ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


สากล...ศาสนา 9


สากลจักรวาลสากลศาสนา
ธรรมสามีวินิจฉัย ( ๙ )

 

เมื่อลองกลับมามองศาสนาสากลในรูปรวมอย่างละเอียดอ่อนอีกครั้งหนึ่ง ณ บัดนี้ ก็จะเห็นอยู่ว่า ในรูปรวมของการศาสนาสากล แสดงถึงพลังความร่วมมือร่วมใจของศาสนาต่าง ๆ ในการที่จะนำโลกไปสู่ความดีงาม โดยเป้าหมายที่แตกต่างกัน ด้วยภูมิปัญญาของศาสดาของแต่ละศาสนาที่แตกต่างกัน ด้วยหลักธรรมคือพระคัมภีร์สูงสุดของแต่ละศาสนาแตกต่างกัน แต่ภาระพื้นฐานที่ร่วมกันอยู่โดยบังเอิญของการศาสนาทั้งหลาย ที่เป็นเป้าประสงค์จริง ๆ ที่ร่วมกันจริง ๆ ในความหมายของการศาสนาสากลนั้นก็คือ การป้องกันโลกจากความเสื่อมทรามลงไป นั้นคือ ป้องกันโลกมิให้ไปสู่ความหายนะ คือความตาย หรือความพินาศ โดยโครงสร้างของคำสอนของ ศาสนาทุกศาสนา โดยสภาวะภูมิธรรมภูมิปัญญาของศาสดาของแต่ละศาสนา ที่เริ่มด้วยการสอนจากการมองของแต่ละศาสดาที่ตรงกันในระดับพื้นฐานของสัจธรรมทั้งปวง ก่อเกิดความหมายที่ตรงกันคือ พยายามย้ำว่า โลกมีแนวปกติวิสัยประจำสันดารอยู่คือโน้ม ไปสู่ซาตาน ความชั่วร้าย ซาตานหรือความชั่วร้าย หรือตามหลักศาสนาพุทธระบุว่าตัณหา3อย่างมีปกติธรรมดาชักจูงใจคนทั้งหลายที่เป็นปุถุชนให้ไหลไปทางต่ำ คือไปสู่ความหายนะ หรือความพินาศ บทบาทของศาสนาตรงกันในแง่ที่พยายามสร้างปราการป้องกันขึ้นมา อันนี้เป็นภาระหน้าที่ชั้นต้นของศาสนาทั้งหลาย ศาสนาทั้งหลายมีภาระร่วมกันในการป้องกัน มิให้โลกมนุษย์เสื่อมลงไปสู่ความหายนะเป็นเบื้องต้น เสียก่อน แล้วไปสู่ความพยายามในภาระขั้นสูง และสูงสุดต่อไป นั่นคือพยายามพาโลกไปสู่สิ่งที่ดีที่ประเสริฐ ที่ปลอดภัยที่สุดของมนุษย์ ตามคติความเชื่อ และภูมิปัญญาของแต่ละศาสดาของแต่ละศาสนา

 

 

ครั้นเมื่อมองสถานการณ์สากลแห่งศาสนาทั้งหลาย ในประเด็นตวามหมายที่ว่าศาสนาสากลคือปราการร่วมกันที่ป้องกันโลกมิให้ตกต่ำ บัดนี้ก็จะพบแล้วว่า ปราการที่เคยแข็งแรงมาก่อนด้านคริสต์ศาสนากำลังเป็นจุดอ่อนที่สุดของการศาสนาสากล ด้วยเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ คำสอนของคริสต์ศาสนา โดยพระคัมภีรไบเบิล นั้น มีจุดอ่อนและเปราะบางอย่างยิ่งในตัวหลักการสูงสุดคือเรื่องพระเจ้า กับเรื่องพระเยซู ผู้ทำหน้าที่ศาสดาของศาสนานี้ อันเนื่องมาจากข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิลเกิดขัดแย้งกันเอง ทุก ๆ เรื่องราว ไม่ว่าเรื่องราวอันสูงสุดคือเรื่องราวของพระเจ้าเอง เรื่องราวของพระเยซูเอง ที่ออกมาแปลกประหลาดตามทัศนะการมองของคนยุคใหม่ กระทั่งบทบาทของศาสนาคริสต์ในปัจจุบันที่เป็นการเมือง อย่างขัดแย้งอุดมการณ์การศาสนาสากลอย่างเป็นตรงกันข้าม ทำให้ภาพพระเจ้ากลายเป็นซาตาน ซาตานกลับเป็นพระเจ้า พระเยซู บุตรพระเจ้า กลายเป็นคนวิกลจริต อยู่ใต้อำนาจของซาตานไปอย่างเป็นตรงกันข้าม กับความที่ควรจะเป็น ในทัศนะของสามัญชนคนธรรมดาทั้งหลาย ทำให้เกิดจุดที่เปราะที่อ่อนในศาสนาคริสต์ ที่กล่าวเนื้อความภาษาศาสนาไม่เป็นสัจธรรม

นอกจากนี้ ในตัวพระคัมภีร์ไบเบิลยังมีตัวอย่างอยู่อีกมากมาย ที่ถูกรจนาขึ้นมาค่อนข้างอ่อนในเชิงเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นแม้กระทั่งทัศนะของพระเยซูเองที่กล่าวถึงซาตานไว้ว่า ซาตานมีคุณสมบัติ 2 อย่าง คือ เป็นผู้ฆ่าคน และเป็นผู้ไม่มีความสัตย์ แต่ความหมายของซาตาน ตามที่พระเยซูให้นิยามไว้นี้ แท้จริงกลับไปตรงกับคุณสมบัติของพระยะโฮวาห์ ในพระคัมภีร์เยเนซิส เพราะในพระคัมภีร์นี้กล่าวว่าในสมัยโลกเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ พระเจ้าได้เคยทำน้ำท่วมโลก จนคนสัตว์พืชตายหมดโลกไปครั้งหนึ่ง เหลืออยู่แต่พวกโนอาห์ ในเรือใหญ่เท่านั้นที่สืบเชื้อสายมนุษย์ของพวกเราต่อมาถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้พระเจ้ากลายเป็นฆาตกรผู้ยิ่งใหญ่ แล้วต่อมาพระเจ้าก็ให้สัญญาว่า จะดูแลไม่ให้น้ำท่วมโลกอีกเลยตราบชั่วลูกหลานเหลนโหลนของโนอาห์ ตราบที่มีรุ้งในก้อนเมฆอยู่ตราบใดจะทรงมิให้เกิดน้ำท่วมโลกเลย แต่ก็จะเห็นแล้วว่าพระเจ้าไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อมนุษย์ ตามที่พระคัมภีร์เยเนซิส จารึกเอาไว้ ครั้นพระเยซูเกิดมาทีหลัง ทรงให้นิยามคำว่าซานตานออกมาว่า มันเป็นผู้ฆ่าคน และไม่รักษาความสัตย์ ก็คล้ายกับว่า พระเยซูกล่าวโทษพระยะโฮวาห์ พระบิดาของพระองค์เอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง กลายเป็นเรื่องราวที่ขัดกันอย่างรุนแรงในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ของผู้รจนาพระคัมภีร์ที่มองแคบและสั้นเกินไป จึงทำให้คำสอนในศาสนาคริสต์ ตามไบเบิลดังกล่าวออกมา เสมือนคำสอนเด็ก ๆ ในสมัยเก่าก่อน ที่สอนโดยอ้างสิ่งไม่มีตัวตนมาข่มขู่เด็ก ๆ ให้เชื่อฟังและอยู่ในโอวาท ครั้นเด็กเติบโตขึ้น ก็ค่อยเห็นไปตามลำดับว่า คำข่มขู่นั้น หามีความจริงอยู่ไม่ เด็กก็กระด้างกระเดื่องขึ้นและในที่สุดก็ไม่ยอมอยู่ใต้โอวาทอีกต่อไป

