10. โรฮิงญาสะท้อนระบอบเผด็จการทหารในพม่า
และสะท้อนถึงรัฐบาลไทยในปัจจุบัน
โรฮิงญา ในความหมายว่าชาวพม่าพลัดถิ่นหรือชาวพม่าหลบหนีจากประเทศ มาตุภูมิของตนเองนั้น เป็นเรื่องที่ขมขื่นทุกข์ทนและอัปยศ เพราะตามปกติแล้วคนเราย่อมรักและผูกพันกับถิ่นกำเนิดหรือบ้านเกิดเมืองนอนอย่างแนบแน่นเพราะนี่คือมาตุภูมิที่ฝังสายรกกำเนิด แม้คนไทยเราก็ฝังจิตฝังใจกันเช่นนี้ ดังจะเห็นประชาชนไทยชาวอิสานจำนวนมากมายมหาศาล เดินทางกลับถิ่นเกิดเมืองนอนทุกปี ๆ ๆ ละหลายครั้งตามเทศกาลที่เปิดให้ โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์เพื่อไปเยี่ยมเยือนถิ่นกำเนิด คล้าย ๆ กับความหมายของไทยมุสลิม ที่มีการแสวงบุญที่เมกกะเป็นประจำปี ในความหมายว่าที่นั่นเป้นถิ่นกำเนิดแห่งความเชื่ออันประเสริฐฝังใจของพวกเขา
การที่โรฮิงญา ต้องเดินทางจากประเทศถิ่นกำเนิดไปเคว้งคว้างกลางทะเลเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่สะท้อนไปถึงเหตุการณ์วิกฤตอันสุดทนทานในบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา ดังปรากฎเมื่อปลายเดือนที่แล้วมานี้ โทรทัศน์อินโดเนเซียก็ได้ถ่ายทอดภาพข่าว โรฮิญยา เข้าไปในน่านน้ำจังหวัดอาเจะห์ของประเทศเขาจำนวนนับร้อยคนเหมือนกัน ภาพที่เห็น เป็นการน่าสมเพชของประชาชนพม่าที่ไร้แผ่นดิน ไปถึงฝั่งไหนเขาก็ไม่ยินดีต้อนรับ ทำให้เห็นภาพที่สะท้อนความสิ้นหวัง น่าสงสาร น่าสมเพช จนเสมือนไร้ความเป้นมนุษย์ ทำให้น่าคิดถึงการอพยพของชาวกัมพูชาปี 2517-2518 ยุคเกิดสงครามกลางเมืองเขมรสามฝ่ายนั้น เขาก็มีเหตุผลสำหรับการอพยพเพราะบ้านแตกสาแหรกขาด ก็จำเป็นต้องหลบหนีกระจัดกระจายกันไป แต่โรฮิงญาต้องบากหน้าสู่ทะเลกว้างใหญ่ จากมาตุภูมิไปอย่างขมขื่นระกำลำบาก สิ้นแผ่นดินเช่นนี้โดยไม่มีสงครามร้ายแรง ในประเทศเป็นเพราะเหตุใด ถ้ามิเพราะการปกครองระบอบเผด็จการทหารพม่าที่กดขี่และไร้เสรีประชาธิปไตย ระบอบที่เข่นฆ่าประชาชนผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ที่สมทบกับขบวนการพระสงฆ์พม่าผู้รักประชาธิปไตยและได้เข่นฆ่าพระสงฆ์ผู้รักประชาธิปไตยไปหลายร้อยรูป ในเดือนกันยายน 2550 นั้นอันเป็นข่าวดังไปทั่วโลก รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าที่ไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงต่อประชาชนหมู่เหล่าต่าง ๆ ภายในประเทศ ในยุคนี้
การที่ปฏิเสธประชาธิปไตย หรือการที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ไม่คิดเห็นอย่างไรว่าประชาธิปไตยจะช่วยให้ได้ชัยชนะ ได้ความสำเร็จอย่างไรแล้ว ก็ตกต่ำ เช่นประเทศไทยที่ยุ่งยากลำบากตกต่ำอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้พิศูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า มีมาจากเหตุการณ์เดียวเท่านั้น คือจากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ( ขณะนั้นประเทศไทยกำลังจะก้าวไปอย่างเป็นก้าวใหญ่ ทั้งทางเศรษฐกิจ และ การเมืองเอง และกำลังอยู่ในสายตาอันแทบไม่กระพริบของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ) และสิ่งที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าจะต้องพิจารณาด้วยสติปัญญาของคนในระบอบประชาธิปไตย ผู้มีเสรีภาพทางความคิด ก็คือ รัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังคงอิงอยู่กับ ทหารที่สืบนโยบายรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 อยู่ นี่คือความเสี่ยงต่อการที่จะเป็นอุปสรรคเหตุร้ายต่อการกลับมาและการก้าวไปของระบอบประชาธิปไตยไทย และนั่นหมายถึง การจมดิ่งลงไปในเปลือกโคลนแห่งบ่อคิดอันแคบ ๆ แต่มิดลึกลุดกู่ และหากเป็นเช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือวิถีทางที่จักทำลายระบอบประชาธิปไตยของประชาชนใช่หรือไม่?
คำตอบจะใช่หรือไม่ก็แล้วแต่ ข้อสรุปจึงมีว่า หากความคิดชาวไทยหรือกลุ่มการเมือง กลุ่มนักวิชาการยังคงคิดอิงอยู่กับระบอบอื่นโดยเฉพาะเผด็จการทหารที่ลืมตัว ( อย่างระบอบเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศพม่า ) ไม่รู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตยแล้ว นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหากระบอบที่ผิดพลาดนี้เติบโตไปก็จะนำไทยไปเป็นเหมือนพม่าและในอนาคตไม่ไกลชาวไทยบางกลุ่มบางเหล่า โดยเฉพาะประชาชนนอกสายตาของรัฐบาล มีวันที่จะอพยพอย่างโรฮิงญาในพม่าอย่างแน่นอน
- สุไหงปาดี ชินะกุล
5 ก.พ. 2552