสู้ให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์นั้น อันเปป็นสิ่งซึ่งจักนำมาซึ่งความสุขของประชาชนต่อไป
ในการเสนอตัวของผู้แทนผู้ที่สมัครเป็นตัวแทนประชาชขน จึงจำเป็นที่ผู้เสนอตัวเป็นตัวแทนนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาพอที่จะเข้าใจประชาธิปไตย และในประเด็นนี้ เขาจะต้องมีความสามารถพอที่จะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้โดยถ่องแท้ ในเรื่องผลประโยชน์ที่ตนจะเข้าไปทำแทนประชาชน และประชาชนย่อมพอใจในคำอธิบายของตัวแทนผู้สมัครเป้นตัวแทนนั้น
นี่คือหลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ฉะนั้น การที่มีเวทีสำหรับให้ผู้สมัครทั้งหลายคนที่มาแข่งขันกัน ได้แสดงวาทะของตน ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบความคิดอ่านของเขาในการที่จะทำประโยชน์ให้ประชาชนอย่างไร ภายหลังได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปแล้ว ซึ่งคนไทยรู้จักเวทีปราศรัยเช่นนี้มาแต่เดิมแล้วว่า ไฮด์ปาร์ค นั้น นับว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญของระบอบประชาธิปไตยอย่างขาดเสียไม่ได้ ยุคปัจจุบันจะเห็นว่ามีความละเอียดประนีตขึ้นไปอีก ในเชิงที่ให้ประชาชนได้อ่านได้ฟังได้ยินเสียงผู้แทนของเขาอย่างชัดแจ้งชัดเจน ในเรื่องที่ว่าเขาจะทำอะไรบ้างและทำอย่างไร อันเป็นผลประโยชน์และความสุขของประชาชน และยุคปัจจุบันลักษณะเช่นนี้จะเห็นได้ชัดเจนจากประเทศตัวอย่างทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งมีการจัดเวทีไปหลายหลาก แม้กระทั่งระยะหลังที่นิยมว่ามีประโยชน์มากขึ้น ตรงมากขึ้นก็คือการเผชิญหน้าโต้วาทีประเด็นนโยบายการเมือง ของคู่ที่แข่งขันกัน ต่อหน้าประชามหาชนกันเลยทีเดียว และนี่แหละที่ควรเน้นว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นของระบอบประชาธิปไตย และซึ่งนักการเมืองจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการเสนอตัวให้ประชาชนเลือก
กรณีการเลือกตั้งซ่อมในจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ 28 มิ.ย.2552 เห็นได้ว่า ฝ่ายที่ได้ชัยชนะในครั้งนี้ คือพรรคเพื่อไทย(นายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์) ได้วางแผนงานการหาเสียงไว้สอดคล้องครรลองประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ นั่นคือมีการลงทุน แต่เป็นการลงทุนเพื่อการเปิดเวทีปราศรัย แถลง เปิดเผยนโยบายให้ประชาชนทราบโดยชัดเจนแจ่มแจ้ง มีการระดมนักการเมืองของพรรคมาช่วยกันอย่างมากมาย ยิ่งใหญ่ เพื่อปราศรับ และดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์อย่างละเอียดเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจจริง ๆ ถึงงานที่พรรคจะทำ ผลประโยชน์ที่พรรคจะปกป้องให้ โดยไม่มีเสียงครหานินทาว่ามีการใช้จ่ายเงินซื้อเสียงแต่อย่างใด
ส่วนพรรคการเมืองที่พ่ายแพ้ไปอย่างทิ้งห่างหลายช่วงตัวพรรคชาติไทยพัฒนา(นางสกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ์)นั้น ปรากฏว่าไม่มีการเปิดเวทีไฮปาร์ค ที่ไหนเลย การสื่อสารกับประชาชนก็มีเพียงการออกเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขกันมากกว่าจะเป็นการแถลงนโยบายอย่างงานการเมืองที่เอาจริง ซ้ำเวลามีโอกาสขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีที่ภาคเอกชนจัดการให้ ก็มิได้ใช้ศิลปะ เทกนิคในการปราศรัยอย่างตรงไปตรงมาตามแบบแผนของการแถลงนโยบายต่อประชาชน กลับพยายามแสดงละครเจ้าน้ำตาออดอ้อนขอคะแนนเสียง ด้วยการออกท่าทางและคำพูดให้น่าสงสาร มีที่ไม่เกี่ยวกับนโยบายเลย เช่นนี้ถือว่าไม่ตรงต่อประชาธิปไตย
สิ่งที่น่าพอใจในการเลือกตั้งที่จังหวัดศรีสะเกษครั้งนี้ ไม่ใช่ประเด็นของการซื้อเสียง หรือตั้งหน้าตั้งตาอย่างเดียวในการวางแผนซื้อเสียง วางแผนเกี่ยวกับหัวคะแนนควบคุมการแจกจ่ายเงินซื้อเสียง มุ่งหมายเอาชนะด้วยเงินเอากับประชาชนผู้ยากไร้ แล้วกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหลุดลุ่ย เพราะประชาชนฉลาดรู้ดีเสียแล้ว หากแต่เป็นประเด็นที่ว่า นักการเมืองเช่นนี้ยังเป็นนักการเมืองที่เป็นภัย ที่ไม่อุปการะต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นนักการเมืองที่ไม่มีจิตใจให้ประชาธิปไตย มุ่งหมายตักตวงผลประโยชน์เข้าตนแบบการลงทุนค้าขาย อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวมของประชามหาชน เป็นลักษณะนักการเมืองเลวชนิดแรก ๆ ที่ควรจะขจัดไปเสียจากวงการเมืองของระบอบประชาธิปไตย โดยพลัน
ซึ่งหวังว่าประชาชนชาวศรีสะเกษและประชาชนทั่วประเทศจักได้จดจำเอาอย่างกันต่อไป
และฝ่ายที่ชนะครั้งนี้ ถือว่าได้ทำแบบอย่างที่ดีเอาไว้ในเวทีประชาธิปไตยศรีสะเกษ เพราะพวกเขาเอาชนะมาได้ด้วยการแถลงนโยบายอย่างชัดเจน โดยระบบแบบอย่างประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว จึงไม่มีการคิดซื้อเสียง แล้วยังสามารถเอาชนะฝ่ายที่ซื้อเสียงมาได้อย่างเด็ดขาด
นักการเมืองขจัดการคิดซื้อเสียง งดลงทุนซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด แต่เพิ่มการลงทุนในการแถลงนโยบาย ขยันในการพูดไฮด์ปาร์ค เพื่อเพิ่มความเข้าใจของประชาชนต่อนโยบายของเรา ประชาธิปไตย และประชาชนรู้เท่าทันเกมโง่เขลาของนักการเมือง การเมืองไทยจึงจะเจริญไปในวันหน้า
30 มิ.ย.2552
ช.โหรชนบท พยากรณ์ดวงเมืองครั้งล่าสุด
กระทู้ : เม.ย.52-ส.ค.52เศรษฐกิจไทยจะรุ่งเรืองจริงหรือ
โหรชลัมพุชเคยพยากรณ์ว่าช่วงเม.ย.52-ส.ค.52เศรษฐกิจไทยจะรุ่งเ รืองไม่น่าเป็นไปได้เพราะเท่าที่ดูภาวะเศรษฐกิมีแต่การปิดกิจการ ถูกเลิกจ้าง การท่องเที่ยว ค้าขายซบเซา อยากให้ตรวจสอบดวงเมือง ดวงผู้นำประเทศอีกครั้ง
· ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2009-03-23 20:18:54
ความเห็นที่ 1 (1429516)
เราได้พยากรณ์ไว้อย่างนี้
3. อีกไม่นานชาวไทยก็จะพบแสงแห่งความหวังอันเจิดจ้าด้านเศรษฐกิจ
ความหวังอันเจิดจ้าจะอยู่ในปี พ.ศ.2552 ประชาชนจะมีความสุข เมื่อดาวเสาร์แปรทักษาจรเป็นศรีจร ระหว่าง เดือน เมษายน 2552 –เมษายน 2553 เป็นต้นไป อีกหลายปี ความหมายคือการเกษตร นาไร่ การอุตสาหกรรม การธรณีวิทยา หรือเรื่องราวทั้งหมดของประชาชนและของแผ่นดินจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตักตวงกันไม่หวาดไม่ไหว จุดสุดยอดจะอยู่ระหว่าง 20 เม.ย. 2552 -15 ส.ค.2552 ในช่วง 5 เดือนนี้ จะเป็นช่วงที่ดาวพฤหัสบดี(๕)เป็นมูละจรเข้าสู่ภพที่ 11 แก่ดวงเมือง ร่วมพลังกับเสาร์(๗)จรที่ราศีสิงห์ จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยรุ่งเรือง รายได้เข้าประเทศเพราะผลิตผลทางการเกษตร ไร่นา อย่างมหาศาล
- ผู้แสดงความคิดเห็น ชลัมพุช โหรชนบท (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-23 22:52:52
ความเห็นที่ 2 (1429861)
เราไม่คิดว่าจะผิด แต่ในด้านเศรษฐกิจยังไงก็คงผิดแน่อยู่แล้ว อาจจะเจริญในด้านอื่นได้หรือไม่ เราจะตรวจสอบต่อไป ในคอลัมน์โหราศาสตร์นะครับ ติดตามไปที่คอลัมน์โหราศาสตร์
ครับ โปรดคลิกตามไปดู ที่คอลัมน์โหราศาสตร์โดยตรงนะครับ มีคำตอบอยู่ที่นั่นแล้ว
- ผู้แสดงความคิดเห็น ชลัมพุช โหรชนบท (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-25 21:29:14
ความเห็นที่ 6 (1451879)
การพยากรณ์ไทยจะรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในต้นปี 2552 ผิดพลาด
ชลัมพุช โหรชนบท
คำพยากรณ์ของเรานั้นเราขอบอกว่า เป็นส่วนงานของการวิจัยทางโหราศาสตร์ เราหวังผลทางการวิจัยทุกครั้งไปที่เราพยากรณ์ออกไป เพื่อหาเหตุผลมาอุดช่องโหว่ทฤษฎีโหราศาสตร์ไทยหรือแม้ของการที่พยากรณ์ที่ผิดพลาดของเราเอง เมื่อเราพยากรณ์ถูกต้อง มีเหตุการณ์เกิดจริงตามที่พยากรณ์ เราก็ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลของระบบดาวอย่างไร เมื่อเราพยากรณ์ไปผิด เราก็จะต้องทราบว่าผิดเพราะอะไร อย่างนี้เรียกว่างานวิจัย มีประโยชน์มากใช่ไหมครับ และเมื่อท่านอ่านผลงานของเราก็ขอได้มองว่าเป็นรายงานเชิงการวิจัยไปด้วยนะครับ เรียนรู้ไปด้วยกัน นั่นคือรู้ว่าอะไรเป็นเพียงข้อสมมติฐานอยู่ อะไรที่เรายืนยัน
การที่เราพยากรณ์เรื่อง อีกไม่นานชาวไทยก็จะพบแสงแห่งความหวังอันเจิดจ้าด้านเศรษฐกิจความหวังอันเจิดจ้าจะอยู่ในปี พ.ศ.2552 ประชาชนจะมีความสุข เมื่อดาวเสาร์แปรทักษาจรเป็นศรีจร ระหว่าง เดือน เมษายน 2552 –เมษายน 2553 เป็นต้นไป อีกหลายปี ความหมายคือการเกษตร นาไร่ การอุตสาหกรรม การธรณีวิทยา (ตรงนี้พยากรณ์ผิด) หรือเรื่องราวทั้งหมดของประชาชนและของแผ่นดินจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ (ตรงนี้น่าจะมีส่วนถูก เมื่อมีการรวมตัวกันของประชาชนทั่วประเทศเรียกร้องประชาธิปไตยจนแดงทั้งแผ่นดิน) ตักตวงกันไม่หวาดไม่ไหว จุดสุดยอดจะอยู่ระหว่าง 20 เม.ย. 2552 -15 ส.ค.2552 ในช่วง 5 เดือนนี้ จะเป็นช่วงที่ดาวพฤหัสบดี(๕)เป็นมูละจรเข้าสู่ภพที่ 11 แก่ดวงเมือง ร่วมพลังกับเสาร์(๗)จรที่ราศีสิงห์ จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยรุ่งเรือง รายได้เข้าประเทศเพราะผลิตผลทางการเกษตร ไร่นา อย่างมหาศาล นัน
บัดนี้ได้พบแล้วว่าผิดพลาด และเราได้พบสาเหตุของความผิดพลาด นั่นเพราะการประเมินดาวเสาร์(๗)ที่เป็นศรีจรดีเกินไป โดยประเมินผิดหลักการไปเลย เราจึงได้ข้อสรุปที่ยืนยันว่า ธรรมชาติของดาวเสาร์(๗)นั้นคือดาวแห่งความทุกข์ยากลำบากจริง (ตามที่โหราจารย์ก่อนท่านนิยามไว้แล้วว่า ดาวเสาร์เจ้าทุกข์) ฉะนั้นแม้ว่าดาวเสาร์(๗)จะกลายเป็นศรีจรตามทักษาปี2552ก็ตาม โดยทฤษฎีนี้ ดาวเสาร์ก็ยังจะคงให้คุณได้อย่างยากยิ่งในเรื่องการเศรษฐกิจและ เงิน และเมื่อดูว่าดาวเสาร์(๗)ในราศีสิงห์ก็ไม่มีฐานะตำแหน่งอะไร(ไม่ได้เป็นเกษตรหรือมหาอุจ) มีดีเพียงอยู่ในเรือนธาตุเท่านั้น จึงสรุปว่าในด้านเศรษฐกิจ เงินทอง ของฟุ่มเฟือยแล้วจะอาศัยดาวเสาร์(๗)ไม่ได้เลย หรือได้ก็ยากอย่างยิ่ง (ดาวเสาร์(๗)จะให้ผลดีในทางอื่น) ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจการเงินความอุดมสมบูรณ์นี้จะต้องยกให้เป็นหน้าที่ของดาวพฤหัสบดี(๕) ซึ่งในความจริงดาวพฤหัสบดี(๕)จรกำลังแผ่อิทธิพลครอบการเศรษฐกิจ-การเมือง-การปกครองของประเทศไทยอยู่ตลอดปี 2552 จรในบริเวณภพที่ 10 ของดวงเมืองตลอดปี ซึ่งก็ได้พิศูจน์ให้เห็นชัดเจนในขณะนี้เช่นเดียวกัน เพราะดาวดวงนี้เป็นดาวใหญ่ที่มีความหมายทางเศรษฐกิจโดยตรงอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อมองการเศรษฐกิจจึงมองที่ดาวพฤหัสบดี(๕)เป็นหลัก และก็เห็นชัดแล้วว่า ปี 2552นี้ดาวดวงนี้ยังเดินวิปริตอยู่ และจวนจะถอยหลังกลับมาเข้าสู่ราศีมกรอันเป้นจุดดับอีกครั้งในวันที่ 15 สิงหาคม 2552 จนกว่าจะถึงเดือนธันวาคม 2552 ฉะนั้นการที่ไปจับเอาดาวเสาร์(๗) ซึ่งแม้จะจรเป็นศรีจรมา มาพยากรณ์ปัญหาเศรษฐกิจ ดังที่พยากรณ์ไปว่า ประชาชนจะมีความสุข เมื่อดาวเสาร์แปรทักษาจรเป็นศรีจร ระหว่าง เดือน เมษายน 2552 –เมษายน 2553 เป็นต้นไป อีกหลายปี ความหมายคือการเกษตร นาไร่ การอุตสาหกรรม การธรณีวิทยา หรือเรื่องราวทั้งหมดของประชาชนและของแผ่นดินจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตักตวงกันไม่หวาดไม่ไหว จึงเป็นการจับคู่ผิด เข้าทำนองผิดฝาผิดตัว ที่เอาดาวเสาร์มาอาศัยเป็นตัวให้คุณทางเศรษฐกิจ เอามาทายปัญหาทางเศรษฐกิจด้านดี อันนี้ก็เป็นข้อสรุปความรู้ใหม่(ที่ละเอียดลงไปอีก)ในการวิจัยดาวเสาร์(๗)ครั้งนี้
เรายังได้ความรู้ใหม่มาอีกว่า ดาวเสาร์(๗)ศรีจรที่เข้าอยู่ในเรือนธาตุ ร่วมธาตุกับลักคณาประเทศไทยที่ราศีเมษ โดยมีดาวเสาร์(๗)เดิมสถิตที่ราศีธนูนั้นส่งผลดีในด้านการรักษาความสงบ (ตรงนี้เป็นคุณของทักษาที่เป็นศรีจร) การตรึงหน่วยต่าง ๆ ในระบบทั้งมวลให้นิ่งไม่เคลื่อนไปอย่างแรงและไร้ขอบเขต และหมายถึงความทรหดอดทนกันอย่างสูงของทุก ๆ ฝ่าย ประเทศไทยจึงผ่านพ้นเหตุจลาจลใหญ่ไปได้ เพราะประชาชนเสื้อแดงต่างรักสงบ(แดงคือความหมายของราศีธาตุไฟ) ทำให้ประเทศเราไม่เสียหายร้ายแรงในด้านชีวิตเลือดเนื้อ และรอดไปได้อย่างน่าชื่นชมในสายตาต่างประเทศ นี่เป็นข้อสรุปที่เราได้พยารณ์ผิดไปในสาระสำคัญและเราพอใจที่ได้ค้นพบความผิดพลาดนั้นแล้ว
และอีกในไม่ช้าดาวเสาร์(๗)ในฐานะดาวเกษตรของภพที่10ในดวงเมืองนี้ก็จะเคลื่อนเข้าสู่ราศีกันย์ ซึ่งในดวงชาตาประเทศไทยจะหมายถึงความเป็นหนี้ นี่ก็น่าจะไม่ผิดพลาด เพราะความทุกข์ยากเป็นคุณลักษณะของดาวเสาร์(๗)ตามที่พิศูจน์มาในคราวนี้เอง เมื่อดาวเสาร์(๗)จรเข้าสู่ภพที่6 นั่นคือหนีสินของประเทศไทยที่ประชาชนทั้งประเทศจะต้องแบกเอาไว้อย่างยากลำบากยิ่ง และยังจะทวีความยากลำบากเรื่องหนี้สินนี้ในปีต่อ ๆไป วรรคนี้เป็นคำพยากรณ์ของเรา
- ผู้แสดงความคิดเห็น ชลัมพุช โหรชนบท (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-14 19:39:38
9. จากกระดานถาม-ตอบ:ไม่เข้าใจประชาธิปไตย
ความเห็นที่ 5 (1447471)
แดง เหลือง ขาว ก็คนไทยใช่ชาติอื่น ถ้ามัวฝืนแบ่งแยกแตกสลาย
บรรพบุรุษสู้เพื่อชาติจนตัวตาย ชาติสลายเพราะแดง เหลืองเคืองกันเอง
ฟัง คิด พินิจ ไตร่ตรอง ให้มาก วิกฤติชาติครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เราต้องช่วยกันประคับประคอง ทำหน้าที่พลเมืองให้ดีที่สุดโดยปราศจาคอัคติทั้งปวง นักต่อสู้ที่ชาญฉลาดต้องใช้ธรรมในการต่อสู้
- ผู้แสดงความคิดเห็น ลำดวนไม่ลืมดง วันที่ตอบ 2009-06-16 20:38:36
ความเห็นที่ 6 (1450426)
คุณลำดวนไม่ลืมดงครับ
คนเสื้อเหลือง ไม่ได้สนับสนุนประชาธิปไตย นี่ครับ เสื้อสีน้ำเงิน เขาพาไปไหนไม่ดูหรือครับ เขาพาไปทางเผด็จการ ยิ่งแสดงสัญลักษณ์และบทบาทเป็นเผด็จการเป็นพวกอมาตยาธิปไตยอย่างเต็มตัว อันเป็นลัทธิการเมืองที่ประชาชนไทยไม่ปรารถนา ท่านต้องการปกครองแบบเผด็จการหรืออย่างไร เราต่อสู้มาแต่ 24 มิ.ย.2475 ถึง 14 ต.ค. 2516 มาแล้วก็เพื่ออะไร ลืมเสียแล้วหรือครับ เพื่อประชาธิปไตยใช่ไหมครับ
คุณรู้หรือเปล่าว่าคนไทยต้องการประชาธิปไตย และบัดนี้คนเสื้อแดงได้ลุกขึ้นยืนทั่วประเทศ เพื่อเอาประชาธิปไตยของเราคืนมา และใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย เพื่อให้ร่วมจารึกลงไปในจิตใจว่าแดงคือประชาธิปไตย เราต้องการประชาธิปไตยของเราคืนมาให้จงได้ ไม่มีประชาธิปไตยเราก็ไม่ยอม แดงต้องแดงต่อไป
มาร่วมต่อสู้กับเราสิครับ และแดงเพื่อประชาธิปไตย
เราไม่ได้แดงเพื่อการก่อการร้ายนี่ครับ และเราไม่เอาน้ำเงินเพราะเป็นเผด็จการต่างหาก นี่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง เท่านั้นครับ
ในเรื่องอื่นคือทางวัฒนธรรม สังคม การบันเทิงเริงรมย์ใดใด ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือมีหลายสี ไม่มีการจำกัด
เวลาคุณไปชมคอนเสิต ก็ไม่มีใครว่าคุณอยู่สีนั้นสีนี้ เพราะเป็นสีธรรมชาติ
แต่แดงนี้หมายถึงการเมืองและต้องเป้นฝ่าย ประชาธิปไตยเท่านั้น
มาร่วมมือกับเราครับ
เห็นด้วยไหมครับ มาแดงเพื่อประชาธิปไตยด้วยกันนะครับ ไม่ใช่น้ำเงินเผด็จการ อมาตยาธิปไตยอย่างเด็ดขาด
- ผู้แสดงความคิดเห็น สัญจร อธิคมน์ วันที่ตอบ 2009-07-04 19:41:56
10. สุริยคราสในอินเดียเมื่อ 22 ก.ค.2552
22 ก.ค.2552 วันนี้มีสุริยคราสเห็นได้ทั่วประเทศไทยเริ่มจับเวลา 08.03น.
ชาวอินเดียลงแช่น้ำนับล้านคน
โทรทัศน์อินเดีย[India TV] รายงานสุริยคราสในประเทศอินเดีย เวลา 10.05 น.เวลาไทยเห็นดวงอาทิตย์จวนจะหายไปแล้ว เหลือเพียงขอบแหว่งเหมือนจันทร์แรม 14-15ค่ำ แล้วชั่วอึดใจจากนั้น อาทิตย์ทั้งดวงก็กลายเป็นสีดำสนิทมีประกายแสงล้อมเป็นวงกลมบาง ๆ รอบดวงอาทิตย์สีดำ ที่น่าสนใจก็คือ โทรทัศน์อินเดียถ่ายทอดเสียงสวดอ้อนวอนของคนอินเดียดังกระหึ่ม ขณะที่ภาพคนอินเดียจำนวนมหาศาลลงไปแช่พนมมืออยู่ในแม่น้ำ(คงเป็นแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี) และที่เบียดเสียดกันริมฝั่งก็แน่นขนัด โทรทัศน์อินเดียผ่านภาพริมแม่น้ำไปอย่างค่อนข้างเร็ว คงไม่ต้องการเน้นไปที่ความเชื่อ เพราะคนอินเดียมองเป็นเรื่องเทพเจ้าของพวกเขากำลังจะเป็นอันตราย ในขณะที่ความจริงเป็นเรื่องดาราศาสตร์ไม่เกี่ยวอะไรกับเทพเจ้าเลย ยังไม่มีรายงานว่ามีคนแขกเหยียบกันตายที่แม่น้ำกึคน
เวลา 11.30 น. โทรทัศน์อินเดียยังคงรายงานสุริยคราสต่อ เห็นภาพชุมนุมทำพิธีรอบกองไฟ หรือหลุมไฟ ตีฉาบตีฉิ่ง ร้องอ้อนวอนเทพเจ้ากันใหญ่ ดู ๆ เหมือนคนชนบทไทยเมื่อ 60-70 ปีก่อน ที่พากันเคาะกะลา ตีฆ้อง ตีต้นไม้ไล่ราหูที่มาอมดวงอาทิตย์ กลัวอาทิตย์จะดับไปตลอดกาลอย่างไรอย่างนั้น แสดงว่าจริงอยู่อินเดียมีคนส่วนหนึ่งที่เจริญทางความคิดแบบวิทยาศาสตร์ไปไกลแล้ว แต่คนมากมายมหาศาลยังคงงมงายไร้สติตราบที่ยังคงเห็นการบูชาอ้อนวอนด้วยความเชื่ออยู่เช่นนี้ นี่เป็นปัญหาใหญ่ในประเด็นของการเมือง ด้วยสัจธรรมมีว่าคนที่เชื่องมงายในเทพเจ้าไม่อาจจะเป็นประชาธิปไตยได้ อินเดียกำลังมีปัญหามากมายหากคิดสร้างพัฒนาการเมืองให้ก้าวไปในครรลองประชาธิปไตย จะต้องทำงานด้านการเปลี่ยนแปลง(change) ในด้านความเชื่อที่เป็นเช่นนี้ ให้เป็นความเชื่อแนววิทยาศาสตร์ และก้าวแรกก็คือถอนตัวออกจากความคิดพึ่งพาเทพเจ้าออกมาพึ่งตนเอง ปกครองตนเอง ด้วยสติปัญญาของมนุษย์เอง ไม่ตกอยู่ใต้การสั่งการของเทพเจ้า หรือคณะตัวแทนของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ จึงจะชื่อว่าการปกครองของมนุษย์ โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษย์ คือประชาธิปไตย อำนาจเป็นของมนุษย์ อย่างเช่นชาวอินเดียที่เมืองนาคปุระเริ่มกระทำกันเป็นแบบอย่างขึ้นมาแล้ว
* 001 รายงาน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจาก สส. แต่ยังอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีต่อไป
ภายหลังเป็นหนึ่งใน 13 สส.พรรคประชาธิปัตย์ ถูกกกต.ชี้ขาดให้พ้นจากสถานะของ สส. เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2552 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้มีปฏิกริยาสะท้อนกลับทันทีด้วยการลาออกจาก สส. แต่ไม่ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป นี่คือสิ่งที่สะท้อนแนวคิดเผด็จการโดยแท้จริง โดยมองตำแหน่งผู้แทนราษฎร อันเป็นตำแหน่งที่ประชาชนมอบให้เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย ในขณะเดียวกันไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ก็เพราะโดยสำนึกของระบอบประชาธิปไตยแล้ว ตำแหน่งใดใดต้องยืนอยู่บนความอนุญาตของประชาชน มีความอนุมัติของประชาชนเป็นพื้นฐานเสมอไป ฉะนั้น ถ้านายสุเทพมีสำนึกที่ตรงต่อประชาธิปไตยแล้ว การลาออกจาก สส. จะต้องลาออกจากรองนายกรัฐมนตรีไปด้วย จึงจะชอบธรรมตามสำนึกของประบอบของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
และนี่คือวิถีทางของพรรคการเมืองที่ชื่อว่าประชาธิปัตย์ ที่ไม่มีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยเลย แม้ความคิดที่จะสร้างมาตรฐานอะไรแก่การเมือง การบริหารให้แด่ประเทศชาติ ก็ไม่มี มีแต่เพียงวาทะและความลับลมคมนัย ในการที่นายสุเทพ ลาออกจาก สส.แต่ไม่ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ แท้จริงมิได้มีความลึกซึ้งอะไร เพียงต้องการสร้างความสับสนแด่สังคม เป็นเล่ห์กระเท่ห์กลของการโฆษณาชวนเชื่อ ลับ ลวง พราง เพื่อให้ตนอยู่ในตำแหน่งได้นานไปอีกสักหน่อยเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเป็นการสร้างสรรค์หรือสปิริตอะไรเลย
เราผิดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดเวลาตั้งแต่ต้นในปัญหานโยบาย และแม้กระทั่งความจริงใจต่อประชาชน และบัดนี้ได้เห็นชัดขึ้นว่าประชาธิปัตย์มิได้คิดส่งเสริมประชาธิปไตยของประชาชนแต่อย่างใดเลย ประชาธิปัตย์พร้อมจะเป็นอะไรก็ได้เพื่อให้ตนได้อยู่ในอำนาจต่อไป
- ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินกุล :: วันที่ลงประกาศ 2009-07-18 20:04:33
12 จากกระดานถาม-ตอบ
แก้ตัวแทนม็อบปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ
ความเห็นที่ 7 (1438970)
ด้วยจิตบริสุทธิ์ ขอเรียนว่า ข้อข้างต้นนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าได้ติดตามข่าวคืนว้นที่ 25 ธันวาคม 2551 เห็นม็อบพันธมิตรปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ การ์ดพันธมิตรไล่ยิงกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ด้วยอาวุธปืนร้ายแรง บาดเจ็บ 11 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคนขับแท็กซี่
ข้อความนี้ไร้ข้อมูลจริง และเป็นข้อมูลที่ใส่ร้ายผู้อื่น ไร้ความเป็นธรรมยิ่ง ขอทุกท่านที่มีใจเป็นธรรมะโปรดรับทราบด้วย เพราะพันธมิตรไม่ได้ไล่ยิงกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยใดๆ ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บจากอาวุธปืนร้ายแรงใดๆ จากกลุ่มพันธมิตร ไม่มีแม้แต่คนเดียว และไม่มีทั้งตำรวจและคนขับแท็กซี่ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ความจริงคือกลุ่มพันธมิตรที่มีเพียงมือตบ และไปชุมนุมที่สนาบบินสุวรรณภูมิ โดยมิได้ปิดล้อม เครื่องบินยังขึ้นลงได้ตามปกติ เพราะพันธมิตรชุมนุมบริเวณลานจอดรถที่กลุ่มแท๊กซี่สุวรรณภูมิเคยชุมนุมประท้วงเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ผู้สั่งปิดสนามบินมิให้เครื่องบินขึ้นลงได้คือนายเสรีรัตน์ ปสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ญาติของนายวีระ มุสิกพงษ์ เพื่อจะโยนความผิดให้พันธมิตร และนายเสรีรัตน์ก็มิได้ทำตามขั้นตอนและมิได้มีการเตรียมสนาบนินรอบรับอื่นๆ และที่ประชุมการท่าฯ ก็ได้มีการสั่งลงโทษนานเสรีรัตน์ไปแล้วด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมขอให้ท่านไปค้นดูได้ ผู้โดยสารก็ไม่ดูแลปล่อยให้อดข้าวอดน้ำ มีเพียงพันธมิตรที่ช่วยเอาข้าวเอาน้ำไปเลี้ยงชาวต่างชาติที่ติดอยู่สนามบิน มีภาพยืนยัน ชาวต่างชาติยังมาร่วมถ่ายรูปกับพันธมิตรเป็นที่ระลึกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และชื่นชมในความมีน้ำใจของชาวพันธมิตรด้วย และชาวมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญก็ไม่มีเที่ยวบินออก นายเสรีรัตน์ไม่สั่งการช่วยใดๆ มีเพียงพันธมิตรติดต่อประสานงานให้สายการบินต่างชาติมารับไปเดินทางต่อไปแสวงบุญได้ ชาวมุสลิมยังขอบคุณในน้ำใจพันธมิตรเลย นี่คือความจริง
หลายๆ ท่านจริงๆ เราก็คือพวกเดียวกันรักชาติ รักสถาบันเหมือนกัน แต่อาจจะได้รับข้อมูลผิดๆ ใส่ร้ายจากผู้ไม่หวังดีกับชาติบ้านเมือง ขอเพียงท่านลองเปิดใจรับฟังข้อมูลทุกๆ ด้านไม่ว่าสีไหนๆ แล้วสุดท้ายท่านจะรู้ดีว่าท่านควรจะยืนอยู่บนความถูกต้องกับสีใด แต่ที่สุดแล้วคนที่รักชาติบ้านเมืองจริงๆ รักสถาบันสูงสุดรักในหลวงจริงๆ ไม่ว่าสีไหนๆ ก็ขอให้หลอมรวมเป็นคนไทยสีธงไตรรงค์เหมือนกัน อย่าหลงเชื่อใครที่ลึกๆ แล้วเค้าทำเพื่อคนเพียงคนเดียวเลย องค์คุลีมาลยังกลับใจได้ ไฉนเลยคนธรรมดาอย่างเราๆ หากรักชาติรักสถาบันจริงๆ ด้วยใจบริสุทธิ์ สุดท้ายจะรู้ดีกว่าจะยืนอยู่บนความถูกต้องและศีลธรรมที่ดีงามอย่างไร
- ผู้แสดงความคิดเห็น ทำไมต้องแตกแยกกัน รักชาติรักในหลวงเหมือนกันคือไทย วันที่ตอบ 2009-05-19 01:40:59
ความเห็นที่ 8 (1452265)
ตอบคุณ ทำไมต้องแตกแยกกัน รักชาติรักในหลวงเหมือนกันคือไทย เห็นด้วยครับ แต่สถานการณ์บ้านเมืองเราขณะนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประชาชนทั้งชาติไทยต้องการประชาธิปไตย และเราต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันนี้ไม่พึงมีข้อเคลือบแคลงใจเพราะรัฐธรรมนูญไทย ไม่ว่าเขียนโดยรัฐสภาผู้แทนราษฎรหรือเขียนโดยกบฏผู้ยึดอำนาจก็รับรองกันไว้ทุกฉบับ คนไทย ขึ้นชื่อว่าคนไทยไม่ทิ้งในหลวงอย่างแน่นอน แต่ขณะนี้มีกบฏทำการยึดอำนาจรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยไปตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 มีคนสองคนชื่อสนธิ เหมือนกันที่คนไทยต้องจดจำเอาไว้ชั่วฟ้าดินสลาย คือหนึ่ง สนธิ บัง จอมอกตัญญู สองสนธิเจ๊กจอมบ่างช่างยุ มาร่วมมือกัน ยึดอำนาจไป แล้วอภิสิทธิ์รับช่วงผลผลิตอันเลวทรามต่อมาถึงบัดนี้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะแท้จริงแล้วถึงสนธิบัง มันคือ หัวหน้าโจรที่ช่วงชิงประชาธิปไตยไป พอเสวยสมบัติแล้วมันก็โละให้สนธิลิ้ม กับอภิสัตว์รับทรากต่อมา เห็นไหมครับ มันลับลวงพรางขนาดไหน เราจึงต้องทวงประชาธิปไตยของเราคืนมาอย่างไรครับ และสัญลักษณ์ของเราคือสีแดง แดงหมายถึงประชาธิปไตยครับ และไม่ได้เรียกร้องด้วยกำลังแต่อย่างใด
คุณไม่ต้องการประชาธิปไตยหรือครับ ประชาธิปไตยในมือโจร โจรไม่คืนให้ดอกครับ ต้องต่อสู้จึงจะได้มา ต้องต่อสู้จึงจะได้มา โจรหรือจะยื่นประชาธิปไตยให้เราง่าย ๆ
มาร่วมมือกันสิครับ สีไหนก็ตาม จะไม่มีปัญหา หากมุ่งหมายถึงการ ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของเราคืนมา
เมื่อพูดถึงการต่อสู้ ก็ต้องหมายถึงแลกเอาด้วยชีวิตนะครับเป็นอย่างสูงสุด แต่แม้ขนาดนั้น เราก็ต้องแลกเอา อย่างที่ยอดมนุษย์แทกซี่ประชาธิปไตยเคยทำเป็นตัวอย่งมาแล้วครับ ขอบคุณครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น ธนสิทธิ์ พิมพ์พิจักร วันที่ตอบ 2009-07-17 16:25:42
13. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กำลังยุแยกให้แตกในวงการสงฆ์
สืบทอดเจตนารมณ์การโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จัดรายการใน ASTV และยังมีรายการ FM.92.25 ฟังทีแรกแล่วน่าสนใจในประเด็นที่ว่าเหมือนลีลาของใครคนหนึ่ง ทำนองถ่ายแบบคนนั้นมาเปี๊ยบ มิต่างลูกศิษย์ถ่ายแบบมาจากอาจารย์เลยทีเดียว และอาจารย์คนนั้นของเจิมศักดิ์ ปิ่นทองก็คือสนธิ ลิ้มทองกุล ในวันที่ 23 ก.ค.2552 เวลาประมาณ 08.00 น. FM.92.25 นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับ จิตกร บุษบา สนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับวงการสงฆ์ ในทำนองแปลกและแปร่ง ที่ผิดไปจากสำนวนลีลาของ นายเจิมศักดิ์ คนเดิม เพราะได้พูดเรื่องที่ไม่ควรเอามาพูด โดยเอาเรื่องละเอียดอ่อนในวงการสงฆ์ธรรมยุติ-มหานิกาย และธรรมะที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งมาพูดมาวิเคราะห์วิจารณ์คาบเกี่ยวไปถึงคนอื่น ซึ่งน่าที่จะส่งผลร้ายถึงอาจเป็นสาเหตุให้คนฟังสับสน ทำให้สังคมเข้าใจผิดเกิดความแตกแยกร้ายแรงได้
การพูดถึงเรื่องธรรมยุติกับมหานิกายอันเป็นเรื่องในวงการสงฆ์ไทยที่สง์ไทยเข้าใจดี แต่คนที่ไม่เข้าใจอย่างนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทองเอามาพูดขึ้น รวมไปถึงเรื่องการคว่ำบาตรของหลวงตามหาบัวของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทองนั้น คล้าย ๆ กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มวางแผนการโฆษณาชวนเชื่อหลักการสำคัญ ด้วยแผนการดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาเกี่ยวในเรื่องราวที่โฆษณาด้วย จึงเริ่มด้วยกรณีรัฐบาลทักษิณทำบุญประเทศ โดยขอพระราชทานอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)เป็นสถานที่กระทำพิธีกรรมทำบุญประเทศ ในช่วงที่ประเทศไทยพบความวิบัติหลังเกิดสินามิ โดยนำเรื่องที่ไม่เป้นความจริงเลยมากล่าวหาว่า ในการทำบุญประเทศครั้งนั้น ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกระทำตนเสมอกษัตริย์ โดยสวมรองเท้าเข้าไปประกอบพิธีกรรมในอุโบสถวัดพระแก้ว (ก็ไม่ผิดระเบียบของสำนักพระราชวัง) ไม่เคารพโดยสวมเสื้อแขนสั้น(ก็ไม่ผิดระเบียบ) และตีตนเสมอกษัตริย์โดยจัดที่นั่งทับที่กษัตริย์ขณะทำพิธีกรรม(ที่จริงไม่ได้ทับที่นั่งกษัตริย์เลย) เป็นเหตุให้เกิดโกลาหลในหมู่ประชาชนขณะนั้น แล้ว ASTV ก็เริ่มดึงเรื่องราวเบื้องสูงลงมาสู่แผ่นดินต่ำ ในท่าทีเล่ห์กลว่าตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเป็นอย่างยิ่ง เป็นห่วงสถาบันอย่างยิ่ง จึงต้องถวายชีวิตเป็นพลีป้องกันสถาบัน ต้องสอดตาดูบุคคลผู้เป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์และเอามาเปิดเผยแก่ประชาชน (และคนที่ต้องสอดแนมติดตามอย่างไม่ละก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้
วันนี้ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กำลังจะทำแบบเดียวกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล จอมบ่างช่างยุคนนั้น โดยคราวนี้ เปลี่ยนเป็นมาดึงสถาบันสงฆ์ลงมาเกลือกกลั้วตมอีกสถาบันหนึ่ง ฟังลีลาวาทะข้อกล่าวหาของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยอ้างสถาบันสงฆ์นี้ มิแตกต่างลีลาของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กล่าวถึงเบื้องสูงเลย จึงน่าฉงนว่า ดร.คนนี้จนปัญญาขนาดมารับเอาคำสอน ลีลาการโฆษณาชวนเชื่อมาจากนายสนธิลิ้มมาเต็มตัวราวกับเป็นศิษย์เอกผู้ซื่อกตัญญูแห่งสำนักเลยทีเดียวหรือ? เคยเป็นเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้เคยมีความเป็นอิสระ นักวิชาการเสรี มีเหตุมีผล และเป็นประชาธิปไตย กลายมาซบหัวยอมตนเป็นสานุศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ต่อคนล้มละลายทางการเงิน ผู้ต้องหาก่อการร้าย ยึดสนามบินนานาชาติ ฯลฯ อย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้อย่างไร? และภาระของนายเจิมศักดิ์ ที่กำลังเริ่มอยู่วันนี้ ก็บอกไปถึงนัยความหมายของเล่ห์กลและภาระที่จะกระทำต่อเป้าหมายอย่างไร ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นโดยยากอย่างไร แต่เห็นง่ายว่า โดยการพูดถึงสถาบันสงฆ์นั้น มีจุดมุ่งหมายในการสร้างความแตกแยกให้แก่สถาบันสงฆ์ธรรมยุติ กับ มหานิกาย โดยอยู่ในขั้นแรกที่เริ่มเจาะชอนไชนำทางทดลองหยั่งเชิงไปก่อน มิแตกต่างจากการเริ่มการก่อความปั่นป่วนโดยเอาเรื่องราวสถาบันกษัตริย์นับตั้งแต่เริ่มเอาเรื่องเท็จกรณีทำบุญประเทศในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)ของรัฐบาลทักษิณยุคสินามิ มาบิดเบือนโกหกพกลมทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจริงเลย อย่างหน้าด้านไร้ความอายโดยสิ้นเชิง(ซึ่งบ่งถึงขั้นตอนที่เริ่มจะดึงฟ้าต่ำลงมาโฆษณาเพื่อให้ใส่ร้ายผู้อื่นและเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนอย่างไร) แต่ในครั้งนั้น สำนักพระราชวังได้ออกมาแก้ข้อกล่าวหาแทนรัฐบาล ว่าทักษิณ มิได้เป็นผู้จัดการพิธีกรรมนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบและการจัดการของสำนักพระราชวัง แผนการร้ายทางการโฆษณาชวนเชื่อจึงถูกจับได้และจับตามองมาตั้งแต่นั้น และได้เป็นข้อคิดเตือนใจว่า ลักษณะการโฆษณาเช่นนี้แหละเป็นจุดเริ่มต้นแผนการร้ายโดยอิงอาศัยสถาบันเบื้องสูงลงมาเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ฝ่ายตน ผู้ทำการโฆษณาชวนเชื่อ คือเอเอสทีวีมาจนกระทั่งบัดนี้
เพราะเหตุใด นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จึงตั้งใจไปขุดคุ้ยเอาเรื่องที่ไม่มีความจริงมาโจมตีคนอื่น ใส่ร้ายคนอื่น โดยไปอ้างหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ว่าท่านได้ระดมลูกศิษย์สายวัดป่า ซึ่งล้วนเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานมาสวดมนต์สาปแช่งและคว่ำบาตร ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น โดยอ้างว่าหลวงตามหาบัวเองท่านมีญาณทัศนะว่า ดร.ทักษิณ มิได้เป็นคนดีตามที่ภาพภายนอกปรากฏ แท้จริงเป็นคนโกงชาติ ขายชาติ ขายแผ่นดิน จึงไม่ควรที่จะอยู่ต่อไป ต้องทำพิธีกรรมคว่ำบาตร (ที่จริงเคยมีกรณีนายทองก้อน ศิษย์หลวงตามหาบัว ระดมประชุมพระสายวิปัสสนา ศิษย์หลวงตามหาบัว มาประชุมกันในวัดสายธรรมยุติแห่งหนึ่งในกรุงเทพในกลางเดือน กุมภาพันธ์ 2547 เพื่อต่อต้าน คัดค้านรัฐบาลทักษิณ กรณีรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรี ดร.วิษณุ เครืองาม ลงนามตั้งคณะทำการแทนสมเด็จพระสังฆราช และได้ทำพิธีคว่ำบาตรนายวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ ในขณะนั้น) ซึ่งประเด็นนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เคยพูดใน เอเอสทีวีมาก่อนแล้วบ่อยครั้ง โดยแสดงตนว่าตนเป็นศิษย์เอกหลวงตามหาบัว คราวนั้นนายสนธิ ถึงกับอ้างว่าหลวงตาบัวถึงกับเอ่ยคำสาป ดร.ทักษิณ ชินวัตร เอาไว้ว่า แม้จะอยู่ในตำแหน่งสูงส่งร่ำรวยก็จะต้องพังพินาศน์ ประสบความหายนะตลอดไป แล้ววันนี้ นายเจิมศักดิ์ ก็ดำเนินรอยตามนายสนธิและโฉมหน้าให้เห็นว่าจะทำเรื่องการดึงสถาบันสงฆ์ลงมาเกลือกกลั้วราคีอีกสถาบันหนึ่ง และนั่นหมายถึงเจตนาร้ายต่อประเทศและประชาชน โดยแผนการสร้างความแตกแยกของประชานในชาติไปอีกระดับหนึ่ง
การไปอ้างพระผู้ใหญ่มาทำการโฆษณาโดยระบุถึงพฤติกรรมของพระผู้ใหญ่รูปนั้นในลักษณะว่าท่านกล่าวคำอาฆาตแค้น และประกอบกรรมร้ายโดยวจีทุจริต นั่นคือสาปแช่ง และทำพิธีกรรมคว่ำบาตร (ซึ่งทางพระย่อมหมายถึงการลงโทษอย่างรุนแรงระดับประหารชีวิต ซึ่งหมายถึงตัดขาดไปจากพระพุทธศาสนา) นั้น น่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง หวังผลทางการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่พึงจะเป็น ตามเหตุผลที่พึงพิจารณา 2 ประการ คือ
ประการแรก ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านย่อมสมกับฉายา เป็นผู้ที่มี ญาณสัมปันโน(ผู้ถึงพร้อมบริบูรณ์แล้วด้วยความรู้) เป็นพระสายปฏิบัติวัดป่า แม้โดยฐานะพระสงฆ์สาวกคือพระธรรมดา ๆ รูปหนึ่งก็ย่อมจะสังวร ไม่กระทำกายกรรมวจีกรรมทุจริตเช่นนั้น ในเมื่อพระทุกรูปสวดมนต์เตือนสติตนเองอยู่ทุกเช้าทุกเย็น ที่เรียกว่า ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น และขึ้นใจในพระโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นคำสอนข้อสำคัญที่องค์บรมศาสดาทรงสอนเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเอาไว้ และพระสงฆ์ทั้งปวงย่อมสดับฟังและน้อมนำไปปฏิบัติด้วยดีดังมีข้อความทั้งหมดดังนี้
โอวาทปาติโมกขคาถา
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ(ขาวทั้งหมด)
เอตัง พุทธานะสาสะนัง ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา ผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย
ปาติโมกเข จะ สังวะโร การสำรวมในปาติโมกข์
มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง การนอน การนั่ง ในที่สงัด
อะธิจิตเต จะ อาโยโค ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง
เอตัง พุทธานะสาสะนัง ธรรม ๖ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ซึ่งในที่นี้ เราต้องการหมายเหตุเป็นพิเศษ 2 วรรค ก็คือ
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย
ผู้ที่สละเรือนมาปฏิญญาณตนเป็นอนาคาริยวิสัยแล้ว คือหมู่สงฆ์ทั้งปวงย่อมสดับรับฟังและน้อมนำไปปฏิบัติด้วยความเคารพ และระวังอย่างยิ่งว่า นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รู้หรือเปล่าว่า พระหลวงตามหาบัวนั้น ในทางสมณศักดิ์ ท่านเป็นถึงพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมวิสุทธิมงคล ท่านย่อมต้องสังวรในพระโอวาทปาฏิโมกข์ ดังกล่าว จะไปทำพิธีกรรมสาปแช่ง คว่ำบาตรผู้ใด อันบ่งถึงจิตขาดเมตตา กอปร์ด้วยโมหะ อาฆาตแค้น คิดกำจัด หรือคิดทำให้คนอื่นลำบากอยู่ คนใดใดได้ โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ได้อย่างไร? และในทางกฎหมายการทำพิธีคว่ำบาตร เห็นเป็นรูปธรรม สามารถเอามาเป็นหลักฐานทางกฎหมายเอาเรื่องหลวงตามหาบัวได้ อาจจะถอดจากสมณศักดิ์ได้ และทั้งเป็นความผิดฉกรรจ์ อาจถึงขั้น "ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง" ตามกฎมหาเถรสมาคม ถึงถูกให้สละสมณเพศได้ เช่นนี้นายเจิมศักดิ์ไม่คิดดูว่าท่านหลวงตาท่าน แม้สงฆ์รูปใดรูปหนึ่งท่านจะอาจทำพฤติกรรมอย่างที่นายเจิมศักดิ์เอามาโฆษณาได้อย่างไร?
อีกอย่างหนึ่งนายเจิมศักดิ์ ไม่รู้หรือว่าหลวงตามหาบัวท่านเป็นพระป่ามาตลอดชีวิต ท่านได้ธุดงค์ไปทั่วประเทศ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย และในทางธรรม ท่านมิใช่พระปุถุชนคนธรรมดา ท่านเป็นถึงพระอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน ไม่ใช่รู้กันเฉพาะในวงการพระป่าลูกศิษย์ของท่าน แต่รู้ในวงการศาสนิกชนทั่วไป แม้ท่านเองท่านก็ได้กล่าวว่าท่านได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลโสดาบันแล้ว(ดูจากประวัติที่ทำแผ่นแจกจ่ายไป) การที่นายเจิมศักดิ์ เอาเรื่องราวของหลวงตามหาบัว ที่พระธรรมวิสุทธิมงคล มาบิดเบือนว่าท่านได้กล่าวคำให้ร้าย สาปแช่ง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ว่าขายชาติ จนต้องคว่ำบาตร หรือสาปแช่งให้ล่มจม บรรลัยไป นั้น ไม่เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ ฉะนั้น จึงน่าเชื่อว่า นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กำลังคิดวางแผนทำความแตกแยกในสถาบันสงฆ์อยู่ เช่นเดียวกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เริ่มคิดสร้างความปั่นป่วนแตกแยกในประชาชนโดยการดึงเอาเรื่องการทำบุญประเทศในรัฐบาลทักษิณ ที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาทำการโฆษณาชวนเชื่อโดยหวังว่าเป็นปฏิบัติการระยะแรกเริ่มก่อน หากสังคมตามไม่ทัน ต่อไปจะได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องสถาบันนี้มาเป็นเรื่องที่ให้คุณและโทษแก่คนใดคนหนึ่งได้อย่างร้ายแรงต่อไป นั่นเอง
ในวันนี้ วันที่ 31 ก.ค.2552 ; ASTV ทีวีเพื่อการรับใช้งานการโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พบ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ รู้ทันทักษิณ หรือ รู้ทันประเทศไทย นายเจิมศักดิ์ ได้ตั้งประเด็นที่สามารถทำร้ายคนอื่นทางจิตใจได้มากและมีเจตนาทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างแท้จริง โดยตั้งประเด็นว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีบุคลิกภาพเป็นวิกลจริตหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นจะเป็นคนอันตรายเพียงไหน ต่อประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสถาบันอันสูงสุด? พูดไปพูดมาก็ให้ง่ายเข้าว่า ทักษิณเป็นคนบ้าหรือเปล่า แล้ว คนที่รับรองก็คือ นายประสงค์ สุ่นศิริ กับ วสิษฐ์ เดชกุญชร ทั้งสองคนนี้เป็นคนแก่ (จะเข้าโลงอยู่แล้ว) อายุปูนคุณปู่คุณตา เข้าไปแล้ว(วสิษฐ์ เดชกุญชรว่าตนจะ 80 ในพ.ย.52นี้) ได้วิเคราะห์กันอย่างอคติโดยสิ้นเชิง โดยไร้จิตใจของความเป็นผู้ใหญ่ เพราะเดิมมาในสังคมไทย การไประบุกล่าวหาคนดี ๆ ว่าเป็นบ้านี้ ย่อมเป็นอันตราย อาจจะทำให้คนดี ๆ ที่ถูกกล่าวหาหรือพูดเน้นย้ำบ่อย ๆ ว่าเป็นบ้านั้น เป็นบ้าไปจริง ๆ ก็ได้ คนชนบทบ้านนอกเขารู้ดี โดยเฉพาะในวงการสงฆ์ มีตัวอย่างมามาก จึงไม่ให้ด่ากันเช่นนี้ (อย่าไปด่าเขาว่าเป็นบ้า เราเองแหละจะบ้า สอนกันมาอย่างนี้) ซึ่งคตินี้ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประสงค์ สุ่นศิริ และ วสิษฐ์ เดชกุญชร ปูนนี้แล้วก็คงจะเข้าใจดี แต่ไม่ถือจริยามารยาทอันดีของสังคมไทย เช่นนี้ บ่งถึงความมุ่งหมายอย่างมีเจตนาที่จะทำร้ายทางจิตใจคนอื่นจริง ๆ ซึ่งไม่เป็นธรรมและเลวทรามอย่างยิ่ง และทั้งยังบอกไปถึงความมีโมหะ อวิชชาครอบงำทำให้ไร้สติปัญญาแม้จะคิดไตร่ตรองดูในประเด็นความเป็นธรรม หรือความถูกต้อง ครรลองที่สร้างสรรค์แก่ชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นั่นคือ การมองเขามองเรา ไม่ลองมองกลับไปดูตนเองบ้าง หากว่าเขาคนนั้น คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนบ้า เขาก็ยังได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชนไทย ให้เป็นผู้แทนของประชาชนและให้เป็นนายกรัฐมนตรีผู้โด่งดังของประเทศนี้ และซึ่งได้สร้างคุณความดีไว้แด่ประเทศชาติ ประชาชนไทย ขนาดนี้(ขนาดที่มีคนทั้งประเทศลุกขึ้นมาแดงทั้งแผ่นดินให้การรับรองคุณภาพของเขา และเพื่อนำเขากลับมาทำงานสร้างสรรค์ประโยชน์คุณงามความดีแด่บ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหนึ่ง) แล้วคนดี ๆ(ไม่บ้าหรือวิกลจริตคราวปู่อย่างประสงค์ สุ่นศิริ วสิษฐ์ เดชกุญชร หรือรุ่นเด็กอ่อนปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมขึ้นมา อย่างนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง) ได้สร้างคุณงามความดีไว้อย่างไรบ้าง ประสงค์ สุ่นศิริ วสิษฐ์ เดชกุญชร ปูนนี้แล้วได้สร้างอะไรให้ปรากฏแด่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไว้แม้เล็กน้อยบ้างหรือ? แม้คำถามว่ารู้จักประชาธิปไตยของคนยุคใหม่แล้วหรือยัง? ก็ยังไกล กว่าจะเรียนรู้ พบคำตอบ!!! ไม่เช่นนั้นคงไม่เป็นตัวการทำลายระบอบประชาธิปไตยของประชาชนเมื่อ 19 ก.ย.2549 ร่วมกับสนธิบังทหารเลวคนนั้น นายเจิมศักดิ์เอง แม้จะทำมาหากินยังเอาตัวเองไม่รอด ต้องมาอาศัยกินน้ำใต้ศอกสนธิ ลิ้มทองกุล เช่นนี้ แล้ว การเป็นคนดีของตนมีประโยชน์สู้คนบ้าได้อย่างไร นี่เป็นประเด็นที่คนชั้นดร.อย่างนายเจิมศักดิ์ไม่ยอมมองดู จึงได้สร้างเรื่องราวที่น่ารังเกียจมาก ทั้งสองเรื่องราวที่ได้วิเคราะห์มาในวันนี้ก็เพื่อความเป็นธรรม เราจึงอยากให้นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้มีความสังวร ในการพูดถึงสถาบันสงฆ์ และสำนึกในความเป็นธรรมในสังคม โดยมีวิจารณญาณสุขุมลุ่มลึก คำนึงข้อเท็จจริงโดยรอบคอบกว่านี้ หรือแม้หากว่ามีอะไรอยู่บ้างที่เป็นข้อที่ผิดพลาดประการใด หากเราเป็นคนดี ไม่บ้าวิกลจริตแล้ว มีความปรารถนาดีต่อสถาบันในองค์รวมแล้ว ก็ควรจะอดออมระงับใจอย่าพึงนำมากล่าวจะเป็นผลดีกว่า และอย่าลืมว่า มีสัจธรรม ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป เราก่อกรรมอันใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ผลกรรมยังไม่มีสิ้นสุดแม้ละไปจากโลกนี้ไปสู่โลกไหน ๆ ดัง วลีพระว่า ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปติฏฐา โหนติ ปานินันติ บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรภพ จึงหวังว่านายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จะได้สังวรต่อไป.
· บุญแพง อภิรตี บุญเสฏฐ์
31 ก.ค.2552
14. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กำลังยุแยกให้แตกในวงการสงฆ์
สืบทอดเจตนารมณ์การโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล (2)
หมายเหตุกรณีหลวงตามหาบัว
กรณีการโฆษณาของนายสนธิ ลิ้มทองกุล สืบต่อมาถึงนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อ้างว่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่พระธรรมวิสุทธิมงคล ได้กระทำพิธีกรรมคว่ำบาตร และการสาปแช่ง ให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ถึงความพินาศ ต้องจากแผ่นดินกำเนิด ซมซานไปอย่างไร้แผ่นดินที่จะซุกหัวนอน ครั้นมีการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ เยี่ยงโจรปล้นประชาธิปไตยไปของทหารเลวบังสนธิ บุณยรัตนกลิน เกิดขึ้นแล้ว ก็จริงสมอ้าง ดูเหมือน หลวงตามหาบัว จะพอใจในคำสาปของตนอย่างยิ่ง จึงไม่รู้สึกร้อนหรือหนาวอย่างไรกับการที่ท่านถูกอ้างว่ากระทำกรรมเลวทรามอันนั้น แต่เราได้พิจารณาแล้วว่า หลวงตา ท่านจะอาจกระทำการเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นพระสงฆ์ ดำรงตนในพระธรรมวินัย ทบทวนตนเองเสมอในพระปาฏิโมกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง2บทที่ว่า
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย
การณ์น่าจะเป็นว่านายสนธิ และนายเจิมศักดิ์ บิดเบือนเรื่องราวมาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อฝ่ายตนได้ประโยชน์มากกว่า ตามเหตุผลที่เราได้วิจารณ์วิเคราะห์มาแล้วข้างต้น ซึ่งเป็นเหตุผลตามพระธรรมวินัย แต่เราได้อ้างถึงกฎมหาเถรสมาคมเอาไว้ จึงจะขอขยายความออกไปอีกสักหน่อย
ได้มีกฎมหาเถรสมาคมใหม่ออกมาเมื่อ พ.ศ.2541 โดยสมเด็จพระญาณสังวร(สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม) ให้ตราไว้ ณ วันที่ 1 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2541 เป็น กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ
ในกฎมหาเถรฯใหม่นี้ มีหมวดที่เพิ่มเติมมาเป็นพิเศษ ที่เตือนพระสังฆาธิการโดยตรง พระสังฆาธิการควรจะต้องรู้ ก็คือ หมวด 4 จริยาพระสังฆาธิการ โดยเจตนาเพื่อให้พระสังฆาธิการทั้งหลาย นับตั้งแต่ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค ลงมาถึง เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาส ได้ระมัดระวังสำรวม ให้สมกับเป็นสงฆ์สาวก และรักษาสามัคคีธรรมในหมู่สงฆ์ มีจริยาข้อที่เกี่ยวข้องกับกรณีหลวงตามหาบัว นี้ ดังนี้
ข้อ 47พระสังฆาธิการต้องปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ และห้ามมิให้ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่สมควร (การใช้อำนาจหน้าที่สั่งการให้สงฆ์มาร่วมชุมนุมทำพิธีกรรมคว่ำบาตรและสาปแช่งโยมผู้มีอุปการคุณนั้น ถือว่าใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่สมควร เข้าข่ายการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ อาจถือได้ว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” และ “ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” อาจจะถูกพิจารณาถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ได้)
ข้อ 49 พระสังฆาธิการต้องรักษาส่งเสริมสามัคคีในหมู่คณะ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางที่ชอบ (ถ้าช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางที่ไม่ชอบ เช่นระดมสานุศิษย์มาช่วยกันทำพิธีคว่ำบาตร สาปแช่งโยมผู้มีอุปการคุณ ก็ถือว่าช่วยเหลือกันและกันในทางที่ไม่ชอบ และเข้าข่ายการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอาจถือได้ว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” และ “ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” อาจจะถูกพิจารณาถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ได้)
มีบทลงโทษว่าด้วยการละเมิดจริยา ไว้ในข้อ 54 คือ
ข้อ 54 พระสังฆาธิการรูปใดประพฤติละเมิดจริยา ต้องได้รับโทษฐานละเมิดจริยา อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(1) ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่
(2) ปลดจากตำแหน่งหน้าที่
(3) ตำหนิโทษ และ
(4) ภาคทัณฑ์
เฉพาะกรณีถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ตาม(1)นั้น สามารถกระทำได้เมื่อเข้าลักษณะความละเมิด 5 ประการตามข้อ 55 ดังนี้
ข้อ 55 การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่นั้น จะทำได้ต่อเมื่อพระสังฆาธิการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง แม้ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่
(2) ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเกินกว่า 30 วัน
(3) ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์ และการขัดคำสั่งนั้นเป้นเหตุให้เกิดความ เสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
(4) ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
(5) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
กรณี การสาปแช่งบุคคลคืออุบาสกอุบาสิกา ผู้มีพระคุณในพระพุทธศาสนา อย่างแรงโดยสาปแช่งให้บุคคลนั้นประสบความหายนะไปตลอดชีวิต และทั้งยังได้กระทำพิธีกรรมคว่ำบาตร และการสาปแช่ง ให้โยมผู้มีอุปการคุณ ซึ่งในที่นี้หมายถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ถึงความพินาศ ต้องจากแผ่นดินกำเนิด ซมซานไปอย่างไร้แผ่นดินที่จะซุกหัวนอน อันเป็นพิธีกรรมของหมู่สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อบุคคลผู้เป็นอุบาสกอุบาสิกาผู้มีพระคุณต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งเท่ากับประหารชีวิตให้ตายไปจากพระพุทธศาสนาตลอดชาติ ตามที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับนายเจิมศักดิ์ อ้างมาโฆษณาติดต่อกันมาแรมปีนั้น น่าที่ไม่อาจจะเป็นจริงได้เลย นอกจากเป็นการบิดเบือนเรื่องราวมาทำการโฆษณาชวนเชื่อ บ่อนทำลายสถาบันสงฆ์ไทยและพระพุทธศาสนา โดยทำให้สังคมแตกแยก ซึ่งบัดนี้เราได้เห็นภาพราง ๆ เกิดขึ้นแล้วในสังคมชาวพุทธคือมีคนฝ่ายหนึ่งที่ทำการคว่ำบาตร และ มีคนอีกฝ่ายหนึ่งที่ทำการหงายบาตร จึงเห็นได้ว่าแผนการยุแยกให้แตกสามัคคีธรรมขึ้นของคนในชาติ ชาวพุทธด้วยกันเองเป็นแผนการที่เลวร้ายที่ไม่น่าจะให้อภัยได้ สมควรที่จะได้รับการนำตัวมาพิจารณาลงโทษ และทั้งต้องอยู่ในดุลยพินิจการติดตามให้รู้เท่าทันแผนการร้ายทางการโฆษณาชวนเชื่อของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับนายสนธิ ลิ้มทองกุลต่อไปไปอย่างใกล้ชิด และหาช่องทางแก้ไขสถานการณ์ให้ทันกันรวมทั้งการหาทางอบรมบ่มนิสัยผู้ร้ายให้กลับใจ หรือหากโปรดไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้เขาออกไปอยู่ส่วนที่เขาควรอยู่ อุปมาดั่งกำจัดสุนัขบ้าไปเสียจากสังคม ๆ ก็พ้นอันตราย ฉะนั้น
- บุญแพง อภิรตี บุญเสฏฐ์
3 ส.ค. 2552
15. ฎีกาของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่ควรก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย
ทำไมรัฐบาลจึงออกโรงคัดค้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง ทั้ง 5 ล้านคนเศษ ? ด้วยการให้กระทรวงมหาดไทยสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแจ้งให้ประชาชนมาถอนรายชื่อและยังมีกลุ่มพันธมิตรปักต์ใต้มาทำพิธีเผาใบถวายฎีกาโชว์ทางสื่อ ASTV นายอภิสิทธิ์ยังให้สัมภาษณ์สื่อทีวีทุกช่องว่าการเข้าชื่อถวายฎีกาผิดกฎหมาย ประชาชนถูกหลอกลวงให้หลงผิด?
