ภายหลังตำรวจจู่โจมบุกจับกุมนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 1 ใน 9 ผู้ต้องหากบฏ ได้ที่บ้านพักย่านหมู่บ้านนักกีฬา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เริ่มนิ่งกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง เพราะอาจมีการระดมแนวร่วมเป็นจำนวนมากเข้ามาในกรุงเทพฯ จนหวั่นเกิดเหตุที่คาดไม่ถึงได้นั้น
ขออำนาจศาลฝากขัง ไชยวัฒน์
ต่อมาเมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 4 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญา ว่า พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.นางเลิ้ง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 30 นาย ได้ควบคุมตัวนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อายุ 59 ปี แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาเลขที่ 2527/2551 ลงวันที่ 27 ส.ค. 51 ในคดีสมคบกันเพื่อเป็นกบฏและเป็นกบฏ ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง มายื่นคำร้องฝากขังศาลครั้งที่ 1 ทั้งนี้ ในคำร้องระบุว่า นายไชยวัฒน์ เป็นผู้ต้องหาที่ 7 จากจำนวน 9 คน ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ แขวงวัดโสมนัสฯ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. จนถึงวันที่ 29 ส.ค. 51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน โดยร่วมกันชุมนุม กล่าวโจมตีขับไล่รัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 รวมถึงการบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และต่อมาพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. และจะครบกำหนดอำนาจการควบคุม 48 ชั่วโมง ในวันที่ 5 ต.ค.แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เพราะต้องสอบพยานสำคัญอีกจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนได้ รอผลการตรวจสอบประวัติลายพิมพ์นิ้วมือ และรอผลการตรวจสอบเหตุการณ์เกี่ยวกับการกระทำของกลุ่มผู้ต้องหาและแนวร่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ จึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหานี้ ไว้ระหว่างสอบสวนเป็นเวลา 12 วัน จนถึงวันที่ 15 ต.ค.นี้
ทนาย พธม.ยื่นขอปล่อยตัว
ขณะเดียวกัน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ และนายณฐพร โตประยูร ทนายความของนายไชยวัฒน์ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 โดยนายสุวัตรเปิดเผยว่า การพิจารณาเรื่องการเพิกถอนหมายจับ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตนเห็นว่าการจับกุมนายไชวัฒน์ ครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง ที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ให้รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช นายก รัฐมนตรีในขณะนั้น แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่ใช้สิทธิเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ทั้งนี้ตนจะขอคัดค้านการฝากขังนายไชยวัฒน์ ของพนักงานสอบสวน และขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัว ส่วนเรื่องการขอประกันตัวนั้น แม้ว่าทางพนักงานสอบสวนจะไม่คัดค้านการประกันแต่ทางนายไชยวัฒน์ ประสงค์จะไม่ยื่นประกันตัว เพราะเห็นว่าข้อหาที่ถูกดำเนิน คดีนั้นไม่ชอบ หากประกันตัวออกไปก็เท่ากับว่ายอมรับในข้อกล่าวหา
อ้างอยู่ช่วงอุทธรณ์หมายจับ