ทางฝ่ายศาสนจักรเองก็รู้ดีถึงจุดอ่อนนี้ จึงพยายามทำศาสนาให้เป็นการเมือง และดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อต่อไป โดยหวังจะดำรงสถาบันเอาไว้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า เป็นโทษต่อศาสนาคริสต์ยิ่งขึ้น เพราะบุคคลระดับผู้นำของโลกยุคนี้ ล้วนเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่เพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ และปรีชาวุฒิ ยิ่งกว่าคนยุคก่อนมากมาย จนสามารถค้นความจริงอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับโลกและจักรวาล ที่สามารถตอบโต้พระวาทะของพระเจ้ายะโฮวาห์ ผู้ทรงอวดอ้างว่าทรงสร้างโลกนี้ในเวลา7วัน และนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเป็นฝ่ายถูกต้องในสัจธรรมยิ่งกว่าพระเจ้า ถูกต้องกว่าในเชิงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ จึงยิ่งกลายเป็นจุดอ่อนทางศาสนาคริสต์ ทางปราการด้านนี้ต่อไปอีก และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ การที่องค์กรศาสนาใช้นโยบายที่อิงสนิทกับฝ่ายวัตถุนิยม โดยมีเป้าหมายอย่างวัตถุนิยมคือหวังครอบงำโลกทั้งหมด พยายามทำศาสนาคริสต์ให้เป็นการเมืองระดับโลก เพื่อหวังผลในการครอบงำโลกอย่างการเมือง ทำให้เกิดผลเสียหายต่ออุดมการณ์ศาสนาเอง ที่เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจนชัดแจ้งก็คือวัตถุนิยม วัตถุนิยมจึงเริ่มขึ้นในประเทศที่เป็นปราการศาสนาด้านที่ศาสนาคริสต์รับผิดชอบอยู่ จนกระทั่งบัดนี้ปราการด้านนั้นถูกทะลวงเป็นช่องโหว่ใหญ่ พังพินาศลงไปแล้ว โลกอเมริกา และยุโรปทุกวันนี้ จึงเป็นแดนวัตถุนิยมไปทั้งสิ้น และศาสนาคริสต์ก็กำลังถูกกลืนเป็นวัตถุนิยมไปช้า ๆ และ หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดเคารพเชื่อถือในสัจธรรมคริสต์ศาสนาอย่างจริงจังไม่ ศาสนาคริสต์ทุกวันนี้จึงเป็นเพียงส่วนประกอบของลัทธิใหม่คือวัตถุนิยมชนิดหนึ่ง ที่รับใช้วัตถุนิยมทั้งมวล เท่านั้นเอง

 

 

และเมื่อใดที่พระคัมภีร์ไบเบิลถูกศึกษาอย่างทะลุปรุโปร่ง และเห็นความจริงว่า แท้ที่จริงศาสนาคริสต์ก่อตั้งขึ้นมาเป็นศาสนาได้เป็นเพราะผลการโฆษณาชวนเชื่อแท้ ๆ แล้ว เมื่อนั้น การศาสนาคริสต์ก็คงจะสลายซึ่งแก่นธรรมไปสิ้น คงเหลืออยู่ก็เพียงเปลือก คือศาสนพิธีกรรมต่าง ๆ อันกลับไปเป็นเปลือกแห่งวัตถุนิยมอย่างเต็มตัว ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือการโฆษณาชวนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามคำสั่งพระเจ้าผู้เป็นพระบิดา ครั้นทรงกระทำภารกิจพระบิดาแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่สวรรค์ สถิตร่วมอาสน์กับพระเจ้า ณ เบื้องขวาพระองค์มาจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งเป็นการแปลความหมาย ที่ทรงถูกลงโทษตรึงกางเขน จนสิ้นพระชนม์ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ โดยไม่คำนึงความจริงว่าพระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ มีบิดาเป็นมนุษย์และมีมารดาเป็นมนุษย์ กับทั้งมีน้อง ๆ ของพระองค์เป็นมนุษย์ ครั้นทรงเติบโตขึ้น ก็มีเหตุให้เหลิงหลงผิด จนกระทำผิดฐานดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมืองเยรูซาเล็ม เป็นโทษฐานหมิ่นประทาท และทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่นตามกฎหมายขณะนั้น จึงถูกตัดสินตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์ และพระศพก็ถูกฝังเอาไว้ณชานเมืองเยรูซาเล็มมาตราบเท่าทุกวันนี้ มิได้ลอยขึ้นอากาศกลับไปสวรรค์ดั่งที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนเอาไว้ แม้สืบต่อมา ถึงยุคปัจจุบัน ความถูกครอบงำโดยวัตถุนิยม ก็ทำให้เกิดวัฒนธรรมเพี้ยน ๆ เกิดประเพณีที่ล่อแหลม ต่อความเสื่อมทางกามารมณ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นบัญญัติประเพณีวัน วาเลนไทน์ (valentine) ขึ้นมาให้ความเหิมเกริมแด่กามตัณหา แล้วไม่สามารถกำหนดวัฒนธรรมหรือมาตรการที่ดูแล ควบคุมให้เรื่องราวอยู่ในกรอบอันดีงามที่เอื้อแด่สภาวะแวดล้อมแห่งการศาสนาสากล ทำให้สังคมเกิดการคลุ้มคลั่ง เหลิงไปในกามตัณหาอย่างเมามันยิ่งขึ้น เป็นทางทำลายตนเองคือสังคมด้านศาสนาคริสต์ลงก่อน แล้วทำลายปราการศาสนาด้านอื่น ๆ ต่อไป

