เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. วันนี้ (20 มี.ค.) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ ได้ขอชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิงว่า ที่กล่าวหาตนว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย เพียงเพราะเห็นตนไปอยู่ใกล้เวทีพันธมิตรนั้น ขอชี้แจงว่า ตนพอใจและมีสิทธิที่จะไปไหนมาไหนก็ได้ ไม่ได้ไปเพราะเกี่ยวข้องหรือร่วมมือกับใคร นอกจากนั้นที่มีการพูดว่าเป็นเพราะรัฐบาลมีรัฐมนตรีนามสกุลโสภณพนิช จึงมีเรื่องผลประโยชน์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการออกเช็ค 2 พันบาท ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันหนักหัวใคร หากตนจะพูดบ้างว่าคนนามสกุลจันทรรวงทองบ้างจะได้หรือไม่ ขอชี้แจงว่าครอบครัวโสภณพนิชได้ทำธุรกิจการธนาคารมานานและได้ทำประโยชน์ทางการเงินให้กับประเทศชาติมาตลอด ระบบการทำงานก็อยู่ในความควบคุมของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกฎเกณฑ์วิธีการ และธุรกิจก็ใหญ่โตกว่าผู้อภิปรายที่มีความแคบเลื่อนลอยปราศจากหลักฐาน
ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้ลุกขึ้นตอบโต้ว่า หากไม่ได้ทำก็ไม่เห็นต้องมาเดือดร้อน เพราะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และตนก็ไม่ได้พูดให้คุณหญิงกัลยาเสียหาย
จากนั้น นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ชี้แจง ตนไม่ใช่แกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยไปร่วมประชุมหรือวางแผนใดๆ แต่ได้รับเชิญขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในฐานะนักวิชาการ เมื่อพูดเสร็จก็กลับบ้าน ซึ่งขอย้ำว่าตนพร้อมเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม เพื่อต่อต้านเผด็จการและการปกครองบ้านเมืองที่ไม่ถูกต้อง พูดอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้น ตนต่อต้านระบอบทักษิณและจะต่อต้านต่อไป ถ้าระบอบทักษิณกลับมาปกครองบ้านเมืองอีกตนก็จะต่อต้าน
นายกษิต ชี้แจงอีกว่า ที่ผ่านมาตนและพ.ต.ท.ทักษิณสนิทสนมกันมาก่อน และสนิทกันมากที่สุด เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณได้เชิญให้มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ได้เคยร่วมอุดมการณ์และวางแผนงานร่วมกันเพราะเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะนำประเทศไปสู่ความเป็นเลิศในเอเชียแปซิฟิกได้ แต่อยู่ไปสักพักก็เริ่มมีความไม่สบายใจ จึงได้ไปเป็นเอกอัครราชทูตที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อไปถึงก็มีคนบ่นกันหนาหูในความไม่ชอบมาพากลในโครงการเงินกู้เจบิก นี่คือที่มาที่ทำให้ต้องขึ้นเวทีต่อต้านระบอบทักษิณ ตนพูดจริงและจะต่อสู้กับระบอบทักษิณไปทั้งชีวิตเพราะต้องต่อสู้กันด้วยอุดมการณ์
นายกษิต กล่าวอีกว่า หากฝ่ายค้านไม่ชอบพันธมิตรฯ ก็ขอความกรุณาไปขึ้นเวที หรือ พูดกันข้างนอกด้วยวิชาการ อย่าใช้ตนเป็นสะพานเชื่อม เพื่อไปโจมตีพันธมิตร ขอให้สู้กันด้วยอุดมการณ์ไม่ต้องปาไข่เน่า วันนี้ตนอยู่ในครม.อภิสิทธิ์ ทำอะไรก็ทำเป็นทีม น้อมรับบัญญัติ 9 ประการของ นายอภิสิทธิ์ อยากร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้า ให้ประเทศไทยอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและสง่างาม และยินดีที่จะทำงานให้กับนายอภิสิทธิ์ เพราะท่านสง่างามเป็นที่ยอมรับของเวทีนานาประเทศมากขึ้นทุกวัน ยิ่งต้องส่งเสริมให้คนๆ นี้ก้าวหน้าต่อไป
นายกษิต กล่าวต่อว่า เป็นทูตมา 5 ประเทศ ตระหนักดีว่าทำหน้าที่เสมือนทูตแทนพระองค์ หากพบว่าสถานทูตใดมีการกระทำทุจริต ก็จะเอาข้าราชการออก และดำเนินการขั้นเด็ดขาดจริงจัง จึงเป็นที่มาว่าตนติวเข้มโหดร้าย หลักฐานทุกอย่างที่ได้ทำอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว เสียดายที่ ส.ส.หน้าใหม่อายุน้อย แต่กลับไปที่ไปฟังคำซุบซิบนินทาโกหก หากตนไม่ดีจริงคงไม่ได้ครุฑทองคำมาเล่น ๆ
นายกษิต กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา ว่า สมเด็จฮุนเซนได้รับปากจะมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนก่อนที่ตนจะเดินทางไปแนะนำตัวเอง และได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจกันว่าเราทั้งสองประเทศจะต้องไม่เป็นปัญหาของสมาคมอาเซียน ต้องไม่ไปรบกวนอาเซียนหรือศาลโลก อะไรที่เป็นปัญหาเขตแดนเราต้องมาตกลงกันเอง ที่กล่าวหาว่าไทยเสียอธิปไตยไปแล้ว 2.4 กม.นั้นไม่เป็นความจริง เพราะทหารไทยยังคงปักหลักรักษาดินแดนอยู่ทุกตารางนิ้วไม่มีถอย มีการประท้วงในระดับทหารกันตลอดเวลา และตราบใดที่การปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จกองทัพก็ต้องรักษาดินแดนอย่างเต็มที่
นายกษิต กล่าวด้วยว่า เรื่องปัญหาเขตแดนไม่ใช่ของง่ายๆ ที่จะตกลงกันได้ แต่ทิศทางที่แน่ชัดคือเราต้องการเจรจาโดยสันติวิธี ทำให้เพื่อนส.ส.สบายใจได้ว่าทุกสิ่งไม่มีการสุ่มเสี่ยง แต่ต้องมีการเจรจา จะใจร้อนไม่ได้ เพราะปัญหาแค่เมืองเล็กๆระหว่างประเทศมาเลเซียกับสิงค์โปร์ยังต้องใช้เวลาถึง 30 ปี ดังนั้นเรื่องนี้ต้องค่อยๆ เป็นค่อยไป แต่ต้องไม่ให้เรื่องเขตแดนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เมื่อไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ความสัมพันธ์ก็จะคืบหน้าตามลำดับ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างที่นายกษิตชี้แจง นายสมพล เกยุราพันธุ์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย บิดานางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า นายกษิตแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติและเคารพสภา เพราะยืนท้าวแขนพูดและอวดอ้างความอาวุโสความเก่าแก่ ทั้งที่ตนเป็น ส.ส.มาตั้งแต่ปี 2512 ยังไม่เคยมาอ้างอย่างนี้ |