นี่คือหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) It's The Good Paper https://www.newworldbelieve.net For All Good For All Thought
คอยพบหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43 เร็ว ๆ นี้
ปุชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร ผช.จร.วัดมหาพุทธาราม พาพระสงฆ์ สามเณร อุบาสกอุบาสิกา เวียนเทียนรอบพระมหาวิหารหลวงพ่อโต วันวิสาขบูชาโลก ๘ พ.ค.๒๕๕๒
เวียนเทียนวันวิสาขโลก
เวลาเย็นมีสวดมนต์แปล ทำจิตในพระกรรมฐาน เป็นเครื่องบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาคกลางคืนมีเวียนเทียนของพุทธบริษัททั่วไป โปรดคลิกเข้าไปดูรูปภาพ ญาติโยม เวียนเทียน ในวัดมหาพุทธาราม
สาละ
นี่คือต้นสาละ เดิมต้นสาละนี้ไม่มีดอก มีแต่กิ่งใบและลำต้นที่สูงชะลูด ครั้นถึงวันที่อุบัติพุทธองค์ตรัสรู้ สำเร็จซึ่งพระพุทธอนาวรญาณ วันเพ็ญเดือน ๖ ต้นสาละได้บังเกิดความยินดีปรีดา กลัดด้วยปิติโสมนัสเป็นอันมาก ด้วยรำลึกว่าบัดนี้ มีการอุบัติขึ้นซึ่งพระผู้ทรงพระภาคพร้อมพระโพธิญาณอันกว้างใหญ่ ประกอบด้วยพระคุณ ๓ คือพระบริสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ อันจักเป็นหิตานุหิตประโยชน์สุขแด่มวลมนุษย์ชาติ แสงสว่างได้บรรเจิดจ้าขึ้นในโลกอันมืดมิดแล้ว ต้นสาละจึงได้กลัดและผลิดอกออกมาในคืนวันนั้น พร้อมกับการบรรลุพระโพธิญาณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตราบจนปัจจุบันนี้ (ต้นสาละในภาพนี้ เป็นต้นสาละในวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ ที่เพิ่งแรกแย้มผลิบานเป็นปีแรกในปี 2550 เจ้าคุณพระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาสได้นำมาปลุกไว้พร้อมกันจำนวน 5 ต้น)
การปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ
ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมเป็นปกติทุก ๆ วันธรรมสวนะ เริ่มเวลา 17.00 น.ตรง ปฏิบัติตลอดปี ไม่มีการหยุด ณ วิหารหลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ อันเป็นสำนักปฏิบัติธรรมแห่งที่ 1 สังกัดมหาเถรสมาคม จังหวัดคณะสงฆ์ศรีสะเกษ โดยมีพระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาส รองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานผู้อำนวยการ และพระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร ผช.จร. เป็นพระอาจารย์วิปัสสนาจารย์ให้การอบรม
ทำสมาธิอธิษฐาน
วันอัฏฐมีบูชา ๑๖ พ.ค.๒๕๕๒ วันเสาร์แรม ๘ ค่ำเดือน ๖
ณ วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
ประชาธิปไตย ที่ไปที่มาหลักการและเหตุผล (บทศึกษาพิเศษ)
การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญทั่วไป)
วันที่ 22-23 เมษายน 2552
เรื่องที่น่าเป็นห่วง
1. เรื่องประชาธิปไตยไทย
2. เรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน
2 เรื่องนี้เราจะกลบเกลื่อนให้คนไทยลืมไปเลยได้หรือไม่ ?