 

 

มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ พระคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวโทษของกาม ความมักมากในโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และที่สุดพระคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ประนามอย่างหนักในเรื่องของ ราคะ ตัณหา ปรากฎเป็นอุทาหรณ์เรื่องนครบาบิโลนล่ม ว่าเดิมบาบิโลน อยู่กลางทะเลใหญ่ เจริญด้วยวิทยาศาสตร์และวิทยาการ มีเรือสินค้าออกเดินทะเลไปทุกทิศทั่วแคว้นต่าง ๆ ของโลก จึงสามารถกอบโกยสมบัติมาจากทุกแว่นแคว้นของโลก กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งร่ำรวยด้วยแก้วแหวนเงินทอง แล้วเป็นวัตถุนิยมอย่างเต็มที่ เป็นเมืองแห่งความฟุ่มเฟือยด้วยตัณหาลามก ประชาชนคนทั้งเมืองต่างพอใจดื่มเหล้าองุ่นแห่งความกำหนัดในการล่วงประเวณีของนครนั้นและบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลกได้เดินทางมาเพื่อเสพตัณหาลามก เพื่อล่วงประเวณีกับนครนี้ นครบาบิโลนสร้างแต่บาป จนบาปของนครบาบิโลนกองสูงขึ้นถึงสวรรค์ พระเจ้าทรงทราบก็มีพระพิโรธจัดจึงทรงพิพากษาลงโทษให้จมลงใต้สมุทร ภายในชั่วโมงเดียว กลายเป็นแดนแห่งปีศาจมาจนเท่าทุกวันนี้ ซึ่งเรื่องการลงโทษเมืองบาปนครบาป ที่กระทำผิดประเวณี พอกพูนราคะตัณหาเช่นบาบิโลนนี้ บ่งบอกถึงคำสอนของศาสนาคริสต์ เรื่องพระเจ้าทรงเห็นโทษของกาม จึงทรงห้ามการราคะตัณหาใดใดในหมู่มนุษย์ กามจึงเป็นข้อต้องห้ามอย่างสำคัญของพระเจ้า เป็นหลักการศีลธรรมพื้นฐานของศาสนาคริสต์

 

 

แต่ทุกวันนี้ เราก็ได้เห็นกันว่า ชาวอเมริกันในอเมริกา และชาวตะวันตกทั่วไป กลับฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปกับกามารมณ์ มีการเสพกามกันอย่างหลายหลากโดยไม่คำนึงกฎทางศีลธรรม จนกระทั่งมีการจัดตั้งชมรมความรักขึ้นมาอย่างหลายหลาก แม้กระทั่งชมรมคนรักร่วมเพศเดียวกันก็แต่งงานกันได้ มีศูนย์กลางการกามบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมนุษย์ คือฮอลลีวู๊ด ที่ท้าทายพระพิโรธของพระเจ้า เยื่ยงเดียวกับความพิโรธต่อบาบิโลนในไบเบิล ด้วยการประพฤติตนฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน ที่บ่งบอกถึงการทรยศต่อพระเจ้าของชาวอเมริกัน และสังคมอเมริกัน บ่งบอกถึงการดูหมิ่นดูแคลน การข้ามกรายฝ่าฝืน ต่อพระเจ้าผู้ทรงอำนาจมหิมายิ่งใหญ่ ซึ่งทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากสาเหตุที่พระคัมภีร์ไบเบิล ถูกรจนาขึ้นจากมนุษย์ปุถุชน และจินตนาการทั้งด้านรูปธรรม นามธรรมของผู้รจนา มีความบกพร่องไม่สัมพันธ์กัน ในเชิงเหตุผลที่สมบูรณ์ เมื่อกล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้า อันเป็นนามธรรมอันยิ่งใหญ่มหึมา แต่ทางรูปธรรมที่ปรากฎกลับขัดแย้งความหมายแห่งนามธรรมนั้นอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม กลับสูงเป็นต่ำ กลับต่ำเป็นสูง กลับดีเป็นชั่วกลับชั่วเป็นดี กลับถูกเป็นผิด กลับผิดเป็นถูก กลับความจริงเป็นความเท็จ กลับความเท็จเป็นความจริง กลับพระเจ้าเป็นซาตาน กลับซาตานเป็นพระเจ้า ซึ่งปรากฎเป็นสิ่งที่น่าฉงนฉงาย ประหลาดใจ และคงลงความเห็นไม่แตกต่างจากคนสมัยนั้น เพราะการที่มนุษย์มีเลือดเนื้อ มีกำเนิดจากบิดามารดา ที่เป็นมนุษย์คู่หนึ่ง มาอ้างว่าตนเป็นบุตรพระเจ้าลงมาจากสวรรค์ มาตามคำสั่งของพระบิดาเพื่อมาช่วยโลกให้รอด โดยกล่าววาจาเพ้อเจ้อต่อคนทั้งหลายว่า For God so loved the world that He gave His only-begotten Son, so that whoever believes in Him should not perish, but have everlasting life. [John 3:16 = เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์]

 

 

ซึ่งคนยุคนี้ ก็ลงความเห็นกันทีเดียวว่า น่าจะเป็นสิ่งที่บอกเหตุความผิดปกติทางระบบประสาทหรือทางจิตใจของพระเยซู มากกว่าจะมีความจริงตามภาษาที่พูด

 

เรื่องราวในพระคัมภีรไบเบิลที่ไร้สัจธรรมเช่นนี้ จึงทำให้คนยุคใหม่ฉงนฉงาย เพราะเป็นนามธรรมที่ไม่สอดคล้องกับรูปธรรมที่ปรากฎ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องพระเจ้าทำน้ำท่วมโลก จนกระทั่งคนตายหมดโลก นั้น ทำให้คิดไปได้ว่า แท้จริง ในความเป็นจริงตามหลักกฎหมายสากลระหว่างประเทศ พระเจ้าได้กระทำความผิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของมวลมนุษย์โดยการไตร่ตรองเตรียมการไว้ก่อนเป็นอย่างดี ย่อมมีความผิดตามกฎหมายของหมู่มนุษย์ ในโลก ควรที่หมู่มนุษย์ในโลกจะต้องสืบสวนเค้าความจริง ทำเป็นคดี แล้วดำเนินการตามกฎหมายอาญาของหมู่มนุษย์ต่อไป นั่นคือให้ตำรวจโลกตามจับกุมตัวพระเจ้ายะโฮวาห์มาลงโทษบนโลกมนุษย์ ตามกฎหมายของชาวมนุษย์ จึงจะเกิดความเป็นธรรมตามหลักการปกครอง RULE BY LAW ของมนุษย์

