วันวิสขบูชาโลก ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒
จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ เทเสถ ภิกฺขเว ธมฺมํ อาทิกลฺยานํ มชฺเชกลฺยานํ ปริโยสานกลฺยานํ สาตฺถํ สพยญชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พรฺหมฺจริยํ ปกาเสถ
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมอันดีงามในเบื้องต้น (ศีล) งามในท่ามกลาง(สมาธิ)งามในที่สุด(ปัญญา) จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ และพยัญชนะอันบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงเถิด
แสดงพระธรรมเทศนา สามัคคีธรรม
เจ้าคุณพระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม แสดงพระธรรมเทศนา ก่อนเริ่มพิธีการเวียนเทียน คืนวันวิสาขบูชาโลก ณ วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
บทความใหม่น่าสนของของพัชรา กอปรทศธรรม
รวมสำนวนเรียงความที่ส่งเข้าประกวดทุกสำนวน
ประกาศผลการประกวดเรียงความออนไลน์และวิสัยทัศน์มัธยมศึกษา วันวิสาขโลก
สามัคคีธรรมวันวิสาขโลก
นายประวัติ รัฐิรมย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ (ในนามผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายเสนีย์ จิตเกษม ซึ่งโดนคำสั่งย้ายไปจากศรีสะเกษ)พร้อมคณะข้าราชการจังหวัดศรีสะเกษทำบุญ วันวิสาขบูชาโลก และฟังพระธรรมเทศนา เวลาเช้า วันที่ 8 พ.ค.2552 ร่วมกับญาติโยม ณ วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ (พระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม แสดงพระธรรมเทศนา เรื่อง สามัคคีธรรม 6 อย่าง 1 เมตตากายกรรม 2. เมตตาวจีกรรม 3. เมตตามโนกรรม 4. สาธารณโภคี 5.ศีลสามัญตา 6. ทิฏฐิสามัญตา)
พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร ผช.จร.วัดมหาพุทธาราม พาพระสงฆ์ สามเณร อุบาสกอุบาสิกา เวียนเทียนรอบพระมหาวิหารหลวงพ่อโต
เวียนเทียน
เวลาเย็นมีสวดมนต์แปล ทำจิตในพระกรรมฐาน เป็นเครื่องบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาคกลางคืนมีเวียนเทียนของพุทธบริษัททั่วไป โปรดคลิกเข้าไปดูรูปภาพ ญาติโยม เวียนเทียน ในวัดมหาพุทธาราม
กวาดขยะ กวาดใจ
สาละ
นี่คือต้นสาละ เดิมต้นสาละนี้ไม่มีดอก มีแต่กิ่งใบและลำต้นที่สูงชะลูด ครั้นถึงวันที่อุบัติพุทธองค์ตรัสรู้ สำเร็จซึ่งพระพุทธอนาวรญาณ วันเพ็ญเดือน ๖ ต้นสาละได้บังเกิดความยินดีปรีดา กลัดด้วยปิติโสมนัสเป็นอันมาก ด้วยรำลึกว่าบัดนี้ มีการอุบัติขึ้นซึ่งพระผู้ทรงพระภาคพร้อมพระโพธิญาณอันกว้างใหญ่ ประกอบด้วยพระคุณ ๓ คือพระบริสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ อันจักเป็นหิตานุหิตประโยชน์สุขแด่มวลมนุษย์ชาติ แสงสว่างได้บรรเจิดจ้าขึ้นในโลกอันมืดมิดแล้ว ต้นสาละจึงได้กลัดและผลิดอกออกมาในคืนวันนั้น พร้อมกับการบรรลุพระโพธิญาณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตราบจนปัจจุบันนี้ (ต้นสาละในภาพนี้ เป็นต้นสาละในวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ ที่เพิ่งแรกแย้มผลิบานเป็นปีแรกในปี 2550 เจ้าคุณพระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาสได้นำมาปลุกไว้พร้อมกันจำนวน 5 ต้น)
วันเพ็ญวิสาขโลก ๘ พ.ค.2552 วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 0700 น.ทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนาโดยเจ้าคุณเจ้าอาวาส พระศรีธรรมนาถมุนี 17.00 น.สวดมนต์ปฏิบัติธรรม ชุดขาว 18.30 น. เริ่มพิธีเวียนเทียนพร้อมกันทั้งพระสงฆ์สามเณร-ญาติโยมฆราวาสทั้งสิ้น
|
ดอกสาละ
นี่คือรูปดอกสาละดอกที่บานครั้งแรกในวัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ. ศรีสะเกษ ปี 2550
การปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ
ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมเป็นปกติทุก ๆ วันธรรมสวนะ เริ่มเวลา 17.00 น.ตรง ปฏิบัติตลอดปี ไม่มีการหยุด ณ วิหารหลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ อันเป็นสำนักปฏิบัติธรรมแห่งที่ 1 สังกัดมหาเถรสมาคม จังหวัดคณะสงฆ์ศรีสะเกษ โดยมีพระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาส รองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานผู้อำนวยการ และพระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร ผช.จร. เป็นพระอาจารย์วิปัสสนาจารย์ให้การอบรม
ประชาธิปไตย ที่ไปที่มาหลักการและเหตุผล (บทศึกษาพิเศษ)
การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญทั่วไป)
วันที่ 22-23 เมษายน 2552
เรื่องที่น่าเป็นห่วง
1. เรื่องประชาธิปไตยไทย
2. เรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน
2 เรื่องนี้เราจะกลบเกลื่อนให้คนไทยลืมไปเลยได้หรือไม่ ?
