เรื่อง สังคมไทยกับธัมมวิจัย
คำว่า ธัมมวิจัย เป็นคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา มาจากคำภาษาบาลี ว่า ธัมมวิจยะ แปลว่า การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม การวิจัยธรรม เป็นตัวปัญญาที่ทำให้เกิดความรอบรู้ตามที่เป็นจริง
ธัมมวิจัยจึงเป็นหลักความเชื่อที่เป็นสัจธรรม เพราะเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ที่เข้าถึงความจริง เกี่ยวกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ การศึกษาเปรียบเทียบเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ผลของเหตุการณ์นั้นๆอย่างรอบคอบทุกแง่ทุกมุม แล้วนำมาสร้างเป็นทฤษฎีหรือองค์ความรู้เพื่อใช้พิจารณาตัดสินใจ ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ ความเชื่อใดๆ หรือการการกระทำใดๆที่ใช้หลักธัมมวิจัยเป็นพื้นฐานจึงเป็นวิชชา ที่ขจัดเสียซึ่งความมืดจากอวิชชาให้หมดสิ้นไป ย่อมก่อให้เกิดคุณทั้งต่อตนเอง สังคมและประเทศชาติและโลกได้
สังคมไทยมีสื่อส่วนใหญ่ที่ขาดธัมมวิจัยแต่เป็นธัมมวิจารณ์
คำว่า ธัมมวิจารณ์ ไม่มีบัญญัติในพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่เป็นการสร้างคำใหม่โดยนำคำ 2 คำ คือ ธรรม+วิจารณ์
คำว่า ธรรม เป็นคำบาลี แปลว่า คุณความดี ความจริง
คำว่า วิจารณ์ มาจากคำบาลีว่า วิจาน, วิจาระนะ, วิจาน หมายถึง ให้คําตัดสินสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม โดยผู้มีความรู้ควรเชื่อถือได้ ว่ามีค่าความงาม ดีอย่างไร หรือมีข้อขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง
คำว่า ธัมมวิจารณ์ หมายถึงการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อหรือการตัดสินใจ มีลักษณะที่มองความจริงอย่างผิวเผินไม่มองอย่างรอบคอบทุกแง่ทุกมุม หรืออาจเป็นข่าวเล่าลือต่อกันมาจากคนหมู่มาก หรือความรู้ หรือทัศนคติที่ตนมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเป็นเครื่องตัดสินว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก เมื่อผู้บริโภคข่าวสารได้ยิน ได้ฟังการนำเสนอเช่นนี้ซ้ำๆบ่อยๆ แล้วก็ปักใจเชื่อ
สังคมไทยมักได้รับข่าวสารจากสื่อต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จากผู้ประกาศข่าว ภาพข่าวนักวิชาการ ละครโทรทัศน์ อินเตอร์เนต วิทยุชุมชน หรือข้อความ sms จากผู้ชมทางบ้าน ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อผู้รับรู้ข่าวสารเป็นอย่างมากโดยเฉพาะต่อค่านิยมของคนไทย เพราะระบบการศึกษาไทยในอดีตได้ปลูกฝังให้นักเรียนเชื่อฟังครูหรือนักวิชาการเป็นหลัก วางใจในความรู้และสติปัญญาของครู มากกว่าการที่จะไปแสวงหาความรู้ความจริงจากประสบการณ์ของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ส่งเสริมให้คนไทยมีแนวความคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะไม่เชื่อใคร หรือทฤษฎีใดง่ายๆจนกว่าจะได้พิสูจน์ให้เห็นจริงซ้ำๆหลายๆครั้ง จนแน่ใจว่าความรู้หรือความเชื่อนั้นไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจแจ่มชัด ว่าการนำเสนอข้อมูลแบบซ้ำๆซากๆเพียงด้านเดียว มีอิทธิพลต่อค่านิยมและปฏิกริยาตอบสนองของคนบางกลุ่มในสังคม ดังตัวอย่าง การนำเสนอของสื่อจากรายการทางทีวี ที่มีข้อมูลเป็นลักษณะเป็นธัมมวิจารณ์ 2 ประเด็น คือ
1. นักข่าวหลายคนมีการตั้งประเด็นสนทนาหรือคำพูดยั่วยุในเชิงแบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือแสดงอาการสะใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเพลี่ยงพล้ำ เช่น การตั้งประเด็นว่าคนชนบทเลือกรัฐบาล คนกรุงเทพล้มรัฐบาล คำถามเช่นนี้ไม่สร้างสรรค์ ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค และยังก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชน ยั่วยุให้หมู่ชนเมืองให้ไม่เคารพการตัดสินใจของคนชนบท และเมื่อบริโภคข้อมูลเช่นนี้บ่อยๆซ้ำๆซากๆ จะเป็นการทำให้คนบางกลุ่มคล้อยตามค่านิยมเช่นนี้ได้ ดังวิกฤตที่เห็นความแตกแยกเป็นกลุ่มสีต่างๆในปัจจุบัน