 

กรณีเช่นนี้แหละที่ทำให้พระคัมภีร์ไบเบิลเสื่อมไปจากความเชื่อถือศัทธาของมนุษย์ยุคใหม่ และขาดความเคารพ ไม่เชื่อถือในพระเจ้าต่อไป เป็นเหตุให้กำเนิดลัทธิวัตถุนิยมขึ้นมา บ่อนทำลายโลกไปทีละน้อย ๆ อยู่ในขณะนี้

 

แนวศาสนาสากลอีกแนวหนึ่งที่เริ่มจะเสื่อมสลายลงไปก็คือแนวศาสนาอิสลาม ที่มีความบกพร่องอยู่ในแง่ที่ ไม่สามารถเสนอแนวทางสันติวิธี ในการแก้ปัญหาได้ ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเงื่อนไขสำหรับความรุนแรง อย่างขาดเสียมิได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ศาสนาอิสลาม ไม่สามารถจำกัดขอบเขต หรือควบคุมเงื่อนไขความรุนแรงนี้ได้ ความรุนแรงจึงนับวันขยายวงออกไปทั่วโลก โดยผลของการไม่สามารถควบคุมความรุนแรง ที่ศาสนาอิสลามเองเปิดเงื่อนไขไว้ให้ แต่กลับไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในโอวาทของตน จึงกลายเป็นปัญหาความบกพร่องของศาสนาสากลที่กว้างใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง เพราะเมื่อศาสนานำวิธีความรุนแรงมาใช้ ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางเทกนิกกว่าฝ่ายวัตถุนิยม ที่มีความเจริญทางเทกนิกกว่าทุกด้าน จึงนำไปสู่ความกำเริบเสิบสานของโลกวัตถุนิยมยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือกรณีอาฟกานิสถาน และบิน ลาเดน ขบวนการก่อการร้ายสากลของมุสลิม นั่นเอง โดยที่เข้าใจผิดในประเด็นอุดมการณ์ของศาสนาสากล ว่า "องค์อัลเลาะห์อยู่กับเรา" เพราะแท้จริง สัจธรรมมีว่า "พระเจ้

าย่อมไม่เข้าข้างคนผิด" แม้กระนั้นก็ตาม อัลเลาะห์ของพวกเขา ก็ไม่มีอิทธิฤทธิ์ใด ๆ ไม่มีองค์อัลเลาะห์เสด็จมาห้ามการระเบิดของลูกระเบิด ที่ทิ้งจากฝ่ายอเมริกาเป็นเวลากว่า 100 วัน จนอาฟกานิสถานถล่มราบไปหมด ซึ่งเป็นข้อพิศูจน์ได้อย่างดีว่า ทฤษฎีวิทยาศาสตร์นั้น เป็น สัจธรรม ทำให้โลกคลายความเชื่อถือในพระเจ้าลงไป จนกระทั่งชาวโลกดูเหมือนจะพบสัจธรรมใหม่ว่า "ความมีพระเจ้านั้น เป็นการหลอกลวง"

ปราการที่ยังคงกร่อนลงไปเรื่อย ๆ อีกเช่นกันก็คือฮินดู ซึ่งขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามพิศูจน์อยู่ว่าแม่น้ำคงคา มิใช่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตามที่พวกฮินดูเชื่อ ว่าไหลลงมาจากปิ่นพระเกศีขององค์อิศวรพระผู้เป็นเจ้าบนเขาหิมาลัยแต่อย่างใด และเมื่อถึงวันหนึ่ง เกิดโรคระบาดคุ้งแม่น้ำคงคาแล้ว ฮินดูก็จะเสื่อมลงทันตาเห็นทันที ปัญหามลพิษอันเนื่องมาจากชาวฮินดูมีประเพณีเผาศพบนฝั่งแม่น้ำคงคา แล้วกวาดเถ้ากองฟอนทั้งหลายทิ้งลงแม่น้ำคงคา เป็นประจำมาทุกวันทุกเดือนทุกปีเป็นระยะเวลานานมาแล้ว ก็จะเกิดขึ้น เพราะพวกเขาทำกันมาเนิ่นนานแล้ว ในที่สุดแม่น้ำก็คงจะสุดกำลังรับการกระทำที่ไร้เหตุผลเช่นนั้นได้

 

ยังมีแนวปราการแห่งศาสนาสากลด้านทวีปเอเซีย ที่มีศาสนาพุทธคุ้มครองป้องกันอยู่ ความเสื่อมได้เริ่มด้วยการหยุดความเคลื่อนไหวของศาสนาลง ไปสู่ความอืดแล้วนิ่งกับที่ แล้วค่อยแปรปรวนไปเพื่อเอาตัวรอดโดยสัญชาติญาณการอยู่รอด และในอาการกริยาการดิ้นรนเอาตัวรอดนั้นเอง ทำให้อุดมการณ์อันสูงสุดของศาสนาสิ้นสุดลง หยุดการก้าวไปตามปกติอันควร จนในที่สุดก็โน้มไปในทางที่ปฏิเสธอุดมการณ์อันสูงสุดของตนเอง

 

ความเสื่อมของศาสนาพุทธในระยะหลัง ๆ ยังเป็นเหตุมาจากภัยภายนอกศาสนาพุทธเอง คือมาจากภัยของต่างศาสนา คือคริสต์คาทอลิก ที่เป็นการเมือง แอบอิงมากับการขยายจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจ การสูญเสียเอกราชทางการเมือง ของประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติหลายประเทศ นับตั้งแต่ลังกา พม่า เกาหลี เวียดนาม ลาว แม้ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง กัมพูชา เป็นต้นก็ดี เป็นเหตุให้องค์กรคริสต์คาทอลิกได้โอกาสเข้าครอบงำการบริหารประเทศนั้น ๆ และถือโอกาสเปลี่ยนแปลงศาสนาประจำชาติ พุทธเป็นคริสต์ แต่ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้