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์ทำการไต่สวนการฝากขัง โดยศาลได้อ่านคำร้องฝากขังให้นายไชยวัฒน์ฟัง ก่อนที่นายไชยวัฒน์ จะให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอคัดค้านการฝากขัง โดยแถลงเหตุผลต่อศาลรวม 2 ประการ คือ 1. หมายจับในข้อหากบฏ ที่ร่วมกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม 9 คนนั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เห็นว่าหมายจับดังกล่าวมีผลระงับไว้ชั่วคราว และ 2. การฝากขังเป็นเวลา 12 วัน เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น ในวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากถูกจับกุม ตนได้ให้การกับพนักงานสอบสวนจนครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องกักขังตนเป็นเวลา 12 วัน ด้าน พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว พนักงานสอบสวน แถลงต่อศาลว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกภาพการปราศรัยของผู้ต้องหาไว้จำนวนมาก รวมทั้งภาพวีซีดี จึงต้องใช้เวลาในการถอดเทปมากถึง 200 แผ่น นอกจากนี้ ยังต้องสอบปากคำพยานทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีกจำนวนมาก โดยไม่สามารถระบุได้ว่าจำนวนกี่คน เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 51 จนถึงปัจจุบัน พนักงานสอบสวนจึงมีความจำเป็นขอฝากขังผู้ต้องหา
ทนายขอเพิกถอนการจับกุม
จากนั้นศาลได้ทำการไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง โดยนายสุวัตรนำพยานเข้าเบิกความรวม 4 ปาก คือนายสุวัตร อภัยภักดิ์ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายณฐพร โตประยูร และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ขึ้นเบิกความ โดยนายสุวัตรเบิกความสรุปว่า หมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ในคดีกบฏ อยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ว่าจะเพิกถอนหมายจับหรือไม่ และการจับกุมนายไชยวัฒน์ จับกุมในท้องที่ สน.ประเวศ แต่ไม่มีพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ร่วมสอบสวนด้วย รวมทั้งนำตัวนายไชยวัฒน์ไปสอบปากคำที่ บก.ตชด.ภ.1 จ.ปทุมธานี แทนที่จะไปสอบสวนที่ สน.นางเลิ้ง ซึ่งผู้ร้องขอหมายจับในคดีนี้ นายไชยวัฒน์ ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ขอให้ศาลเพิกถอนการจับกุมนายไชยวัฒน์
ยืนกรานไม่มีเอี่ยวบุกทำเนียบฯ
ส่วนนายไชยวัฒน์เบิกความว่า ตนเป็นสมาชิกสมัชชาประชาชน เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีเจตนารมณ์ช่วงชิงอำนาจของรัฐ แต่มีบทบาทในการคัดค้านกลุ่มบุคคลไม่ให้ใช้อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง จึงเข้าเป็นแนวร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนการตั้งข้อหากบฏต่อผู้ที่ชุมนุมเพื่อประชาธิปไตยนั้น ต่อไปจะไม่มีประชาชนมาร่วมปกป้องประชาธิปไตย หมายจับดังกล่าวจึงไม่ชอบ เพราะเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งศาลอุทธรณ์กำลังพิจารณาเรื่องเพิกถอนหมายจับอยู่ หลังถูกจับกุม พนักงานสอบสวนไม่ได้พาไปสอบสวนที่ สน.นางเลิ้ง แต่กลับเปลี่ยนเส้นทางบนทางด่วน ก่อนนำตัวไปสอบสวนที่ บก.ตชด.ภ.1 จึงขอความเมตตาศาลกรุณาระงับหมายจับและเพิกถอนหมาย เพราะการจับกุมซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสาระสำคัญในการออกหมายจับเกิดจากเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 51 ที่มีการบุกทำเนียบรัฐบาล ขณะนั้นอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯเลย
แย้งย้ายที่สอบหวั่น สน.ถูกล้อม