นับตั้งแต่จะกลบเกลื่อนเรื่องการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโดยคณะทหารวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งเหตุผลในการปฏิวัตินั้นอย่างน้อยก็มีข้อหนึ่งซึ่งได้พิศูจน์แล้วว่าเหตุผลนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ไม่เป็นความจริงแต่รัฐบาลนี้ก็พยายามยืนยันอยู่ในขณะนี้โดยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มท. ที่ได้สร้างขบวนการเสื้อสีน้ำเงินขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเหตุผลที่แถลงในรัฐสภาวันที่ 22 เม.ย.2552 ว่า เพื่อดูแลสถาบันเบื้องสูง (ซึ่งยังคงใช้เหตุผลเดียวกับเหตุผลการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 และวันนี้ก็ยังมีสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ์ใช้เป็นข้อกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรอยู่ อย่างไม่เป็นธรรม)
เรื่องนี้จะให้คนลืมไปได้อย่างไร ในเมื่อความจริงการยึดอำนาจของทหาร 19 ก.ย.2549 นั้นก็คือเป็นการปล้นประชาธิปไตยของประชาชน ถ้ารัฐบาลนี้พยายามกลบเกลื่อนหรือต่อต้านประชาชน ที่ต้องการทวงประชาธิปไตยกลับมา ซึ่งพวกเขาแสดงความต้องการอันแน่วแน่ในระบอบประชาธิปไตย โดยความหมายของประชาธิปไตยที่แท้จริง (ประชาธิปไตยที่ไม่อยู่ในตำราและคำสอนของนักวิชาการ แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในความเข้าใจและสายเลือดที่รักเสรีของมวลชนทั่วประเทศ ในฐานะมนุษย์ผู้ย่อมมีความเป็นมนุษย์ผู้รักหวงแหนในเสรีภาพ) ก็ยิ่งเหมือนยุ และหากคิดเอาวิธีการหรืออำนาจทหารเผด็จการมาจัดการแล้ว นั่นหมายถึงการค่อย ๆ ทำลายสังคมไทยไปทีละน้อย ๆ ทีละขั้นตอน จริงอยู่รัฐบาลและทหารอาจจะควบคุมประชาชนได้เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่นการพยายามจะกลบเกลื่อนให้ลืมเสีย ดังขณะนี้เป็นต้น ก็จะไม่สามารถทำได้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลหากผิดพลาดไปแล้วไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาวิถีทางเผด็จการมาแก้ไขปัญหาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้น กลับจะสร้างความแตกแยก ไปกว่าเดิมอีกโดยรัฐบาลนั้นเองเป็นตัวต้นเหตุของความแตกแยก
ประการที่ 2 เรื่องความยุติธรรมตามหลักกฎหมาย และความเป็นธรรมในแผ่นดิน การใช้มาตรฐาน 2 มาตรฐานในเรื่องเดียวกันเป็นความอยุติธรรมและไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน เช่นความผิดของทหาร ที่ไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (ซึ่งในวินัยทหารเองย่อมร้ายแรงมาก) ในคราวประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ตามกฎหมายฉบับเดียวกัน ทำไมทหารจึงไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่สั่งการตามกฎหมายในยุครัฐบาลสมัคร และในยุครัฐบาลสมชาย แต่มาฟังคำสั่งของรัฐบาลนี้(ซึ่งบัดนี้ สิ่งที่เป็นความลับก็ได้ถูกเปิดเผยไปจนกระจ่างแจ้งแล้ว) และบัดนี้รัฐบาลนี้จะกลบเกลื่อนให้คนลืมไปเสีย นั่นแหละความไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน ซึ่งในฐานะของประชาชน คนในระบอบประชาธิปไตย จะต้องเข้าใจตรงกันว่า ความเป็นธรรมในแผ่นดินมีความหมายขนาดไหน
มันมีความหมายสำคัญมาก ทีเดียว ที่กิจกรรมสังคมทุกชนิดจะต้องถูกบัญญัติไว้ว่าอะไร ๆ ก็ต้องให้เป็นธรรมไปทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ทำไมคนขโมยมะม่วงที่กิ่งมันยื่นข้ามรั้วบ้านออกมาสู่ถนนใหญ่ สอยเอาไปเพียงลูกเดียวศาลตัดสินให้จำคุก 1 ปี เป็นต้น(ท่านเข้าใจในประเด็นความเป็นธรรมหรือไม่?)