ในประเทศไทย ที่ศาสนาและการเมืองมีความมั่นคงที่สุดในเอเซียยุคล่าอาณานิคม องค์กรคริสต์ก็ยังพยายามจะแผ่อิทธิพล เข้ามาในรูปการแซกแทรงทางการเมือง พยายามจะเข้าครอบงำความคิดระดับนโยบายต่างประเทศ และนโยบายการศึกษา เห็นได้ชัดเจนในสมัยที่มีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษายุคที่มีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเป็นคริสต์เตียน โดยพยายามแทรกเรื่องการศาสนาคริสต์เข้าไปในหนังสือสอนทางศีลธรรม อย่างไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

ตัวอย่างเช่น แบบเรียนสังคมศึกษา ศีลธรรม ชั้นประถมปีที่ 5 (โดยแปลก สนธิรักษ์ กับ เปลื้อง ณ นคร เป็นผู้เรียบเรียง) เมื่อพูดถึงศาสนาคริสต์ มีข้อความสำคัญดังนี้

"ตั้งแต่พระเยซูประกาศศาสนามา ก็มีศัตรูคิดกำจัดพระองค์ เพราะเขาเห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาดั้งเดิม จึงจับพระเยซูให้แบกไม้กางเขนขึ้นไปบนภูเขา แล้วเอาตะปูตอกพระองค์ตรึงกับไม้กางเขนเพื่อเป็นการประจาน พระองค์ทรงยอมรับการทรมานจนสิ้นพระชนม์ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ พระเยซูได้ตรัสว่า "ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับความรักของผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย" "จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน" "พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยโทษเขา เขาไม่ทราบว่ากำลังทำอะไรลงไป" (ดู แบบเรียนสังคมศึกษา ศีลธรรม ชั้นประถมปีที่ 5 ตามหลักสูตรหมวดวิชาสังคมศึกษา พ.ศ.2520 บริษัทสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด พิมพ์ พ.ศ.2521 หน้า 10)

ซึ่งไม่สอดคล้องกับเนื้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะคำดำรัสของพระเยซูก่อนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มิตรงความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิลเลย ในเรื่องประวัติ ก็มิได้เรียบเรียงประวัติพระเยซูให้ตรงตามเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งโดยแท้จริง ประวัติของพระเยซูค่อนข้างจะชัดเจนในประเด็นสำคัญที่ว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรของโยเซฟ นายช่างไม้กับนางมารี แห่งหมู่บ้านนาซาเรธ แต่กลับทรงเข้าพระทัยผิดว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรพระเจ้าลงมาจากสวรรค์ มาตามคำสั่งของพระบิดา เพื่อช่วยโลกให้รอดจากความพินาศ จึงทรงประกาศตนไปตามที่พระองค์ทรงเข้าพระทัยดั่งนั้น อันเป็นต้นเหตุให้ชาวยูเดียยุคนั้นเข้าใจว่าพระองค์เป็นคนวิกลจริตมีผีสิงพระองค์อยู่ทำให้ทรงพูดเลอะเลือนไปว่าทรงลงมาจากสวรรค์ และด้วยเหตุที่ทรงเข้าพระทัยผิดไปเช่นนั้น จึงทรงก่อเรื่องราวที่ไม่เหมาะสมขึ้นตลอดเวลา 3 ปีสุดท้ายที่ทรงพระชนม์อยู่ เริ่มตั้งแต่ก่อคดีทำร้ายร่างกายทรัพย์สินประชาชน โดยเข้าพระทัยผิดว่าคนเหล่านั้นทำวิหารของพระบิดาของพระองค์สกปรก ทรงท้าทายชาวกรุงเยรูซาเล็มว่าให้ทำลายพระมหาวิหารลงแล้วจะทรงยกขึ้นใหม่ในสามวัน อันเป็นการยกตนโอ้อวดอภินิหาร แล้วนานวันต่อมาก็ถึงกับยกตนเสมอพระเจ้า โดยประกาศตัวว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในพระองค์ พระองค์อยู่ในพระเจ้า ทำให้ประชาชนไม่พอใจเพราะเห็นอยู่ว่าพระเยซูเป็นคนธรรมดา มีบิดาชื่อโยเซฟ มีมารดาชื่อมารี การที่พระเยซู ยกตนขึ้นเสมอพระเจ้า เป็นการหมิ่นประมาทต่อพระเจ้า จึงพยายามที่จะจับตัวพระองค์ไปประชาทัณฑ์หลายครั้ง แต่ทรงหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง แต่ในที่สุดก็ทรงหนีไปไม่พ้นเมื่อล่วงไปเกือบ3ปีต่อมา ด้วยการติดสินบนสานุศิษย์ของพระองค์เองคือ ยูดาส อิสคาริโอท สาวกคนที่13 ของพระองค์ เป็นเงิน 30 เหรียญ ฝ่ายบ้านเมืองก็ตามจับพระองค์ได้ในที่ซ่อน และศาลตัดสินให้ลงโทษพระองค์สถานหนักด้วยการตรึงกางเขน ก่อนจะสิ้นพระชนม์ทรงร้องด้วยเสียงอันดังว่า "เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี" แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" ซึ่งนี่คือคำพูดสุดท้ายของพระเยซู ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ไบเบิล ส่วนที่อยู่ในหนังสือเรียนที่ระบุว่าเป็นคำพูดสุดท้ายของพระองค์ที่ว่า "ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่ เท่ากับความรักของผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย" "จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน" "พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยโทษเขา เขาไม่ทราบว่ากำลังทำอะไรลงไป"กลับไม่ปรากฏว่ามีในพระคัมภีรไบเบิลเลย


เพราะมีพระคัมภีร์อยู่เพียง4เล่มที่กล่าวเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคือ มาระโก 15:33-41, มัทธิว 27:45-51, ลูกา 23:44-49 และ โยฮัน 19:28-30 ดังนี้

มาระโก : and at three o'clock Jesus cried with a great voice,"Eli, Eli, lama sabachthani?"which means ,"My God,My God,Why have You forsaken Me?" Some of the bystanders,as they heard it,said, "Notice,He is calling for Elijah."  But one ran and soaked a sponge in vinegar,then fixed it to a reed and gave Him a drink,with the remark,"Hold on,let us see if Elijah comes to take Him Down." But having uttered a strong cry,Jesus died.[MARK 15:34-37 ="พอบ่ายสามโมงแล้ว พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี"แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นก็พูดว่า "ดูเถิดเขาเรียกเอลียาห์" มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลบายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวยแล้วว่า "ให้เราคอยดูว่า เอลียาห์ จะมาปลดเขาลงหรือไม่ ฝ่ายพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็สิ้นพระชนม์]