ขณะที่ พ.ต.ท.ภูเบศเบิกความว่า พนักงานสอบสวนพบพยานหลักฐานว่า นายไชยวัฒน์ได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 51 ซึ่งทางคดีมีหลักฐานเป็นวีซีดีบันทึกการปราศรัยโจมตีรัฐบาล การเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อกดดันรัฐบาล ส่วนเหตุการณ์ในวันที่ 26 ส.ค. 51 นั้น นายไชยวัฒน์ ได้พากลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดถนนมิตรภาพ จ.นครราชสีมา พร้อมกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอหมายจับกุม หลังจับกุมนายไชยวัฒน์ได้นั้น เบื้องต้นชุดจับกุมจะนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนที่ สน.นางเลิ้ง แต่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่า สน.นางเลิ้งตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมอยู่ เกรงว่าจะถูกปิดล้อม เพราะในอดีต สน.นางเลิ้ง เคยถูกเผามาแล้ว เพื่อความปลอดภัยจึงต้องนำตัวนายไชยวัฒน์ไปสอบสวนที่ ตชด.ภ.1 จ.ปทุมธานี
ทั้งนี้ บช.น. ได้ตั้งชุดพนักงานสอบสวนขึ้นมาทำคดีนี้โดยเฉพาะ ฉะนั้น พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ไม่มีความจำเป็นต้องร่วมทำการสอบสวน
ศาลระบุคำค้านฟังไม่ขึ้น
ต่อมาเวลา 15.30 น. ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งโดยพิเคราะห์แล้ว ได้ความตามคำร้องและสอบถามผู้ร้องแล้วยืนยันว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานปรากฏว่า ผู้ต้องหาได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมและเคลื่อนไหวกล่าวโจมตีขับไล่รัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 51 เรื่อยมา โดยเฉพาะวันที่ 26 ส.ค. 5 ผู้ต้องหาได้พากลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดถนนมิตรภาพ จ.นครราชสีมา และวันดังกล่าวกลุ่มพันธมิตรฯได้พาผู้ชุมนุมประมาณ 20,000 คน ไปปิดล้อมและบุกเข้าในทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี จนไม่สามารถเข้าไปในอาคารทำเนียบรัฐบาลได้ ทั้งในทางคดีมีความเชื่อมโยงกัน พนักงานสอบสวนจึงขอออกหมายจับ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับผู้ต้องหากับพวก ต่อมาวันที่ 3 ต.ค. 51
เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจศูนย์สืบสวน บช.น.ได้จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และกรณีมีเหตุจำเป็นที่จะต้องสอบสวนพยานอีกจำนวนมาก เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภาพและเสียงตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุม จึงต้องส่งเทปบันทึกภาพและเสียงไปตรวจพิสูจน์ ประกอบกับต้องตรวจสอบการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มผู้ต้องหา และแนวร่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความจากผู้ร้องข้างต้น ถือว่าการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และกรณีมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน พนักงานสอบสวนผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายขังผู้ต้องหานั้นไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 วรรค 3 ส่วนที่ผู้ต้องหาแถลงคัดค้านว่า หมายจับอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงถือว่าหมายจับมีผลระงับใช้ชั่วคราวนั้น เห็นว่าแม้ผู้ต้องหากับพวกจะยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนหมายจับต่อศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับไว้พิจารณาแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องถือว่าหมายจับของศาลอาญายังมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย ที่ผู้ต้องหาอ้างว่าหมายจับมีผลระงับไว้ชั่วคราวนั้น เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ต้องหาเอง ข้อคัดค้านประการแรกของผู้ต้องหาจึงฟังไม่ขึ้น
