มติชน : เฉลิม VS ปชป. "ไซฟ่อนเงิน" ทีพีไอ-กกต.?
| วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11332 มติชนรายวัน
เฉลิม VS ปชป. "ไซฟ่อนเงิน" ทีพีไอ-กกต.?
| หมายเหตุ - การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2552
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ส.ส.สัดส่วน ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
"ผมพบนายอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) พบการกระทำความผิด 2 ครั้ง ที่ร้ายแรงต่อประชาธิปไตย กรณีแรก ขอกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยการรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในการรายงานงบดุลต่อ กกต.เมื่อ 31 มีนาคม 2548 ตอนนั้นนายอภิสิทธิ์เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคซึ่งก็เป็นผู้เซ็นรับรอง มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นเหรัญญิกพรรค พบว่า มีการแจ้งงบดุลเป็นเท็จ ผิดอาญามาตรา 137 และผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 51 แจ้งบัญชีไม่ตรงยอดบริจาค มีบทลงโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 3 เท่าของทรัพย์สินที่รับบริจาคมา หรือทั้งจำทั้งปรับ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกำหนด 5 ปี
เรื่องนี้พบว่า พรรคประชาธิปัตย์มีขบวนการเอาเงินจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มายังบริษัทที่ทำโฆษณาสิ่งพิมพ์ คือ บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ครีเอชั่น จำกัด โดยมีการจ่ายเช็ค 27 ฉบับ เข้าธนาคาร 75 ครั้ง ใช้เวลาทั้งหมด 84 วัน มีนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สมัยนั้น เป็นคนกำกับดูแลอยู่เบื้องหลัง โดยให้นายธงชัย คลศรีชัย ซึ่งเป็นน้องชาย (แม่ของนายธงชัย เป็นน้องสาวพ่อของนายประดิษฐ์) กำกับการแสดงดูแล และยังพบว่านายธงชัยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
คนที่เกี่ยวข้องด้วยอีกคนคือ นายประจวบ สังขาว เจ้าของบริษัทเมซไซอะฯ ทำธุรกิจโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวไม่ใหญ่โต ไม่มีโรงพิมพ์ ไม่มีโรงงาน ไม่มีบริษัทในเครือ มีนายประจวบ น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร นายไทกร พลสุวรรณ เป็นผู้ถือหุ้น ทุนจดทะเบียนบริษัท 1 ล้านบาท เมื่อปี 2543 มีพนักงาน 4 คน เจ้าของอีก 1 คน ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 108/12 ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และบ้านหลังนี้ก็เช่าเขาอยู่ แต่ปรากฏว่ารับงานโฆษณางบฯเกือบ 300 ล้าน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และเดิมบริษัทนี้ที่ตั้งเมื่อปี 2539 รับทำสติ๊กเกอร์หาเสียงให้ ส.ส.ภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับความไว้วางใจอนุญาตให้มาเปิดสำนักงานสาขาที่ชั้นล่างของพรรค
ขั้นตอนมีอยู่ว่า มีเงินจากทีพีไอของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ มาเข้าบริษัทเมซไซอะฯ ซึ่งเป็นเงินของประชาชนที่เล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ก่อนจะมีการยักย้ายถ่ายเทผ่านน้องชายของนายประดิษฐ์ โดยเงินดังกล่าวไปเข้าคน 4 กลุ่ม
กลุ่มแรก คือบริษัทเมซไซอะฯ กลุ่มสอง กลุ่มนายประดิษฐ์ กลุ่มสามคือ นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 4 นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเอาไปใช้ในการเลือกตั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ถ้าเป็นศัพท์กฎหมายอาญา หากมีการรับเงินที่ฉกชิงมา ถือว่า รับของโจร