นั่นก็เป็นเพราะรัฐบาลเด็กนั่นเอง มีภูมิปัญญาและวิสัยทัศน์คับแคบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไปคาดคะเนอะไรคล้าย ๆ ตัดสินใจแทนพระองค์ท่านเอง ซึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำนองเอาปัญญาควายไปคาดคะเนปัญญาพระยาราชสีห์ เอาปัญญานกกระจอกไปคาดคะเนปัญญาพระยานกอินทรีย์
น่าจะทบทวนดูว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราท่านเป็นบุคคลที่ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ ขนาดไหน ทรงผลงานที่ประเสริฐยิ่งใหญ่ จนกระทั่งได้รับการเทิดทูนจากโลก โดยสหประชาชาติก็ดี ประเทศต่าง ๆ และรางวัลจากต่างประเทศมากมาย ก็ดี นั้นย่อมเป็นประกันถึงพระบารมีสติปัญญาของพระองค์ที่จะทรงวินิจฉัยปัญหาของประชาชนได้ด้วยพระองค์เอง การที่พรรคภูมิใจไทยและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ดำเนินการต่อต้านการถวายฎีกาของประชาชนเช่นนี้ แสดงถึงการก้าวล่วงพระบรมราชานุภาพโดยตรง
เพราะในหลวงของเรา นอกจากทรงเป็นบุคคลผู้ประเสริฐแล้วยังทรงเป็นกษัตริย์ผู้ประเสริฐ เป็นผู้ตรัสถ้อยคำที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีความหมายอันยิ่งใหญ่ของถ้อยคำว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” ในวันที่ทรงครองราชย์ อันแสดงถึงความทรงธรรมอันยิ่งใหญ่และจักบริหารแผ่นดินโดยธรรม และทรงตรัสถ้อยคำยิ่งใหญ่อีก ต่อหน้า พระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 เข้าเฝ้า ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท 10 พ.ค.2527 ว่า “คนไทยเป็นศาสนิกชนที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติ” อันแสดงถึงความแนบแน่นในพระพุทธศาสนาจนทรงตรัสยกย่องว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย แสดงถึงพระปรีชาญาณ และพระบารมีธรรมอันสูงสุดที่ได้จากทรงสนิทธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วรัฐบาลหรือคนใดคนหนึ่งจักต้องไปพะวงทำไม หาเหตุผลมิได้ หากไปคิดเป็นกังวลว่าพระองค์จักไม่ทรงสามารถวินิจฉัยปัญหาใดใดด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชามหาชนอันไพศาล ที่กษัตริย์จักทรงวินิจฉัยด้วยพระองค์เองเป็นธรรมเนียมแห่งกษัตริย์มาแต่โบราณกาล แห่งสากลระบอบกษัตริย์ทั่วโลก
รัฐบาลอภิสิทธิ์ จักไม่ทราบหรือว่าทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในธรรมอย่างสนิท และทรงประพฤติทศพิธราชธรรม 10 ประการอย่างเคร่งครัด จึงทรงประทานพระบรมราโชบายทางการปกครองของพระมหากษัตริย์ไว้ว่า จักทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ตามที่ประจักษ์ชัดว่าทรงประพฤติอย่างประเสริฐมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ใน ทศพิธราชธรรม 10 โดยไม่บกพร่อง สมบูรณ์ไปทุกประการ รัฐบาลโปรดอ่าน ดังนี้
ทศพิธราชธรรม 10 ประการ
1. ทาน (ทานํ) การให้ หมายถึงการให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึง การให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย
2. ศีล (ศีลํ) คือความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา และใจ ให้ปราศจากโทษ ทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนา
3. บริจาค (ปริจาคํ) คือ การเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม
4. ความซื่อตรง (อาชชวํ) คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต
5. ความอ่อนโยน (มัททวํ) คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและอ่อนโยนต่อบุคคลที่ เสมอกันและต่ำกว่า
6. ความเพียร (ตปํ) หรือความเพียร มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน
7. ความไม่โกรธ (อกฺโกธ) หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล
8. ความไม่เบียดเบียน (อวีหึสา) การไม่เบียดเบียน หรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น
9. ความอดทน (ขันติ) การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจให้เรียบร้อย
10. ความยุติธรรม (อวิโรธนํ) ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียง หวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ
(ขุ.ชา.28/240/86)
แล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาสกัดกั้นการถวายฎีกาของประชาชน ด้วยเหตุผลอะไร เพราะดูบทบาทท่าทีที่กระทำการแล้วเหมือนก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระองค์ ก้าวล่วงหมิ่นพระมหากรุณาพระปัญญาพระปรีชาของพระองค์ ที่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยโดยทศพิธราชธรรมนั้น
- ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร.
7 ส.ค.2552
16. ฎีกาของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่ควรก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย (2)
และแล้ว พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีต นายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเพียง 1 เดือน (7 เม.ย.-24 พ.ค.2535) ก็ปรากฏตัวออกมาทางจอแก้วเมื่อวานนี้ (6 ส.ค.2552) และกล่าวว่า คนเสื้อแดงไม่พึงทำฎีกา ให้หยุดงานถวายฎีกาเสีย เพราะเหตุ จะให้ในหลวงไม่สบายพระทัย
ในทัศนะของเรา ได้เห็นข้อเท็จจริง อันเป็นวัฒนธรรมของกษัตริย์กับประชาชนมีมาเป็นระยะเวลายาวนานมาตราบที่เริ่มมีการปกครองของมนุษย์ มาตราบตั้งแต่มนุษย์ถ้ำมาจนถึงปัจจุบันนี้ การร้องทุกข์ของผู้ใต้ปกครองเป็นธรรมเนียมปกติของสังคมมนุษยชาติ โดยเฉพาะ ระบอบกษัตริย์ ที่ทรงมีคุณธรรมใต้หลักการศาสนาทั้งหลาย ซึ่งโดยทั่วไปยุคกษัตริย์จะอยู่ใต้คำสั่งของพระเจ้า ๆ จักตรัสแก่กษัตริย์ว่า จงเอาใจใส่ในเลือดเนื้อของเรา ทุกข์สุขของเขาคือทุกข์สุขของเรา กษัตริย์จึงต้องเอาใจใส่ในความทุกข์สุขของประชาชน คนในประเทศไทยเรา ก็น่าจะได้คิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นั้นได้ทรงเป็นตัวอย่างที่ล้ำเลิศ การที่ทรงได้รับพระสมัญญาว่า พระปิยะมหาราช ทรงเป็นที่รักของประชาชน ก็เพราะเหตุที่พระองค์เอาพระทัยใส่ต่อความทุกข์สุขดิบของประชาชน โดยไม่ทรงรอให้ราษฎรมาถวายฎีกาด้วยซ้ำ แต่ทรงลอบปลอมพระองค์ออกไปสืบดูทุกข์สุขของประชาชน ที่เรียกว่าเสด็จประพาสต้น นั่นเอง นี่ยิ่งกว่าการถวายฎีกาอีก แล้วพระองค์ก็ทรงเลิกทาส ไม่เห็นหรืออย่างไร ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องการถวายฎีกา แต่ยิ่งกว่าการถวายฎีกา เพราะกษัตริย์ทรงเสด็จลงไปคลุกดินเพื่อดูแลความทุกข์สุขของประชาชนให้ประจักษ์ต่อพระเนตรของพระองค์เอง นี่เป็นวัฒนธรรมอันเป็นสากลยาวนานมาแล้วของระบอบกษัตริย์ทั่วโลก
ในวรรณคดีไทยเรื่องราวกษัตริย์ฝ่ายคติอิสลาม เราพบเรื่องราวของพระเจ้ากาหลิบ ชอบปลอมพระองค์ออกไป สืบดูความทุกข์สุขของประชาชน แล้วไปพบกับคนยากคนจนผู้ได้รับความเดือดร้อนไม่เป็นธรรม แล้วพระองค์ถามว่าจะให้เราทำอะไรให้ดีล่ะ ชายผู้ยากคนนั้น(ชื่ออาบูหะซัน) ตอบว่า ถ้าได้เป็นกษัตริย์ สัก 2-3 วันก็พอเพียงที่จะจัดการกับคนโกง คนทุจริตเอารัดเอาเปรียบประชาชนได้ กาหลิบก็เอาเหล้ามอมชายคนนั้นแล้ว ให้แต่งตัวเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ ครั้นอาบูหะซันได้เป็นกษัตริย์ ก็ได้จัดการเรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กลับมาเป็นราษฎรผู้มีความสุขตลอดไป นี่จะเห็นว่าเป็นผลเพราะกษัตริย์ทรงกระทำยิ่งไปกว่าทรงรอรับฎีกาของประชาราษฎรผู้เดือดร้อนเสียอีก
เช่นเดียวกับธรรมเนียมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรจีน ดังปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง จอมใจจักรพรรดิ ที่กษัตริย์ปลอมพระองค์ไปดูแลความเดือดร้อน ความเป็นธรรมในแผ่นดินด้วยพระองค์เอง (จนกระทั่งไปพบสาวชาวบ้าน ก็ทรงรัก ต่อมาได้เป็นพระราชินี) ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันเป็นอย่างดีว่า เรื่องการถวายฎีกา นั้น เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาสำหรับระบอบกษัตริย์มาแต่โบร่ำโบราณแล้ว ไม่น่าที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะเขลาทำนโยบายผิดพลาดไปเลยเช่นนี้
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า บรมศาสดา ก็ทรงรับเรื่องราวร้องทุกข์เป็นประจำ อย่างทรงกระทำเป็นหน้าที่ จนกระทั่งวาระจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย) ก็มีนักบวชนิกายปริพาชกรูปหนึ่ง มาขอเฝ้าพระพุทธองค์ แต่พระอานนท์ พุทธอุปปัฏฐาก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นภิกษุธรรมดา ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า อ้างว่าจักรบกวนพระพุทธองค์เพราะทรงพระอาพาธอยู่ ฝ่ายนักบวชปริพาชกไม่ยอม จะขอเข้าเฝ้าให้ได้ ถกเถียงกันอยู่ จนพระพุทธองค์ทรงสดับก็ทรงโปรดให้พระอานนท์นำนักบวชคนนั้นเข้ามาเฝ้า (ตรงนี้ก็น่าจะคิดดู จะเห็นว่าความคิดสติปัญญาของพระอานนท์นั้นต่างจากพระพุทธเจ้าอย่างไร เหมือนที่เปรียบเทียบไว้ข้างต้นหรือไม่?) นักบวชรูปนั้นมีความทุกข์เพราะความไม่รู้ คือไม่รู้อะไรเป็นอะไรเกี่ยวกับชีวิต ได้ถามปัญหาธรรมต่อพุทธองค์ว่า สมณะผู้ได้มรรคผลในศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนามีหรือไม่ ? ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า ไม่มี ทรงโปรดให้รู้แจ้งธรรม จนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงให้บรรพชาในขณะนั้น แล้วได้รับฟังปัจฉิมโอวาท ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย ปัจฉิมโอวาทมีใน ปัจฉิมพุทโธวาทะปาฐะ ว่าดังนี้
ปัจฉิมพุทโธวาทะปาฐะ
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
วะยะธัมมา สังขารา
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ
ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา
นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้าย ของพระตถาคต
แล้วต่อมาได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระอรหันต์ พ้นทุกข์ นี่คือเรื่องราวจากมหาปรินิพพานสูตร และอรหันต์องค์สุดท้ายองค์นั้นก็คือ พระ สุภัททะ นี่คือผลของการถวายฎีกาที่ยิ่งกว่าฎีกา
องค์พระมหากษัตริย์ของไทย ล้วนทรงมีความสนิท สัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนมาทุก ๆ พระองค์ (เว้นองค์หนึ่งในยุคเสียกรุงครั้งที่ 2 คือพระเจ้าเอกทัศน์ ที่ห้ามพระเจ้าตากสินขณะเป็นเจ้าพระยาวชิรปราการยิงปืนใหญ่ใส่พม่าข้าศึก โดยเหตุที่เสียงปืนใหญ่ทำให้นางสนมกำนัลตกอกตกใจร้องกรีดกราดเข้าไปหาพระองค์และให้พระองค์ห้ามยิงปืนใหญ่) ไม่เฉพาะรัชกาลที่ 5 ดังอ้างมาเท่านั้น ในที่นี้จะขอยก รัชกาลที่ 7 ทรงเป็นกษัตริย์ประชาธิปไตยที่แท้จริง อันเนื่องมาจากทรงเข้าพระทัยเรื่องราวของประชาชนอย่างลึกซึ้ง จึงทรงยอมสละพระราชอำนาจ ยกอธิปัตย์ ให้ประชามหาชนไทย โดยทรงเน้นย้ำว่า มิได้ทรงยกให้ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นการพระราชทานให้แด่ปวงชนชาวไทย เราจึงได้สิทธิในอำนาจประชาธิปไตยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเป็นสิทธิอันชอบธรรม เพราะประชาธิปไตยเป้นของพระราชทานของกษัตริย์ ใครปล้นประชาธิปไตยไปเสมือนโจรผู้ล่วงละเมิดคำสั่งกษัตริย์ จักต้องมีโทษและรับโทษอย่างหนัก การที่ประชาธิปไตยไทยยังมีปัญหาก็เพราะมีคนขัดพระบรมราชโองการ เป็นผู้เขลาที่ไม่เข้าใจประชาชน ไม่เข้าใจประชาธิปไตย และละเมิดพระบรมราชโองการกษัตริย์ ที่ทรงพระราชทานประชาธิปไตยลงมาแด่ปวงประชามหาชนชาวไทย
ในหลวงของเรารัชกาลที่ 9 นั้นต้องทรงยกไว้ว่าเป็นกษัตริย์ที่เหนือกว่ากษัตริย์ทั้งโลก เพราะได้ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม โดยทศพิธราชธรรม 10 แม้เพียงข้อที่ 1 ข้อแรกใน 10 ข้อ ก็ทรงประพฤติพร้อมสมบูรณ์ เป็นรูปธรรมเป็นผลงานอย่างมหาศาลไม่อาจบรรยายได้ครบถ้วน ข้อแรกที่สุด คือ ทาน (ทานํ) การให้ หมายถึงการให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย ในทางพระพุทธศาสนา องค์บรมศาสดาสอนว่า ทานมี 3 อย่าง มี อามิสทาน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาราษฎรมาอย่างมากมาย จนทุกวันนี้จะเห็นได้แม้กระทั่งทานที่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด ก็ทรงกระทำเป็นแบบอย่างไว้ เช่นเรื่อง ถุงยังชีพ ซึ่งเป็นระบบทานที่ลงไปสู่ประชาชนระดับพื้นดินรากหญ้าได้อย่างทั่วถึง เป็นต้น ในด้านอภัยทาน แสดงโดยพระมหากรุณาด้านต่าง ๆ ไปจนถึง การอภัยโทษ ซึ่งในที่สุดในระบบราชทัณฑ์ไทยจึงจัดให้มีการอภัยโทษอยู่ทุกปี ๆ ไป ในด้าน ธรรมทาน นี้เป็นวิชาความรู้ ในหลวงทรงมีวิชาความรู้ที่เป็นหิตานุหิตประโยชน์อย่างสูงแก่ปวงชนอย่างไร เห็นได้จากเกียรติยศ และรางวัลจากสถาบันด้านต่าง ๆ ทั่วโลก ตลอดไปจนถึงวิชาการทันสมัยเช่นทรงพระราชทานวิชาทำฝนเทียม (วิชาทำฝนตก) เศรษฐกิจพอเพียง วิชาดนตรี วิชากีฬา เป็นอาทิ จะเห็นว่าทรงเป็นกษัตริย์ประเสริฐผู้ประพฤติธรรม โดยแม้เพียงข้อทานข้อแรกก็ทรงกระทำครบถ้วนทุกประการทั้ง อามิสทาน อภัยทาน และธรรมทาน พร้อมบริบูรณ์ที่ผู้หนึ่งผู้ใดจักอาจละเมิดมิได้
ฉะนั้นการที่มีผู้ต่อต้านการถวายฎีกาของประชาชน ต่อกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ผู้ทรงดำรงปณิธานอันสูงสุดว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม จึงเป็นการต่อต้านครรลองธรรมชาติ และเป็นการไม่สมควร เนื่องเพราะล่วงละเมิดพระบรมราชวินิจฉัย อุปมาเหมือน เอาปัญญาควายไปคาดคะเนปัญญาของพญาราชสีห์ เอาปัญญานกกระจอกไปคาดคะเนปัญญาพญานกอินทรีย์ฉะนั้น และการฝ่าฝืนครรลองธรรมชาติเช่นนี้แล้วจักชนะประชาชนได้อย่างไร นอกจากก่อความปั่นป่วนขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ประเทศชาติทรุดโทรมลงไปโดยใช่เหตุ จึงควรกลับคืนมาสู่ความเป็นธรรม เอาความเป็นธรรมเป็นทางออก หากมีความรักในความเป็นธรรมจริงก็ควรปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเดินไปในครรลองของมันอันเป็นครรลองของธรรมชาติ
- ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร.
8 ส.ค.2552
ม็อบแค้นต่อเสรีภาพ
วันนี้มีก๊วนกวนเมือง
แค้นเคืองนักหน้าตาถลน
วาทะฉะฉาดเฉือนคน
ปี้ป่นตามกันอันตราย
เหมือนมาจากแคว้นแดนนรก
สกปรกเหมือนหมูเหมือนหมาย
ปากคอทั้งเราะทั้งราย
ต่ำช้าสามายสามานย์
หมอดุด่าคนจนขึง
ตะลึงตะไลตะลานร่าน
เผ็ดจริงยิ่งกว่าพระกาฬ
ฟาดกะบาลแยกแตกตาย
อะไรที่คนว่าดี
หมอชี้ทันทีว่าร้าย
แม้คนแท้แท้เป็นชาย
หมอทายว่านั่นผู้หญิง
ดูดูท่าจะบ้องส์ส์ส์
มาจากเมืองน๊องส์ฝรั่งซิ่งส์
แต่ดูอีกทีเหมือนลิง
โพกผ้าก็ยิ่งเหมือนหมู
คงนึกว่าเท่ห์เต็มประดา
แอ๊คท่าว่าสู้สู้สู้
ดูแล้วก็ไม่น่าดู
เหมือนคุณปู่มาเล่นปาหี่
หมอด่าว่าผู้นำกังฉิน
โคตรกินโคตรโกงเหลือที่
จำต้องไล่ไปจากบุรี
หมอคนดีจะขึ้นแท่นแทน
ฝ่ายว่ามหาจำลอง
ลำพองพองขนพองแขน
อาสานำขบวนทวนแทง
จะอวดจะอ้างแรงฤทธิ์ผัก
ฝ่ายว่าตาแป๊ะตัวปัญหา
โพกผ้าประดุจกงจักร
สิงห์บูรพาไม่แพ้แน่รัก
จะเล่นแตกหักกังฉิน
อาฆาตเคียดเข้ากระดูกดำ
หมายซ้ำป่นไปโปรยสินธุ์
บดอังคารเป็นผงธุลีดิน
บดอินทรีย์แยกแตกมลาย
อันความแค้นแน่นนักสุดจักเปรียบ
จำต้องเหยียบให้ล่มจมหาย
หวังยืมมือเท้าคนมากมาย
มารายล้อมหลอกบอกกล
จะถอนคำแค้นคำหมิ่น
ถอนสิ้นว่า “กุ๊ยข้างถนน”
ถอนทั้งคำว่าอับจน
เป็นหนี้ล้นพ้นปล้นธนาคาร
ถอนซ้ำคำว่า “กุ๊ยการเมือง”
เหตุเคืองเรื่องมันขั้นประหาร
กว่าแผ่นดินกลบหน้าสามานย์
สันดารอัปรีย์หนีไป
ไม่ขออยู่ร่วมโลกหล้า
สู้จนสิ้นฟ้าดินไหว
แม้นมันหนีสู่นรกไกล
จะไล่ตามล่าฆ่ามัน
จะเล่นทุกเล่ห์กะเท่ห์กล
เล่นมนต์ดำทำอาถรรพณ์
ตาต่อตาและฟันต่อฟัน
ใครดีใครอยู่รู้กันวันนี้
ฝ่ายว่าประชาชนก็เหนื่อยอ่อน
เดือดร้อนเหลือทนเหลือที่
จำต้องถอนตนถอยทันที
รอจังหวะดีดีจะเลี่ยงไป
อยู่ใยล้วนไร้สาระ
กูชนะก็ไม่ได้เป็นใหญ่
หนีจากพวกเสนียดจัญไร
ไปนอนนาไร่สบายกว่าเยอะเลย ฯ
· ปชาธิป ไตยกวี
www.newworldbelieve.com
15 มี.ค. 2549
บทกวีเสรีภาพ (2)
ฝ่ายว่ากวีซีรายย์ย์ย์ท์
ออกจากค่ายมาเฉลย
คำหนึ่งก็คุ้นคำหนึ่งก็เคย
เอ่ยแต่ถ้อยคำจัณฑาล
คำหยาบยอกกระทอกหัวอก
พกมาแต่ความขื่นขาน
ดวงใจไร้จิตเบิกบาน
ชูช่อบุษย์มาลย์อันสัจจริง
ไม่เลือกสาระอสาระ
ไม่ดูสัจจะใดยิ่ง
ร่ายกาพย์กลอนหลอกกลอกกลิ้ง
บ่ผิดผีสิงใจบังตา
ฝ่ายว่าคณาญาติธรรม
แห่งสำนักสันติอโศกา
ก็อวดองค์อวดท่า
ว่าข้านี้แน่นัก
หลงยึดอัตตาตัวตน
อวดคนว่าทนงานหนัก
อวดพลังว่ายังกินผัก
มีดีมีศักดิ์เหนือปุถุชน
โธ่เอยอยากอวด
ดวดสรรเสริญเหินหน
แม้ทุกข์ยังโถมทับตน
ห่อนพ้นสู่โลกุตตรา
จงกลับมาสู่ความเก่า
ก่อนเราสุขสันติ์หรรษา
คืนสู่ชีวิตและชีวา
เคยเริงร่าหัวเราะ
ไฉนใจจึ่งขึ้งแค้น
สุดแสนทรมานมั่นเหมาะ
ถึงวันคืนนำมาจำเพาะ
ก็ทะเลาะเบาะแว้งแข่งกันเอง
จงคืนมาสู่เสรี
ที่ใดไม่มีข่มเหง
มีแต่บทเพลง
อริยวงศ์พงษ์ไพบูลย์
ไฉนจึ่งพึงร้อนรุ่มจิต
เคยมีมหามิตรก็สาบสูญ
ไม่เห็นเพื่อนพงษ์วงศ์ตระกูล
ก่อนเคยอาดูรเอื้อกัน
โอ้ดอกปาริชาติเอ๋ย
จงรำเพยกลิ่นสวรรค์
มาสู่ปวงข้าโดยพลัน
ให้คืนหันสู่วันเดิม
วันที่ดวงใจไร้เสี้ยนศึก
พันลึกร้อยเท่าห้าวเหิม
วันหยดสะอาดหยาดเยิ้ม
ยังเฉิ่มธาราแห่งธรรม
ขอชีพไปสู่สันติสุข
พ้นทุกข์เนิ่นนานฉนำ
ขอจงได้สดับพระคำ
ดำรัสขององค์พระพุทธเจ้า
ขอได้บรรลุวรญาณ
สู่กระแสฌานเทือกเถา
พุทธชาติอาจแบ่งเบา
พงษ์เผ่าล้ำเลิศเทิดไท
เป็นแดนข้ามพ้นโลกนี้
สิ้นที่เสน่หาอาศัย
โลกุตตระรำไรไกล
เหนือไยย่านทุกข์ปุถุชน
ใยขึ้งใยแค้นแน่นอก
กะทกรกรกสับสน
มาเถิดความอ่อนผ่อนปรน
แห่งดวงกมลเมตตา
แม้นมิเห็นแก่แผ่นดิน
ธรณินทร์ถิ่นเคหา
ก็จงเห็นแก่ตาฟ้า
จักพรั่งพรูธาราชล
จงดูซึ่งหมู่สายหมอก
เมื่อตรู่ดกดอกดังฝน
ครั้นสายวายไปในบัดดล
ชีพชนม์ช่างน้อยด้อยกระไร
หมู่มนุษย์เกิดมาในหล้าโลก
สุขกับโศกคู่กันมาแต่ไหน
แม้นจะหวังก็หวังให้จงไกล
ที่พ้นไปจากทุกข์ สุขนิรันดร์
จงดูดั่งดาวประกายพฤกษ์
อยู่ลึกล้ำฟ้าฝั่งฝัน
บรรเจิดรัศมีรวิวรรณ
ธรรมชาตินั้นลั่นโลกา
แม้นมิสมจินต์ในชาตินี้
อธิษฐานเพื่อดีในชาติหน้า
เหมือนหมอกสายหายวับไปกับตา
ห่อนช้าก็ฟื้นคืนชนม์ ฯ
· พยับรวิวรรณ
www.newworldbelieve.com
20 มี.ค. 2549
บทกวีเสรีภาพ (3)
เชนคัมแบ็ค
วันนี้วันดีที่พิสุทธิ์
บุรุษรัตน์เลิศเลื่องลือหน
กล้าสลัดอัตตาตัวตน
พ้นบ่วงข่ายแคล้วแผ้วมาร
มาสู่สุดแดนเสรีภาพ
ไกลบาปบ่อนเตาเผาผลาญ
เด่นดังบัวช่อช้อยเบิกบานตระการ
เหนือน่านโอฬารชลธี
กลางหมู่มากมวลล้วนเลิศ
ประเสริฐปานพญาคชสีห์
ผู้ถ่อมน้อมไหว้ความดี
เพื่อพลีชีพนี้เพื่อบุญ
วันนี้เดือนเด่นกลางฟ้า
ท่ามหมู่ดาราล้อมขุน
จันทร์เสี้ยวดุจจักแย้มแย้มการุณ
สรรเสริญพระคุณความดี
หมู่ดาวพรายพริ้มยิ้มชื่น
อกอื้นตื้นใจในวิถี
บุรุษรัตนะเลิศล้ำมณี
ผู้เขยื้อนธรณีชีวีชัย
ฟ้าก็อ้าออกโอบรับ
เกล็ดฟ้ากระเพื่อมสลับแสงใส
วอนว่ามาเถิดอย่าอาลัย
สู่หทัยแห่งฟ้ามหานิพพาน
จงทิ้งโลกโสโครกแห่งความแค้น
จมไปในแดนสงสาร
เหมือนหมู่หนอนนอนเวจอนันตกาล
ใช้ปัญญาญาณเพ่งไป
เมื่ออยู่เหนือโลกแล้วหล้า
ย่อมมาสู่ความสว่างไสว
นั่นคือสิทธิเสรีชัย
เพื่อกลับมาใหม่ให้ยิ่งยง
· พยับรวิวรรณ
www.newworldbelieve.com
6 เม.ย. 2549
18. คาราวานคนจน ยุค 2549 กับ ชมรมแท็กซี่ ยุค2552
ชินวัตร หาบุญพาด นายกสมาคมแท๊กซี่แห่งประเทศไทย พูดเรื่องเหตุการณ์ที่พัทยาของคนเสื้อแดงผู้สุจริตที่รักในประชาธิปไตย โดนคนเสื้อสีน้ำเงิน บัญชาการโดยเนวิน ชิดชอบ ลอบทำร้าย ได้อย่างชัดเจนมาก น่าเชื่อถือ บทบาทของเขา ทำให้ระลึกถึง คาราวานคนจน ที่ยกขบวนรถอีแต๋นมาจากอีสาน มาช่วย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะที่โดนยำใหญ่จากขบวนการโฆษณาชวนเชื่อ นำโดยจอมบ่างช่างยุ สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อการร้ายสนามบินนานาชาติ จนงุนงงไปหมด ตอนต้นปีสมัยรัฐบาลทักษิณ ปี 2549 นั้น โดยได้มายึดสวนจตุจักรอยู่แรมเดือน พวกเขาได้ยกขบวนคนจนชนบทบ้านนอกบุกไปถึง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประณามคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ขณะนั้น ที่นินทาลับหลังว่าขบวนคาราวานคนจนรับสินบนเป็นเงินค่าจ้างมาเดินขบวน ทำการสั่งสอนวิชาประชาธิปไตยให้ศาสตราจารย์นางนั้น ที่เป็นถึงคณะบดีคณะรัฐศาสตร์ คาราวานคนจนไปเสียทีพวกม็อบชาวกรุงที่มันใช้ชั้นเชิงเล่ห์กะเท่ห์เสี้ยมเขาได้แหลมคมกว่า ในการโจมตีที่โรงแรมสยามพารากอน ขณะที่ชินวัตร หาบุญพาด มีขบวนรถแท็กซี่ ที่พร้อมทำงานเพื่อนำทักษิณ ชินวัตร กลับคืนมาสู่ประเทศไทย ด้วยรักซาบซึ้งในนโยบายของทักษิณ เช่นเดียวกัน ชินวัตร หาบุญพาด คงจะได้เรียนรู้จากคาราวานคนจนหนนั้นมามากแล้ว แน่นอนบทบาทใหม่ของชมรมแท็กซี่ ของชินวัตร หาบุญพาดกับพวก นี่จักอาจเป็นการแก้แค้นแทนคาราวานคนจน หากเป็นไปได้
แต่นี่เราจะตัดเอาข้อความเกี่ยวกับคาราวานคนจนมาเป้นที่ระลึกบางตอน จาก การศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อยุคทักษิณ ดังต่อไปนี้
“ข้อสังเกตที่ 2 โปรดมองบทบาทของคนกลุ่มอื่นบ้าง โดยเฉพาะคนที่เลือกตั้ง อนุมัติให้ทักษิณเข้ามาบริหารประเทศซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ และขณะนี้ลองมองไปที่บทบาทของม็อบอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลทักษิณ ที่สวนจตุจักร อย่างไร
เราเห็นว่านักวิชาการคงจะมองระบอบประชาธิปไตยไม่ถูกต้องจากการมองกลุ่มคาราวานคนจนไม่ถูกต้องนี่เอง
และจากกรณีที่มีคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้วิพากษ์กลุ่มคาราวานคนจนอย่างลับหลังและเป็นข่าวออกมาว่า เป็นกลุ่มคนจนที่ไม่มีความรู้ในทางการเมืองอะไร ที่ออกมาชุมนุมเพราะมีการรับอามิสสินจ้างจากผู้ว่าจ้าง ทำให้กลุ่มรักทักษิณ และคาราวานคนจนไม่พอใจ ยกกองคาราวานไปยื่นหนังสือประท้วงที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนั้น