มัทธิว : From 12 o'clock until three darkness lay on all the land; and at about three o'clock Jesus cried out with a loud voice, Eli, Eli, Lama sbachthani ? that is, "My God, My God, why have You forsaken me ? Some of the bystanders who heard it,said,"He is calling for Elijah." And at once one of them ran,took a sponge,dipped in it vinegar and,putting it on a reed, offered it to Him to drink.But the others said "Hold on! Let us see if Elijah comes to save Him."Jesus once more crying with a loud voice,and dismissed His spirit. [MATTHEW 27:45 -50 = แล้วก็บังเกิดมืดทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า เอลี เอลี ลามาสะบักธานี แปลว่า พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย ?"บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า "คน ๆ นี้เรียกเอลียาห์" ในทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย แต่คนอื่นร้องว่า "อย่าเพ่อก่อน ให้เราคอยดูซิว่า เอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่" ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์"]

ลูกา : It was then about 12 o'clock, and darkness came over the whole land, which lasted until three in the afternoon, due to the sun'eclipse. And the viel of the temple was torn in two.With a loud voice Jesus cried,"Father, into Your hands I entrust My spirit!" And with these word He died. [LUKE 23:44-46 = เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า "พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ พอสิ้นพระดำรัสก็สิ้นพระชนม์]

โยฮัน : After this , since Jesus knew that everything was already completed,in order that the scripture might be fulfilled,He said, "I am thirsty."  A vessel full of vingar stood there,so they put a sponge soaked in vinegar on hyssop and hell it to His mount.When Jesus had taken the vinegar,He said, "It is finished!"  Then,bowing His head,He yield up His spirit. [John 19:28-30 = หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อให้เป็นจริงตามพระธรรม พระองค์จึงตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" มีภาชนะใส่น้ำส้มองุ่นวางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำชุบน้ำส้มองุ่นใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์]


ซึ่งจะเห็นว่า ไม่มีข้อความใดที่ตรงกับหนังสือศีลธรรมที่สอนนักเรียนไทยเลย ที่มีในพระคัภีร์ไบเบิลจริง ๆ ตรงกันถึง 2 พระคัมภีร์ก็คือ คำว่า Eli, Eli, Lama sbachthani ? : พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย ? หมายความว่า มีความพยายามบิดเบือนคำสอน เอาสิ่งที่ไม่เป็นความจริงไปสอนนักเรียนไทยให้เข้าใจผิดไปจากข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์ไบเบิล โดยไปเอาคำสอนจากภาพยนต์ ที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง ที่แต่งเรื่องราวเป็นนิยายมากกว่าความจริงมาสอนแทนพระคัมภีร์อันสูงสุดของศาสนา ลักษณะอย่างนี้แหละที่ทำลายความน่าเชื่อถือของศาสนาคริสต์ลงไปตามลำดับ ๆ เพราะคนเริ่มพบเห็นการมดเท็จหรือการโฆษณาชวนเชื่อในศาสนานี้มากขึ้น ๆ

 

ในขณะที่องค์กรคริสต์พยายามอย่างเต็มที่ ๆ จะให้มวลชนเห็นว่าการศาสนาต่าง ๆ มีความดี คริสต์เองก็มีบุญคุณต่อสังคมไทยประเทศไทยไม่น้อยไปกว่าศาสนาพุทธ ต่างก็มุ่งสร้างสรรค์สังคมไทยไม่น้อยกว่ากัน ไม่พึงที่มวลชนจะยกข่อดีข้อเสียของศาสนามาเปรียบเทียบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตนเองจากการเจาะลึกไปศึกษาพบสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลของคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลอยู่จริง และตัวอย่างนี้เป็นอีกเพียงตัวอย่างหนึ่ง ของการพยายามอย่างมีชั้นเชิงของการโฆษณาชวนเชื่อต่อสังคมไทยของศาสนาคริสต์

 

 

และการที่เกิดผลเช่นนี้ขึ้น ก็แสดงให้เห็นว่า นักการศึกษาและนักบริหารระดับสูงของไทยขาดความรู้ความเข้าใจในศาสนาต่าง ๆ แม้ศาสนาตัวเองอย่างถูกต้องลึกซึ้ง มีความประมาท มองศาสนาอื่นในแง่ดีเกินความเป็นจริง จึงมักคล้อยตามนักการศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ เสมอ ๆ โดยไม่ชอบธรรม ดังตัวอย่างจากหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่แปลและเรียบเรียงโดยชาวไทยพุทธเอง และใช้สอนในระดับมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของประเทศ(ใช้สอนในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) คือ ภควัทคีตา (โปรดดู สมภาร พรมทา ผู้แปลและเรียบเรียง ภควัทคีตา(บทเพลงแห่งองค์ภควัน) รพ.ธรรมสาร จัดพิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2542)

สมภาร พรมทา ผู้แปลภควัทคีตา(บทเพลงแห่งองค์ภควัน) พูดในคำนำตอนหนึ่งว่า

 

 

"เมื่อจับประเด็นตรงนี้ได้ เราก็จะเห็นว่า ตลอดทั้งเล่มหนังสือ ท่านผู้แต่งต้องการแสดงความเป็นจริงของชีวิต และวิถีทางในการพัฒนาชีวิตไปสู่จุดสูงสุดที่เรียกกันว่า 'โมกษะ' หรือ 'ความหลุดพ้น' ความหลุดพ้นที่ว่านี้ก็คือความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายอยู่ในห้วงสังสารวัฏฏ์ (ขีดเส้นใต้โดย บก.)

จุดสูงสุดหรือภาวะสูงสุดที่เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตที่เรียกกันในหนังสือนี้ในรูปต่าง ๆ กัน หากเราเอาไปเทียบกับจุดสูงสุดในคำสอนของศาสนาและลัทธิต่าง ๆ ที่สอนเรื่องนี้ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือความใฝ่ฝันร่วมกันของมนุษยชาติ

เหลาจื๊ออาจจะเรียกสิ่งสูงสุดนี้ว่า 'เต๋า' ในขณะที่ชาวคริสต์อาจเรียกว่า 'พระเจ้า' หรือชาวพุทธอาจจะเรียกว่า 'นิพพาน'

ทั้งเต๋า, พระเจ้า, และนิพพาน ต่างก็คือแบบจำลองความใฝ่ฝันของมนุษย์ เป็นความใฝ่ฝันที่งดงาม สมบูรณ์ เปี่ยมด้วยความสุขสงบ และเป็นจิตสำนึกร่วมระหว่างมนุษยชาติที่ต้องการดิ้นรนจากชีวิตอันทุกข์ทรมานไปสู่ชีวิตที่เป็นสุขอันนิรันดร"