การยักย้ายถ่ายเทเริ่มจากหลังจากศาลตัดสินทีพีไอล้มละลาย นายประชัย กรรมการคนหนึ่งจะต้องการซื้อกิจการคืน จึงต้องหาที่พึ่งจากฝ่ายการเมืองเพื่อรักษาทรัพย์สิน ราวกลางปี 2547 นายประจวบได้พบกับนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ และนายประชัย ที่โรงแรมเพรสิเด้นท์ ต่อมานายประจวบได้รู้จักกับนายธงชัย หรือ "ทีซี" น้องชายนายประดิษฐ์ และแจ้งกับนายประจวบว่าจะมีงานโฆษณาจากทีพีไอให้ทำ ก่อนมีการทำสัญญาระหว่างทีพีไอกับเมซไซอะ 8 โครงการ เป็นเงิน 248.9 ล้านบาท
จากนั้นเงินก้อนแรกจากทีพีไอ 36 ล้าน เข้าไปที่บริษัทเมซไซอะฯ ประเด็นสำคัญคือ การทำสัญญาของทีพีไอ ต้องมีกรรมการ 2 คนเซ็นทำสัญญาและต้องมีตราบริษัท แต่ที่เกิดขึ้นคือมีเพียงนายประชัยเซ็น แต่ไม่มีตราบริษัท และจากการตรวจสอบการเงินของทีพีไอที่ยื่นตลาดหลักทรัพย์ปี 2547-2549 ไม่มีการแจ้งค่าใช้จ่ายตรงนี้แก่ผู้ถือหุ้นและตลาดหลักทรัพย์
|
ภายหลังทำสัญญา มีการจ่ายค่าจ้างให้เมซไซอะเป็นเช็คอีก 27 ครั้ง มีหลักฐานเป็นเช็คธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์เปอเรชั่น จำกัด 15 ฉบับ ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยสี่แยกถนนจันทน์ 1 ฉบับ รวม 261.436 ล้านบาท โดยทั้งหมดเข้าบัญชีฐริษัทเมซไซอะฯ ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต
ส่วนการเบิกเงินออกจากบัญชี มีการทยอยเบิก เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทางธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย และ ปปง. แล้วนำเงินสดไปมอบให้นายทีซี (นายธงชัย) ในห้องทำงานที่พรรคประชาธิปัตย์ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก นายประจวบ และญาติพี่น้อง ที่ทยอยเบิกครั้งละไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อไปมอบให้นายธงชัยที่พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายประจวบ 19 ครั้ง รวม 28.790 ล้านบาท นายสวัสดิ์ สังขาว บิดานายประจวบ 6 ครั้ง รวม 12.609 ล้านบาท นายดิเรก ประสงค์ น้องเมียนายประจวบ 2 ครั้ง รวม 3 ล้านกว่าบาท นายปัญญา ประสงค์ พี่เมียนายประจวบ 6 ครั้ง รวม 12.805 ล้านบาท น.ส.จันทร์จิรา ศรีหบุตร เมียนายปัญญา 4 ครั้ง รวม 8.1 ล้านบาท นายธิติมา พูลเพิ่ม 2 ครั้ง 7.3 แสนบาท นายณัฐพล จิรวิสุทธิกุล คนสนิทนายประจวบ 6 ครั้ง รวม 10.8 ล้านบาท เป็นต้น
กลุ่มสอง กลุ่มญาติพี่น้องของนายประดิษฐ์ นอกจากรับเงินจากบริษัทเมซไซอะฯ ผ่านทางนายธงชัยแล้ว ยังรับเงินผ่านบัญชีธนาคารของน้องสาวนายประดิษฐ์ และคนสนิทของนายธงชัยอีกด้วย อาทิ นางศิริลักษ์ ไม้ไทย น้องสาวนายประดิษฐ์ ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนวิทยุ 4 ฉบับ รวม 13.728 ล้านบาท
กลุ่มสาม กลุ่มผู้ใกล้ชิดนายนิพนธ์ เช่น นายนูญ สายอ๋อง เพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับนายนิพนธ์ และเป็นกรรมการบริษัทสยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟู้ด ที่ภรรยานายนิพนธ์เป็นกรรมการ 2 ครั้ง 3.6 ล้านบาท และนางมาลี ปัญญารักษ์ น้องสาวนายนิพนธ์ 10 ล้านบาท
กลุ่มสี่ กลุ่มใกล้ชิดนายประพร มี 9 คนมีทั้งน้องสาวและญาติพี่น้องนายประพร รวม 43.409 ล้านบาท