ซึ่งการมองด้วยสายตาเช่นนี้ ไม่น่าจะมีขึ้นในหมู่ชนปัญญาชนในมหาวิทยาลัย เพราะโดยหลักรัฐศาสตร์พวกเขาเป็นกลุ่มผลประโยชน์(interest group)กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่แสดงบทบาทโดยชอบธรรมอย่างถูกต้องตามธรรมชาติและวัฒนธรรมการเมืองในระบยอบประชาธิปไตยโดยแท้จริง จากเหตุผลหลายประการ ดังนี้
ประการที่ 1 คาราวานคนจน อ้างความชอบธรรมในการชุมนุมว่ามาต่อสู้เพื่อนโยบาย ของรัฐบาลทักษิณที่ให้คุณกระทบโดยตรงแก่พวกเขา ได้แก่ นโยบาย 30 บาททุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, ทุนการศึกษาคนจน- ผู้อยากเรียนได้เรียน, เรียนก่อนจ่ายทีหลัง, ทุนแพทย์ 1 อำเภอ, นโยบายบ้านเอื้ออาทร, นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง, สหกรณ์การเกษตร, ระดับราคาที่มีเสถียรภาพ, ราคาข้าว การประกันราคาข้าว เสถียรภาพของราคาข้าว, ราคายางและพืชผลทางเกษตรกรรมที่มีเสถียรภาพ, การไฟฟ้าสาธารณูปโภค, การคมนาคมของท้องถิ่น, ระบบน้ำดื่มน้ำใช้, ระบบน้ำเพื่อการเกษตรกรรม, ขจัดความยากจนทั่วประเทศ, เมกกะโปรเจกต์เพื่อการมีงานทำ, กองทุนหมุนเวียน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, เบี้ยเลี้ยงชีพสำหรับคนชราภาพ และคนว่างงาน, SML, ฯลฯ
ซึ่งจะเห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ในยุคทักษิโนมิกส์ รัฐบาลทักษิณได้คิดนโยบายการบริหารขึ้นมาอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ ที่ไม่เคยมีมาก่อน (ในขณะที่ฝ่ายค้านยุคนี้ไม่เคยเสนอนโยบายอะไรเลยแม้แต่ข้อเดียว) ซึ่งนโยบายเหล่านี้ ได้กระทบให้คุณประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทอย่างแรงจนรู้สึกเองเป็นธรรมชาติ เมื่อพวกเขาเห็นว่า มีคนที่ไม่เข้าใจคนจน ไม่เข้าใจในเรื่องนโยบาย จะไล่รัฐบาลหรือคนทำนโยบายเหล่านี้ไปเสีย ซึ่งจะเป็นผลให้พวกเขาเดือดร้อน เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอนโยบายเช่นนี้อีก พวกเขาจึงออกมาให้กำลังใจแก่รัฐบาล และทั้งแสดงพลังมวลชนกลุ่มผลประโยชน์เพื่อต่อต้านผู้จะทำลายนโยบายเหล่านี้ เพื่อให้คงนโยบายเหล่านี้ไว้ต่อไป
ซึ่งสำหรับผู้ใดก็ตามที่รักประชาธิปไตยแล้ว น่าจะพิจารณากันว่า นี่เป็นการต่อสู้โดยความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตยสากล
ประการที่ 2 การเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย หมายถึงการเรียนรู้หลักการของความเป็นมนุษย์ เราจึงให้สิทธิในการออกเสียงเท่ากัน คงไม่มีนักวิชาการคนใดเรียกร้องว่าตนจะต้องมีเสียงมากกว่าคนอื่น เพราะเหตุที่ตนเป็นนักวิชาการมีความรู้มากกว่า ฉะนั้นจึงไม่น่าจะมองว่า ต้องเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยมีปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมาอ้างเท่านั้น และไม่เพียงการเรียนรู้จากทฤษฎีของตะวันตกอย่างเดียว แต่ควรเรียนจากหลักการพระพุทธศาสนาด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจความเป็นมนุษย์ หรือหลักปรัชญาว่าด้วย เสรีภาพ ภราดรภาพ และ เสมอภาค อย่างลึกซึ้ง
การขัดแย้งของคนสองกลุ่ม ด้วยเหตุผลทั้งสองฝ่ายต่างยกมาอ้าง บัดนี้จึงน่าที่ทุกฝ่ายจะได้หวลไปพิจารณาอย่างจริงจังอีกทีหนึ่งว่า มีเหตุผลตามที่ตนนึกคิด และหวาดระแวงอยู่หรือไม่ มีอะไรเป็นข้อพิศูจน์ โดยเราจะต้องหาวิธีการพิศูจน์ที่สมกับความเป็นมนุษย์ และหากเป็นฝ่ายวิชาการก็ควรจะตระหนักอย่างยิ่งว่า ต้องทำตนเป็นตัวอย่าง ทำการต่อสู้อย่างถูกต้อง ให้สมกับความเป็นนักวิชาการ
ขณะนี้เราได้พิศูจน์แล้วหรือยังว่า ข้อกล่าวหาของเราเรื่องทักษิโนมิกส์ มีความเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้นจริง ๆ โดยทดสอบว่า เราได้เคยเข้าใจคนจน หรือประชาชนระดับรากหญ้าที่แท้จริง ว่าพวกเขาได้ประโยชน์จากนโยบายทักษิโนมิกส์ ต่อสู้เพื่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และจรรโลงระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างไร? หรือไม่?
ถ้ารัฐบาลไทยรักไทยนี้ออกไป รัฐบาลอื่นโดยพรรคการเมืองอื่นเข้ามา รัฐบาลนั้นโดยพรรคการเมืองนั้น จักมีนโยบายใดที่ชดเชย ที่ให้ประโยชน์แด่คนระดับรากหญ้าเหล่านี้?
จะสามารถสร้างนโยบายให้หลายหลากอย่างยุคทักษิโนมิกส์ได้หรือไม่?
บานไม่รู้โรย
www.newworldbelieve.com
3 เม.ย. 2549”
เกิดเรื่องแล้วซีครับ นายอะไรที่อยู่กระทรวงยุติธรรม นามสกุลยาว ๆ นาย.............. สาลีรัฐวิภาษณ์ คนนั้นน่ะ ประชาธิปัตย์ ว่า ฎีกาแดง 3.5 ล้านคน จะต้องผ่านกระทรวงยุติธรรมก่อน กระทรวงจะต้องตรวจสอบก่อนว่าควรยื่นหรือไม่ยื่น ดูเหมือนคนในรัฐบาลระดับรัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งหัวหน้ารัฐบาลเด็ก ก็ออกมารับรองด้วย
ก็เกิดเรื่องซีครับ ย้อนรอยเดิมของกระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐานอีกแล้ว ซี !!!!
ก็เขาไม่เห็นด้วยกับเรา เป็นศัตรูเราอยู่แล้ว ส่งเรื่องไปให้เขาตัดสิน แล้วผลจะออกมาอย่างไร?
ก็จะเหมือน ไอ้แป๊ะลิ้มมันกับพวกพันธมิตร์ พวกก่อการร้ายแท้ ๆ กลายเป็น พวกก่อการดีได้อย่างไร ?
ถ้าคิดว่าตลก ก็ตลกไม่ออก
ช่วยคิดหน่อย เรื่องนี้ทางแม่ทัพใหญ่ วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร ณัฐวุฒิ จะต้องอธิบายนะครับ และแดงทั้งแผ่นดิน จะยอมไม่ได้ เป็นไรก็เป็นกัน
อธิบายด่วน !!!!! ใครก็ได้อธิบายด่วน ท่านนายสถานีแดง อดิศร เพียงเกษ หรือท่านใด ๆ ก็ได้ อธิบายด่วน !!!!
- · ผู้แสดงความคิดเห็น แดง ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2009-08-19 09:27:02
20. ฎีกาของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่ควรก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย
ฎีกาของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่ควรก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย (2)
เสื้อแดงออกเดินถวายฎีกา ภาพวันที่ 17 ส.ค.2552
ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รายงานว่า มีสิ่งมหัศจรรย์ ภายหลังถวายฎีกาแล้ว ฟ้าร้องครืน ๆ เลื่อนลั่น และแสงแดดสาดลงมาต้องหลังคาพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สว่างเจิดจ้า ปรากฎแก่ตาของมหาชนทั้งปวง อธิบายว่าฟ้ารับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนแล้ว
เรื่องมหัศจรรย์นี้ ปรากฎว่าประชาชนทั่วไปต่างก็พบว่าจริง เล่ากันผ่านรายการต่าง ๆ ของพีเพิลสเตชั่น มีเนื้อความตรงกันว่า เช้า ๆ มีฝนลงนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับเปียกชื้น แล้วมีหมอกสลัวมัว ๆ แล้วพอถวายฎีกาแล้วฟ้าก็ร้องครืน ๆ 2 ครั้ง ดังเหมือนฟ้าผ่า ทั้ง ๆ ที่แดดเจิดจ้าอยู่เหนือพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) แล้ว ต่อมาวันที่ 19 ส.ค.2552 13.30 น.เกิดมหัสจรรย์อีกครั้งโดยฟ้าได้ผ่าลงมาสนั่นหวั่นไหวเหนือทำเนียบรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นลางร้ายของรัฐบาลอภิสิทธิ์
แนววิเคราะห์เรื่องนี้ มองแนวไหนก็ไม่อาจจะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ เห็นจะต้องอ้างพระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว...” เจตนา เป็นตัวหลัก นะภิกษุทั้งหลาย ทรงหมายถึงหลักพระวินัย การพิจารณาโทษตามพระวินัยนั้น ต้องมอง ที่เจตนา เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ภิกษุต้องหาว่า ตติยปาราชิก เพราะ ทำให้คนตาย (ข้อที่ 3 ตามพระปาฏิโมกข์) พระภิกษุเป็นหมอยา ให้ยาคนป่วยแล้ว คนป่วยไม่หาย ก็ให้ยาขนานใหม่ลงไป ปรากฏว่าคนป่วยแพ้ยา ถึงแก่ชีวิต เช่นนี้ ถึงผลของการกระทำเป็นเหตุให้คนตาย และเข้ากรณีตติยปาราชิกก็ตาม แต่การพิจารณาจะต้องมองที่เจตนาเสียก่อน กรณีนี้พบว่าภิกษุมิได้มีเจตนาฆ่าให้ตาย แต่มีเจตนารักษาให้หาย ภิกษุนี้จึงไม่ต้อง ตติยปาราชิก เจตนาจึงเป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องจิต จึงเป็นเรื่องใหญ่ ตามหลักการพระพุทธศาสนา และชาวพุทธรู้ดีว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ดังพุทธภาษิตว่า มโนปุพพํคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ใจมีปกติถึงก่อน มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
เมื่อจิตของมวลชนรวมกัน ด้วยพลังมวลชนมหาศาล พุ่งไปสู่ทิศทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน โดยเจตนาดี บริสุทธิ์แท้ มหัศจรรย์ก็บังเกิด นี่เป็นวิทยาศาสตร์ หากชาวเสื้อแดงรวมจิตรวมใจกันเพื่อทำอะไร โดยขนาดใหญ่มหาศาลเช่นวันถวายฎีกาแล้ว สามัคคีธรรมนั่นเองเกิดขึ้นแล้ว ความสำเร็จย่อมไม่ไปไหนเสีย เพราะย่อมสำเร็จด้วยใจ แม้กระทั่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติ ก็ย่อมสำเร็จได้ เฉกเช่น มหัศจรรย์วันถวายฎีกา นึ่เอง (ผู้นำหมู่กล่าวคำนัดเสียก่อน ทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิพร้อมกันแล้วใส่เจตนาเข้าไป อย่างไร ๆ มหัศจรรย์ย่อมบังเกิด นี่เป็นวิถีพุทธ วิถีวิทยาศาสตร์ ที่มีผลจริง เกิดขึ้นได้จริงด้วยทฤษฎีจิต-เจตนามหาศาล ลองทำดู)
· อรบุศป์ ละอองธรรม วิเคราะห์
21 ส.ค.2552
อำนาจกับกองทัพ
เรียน บก.
ในฐานะที่ บก.เคยเป็นนายทหารมาก่อน อยากให้ท่านช่วยวิเคราะห์เรียนถามว่า
1. โรงเรียนทหารเขามีหลักสูตรพระพุทธศาสนาเรียนกันหรือไม่ เพราะเท่าที่มองเห็นรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจสัจธรรมของชีวิต มุ่งมั่นแต่เรื่องอำนาจนิยม อยากปกครองประเทศ อยากปกครองประชาชน แต่ไม่เข้าใจวิธีการปกครองคน ไปเอาระบบทหารมาปกครองพลเรือนเขาไม่ชินกับระบบนี้ เขารับไม่ได้
2. ทำอย่างไร ? นายทหารจึงจะเข้าใจประชาธิปไตยและหน้าที่ของตนเอง
3. จากความรู้สึกของประชาชน ทหารไม่มีวันที่จะนำพาประชาชนให้พ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจไปได้ เพราะไม่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ การก้าวเข้ามายึดอำนาจแล้วบริหารประเทศ มีแต่จะทำให้ประชาชนต่อต้าน เพราะนำพาเขาไปสู่ความลำบาก ยากแค้น
· Post : พลเรือน Date : 2009-08-15 21:39:35 IP : 125.26.71.168
ความคิดเห็นที่ 1 (1971782)
ประเด็นที่เราเห็นด้วยกับ พลเรือน ผู้ตั้งกระทู้นี้ก็คือ ข้อ 3 ตัวแปรคือยุคสมัย ถ้าเป็นสมัยก่อนนี้ไปสักหน่อย เอาระหว่างยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็พอจะใช้วิธีการหรือระบบทหารจัดการเศรษฐกิจไปได้ดีอยู่ แต่ยุคนี้ เริ่มตั้งแต่ยุคโทรศัพท์มือถือเป็นต้นมา เป็นปัญหาสำหรับทหารอย่างยิ่ง ที่เราคิดเลยว่าทหารไทยควรจะถอยไปเสียโดยดีจะดีกว่า แล้วไปปรับหลักสูตรทหารเสียใหม่ สำหรับทหารยุคใหม่ให้เรียบร้อยเสียก่อน นั่นคือสถานะการบริหารประเทศเป็นสากลประเทศ ที่ไร้พรมแดน เน้น ไร้พรมแดน สมัยนี้เราจะต้องบริหารประเทศอย่างมีมันสมองที่ทันสถานการณ์ยุคใหม่ที่ไร้พรมแดน ที่หมายถึง การเศรษฐกิจยุคใหม่ การเงินการคลังยุคใหม่ การค้าขาย การตลาดยุคใหม่ การทูตยุคใหม่(ที่จะต้องค้าขายและเปิดตลาดใหม่เป็น) เครื่องมือสือ่สารเพื่อการบริหารประเทศยุคใหม่ รวมทั้งเรื่องทั่วไปอย่างยิ่งก็คือ ภาษายุคใหม่ การพูดการจากับคนยุคใหม่ และวัฒนธรรมใหม่ รวมทั้ง แนวคิดศาสนาแนวใหม่ ในประเทศเราเองและต่างประเทศ ทหารต้องคิดว่ายุคนี้เราไม่สามารถจะปิดประตูประเทศ อยู่อย่างโดดเดี่ยวทำการบริหารไปตามคติของเราฝ่ายเดียวได้ เหมือนกับทีพม่ากำลังพยายามทำอยู่ นั่นคือความเข้าใจเรื่องพรมแดนยุคใหม่ จะต้องให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างที่มีท่าทีอยู่ด้านชายแดนเขาพระวิหารนั้น นั่นแหละ อย่านำความคิดเรื่องพรมแดนมาตัดสินสำหรับยุคใหม่นี้ แต่ต้องนำทฤษฎีหรือแนวคิดใหม่เรื่องไร้พรมแดนมาตัดสิน แต่ นี่คือข้อจำกัดสำหรับทหารไทยอย่างยิ่ง และเราหมายถึงทหารพม่าด้วย เพราะทหารไทยมีลีลาและระบบเหมือนทหารพม่าค่อนข้างใกล้เคียงมากจนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่พม่าเขาเข้มจัดกว่ามาก เราเคยมองไว้ตั้งแต่ สนธิ บัง จอมเนรคุณ (ผสมกับสนธิ เจ๊ก จอมบ่างช่างยุ) บังอาจก่อการปล้นประชาธิปไตยประชาชนไป ว่าเอาอย่างพม่าหรือเปล่า แต่ก็ดีที่ต่อมาทหารอย่างสุรยุทธ จุลานนท์ ยังมีความระวังระแวง สงสัยในระบอบทหารแบบพม่าอยู่ จึงไม่ไปไกลเกินไป อาจจะกล่าวว่า กลับตัวทัน แต่กระนั้น การปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 นั้น เป็นเรื่องเลว สำหรับประชาธิปไตย และเป็นไปได้ยากที่ทหารจะพาประเทศเดินไปได้ด้วยความคิดอ่านทหาร สติสตังที่ทหารจะต้องนำมาพิจารณาในขณะนี้ก็คือ สติในเรื่อง การใช้อำนาจโดยกระบอกปืนหรือรถถัง ท่านจะทำให้ประเทศล่มจมลงไปกว่าพม่าขณะนี้ได้อย่างฉับพลันเลยทีเดียว น่าจะเป็นเหตุผลที่มองได้ง่าย ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร ทหารจะต้องมีสติว่า โดยสากลประเทศประชาธิปไตย เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ เราจะต้องเข้าใจและเชื่อในทฤษฎีนี้ ลองศึกษาดูเองจะเห็นสัจธรรม เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ อย่างไร ท่านเพียงมองดูว่าขณะนี้ประชาชนโดยเฉพาะที่เห็นได้ว่าเสียงส่วนใหญ่และที่มีเหตุผลอันสอดคล้องหลักการของประชาธิปไตย เขาต้องการอะไร ก็จัดให้เขาอย่างนั้น เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็สงบสุข ขอย้ำประชาชนส่วนใหญ่เขาต้องการอะไรก็จัดให้เขาอย่างนั้น จบปัญหาลงทันที แต่ความยากก็คือ ยากที่จะให้ทหาเข้าใจคำว่า เสียง ประชาชนคือเสียงสวรรค์ ไม่ใช่เพียงคำพูดที่ไพเราะห์เท่านั้น แต่เป็นสัจธรรม ในคราวต่อไปเราจะพยายามวิเคราะห์ทหารในประเด็นอื่น ตามที่ พลเรือน ตั้งกระทู้มา
· Post : บก.นสพ.ดี(อินเทอเนต) (newworld_believe@hotmail.com) Date : 2009-08-16 19:15:44 IP : 125.24.145.141
จากกระดานถาม-ตอบ
อำนาจกับกองทัพ 2
ในข้อที่ 1 กระทู้ว่า โรงเรียนทหารเขามีหลักสูตรพระพุทธศาสนาเรียนกันหรือไม่ เพราะเท่าที่มองเห็นรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจสัจธรรมของชีวิต มุ่งมั่นแต่เรื่องอำนาจนิยม อยากปกครองประเทศ อยากปกครองประชาชน แต่ไม่เข้าใจวิธีการปกครองคน ไปเอาระบบทหารมาปกครองพลเรือนเขาไม่ชินกับระบบนี้ เขารับไม่ได้
ตรงประเด็นนี้แหละ ที่จะต้องมองอย่างกว้างไกล ใช้วิสัยทัศน์รอบด้านและ เป็นธรรม เราคิดว่า ปัญหาอยู่ที่พลเรือน เมื่อมองในองค์รวม พลเรือนค่อนข้างไร้ระเบียบวินัย ค่อนข้างไร้ระบบและสับสนในเป้าหมายของพลเรือน วิถีพลเรือนไทย ไม่ได้เน้นความสำคัญของวินัยเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย วินัยย่อมหมายถึงความเป็นความตายของประชาธิปไตยเลยทีเดียว และพลเรือนก็ได้มืดมัวเขลามาตลอดกาลนานในเรื่องวินัยนี้ นับตั้งแต่พลเรือนได้มามักคุ้นไปจนถึงเห่อกับคำว่า เสรีภาพ อย่างผิด ๆ โดยเป็นการคุ้นแบบไม่เข้าใจความหมาย กล่าวคือ รู้แบบจดจำตำรามาจากตะวันตก อเมริกาที่ไปเล่าเรียนท่องจำมา เวลาคิดแก้ปัญหาก็เปิดตำราออกมาโดยไม่มีความเข้าใจ ไม่มีการแยกแยะวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร หลักการ ทฤษฎี ภาคปฏิบัติ สูตร และวิธีทำที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เข้าใจ และพลอยไปดูแคลนทหารที่มีวินัยว่า โง่เง่าเต่าตุ่น (อย่างนางอัญชลี ไพรีรัก ศิษย์เอกสนธิ ลิ้มทองกุล ด่าทหารใหญ่อย่าง อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในเอเอสทีวี ช่วงม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ยึดทำเนียบไปจนถึง บุก NBT บุกสนามบินสุวรรณภูมิ) พลเรือนไม่เข้าใจว่าวินัยเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าสูงยิ่งของระบอบประชาธิปไตย
ในทัศนะของเราเห็นว่า เมื่อมองจากความหมายในองค์รวม เอาความเข้าใจเป็นหลัก วินัย นั้น ไม่จำเป็นต้องดูที่คำว่า วินัย คำเดียว ได้พบว่ามีความหมายสอดคล้องกับคำว่า Discipline ของฝรั่งเขาที่ค่อนข้างให้ความหมายที่สมบูรณ์ และเมื่อเอาคำว่า Discipline เป็นเกณฑ์วัดแล้วพบว่าพลเรือนไทยค่อนข้างได้ละเลยในวินัยหรือสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า Discipline นี้ไปแทบโดยสิ้นเชิง ทั้ง ๆ ที่สิ่งนี้จะต้องมาก่อน และเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องมือกลาง สำหรับทุก ๆ ระบอบการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย ถ้ามองแบบพลเรือน จะต้องมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นควบคู่ไปกับ เสรีภาพ และต้องหมายถึงความจำเป็นของมวลมหาประชาชน ที่จะต้องยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่า Discipline นี้ด้วยโดยถ้วนทุกตัวตนคนผู้ปรารถนาได้มาซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
หลักการนี้เมื่อมองเปรียบเทียบ เพื่อหาเหตุผล หาหลักการและทฤษฎี อันร่วมกัน จากฝ่ายพระพุทธศาสนาแล้วก็จะเห็นง่ายขึ้น นั่นคือพระพุทธศาสนาพยายามเน้นวินัยปวงชนในนามของ ศีล สมาธิ และ ปัญญา ลงไปสู่สังคมมาตลอด โดยพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรไทยและฝ่ายหินยานทั่วโลก พร่ำสอนลงไปสู่ประชาชนชาวพุทธทั่วโลก โดยขาดไม่ได้ในทุกพิธีกรรมและศาสนพิธีพุทธ เป็นเหตุให้มวลชนชาวพุทธไทย คุ้นกับวินัยทางธรรมะ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็น Discipline พื้นฐานที่หนักแน่นชนิดที่สะท้อนไปถึงคุณธรรมคือ เมตตา กรุณา เอื้ออาทร ร่วมทุกข์และสุข กันอย่างพี่น้อง มีภราดรภาพ สูงส่ง จึงทำให้ประเทศไทยผ่าน วิกฤติการจะเกิดเรื่องรุนแรงเสียเลือดเนื้อร้ายแรงหลายครั้งไปได้ แต่วินัยหมวดนี้ กลับจางไปในหมู่พลเรือนชั้นสูง โดยเฉพาะหมู่นักวิชาการ รวมถึงคณะบดีทั้ง 26 สถาบัน และนักการเมือง พรรคการเมืองนั้นด้วย เพราะเหตุที่เหินห่างจากศาสนธรรมดังกล่าว แต่กระนั้นพลเรือนชั้นนักวิชาการและนักปกครอง กลับไม่เข้าใจเรื่อง Discipline ที่ตนได้เล่าเรียนมาจากประเทศที่เจริญตะวันตก อเมริกา กลายเป็นว่าในเรื่องวินัย หรือ Discipline นักวิชาการไทยด้อยต้อยต่ำกว่าเขาในยุโรปอเมริกา และยังด้อยวินัยไปกว่าคนในระดับพื้นฐานรากหญ้าไทยไปเสียอีก
สิ่งที่แสดงความหมายว่าพลเรือนย่อหย่อน ไม่รู้หน้าที่ และไร้วินัย ไร้ Discipline เห็นได้จากการออกมาต่อต้าน ฎีกาของคนเสื้อแดง ในขณะนี้นี่เอง ซึ่งยังสะท้อนไปถึงความอ่อนด้อยของมันสมองฝ่ายการเมืองไทย สถาบันการเมืองไทยด้วยว่าเป็นอย่างไร ด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับทหารแล้ว อย่างไรก็ไม่เห็นว่าพลเรือนจะมาสู่ฐานะของ Leadership ได้อย่างไร ก็ทำให้ทางทหาร ซึ่งมีระเบียบวินัยดีกว่า ได้บุคลิกภาพผู้นำสูงกว่าพลเรือน จำเป็นต้องรับภาระ Leadership มาทุกยุคทุกสมัยไทยประชาธิปไตยที่รวนเรนี้ ด้วยเหตุนี้ ผลเสียหายจึงไม่ได้มาจากทหารโดยตรง แต่อยู่ที่พลเรือน ที่ไม่สามารถจะปกครองได้ เนื่องเพราะ ไร้วินัย ไร้ความคุ้นเคยในวินัยของบุคคล องค์กร และสถาบันพลเรือนเองโดยแท้จริง อีกประการหนึ่งก็เป็นเหตุให้ขาดความมั่นใจตนเอง ที่จะขึ้นไปยืนในตำแหน่งผู้นำด้วยตนเอง ได้แต่เลียบๆเคียง ๆ ประจบประแจง อาสาช่วยงาน เขียนหนังสือบ้าง ร่างกฎหมายบ้าง ตามที่เป็นมาตลอดในประเทศไทยเรา จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังเห็นชัดเจนอยู่ เช่น เห็นนาย สุรพล นิติไกรพจน์ ซึ่งมีสถานะเป็นครูบาอาจารย์ผู้สอนประชาธิปไตยมีศิษย์มากมาย ไปนั่งข้าง ๆ พล.อ. อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ตอนเสนอให้นายกสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่ง นรม.แทนการประกาศพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน, เห็นพวกนักวิชาการ แล่นไปซบ สนธิ ลิ้มทองกุล กันเป็นแถว ตอนที่เขาหลอกว่า จะใช้อัตราส่วน 70:30 จัดการประเทศไทย (ซึ่งขนาดเป็นนักวิชาการผู้สอนวิชาประชาธิปไตยยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย ให้เขาหลอกต้มได้ว่า การเมืองประชาธิปไตยใหม่แบบ 70:30 เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร?) เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีตัวอย่างพลเรือนที่มีโลภะ พอเข้ามาสู่วงการเมืองก็หวังเป็นใหญ่เป็นนายกรัฐมนตรีทันที อย่างนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. เป็นต้น แล้วพอแพ้ก็ถอยหนี ละความพยายามไปอย่างง่าย ๆ ซึ่งแสดงถึงการขาดความอดทน ไร้อุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
มีตัวอย่างพลเรือนนักวิชาการในด้านความไม่สมประกอบในสติปัญญา เช่นในเร็ว ๆ นี้ มีนักวิชาการทำรายการ รู้ทันประเทศไทย หรือ แสดงออกว่าตนรู้ทันนั่นรู้ทันนี่ทุกอย่าง อยู่เอเอสทีวี ซึ่งเป็นทีวีโฆษณาชวนเชื่อคนหนึ่ง จนปัญญาไม่รู้จะตั้งหัวข้ออะไรก็ตั้งขึ้นว่า อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนบ้าหรือเปล่า กระนั้นจักไม่เป็นอันตรายอย่างยิ่งใหญ่ต่อประเทศไทย และต่อสถาบันหรือ?(อ้างว่าตนมีความรักบูชาสถาบันยิ่งกว่าใคร ๆ ในแผ่นดิน เกรงคนบ้าอย่างดร.ทักษิณ จะเป็นอันตรายต่อสถาบัน) ซึ่งนักวิชาการนายนี้ก็คือ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง(มีดีกรีเป็น ดร. เคยสอนในมหาวิทยาลัยมีชื่อ) กับ ประสงค์ สุ่นสิริ(น.ต.) ร่วมกันกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่คำนึงความจริงว่าคนอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตรเป็นถึงมหาเศรษฐีระดับโลก มีประชาชนให้ความเชื่อถือขนาด 13-19 ล้านคนให้มาปกครองประเทศ และคนแดงทั้งแผ่นดินสนับสนุนเขาอยู่ขณะนี้ จะบ้าอย่างไร คนบ้าต่างหากที่มองประเด็นนี้ไม่ออกไม่เข้าใจ แล้วคนดีอย่างนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็น ดร.เหมือนกันทำไมไร้ปัญญาทำมาหากิน ต้องมากินน้ำใต้ศอกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อการร้ายสนามบินสุวรรณภูมิ อยู่ในขณะนี้ นี่คือตัวอย่างความไม่สมประกอบทางสติปัญญาของนักวิชาการไทย ผู้มีบทบาทอยู่ในระดับสังคมผู้นำขณะนี้
ซึ่งมันเป็นภาพของพลเรือน นักวิชาการที่น่าทุเรศน่าสงสารมาก ๆ ตลอดเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงจากระบอบกษัตริย์มาสู่ประชาธิปไตยจนถึงบัดนี้ ฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบแล้ว เราไม่คิดว่าจะกล่าวโทษทหารได้เต็มที่ นอกจากสาเหตุมาจากพลเรือนที่อ่อนแอ ไร้ระเบียบวินัยอย่างยิ่ง แล้ว พลเรือนยังไร้มันสมองคิดสติปัญญาทางเหตุผล และไร้การคิดแก้ไขปรับปรุงตนเอง ให้ก้าวหน้าไปตามสายงานของตน คือ ความเป็นนักวิชาการ และสถาบันนักวิชาการ จนดูประหนึ่งว่าพลเรือนไร้สถาบัน ไม่มีความสำนึกเชิงสถาบันอยู่ในหัวอกหัวใจ ไม่เคยอ่านความหมายจากหนังคาวบอยอเมริกัน เรื่องนายอำเภอผู้รักษากฎหมาย กับมือปืนระดับ The Professional ว่านั่นคือความหมายของประชาธิปไตยและวิถีทางสร้างสรรค์อเมริกันไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างไร จึงไม่ได้เห็นพลเรือนมีความภูมิใจในสถาบันวิชาการของตน คอยแต่จะหาโอกาสไปประจบประแจงฝ่ายการเมืองเขาผู้มีอำนาจเพื่อตนได้เข้าไปสู่วิถีทางการเมืองบ้าง(ปัจจุบันก็มีตัวอย่างเล็ก ๆ อยู่ตัวอย่างหนึ่งคือนักวิชาการนายหนึ่งในมหาวิทยาลัยมีชื่อคนหนึ่ง(ดร.ปณิธาน วัฒนายายน อาจารย์สอนวิชาการเมือง ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ไปอาสาเป็นโฆษกรัฐบาลอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ทำหน้าที่ร่วมกับโฆษกอีกคนหนึ่งคือนายเทพไท เสนพงษ์ ด้วย แล้วไม่เห็นบทบาทที่สร้างสรรค์อะไร แม้หน้าที่โฆษกก็ทำเงอะ ๆ งะ ๆ เลียนแบบอเมริกาเขาโดยคอยไปยืนเป็นเพียงฉากหลังให้เท่านั้นเอง ไม่โดดเด่นอะไรสมกับความเป็นนักวิชาการ มีแต่ทำความเสื่อมแด่สถาบันนักวิชาการตนเองลงไป ๆ )
มีตัวอย่างที่นักวิชาการระดับมันสมองของนักวิชาการไทยทั้งปวง ทำพลาดอย่างไม่น่าอภัยในยุคทักษิณ นรม.ทักษิณ ให้เชิญคณบดีทุกมหาวิทยาลัย(รวมทั้ง 26 คณบดีที่ต่อต้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงวันนี้) และนักวิชาการในสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มาประชุมระดมมันสมองคิด ศึกษา วิจัย เรื่องทำอย่างไรการเมืองไทยจึงจะเจริญก้าวหน้า ในทำเนียบรัฐบาล มีการถ่ายทอดสดทางทีวี มี ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ธรรมศาสตร์เข้าร่วมประชุมด้วยด้วยท่าทีเป็น Leadership ของหมู่เสียด้วย แต่ภาพที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพของการประชุมที่เบื้อใบ้ ไร้แววความหมายของความเป็นนักวิชาการโดยสิ้นเชิง เพราะ ปรากฏว่าคณบดีเหล่านี้ไม่กล้าพูดอะไร พากันอมยิ้มไปหมด ไม่ว่าจะตั้งประเด็นอะไรขึ้นมาก็เอาแต่อมยิ้ม (กลัวคมปัญญาทักษิณ ชินวัตร จนพูดไม่ออก) จนนรม.ต้องขอร้องเป็นรายคนให้แสดงความเห็น จึงค่อย ๆ แย้มเหนียมอายออกมาบ้าง (เวลาเขาให้พูดกลับไม่ยอมพูด เวลาเขาไม่อยากให้พูดกลับพูดมาก นี่คือคนไม่รู้กาลเทศะ คนเช่นนี้เป็นใหญ่ยาก) แล้ว สุรพล นิติไกรพจน์ นี่เอง ที่เบี้ยว ไม่ยอมส่งรายงานการประชุมกลุ่ม มีข้ออ้าง ข้อตำหนิมากมายภายหลัง โดยไปพูดนอกที่ประชุมลับหลัง ไม่กล้าพูดในขณะมีการประชุม ที่สำคัญ โอกาสการประชุมคณะบดีครั้งนั้น มีความหมายสำคัญกว่านั้นหลายเท่า ซึ่งวงการนี้น่าจะฉวยเอาโอกาสการประชุมครั้งนั้นรวมหัวกันสร้างสรรค์ทางวิชาการการเมืองการปกครองประชาธิปไตย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นโอกาสที่จะมีการสร้างสรรค์เชิงวิชาการและสถาบันวิชาการครั้งใหญ่ มีความหมายถึงการเริ่มกันเสียที ซึ่งหน้าที่ของนักวิชาการที่แท้จริง แต่นักวิชาการก็ไม่เข้าใจที่จะฉกฉวยประโยชน์เข้าสถาบันตนเอง กลับไปทำสิ่งที่เหลวไหลด้วยทิฏฐิ จึงทำให้นักวิชาการและสถาบันวิชาการ ยังไม่ออกเดิน ยังคงอยู่กับที่และยังคงไม่รู้หน้าที่ของตนและสถาบันของตนอยู่ต่อไป ทั้ง ๆ ที่ประเทศชาติและประชาชนกำลังต้องการความรู้ความสามารถและงานของนักวิชาการเพื่อแก้ไขความบกพร่องของระบบประชาธิปไตยไทยทุกระดับอยู่
แม้ทุกวันนี้ พลเรือนอย่างนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นอย่างไร มีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสถาบันนักวิชาการพลเรือนของตนเอง อย่างไร บอกถึงศักดิ์ศรีของพลเรือน หรือสถาบันใด ที่ตนสังกัด อย่างไร นอกจากความบอดมืดหลงทางมาตั้งแต่เริ่มต้นโดยความโลภและใช้วิธีการสกปรกไม่สง่างามในการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำในรัฐบาลมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ว่าทหาร “มุ่งมั่นแต่เรื่องอำนาจนิยม อยากปกครองประเทศ อยากปกครองประชาชน แต่ไม่เข้าใจวิธีการปกครองคน ไปเอาระบบทหารมาปกครองพลเรือนเขาไม่ชินกับระบบนี้ เขารับไม่ได้” นั้น ในทัศนะของเรา ยังไม่อาจจะลงโทษทหารได้ ตามเหตุผลเบื้องต้นมานี้ แต่จะยังมีเหตุผลอื่นที่จะขอกล่าวต่อไปคราวหน้า ซึ่งจะเป็นเรื่องของความเหลวไหลของทหารเองโดยเฉพาะ และที่ทหารจะต้องมาเข้าใจหน้าที่ของทหารตามระบอบประชาธิปไตยอย่างไร
- ธรรมาชีพ ธรรมาชน ป.ธ.ร.
24 ส.ค.2552
22. เสียงสะท้อนจากคนไทยถึงผบ.เหล่าทัพ
ความเกลียดชังที่ทำลายชาติ
ประกาศของกลุ่มพันธมิตรเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2551 จะยึดสนามบินสุวรรณภูมิต่อไป หากนายก รมต.ไม่ลาออก และจะตามไปบุกยึดทุกที่ที่จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อมิให้รัฐบาลทำงานได้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น บ่งบอกว่าชนกลุ่มน้อยนี้มีหลักการต่อสู้ว่า ตราบใดที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังไม่ยุติบทบาททางการเมือง เมื่อนั้นเขาจะป่วนเมืองไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าเกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นชาติไทยและการเศรษฐกิจของชาติจะเป็นอย่างไร นับว่าเป็นความโง่เขลาที่ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การปกครองในระบอบประชาธิปไตย
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สะท้อนให้เห็นว่าคำสอนในพระพุทธศาสนา มิได้เจริญรุ่งเรืองในจิตใจของคนไทยกลุ่มหนึ่ง คนไทยกลุ่มนี้ได้ปล่อยให้ความโกรธ ความเกลียดชังซึ่งถูกบ่มเพาะมอมเมาจากการล้างสมองให้ฟังอะไรด้านเดียวจากบุคคลเพียงไม่กี่คน นานนับวัน นับเดือน นับปี และบัดนี้ผลของการมอมเมาได้ทำลายความรู้สึกนึกคิดผิดชอบชั่วดี แล้วแต่ผู้บงการจะนำพาไป แม้แต่การกระทำที่ผิดกฎหมาย การทำร้ายผู้อื่นที่เห็นไม่เหมือนตน แม้กระทั่งการทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้พินาศย่อยยับก็ยอม โดยไม่หยุดคิดไตร่ตรองสักนิด เพียงเพื่อหวังกำจัดคนกลุ่มหนึ่งให้ยุติบทบาททางการเมือง นับเป็นการลงทุนที่คนไทยผู้รักสงบต้องทนความเจ็บช้ำน้ำใจจากการยกคนชั่วขึ้นครองเมือง ยกอนาคตของประเทศชาติให้อยู่ในเงื้อมมือของคนขาดสติกลุ่มหนึ่ง
ถึงเวลาหรือยัง ที่ทุกฝ่ายต้องหันมามองความจริง มองให้เห็นศัตรูภายในจิตใจที่กำลังทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หันหน้ามาสมัครสมานสามัคคีกันเพื่อกู้ภัยทางเศรษฐกิจ อันตรายที่ลึกล้ำซึ่งกำลังนำความอดอยากหิวโหยมาให้คนไทยในอนาคตอันใกล้นี้
ประเทศอื่น ๆ เขามีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ความสามัคคีปรองดรองกับเหนียวแน่น เพราะเขาต้องใช้พลังในการขับเคลื่อนรัฐนาวาให้รอดปลอดภัย แต่เห็นไฉนคนไทยจึงทำให้เรือรั่ว มิจมลงกลางทะเลมหาสมุทรหรือ ?
คนกล้า
· ผู้ตั้งกระทู้ คนกล้า :: วันที่ลงประกาศ 2008-11-26 19:11:25
ความเห็นที่ 1 (1388367)
ประเทศไทยยังมีรั้วหรือเปล่า ?
ข้าพเจ้าได้ติดตามข่าวคืนว้นที่ 25 ธันวาคม 2551 เห็นม็อบพันธมิตรปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ การ์ดพันธมิตรไล่ยิงกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ด้วยอาวุธปืนร้ายแรง บาดเจ็บ 11 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคนขับแท็กซี่
ได้เห็นการเคลื่อนพลไปทุกจุดอย่างง่ายดาย มีผู้โดยสารตกค้างไม่สามารถขึ้นเครื่องตามกำหนดได้ ได้เห็น ผบ. เหล่าทัพ ผบ.ตำรวจ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเจ้าหน้าที่จะดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยมิให้เกิดการปะทะกันของกลุ่มต่าง ๆ
จนถึงขณะนี้ มีลูกทัวร์จากหลายประเทศพากันตื่นตระหนกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิ พากันยกเลิกเที่ยวบินอย่างมโหฬาร จนบริษัททัวร์กล่าวว่า “ ภัยจากสึนามิที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับหมื่น นับแสน ยังไม่ทำให้ความน่าเชื่อถือพังพินาศได้เท่ากับเหตุการณ์ม็อบบุกยึดสนามบิน ”
แต่จนถึงขณะนี้ กลุ่มม็อบก็ยังเหิมเกริมขู่ว่าจะยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จนกว่านายกจะลาออก และจะตามไปทุกที่หากมีการประชุมสภาที่ไหน เจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านความมั่นคงยังพูดอยู่ว่ายังคุมสถานการณ์ได้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และจะดูแลความสงบเรียบร้อยให้ประชาชน จะรักภักดีต่อสถาบัน ถ้าความสงบสุขที่ท่าน ผบ.เหล่าทัพ หมายถึงคือการไม่เข้าจับกุม ไม่ใช้อำนาจหรืออาวุธหยุดความบ้าระห่ำของผู้ก่อความไม่สงบนั้นเป็นการักษาความสงบเรียบร้อย คนไทยทั้งประเทศขอบอกว่าท่านกำลังเข้าใจผิดถนัด เพราะสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนกำลังถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส คือความไม่น่าเชื่อถือของนานาประเทศ รวมทั้งความไม่น่าเชื่อถือของคนในประเทศด้วย และอันตรายร้ายแรงที่จะตามมาก็คือ การล่มสลายทางเศรษฐกิจที่สามารถทำลาย
เอกราชของชาติให้ย่อยยับได้ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เขาระดมนักการเมืองที่มีผีมือเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาวิกฤตชาติโดยไม่เลือกว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล
การเมินเฉยต่อสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น โดยไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐที่มีอยู่เข้าจัดการกับปัญหาให้เด็ดขาด นี่หรือ คือเกียรติยศศักดิ์ศรีของกองทัพไทย และผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ภาระหน้าที่ของหน่วยงานรักษาความมั่นคงคืออะไร การหลับหูหลับตาปล่อยให้บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปรเช่นนี้ จะทำให้ชาติบ้านเมืองรอดอยู่ได้อย่างไร กรุงศรีอยุธยาเคยล่มสลายมาแล้ว ถึง 2 ครั้ง ก็เพราะทหารขี้ขลาดหวาดกลัวไม่เข้าท่า กลัวถูกตำหนิติเตียนจากคนกลุ่มหนึ่งแต่ไม่กลัวชาติพินาศล่มสลาย เราผิดหวังจริงๆกับรั้วผุๆของชาติในขณะนี้ อย่าลืมสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า วันนี้ท่านปล่อยให้คนพาลรังแกชาติบ้านเมืองทั้งๆที่ช่วยเขาได้แต่กลับนิ่งดูดาย เมื่อถึงคราวที่ท่านถูกรังแกด้วยความอยุติธรรม เมื่อนั้นคนในสังคมก็อาจหมางเมินได้เช่นกัน
อย่าปล่อยให้คนไทยต้องลุกขึ้นมาจัดการกับคนบ้า เพราะความเหลืออด เพราะถ้าถึงวันนั้น ความเสียหายจะมากมายมหาศาล
หิ่งห้อย
· ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2008-11-26 19:14:16
ความเห็นที่ 2 (1388411)
เรื่อง ทหารกับการเมืองยุคนี้ เป็นเพราะสาเหตุอะไรก็ยากที่จะทราบได้ 1. ทหารไร้วินัย ไม่เคารพเจ้านาย ไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตย ที่ว่า ประชาชนเป้นเจ้าของอำนาจ จึงไม่เคารพรัฐมนตรีที่มีมาจากการเลือกตั้ง ถ้าเป็นเพราะเหตุนี้ ทหารเช่นนี้ ไม่ชื่อว่าทหารแต่อย่างใด 2. กรณีม็อบบุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและขู่จะยึดตลอดไปจนกว่านรม.จะลาออก และทาง คตร. มี ผบ.ทบ.เป็นประธาน ประชุมแล้ว เสนอรัฐบาลให้ นรม.ยุบสภา และ ม็อบต้องถอนตัวจากทุกพื้นที่ จึงแสดงว่ายังมีอะไร ที่ไม่ตรงการแก้ปัญหาอยู่ 3. ที่จริงก็น่าคิดเหมือนกัน ในทางทหาร การจะใช้ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์อย่างใดแก่ข้าศึก นั้นควรต้องเป็นความลับ ไม่มีใครจะบอกอะไรออกไปทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อรั่วไหลไปถึงศัตรูได้ เรามองว่า ทหารพร้อมที่จขะฟังคำสั่ง แต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทหารได้ทำให้เสียภาพพจน์ทหารมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะทหารกับการยึดอำนาจ และทหารเฉยชา ทรยศต่อเจ้านายตนเอง เช่นกรณีรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 นั่นเอง และท่านทราบหรือไม่ว่า ที่ประเทศเราวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ล้วนมาจากผลการยึดประเทศครั้ง พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน เป็น ผบ.ทบ.ทั้งสิ้น 4. ยังมีลับลมคมนัยเกี่ยวกับทหารอยู่อีกหลายเรื่อง เช่น วันที่ม็อบบุกยึด NBT นั้น พวกนั้นได้กล่าวถึงทหารอากาศ ว่าผบทอ.ขณะนั้น เป็นพวกเขา ได้สกดตามหลังตำรวจมาทุกระยะ ๆ เพื่อคอยช่วยเหลือฝ่ายม็อบพวกเขา และ ผบ.ทอ.ขณะนั้นเองก็มีทีท่าไม่ชัดเจน ทางทหารบก โดยบก.ทหารสูงสุด ก็มีพลเอกนายหนึ่ง ไปช่วยปรากฎตัวเข้าข้างฝ่ายม็อบ นี่ก็เป็ฯสิ่งที่ทำลายภาพพจน์ของทหารยุคนี้ไปอีก อนึ่ง ทหารไทยเองก็ไม่มีบทบาทอะไรที่เด่นนัก ไปไหนก็ทำแต่งานเชิงพัฒนา แบบพลเรือนมากกว่าจะได้แสดงศักยภาพอย่างทหารที่แท้จริง แม้ไปถึงติมอร์ตะวันออก หรือไปถึง อิรัค เขาก็ให้ไปช่วยงานแบบพลเรือนเท่านั้น นี่เป้ฯสิ่งที่เห็นได้ว่าทหารไทยยังอ่อน แม้เรื่องราวในประเทศไทยเอง ก็ยังดูท่าทีอ่อน ๆ อยู่ ไม่สมกับความเป้นทหารจริง ๆ ซึ่งสิ่งนี้ยุคนี้อาจจะต้องคอยดูอะไรที่ไม่เหมือนเดิมก็ได้ เราหมายถึง ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน จะแก้ให้ภาพทหารเป็นทหารขึ้น หรือไม่ก็พบกับพลังประชาชนตอนรัฐประหาร
· ผู้แสดงความคิดเห็น เทอดไทย บริบูรณ์ วันที่ตอบ 2008-11-26 20:49:00
ความเห็นที่ 3 (1388424)
ทหารเป็นพวกเดียวกับพวกโจรที่ยึดทำเนียบหรืออย่างไร? ทำไมเรามองม็อบเหล่านั้นสูงเกินไปกว่าความเป้นโจร ก็เราไม่จัดการกับโจรให้เสร็จเด็ดขาด พวกเขาจึงเหมือนคนร้ายที่ทำแต่ความร้ายตลอดไป ป่านนี้ยังคิดเจรจาและเกรงใจอยู่ จริง ๆ ต้องรีบจัดการตั้งแต่ต้น ไม่ปล่อยมาจนกำเริบเสิบสานขณะนี้ และยิ่งนานยิ่งพิศูจน์ว่าพวกเขาเป็นเพียงโจร ที่หนีตำรวจอย่างสุดชีวิต ที่รัฐบาลต้องรีบจัดการ
· ผู้แสดงความคิดเห็น ธนสิทธิ์ พิมพ์พิจักร วันที่ตอบ 2008-11-26 21:02:46
ความเห็นที่ 4 (1390032)
การปล่อยให้คนที่ทำผิดกฏหมายลอยนวล แความเห็นใจจากสส.พรรคฝ่ายค้าน สว.สรรหา และนักวิชาการสติเฟื่อง ได้ทำอันตรายอันลึกล้ำคือ การเหิมเกริมและสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ต่อไปจะมีคนเอาอย่างลัทธินิยมความรุนแรงจนประเทศชาตเกิดกลียุค ท่านเป็นผู้อยู่ในตำแหน่งสูงส่งได้อย่างไร ไม่รู้ว่าการรักษาระเบียบวินัยสำคัญยิ่งยวด เพราะเป็นปราการป้องกันอันตรายจากการล่มสลายของประเทศ หยุดเถอะยิ่งต่อต้านรัฐบาลเท่าไรท่านยิ่งเจ็บตัวอีกหลายเท่า
· ผู้แสดงความคิดเห็น รักชาติ วันที่ตอบ 2008-11-28 11:19:01
ความเห็นที่ 5 (1391322)
คนที่ให้ท้ายพันธมิตร กำลังสร้างบาปต่อประเทศชาติอย่างมหันต์ ทำให้พี่น้องไทยผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน ประเทศชาติต้องถูกย่ำยีโดยคนพาล สงสารลูกหลานไทยในยุคนี้ต้องตกเป็นเหยื่อของคนมักใหญ่ใฝ่สูง สงสารบรรพบุรุษอุตส่าห์เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต ลูกหลานกับรักษาไว้ไม่ได้ อย่าลืมสัจธรรมข้อที่ว่า ไม่เคยมีใครสร้างบาปแล้วไม่ได้รับ ยิ่งบาปใหญ่ผลของบาปก็ยิ่งใหญ่ตามไปด้วย อาจติดตามไปสนองหลายภพหลายชาติ
· ผู้แสดงความคิดเห็น ไทยแท้ วันที่ตอบ 2008-12-01 20:37:31
ความเห็นที่ 6 (1434172)
คนไทยเสียดายเงินภาษีที่จ้างผบ.เหล่าทัพจริงๆ นอกจากไม่ทำประโยชน์แล้วยังขัดขวางความเจริญรุ่งเรืองของประชาธิปไตย
ถ้าอยากปกครองแบบเผด็จการพม่าละก็ คนไทยเขาจะลุกฮือต่อต้านแน่นอน เขาไม่เคยถูกกดหัว เรื่ องอะไรจะมากดหัวเขามีความรู้ มี,ความสามารถต้องการเสรีภาพ คุณไม่เห็นจุดจบฮิตเลอร์ นายพอลพต ซัสดัมบ้างหรือ ทำไมไม่เอาอย่างมหาตมะคานธี
· ผู้แสดงความคิดเห็น คนจริง วันที่ตอบ 2009-04-26 20:50:16
ความเห็นที่ 7 (1438970)
ด้วยจิตบริสุทธิ์ ขอเรียนว่า ข้อข้างต้นนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าได้ติดตามข่าวคืนว้นที่ 25 ธันวาคม 2551 เห็นม็อบพันธมิตรปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ การ์ดพันธมิตรไล่ยิงกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ด้วยอาวุธปืนร้ายแรง บาดเจ็บ 11 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคนขับแท็กซี่
ข้อความนี้ไร้ข้อมูลจริง และเป็นข้อมูลที่ใส่ร้ายผู้อื่น ไร้ความเป็นธรรมยิ่ง ขอทุกท่านที่มีใจเป็นธรรมะโปรดรับทราบด้วย เพราะพันธมิตรไม่ได้ไล่ยิงกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยใดๆ ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บจากอาวุธปืนร้ายแรงใดๆ จากกลุ่มพันธมิตร ไม่มีแม้แต่คนเดียว และไม่มีทั้งตำรวจและคนขับแท็กซี่ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ความจริงคือกลุ่มพันธมิตรที่มีเพียงมือตบ และไปชุมนุมที่สนาบบินสุวรรณภูมิ โดยมิได้ปิดล้อม เครื่องบินยังขึ้นลงได้ตามปกติ เพราะพันธมิตรชุมนุมบริเวณลานจอดรถที่กลุ่มแท๊กซี่สุวรรณภูมิเคยชุมนุมประท้วงเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ผู้สั่งปิดสนามบินมิให้เครื่องบินขึ้นลงได้คือนายเสรีรัตน์ ปสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ญาติของนายวีระ มุสิกพงษ์ เพื่อจะโยนความผิดให้พันธมิตร และนายเสรีรัตน์ก็มิได้ทำตามขั้นตอนและมิได้มีการเตรียมสนาบนินรอบรับอื่นๆ และที่ประชุมการท่าฯ ก็ได้มีการสั่งลงโทษนานเสรีรัตน์ไปแล้วด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมขอให้ท่านไปค้นดูได้ ผู้โดยสารก็ไม่ดูแลปล่อยให้อดข้าวอดน้ำ มีเพียงพันธมิตรที่ช่วยเอาข้าวเอาน้ำไปเลี้ยงชาวต่างชาติที่ติดอยู่สนามบิน มีภาพยืนยัน ชาวต่างชาติยังมาร่วมถ่ายรูปกับพันธมิตรเป็นที่ระลึกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และชื่นชมในความมีน้ำใจของชาวพันธมิตรด้วย และชาวมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญก็ไม่มีเที่ยวบินออก นายเสรีรัตน์ไม่สั่งการช่วยใดๆ มีเพียงพันธมิตรติดต่อประสานงานให้สายการบินต่างชาติมารับไปเดินทางต่อไปแสวงบุญได้ ชาวมุสลิมยังขอบคุณในน้ำใจพันธมิตรเลย นี่คือความจริง
หลายๆ ท่านจริงๆ เราก็คือพวกเดียวกันรักชาติ รักสถาบันเหมือนกัน แต่อาจจะได้รับข้อมูลผิดๆ ใส่ร้ายจากผู้ไม่หวังดีกับชาติบ้านเมือง ขอเพียงท่านลองเปิดใจรับฟังข้อมูลทุกๆ ด้านไม่ว่าสีไหนๆ แล้วสุดท้ายท่านจะรู้ดีว่าท่านควรจะยืนอยู่บนความถูกต้องกับสีใด แต่ที่สุดแล้วคนที่รักชาติบ้านเมืองจริงๆ รักสถาบันสูงสุดรักในหลวงจริงๆ ไม่ว่าสีไหนๆ ก็ขอให้หลอมรวมเป็นคนไทยสีธงไตรรงค์เหมือนกัน อย่าหลงเชื่อใครที่ลึกๆ แล้วเค้าทำเพื่อคนเพียงคนเดียวเลย องค์คุลีมาลยังกลับใจได้ ไฉนเลยคนธรรมดาอย่างเราๆ หากรักชาติรักสถาบันจริงๆ ด้วยใจบริสุทธิ์ สุดท้ายจะรู้ดีกว่าจะยืนอยู่บนความถูกต้องและศีลธรรมที่ดีงามอย่างไร
· ผู้แสดงความคิดเห็น ทำไมต้องแตกแยกกัน รักชาติรักในหลวงเหมือนกันคือไทย วันที่ตอบ 2009-05-19 01:40:59
ความเห็นที่ 8 (1452265)
ตอบคุณ ทำไมต้องแตกแยกกัน รักชาติรักในหลวงเหมือนกันคือไทย เห็นด้วยครับ แต่สถานการณ์บ้านเมืองเราขณะนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประชาชนทั้งชาติไทยต้องการประชาธิปไตย และเราต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันนี้ไม่พึงมีข้อเคลือบแคลงใจเพราะรัฐธรรมนูญไทย ไม่ว่าเขียนโดยรัฐสภาผู้แทนราษฎรหรือเขียนโดยกบฏผู้ยึดอำนาจก็รับรองกันไว้ทุกฉบับ คนไทย ขึ้นชื่อว่าคนไทยไม่ทิ้งในหลวงอย่างแน่นอน แต่ขณะนี้มีกบฏทำการยึดอำนาจรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยไปตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 มีคนสองคนชื่อสนธิ เหมือนกันที่คนไทยต้องจดจำเอาไว้ชั่วฟ้าดินสลาย คือหนึ่ง สนธิ บัง จอมอกตัญญู สองสนธิเจ๊กจอมบ่างช่างยุ มาร่วมมือกัน ยึดอำนาจไป แล้วอภิสิทธิ์รับช่วงผลผลิตอันเลวทรามต่อมาถึงบัดนี้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะแท้จริงแล้วถึงสนธิบัง มันคือ หัวหน้าโจรที่ช่วงชิงประชาธิปไตยไป พอเสวยสมบัติแล้วมันก็โละให้สนธิลิ้ม กับอภิสิทธิ์รับทรากต่อมา เห็นไหมครับมันลับลวงพรางขนาดไหน เราจึงต้องทวงประชาธิปไตยของเราคืนมาอย่างไรครับ และสัญลักษณ์ของเราคือสีแดง แดงหมายถึงประชาธิปไตยครับ และไม่ได้เรียกร้องด้วยกำลังแต่อย่างใด
คุณไม่ต้องการประชาธิปไตยหรือครับ ประชาธิปไตยในมือโจร โจรไม่คืนให้ดอกครับ ต้องต่อสู้จึงจะได้มา ต้องต่อสู้จึงจะได้มา โจรหรือจะยื่นประชาธิปไตยให้เราง่าย ๆ
มาร่วมมือกันสิครับ สีไหนก็ตาม จะไม่มีปัญหา หากมุ่งหมายถึงการ ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของเราคืนมา
เมื่อพูดถึงการต่อสู้ ก็ต้องหมายถึงแลกเอาด้วยชีวิตนะครับเป็ฯอย่างสูงสุด แต่แม้ขนาดนั้น เราก็ต้องแลกเอา อย่างที่ยอดมนุษย์แทกซี่ประชาธิปไตยเคยทำเป็นตัวอย่งมาแล้วครับ ขอบคุณครับ
· ผู้แสดงความคิดเห็น ธนสิทธิ์ พิมพ์พิจักร วันที่ตอบ 2009-07-17 16:25:42
23. งบประมาณปี 2553
รัฐบาลเด็ก และเด็ก ๆ ทั้งหลายพูดดีในสภา น่าฟัง แต่ไปล่มตอนจบ คือพูดรายงานมาว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว และรัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยกู้มาอีก แปดแสนล้านบาท เป็นตอนจบ
ตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา คอยฟังว่าจะหาเงินมาอย่างไร เอาอะไรไปขาย ตลาดอยู่ไหน จะบริหารระดับราคาอย่างไร ระดับไหน ไม่เคยพูดถึงเลย (ก็รู้อยู่ว่าเพราะทำไม่เป็น)
แล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้อย่างไร ?
