เมื่อเวลา 11.20 น. วันนี้ (23 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ล่าสุดโฟนอินเข้ามาโจมตีสถาบันองคมนตรี และองค์กรศาล ว่า ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียดเห็นแต่หัวข่าว เมื่อถามว่าการโฟนอินมีการระดมพลให้มาชุมนุมในวันที่ 26 มี.ค. คิดว่าจะทำให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เขาได้มีการนัดหมายกันมานานแล้วว่าจะมีการชุมนุม และ ถือว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดูแล ทั้งนี้ การชุมนุมลักษณะดังกล่าวมีมาแล้วหลายครั้ง และอยู่ในกรอบของกฎหมาย ดังนั้น ก็ขอให้เป็นไปในแนวทางเดิม ส่วนในการชุมนุมอาจจะคาบเกี่ยวไปถึงการจัดงานกาชาดนั้น หากการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของความสงบก็ไม่เป็นปัญหาอะไรและตนตั้งใจที่จะมาทำงานตามปกติทุกอย่าง
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะดูแลอย่างไรไม่ให้มีการกล่าวหาพาดพิงไปถึงสถาบัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกอะไรที่ผิดกฎหมายรัฐบาลก็จะดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องต่างๆ ที่มีเหตุมีผลอย่างเช่น กรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องคดีก็สั่งการให้เร่งรัด และมีการรายงานตลอด และอธิบายได้ว่าแต่ละคดีขั้นตอนอยู่ที่ไหนอย่างไร เขาร้องเรื่องประชาธิปไตยตนก็เดินหน้าเข้าหาฝ่ายค้านเพื่อที่จะมาปฏิรูปการเมืองร่วมกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ว่าการกล่าวพาดพิงโจมตีของอดีตนายกฯ จะเลยไปถึงสถาบันอื่นอีก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็มีการพาดพิง ซึ่งตนบอกไปแล้วว่าขอให้เรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องระหว่างฝ่ายการเมืองอย่าเอาสถาบันอื่นๆ โดยเฉพาะสถาบันที่ประชาชนเทิดทูนเคาพนับถือ หรือเป็นสถาบันที่มีความสำคัญในการดำรงความเป็นกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่ข้อเรียกร้องให้ผมออกจากตำแหน่งก็ใช้กระบวนการของสภา ฝ่ายค้านก็อภิปรายไม่ไว้วางใจ ล่าสุดสภาก็ให้ความไว้วางใจผม ผมเคารพระบบผมก็เดินหน้าททำงานต่อ สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯให้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้นผมก็ได้ส่งเรื่องไปให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ซึ่งคงได้พิจารณาแล้วแต่ไม่ทราบว่าล่าสุดเป็นอย่างไร และจะเห็นชัดเจนว่าผมไม่ทะเลาะกับใครเลย ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลในอดีตที่เข้าไปสร้างความขัดแยย้งต่างๆด้วยแต่ผมไม่ทำ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินการรุกหนักของอดีตนายกรัฐ มนตรีอย่างไร นายอภิสิทิ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดในเรื่องนี้ ตนให้ความสนใจกับงานที่ทำมากกว่า เมื่อถามว่ามีเหตุผลอะไรที่นายกฯ ไม่ยอมแสดงความเห็นถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เพราะตนมีหน้าที่แก้ไขปัญหาให้กับประเทศ ส่วนปัญหาของคน 1 คนก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า แต่คนเพียงคนเดียวปลุกระดมคนจำนวนมากรัฐบาลจะไม่มีท่าทีในเรื่องนี้หรืออย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากมีอะไรที่เป็นเรื่องผิดกฎหมายก็ดำเนินการ เมื่อถามว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างไร ในเมื่อยังมีความแตกแยกของคนในประเทศอยู่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราก็พยายามไม่ไปอยู่ในวังวนของความแตกแยก ตนจึงไม่ไปต่อปากต่อคำหรือต่อล้อต่อเถียง แต่จะทำงาน ส่วนข้อสังสัยและข้อทักท้วงต่างๆ ก็พยายามตอบ ใครติดใจหรือค้างคาใจเรื่องอะไรก็ยินดีที่จะตอบ
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ามั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาบนความแตกแยกของประชาชนได้เช่นนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องดูว่าความแยกอยู่ในวงขนาดไหนและเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาการทำนโยบายและการปฏิบัติก็เดินหน้าไปได้กับคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหา แต่คนอีกส่วนหนึ่งที่ยังมีความข้องใจเราก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เขากังวลในเรื่องต่างๆ มันไม่เป็นจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรียังมั่นใจที่จะหลอมรวมระหว่างคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงได้อย่างนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เพราะตนเชื่อว่าในที่สุดคนไทยทุกคนจะยึดถือประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก แต่ขณะนี้อาจจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่าบ้านเมืองเดินผิดทิศผิดทาง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ สำหรับหลายๆ สังคม แต่ถ้าจะลุกลามไปจนถึงขั้นทำอะไรที่ผิดกฎหมายเราก็บอกว่าทำไม่ได้ แต่อะไรที่เป็นข้อห่วงใยหรือเรื่องประชาธิปไตยเราก็พยายามตอบสนอง และจะทำต่อไป