สรุปแล้วคนทั้งสี่กลุ่มรับเงินจากเมซไซอะตั้งแต่ 11 พฤศจิกายน 2547 ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2548 ก่อนวันเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 รวม 202,002,870 บาท และบุคคลเหล่านี้ยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีต่อกรมสรรพากร และเมซไซอะยังทำใบกำกับภาษีปลอม โดยอ้างว่า ซื้อสินค้าจากบริษัทที่ถูกแบล๊คลิสต์จากกรมสรรพากรรวม 3 บริษัท ช่วงธันวาคม 2547 ถึงมกราคม 2548 เป็นเงิน 170 ล้านบาท มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี แต่ถูกกรมสรรพากรจับได้
แสดงว่าหากบริษัทเมซไซอะฯซื้อสินค้าเพื่อทำโฆษณาจริง ต้องมีใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง แต่กลับใช้ใบกำกับภาษีปลอม แสดงว่าไม่มีการโฆษณาจริง สัญญาจ้าง 8 โครงการ มูลค่า 248.9 ล้านบาทจึงเป็นเพียงนิติกรรมอำพราง เพื่อนำเงินออกจากทีพีไอเพื่อช่วยพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ บางสลิปเบิกจ่ายเงิน ยังปรากฏหมายเลขแฟ็กซ์ของพรรคประชาธิปัตย์ คือเบอร์ 0-2270-2521 ด้วย
ส่วนกรณีที่สอง คือเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 29 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งเป็นการจัดแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ (Bill Board) 10 ล้านบาท และการจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Future Board) 19 ล้านบาท ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธีเดิมกับที่ทำกับทีพีไอ โดยบุคคลเดิม คือนายธงชัยที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายประดิษฐ์ ได้เรียกนายประจวบไปพบและมอบงานโฆษณาทั้งสองรายการให้บริษัทเมซไซอะฯ
โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง เลขที่ 2899102 จำนวน 23,314,200 บาท เมื่อ 10 มกราคม 2548 ให้กับบริษัทดังกล่าว จากนั้นนายประจวบได้นำเช็คไปเข้าบัญชีที่ธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต และวันที่ 11 มกราคม ได้กระจายเงินไปยังบัญชีของบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับกรณีที่ทำกับบริษัททีพีไอ โดยจ่ายเป็นเช็คทั้งหมด 11 ฉบับ เป็นเงิน 18,803,700 บาท โดยมีบิล 3 ใบ แต่ไม่มีการว่าจ้างใดๆ ทั้งนั้น สำหรับบริษัทเล็กๆ จดทะเบียน 1 ล้าน และพรรคไม่ได้ทำสัญญาจ้างให้ถูกต้อง
กลุ่มญาติพี่น้องของนายประดิษฐ์ได้รับเช็ค โดยผ่านการไซฟ่อนเงินจากบริษัทเมซไซอะฯ เมื่อ 11 มกราคม 2548 มียอดตรงกันทั้ง 5 ฉบับ ฉบับละ 1.9 ล้านบาท ทั้งโอนเข้าบัญชีนายโชคชัย คลศรีชัย (พี่ชายนายธงชัย) ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาซอยจุฬารัตน์, นางสาวสิรินารถ นารถเสวี คนสนิทนายธงชัย กรรมการบริษัทอุสาโท บริษัทที่นายโชคชัยร่วมกับนายธงชัยตั้งกันขึ้นมา เพื่อประกอบธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ที่อำเภอลันตา จ.กระบี่, นางสาวเบญจวรรณ สุนทรอมรรัตน์ คนสนิทนายธงชัย และเป็นกรรมการบริษัทอุสาโท, และนางสาววิรัลพัชร ชีวะวรนันท์ คนสนิทนายธงชัย
ทั้งหมดเป็นการแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงการทำสัญญานิติกรรมอำพรางระหว่างบริษัททีพีไอ กับบริษัทเมซไซอะฯ โดยใช้เงินอุดหนุนจาก กกต. รวมทั้งวิธีการเบิกเงินและถอนเงิน และนำเข้าบัญชีของญาติพี่น้องคนสนิทของนักการเมือง ซึ่งจะวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ โดยมีนายประจวบเป็นนอมินีหรือตัวช่วยในการฟอกเงินให้ผู้บริหารพรรค และบุคคลเหล่านี้มีหน้าที่ตามประมวลรัษฎากรที่ต้องออกใบเสร็จรับเงินเป็นค่าซื้อสินค้าและใบกำกับภาษี และต้องยื่นแบบแสดงรายการการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อกรมสรรพากร