นับตั้งแต่จะกลบเกลื่อนเรื่องการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโดยคณะทหารวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งเหตุผลในการปฏิวัตินั้นอย่างน้อยก็มีข้อหนึ่งซึ่งได้พิศูจน์แล้วว่าเหตุผลนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ไม่เป็นความจริงแต่รัฐบาลนี้ก็พยายามยืนยันอยู่ในขณะนี้โดยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มท. ที่ได้สร้างขบวนการเสื้อสีน้ำเงินขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเหตุผลที่แถลงในรัฐสภาวันที่ 22 เม.ย.2552 ว่า เพื่อดูแลสถาบันเบื้องสูง (ซึ่งยังคงใช้เหตุผลเดียวกับเหตุผลการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 และวันนี้ก็ยังมีสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ์ใช้เป็นข้อกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรอยู่ อย่างไม่เป็นธรรม)
เรื่องนี้จะให้คนลืมไปได้อย่างไร ในเมื่อความจริงการยึดอำนาจของทหาร 19 ก.ย.2549 นั้นก็คือเป็นการปล้นประชาธิปไตยของประชาชน ถ้ารัฐบาลนี้พยายามกลบเกลื่อนหรือต่อต้านประชาชน ที่ต้องการทวงประชาธิปไตยกลับมา ซึ่งพวกเขาแสดงความต้องการอันแน่วแน่ในระบอบประชาธิปไตย โดยความหมายของประชาธิปไตยที่แท้จริง (ประชาธิปไตยที่ไม่อยู่ในตำราและคำสอนของนักวิชาการ แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในความเข้าใจและสายเลือดที่รักเสรีของมวลชนทั่วประเทศ ในฐานะมนุษย์ผู้ย่อมมีความเป็นมนุษย์ผู้รักหวงแหนในเสรีภาพ) ก็ยิ่งเหมือนยุ และหากคิดเอาวิธีการหรืออำนาจทหารเผด็จการมาจัดการแล้ว นั่นหมายถึงการค่อย ๆ ทำลายสังคมไทยไปทีละน้อย ๆ ทีละขั้นตอน จริงอยู่รัฐบาลและทหารอาจจะควบคุมประชาชนได้เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่นการพยายามจะกลบเกลื่อนให้ลืมเสีย ดังขณะนี้เป็นต้น ก็จะไม่สามารถทำได้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลหากผิดพลาดไปแล้วไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาวิถีทางเผด็จการมาแก้ไขปัญหาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้น กลับจะสร้างความแตกแยก ไปกว่าเดิมอีกโดยรัฐบาลนั้นเองเป็นตัวต้นเหตุของความแตกแยก
ประการที่ 2 เรื่องความยุติธรรมตามหลักกฎหมาย และความเป็นธรรมในแผ่นดิน การใช้มาตรฐาน 2 มาตรฐานในเรื่องเดียวกันเป็นความอยุติธรรมและไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน เช่นความผิดของทหาร ที่ไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (ซึ่งในวินัยทหารเองย่อมร้ายแรงมาก) ในคราวประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ตามกฎหมายฉบับเดียวกัน ทำไมทหารจึงไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่สั่งการตามกฎหมายในยุครัฐบาลสมัคร และในยุครัฐบาลสมชาย แต่มาฟังคำสั่งของรัฐบาลนี้(ซึ่งบัดนี้ สิ่งที่เป็นความลับก็ได้ถูกเปิดเผยไปจนกระจ่างแจ้งแล้ว) และบัดนี้รัฐบาลนี้จะกลบเกลื่อนให้คนลืมไปเสีย นั่นแหละความไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน ซึ่งในฐานะของประชาชน คนในระบอบประชาธิปไตย จะต้องเข้าใจตรงกันว่า ความเป็นธรรมในแผ่นดินมีความหมายขนาดไหน
มันมีความหมายสำคัญมาก ทีเดียว ที่กิจกรรมสังคมทุกชนิดจะต้องถูกบัญญัติไว้ว่าอะไร ๆ ก็ต้องให้เป็นธรรมไปทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ทำไมคนขโมยมะม่วงที่กิ่งมันยื่นข้ามรั้วบ้านออกมาสู่ถนนใหญ่ สอยเอาไปเพียงลูกเดียวศาลตัดสินให้จำคุก 1 ปี เป็นต้น(ท่านเข้าใจในประเด็นความเป็นธรรมหรือไม่?)