ฝากขัง ไชยวัฒน์ 12 วัน
สำหรับข้อคัดค้านประการที่ 2 ที่ว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 51 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 4 เดือนเศษ จึงเป็นระยะเวลาสอบสวนที่พอสมควรแก่เหตุแล้วนั้น ศาลเห็นว่า พนักงานสอบสวนผู้ร้องยืนยันว่าทางการสอบสวนจำเป็นจะต้องตรวจสอบและสอบปากคำพยานอีกจำนวนมาก ซึ่งยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้ ประกอบกับกรณีเห็นได้ว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง มีพยานบุคคลที่รู้เห็นจำนวนมาก เชื่อว่าการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำพยาน อันเป็นขั้นตอนในการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และพยานหลักฐานที่สอบสวนต่อไปนั้น อาจมีความเชื่อมโยงถึงตัวผู้ต้องหา กรณีนี้จึงถือว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องขังผู้ต้องหาไว้เพื่อทำการสอบสวน ดังวินิจฉัยแล้วข้างต้น คำคัดค้านของผู้ต้องหาประการนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนข้ออ้างของผู้ต้องหาที่ว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือข่มขู่พยานนั้น เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะยกขึ้นคัดค้านการขอฝากขัง แต่เป็นเหตุที่ใช้ประกอบการพิจารณาคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 และ 108/1 จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ 12 วัน และกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ยอมนอนคุกไม่ขอประกัน
ภายหลังนายไชยวัฒน์กล่าวว่า ยังติดใจในการยื่นคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยวันนี้ยังไม่ขอใช้สิทธิในการประกันตัว แต่จะรอฟังคำสั่งขอให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังในวันที่ 6 ต.ค.นี้ก่อน ว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายไชยวัฒน์ ไปทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ ก่อนส่งตัวขึ้นรถเรือนจำไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ท่ามกลางกองเชียร์ กลุ่มพันธมิตรฯ มีมารอให้กำลังใจราว 100 คน ที่ต่างตะโกนให้กำลังใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นนายไชยวัฒน์ ในสภาพที่อยู่บนรถขังของเรือนจำ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตปพ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน มาดูแลรักษาความปลอดภัย
จิ๋ว เครียดข่าว ตร.ซิว ไชยวัฒน์
อย่างไรก็ดี การจับกุมนายไชยวัฒน์ แกนนำ พธม. ครั้งนี้ ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานาว่าเป็นแผนล้มการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งในวันเดียวกัน พล.ท.พิรัช สวามิวัศดิ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ทางรายการลับ ลวง พราง ผ่านสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 ถึงกรณีดังกล่าวว่า การจับกุมนายไชยวัฒน์จะสะเทือนถึงการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ แน่นอน เพราะเมื่อเหตุการณ์ เกิดขึ้น คงต้องระงับการเจรจาไปก่อน ซึ่ง พล.อ.ชวลิตรู้สึกเครียดทันทีเมื่อรู้ข่าวเพราะในวันที่ตนเดินทางไปเจรจากับ พล.ต.จำลองนั้น ทุกอย่างที่มีการพูดคุยกัน ทั้งสองฝ่ายต่างรับได้ และต่างคนต่างเข้าใจกัน โดยพบกันคนละครึ่งทาง เพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเสียเกียรติภูมิซึ่งกันและกัน ทุกอย่างเกือบจะจบแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น