2. วันที่ 30 เมษายน 2552 เวลา 21.00 น. รายการทีวีรายการหนึ่ง จากสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส หรือทีวีสาธารณะ พูดเรื่องเพศศึกษากับการก้าวย่างอย่างเข้าใจวัยรุ่น มีการนำเสนอในลักษณะว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่เป็นคนหัวโบราณ ไม่เข้าใจวัยรุ่น วัยรุ่นอยากรู้เรื่องเพศ อยากรู้จักศัพท์แปลกๆ อยากมีเพศตรงข้ามมาสนใจ อยากมีเพศสัมพันธ์ และไม่รู้วิธีป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พ่อแม่หัวโบราณจิตใจคับแคบไปเห็นลูกชายสนใจเรื่องเพศแล้วทำโทษ หลักสูตรเพศศึกษาจึงต้องสนองตอบความต้องการของเด็ก และยังมีคำตอบว่า ดีนะที่มีหลักสูตรเพศศึกษา เด็กจะได้รู้เท่าทันเรื่องเพศ
รายการนี้นำเสนอข้อมูลในเชิงธัมมวิจารณ์ คือนำความรู้สึกนึกคิดขององค์กรใดองค์กรหนึ่งมานำเสนอ เป็นการวิจัยที่มองปัญหาด้านเดียว มิได้มองให้รอบคอบทุกด้าน คือมองแต่ปัญหาทางโลก จึงได้ชี้ให้เห็นคุณของเรื่องเพศ และพยายามพูดซ้ำๆซากๆว่า เด็กตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควร เด็กติดเชื้อเอชไอวี เพราะไม่รู้เท่าทันเรื่องเพศ แต่ไม่ได้มองปัญหาทางธรรม คือเมื่อเด็กมีเพศสัมพันธ์แล้วมีผลอะไรตามมาบ้าง ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
ดังนั้นการมองปัญหาเพียงด้านจนเดียว จึงเป็นเหตุให้องค์กรเหล่านี้พยายามเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษา และโน้มน้าวให้กระทรวงศึกษาธิการเห็นความจำเป็นที่ต้องบรรจุวิชาเพศศึกษาแบบฝรั่ง ให้แก่นักเรียน นักศึกษาทุกระดับชั้น
สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งก็คือ ในฐานะที่เป็นครู ได้สัมผัสกับปัญหาโดยตรง ได้มองเห็นอันตรายอันล้ำลึกที่ซ่อนอยู่จากการที่เด็กเยาวชนมีค่านิยมการมีเพศสัมพันธ์ ก็คือเด็กจะหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องรักๆใคร่ๆ จนไม่มีสมาธิที่จะเรียนรู้วิชาการใดๆ ไม่รับผิดชอบกิจกรรมที่ครูมอบหมาย มีความวิตกกังวล ซึมเศร้า เคร่งเครียด บางคนถึงกับคิดสั้นฆ่าตัวตายเมื่อผิดหวัง ไม่มีวินัยในการทำงาน เรียนไม่จบ โดยเฉพาะนักศึกษาอาชีวะที่เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ มักอยู่ตามหอพัก ห่างไกลจากผู้ปกครองจะมีพฤติกรรมในทางชู้สาวมากกว่าระดับพื้นฐาน แต่ละปีจะมีนักศึกษาลาออกกลางคันปีละ 35-40 % เนื่องจากไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เป็นการสูญเปล่าทางการศึกษา และเป็นภาระของพ่อแม่และสังคม และเมื่อเป็นผู้ใหญ่จะมีแนวโน้มที่จะสับสนจนแยกไม่ออก ระหว่างความสัมพันธ์ทางเพศและความสัมพันธ์กับคนครอบครัว จนยากที่จะดำเนินชีวิตครอบครัวได้อย่างเป็นปกติสุข
สังคมไทยมีค่านิยมที่ถูกต้องในการสอนเรื่องเพศมาช้านาน เพราะได้นำหลักธัมมวิจัยซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนามาเป็นบรรทัดฐานในการอบรมเยาวชน มิให้ชิงสุกก่อนห้ามเพราะจะเกิดทุกข์เกิดโทษในภายหลัง ดังนั้นถ้าสื่อจะนำเสนออะไร ก็ควรมองปัญหาให้รอบคอบรอบด้าน มิฉะนั้นอาจได้ไม่คุ้มเสีย
บทความเรื่องนี้ ผู้เขียนในฐานะผู้บริโภคสื่อ และมีฐานะเป็นผู้ปกครอง เป็นครู อยากจะสะท้อนให้สื่อและผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาได้รู้เท่าทัน และสร้างสรรค์รายการที่ให้ความรู้ ความจริงที่มีประโยชน์ แก่ผู้บริโภค และที่สำคัญข้อมูลนั้นควรเป็นธัมมวิจัย ซึ่งจะสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมอุดมปัญญา มีใจเป็นกลางสามารถยอมรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มคน ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างได้ โดยไม่รู้สึกแตกแยก ซึ่งจะเป็นคุณโดยฝ่ายเดียว ไม่มีโทษ สมดังเป็นเมืองพุทธ เมืองแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
กระจกเงา
1 พฤษภาคม 2552