ก่อนที่บริษัทเมซไซอะฯจะนำใบเสร็จรับเงิน ใบซื้อสินค้า และใบกำกับภาษีของผู้รับเงินนั้นไปหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อคำนวณภาษีที่ต้องชำระต่อกรมสรรพากรต่อไป ซึ่งกรมสรรพากรสามารถตรวจสอบที่มาของเงินที่ได้รับดังกล่าวจากบริษัทเมซไซอะฯได้ แต่เมื่อไม่ได้มีอาชีพธุรกิจโฆษณา ทั้ง 4 กลุ่มจึงไม่สามารถออกหลักฐานใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีได้ ทำให้ต้องหาใบเสร็จรับเงินเท็จหรือใบกำกับภาษีปลอมกับนิติบุคคล 3 แห่งที่ถูกแบล๊คลิสต์จากกรมสรรพากร วันนี้ บริษัทเมซไซอะฯล้มละลาย เป็นหนี้สรรพากร 14 ล้าน เพราะเอาใบกำกับภาษีปลอมไปแสดง อย่างนี้เรียกว่าทุจริตเงินภาษีประชาชน เพราะเอาไปแบ่งในพรรค
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ทำให้นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ลาออกจากหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคแทน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์รู้เรื่องการรับเงินทั้งเงินบริจาคของบริษัททีพีไอ และเงินอุดหนุนจาก กกต. มีหลักฐานยืนยัน และมีคนเห็นตอนที่นายประจวบนำเงินไปให้นายธงชัยในห้องทำงาน บางครั้งเห็นนายอภิสิทธิ์และผู้บริหารพรรคนั่งอยู่ด้วย ที่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์โดยตรงคือ ในเดือนมีนาคม 2548 และ 2549 เพราะนายอภิสิทธิ์มีหน้าที่ต้องเซ็นรับรองความถูกต้องของงบดุล งบการเงิน งบรายรับและรายจ่าย แจ้งต่อ กกต.ในฐานะหัวหน้าพรรค
ขอสรุปว่า นายกฯผิด 3 ประเด็นคือ ไม่แจ้งรายรับ ปกปิด และยังชี้แจงงบดุลเท็จ มีบุคคลร่วมกันกระทำความผิดทำร้ายประชาธิปไตย ทรราช เอาเงินทีพีไอมาใช้ เอาเงินจาก กกต. ทำลายระบบคุณธรรมจริยธรรม เป็นการเบียดบังทรัพย์สินบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ถือว่ามหาชน หาประโยชน์ให้ตนเองและพวก มีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ 2535 ขอเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่ในตลาดหลักทรัพย์ ใครถือหุ้นทีพีไอ ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคลกลุ่มดังกล่าว ที่ผ่านมา ทีพีไอไม่เคยชี้แจงเรื่องเมซไซอะ เพราะมีการทุจริต ปล้น เอาเงินมาบำรุงบำเรอกลุ่มการเมือง ถ้าแน่จริงนายประชัยบอกว่าเงินทั้งหมดบริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์เข้าคุกแน่ ส่วนนายประจวบ ขอให้ยืนยันเหมือนที่ไปบอกตำรวจ จนเรื่องไปที่ดีเอสไอ พรรคประชาธิปัตย์เตรียมปลดป้ายได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
"การที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวหาว่า ผมมีส่วนสมรู้ร่วมคิดทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยบอกว่ามีการโอนเงินหลายครั้งใน 84 วันในช่วงปลาย 2547 ต่อเนื่องถึง 6 กุมภาพันธ์ 2548 ต้องขอชี้แจงว่าขณะนั้น ผมดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และมีท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค คุณประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งทั้งสองคนก็พร้อมจะชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น โดยการประชุมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ท่านบัญญัติก็บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง เพราะภายหลังที่ท่านบัญญัติลาออกก็มีการเปิดโอกาสให้สมาชิกเลือกหัวหน้าพรรคใหม่และผมได้รับเลือก จากนั้น กกต.ก็รับรองการเป็นหัวหน้าพรรคประมาณกลางเดือนเมษายน 2548