 

 

ความหมายในบทคำนำของหนังสือเล่มนี้ แสดงว่า ผู้แปลและเรียบเรียง ไม่เข้าใจศาสนาตัวเอง และทั้งไม่เข้าใจศาสนาอื่นตามความเป็นจริงที่ศาสนานั้น ๆ มีอยู่เป็นอยู่ นี่คือปัญหาของการเผยแผ่ศาสนาพุทธ ที่มีความบกพร่องในตัวผู้ประกาศศาสนาโดยไม่เข้าใจแก่นแท้แห่งศาสนาตนเอง จึงไม่พยายามให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่ดีล้ำเลิศของศาสนาพุทธว่า แท้จริงเป็นอย่างไร กลับไปอิงอยู่กับถ้อยคำของศาสนาอื่นทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่เข้าใจว่ามีความหมายที่แท้จริงอย่างไร โดยไม่เข้าใจว่าศาสนาอื่นเป็นอย่างไรโดยสภาพที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง คำที่ยกมาข้างต้น คำพูดที่ว่า โมกษะในฮินดู ตรงกับที่เหลาจื๊ออาจจะเรียกสิ่งสูงสุดนี้ว่า 'เต๋า' ในขณะที่ชาวคริสต์อาจเรียกว่า 'พระเจ้า' หรือชาวพุทธอาจจะเรียกว่า 'นิพพาน' เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เมื่อพูดถึงศาสนาคริสต์ โดยไม่อ่านเอาหลักฐานที่แท้จริงจากพระคัมภีร์ไบเบิล และเมื่อพูดถึงฮินดู ก็อ่าน ภควัทคีตา ไม่แตก แล้วยกมาเทียบระดับกับสิ่งที่ลึกซึ้ง เลิศเลอ สูงสุด แต่ตนไม่รู้ซึ้งถึงความเลิศเลอ สูงสุดนั้น ว่าอยู่ร่วมกันหรือห่างไกลกันอย่างไร ก็กลายเป็นการยกสิ่งที่ต่ำต้อยขึ้นมาสูง และ ดึงสิ่งที่สูงส่งให้ลงมาต่ำ โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน

ในกรณีของศาสนาคริสต์ บัดนี้ก็คงจะเข้าใจดีแล้วว่า แท้จริงเรื่องราวของศาสนาคริสต์เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างความเป็นศาสนาขึ้นมาได้และสามารถดำรงอยู่ด้วยการเมือง และกรณีของฮินดู ในภควัทคีตา แท้จริง เป็นเรื่องของการเมืองและการทหารล้วน ๆ ดังจะเห็นแล้วว่าผู้เขียน ภควัทคีตา คือฤาษีกฤษณะ ไทวปายนวยาส เขียนเรื่องราวขึ้นมาจากเค้าเรื่องจริงในอินเดียยุคเก่าก่อนยุคที่เคยมีสงครามใหญ่2ครั้ง เป็นเหตุแห่งวรรณกรรมมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย2เรื่อง คือ รามายณะ ที่เกิดจากจินตนาการของสงครามใหญ่ครั้งที่1 และ ภควัทคีตา ที่เกิดจากจินตนาการของสงครามใหญ่ครั้งที่ 2 นี้ และครั้งที่2 นี้ก็มีการรบขนาดใหญ่เป็นมหาสงครามภารตะเกิดขึ้นที่ทุ่งกุรุเกษตรจริง แต่ก่อนที่จะเกิดการรบครั้งใหญ่ ณ ท้องทุ่งแห่งกุรุเกษตรนั้น ก็ได้มีเหตุที่ไปที่มาของภควัทคีตาเล่มนี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของสงคราม เมื่อทั้งสองฝ่ายเคลื่อนทัพมาพบกันแล้ว อรชุน แม่ทัพใหญ่ข้างพระกฤษณะ ได้บังเกิดความท้อพระทัยในการรบขึ้นมา และจะไม่ยอมออกรบ


ข้อควรคิดอยู่ที่สัจธรรมที่ว่า ตามธรรมดาเมื่อมีสงครามสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปรารถนาชัยชนะ ไม่มีใครปรารถนาความพ่ายแพ้ เพราะหากแพ้สงครามก็ย่อมหมายถึงการสูญเสียเอกราช เสียแผ่นดิน เสียเมือง เสียสิ่งของผู้คนที่รักหวงแหน เสียอิสรเสรีภาพเพราะต้องถูกกวาดล้างไปเป็นข้าทาสของฝ่ายชนะสงคราม แต่จากสถานการณ์ทุ่งกุรุเกษตรเวลานั้น กฤษณะ นายสารถีรถศึกของอรชุน ได้เห็นแล้วว่า อรชุนบังเกิดความกริ่งเกรง ทรงเห็นข้าศึกเข้าแล้วอ่อนพระทัย ท้อถอยในการรบ กฤษณะ ซึ่งเป็นตัวละครที่สะท้อนความคิดจินตนาการของฤาษี กฤษณะ ไทวปายนวยาส ก็มองเหตุการณ์อย่างสามัญชนคนธรรมดา ๆ นี่เอง ว่าเมื่อแม่ทัพท้อถอยเสียแล้วเช่นนี้ การรบก็ย่อมพ่ายแพ้ได้ และแน่นอน กฤษณะ ย่อมมีความปริวิตกหวาดหวั่นอย่างยิ่งต่อความปราชัยในสนามรบ ไม่ประสงค์ให้ฝ่ายตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการสงครามอย่างเด็ดขาด จึงคิดอุบายการปลุกเร้าจิตใจแม่ทัพด้วยปัญญาและด้วยวาทศิลปอันล้ำเลิศประเสริฐสุดยอดทุกชั้นเชิงเพื่อโน้มน้าวจิตใจให้อรชุนฮึกเหิมขึ้นมาให้จงได้

จะเห็นได้ชัดเจนจากเนื้อความในหนังสือเล่มนี้ ที่บ่งความหมายว่ากฤษณะไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าการพูดของพระองค์จะเป็นธรรมหรือเป็นสัจจะหรือไม่ เพียงใด ทรงประสงค์อย่างเดียวคือพูดอย่างไรก็ได้ เพื่อเร้าใจให้อรชุนฮึกเหิมขึ้นมาจนพร้อมรบอย่างองอาจไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป เพื่อที่ฝ่ายของพระกฤษณะเป็นฝ่ายชนะสงครามให้ได้เท่านั้นเอง นี่คือประเด็นสำคัญของความหมายทั้งหมดทั้งสิ้นของภควัทคีตา