รับมึนตึ้บกับเหตุที่เกิด
เมื่อถามว่า มีการวางแผนหรือไม่ที่จะให้ พล.อ. ชวลิตพบกับแกนนำพันธมิตรฯ พล.ท.พิรัชกล่าวว่า ตนพูดว่า พล.อ.ชวลิตจะเดินทางมาพบกับกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงที่ แต่ พล.ต.จำลองบอกว่า เราเป็นรุ่นน้อง การที่จะให้พี่มาพบดูไม่เข้าท่า และเสียมารยาท เพราะเราเรียนโรงเรียนนายร้อยร่วมกันมา และยึดถือในระบบซีเนียร์ คือรุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่ และยังห่วงว่า หาก พล.อ.ชวลิต เดินทางไปจะมีกลุ่มมวลชนโห่ รวมถึงไม่แน่ใจว่าจะควบ คุมได้ ตนจึงบอกกับเขาว่าไม่เป็นไร เพราะ พล.อ.ชวลิตท่านติดดิน ทำอะไรก็ได้ และ พล.อ.ชวลิตท่านเจ็บปวดมานักหนาและเคยกลืนเลือดตัวเองมามากแล้ว แต่เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทำให้เราคิดอะไรไม่ออกเลย
ระงับเจรจาแต่ไม่ทิ้งงาน
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นการวางยาหรือสกัด พล.อ.ชวลิต พล.ท.พิรัช กล่าวว่า พูดไม่ได้เพราะอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งทางราชการ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มวางแผนเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้บอกกับ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ภาค 1 ว่า ขอเวลา 7-8 วัน ซึ่งมีการรับปากกันเรียบร้อย ทั้งนี้ ตนคงโทร.ไปบอก พล.ต.จำลองว่า คงต้องระงับการเจราไปก่อน อย่างไรก็ตาม พล.อ. ชวลิตบอกเสมอว่า เราทิ้งไม่ได้ เพราะต้องตอบแทนแผ่นดินเกิด แม้เราจะเกษียณมาแล้วก็ต้องทำงานต่อไป
นายกฯยังเชื่อมือ บิ๊กจิ๋ว
ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ และ รมว. กลาโหม กล่าวที่ จ.ลพบุรี ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ 1 ใน 9 แกนนำพันธมิตรฯ จะกระทบต่อการเจรจาที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้หรือไม่ว่า ไม่กระทบการเจรจาก็ยังคงดำเนินต่อไป การจับกุมเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องทำตามกฎหมาย ตนไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย และส่วนตัวเชื่อว่า พล.อ.ชวลิตจะเจรจาได้ มาร์ค ห่วงเหตุบานปลาย ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำพันธมิตรฯ ถูกจับข้อหากบฏแผ่นดิน ว่าเป็นห่วงเรื่องนี้ เกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรฯ ในการหาหนทางสมานฉันท์และปรองดอง เพราะเรื่องอาจจะบานปลาย ดังนั้น อยากจะขอให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และเป็นห่วงว่าเรื่องจะลุกลามบานปลาย หลังที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรฯเตรียมระดมคนจากต่างจังหวัดมาประท้วงเรื่องนี้ที่ทำเนียบมากขึ้นนั้น
พปช.เชื่อแผนเสี้ยม รบ.-พธม.
ขณะที่นายไพจิต ศรรีวรขาน ส.ส.นครพนมพรรคพลังประชาชน ก็กล่าวถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นการหักหน้า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ที่ต้องการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ว่า เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวหากมีเบื้องหน้าเบื้องหลังจริง คงไม่สามารถดิสเครดิตนโยบายปรองดองของรัฐบาลได้ โดยเฉพาะความพยายามสร้างความสมานฉันท์ แต่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคมและที่สำคัญที่สุดกลุ่มพันธมิตรฯจะเข้าใจว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจ หลังจากนี้ ผบ.ตร.ควรต้องรีบทำความเข้าใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชาให้เร็วที่สุด เพราะประชาชนรู้ว่ารัฐบาลต้องการให้เกิดความปรองดอง