บริหารงานงบประมาณแบบละหลวม ไร้สำนึกของการประหยัด รอบคอบ ไร้มาตรการระมัดระวัง ตรวจสอบไปโดยสิ้นเชิง เช่นนี้ พยากรณ์ได้เลยว่า ก็จะมิเป็นการเปิดช่องให้โกงกินขนาดใหญ่กันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในรัฐบาลประเทศไทยเลยหรือ ?
ประเทศไทยยุคเด็กอภิสิทธิ์จึงเป็นประเทศไทยที่น่าสงสารจริง ๆ
แล้วทางพีเพิ่นแชแนล ถ่ายทอดสดให้ประชาชนฟังทั้งแผ่นดิน ทำไมช่อง 11 ของรัฐบาลไม่ถ่ายทอด แล้วทำไมจึงไปคอยดูดเสียงฝ่ายค้านอยู่เหมือนการประชุมครั้งก่อน ที่ไปดูดเสียง ภาพ ขณะ สส.หนองคาย สมคิด บานไธสงค์ พูด จนหมดเวลา นี่เป็นผลจากรัฐบาลอยู่อีกหรือ ? อย่าลืม เรื่องดูดเสียงนี้จะต้องเป็นประวัติศาสตร์รัฐสภาไทยยุครัฐบาลเด็กเลยทีเดียว ไม่จบกันง่าย ๆ แน่
ช่างห่วย จริง ๆ รัฐบาลเด็ก รัฐมนตรีเด็กคนนั้น
แล้วหวัด 2009 ว่าอย่างไร ?
- แดงดำรงธรรม โพสต์ในเวบบอร์ด
แถมอีกหน่อยน่า เรื่องคลิปสั่งการฆ่าของนรม.ใครจะตัดต่อได้เนียบขนาดนั้น รับเสียเถิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วรีบ ๆ ไปเสียเถิดเห็นแก่ประเทศไทย
24. ช่อง 11 กลายพันธุ์ (คนอ่านโพสต์เข้ามา)
ช่อง 11 กลายเป็นทีวีโฆษณาชวนเชื่อไปเสียแล้วหรือนี่ ? ไม่ได้แวะไปดูนานเลย เห็นทีวีเสื้อแดงเอามาให้ดูจึงรู้ว่ากลายไปเป็นลูกน้องของอาแป๊ะลิ้มไปเรียบร้อยแล้ว ลำพังนายลูกกรอกสาธิต วงศ์หนองเตย คงไม่เก่งทำโฆษณาชวนเชื่อได้เนียบขนาดนี้ ต้องมีครูบาอาจารย์ และนี่อีกรายหนึ่ง ศิษย์เอกสนธิ ลิ้มมันละ
ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ เรื่องการหาเรื่องยุยงส่งเสริมให้คนแตกสามัคคีนี่ สนธิลิ้มมันเก่ง ขนาดไปยุพระโสดาบันวัดบ้านตาด อุดรธานียังได้เลย จนคนทั้งหลายครหาว่าเป็นพระได้อย่างไร โง่ขนาดนั้น ?
- ผู้แสดงความคิดเห็น แดงศรีสะเกษ วันที่ตอบ 2009-08-2
25. โหงเฮ้งอภิสิทธิ์vsสนธิลิ้ม
จากเวบบอร์ด
ASTV รายงานข่าว นายชัย ชิดชอบ บิดานายเนวิน ชิดชอบ(พวกเสื้อแดงเรียกว่า นายเนรวิน) บอกนักข่าวว่า พรรคภูมิใจไทย ไม่ขัดแย้งพรรคประชาธิปัตย์ สามัคคีกันดี นี่เป็นการพูดแบบไม่ดูข้อเท็จจริง ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว ก็ข้อเท็จจริงก็คือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล หน.พรรคภูมิใจไทย เพิ่งหักหน้านายอภิสิทธิ์ กรณีเสนอตั้ง ผบ.ตร. จนเป็นเรื่องเมาท์สนั่นไปทั้งเมือง นั่นคือข้อเท็จจริง ทำไมล่ะ ?
แล้วนายวีระ สมใจคิด ทนายความ ศิษย์วิชาโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มทองกุลอีกคนหนึ่ง พาพวกถือธงชาติไทยไปเขาพระวิหารอีกครั้งแล้ว (ครั้งก่อนโดนชาวบ้านไล่ตี ไล่หนีรีบกลับบ้านเก่าแต่ยังไม่มืด ยังไม่เข็ดอีกหรือไง)
นี่ก็ยี่ห้อ ตราสินค้าสนธิลิ้ม ไปก็เพื่อโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง
ก็อ้างว่าตนเป็นพวกที่รักชาติไทยนี้ยิ่งกว่าใคร ๆ ในแผ่นดินไทยทั้งสิ้น(ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษสนธิลิ้ม เป็นเจ๊กโพ้นทะเลมาอาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ไม่กี่วัน)
เหมือนกับที่อ้างว่าพวกตนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันยิ่งกว่าประชาชนชาวไทยในแผ่นดินไทยอันเก่าแก่นี้ทั้งสิ้น ((ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษสนธิลิ้ม เป็นเจ๊กโพ้นทะเลมาอาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ไม่กี่วัน)
และขณะนี้ก็กำลังเริ่มยุแยกให้คนแตกกันในสถาบันสงฆ์ไทย โดยไปทำการยุให้แตกระหว่างนิกายต่าง ๆ ขณะนี้แยกเอาโพธิรักษ์ออกไปแล้วก็ไม่เป็นประเด็นเพราะนั่นหลอกลวงประชาชนมานานแล้ว ไปเป็นลูกศิษย์สนธิลิ้มเสียก็ดีแล้ว เหตุผลก็มีในทำนองเดียวกันคือ อ้างว่าตนเป็นผู้ที่รักบูชาในพระพุทธศาสนายิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งสิ้น จะต้องมองหาศัตรูของพระพุทธศาสนาแล้วขจัดภัยนั้นเสียโดยเร็ว
อ้าว ขณะนี้ เวลาเที่ยงวัน มีการเลือกตั้งซ่อมที่สุราษฎร์ธานี พิธีกรรายงานโฆษณาได้อย่างไรว่าพรรครัฐบาลมีคะแนนนำไปแล้ว ประชาชนยังไว้ใจพรรคประชาธิปัตย์อยู่ กกต.ว่าไง? ไม่รู้หรือ นี่แหละสันดาน เอเอสทีวี
แล้วมีข่าว - ภาพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วางมาดขณะปราศรัยดี เดินโยกหน้าโยกหลังดี ผินซ้ายผินขวา ดูสง่างาม ทีวีโฆษณาชวนเชื่อเลือกมาดมั่น ๆ มาออก ว่า การท่องเที่ยวกำลังจะบูมแล้ว อย่างมหาศาล มาดนี้คงได้รับคำแนะนำพร่ำสอนจากสนธิลิ้มมัน
วันนี้ ดูแล้ว อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ใบหน้ามัน ผมดำขลับ ตาวาว แสดงถึงประกายความหวังอันเจิดจ้า คนไทยนิยมว่ารูปหล่อ แต่ความจริง โดยตำรานรลักษณ์ศาสตร์ไทย และโหงเฮ้งจีน วิเคราะห์ว่า จุดอ่อนของบุคคลิกภาพนี้อยู่ที่ขมับทั้งสองข้างของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เขามีบุคคลิกภาพแบบเดียวกับ วีระ สมความคิด ที่เห็นณเขาพระวิหารวันนี้ และคล้ายมากกับนักวิชาการชื่อ แก้วสรร อติโพธิ คนนั้น และเหมือน คู่แข่ง ปธน.บุช นาย จอห์น แครี รูปใบหน้าเป็นรูปไข่ยาวเรียวแบบนี้ ขมับแคบแบบนี้ ถือว่าโหงเฮ้งเสียหายอย่างแรง หมายถึงความคิดคับแคบ วิสัยทัศน์คับแคบ และดื้อรั้นไปอย่างสุด ๆ ปกติจะต้องทดแทนด้วย ลักษณะท้ายทอยที่จะต้องโหน่งออกไปหน่อย และหน้าผากจะต้องกลมนูน แต่อภิสิทธิ์ ไม่มีตัวนรลักษณ์นี้มาทดแทน เลย แถมเวลาทำทรงผมให้โป่ง ยิ่งทำให้ขมับแบนแคบลงไปอีก จะต้องแก้ด้วยทำผมเกรียน ๆ หรือทรงผมสูง ไถตรงข้าง ๆ หูออกไปให้เรียบติดหนังศีรษะ ก็จะพอแก้ไขได้บ้าง(ไปบวชจะดี คือเอาผมออกให้หมดขมับจะดีขึ้น)
อภิสิทธิ์ เดิมดูแก้มตึงได้รูป แต่ระยะหลังแก้มสองข้างค่อนข้างตอบ ทั้ง ๆ ที่โหนกแก้มสูง ได้รูปเขาทั้ง 5 พอสมควรอยู่ กระนั้นแก้มที่ตอบลงไป จนเห็นเค้าโครงของรูปกระดูกคาง ทำให้รูปคางแหลมเกินไป (หมายถึงความยากจน หากินไม่พอปากพอท้อง แต่ตรงนี้แก้ได้ด้วยรูปจมูก ๆ จะต้องได้ลักษณะที่มาทดแทนรูปคางได้จึงจะพ้นความหมายนี้ แต่จมูกอภิสิทธิ์ ก็ไม่ค่อยดี ทดแทนไม่ได้อีก คงจะยากจนในตอนหลัง แล้วเนื้อที่ปลายคาง แม้จะงอนขึ้นมาดี แต่ก็บางเกินไป และตรงนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ระวังจะเปลี่ยนไปในทางที่ทรุดโทรมลงไปอีก) ยิ่งส่งความหมายทางสติปัญญาคับแคบไปอีก
ในระยะปัจจุบันนี้ รูปขมับ และแก้ม และคาง มีลักษณะทรุดเสื่อมลงไปตามลำดับ คือขมับแคบไปกว่าเดิม เห็นชัด แก้มตอบผอมลงไปอีก และกระดูกคางแหลมเกินไปจนเห็นรูป
แสดงถึงระยะอันตราย ต่อไปต้องระวังหน้าผาก อย่าให้ย่นและไรผมจะต้อง อย่าให้แห้ง เป็นอันขาด และสำคัญดวงตาต้องสดใส อย่าให้เลื่อนลอย เผลอเหม่อ หรือหมองหม่น เป็นอันขาด ซึ่งลักษณะหลังนี้ เคยเกิดขึ้นกับ ปธน.ยอร์ช บุช มา และเราเคยให้ข้อสังเกตเอาไว้แล้ว
บอกด้วยความหวังดี
(ลาออกไปเถิดน่า ก่อนที่รูปจะไร้ความหล่อ โหงเฮ้งจะทำลายตนเอง)
สนธิลิ้มหรือ?
ก็เหมือนอาชญากรตัวร้าย ไม่เห็นในหนังฝรั่งหรือ สวมชุดขาวทั้งชุด ร่างกำยำสูงใหญ่ หน้าผากโหนกนูนกลม หน้ารูปไข่ ขมับเต็มอิ่ม คางกลมอ้วน เหมือนสนธิลิ้มนี่เอง ฝรั่งเขาเลือกบุคคลิกที่ตรงกับหลักกายวิภาควิทยา คือนรลักษณ์โดยทฤษฎีวิทยาศาสตร์ พวกทัณฑวิทยาเอามาศึกษา ซึ่งค่อนข้างจะตรงกับมติของวิชาโบราณไทยคือนรลักษณ์ศาสตร์ หรือจีน โหงเฮ้ง หนังเรื่องนั้น สร้างอาชญากรตัวร้ายฉกรรจ์ขึ้นด้วยหลักนรลักษณ์ศาสตร์ ผู้ร้ายฉกรรจ์ จับตัวมาได้เอาโซ่ล่ามขาสองข้างให้ฉีกออกจากกันตลอด 24 ชั่วโมง เอาโซ่มัดมือทั้งสองโยงไว้กับขื่อเหนือหัว มันทนทานทรหดและไม่หวาดหวั่นเกรงกลัวใคร อะไรทั้งสิ้น แล้วนักวิจัยทางทัณฑวิทยาและจิตวิทยา มาขอศึกษา ตำรวจห้ามแล้วห้ามอีกก็ไม่ยอม เมื่อยอมก็บอกว่าให้สัมภาษณ์อยู่ห่าง ๆ ถึง 3 เมตร ห้ามเข้าใกล้ตัวเป็นอันขาด เพราะมันเก่งมากขนาดประตูคุกเปิดเมื่อไรก็อาจเป็นอันตรายได้เมื่อนั้น แล้วในที่สุดมันก็หลบหนีไปได้ และก่อกรรมทำเข็ญครั้งใหญ่ ภายหลังตายอย่างทรมาน กว่าจะตายได้ก็เหมือนหนังจีน คือถึงขนาดขอร้องศัตรูให้รีบทำให้ตัวตายเสียที พ้นทุกข์พ้นร้อนไปที
(ความจริงคราวนั้น สนธิลิ้มเองคิดว่า กูตายไปเสียยิ่งดี ไม่น่าทำให้กูฟื้นขึ้นมาเลย ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่กลางพวกเสือสิงกะทิงแรดอย่างทุกวันนี้)
นี่ว่าตามหลักวิชานรลักษณ์ศาสตร์ ผสมกับโหงเฮ้งของฝ่ายจีน เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ไม่ได้มีอคติแต่อย่างใด
โหน ต่องแต่ง
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายโหน ต่องแต่ง วันที่ตอบ 2009-08-31 13:37:47
ความเห็นที่ 22 (1975427)
เรื่องโหงฯอภิสิทธิ์ ขอต่ออีกนิดหนึ่งครับ ตามแผนที่ของ อุดมพร แพงอ่อน (โหงเฮ้งดีดูตรงไหน พิมพ์พ.ศ.2531 สำนักพิมพ์ดอกหญ้า ถนนลำพู พระนคร กทม.) ปี 2552 นี้นับแต่วันเกิด 3 ส.ค.2552 มา คุณอภิสิทธิ์มีอายุครบ 45 ปี ย่าง 46 ปี เป็นปีที่โหงเฮ้งจรตกที่ขมับข้างขวาพอดี หมายความว่าพอเข้า 3 ส.ค.2552 เป็นต้นมา เป็นปีที่ตกต่ำที่สุด เนื่องเพราะจุดอ่อนทางโหงเฮ้งอภิสิทธิ์อยู่ที่ขมับ แก้ม คาง ตามที่ได้วิเคราะห์มาแล้วคราวก่อน ข้างต้น ก็ลองคิดดูเองว่าปีนี้หมายถึงอะไร นอกจากนี้ ปีหน้า ปีอายุย่าง 47 โหงเฮ้งจรตกขมับซ้าย ยังไม่พ้นเคราะห์ 48-49-50 ตกจมูก ยังยากลำบากยากจน ฯลฯ คิดดูเอาเอง (อาจจะหมายถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือถึงชีวิตในระหว่างนี้ก็ได้)
ส่วนของคุณเทพไท เสนพงษ์ กับ คุณสาทิตย์ วงษ์หนองเตย ขอติดไว้ก่อน
ความจริงเราเองมองไปที่ทหารใหญ่บางคนมากกว่า ได้ความอย่างไรจะเอามาขยายให้ฟัง
- ผู้แสดงความคิดเห็น นายโหน ต่องแต่ง วันที่ตอบ 2009-09-03 09:39:43
26. จุดจบของอมาตยาเฒ่าสี่เสา
กรณีม็อบปิดล้อมรัฐสภา 7 ต.ค.2551
ในที่สุด ภาพก็ชัดเจนขึ้นจนแจ่มแจ้ง เมื่อนายกล้าณรงค์ จันทิก เลขาธิการ ปปช.ทายาท คมช.ที่ปราศจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ออกมาแถลงแก่สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2552 อย่างรีบร้อน ว่า ปปช.ได้ชี้มูลความผิด กรณีรัฐบาลสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ทำการสลายม็อบชั่วร้ายที่แอบอ้างสถาบันโดยตั้งชื่อกลุ่มตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่มิได้มีสาระแห่งประชาธิปไตยอยู่เลย มีแต่เผด็จการหลอกลวงหลอกต้มประชาชนทั้งสิ้น ดังปรากฏว่าได้หลอกลวงมวลชนไปยึดทำเนียบรัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรีสมัคร ตลอดมาถึงรัฐบาลสมชาย แล้วต่อมาได้ก่อการปิดล้อมรัฐสภา เพื่อมิยอมให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมชายเข้าแถลงนโยบายได้ ในวันที่ 7 กันยายน 2552 นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ.ภัชรวาช วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ถูกกล่าวหาโดยรัฐบาลทายาทของเผด็จการ คมช. ว่าต่างมีความผิดทางอาญาฐานเข่นฆ่าปราบปรามประชาชน โดยนายกล้าณรงค์ จันทิกได้ประกาศอย่างกร้าวแกร่งเหิมเกริมและอยุติธรรมอย่างยิ่ง จึงเป็นสิ่งบอกเหตุที่ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นวันนี้ว่าบ้านเมืองในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไร้ขื่อแปแห่งความยุติธรรมบนแผ่นดินไทยไปอย่างสิ้นเชิง และยังบอกความหมายที่ชัดเจนว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลนี้ นั่นคือมีคณะอมาตยาธิปไตยเผด็จการขุนนางและทหารแอบแฝงสั่งการอยู่เบื้องหลัง โดยมุ่งหมายสร้างระบอบเผด็จการอมาตยาธิปไตยขึ้นครอบงำประชาชนและปกครองแผ่นดินนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตนให้สืบต่อไปอย่างยั่งยืน
ในเมื่อรัฐบาลใหม่จะต้องแถลงนโยบายการบริหารงานแผ่นดินก่อนการเข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประชาชนทั้งชาตินั้น เป็นสิ่งจำเป็น ของรัฐประเทศไหน ๆ ในโลกนี้ที่เป็นประชาธิปไตยที่รับผิดชอบต่อประชาชนโดยเปิดเผยจะต้องทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนทั้งหลาย แต่การที่ม็อบพันธมิตรที่แอบอ้างประชาธิปไตย คือสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ซึ่งในขณะนั้นก็ได้กระทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นกบฏในราชอาณาจักรอยู่แล้ว โดยการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล อันเป็นสถาบันอธิปไตยของชาติของประชาชน 1 ใน 3 ของอำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย ทำการปลุกระดมมวลชนโดยการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาโดยการเลือกตั้งของประชาชนฝ่ายที่ได้เสียงส่วนใหญ่ลงให้ได้ทุกวิถีทาง จนกระทั่งคณะรัฐบาล 2 รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปใช้ทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นที่ทำการของรัฐบาลของประชาชนได้ ซึ่งเป็นความผิดฉกรรจ์ระดับกบฏภายในราชอาณาจักรอยู่แล้ว ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551นั้นได้ยกพวกเข้าปิดล้อมรัฐสภา อันเป็นสถาบันแห่งอำนาจสูงสุดของประชาชนอีกสถาบันหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ สมควรได้รับการพิพากษาในข้อหาร้ายแรงคือขั้นกบฏอีกกะทงหนึ่งเพิ่มเติมไปอีก
แต่วันที่ 7 ก.ย.2552 คณะ ปปช.ชุดของเผด็จการ คมช. แต่งตั้งโดยปราศจากการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ออกมาชี้มูลความผิดของฝ่ายรัฐบาลสมชายขณะนั้นว่า ได้กระทำผิดอาญาโดยดำเนินการปราบปรามประชาชน จนประชาชนถึงแก่ความบาดเจ็บและล้มตายไปหลายคน ซึ่งเป็นการตัดสินบนฐานของความอยุติธรรมโดยสิ้นเชิง ในเมื่อมีข้อเท็จจริงว่า การชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาในวันนั้น เป็นการกระทำโดยกลุ่มผู้ต้องหาว่ามีความผิดฐานเป็นกบฏในราชอาณาจักรอยู่แล้ว เพราะในขณะนั้นม็อบได้เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล อันเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดของประชาชน และใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานีบริหารงานชั่วร้ายต่าง ๆ ก่อนดำริคิดการร้ายในการเข้าปิดล้อมรัฐสภา อันเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดของประชาชนในด้านนิติบัญญัติ (ต่อมาได้กระทำการก่อการร้ายระดับนานาชาติ คือยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อความเสียหายแต่เศรษฐกิจของชาติไทยและชาติอื่นอย่างประมาณค่าไม่ได้ อันเป็นกระทำที่ฮึกเหิมและสื่อมวลชนรายงานข่าวไปทั่วโลก ซึ่งกลายเป็นหลักฐานผูกมัดอย่างยากจะดิ้นหลุดได้ในฐานะผู้กระทำความผิดอย่างผู้ก่อการร้ายนานาชาติ) และการปิดล้อมรัฐสภาคราวนั้น มิอาจมองได้ว่ามีความชอบธรรม เพราะมิได้มีลักษณะการชุมนุมอย่างสงบตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใดเลย เป็นการชุมนุมเพื่อก่อการร้ายที่มุ่งหมายอย่างชัดเจนถึงการล้มล้างรัฐบาลสมชาย ตามที่ปรากฎว่ามีหลักฐานภาพถ่าย วีดิโอ มากมายที่ยืนยันว่ามิได้เป็นการชุมนุมอย่างสงบ ไร้อาวุธ แต่เป็นการตรงกันข้าม เพราะม็อบได้ตระเตรียมวางแผนการใช้กำลัง พร้อมอาวุธ ได้แก่ระเบิดปิงปอง ปืน มีดผาหน้าไม้ ปลายธง และตะบอง เครื่องมือต่าง ๆ ที่พร้อมที่จะผันแปรไปใช้อย่างอาวุธ เช่นไม้เบสบอล แม้กระทั่งไม้คมแฝกก็มีการพกพามาเป็นต้น ดังปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนจากภาพถ่ายวีดีทัศน์ ถึงอาวุธและแผนการร้ายของฝ่ายม็อบฯอย่างชัดเจนปราศจากข้อสงสัย และยังมีแกนนำม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ คนหนึ่งได้ทำให้เกิดระเบิดร้ายแรงขึ้นเองในรถยนต์เชอโรกี ที่นำมา ร่วมในแผนการก่อการร้าย จนกระทั่งเจ้าของพาหนะถึงแก่ความตายคาที่ และรถยนต์พังเสียหายยับเยิน ซึ่งตำรวจได้พิศูจน์แล้วว่า เป็นผลจากระเบิดที่มีการทำให้เกิดระเบิดขึ้นด้วยตนเอง ทำให้ตนเองถึงแก่ความตายเป็นต้น นอกจากนั้น การที่ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์กลุ่มนี้ดำเนินการอะไรอย่างไร ที่ไหน เมื่อไร ก็มีหน่วยบัญชาการอย่างเปิดเผย คือเอเอสทีวี ที่ทำหน้าที่ปลุกระดมมวลชน ทำการรายงานแผนการต่าง ๆ รวมทั้งรายงานเจตนาชั่วร้ายของตนเองอย่างเปิดเผย แผนการติดอาวุธไปปิดล้อมรัฐสภา ก็มีการออกข่าว-ภาพโดยเปิดเผยของเอเอสทีวี ถึงแผนการร้ายครั้งนี้อยู่แล้ว และการฝึกซ้อมอาวุธและการติดอาวุธของม็อบกลุ่มนี้โดยโทรทัศน์ต่างประเทศ เช่น อัลจาชีรา (Aljazeera) ของต่างประเทศ ก็ได้ทำการถ่ายทอดออกไปทั่วโลก ปรากฎภาพขณะนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญ อำนวยการฝึกอาวุธอยู่ บริเวณถนนราชดำเนินนอก ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจน และเนื่องจาก การชุมนุมในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551นั้น มีการระดมคนเข้ามาปิดล้อมบริเวณหน้ารัฐสภาและจุกประตูรัฐสภาอย่างเหนียวแน่น ทำให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสภาไม่ได้ เว้นแต่ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ยอมเข้าสภา จึงจำเป็นที่ฝ่ายดูแลรักษาความปลอดภัยจะต้องทำการสลายม็อบเพื่อเปิดทางเข้าสู่รัฐสภาเพื่อการแถลงนโยบายของรัฐบาล อันเป็นสิ่งจำเป็นของระบอบการปกครองประเทศ และการสลายม็อบคราวนั้นรัฐบาลก็ได้กระทำไปโดยลำดับขั้นตอนการดำเนินแบบสากลประเทศ และมีสิทธิ์ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาซึ่งเป็นระบบการสลายม็อบที่ไร้ความรุนแรงพอให้ถึงแก่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เช่นเดียวกับสากลประเทศที่เจริญทั่วไปทุกแห่งหน และที่มีข้อสังเกตในภายหลังก็คือ ต่อมาศาลปกครองก็ได้มีการตัดสินแล้วว่า ทางรัฐบาลทำการสลายม็อบไปนั้น เป็นการชอบธรรม
การที่ ปปช.มอบให้นายกล้าณรงค์ จันทิก ออกมาชี้มูลความผิดครั้งนี้ โดยกล่าวหาว่าฝ่ายรัฐบาลกระทำการปราบปรามประชาชนโดยไม่ชอบธรรมจึงเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ปปช.ไม่ได้ทำหน้าที่พิจารณาไปบนหลักการและเหตุผลแห่งความเป็นธรรมและความยุติธรรมของแผ่นดิน โดยนัยยะของความเป็นธรรมดาของสังคมมนุษย์ เนื่องเพราะการพิจารณามีความลำเอียงโดยเจตนาเมินเฉยไม่ได้นำหลักฐานในองค์รวมรอบด้านมาร่วมพิจารณาด้วยอย่างรอบคอบสมบูรณ์ หากแต่เลือกเอาเฉพาะหลักฐานข้อมูลเพียงบางส่วน ที่อาจใช้ทิ่มแทงเอาผิดเอาโทษแก่รัฐบาลสมชายให้จงได้เท่านั้น แม้ว่าแท้ที่จริงหลักฐานเช่นว่านั้นก็ล้วนมีข้อโต้แย้งได้ทั้งสิ้น เป็นการตัดสินความอย่างบกพร่องทางภูมิปัญญา ที่ไม่เป็นธรรมแก่แผ่นดิน อุปมาเหมือนวณิพกโง่เขลาในคตินิทานโบราณในวงการพระพุทธศาสนาเรื่อง ตาบอดคลำช้าง นั่นเอง และนั่นคือการตัดสินใจบนความโง่เขลารู้แคบรู้น้อยย่อมไม่อาจจะรู้ความจริง และย่อมเป็นผลร้ายแด่สามัคคีธรรมของคนในชาติ และนั่นเป็นต้นเหตุของการสร้างปัญหาใหม่ให้เพิ่มพูนลงไปในแผ่นดินและประชาชน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะความรู้ที่บกพร่องทำนองตาบอดคลำช้างนี่เอง ในส่วนความบกพร่องนี้ ยังมีประเด็น สำคัญที่ ปปช.ละเลยหลักฐานการบุกเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในเวลากลางคืนของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 อันเป็นการกระทำในลักษณะของพาลชนที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง และมีความกร้าวแกร่งเหิมเกริมของม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นความผิดระดับร้ายแรงเข้าขั้นกบฏอีกเหตุผลหนึ่ง ตลอดไปถึงหลักฐานจากประชาชนที่ถูกทำร้าย และหลักฐานที่ฝ่ายม็อบกรูเกรียวเข้าทำร้ายตำรวจ และใช้รถยนต์ปิคอัพสีน้ำเงินเข้าทับตำรวจอย่างโหดร้าย โดยถอยเข้ามาทับหวังให้ตายหลายครั้ง แต่ด้วยความฉลาดเท่าทันการณ์ ตำรวจใจเพชรนายนั้นจึงเอาตัวรอดได้ (ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่รู้กฎหมายเลย เขาก็อาจตัดสินได้ความเป็นธรรมกว่าท่าน ปปช.อีก เพราะเขามองเหตุการณ์รอบคอบกว้างขวางครอบคลุมกว่า มององค์รวมได้ทั่วถึงกว่า ปปช.นั่นเอง) จึงทำให้เห็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนสิ้นข้อสงสัยว่า ปปช.นอกจากลำเอียงแล้ว ยังตกอยู่ใต้อำนาจสั่งการของพลังผลักดันเบื้องหลังม็อบกลุ่มบ้าคลั่งนี้ และพลังนั้นคือ คณะอมาตยาธิปไตยเผด็จการขุนนางทหารต่อต้านประชาธิปไตยที่นำโดยอำมาตย์เฒ่าบ้านสี่เสา อย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย อีกแล้ว
การกล่าวหารัฐบาลสมชาย กรณี 7 ตุลาคม 2551 จึงได้ข้อยุติมีข้อเท็จจริงที่เปิดเผยว่าคณะอมาตยาธิปไตยนั้นได้วางแผนการโดยประสานกำลัง-หน้าที่กันกับคณะบุคคลหลายคณะคือ
(1.) เอเอสทีวี ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานกรรมการที่ปรึกษาของพรรคประชาธิปัตย์(นายชวน หลีกภัย โดยนายชวน ได้ขึ้นเวที ประกาศปกป้องเอเอสทีวีร่วมกับแกนนำอื่นๆ โดยร่วมกันประกาศปฏิญญาณว่า ถึงแม้แกนนำทุกคนจะตายไปแล้ว แต่เอเอสทีวีจะต้องอยู่ต่อสู้ต่อไป) ทำหน้าที่อำนวยการโฆษณาชวนเชื่อ โดยทำการโฆษณาใส่ร้ายรัฐบาลทุกรัฐบาลขณะนั้น โดยเริ่มตั้งแต่รัฐบาลทักษิณจัดทำบุญประเทศในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยพระบรมราชานุญาต นายสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวหาว่านายกทักษิณ ชินวัตร กระทำการจ้วงจาบละเมิดสถาบันเบื้องสูง ด้วยการทำตนเสมอกษัตริย์ และนั่งทับพระที่นั่งกษัตริย์ ซึ่งเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิงแต่นายสนธิเอามาโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ ทำให้เกิดอลเวงในหมู่คนขึ้นสมตามเจตนาของนายสนธิ จนต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกมาแก้ตัวให้ว่ารัฐบาลทักษิณกระทำไปอย่างถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของสำนักพระราชวังทุกประการ จึงสงบลง กระนั้นเอเอสทีวีก็ยังสามารถระดม การโฆษณาชวนเชื่อให้ร้าย ดร.ทักษิณ กับพรรคการเมืองทักษิณในประเด็นเกี่ยวกับเบื้องสูงมาได้จนถึงบัดนี้ และ
(2.) มีพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมรับใช้อมาตยาธิปไตย โดยเหตุที่มีหัวหน้าพรรคมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัวและกระหายกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนกระสือที่อย่างเป็นใหญ่ อย่างเด็กอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ
(3.) สำนักสันติอโศก อันเป็นสำนักนักบวชเถื่อนนอกมหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ไทย ที่หลอกลวงประชาชนมานาน อ้างว่าเพื่อการบรรลุธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่เจ้าลัทธิกลับใฝ่สูงโดยไม่ชอบธรรมคือโพธิรักษ์ ผู้ปรารถนาความเป็นศาสดาอย่างโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง โดยมีศิษย์คนสำคัญที่โง่เขลาพอ ๆ คือ นาย จำลอง ศรีเมือง เข้าร่วมมือกัน เพื่อทำลายล้างรัฐบาลประชาธิปไตย ทำลายล้างทักษิณ ชินวัตร ด้วยวิธีการอยุติธรรมอย่างที่สุด จนล่าสุดบัดนี้ กำลังจะขจัดสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ญาติทักษิณ ไปอีกคนหนึ่ง
(4.) ปปช.และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ คมช.แต่งตั้ง บริหารไปโดยปราศจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
(5.) รัฐบาลประชาธิปัตย์
และบัดนี้เราจึงได้ข้อยุติว่า ทั้งหมดอยู่ใต้บงการของอมาตยาธิปไตยขุนนางทหารร่วมมือกันเพื่อทำประเทศไทยให้ถอยหลังลงคลองไปสู่เผด็จการในอดีต โดยเอาแบบอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ผู้กำลังหลงผิดไปสุด ๆ ในการมุ่งสร้างตนเป็นมหาอำนาจด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ อันเป็นวิถีทางที่มืดบอดเพราะไม่ยอมมองเสรีภาพของประชาชนตามหลักการโลกยุคใหม่ แต่กดประชาชนลงไปรับใช้อำนาจของคณะบุคคลแทนระบอบกษัตริย์ และปิดกั้นประชาชนไปสู่ความอยู่ดีกินดีและความร่ำรวย
การปรากฏโฉมหน้าใหม่ของฝ่ายอมาตยาธิปไตย นำโดยอัศวินเฒ่าขันฑีแห่งบ้านสี่เสา จึงสามารถเห็นได้ชัดเจนในเวลานี้ว่าจะนำชาติประชาชนถอยหลังไปสู่ยุคมืดมนอนธกาลโดยก้าว ตามรอยเผด็จการผู้ไร้อนาคตไปอีก เช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำตนไร้ความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ผู้ทรงพระเมตตาหาที่สุดมิได้แด่ปวงชนชาวไทย โดยทรงยินยอมสละพระราชอำนาจอันสูงสุด ของขัตติยระบอบอันทรงอำนาจมายาวนานเสีย ยกมาพระราชทานให้แด่ปวงชนชาวไทย โดยทรงเน้นย้ำว่า มิได้ทรงพระราชทานอธิปไตยนี้แด่บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือคณะบุคคลหนึ่งคณะบุคคลใด แต่ทรงพระราชทานให้แด่ปวงชนชาวไทยทั้งชาติ นี่คือประชาธิปไตยในจิตใจของบรมกษัตริย์ ซึ่งประชาชนผู้รักประชาธิปไตยย่อมซาบซึ้งตรึงในจิตใจที่เทิดทูนอย่างสูงยิ่งอยู่แล้ว
ฉะนั้นการที่อมาตยาเฒ่าบ้านสี่เสา ผู้นำระบอบอมาตยาธิปไตยคิดการใหญ่ใฝ่สูงเกินอาจเอื้อมได้ด้วยขัดพระบรมราชโองการแห่งขัตติยหวลกลับมาอีกเช่นนี้ เหตุการณ์นี้กลับเป็นการชี้ชัดว่าบัดนื้ อมาตย์เฒ่ากำลังจนหนทาง หลงทำในสิ่งที่จะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่อมาตยาธิปไตยเลย มีแต่จะเปิดเผยให้ประชาชนรู้ชัดเจนไปยิ่งขึ้นว่า ศัตรูของประชาชนตัวร้ายนั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน โฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร และบัดนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า แท้จริง เป็นอมาตย์เฒ่า ผู้ไม่เจียมสังขาร ไร้สติปัญญา มืดบอดไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะสัจจธรรมแห่งสงครามประชาชน นั่นเอง ไม่มีพลังใดใดในโลกหล้าที่จะอาจเอาชนะพลังประชาชนทั้งแผ่นดินได้ เพราะพวกเขาคือ ประชาธิปไตยก้าวหน้า และใครก็ตามที่ไม่ฟังสัจธรรมแห่งประชาธิปไตยที่ว่า เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ แล้ว นั่นหมายถึงความปราชัยสถานเดียว ไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน และนั่นหมายถึงอนาคตที่มืดมนอนธกาลเสียแล้ว พวกมันอมาตยาเฒ่าแม้ลำพังอยู่ไปเฉย ๆ ก็ต้องตายเองอยู่แล้ว เหตุใดจึงมาเร่งความตายให้แก่ตนเอง นี่คือคติแห่งความโง่เง่าเต่าตุ่นผู้ไร้สติปัญญาธรรมโดยแท้จริง และนั่นคือนรกอเวจีย่อมรออยู่ข้างปัจจุบันกาลหรือปรภพแล้ว
และข้อสรุปบัดนี้ก็คือสัญญลักษณ์อมาตยาธิปไตยผู้ทรยศ กำลังเดินไปสู่จุดจบ ในไม่ช้าไม่นานนี้ เพราะเป้าหมายชัดเจนแล้ว เสียงประชาชนก็กำลังจะกระหึ่มกึกก้องขึ้นมาทั้งแผ่นดิน เพียงเสียงที่กระหึ่มของปวงชนผู้รักประชาธิปไตย และพร้อมถวายชีพเพื่อความเป็นธรรม เท่านั้นแล้ว อมาตยาเฒ่าก็คงจะถึงซึ่งความวางวายแห่งหฤทัยตายไปเป็นแน่นอน แล้วพวกสมุน ๆ อมาตยาธิปไตยเฒ่าจักมีความหวังแห่งชัยชนะเหนือประชาชนได้อย่างไร ?