แล้วประเทศไทยยุคหลัง 19 ก.ย.2549 มีเรื่องราวของความเป็นธรรม(ที่หมายถึงความยุติธรรมตามกฎหมายและความเป็นธรรมตามหลักศาสนธรรมด้วย) มากมายเหลือเกินที่ยังไม่มีการชำระสะสาง การที่ยังไม่มีการชำระสะสางนี่แหละเป็นต้นเหตุของความบาดหมางน้ำใจกัน (ตัวอย่างเช่น ท่านปลูกมะม่วง แล้วท่านโดนคนขโมยมะม่วงไปลูกหนึ่ง ในใจท่าน แม้เพียงมะม่วงลูกหนึ่งราคาเพียง 10 บาท ก็เริ่มเรียกหาความยุติธรรมแล้ว ใจท่านจะเรียกหาอยู่เช่นนั้น จนกว่าผู้มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมของสังคมชำระให้เสร็จสิ้นไปโดยกติกดาที่เป็นธรรมของสังคม)
สรุปแล้ว มีประเด็นสำคัญ ๆ 2 ประเด็นใหญ่ ๆ คือประเด็น. เรื่องประชาธิปไตยไทย
กับเรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน ที่ใครผู้ใดจะดำเนินการกลบเกลื่อนเสียนั้น ย่อมไม่สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจะกลบเกลื่อนให้ประชาชนลืมเหตุการณ์ 12-14 เม.ย.ที่ทหารยกกองทัพออกมาปราบปรามประชาชน (ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความละเมิด ดูหมิ่นแคลน ประชาชนผู้ออกมาทวงประชาธิปไตยของเขาอย่างไร้อาวุธ ทหารทำต่อประชาชนเจ้าของแผ่นดินเจ้าของอำนาจ อย่างกับไล่ต้อนหมู หมา กา ไก่ แมวและหนู ที่วิ่งหลบความตาย พวกทหารโห่ไล่ ตีกระทุ้ง คำรามเสียงใส่อย่างกับไม่ใช่คน นี่เป็นการดูหมิ่นแคลนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผิดหลักการปฏิบัติจิตวิทยาการรบด้วยซ้ำ)
และในที่นี้ เราขอร้องว่า อย่าคิดนำวิธีการอย่างพม่ามาใช้เลย นั่นจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายประเทศไทยไปอย่างยาวนาน ประเทศไทยจะค่อย ๆ จมดิ่งลงไปช้า ๆ นั่นคือ จะค่อยยากจนลงไปทั้งประเทศ และจะมีชาวไทยที่หลบหนีออกนอกประเทศ ไปขึ้นรถขนส่งสัตว์ หรือรถตู้เย็น ขาดอากาศหายใจตายหมู่แบบชาวพม่านับร้อยศพในไทยเร็ว ๆ นี้ (ยุคหลังปฏิวัติ 19 ก.ย.2549) หรือเป็นชาวโรฮินยาที่อพยพหนีความอดอยากจากแผ่นดินกำเนิดไปเคว้งคว้างกลางทะเลเพราะไม่มีแผ่นดินใดต้อนรับจนอดอาหารตายนับห้าร้อยศพ(ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ)
ซึ่งจะเป็นไปตามลำดับแบบเดียวกับพม่า จนกระทั่งในระยะหลังที่สุดของพม่า แม้หมูสงฆ์พม่าก็ทนดูความอยุติธรรมในแผ่นดินไม่ได้ ก็ได้เข้าร่วมขบวนการประชาชนอย่างเปิดเผย ในการเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และทหารพม่าได้ปราบปรามอย่างรุนแรง ตามเหตุการณ์ 10 ต.ค. 2550 ที่เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าพระสงฆ์มรณภาพไปนับร้อยรูป (ภายหลังรัฐบาลพม่าแถลงว่าพระมรณะไป 6 รูป) โดยที่ทางเราเอง(หนังบสือพิมพ์ดี/เวบไซต์นี้)ก็ได้เคยออกแถลงการณ์ไปถึง 3 ครั้ง เตือนรัฐบาลพม่าว่าอย่าได้ทำอันตรายต่อประชาชนและพระภิกษุสงฆ์เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นมหันตบาป(heavy sin) แต่ให้ใช้วิธีการประชาธิปไตย(เราหมายความว่าให้ฟังเสียงประชาชน ฟังว่าประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น อย่าลืมหลักประชาธิปไตยที่ว่า เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์) แต่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าหาฟังเสียงใดใดไม่ พม่าก็ค่อยจมลงสู่ความหายนะ ในเวลาต่อมายังมีภัยธรรมชาติ คือ พายุไซโคลนนากิสถล่มพม่าในปลายเดือนเมษายน 2551(ก่อนปักกิ่งโอลิมปิก 2008 หน่อย) คนตายถึง 138,000 คน (โปรดเปรียบเทียบกับสินามิ ภัยพิบัติของกลุ่มประเทศแถบทะเลอันดามัน รวมทั้งไทยเราด้วย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ซึ่งรวมแล้วมีประชาชนเสียชีวิตทั้งสิ้นประมาณ 156,063 คน พอ ๆ กับไซโคลนนากิสในพม่าประเทศเดียว แต่เราจะเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลทหารพม่าเหมือนชีวิตคนไม่มีความหมายโดยพยายามปฏิเสธไม่ยอมให้อเมริกาและยุโรปเข้าไปช่วยเหลือประชาชน เกรงความลับรั่วไหล นั่นคือเผด็จการทหารที่ชั่วร้ายจริง ๆ) แล้วรัฐบาลทหารพม่าก็ยังคงดำเนินการควบคุมประชาชน ผู้รักประชาธิปไตย(เพราะมีความคิดเสรี)ด้วยวิธีการเผด็จการทหารต่อมา (พม่าได้กำลังใจจากจีน ที่ทำเป็นมิตรคอยป้องกันพม่าจากการโจมตีของอเมริกาและประเทศตะวันตก แต่ที่จริงจีนนั่นแหละที่ยังคงล้าหลังไปสุด ๆ อีกประเทศหนึ่งทางระบอบประชาธิปไตย และในวันข้างหน้าประชาชนจีน ก็จะลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งมโหฬารเช่นเดียวกับชาวพม่า ขณะนี้จีนก็ยังพยายามปิดปากปิดหูปิดตาชาวธิเบตโดยการนำขององค์ดาไลลามะนอกประเทศ)
เราไม่อยากให้รัฐบาลทหารไทยคิดอย่างเดียวกับรัฐบาลทหารพม่า ที่พยายามปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยวิธีการของเผด็จการ เพราะวิธีนั้นจะส่งผลคือ(1) รัฐบาลจะไม่มีทางชนะเลย และตราบใดที่เป็นอยู่เช่นนี้รัฐบาลก็จะบริหารงานไปอย่างได้รับการดูแคลนจากประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก และมีทางเดียวก็คือการไปคบกับประเทศจีน ซึ่งยังไม่มีสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่แท้จริงอยู่เลย นั่นก็จะยิ่งขาดอนาคตไปอีก เพราะโลกเดินไปข้างหน้า สู่ประชาธิปไตย (และแท้จริงประชาธิปไตยนั้นคือสัจธรรมในพระพุทธศาสนาในองค์รวมทั้งสิ้นที่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นสากล) และ(2) ประเทศและประชาชนจะค่อย ๆ ยากจนลงไปตามลำดับ การเรียกร้องให้อดออมตามหลักคำสอนโบราณของศาสนาจะเป็นวิธีการที่ล้าหลังในยุคใหม่ เพราะการเศรษฐกิจแบบนี้ไม่สามารถจะต่อสู้กับวิธีการเศรษฐกิจแบบนายทุนเสรียุคใหม่ได้ (หมายความว่าถ้าเราดำเนินเศรษฐกิจแบบอดออม เราจะทำได้อย่างเดียวคือปิดประเทศ อยู่เพียงเราคนเดียวเท่านั้น เหมือน ๆ กับภูฏาน นั่นเอง แต่การปิดประเทศนั้นทำได้หรือ? เราได้เรียนมาแต่สมัยญี่ปุ่นแล้ว และญี่ปุ่นเจริญได้อย่างไร เราต้องมองดู)
เรื่องที่ควรมองในพม่าขณะนี้ก็คือ การปราบปรามโดยวิธีเผด็จการ ไม่สนองตอบความต้องการของประชาชน ที่ออกมาแสดงมติของเขานั้น ไม่สามารถควบคุมประชาชนได้ด้วยอำนาจปืน ท่านทราบหรือไม่ว่าในปี 2550 เดือน กันยายน ก่อนการปราบปรามอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคมนั้น มีประชาชนและพระสงฆ์พม่าออกมาที่เจดีย์ชะเวดากอง จำนวนร่วมถึง 100,000 คน ในครั้งนั้นหมู่สงฆ์ทำหน้าที่ผู้นำการชุมนุมโดยเปิดเผย มีจำนวนถึง 30,000 รูป แล้วมีประชาชน 70,000 คน แวดล้อมเป็นโซ่มนุษย์ (สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
วัน อังคาร ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550, 19:32 น.)