อย่างไรก็ตามความแตกแยกระหว่างคนเสื้อเหลือและคนเสื้อแดงนั้นดำรงมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ในช่วงปีที่ผ่านมามีความรุนแรงมากถึงขั้นปะทะกันและการกระทำที่ผิดกฎหมาย วันนี้เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอีก แต่เราเคารพในสิทธิเสรีภาพของทุกสี ไม่ส่าจะสีไหนก็ตามที่อยากแสดงความคิดเห็นก็สามารถทำได้ แต่อย่าทำผิดกฎหมาย หากผิดกฎหมายก็ต้องมีการดำเนินการ ตรงนี้เป็นการวางมาตรฐานในเรื่องการบริหารงานในสังคมประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรี กล่าว
ต่อข้อถามว่าประเมินความเคลื่อนไหวของ อดีตนายกรัฐมนตรีอย่างไร เพราะล่าสุดดูจะร้อนแรงมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนดูจากสถานการณ์ทั่วไป และการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่เรายังทำงานได้ และหลายฝ่ายก็มองว่าเสถียรภาพของบ้านเมืองไม่ได้มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่าจะสามารถรับมือความเคลื่อน ไหวต่าง ๆโดยเฉพาะแผนตากสินที่มีการพูดถึงได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มั่นใจว่ารับมือได้ เพราะผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศเดินหน้า เมื่อถามว่าเคยเห็นแผนตากสินด้วยตัวเองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเคยเห็นเอกสาร แต่ไม่ทราบว่าจะมีใครยืนยันหรือไม่อย่างไร เพียงแต่มั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าและใครที่พยายามฉุดรั้งบ้านเมืองจะไม่ได้รับการสนับสนุน
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีเห็นแผนดังกล่าวแล้วใครเป็นคนส่งมาใหม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า มีคนส่งมาให้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ส่วนเนื้อความในเอกสารเป็นอย่างไรมีจำนวนเท่าไหร่นั้น ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด อย่าไปขยายความเลยดีกว่า เพราะไม่มีใครยอมรับหรอกว่าใครเป็นคนทำอะไรขึ้นมา เมื่อมีคนมาถามก็บอกว่าเคยเห็นเคยได้รับก็จบเท่านั้นอย่าไปรู้รายละเอียดเลย ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลออกมาพูดเรื่องแผนตากสินเอง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนบอกแล้วว่าเคยเห็นแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครมายืนยันได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ เมื่อถามว่าขณะที่นายกฯกำลังแก้ไขปัญหาแต่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนไหวชุมนุมรัฐบาลจะชี้แจงความจริงต่อสาธารณะอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้ใช้เวทีต่างๆ อธิบายสิ่งที่เป็นความเป็นจริงและจุดยืนของรัฐบาล รวมถึงในช่วงการอภิปรายไม่ไว่วางใจตนก็ได้ใช้โอกาสนั้นในการชี้แจงด้วย ซึ่งเราต้องเชื่อในวิจารณญานของคนส่วนใหญ่ และต้องเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้บ้านเมืองมีการพัฒนาก้าว หน้าไปข้างหน้า
ต่อข้อถามว่า รัฐบาลจะทำงานอย่างไรในเมื่อการเมืองยังไม่นิ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเมืองในระบอบประชาธิไตยมันไม่มีนิ่ง แต่ต้องอยู่ในขอบเขตและขณะนี้จำกัดให้อยู่ในขอบเขตได้ คือไม่ให้ลุกลามเป็นปัญหาในทางที่ผิดกฎหมายและรุนแรง ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ท่าทีของรัฐบาลดูจะไม่มีความเด็ดขาดในการจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความเด็ดขาดไม่ได้มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องความผิดในคดีอาญา การสืบสวนสอบสวนหรือส่งฟ้องจะต้องไม่มีข้อสงสัยใดๆ หากเร่งให้จบสุดท้ายก็อาจจะยกฟ้องเหมือนในหลายๆคดีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันหากความเด็ดขาดถูกตีความว่าเป็นการกลั่นแกล้งก็จะยิ่งจะเป็นการไปเติมเชื้อแลนำไปสู่ความขัดแย้งอีก ดังนั้นทุกออย่างต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง ตนเองก็ไม่อยากให้ล่าช้า อะไรที่เร่งรัดได้และอยู่ในความสนใจของประชาชนก็ให้รีบดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองหรือไม่ว่าขณะนี้เขาสู้เต็มที่แล้วและจะสร้างความรุนแรงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่เขาแต่เราก็มีหน้าที่ดูแลว่าไม่ให้เกิดความรุนแรง