ตื่นเต้นต้นข้าวทำเนียบฯ ออกรวง
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลตลอดวันที่ 4 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้นายไชยวัฒน์ หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ จะถูกจับกุม แต่บรรยากาศการฟังการปราศรัยของผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงเช้ากลับค่อนข้างบางตา โดยบนเวทีมีการจัดรายการวิเคราะห์การจับนายไชยวัฒน์สลับการแสดงดนตรีอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก พล.ต. จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมแล้ว กลับไม่พบแกนนำคนอื่นๆ อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ขณะเดียวกัน ต้นข้าวที่ปลูกอยู่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ภายในทำเนียบฯ ได้ออกรวงข้าวเป็นจำนวน 4 กอ ซึ่งเป็นจุดสนใจแก่ผู้ชุมนุมที่พบเห็นต้นข้าวดังกล่าว
จำลอง แฉ บิ๊กจิ๋ว ถูกเจาะยาง
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีการจับกุมนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จะส่งผลให้การเจรจากับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ต้องยุติไปด้วยหรือไม่ โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พล.อ.ชวลิตถูกเจาะยาง เพราะท่านได้โทรศัพท์คุยกับตนสองครั้ง ได้ตกลงกันไว้แล้วว่า มีช่องทางที่สามารถตกลงกันได้สำเร็จแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พล.อ.ชวลิตที่จะถูกโดดเดี่ยวคนเดียวในรัฐบาล นอกนั้น เป็นพวกเขาทั้งหมด คณะรัฐบาลเห็นว่า ถ้า พล.อ.ชวลิตเจรจาได้สำเร็จ ความปันป่วนในบ้านเมืองก็ยุติ ซึ่งก็ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของรัฐบาล ต้องการบ้านเมืองปั่นป่วน ก็ดำเนินการตัดหน้า โดยที่ พล.อ.ชวลิตไม่รู้ตัว อีกประเด็นต้องการจะทดสอบพลังของผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ก็เลยจับนายไชยวัฒน์ไปคนเดียวก่อน ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ที่ผ่านมารัฐบาลกับตำรวจได้ทดสอบพลังของพันธมิตรฯ เรื่อยมา
ท้าให้ ตร.เข้ามาจับในเวทีชุมนุม
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า รัฐบาลกับตำรวจโกหกครั้งแล้วครั้งเล่า โกหกว่านายไชยวัฒน์มีหมายจับ ถึงได้โดนจับ แต่ทำไมพวกตนอีก 8 คน ไม่โดนจับ ถ้าบอกว่าจะต้องทำตามกฎหมาย ทำไมไม่เข้ามาจับ ซึ่งไม่ได้ท้าทาย พวกเราอยู่ในนี้ตลอดเวลา พวกตำรวจก็อยู่ในนี้เต็มไปหมด เห็นได้ว่าเราไม่ได้ใช้กำแพงมนุษย์เป็นโล่ป้องกัน รวบพวกตนได้ทั้งหมด สองทุ่มครึ่งขึ้นเวทีทุกวัน ทำไมตำรวจไม่ทำ เข้ามาตอนนี้ก็จับได้เลย ไม่ได้ท้าแต่ตำรวจควรจะทำตามหน้าที่ ถ้าตนผิดกฎหมาย ไม่ต้องมีข้อแม้ สามารถจับได้ในที่ชุมนุมได้ทันที ไม่มีปัญหา มันไม่ยากเลย รวมทั้งการมาสลายการชุมนุมในทำเนียบฯด้วย มันง่ายมาก จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องใช้กำลังตำรวจเป็นจำนวนมากด้วย
ชี้ บิ๊กจิ๋ว ถูกหลอกใช้