"จากนั้นหน้าที่ของผมจึงมี 2 อย่างคือ 1.การแจ้งเงินบริจาคเข้าสู่พรรคการเมืองให้ กกต.รับทราบ และต้องแจ้งเป็นระยะๆ ซึ่งก็ได้ทำครบสมบูรณ์ 2.รับรองงบดุล 2547 ที่ต้องเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรค โดยมีกระบวนการดังกล่าวนั้นผมได้ให้ทางเจ้าหน้าที่รวบรวมเอกสารทั้งหมดของการเงินของพรรคและจะมีผู้สอบบัญชีเข้ามาตรวจสอบและเข้ามาดูว่างบดุลเป็นไปตามเอกสารหลักฐานหรือไม่ จากนั้นเสนอให้เหรัญญิกพรรค คือรองนายกฯกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ตรวจเอกสารและลงนาม แล้วจึงส่งผ่านมาที่ผม เมื่อตรวจสอบแล้วก็ลงนามในงบดุล ส่วนงบดุลในปี 2548 นั้นก็จะมีประเด็นที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่ต้องรองรับงบดุลปี 2548 ในช่วงต้นปี 2549 ที่เราได้รายงานไปค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งไปยัง กกต. โดย กกต.ได้ตรวจสอบแล้วมีข้อซักถามเล็กน้อยว่ารายงานงบดุลดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ ซึ่งประมาณกลางปีเดียวกัน กกต.ก็มีหนังสือมายังพรรค
"การอภิปรายของท่านไม่เกี่ยวกันเลย เพราะตอนนั้นผมได้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะได้ส่งรายงานงบดุลครบถ้วน ไม่มีประเด็นสงสัยในการทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินของผมเลย ถ้าจะดำเนินการตามกฎหมายกับพรรคประชาธิปัตย์ก็สามารถทำได้ แต่การจะบอกว่าผมไปสมรู้ร่วมคิด พูดเสียดไปเสียดมาว่าผมไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งนั้น ผมไม่ต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ถ้าท่าน (ร.ต.อ.เฉลิม) คิดว่าผมเกี่ยวก็ต้องแสดงเอกสารและหลักฐานว่า ผมไปพบอย่างที่กล่าวหา เพราะตั้งแต่เป็นนายกฯ ผมไม่เคยไปแทรกแซงการสืบสวนสอบสวนขององค์กรใดทั้งสิ้น ก็รู้ว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนคดีพิเศษ ดังนั้นก็ต้องให้ดำเนินต่อไป การที่ ร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายว่าเมื่อคืนผมไปพบปะกับใคร ผมก็ต้องบอกว่าไม่ได้ไป ก็นอนหลับสบายอยู่ที่บ้าน"
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
รองนายกรัฐมนตรี
"ในฐานะที่ทำหน้าที่เป็นเหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงปี 2549 ขอยืนยันว่าการยื่นบัญชีทรัพย์สินพรรคต่อ กกต. เป็นไปอย่างโปร่งใส และในช่วงที่ กกต. ทำหนังสือมาขอให้พรรคชี้แจงรายละเอียดบางส่วนในการจัดทำงบดุล อาทิ การจัดทำบัญชีแสดงรายรับจากเงินสดเงินฝาก ที่มีเงินสำรอง 5.3 แสนบาท เกินกว่าข้อกำหนด และการจ่ายเงินบางส่วนที่ไม่ได้มีการแสดงรายการ อาทิ ค่าจ้างนักศึกษาฝึกงาน แต่ไม่มีการระบุเรื่องเงินบริจาค ตามที่นายเฉลิมระบุแต่อย่างใด และเมื่อพรรคได้ทำเรื่องชี้แจงไป กกต.ได้ยุติเรื่องในเวลาต่อมา ส่วนการจัดทำงบดุลที่เกิดขึ้นช่วงปี 2548 ตนไม่ทำหน้าที่เหรัญญิก จึงไม่สามารถดูรายละเอียดได้"
นายประพร เอกอุรุ
ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์
"การที่นายเฉลิมกล่าวพาดพิงถึงน้องสาว ซึ่งไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่มีสิทธิชี้แจงในสภา ถือเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม และที่ผ่านมาน้องสาวตนได้ให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาแล้วสองครั้ง ในฐานะพยาน ไม่ใช่จำเลยแต่อย่างใด ส่วนการทำธุรกิจของน้องสาวนั้น ไม่จำเป็นต้องมาปรึกษาตนเพราะบรรลุนิติภาวะแล้ว เรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผนดินของนายกฯแต่อย่างใด
| | | | |