เมื่อถามว่า เขา ที่ว่าคือใคร นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า เขาก็เป็นคนเดียวกับในคำถาม เมื่อถามว่า ในทางการข่าวมีการรายงานหรือไม่ว่าจะมีกระบวนการก่อให้เกิดความรุนแรง นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ที่ผ่านมาการชุมนุมส่วนใหญ่คนที่มาชุมนุมก็ไม่ได้สร้างความรุนแรง ส่วนกรณีที่มีการทำผิดกฎหมายก็มีการจับกุม ก็หวังว่าจะเป็นสัญญานที่ชัดว่าถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่เราต้องเข้าใจว่าแม้คนส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจแต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยังมีความต้องการที่จะแสดงออกและเรียกร้อง ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยใครต้องการแสดงออกก็เปิดโอกาสให้ทำได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย
ต่อข้อถามว่า แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ยุติบทบาท การชุมนุมในลักษณะดังกล่าวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรี ตอบว่า ถ้าเข้าเคลื่อนไหวภายใต้กรอบของกฎหมายก็เป็นสิทธิของเขา รัฐบาลก็ไม่สามารถไปสะกัดกั้นหรือปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพได้ แต่เราก็พยายามลดเงื่อนไขการมาชุมนุมม แต่บางเรื่องก็ยอมรับว่าจะให้เห็นตรงกันไม่ได้ เช่น เขาอยากไล่ตนออกจากตำแหน่งความเห็นย่อมไม่ตรงกันแน่นอน ยืนยันว่าตนยังสามารถทำงานต่อไปได้และจะทำต่อไป เพราะตนถือคติที่ว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดัง และถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าจะผูกโยงกับการอภิปรายในสภาของนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยในเรื่องหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นอกสภา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บังเอิญว่าผมไม่ได้ฟังการพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เลยไม่ทราบ พรรคผมเลือกหัวหน้าพรรคตัวจริงครับ ไม่มีนอมินี และไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรจึงมีการเปิดประเด็นในเรื่องนี้เมื่อถามว่า ในส่วนงานของกระทรวงการต่างประเทศอย่างไรก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรือ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า ถ้าเป็นเรื่องการปรับปรุงก็ต้องปรับ สำหรับเรื่องงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ประเทศจำนวน 400 ล้านบาท นั้นไม่ได้ใช้โดยกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเพียงศูนย์กลางในการบูรณาการ และที่ผ่านมาการใช้งบประมาณในลักษณะการประชาสัมพันธ์ร่วมก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสารแห่งชาตินัดแรก ว่า ที่ประชุมอนุมัติหลักการร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552-2556 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอมา แต่มีการตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประการ จึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องไปรับปรุงแผนก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป โดยหลักการสำคัญของแผนแม่บทดังกล่าวคือต้องทำเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีส่วนสนับสนุนให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาล และสร้างโอกาสในภาคธุรกิจ ส่วนถ้ามีประเด็นทางกฎหมาย หรือคาบเกี่ยวกับคณะกรรมการกิจการโทร คมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ก็ให้ประสานงานร่วมกันต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ประกาศออกพันธบัตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ว่า เรื่องความสามารถทางการเงินและการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นปัญหา แต่มาตรการที่รัฐบาลจับตาดูคือการจัดการปัญหาของระบบสถาบันการเงินให้เรียบร้อย ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในการประชุมจี 20 เพราะหลายประเทศก็รอดูความชัดเจนตรงนี้อยู่ อย่างไรก็ตามมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใช้ฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย เป็นการทำงานภายใต้ความตระหนักถึงวิกฤตเศรษฐกิจโลก และจะพยายามทำเรื่องภายในประเทศและเวทีระหว่างประเทศให้สอด คล้องกัน ซึ่งเท่าที่มีโอกาสพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษเชื่อมั่นว่าที่ประชุมจี 20 จะสนับสนุนแนวทางของที่ประชุมสุดยอดอาเซียน
|