ซึ่งเราวิเคราะห์ว่า ทหารพม่ากำลังคิดอย่างจีน โดยการปราบปรามอย่างรุนแรงเพื่อให้เข็ดหลาบ และลืมเสีย ดังเช่นกรณีเทียนอันเหมิน ในยุคที่คลินตันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อประมาณ15 ปีก่อน และเหมือนกรณีธิเบต ปัจจุบัน นั่นเอง
เราขอบอกว่าทำเช่นนั้นประเทศพม่ายิ่งจะทรุดลงไปอีก และไม่มีวันที่จะเอาชนะประชาชนพม่าที่ใฝ่ประชาธิปไตย ที่แท้จริง (ประชาธิปไตยที่ไม่อยู่ในตำราและคำสอนของนักวิชาการ แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในมวลชนทั่วประเทศ ในฐานะมนุษย์ผู้ย่อมมีเสรีภาพ) ได้เลย เพราะประชาธิปไตยเหมือนทะเลใหญ่ ประชาชนเหมือนเม็ดฝนและสายน้ำ ย่อมเป็นปกติที่จะบ่ายหน้าไหลลงสู่ทะเล ไม่มีอำนาจใดจะปิดกั้นได้ สำหรับวิธีแก้ไขก็คือใช้วิธีทางของประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ฟังว่าประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น
สำหรับประเทศไทย การที่รัฐบาลปัจจุบันจะนำความคิดอย่างพม่ามาใช้นั้น ย่อมเป็นอันตราย และย่อมเป็นไปอย่างพม่า เพราะท่านไม่สามารถจะเอาปากกระบอกปืนปิดหูปิดตาประชาชน บังคับประชาชนยุคเสรีได้
การชุมนุมของประชาชนเสื้อแดง มีการพัฒนาการ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนการชุมนุมครั้งสุดท้ายนี้ พลเสื้อแดงก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีความสุจริตจริงใจต่อประชาธิปไตย โดยการเรียกร้องอย่างสงบปราศจากอาวุธ มาหลายครั้งที่พิศูจน์ความจริงใจ ครั้งหลังสุด คือคราวที่มีการปราบปรามโดยกองทหารเต็มอัตราศึกครั้งนี้ มีประมาณถึง 6 แสนคนที่มาชุมนุมในกรุงเทพ และถ้านับพวกที่ชุมนุมทั่วทั้งประเทศในทุกจังหวัด 76 จังหวัดของประเทศไทย จำนวนเป็นหลายล้านคน
ถ้าเราเข้าใจตรงกัน ทั้งทางนักวิชาการที่ถือตำรา (นักวิชาการไทยสายสังคมศาสตร์ไม่เคยมีการตัดสินใจบนข้อมูลที่เป็นผลมาจากการศึกษาเชิงวิจัยประชาชนอย่างลึกซึ้งเลย การตัดสินปัญหาแต่ละครั้ง จึงเพียงเปิดตำรารัฐศาสตร์ออกมา และว่าไปตามตำรานั้น นี่คือแทบไม่รู้เลยว่าประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ที่แท้จริงเป็นอย่างไร) ทางพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล และทั้งทางทหาร เราก็จะตัดสินใจได้ว่าทางออกก็คือ วิถีทางประชาธิปไตย
ประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น
- ธรรมาชีพธรรมาชน
23 เม.ย.2552
ดอกสาละอีกดอกหนึ่ง
ลำดวน
ดอกลำดวนบานในวัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
วันวิสาขบูชาโลก ขอให้ประชาชนทำจิตใจให้เบิกบานและเนิ่นนานเหมือนดอกลำดวนที่บานนาน ดอกนี้