แล้วประเทศไทยยุคหลัง 19 ก.ย.2549 มีเรื่องราวของความเป็นธรรม(ที่หมายถึงความยุติธรรมตามกฎหมายและความเป็นธรรมตามหลักศาสนธรรมด้วย) มากมายเหลือเกินที่ยังไม่มีการชำระสะสาง การที่ยังไม่มีการชำระสะสางนี่แหละเป็นต้นเหตุของความบาดหมางน้ำใจกัน (ตัวอย่างเช่น ท่านปลูกมะม่วง แล้วท่านโดนคนขโมยมะม่วงไปลูกหนึ่ง ในใจท่าน แม้เพียงมะม่วงลูกหนึ่งราคาเพียง 10 บาท ก็เริ่มเรียกหาความยุติธรรมแล้ว ใจท่านจะเรียกหาอยู่เช่นนั้น จนกว่าผู้มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมของสังคมชำระให้เสร็จสิ้นไปโดยกติกดาที่เป็นธรรมของสังคม)
สรุปแล้ว มีประเด็นสำคัญ ๆ 2 ประเด็นใหญ่ ๆ คือประเด็น. เรื่องประชาธิปไตยไทย
กับเรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน ที่ใครผู้ใดจะดำเนินการกลบเกลื่อนเสียนั้น ย่อมไม่สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจะกลบเกลื่อนให้ประชาชนลืมเหตุการณ์ 12-14 เม.ย.ที่ทหารยกกองทัพออกมาปราบปรามประชาชน (ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความละเมิด ดูหมิ่นแคลน ประชาชนผู้ออกมาทวงประชาธิปไตยของเขาอย่างไร้อาวุธ ทหารทำต่อประชาชนเจ้าของแผ่นดินเจ้าของอำนาจ อย่างกับไล่ต้อนหมู หมา กา ไก่ แมวและหนู ที่วิ่งหลบความตาย พวกทหารโห่ไล่ ตีกระทุ้ง คำรามเสียงใส่อย่างกับไม่ใช่คน นี่เป็นการดูหมิ่นแคลนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผิดหลักการปฏิบัติจิตวิทยาการรบด้วยซ้ำ)
และในที่นี้ เราขอร้องว่า อย่าคิดนำวิธีการอย่างพม่ามาใช้เลย นั่นจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายประเทศไทยไปอย่างยาวนาน ประเทศไทยจะค่อย ๆ จมดิ่งลงไปช้า ๆ นั่นคือ จะค่อยยากจนลงไปทั้งประเทศ และจะมีชาวไทยที่หลบหนีออกนอกประเทศ ไปขึ้นรถขนส่งสัตว์ หรือรถตู้เย็น ขาดอากาศหายใจตายหมู่แบบชาวพม่านับร้อยศพในไทยเร็ว ๆ นี้ (ยุคหลังปฏิวัติ 19 ก.ย.2549) หรือเป็นชาวโรฮินยาที่อพยพหนีความอดอยากจากแผ่นดินกำเนิดไปเคว้งคว้างกลางทะเลเพราะไม่มีแผ่นดินใดต้อนรับจนอดอาหารตายนับห้าร้อยศพ(ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ)
ซึ่งจะเป็นไปตามลำดับแบบเดียวกับพม่า จนกระทั่งในระยะหลังที่สุดของพม่า แม้หมูสงฆ์พม่าก็ทนดูความอยุติธรรมในแผ่นดินไม่ได้ ก็ได้เข้าร่วมขบวนการประชาชนอย่างเปิดเผย ในการเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และทหารพม่าได้ปราบปรามอย่างรุนแรง ตามเหตุการณ์ 10 ต.ค. 2550 ที่เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าพระสงฆ์มรณภาพไปนับร้อยรูป (ภายหลังรัฐบาลพม่าแถลงว่าพระมรณะไป 6 รูป) โดยที่ทางเราเอง(หนังบสือพิมพ์ดี/เวบไซต์นี้)ก็ได้เคยออกแถลงการณ์ไปถึง 3 ครั้ง เตือนรัฐบาลพม่าว่าอย่าได้ทำอันตรายต่อประชาชนและพระภิกษุสงฆ์เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นมหันตบาป(heavy sin) แต่ให้ใช้วิธีการประชาธิปไตย(เราหมายความว่าให้ฟังเสียงประชาชน ฟังว่าประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น อย่าลืมหลักประชาธิปไตยที่ว่า เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์) แต่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าหาฟังเสียงใดใดไม่ พม่าก็ค่อยจมลงสู่ความหายนะ ในเวลาต่อมายังมีภัยธรรมชาติ คือ พายุไซโคลนนากิสถล่มพม่าในปลายเดือนเมษายน 2551(ก่อนปักกิ่งโอลิมปิก 2008 หน่อย) คนตายถึง 138,000 คน (โปรดเปรียบเทียบกับสินามิ ภัยพิบัติของกลุ่มประเทศแถบทะเลอันดามัน รวมทั้งไทยเราด้วย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ซึ่งรวมแล้วมีประชาชนเสียชีวิตทั้งสิ้นประมาณ 156,063 คน พอ ๆ กับไซโคลนนากิสในพม่าประเทศเดียว แต่เราจะเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลทหารพม่าเหมือนชีวิตคนไม่มีความหมายโดยพยายามปฏิเสธไม่ยอมให้อเมริกาและยุโรปเข้าไปช่วยเหลือประชาชน เกรงความลับรั่วไหล นั่นคือเผด็จการทหารที่ชั่วร้ายจริง ๆ) แล้วรัฐบาลทหารพม่าก็ยังคงดำเนินการควบคุมประชาชน ผู้รักประชาธิปไตย(เพราะมีความคิดเสรี)ด้วยวิธีการเผด็จการทหารต่อมา (พม่าได้กำลังใจจากจีน ที่ทำเป็นมิตรคอยป้องกันพม่าจากการโจมตีของอเมริกาและประเทศตะวันตก แต่ที่จริงจีนนั่นแหละที่ยังคงล้าหลังไปสุด ๆ อีกประเทศหนึ่งทางระบอบประชาธิปไตย และในวันข้างหน้าประชาชนจีน ก็จะลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งมโหฬารเช่นเดียวกับชาวพม่า ขณะนี้จีนก็ยังพยายามปิดปากปิดหูปิดตาชาวธิเบตโดยการนำขององค์ดาไลลามะนอกประเทศ)
เราไม่อยากให้รัฐบาลทหารไทยคิดอย่างเดียวกับรัฐบาลทหารพม่า ที่พยายามปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยวิธีการของเผด็จการ เพราะวิธีนั้นจะส่งผลคือ(1) รัฐบาลจะไม่มีทางชนะเลย และตราบใดที่เป็นอยู่เช่นนี้รัฐบาลก็จะบริหารงานไปอย่างได้รับการดูแคลนจากประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก และมีทางเดียวก็คือการไปคบกับประเทศจีน ซึ่งยังไม่มีสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่แท้จริงอยู่เลย นั่นก็จะยิ่งขาดอนาคตไปอีก เพราะโลกเดินไปข้างหน้า สู่ประชาธิปไตย (และแท้จริงประชาธิปไตยนั้นคือสัจธรรมในพระพุทธศาสนาในองค์รวมทั้งสิ้นที่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นสากล) และ(2) ประเทศและประชาชนจะค่อย ๆ ยากจนลงไปตามลำดับ การเรียกร้องให้อดออมตามหลักคำสอนโบราณของศาสนาจะเป็นวิธีการที่ล้าหลังในยุคใหม่ เพราะการเศรษฐกิจแบบนี้ไม่สามารถจะต่อสู้กับวิธีการเศรษฐกิจแบบนายทุนเสรียุคใหม่ได้ (หมายความว่าถ้าเราดำเนินเศรษฐกิจแบบอดออม เราจะทำได้อย่างเดียวคือปิดประเทศ อยู่เพียงเราคนเดียวเท่านั้น เหมือน ๆ กับภูฏาน นั่นเอง แต่การปิดประเทศนั้นทำได้หรือ? เราได้เรียนมาแต่สมัยญี่ปุ่นแล้ว และญี่ปุ่นเจริญได้อย่างไร เราต้องมองดู)
เรื่องที่ควรมองในพม่าขณะนี้ก็คือ การปราบปรามโดยวิธีเผด็จการ ไม่สนองตอบความต้องการของประชาชน ที่ออกมาแสดงมติของเขานั้น ไม่สามารถควบคุมประชาชนได้ด้วยอำนาจปืน ท่านทราบหรือไม่ว่าในปี 2550 เดือน กันยายน ก่อนการปราบปรามอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคมนั้น มีประชาชนและพระสงฆ์พม่าออกมาที่เจดีย์ชะเวดากอง จำนวนร่วมถึง 100,000 คน ในครั้งนั้นหมู่สงฆ์ทำหน้าที่ผู้นำการชุมนุมโดยเปิดเผย มีจำนวนถึง 30,000 รูป แล้วมีประชาชน 70,000 คน แวดล้อมเป็นโซ่มนุษย์ (สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
วัน อังคาร ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550, 19:32 น.)