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า ถ้าพี่จิ๋วติดต่อมาเมื่อไหร่ ตนจะถามว่าอะไรมันเกิดขึ้น ถูกเจาะยางรู้สึกอย่างไร ที่ผ่านมาเราก็พูดคุยกันมาดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ขณะนี้เหตุการณ์มันกลับตาลปัตร เพราะคนในรัฐบาลมีแผนอยากจะให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพี่จิ๋ว ว่าจะตัดสินใจมาเจรจากับพันธมิตรฯหรือไม่ เพราะทางพันธมิตรฯไม่มีวาระซ่อนเร้น ซึ่งก็เห็นอยู่ว่าเราไม่มีการเรียกปลุกระดม เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายตามแผนของคนในรัฐบาล นายไชยวัฒน์ได้ยืนยันมากับตนแล้วว่าจะไม่ประกันตัว แต่จะไปต่อสู้ในชั้นศาล ส่วนมีการวิจารณ์ว่าพันธมิตรฯกำลังหาทางลง อย่ามาใช้ คำนี้กับพวกเรา ให้ไปใช้กับพวกที่อยู่สูง เราลงได้เองโดยไม่ต้องหาทาง หากเรากลับบ้านวันนี้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
งงรัฐบาล-ฝ่ายค้านเล่นอะไร
พล.ต.จำลองกล่าวถึงที่ประชุมสี่ฝ่ายมีมติตั้ง ส.ส.ร. 3 ว่า ตนไม่ทราบว่ารัฐบาลและฝ่ายค้านเล่นอะไรอยู่ เพราะเห็นดีเห็นงามไปกันหมด ทั้งที่สภาก็ได้รับร่างรัฐธรรมนูญปี 40 ไว้ด้วย ขอถามว่ารัฐบาลและฝ่ายค้านต้องการอะไรกันแน่ ระหว่าง ส.ส.ร. 3 กับร่างของ นปก. เป็นที่น่าสังเกตแก้มาตรา 291 อาจจะมีอะไรหมกเม็ดตอนเสนอเข้าสภาก็ได้ มีหลักประกันอะไรหรือไม่ว่าจะไม่ไปแก้อื่นๆอีก ตอนนี้ทั้งสภาไม่สามารถพึ่งได้ มีแต่อำนาจตุลาการเท่านั้น ที่เป็นหลักให้กับบ้านเมือง ส่วนกรณีที่กลุ่ม นปก.จะนำกำลังมาจับแกนนำที่ทำเนียบฯ ในวันที่ 14 ต.ค.นั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า อาจจะมีความเป็นได้ อย่าไปปรามาสเขามีการฝึกกองกำลังไว้ ที่สนามหลวง ส่วนพันธมิตรฯก็มีการชุมนุมกันตามปกติไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรา เพราะกลุ่ม นปก.ก็เคยมาแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของ พล.อ.ชวลิตที่จะต้องดูแลการชุมนุม หากมีความผิดพลาดขึ้นมาก็จะต้องรับผิดชอบ
ฉะสมานฉันท์เพียงลมปาก
ขณะที่นายสมศักดิ์กล่าวเสริมว่า เราไม่กลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลสมัครก็ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเข้ากับข้อหากบฏ แล้วก็มาเลิกเอง โดยที่พันธมิตรฯ ไม่ได้ขอร้อง แต่หมายจับก็ยังไม่เลิก ซึ่งเราก็ไม่เคยสนใจ เพราะคนที่เป็นกบฏน่าจะเป็นรัฐบาลมากกว่า โดยเราจะเห็นวิธีการที่นายสมชายออกมาแถลงนโยบายที่จะทำการสมานฉันท์ แต่กลับส่งตำรวจมาจับ นายไชยวัฒน์ อีกส่วนประเด็นหนึ่ง คือ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ก็รับเอารัฐธรรมนูญ ปี 40 มาเป็นตัวตั้ง ซึ่งไม่ได้เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าแก้ก็น่าจะเอารัฐธรรมนูญ ปี 50 มาเป็นตัวตั้ง เท่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 50 อย่างชัดเจน จะเห็นว่าไม่มีความจริงใจที่จะปฏิรูปการเมือง
สนธิ ขู่หากถูกจับคนลุกฮือทั้ง ปท.
จากนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นลำดับต่อมา โดยกล่าวถึงเหตุผลที่แกนนำฯไม่ยอมมอบตัว เพราะหมายจับข้อหากบฏครั้งนี้ตำรวจได้นำความ เท็จไปแจ้งกับศาล และศาลเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อมาหยุดยั้งแกนนำพันธมิตรฯไชยวัฒน์นั้น ส่วนตัวได้ โทรศัพท์คุยกันหลังจากถูกจับแล้ว ได้รับคำยืนยันจากนายไชยวัฒน์ว่าพร้อมที่จะไม่ประกันตัว ดังนั้น ใครคิดว่าการจับนายไชยวัฒน์นั้น เป็นการทดสอบพลังพันธมิตรฯ ถือเป็นความคิดที่โง่ที่สุด ถ้าอยากทดสอบจริงๆ ขอให้มาลองจับสนธิ จำลอง พิภพ เพราะหากนายไชยวัฒน์ ไม่ ประกันตัว แกนนำฯอีก 6 คนก็จะไม่ประกัน อยากดูว่าถ้าจับแล้วจะรับมือกับประชาชนทั่วประเทศได้อย่างไร นี่แค่ยังไม่เรียกประชาชนมาช่วย คนที่ทราบข่าวก็มากันเองตั้งมากมาย ดังนั้น ถ้าอยากเห็นบ้านเมืองจลาจลทั่วประเทศไทย ก็ให้ลองดู แต่ถ้าอยากเห็นพลังประชาชนพันธมิตรฯขอให้รออีกซัก 2-3 วัน คอยดูว่าคราวนี้จะยิ่งใหญ่มากกว่าตอนพันธมิตรฯทำสงคราม 9 ทัพหลายเท่าตัว |