จงกลับใจเสียเถิด สำหรับผู้คิดจะทรยศต่อประชาธิปไตย จะไปซบจงรักภักดีต่ออมาตยาเฒ่านั้นเพื่อนาคตอย่างไร มองไม่เห็นแสงสว่าง แม้ที่ปลายอุโมงค์ก็ยังคงมืดมน มีแต่ความมืดมนอนธกาล อยู่ข้างหน้า แต่ฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งแผ่นดิน กลับเพิ่มพูนกำลังใจฮึกเหิมขึ้นเป็นทวีคูณ มองเห็นความสว่างเจิดจ้า ไม่นานเดินรอแล้ว
พวกเขาต้องการสู้เพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา เอาคนดีของประชาธิปไตยกลับคืนมา ขับไล่ทรราช อมาตย์เฒ่าทารกให้พ้นไปจากแผ่นดินไทย
เพราะพวกเขาพร้อมจะลุกขึ้นสู้ด้วยกันทั้งแผ่นดิน สู้ด้วยหลักอหิงสาและภูมิปัญญาที่รอบคอบสุขุม เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งโดยสัจธรรมวันนี้ สถานการณ์ทุกด้าน ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจและสังคม กำลังหนุนเนื่องเข้าข้างประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างเต็มที่แล้ว ทำให้ฝ่ายประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อันเป็นมวลชนมหาศาล เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างยิ่ง เนื่องเพราะพวกอมาตยาธิปไตยนับวันจักอ่อนด้อย เพราะไร้ทั้งสามัคคีธรรมและไร้ภูมิปัญญา ในหมู่พวกตนเอง อุปมาเหมือนสนิมเหล็กที่เกิดจากเนื้อในเหล็กนั่นเอง ที่ย่อมกัดกร่อนตนเองสลายลงไปตามลำดับ ๆ ประชาชนจงมุ่งมั่นในเจตนาอันกร้าวแกร่งแต่จงรอบคอบและยึดมั่นในวินัยอันดีแห่งอหิงสกธรรมและภูมิปัญญา โดยไม่ประมาท ดั่งนี้แม้ เพียงรอ ๆ ๆ ๆ ไม่ออกแรงอะไรนักเลยก็ชนะแล้ว .
- สุดสบาย บานไม่รู้โรย
8 ก.ย.2552
ปปช.ชี้มูลความผิดคดี 7 ต.ค.2551
สมชาย-ชวลิต-ภัชรวาชน์- กับพวกรวม 4 ผิดเต็ม ๆ
ความเห็นที่ 33 (1977077)
อ้าว !!!! ตัดสินคดีกันแบบไหน ให้กบฎยึดทำเนียบ ยึดรัฐสภา และยึดบชน. เป็นพวกก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นฝ่ายถูก ตำรวจและรัฐบาลเป็นฝ่ายผิด
ปปช.ล้วนเป็นนักกฎหมาย ตัดสินใจแบบนี้เสียชื่อสิ เสียชื่อนักกฎหมายและสถาบันกฎหมายหมด
ไม่เข้าใจหรือว่าทำไม ความยุติธรรมจึงเป็นตราชั่ง
เขาเอาขึ้นชั่งก่อนไง ผมจะสอนให้
ข้างหนึ่งเอาฝ่ายโจทก์ ข้างหนึ่งเอาฝ่ายจำเลย เอาข้อมูลของแต่ละฝ่ายใส่ลงไป ฝ่ายไหนมีน้ำหนักกว่าก็ชนะ
ท่านไม่เข้าใจหรือ ?
ท่านเล่นเหมือนเด็ก เอาเฉพาะข้อมูลของฝ่ายกบฎใส่เข้าไป อีกฝ่ายหนึ่งไม่เอาใส่ลงไปเลย ก็แน่ละ กบฎชนะ
มันไม่เป็นธรรมครับ
คนทนไม่ได้ ท่านจะต้องรับผิดชอบ
รับผิดชอบในความหมิ่นแคลนของคนทั้งแผ่นดิน ว่าร่ำเรียนมา ทางกฎหมายมากมาย มีความรู้เป็นกะบุง ๆ แต่หารู้กฎหมายไม่
หารู้ความหมายของความยุติธรรมไม่
เหมือนวณิพกโง่เขลาพวกคนตาบอดคลำช้างในชาดกคำสอนพุทธธรรมนั่นแหละครับ
ปปช.ตัดสินความครั้งนี้ นั่นคือ คนโง่เขลาตาบอดคลำช้างยุคใหม่ โดยแท้จริง
ผมจะจดจำไว้ชั่วชีวิตผมเลย และจะบอกลูกหลานให้ทวงคืนกลับมาให้จนได้
และรับรองผมไม่ลืมคุณหรอกคุณกล้าณรงค์ เพราะ นามสกุล จันทิก
จันทิก หรือ จันทึก ไม่แน่ใจ ขุนช้าง นกตระกรุม เอาให้แน่หน่อย !!!!!!!!!!!
- ผู้แสดงความคิดเห็น สื่อแดง ปฏิวัติ วันที่ตอบ 2009-09-10 20:13:01
28. โครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้
ของมูลนิธิพลเอกเปรมยุค 2552 ควรยุติ
พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ในฐานะประธานมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ได้ดำเนินโครงการอบรมเยาวชน 5 จังหวัดภาคใต้ในนามโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว แต่ในปีที่ 12 นี้ ซึ่งทางมูลนิธิฯได้นำเยาวชน 5 จังหวัดชายแดนใต้มาเข้าโครงการจำนวน 240 คน ได้มีอะไรที่แปลกและแปร่ง ไปกว่าเดิม โดยที่เห็นไปถึงนโยบายของมูลนิธิฯ ที่ไม่น่าจะถูกต้องและชอบธรรมต่อประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเราเห็นว่า นโยบายของพล.อ.เปรมนี่เองที่เป็นเหตุให้ ในระยะปัจจุบันของรัฐบาลอภิสิทธิ์ สถานการณ์ใต้รุนแรงยิ่งขึ้น
ทำไมสถานการณ์ใต้จึงไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่น่าจะดีขึ้นตั้งแต่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ขึ้นเถลิงอำนาจสูงสุดในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยเหตุผลที่ว่าพล.อ.สนธิ เป็นมุสลิม เป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาชาวไทยใต้มุสลิมดี เหตุผลในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในส่วนของมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีนี้นั้น เห็นได้ว่าผิดพลาดอย่างร้ายแรง น่าเป็นเหตุให้สถานการณ์ใต้คุโชนแรงขึ้นมาอีก ทั้งนี้เห็นได้จากการแถลงถึงนโยบายของโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีที่ 12 ของพล.อ.เปรม ณ สโมสรทหารบก ในวันที่ 23 เมษายน 2552 ณ เวลา 10.00 น. ซึ่งเป็นวันที่ทางมูลนิธิฯได้ทำพิธีเปิดโครงการฯ ปี 2552 พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ เป็นประธาน มีพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ตามไปร่วมในพิธีด้วย พล.อ.เปรม กล่าวข้อความสำคัญ ตามที่หนังสือพิมพ์ได้นำมาลงข่าว ดังนี้
“พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศ
ขอให้ภูมิใจว่าทุกคนเป็นสิ่งที่เราตั้งใจว่า จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มุ่งมั่น ปรารถนาดูแลชาติบ้านเมืองให้มีความรักสามัคคีสมานฉันท์ นำพาประเทศเจริญก้าวหน้า ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่แต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริง อยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราช และขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น ส่วนคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศให้มีอันเป็นไป” พลเอกเปรมกล่าว
พล.อ.เปรมให้สัมภาษณ์ด้วยว่า พระสยามเทวาธิราชไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คุ้มครองทั้งนั้น พระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเรา คนพูดว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อเรามองไปในอดีตเหตุการณ์อะไรที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ก็จะมีเรื่องเสียหายน้อยหรือสงบโดยเร็ว และคนไทยก็จะกลับมารักชอบพอกันเหมือนเดิม พระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามีจริง ถ้าใครศัทธาเลื่อมใสจะรู้ว่าพระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครองคนดีของประเทศเรา แล้วจะไม่คุ้มครองคนไม่ดี (ไทยรัฐ 24 เม.ย.2552)
คนทั้งหลายย่อมทราบดีว่า คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นการพูดเปิดประชุมโครงการฯเท่านั้น แต่เป็นการพูดเชิงนโยบายที่ประชาชนทั้งชาติและทั้งโลกได้รับฟัง อย่างเปิดเผย แต่สำหรับเยาวชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้ามารับการอบรมครั้งนี้ พวกเขาล้วนเป็นไทยมุสลิม และชาวไทยมุสลิมและมุสลิมทั้งโลกได้รับฟังแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหวจัดอย่างยิ่ง เพราะในคติมุสลิม และทั้งรวมความไปถึงความเป็นมุอ์มิน(บางแห่งเขียน มุมิน) หรือมุสลิมที่แท้จริงนั้น เขาจะต้องเคารพและนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น มีคำพูดเป็นสากลสำหรับชาวมุสลิมว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลเลาะห์” ดังพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า “อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอันควรได้รับการสักการะโดยแท้จริง เว้นไว้แต่พระองค์ผู้เป็นองค์นิรันดร เป็นองค์ดำรงเองในการบริหารโลกอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทั้งความง่วงเหงาและความหลับย่อมไม่ครอบงำพระองค์ สิทธิของพระองค์นั้นได้แก่ทุกสิ่งอันอยู่ในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและทุกสิ่งในผืนแผ่นดิน” และมุอ์มินย่อมเอ่ยพระนามพระองค์เต็ม ๆ ว่า อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา (บางแห่งเขียนพระนามว่า อัลลอฮ์) เมื่อมุอ์มินจะเริ่มทำการหรือพิธีกรรมใดก็จะอ้างว่าทำในพระนามพระองค์อัลเลาะห์ ดังปรากฏในหน้าแรกแห่งอัลกุรอานว่า “ข้าพเจ้าขอเริ่มสิ่งที่ชอบแห่งศาสนา ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาในโลกนี้ทั่วไป และทรงเมตตาในโลกหน้าเฉพาะผู้ที่ศรัทธาตามคำสั่งสอนของพระองค์” การที่มีคนไม่เข้าใจว่าเรื่องการนับถือพระเจ้านั้น สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาสากลที่มีพระเจ้า รวมทั้งศาสนาอิสลามแล้ว เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง สำคัญถึงความเป็นความตายเลยทีเดียว
การพูดของพล.อ.เปรมเช่นนี้ แน่นอน คำพูดนี้ย่อมเป็นอันตราย ย่อมเป็นเหตุแห่งความแตกแยก ไม่สมานสามัคคี และเชื่อได้เลยว่า นี่เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ เพราะจะมีมุสลิมฮาร์ดคอร์หรือมุสลิมบริสุทธิ์ อย่างในต้นกำเนิดคืออิรัค อิหร่าน อาฟกานิสถาน หรือแม้ในสามจังหวัดไทยภาคใต้ไม่ยอม และสามารถจะพลีชีพให้การต่อสู้ได้อย่างไม่นึกสะพรึงกลัวสิ่งใดเลย เนื่องเพราะความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นของพวกเขาว่า อัลเลาะห์ทรงเป็นองค์บริบูรณ์ยิ่ง ดังพระมหาคัมภีร์ระบุว่า “ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้น คือองค์ทรงความไพบูลย์ในทางอำนวยให้แก่ผู้เป็นข้าแห่งพระองค์อย่างพิเศษสุด ทรงประณีตยิ่งในทางบริหารธุรกิจของพระองค์ให้แก่ผู้เป็นข้าเหล่านั้น” (ทรงหมายถึงรางวัลบนแผ่นดินนี้และรวมทั้งรางวัลในสวรรค์เจ็ดชั้นสำหรับข้าพระองค์ผู้จงรักภักดี)
พล.อ.เปรม ทราบหรือไม่ว่าท่านพูดอะไรออกไป ? จริงอยู่พระสยามเทวาธิราช มีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธินั้นปรากฏอย่างไร และแท้จริงก็ยังมีเทพองค์อื่นที่ปกป้องประเทศไทยมาแต่โบราณ ตามบันทึกชาวจีนนักประวัติศาสตร์ชื่อ Jen Fang ว่าด้วยศาสนาดั้งเดิมของชาวไทย เทพเจ้าผู้สร้างประเทศไทยชื่อว่า เทพเจ้าปานกู(Panku) ทรงมีพาหนะคือนกวายุภักษ์ (ภายหลังกำเนิดในไทยแล้ว แพร่เข้าสู่ประเทศจีน ในศตวรรษที่6 มีคำบรรยายว่า
“เทพเจ้าปานกูมีรูปร่างเล็กเหมือนคนแคระ ใช้หนังหมีหรือใบไม้หุ้มห่อกาย มือข้างหนึ่งถือดวงอาทิตย์ มืออีกข้างหนึ่งถือดวงจันทร์ ดังนั้นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คือผลงานชิ้นแรกในการสร้างจักรวาลของเทพเจ้าปานกู ซึ่งพระองค์ทรงใช้เวลาสร้างถึง 18,000 ปี หลังจากนั้นร่างกายของพระองค์จึงสลายกลายเป็นส่วนประกอบของโลกเรา กล่าวคือกระดูกของเทพเจ้าปานกูกลายเป็นภูเขา เนื้อกลายเป็นพื้นดิน ฟันและเล็บกลายเป็นสายลม เลือดในพระวรกายกลายเป็นสายน้ำ เส้นผมกลายเป็นต้นไม้และต้นหญ้า โลกที่เราอยู่จึงเป็นโลกที่เกิดจากการสลายจากร่างของเทพเจ้าปานกู”
แต่แม้พระสยามเทวาธิราชและเทพเจ้าปานกูก็มิได้เป็นที่รู้จักเคารพอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเหตุผลดังกล่าวมานี้การที่พล.อ.เปรมไปอ้างพระสยามเทวาธิราชนั้นนอกจากไม่เป็นผลดีแล้ว ยังเป็นผลร้ายที่ปรากฏชัดเจน เพราะทำให้สถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นในขณะนี้ อันเป็นยุคของนายกเด็กอภิสิทธิ์ ผู้ที่ท่านประธานองค์มนตรีสนับสนุนและยกย่องว่า “นายกอภิสิทธิ์นี่แหละดี”
และแน่นอนพล.อ.เปรม เป็นต้นเหตุสำคัญทำความเจ็บแค้นแด่ชาวไทยมุสลิมใต้ และรวมทั้งมุสลิมอันเป็นสากล เนื่องเพราะท่าทีเช่นพล.อ.เปรม เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประสงค์เปลี่ยนแปลงศาสนาเดิมของพวกเขา และเราได้บอกสัจธรรมแล้วว่า คนเขาสู้อย่างเสียสละแม้ชีวิตเพื่อศาสนาของพวกเขา(และของพวกเรา)
เราอยากให้ท่านพล.อ.เปรม หยุดความคิดนี้ลงโดยพลันทันที และเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่โดยเร็ว
โดยเปลี่ยนมาสนับสนุนประชาธิปไตย เป็นทางเดียวและทางที่ดีเหมาะสมทุกประการเท่านั้นที่จะสามารถสมานสามัคคีระหว่างชนต่างศาสนาในรัฐประเทศหนึ่งได้ โดยหลักการและเหตุผลก็คือ ประชาธิปไตยไม่มีศาสนา (ไม่คำนึงเรื่องศาสนา) ดังนี้
1. ด้านนโยบายของการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ไม่เกี่ยว ไม่ถูกจำกัดด้วยการนับถือศาสนา นโยบายจะต้องเสมอภาคไปหมดในประชาชนทั่วประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะภาคหนึ่งภาคใด ท้องถิ่นหนึ่งท้องถิ่นใด และไม่จำกัดศาสนาใด ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ โซโรอัสเตอร์ ฯลฯ สุดแต่ขอบเขตนโยบายของพรรคการเมืองที่สร้างขึ้นโดยนักการเมืองของพรรคการเมืองนั้นได้ให้คำจำกัดความไปถึงไหน
2. นโยบายในระบอบประชาธิปไตย ถูกสร้างขึ้นจากคนทุกเชื้อชาติศาสนา ไม่จำกัดความเชื่อและสิทธิในพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งประเด็นนี้ แม้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับก็ได้รับรองไว้แล้ว(จึงเป็นประชาธิปไตย) ดังรธน.2540 ม. 38 ว่า “มาตรา 38 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความ สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดใดอันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น”
3. ชนส่วนน้อยมีสิทธิ์สร้างหรือเสนอนโยบายได้อย่างเต็มที่ อันเป็นสิทธิของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกศาสนา ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองทั้งหลายย่อมคำนึงชนส่วนน้อยและนโยบายของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยย่อมจะต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมไปถึงชนส่วนน้อยเสมอ(มิฉะนั้นท่านก็จะเสียคะแนนนิยมในชนส่วนน้อยลงไป ดูอเมริกาซิครับ เขาไปหาเสียงกับชาวเอเชีย และกลุ่มเชื้อชาติส่วนน้อย ฯลฯ ทำไม?)
4. ชนส่วนน้อยมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะสร้างนโยบาย หรือสร้างความฝันขึ้นมาอย่างไรก็ได้ และรอโอกาสที่จะเสนอเข้าไปสู่ส่วนการบริหารให้ครอบคลุมไปอย่างเป็นสากลได้ตลอดเวลาอย่างมีสิทธิเต็มที่ นั่นเท่ากับมีสิทธิที่จะสร้างจะทำประโยชน์หรือคุณความดีแด่สังคมและประเทศชาติ ไม่จำกัดศาสนาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีผู้ใดจะขัดขวางได้(ตามนัย ม.38 ข้างต้น)
5. ชนส่วนน้อยในระบอบประชาธิปไตย มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะดำเนินการรณรงค์ต่อสู้เพื่อนโยบายของตนได้เข้าไปมีส่วนในการบริหารประเทศ ในองค์รวม โดยผ่านพรรคการเมืองของตนเอง หรืออาจผ่านพรรคการเมืองอื่นใดใดก็ได้ สุดแต่ว่าพรรคการเมืองนั้น ๆ ยอมรับหรือเข้าใจเพียงใดในนโยบายของชนส่วนน้อยนั้น นี่เป็นความเป็นธรรมที่เราจะได้จากระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
6. ชนส่วนน้อยกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มเชื้อชาติฯลฯ สามารถมีสิทธิเต็มที่ที่จะคิดนำนโยบายของตนไปบริหารประเทศเอง โดยสิทธิในการสร้างพรรคการเมืองของตน และขยายกิจการพรรคการเมืองของตนเองออกไปให้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ได้ โดยวิถีทางการต่อสู้ทางนโยบายลงสู่ประชามหาชน จนพอเพียงจะสามารถนำนโยบายตนเองไปบริหารประเทศทั้งประเทศก็ได้ นี่เป็นการเปิดโอกาสให้อย่างเต็มที่อยู่แล้วตามหลักการครรลองของระบอบประชาธิปไตย (กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ท่านมีสิทธิที่จะเป็นรัฐบาลเอง โดยผ่านการต่อสู้ตามสิทธิที่จะสร้างพรรคการเมือง นโยบายการเมือง ขยายความยิ่งใหญ่ของพรรคการเมืองของท่านได้อย่างเต็มที่ตราบจนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ คือได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ อันเป็นหลักการและกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และสามารถเข้าร่วมเป็นรัฐบาลได้ เป็นต้น )
จึงหวังว่าโครงการฯของประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษจะได้หยุดนโยบายเดิมเสียและเร่งรีบมาเสริมสร้างใหม่โดยเปลี่ยนมาเป็นการอบรมเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย หากยังไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยก็ควรเริ่มเรียนรู้เสียทันทีตั้งแต่บัดนี้ หรือหยุดบทบาทลงเสียโดยพลันเพื่อหยุดอันตรายจากความแตกแยกทางศาสนา หยุดปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการมาสู่ประชาธิปไตยเท่านั้นจะเป็นทางแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ และคนทั้งหลายทุกศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรีจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั่นคือศักดิ์ศรีของอำนาจพื้นฐานที่เป็นธรรม ที่ว่า one man one vote (สิทธิที่เท่าเทียมกันคนละ 1 เสียง) นั่นเอง
- อรบุศป์ ละอองธรรม
11 ก.ย.2552
29. จากกระดานถาม-ตอบ(แนวรบไซเบอร์)
ความคิดเห็นที่ 2 (1977528)
พล.อ.เปรมทำผิดมหันต์ต่อศาสนาอิสลาม
....ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น...
....พระสยามเทวาธิราชไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คุ้มครองทั้งนั้น ....
ท่านพล.อ.เปรม เอ่ยข้อความออกมาได้อย่างไร โดยเฉพาะข้อความว่า พระสยามเทวาธิราช...ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
และคำว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดพระสยามเทวาธิราชก็คุ้มครองทั้งนั้น
ท่านพูดออกไปทั่วโลกได้ยิน และชาวมุสลิมโลกได้ยิน เขาก็เข้าใจดี ว่านี่คือการคิดร้ายต่อศาสนาเขา เป็นการเกลี้ยกล่อมพยายามบีบบังคับเยาวชนคนของศาสนาเขาให้ไปนับถือศาสนาอื่น
และ พล.อ.เปรม เป็นใคร ประธานองค์มนตรี เป็นคณะผู้สนองพระบรมราชโองการของกษัตริย์ เขาก็พลอยเข้าใจผิดไปถึงสถาบันสูงสุดคือพระเจ้าอยู่หัว
นี่คือความผิดพลาดอย่าง ไม่ใช่ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นความผิดมหันต์
ท่านจะต้องยุติท่าทีนี้ลงโดยพลัน และหยุดบทบาทใดใดลงไปเสียตั้งแต่บัดนี้ และหาทางชี้แจงให้ชาวไทยมุสลิมหายข้อข้องใจต่อโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ว่าเป็นโครงการที่พยายามจะบีบบังคับให้ชาวมุสลิมไทยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาหรือพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งไม่ใช่พระองค์อัลเลาะห์
และท่านทราบหรือไม่ว่า โทษของการไม่เคารพอัลเลาะห์มีอยู่สถานใด ?