ซึ่งเราวิเคราะห์ว่า ทหารพม่ากำลังคิดอย่างจีน โดยการปราบปรามอย่างรุนแรงเพื่อให้เข็ดหลาบ และลืมเสีย ดังเช่นกรณีเทียนอันเหมิน ในยุคที่คลินตันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อประมาณ15 ปีก่อน และเหมือนกรณีธิเบต ปัจจุบัน นั่นเอง
เราขอบอกว่าทำเช่นนั้นประเทศพม่ายิ่งจะทรุดลงไปอีก และไม่มีวันที่จะเอาชนะประชาชนพม่าที่ใฝ่ประชาธิปไตย ที่แท้จริง (ประชาธิปไตยที่ไม่อยู่ในตำราและคำสอนของนักวิชาการ แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในมวลชนทั่วประเทศ ในฐานะมนุษย์ผู้ย่อมมีเสรีภาพ) ได้เลย เพราะประชาธิปไตยเหมือนทะเลใหญ่ ประชาชนเหมือนเม็ดฝนและสายน้ำ ย่อมเป็นปกติที่จะบ่ายหน้าไหลลงสู่ทะเล ไม่มีอำนาจใดจะปิดกั้นได้ สำหรับวิธีแก้ไขก็คือใช้วิธีทางของประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ฟังว่าประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น
สำหรับประเทศไทย การที่รัฐบาลปัจจุบันจะนำความคิดอย่างพม่ามาใช้นั้น ย่อมเป็นอันตราย และย่อมเป็นไปอย่างพม่า เพราะท่านไม่สามารถจะเอาปากกระบอกปืนปิดหูปิดตาประชาชน บังคับประชาชนยุคเสรีได้
การชุมนุมของประชาชนเสื้อแดง มีการพัฒนาการ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนการชุมนุมครั้งสุดท้ายนี้ พลเสื้อแดงก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีความสุจริตจริงใจต่อประชาธิปไตย โดยการเรียกร้องอย่างสงบปราศจากอาวุธ มาหลายครั้งที่พิศูจน์ความจริงใจ ครั้งหลังสุด คือคราวที่มีการปราบปรามโดยกองทหารเต็มอัตราศึกครั้งนี้ มีประมาณถึง 6 แสนคนที่มาชุมนุมในกรุงเทพ และถ้านับพวกที่ชุมนุมทั่วทั้งประเทศในทุกจังหวัด 76 จังหวัดของประเทศไทย จำนวนเป็นหลายล้านคน
ถ้าเราเข้าใจตรงกัน ทั้งทางนักวิชาการที่ถือตำรา (นักวิชาการไทยสายสังคมศาสตร์ไม่เคยมีการตัดสินใจบนข้อมูลที่เป็นผลมาจากการศึกษาเชิงวิจัยประชาชนอย่างลึกซึ้งเลย การตัดสินปัญหาแต่ละครั้ง จึงเพียงเปิดตำรารัฐศาสตร์ออกมา และว่าไปตามตำรานั้น นี่คือแทบไม่รู้เลยว่าประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ที่แท้จริงเป็นอย่างไร) ทางพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล และทั้งทางทหาร เราก็จะตัดสินใจได้ว่าทางออกก็คือ วิถีทางประชาธิปไตย
ประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น
- ธรรมาชีพธรรมาชน
23 เม.ย.2552
ดอกสาละอีกดอกหนึ่ง
ลำดวน
ดอกลำดวนบานในวัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
วันวิสาขบูชาโลก ขอให้ประชาชนทำจิตใจให้เบิกบานและเนิ่นนานเหมือนดอกลำดวนที่บานนาน ดอกนี้