นี่คือสาเหตุที่สถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง?
- Post : สุไหงปาดี ชินะกุล Date : 2009-09-12 20:55:50 IP : 113.53.173.111
ความคิดเห็นที่ 3 (1977572)
ขอทบทวนให้ท่านทั้งหลายเข้าใจชัดเจนว่า การดำเนินนโยบายสามจังหวัดภาคใต้ของทุกนโยบายของทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ของรัฐบาลที่ล่วงมา ๆ นั้น ได้ระมัดระวังกันอย่างยิ่งยวดในประเด็นศาสนาและวัฒนธรรมของชาวไทยสามจังหวัดภาคใต้ จนกระทั่งมีการคิดเสนอขนาดจะยอมให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตการปกครองพิเศษ ก็เนื่องด้วยปัญหาประเด็นนี้ และที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วก็คือหน่วยปฏิบัติในพื้นที่จะต้องเข้าใจและเอาใจใส่ต่อวัฒนธรรมมุสลิมใต้ไทย ต้องปฏิบัติอย่างสอดคล้องวัฒนธรรมอิสลามใต้ ซึ่งข้อปฏิบัตินี้ทางราชการ ทหาร ตำรวจ อส.ก็ยอมรับและปฏิบัติมาอย่างดี ท่านจะสังเกตได้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก หมายความว่าเป็นเรื่องภูมิปัญญา ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วก็จักกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหวไปอย่างมาก ๆ ดังที่ปรากฎว่า ในกรณีสินามิ มีการฉลองกันโดยพับนกขาว แล้วเอามาร่อนเหนือแผ่นดินสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของประชาชนไทยทั่วไป ด้วยปรารถนาดี แต่ชาวไทยใต้เขาบอกว่า นกขาวเป็นสิ่งที่ผิดบัญญัติทางศาสนาอิสลาม ก็เลยต้องระงับไป ทั้ง ๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่กระทำไปด้วยความจริงใจและปรารถนาดีโดยแท้จริงแต่เราก็ต้องฟังเขา อย่างนี้เป็นต้น
กรณีพล.อ.เปรม เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างสูงสุด ยิ่งกว่าปัญหาประเด็นทางวัฒนธรรม แต่เป็นประเด็นทางศาสนาโดยตรง เพราะท่านพยายามจะเกลี้ยกล่อมบังคับชนอิสลามใต้ไทย ให้เปลี่ยนไปเคารพพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งไม่ใช่พระองค์อัลเลาะห์
อิสลามสากลเขาย่อมจะมองมาดู และในเทศกาลสำคัญที่กำลังมานี้คือเทศกาลศีลอด ฮารีรายอ นี้ พวกเขาก็จะมาพิจารณากันและกำหนดนโยบายลงมา
นี่เป็นเรื่องที่ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ กระทำผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ เพียงใด ? (เหมือนเด็กไปอีกคนหนึ่งแล้ว)
บัดนี้ก็เห็นเค้าแล้ว ว่าทำไมสถานการณ์ใต้ จึงคุกรุ่นขึ้นมาอีก
เราได้แต่หวังว่า ชาวสามจังหวัดภาคใต้ จะได้เข้าใจประชาธิปไตย
และมาร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อเป็นทางออกของปัญหาที่มีความเป็นธรรม ตามที่เราได้เสนอไว้นั้นแหละ นั่นคือประชาธิปไตยเท่านั้นเป็นหนทางสร้างนโยบายและการต่อสู้ของชนส่วนน้อยอย่างไรในระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความเป็นธรรม
และที่สำคัญ มาไล่ระบอบอมาตยาธิปไตยโง่เขลานี้ไปเสียพร้อม ๆ กับชนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน
แน่นอน แม้ระยะหลังมานี้ เสื้อแดงชาวใต้มุสลิมไทยก็เกลื่อนเต็มพื้นที่แล้ว แม้กระทั่งบนเวทีของคนเสื้อแดง ที่สถานีข่าว พีเพิ่ลแชนั่น ก็มีแกนนำของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปรากฎตัวมาแล้ว
นั่นแหละวิถีทางการต่อสู้ของชาวสามจังหวัด พี่น้องไทยมุสลิมที่ถูกต้อง จริง ๆ
ไล่อมาตยาเฒ่าโง่เง่าไปเสีย สรรสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา นี่คือหนทาง และทาง
ข้าพเจ้าหมายความถึงทางที่ชาติไทยของเราจักเกิดสมานฉันท์สามัคคีพร้อมทุกประการ ทั้งเผ่าพันธุ์ชนกลุ่ม เชื้อชาติและศาสนาที่แตกต่าง ย่อมมาร่วมวิถีทางเดินเดียวกันได้อย่างมีสามัคคีธรรม ด้วย ประชาธิปไตย
- Post : สุไหงปาดี ชินะกุล (newworldbelieve@hotmail.com) Date : 2009-09-13 07:59:04 IP : 125.26.152.12
ความคิดเห็นที่ 5 (1978257)
สามจังหวัดภาคใต้ เป็นปัญหามานานเท่าไร กี่รัฐบาล ที่ผ่านมา
ประเด็นปัญหาก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ปัญหาศาสนา และเชื้อชาติ บังเอิญปัญหาด้านศาสนาเป็นศาสนาอิสลาม ถ้าเป็นศาสนาอื่นก็จะไม่เคร่งขนาดนี้
เพราะมุสลิมถูกสอนให้เป้นนักรบ และเป็นนักรบของสวรรค์ และพวกเขาถูกบัญชาโดยสวรรค์ และสวรรค์ได้กำหนดชีวิตพวกเขาไว้แล้วสำหรับมุสลิมทุกคน ๆ ว่าตั้งแต่เกิดไปจนตายหรือตอนมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องทำอะไรบ้าง ลำดับขั้นตอนของชีวิตเป็นอย่างไร วันหนึ่ง ๆ ทำอะไร สวรรค์กำหนดลงมาพร้อมแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย
และชีวิตทั้งหมดมอบแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ใครไม่มีความศรัทธานี้ ชื่อว่าผู้ทรยศ มีโทษสถานเดียวคือลงขุมเพลิงนรกไปชั่วนิรันดร จนกว่าถึงวันสิ้นโลกจึงจะพิพากษา
พวกเขามีคัมภีร์ของสวรรค์ที่จะต้องเคารพเชื่อฟัง คือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า คำสั่งของพระเจ้า ทุกถ้อยกระทงความ
อัลกุรอานคือบัญญัติแห่งชีวิตของชาวมุสลิม และ อัลเลาะห์ ชื่อนี้คืออะไร พล.อ.เปรม ไม่เข้าใจหรือ
และไม่เข้าใจหรือว่า ประชาธิปไตยเป็นทางออกที่ประเสริฐที่สุดสำหรับปัญหาชาวไทยมุสลิมใต้
แต่บัดนี้ สายเกินไปแล้วสำหรับพล.อ.เปรม ท่านจึงต้องหยุด หยุด ทุกอย่างที่เป็นชีวิตของท่าน
ทำไม?
เพราะหยุดการขยายปัญหาออกไป ถ้าท่านไม่หยุด ปัญหาจะขยายออกไป ทำร้ายประเทศไทยและสถาบันยิ่งขึ้น
(หมายถึงหยุดการเกลี้ยกล่อม บังคับด้วยประการใดใดให้ชาวไทยใต้สามจังหวัดเสื่อมความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขาลงอย่างเด็ดขาด)
- Post : สุไหงปาดี ชินะกุล Date : 2009-09-16 09:43:06 IP : 125.26.158.11
ความคิดเห็นที่ 6 (1978885)
ชาวเสื้อแดงครับ ระวังหน่อยนะครับ เวลาแวะไปเยี่ยมบ้านพักคือ "บ้านแม่ทัพ" โคราช
พล.อ.เปรม ขณะนี้อยู่ในสายตาของชาวมุสลิมโลก
ระวังเรื่องแซกซ้อนให้ดีนะครับ
แต่เราอยากขอร้องทางนักรบมุสลิม ว่าอย่าสร้างความลำบากแก่พลเสื้อแดงเลย เราเป็นมิตรกันดีกว่า
- Post : สุไหงปาดี ชินะกุล Date : 2009-09-18 14:17:57 IP : 113.53.165.186
30. สถานการณ์ด้านเขาพระวิหาร รายงานด่วน !
ความเห็นที่ 7 (1979705)
นายวีระ สมความคิด พูดที่เอเอสทีวี ก่อนเดินทางไป ทำนองเทศนาบรรยายธรรมด้วยซ้ำว่า สันติธรรมเป็นอย่างไร เน้นนักเน้นหนาว่า ห้ามนำอาวุธไปอย่างเด็ดขาด หากหลงเอาติดตัวไปบ้างก็ให้มอบแด่ทหารที่ด่านตรวจชั่วคราว ขากลับค่อยเอาคืนไป ไร้ความรุนแรงทุกอย่าง เพราะเราถือหลักสันติ-อหิงสา
เขามีวิธีพูดโกหกน่าเชื่อถือดีมาก
ไม่ใช่เฉพาะนายวีระ สมความคิดนะ ตัวการคือสนธิลิ้ม เป็นตัวแบบอย่าง อย่างที่โฆษณากล่าวหาว่าการทำบุญประเทศในวัดพระศรีรัตนศาสดารามของรัฐบาลทักษิณ เป็นการยกตนเสมอกษัตริย์ โดยนั่งทับที่ประทับของกษัตริย์ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็ฯความจริงเลยแม้แต่นิดเดียวจนสำนักพระราชวังออกมาแก้ตัวให้แทนรัฐบาลทักษิณ) แล้วตั้งแต่นั้นมาก็หาเรื่องใส่ร้ายดร.ทักษิณ ในประเด็นทรยศต่อสถาบันตลอดมาจนถึงทุกวันนี้
กรณีใหม่สุดก็คือ ไปโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ ทางเอเอสทีวี ว่าทางพลเสื้อแดง ที่ชุมนุมอยู่ รัชมังคลาสถานกีฬาแห่งชาติ เล่นละครให้ร้ายป้ายสี ลำเลิกสถาบันกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่มีความจริงเลยแม้เพียงเล็กน้อย (ขณะนี้โดนฟ้องร้อง จากคุณวีระ มุสิกพงษ์ และพวก ไม่รอดคุกอีกคดีหนึ่ง)
หลักการโฆษณาชวนเชื่อก็คือ พูดลวงให้คนเข้าใจผิดไปทางอื่น เวลาปฏิบัติจริง ๆ ปฏิบัติไปอีกทางหนึ่งเสมอ
เช่นประกาศความจงรักภักดีต่อสถาบันนี่ ล้ำเลิศ ลวงคนให้เข้าใจไปทางอื่น ชื่นชมยินดีว่าดีล้ำเลิศประเสริฐ แต่ชนกลุ่มใดเล่าที่ทำการปิดกั้นถนนราชดำเนิน อันเป็นเส้นทางพระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตลอดเวลา 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 โดยจักทรงเสด็จแบบขบวนพยุหยาตราทางสถลมาร์ค อันทรงพระเกียรติยศยิ่ง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมขบวนรถพระบรมราชวงศ์ทั้งสิ้น ไม่อาจเสด็จทางถนนราชดำเนินเพราะคนกลุ่มนี้ปิดเส้นทางพระราชดำเนินอันเป้นวิถีทางแห่งกษัตริย์อยู่ ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้ จนต้องทรงเสด็จเลี่ยงไปทางถนนลูกหลวงแทน (โทษต้องถึงตัดหัว 7 ชั่วโคตร เทียว)
ชาวไทยจะลืมไปเสียง่าย ๆ หรืออย่างไร?
เป็นเช่นนี้เสมอไป สำหรับแผนการโฆษณาชวนเชื่อของทีวีโฆษณาชวนเชื่อ เอเอสทีวี และบรรดาคนที่ทำเอเอสทีวีทั้งหลาย จนบัดนี้เอเอสทีวีมีความชำนาญงานในด้าน การโกหกอย่างไรให้คนเชื่อได้ นี่ ไปไกลยากที่คนทั่วไปจะติดตามเข้าใจได้จริง
แต่เรา(หนังสือพิมพ์ดี) ได้ติดตามมาตลอดจึงรู้ทัน และนี่คือ โทรทัศน์ที่เป็นเครื่องมือก่อการร้าย ไม่ผิดแตกต่างจากวิทยุคอมมิวนิสต์ยุคมีคอมมิวนิสต์ไทย ที่ชื่อว่า วิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ยุคนั้น
ซึ่งทำการงานอย่างเดียวกันคือ สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในระหว่างประชาชนคนทั้งปวง โดยวิธีการโกหกอย่างไรให้คนเชื่อได้สนิท นั่นเอง
กรณีการทำร้ายชาวบ้านภูมิชรอล ต.บึงมะลู ที่อยู่ทางขึ้นเขาพระวิหาร ด้วยอาวุธทุกอย่าง กระทั่งปืน เป็นผลให้ชาวบ้านบาดเจ็บไปร่วม 20 คน นั้น เป็นสิ่งที่พิศูจน์ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
ว่า นี่คือขบวนการโฆษณาชวนเชื่ออย่างแท้จริง
แล้วพอหลังเหตุการณ์ นายจำลอง ศรีเมือง ก็ออกมาปฏิเสธว่า นายวีระกระทำไปอย่างที่ไม่มีแกนนำของตนเห็นด้วย......
นี่ก็เป็นการโกหก ซึ่งคนทั่วไปอาจจะเชื่อก็ได้ (เพราะมองว่าจำลองเป็นนักมังสวิรัติแห่งสันติอโศก) แต่วันนี้ เราขอให้ท่านยั้งคิดเสียก่อน เมื่อได้ฟังอะไรจากเอเอสทีวี หรือคนจากเอเอสทีวี หรือจำลอง ศรีเมือง คนนี้
เพราะ จำลอง ศรีเมือง(เราได้ประกาศปลดยศ พลตรี ของ จำลองศรีเมืองไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่โดนข้อหากบฎ ยึดทำเนียบรัฐบาล จึงเรียก จำลอง แทน) ได้อนุญาติให้ญาติธรรมของตนที่สันติอโศก บ้านกะแชงใหญ่ ศรีสะเกษ เป็นฐานทัพที่รวมพลของพลนักปลุกระดมพวกนี้มาโดยตลอด จนร้อนถึงทหารต้องเอารถมารับหนีไปตอนกลางคืน เหมือนกับคราวเกิดเหตุครั้งก่อน
ข้อสังเกตก็คือ การเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขึ้นนี้ ตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาทั้งสองครั้ง วันที่ 19 ก.ย.2552 ตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 เป็นวันพระ สงฆ์ลงฟังปาฏิโมกข์ ใกล้ออกพรรษาเข้ามาแล้ว คราวก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ก.ค.2551 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาคือวันอาสาฬหบูชา ก่อนเข้าพรรษา 1 วัน ) คือในวันที่เกิดเรื่องนี้ ประชาชนชาวไทยพุทธทั้งหลาย จะพากันเข้าวัดฟังธรรมกัน จำศีลสงบกัน เขาสมาทานศีล ห้า บ้าง แปดบ้าง จึงมีน้อยคนที่จะละเมิดศีล ตรงนี้ทางสันติอโศกก็รู้ดี จึงวางแผนร้ายรุกรบได้โดยง่าย นี่เป็นแผนชั่วร้ายจริง ๆ ชนิดที่คิดเอาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนามาใส่ในแผนการร้ายด้วย
และมองไปลึก ๆ นี่คือแผนการสืบสานยุแยกให้แตกไปถึงสถาบันพระพุทธศาสนา
และผู้วางแผนเลวทรามเหล่านี้คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง เป็นคนอื่นไปไม่ได้
ไม่ดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นวันเดียวกัน คือ แดงทั้งแผ่นดิน นปช. รำลึก 19 ก.ย.2549 คือรำลึก 3 ปีแห่งการรัฐประหารแล้วประเทศไทยได้อะไร คนมานับแสน ยืนท่ามกลางสายฝนลงมาจนท่วมลานพระบรมรูปทรงม้า พวกเขาก็สู้อย่างสงบ นี่คือ อุดมการณ์สันติ-อหิงสา ที่แท้จริง ซึ่งได้พิศูจน์มาทุกครั้งทุกคราว รวมทั้งคราว เมษายน 2552
และเราใคร่ขอให้รำลึกว่า มีคน ๆ หนึ่งคนเดียวเท่านั้นจริง ๆ ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาของประเทศไทยวันนี้ คนเดียว
คือ สนธิ ลิ้มทองกุล (เดิมชื่อ ตั๊บ แซ่ลิ้ม เป็นจีนอพยพ มาจากตอนใต้ของจีน)
ในด้านความคิดอ่าน ที่ใช้ในการตัดสินใจ ของวีระ สมความคิด ก็คับแคบเหลือเกิน เพราะเขาไม่เข้าใจกฎหมายนั่นเอง (เป็นทนายความอย่างไรไม่เข้าใจกฎหมาย เป็นนักกฎหมายอย่างไรไม่เข้าใจกฎหมาย?) มองกฎหมายลายลักษณ์อักษรอย่างเดียวแล้วเอามาตัดสินได้อย่างไร มันเหมือนเด็กเกินไป คุณไม่รู้หรือ มีกฎหมายวัฒนธรรม ประเพณี คติ ความเชื่อ และศาสนา สากล-ไทย มาเกี่ยวข้องที่ชายแดนนี้ทั้งหมด ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็มี เป็นลายลักษณ์อักษรก็มี ไทยก็มี เทศก็มี ตัวอย่างเช่น
1. ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
You have heard that it was said, “An eye for an eye and a tooth for a tooth”
But I tell you not to resist an evil person. But whoever slaps you on your right cheek, turn the other to him also.
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาต่อตาและฟันต่อฟัน
ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
[Holy Bible; Matthew 5:38-39]
2. บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตน ย่อมขาดสามัญสำนึก
He who despises his neighbour lacks good sense and a man of understanding will hold his peace.
บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตน ย่อมขาดสามัญสำนึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะอยู่อย่างสงบ
[Holy Bible; Proverbs 11:12]
3. อย่าพูดคำว่าจะให้พรุ่งนี้กับเพื่อนบ้าน ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว
Say not to your neighbour, “Go and come back and tomorrow I will give;” when you already have it.
อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า”ไปเถอะแล้วกลับมาอีก พรุ่งนี้ฉันจะให้ ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว
[Holy Bible; Proverbs 3:28]
4. อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า
Do not devise harm against your neighbour, for trustingly he lives beside you.
อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า ผู้อาศัยอย่างไว้วางใจอยู่ข้าง ๆ เจ้า
[Holy Bible; Proverbs 3:29]
5. อย่าโต้แย้งกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล
Strive not with a man without cause,when he has done you no wrong.
อย่าโต้แย้งกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล ในเมื่อเขามิได้ทำอันตรายอย่างใดแก่เจ้า
[Holy Bible; Proverbs 3:30]
6. คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้าน คือคนบ้า
Like a madman who hurls firebrand, arrow and death, so is the man who deceives his neighbour and says,”Was I not joking?”
คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขาและกล่าวว่า “ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง” ก็เหมือนกับคนบ้าที่โยนดุ้นไฟ ลูกธนู และความตายออกไป เพราะขาดฟืนไฟก็ดับ
[Holy Bible; Proverbs 26:18-19]
นี่ ก็เป็นกฎหมาย ไม่รู้หรือยังไง !!!!
- ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-22 09:11:12
ความเห็นที่ 10 (1980326)
เรื่องเสียดินแดนนี่ ชาวศรีสะเกษเขาก็ยอมรับตั้งแต่ปี 2505 แล้ว ที่ทนายความจากพรรคประชาธิปัตย์ไปว่าความแพ้เขา ก่อนไปก็คุยอย่างเพ้อเจ้อเลยว่า ชนะเขมรแน่ชาวไทยไม่ต้องห่วง ระดมบริจาคค่ารถค่ารากันดีกว่า ผมก็เสียไป2บาท พอแพ้ก็มีข้อแก้ตัวมากมาย อย่างที่คนพรรคประชาธิปัตย์เป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ คราวก่อนได้เป็นรัฐบาลก็โจมตีรัฐบาลสมัคร-สมชาย ว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้ พอตนได้เป็นรัฐบาล ก็พิสูจน์อีกครั้งว่าเด็ก ๆพูด แล้วบัดนี้เขมรสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 สาย จากดินแดนเขมร ผ่านเขตทับซ้อน 4.6 ตร.กม.เข้าไปปราสาทพระวิหาร เป็นรูปธรรมจริง ๆ รัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าอย่างไร
เสียดินแดนซ้ำอีกครั้งหนึ่งใช่ไหม?
ฟังคุณวีระ สมความคิดหน่อยซี ถึงแกจะมาตีกับชาวศรีสะเกษ ๆ ก็ไม่ว่าแกหรอก เพราะเราใจนักเลงพอ คุณยังรู้จักชาวศรีสะเกษน้อยไป เราชั่งตรองไม่ต่างจากตราชั่งแห่งความยุติธรรม ในกรณีนี้ เราขอบคุณเขานายวีระ สมความคิด ที่ช่วยยืนยันให้ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร่วมกับ กษิต ภิรมย์ ทำให้ไทยและชาวศรีสะเกษเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่ง
เน้นย้ำลงไปอีกว่า ประชาธิปัตย์กับคนศรีสะเกษนี่ ไม่มีวันที่จะดีกันได้
เพราะประชาธิปัตย์ ทำให้ชาวศรีสะเกษต้องชอกช้ำ เขาไม่ลืมหรอก
แถมหน่อย อย่าดูถูกทหารเขมรเขาน๊ะ เกิดเหตุมาหลายครั้งแล้ว เห็นไหมมีแต่ทหารไทยตาย
คิดว่าอย่างไรจะชนะเขาน่ะ ทหารเขามีประสบการณ์มากกว่า เขาไม่ใช้เงิน แต่ไทยไม่มีเงินรบไม่เป็น เหมือนกับทางใต้สมัยนี้เลย
ทหารเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ผบ.ทบ.ก็เหมือน .... ในหัวกะโหลกมีแต่ ...... ฟังเอเอสทีวีด่าเอาดีกว่า
- ผู้แสดงความคิดเห็น ชาวบ้านบึงมะลู วันที่ตอบ 2009-09-23 20:41:18
ความเห็นที่ 11 (1980458)
แล้วอย่างไรล่ะครับ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ฝ่ายความมั่นคง อยู่นี่ คุณกษิต ภิรมย์ ก็อยู่นี่ และคณะรัฐมนตรีก็มีอยู่นี่
ขณะนี้ฟัง ทราบ เหตุการณ์ อะไรเป็นอะไร เสียดินแดนไปแล้วอย่างไร
แล้วมี Decision Making อย่างไร ? ด่วน !!!!!!!!
- ผู้แสดงความคิดเห็น แดง ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2009-09-24 11:47:00
ความเห็นที่ 12 (1980477)
กลาโหมว่าไง ? รบหรือไม่รบ ถ้าจะรบก็ต้องทำเดี๋ยวนี้ สั่งการ บุกเข้ายึดพื้นที่ที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ทันที
หรือจะเจรจา แต่เจรจาอย่างไร? เข้ายึดก่อนเจรจาหรืออย่างไร? ตามหลักก็ต้องอย่างนี้
โดยทฤษฎีสงคราม รัฐบาลสุเทพ-อภิสิทธิ์ ต้องเลือกอย่างเด็ดขาด เดี่ยวนี้ !!! (ชิงลงมือก่อน)
แต่เราขอเตือนว่า ทั้งสองวิธี ไม่ว่าเลือกวิธีไหน ต้องอยู่ที่คนทำ
เราหมายความว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำอะไรไม่ได้หรอก (เด็กเกินไป)
นี่คือสภาวะที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สภาวะที่น่าสมเพชที่สุด
- ผู้แสดงความคิดเห็น รักไท ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2009-09-24 12:58:14
ความเห็นที่ 13 (1980569)
มองสถานการณ์แล้ว นี่เป็นสถานการณ์ทางทหารอย่างแน่นอน มีความชอบธรรมที่ทหารจะต้องปฏิบัติการทันที นั่นคือเหตุผลที่แผ่นดินไทยได้รับการรุกราน
และเวลาที่เหมาะสมก็คือขณะนี้ ทันที
แล้วใครจะตัดสินใจ ถ้าไม่ใช่ ทหาร และ รัฐบาล
ทหารไทยไม่เคยใช้หัวเรื่องนี้ไว้เลยหรืออย่างไร ชุ่ยแท้ ?
น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่ทหารไทยจะเข้ายึดที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.นั้นไว้ก่อน เพื่อประโยชน์ทางการเจรจา (แล้วคืบไปยึดปราสาทเขาพระวิหารทีหลังไง!!!!!)
เหตุผลคือเขมรรุกรานไทยก่อน ใครจะอาจโต้แย้งได้ ?????????
- ผู้แสดงความคิดเห็น คมคาย คิดค้น วันที่ตอบ 2009-09-24 19:41:04
ความเห็นที่ 14 (1980569)
ว่าไง !!!!!!! คิดแล้วยัง ?????
เขมรรุกรานแผ่นดินไทย
ไม่ป้องกันแผ่นดินไทยแล้วหรือ ??
ทหาร ว่าอย่างไร ? ระวัง timing จะเลยไปก่อน
ต้อง เดี๋ยวนี้.......
ผู้แสดงความคิดเห็น คมคาย คิดค้น วันที่ตอบ 2009-09-25 08:21:04
ความเห็นที่ 15 (1981744)
เห็นไหมครับ คุณคมคาย คิดดค้น ครับ ผมบอกแล้วว่า แผนการที่ดี หรือทหารก็ต้องพูดว่า ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีที่ดี จะต้องมีคนทำที่ดีพอกันด้วย ผมบอกแล้วไง รัฐบาลนี้เด็กเกินไป และทหารก็ทึบเกินไป คิดการณ์ตามยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีที่คุณเสนอไม่ได้หรอก และขณะนี้จะเห็นเลยว่า กัมพูชา โดยสมเด็จฮุนเซ็น เขาเข้าใจทางยุทธศาตร์และยุทธวิธีทางทหารอย่างทะลุปรุโปร่งไปทุกขั้นตอนการทำศึกไปแล้ว ในขณะที่ทางทหารไทยงุ่มง่าม ๆ และทึบ เขมรเขาไปไกลถึงพันธมิตร คือศาลโลกแล้ว จะต้องเร่งเจรจา ขณะนี้รัฐบาลจะต้องเร่งการเจรจา เพราะทางเขามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะฟ้องศาลโลกอีกครั้ง และอ้างแผนที่ฝรั่งเศสแผ่นนั้น แผ่นเดียวกับที่เราเสียปราสาทเขาพระวิหาร
เพราะเราเสียปราสาทพระวิหาร เพราะแผนที่แผ่นนั้น และแผนที่เราที่อ้างสันปันน้ำนั้น ศาลโลกเขาไม่ฟังเรา แผนที่เราสู้ของเขาไม่ได้ หากเขายื่นฟ้องไปอีก เขาก็อ้างแผนที่ฉบับเดิม เราก็แพ้ และเสียแผ่นดิน ที่เราอ้างว่าที่ทับซ้อนนั่น ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งเจรจา ด่วน
เพราะขณะนี้เลยเวลาที่จะใช้ทหาร ซึ่งหากจะใช้ทหารก็ต้องใช้ตามแผนของคุณคมคาย เนื่องเพราะ timing ผ่านเลยไปแล้ว
การเจรจาต้องอ้างความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่ เป็นน้อง ความเป็นญาติ เผ่าพันธ์เดียวกัน และประโยชน์ร่วมกัน และวัฒนธรรมที่ร่วมกันสองแผ่นดินมายาวนาน ใช้แผนของ บุษบา บุญเสฏฐ์ นะครับ
- ผู้แสดงความคิดเห็น แดง ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2009-09-29 09:18:37
ความเห็นที่ 10 (1980579)
มาวันนี้เห็นแล้วยัง พิษสงของ ไอ้บังมัน (สนธิ บุณยรัตกลิน พล.อ.) ทำไมไอ้บังมันไม่ตั้ง พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร แต่มาตั้ง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เพราะอะไร เห็นแล้วใช่ไหม ? ถึงบางอ้อเอาเร็ว ๆ นี้เอง ถ้าอนุพงษ์ฉลาดกว่านี้หน่อย บังมันก็ไม่ตั้ง เอาคนโง่ ๆ มาขวางทางไว้ 3 ปี ก็พอถมไป สำหรับแผนการสร้างความวุ่นวายทรุดโทรมแด่ประเทศนี้
เพราะ ผบ.อะไร ทึบขนาดนี้ ไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยทำอะไรที่เข้าท่าเข้าทีเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ความรู้สึกก็ไร้ความรู้สึกไปทุกอย่าง
บังมันฉลาดล้ำเลย ซ่อนคมอย่างลึก นั่นแหละอ่านมันจากเจ้าของหนังสือ ลับ ลวง พราง นั่น มันทำเรื่องลับลึกซึ้งอีกอย่าง คืออ้างสถาบันบังหน้า โดยหลอกใช้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ โดยทำให้เห็นว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การรัฐประหารของมันเอง นั่นคือแผนลับ ลวง พราง มาทำให้เข้าใจผิดไปสุด ๆ เท่ากับยกโทษทัณฑ์ทั้งปวงของตนทำไว้ ไปใส่ยังพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพียบ พล.อ.เปรม ก็กลายเป็นแพะรับบาป น่าสงสาร
ส่วนบังมันก็สบายไปแล้ว ในฐานะนักรับจ้างปฏิวัติ โกยไปร่วม พันห้าร้อยล้านบาท ดีไม่ดีมันอาจรับจ้างซ้ำอีกครั้ง ระวัง !!!
ไทยเราเคยมีภาษิตว่า ถ้าเจองูกับแขก ตีอะไรก่อน คำตอบคือตีแขกก่อน ก็พึ่งเชื่อเอาบัดนี้แหละ
- ผู้แสดงความคิดเห็น ธนสิทธิ์ พิมพ์พิจักร วันที่ตอบ 2009-09-24 20:12:52