ฉะนั้นเรื่องราวทั้งเรื่องในภควัทคีตาก็คือเรื่องการโอ้โลมปฏิโลมทุกวิถีทาง ด้วยวาจายอกย้อนซ่อนเงื่อน เพื่อให้อรชุนมีจิตใจคึกคักพร้อมรบเพื่อชัยชนะเท่านั้นเอง และแท้ที่จริง เมื่อคนฉลาดมีปัญญาด้วยกัน ทั้งอรชุนและกฤษณะ การที่จะพูดกันด้วยเรื่องตื้น ๆ ธรรมดา ๆ ย่อมไม่อาจให้ฝ่ายหนึ่งจำยอมเชื่อถือได้ ฉะนั้นหลักว่าด้วย ปรมาตมัน จากคัมภีรพระเวท จึงถูกนำมาสาธยายกลางสนามรบ อันเป็นการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ณ มหาทุ่งกุรุเกษตร และนั่นเป็นสิ่งที่อรชุนไม่เคยได้รับฟังมาก่อน และหาข้อโต้เถียงกฤษณะ ผู้มีปัญญา อุบายเชิงการพูดเหนือกว่าไม่ได้


วาทะขององค์กฤษณะอันเป็นจุดสุดยอดปรัชญาซ่อนเงื่อนของเรื่องในหนังสือเล่มนี้ ก็คือ

 

 

"อรชุน!เหตุใดท่านจึงทำใจให้หดหู่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้เล่า ความท้อแท้เช่นนี้น่าจะเป็นวิสัยของอนารยชน หาใช่วิสัยของอารยชนเช่นท่านไม่ มันคือทางปิดกั้นมิให้เราเข้าสู่ประตูสวรรค์ อนึ่งเล่าความท้อถอยนี้จะนำมาซึ่งความเสื่อมเกียรติ

อย่าเพิ่งท้อแท้สิ อรชุน ความอ่อนแอเช่นนั้นไม่สมควรกับท่านผู้เป็นนักรบเลย จงขจัดความอ่อนแอในจิตใจ แล้วลุกขึ้นสู้เถิดสหาย (หน้า 9)

 

 

ไม่ว่าเรา, ท่าน, หรือราชบุตรเการพเหล่านั้น ทั้งหมดไม่มีใครเกิดและไม่มีใครตาย

 

อาตมันที่สิงอยู่ในร่างของเราต่างหากที่ลอยล่องผ่านร่างเด็ก,ร่างหนุ่มสาว,และร่างชราของเราไป อาตมันนี้ย่อมจะเข้าสิงอาศัยร่างใหม่เรื่อยไป เมื่อร่างเก่าชำรุดจนใช้งานไม่ได้ ผู้มีปัญญาย่อมไม่คลางแคลงใจในเรื่องนี้ (หน้า 10-11)

 

 

มันคืออาตมัน มันสิงสู่อยู่ในร่างกายมนุษย์ มันคือภาวะนิรันดรเหนือการพิศูจน์หยั่งรู้

 

ใครก็ตามที่คิดว่าอาตมันนี้เป็นผู้ฆ่า หรืออาตมันนี้เป็นผู้ถูกฆ่า คนผู้นั้นไม่รู้ความจริง เพราะอาตมันนี้ไม่เคยฆ่าใคร และใครฆ่าไม่ได้

อาตมันนี้ไม่เกิด ไม่ตาย เป็นสภาวะนิรันดร เที่ยงแท้ไม่มีแปรเปลี่ยน

เมื่อร่างกายของคนถูกฆ่า อาตมันหาได้ถูกฆ่าตามด้วยไม่

อรชุน! ใครก็ตามที่รู้ซึ้งถึงอาตมันอันเป็นสภาวะนิรันดรไม่รู้จักพินาศแตกดับอย่างนี้แล้ว เขาผู้นั้นจะได้ชื่อว่าฆ่าใครหรือถูกใครฆ่าอยู่หรือ" หน้า 11-12

 

ปรมาตมันไม่รู้จักสิ้นสูญ เป็นสภาวะอมตะ ไม่ได้เกิดมาจากอะไร ไม่มีใครทำให้ปรมาตมันเกิด แม้ว่าปรมาตมันนั้นจะตั้งอยู่ในร่างของคนที่กระทำกรรม ผลของกรรมก็มิได้แปดเปื้อนมาถึงปรมาตมัน (หน้า 92)

 

"อรชุน ! เราคือปรมาตมัน ! เราคือผู้สูงสุดเหนือสรรพสิ่งในจักรวาล !
ผู้ใดทราบความจริงอันนี้ ผู้นั้นชื่อว่าหยั่งทราบแล้วซึ่งสรรพสิ่งในโลก"
(หน้า 101)

ซึ่งความหมายของธรรมของพระกฤษณะ โดยความคิดของฤาษี ผู้ประพันธ์ มีคำอธิบายอย่างค่อนข้างชัดเจนอยู่ในเรื่องรหัสยลัทธิ ในหนังสือ กามนิต ซึ่งเสฐียรโกเสสและนาคะประทีปแปลจาก The Pilgrim Kamanita ตอนสำคัญซึ่งอ้างไว้ว่าเอามาจากพระเวท และภควัทคีตาเล่มนี้ โปรดพิจารณาให้ดี แล้วจะเห็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น ดังนี้

"เพราะความว่างเปล่า หมายความตามหลักแห่งเหตุผล คือว่าถ้าข้าพเจ้าตัดหัวคนหรือหัวสัตว์ ดาบของข้าพเจ้าฟันเข้าไปในระหว่างอนุปรมาณูอันแยกไม่ได้ เพราะอนุปรมาณูนี้มีลักษณะแยกไม่ได้โดยแท้ ดาบของข้าพเจ้าจึงไม่ได้ฟันอนุปรมาณู เพราะฉะนั้นดาบที่ฟันลงไป จึงเป็นการฟันในที่ว่างเปล่าระหว่างอนุปรมาณู ก็ความว่างเปล่าใครเล่าจะเป็นผู้ทำอันตรายได้? เพราะการทำอันตรายในสิ่งที่ไม่มีก็เท่ากับไม่ได้ทำอันตรายในสิ่งไร ๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เอาดาบฟันลงไปในที่ว่างเปล่า จึงไม่ต้องรับผิดและจะรับเทวทัณฑ์ไม่ได้" (เสฐียรโกเศศ และ นาคะประทีป กามนิต "ฉบับสมบูรณ์" อมรการพิมพ์ พระนคร 2515 หน้า 94)

 

ซึ่งนี่คือหัวใจคาถาที่ปลุกใจของหมู่โจร ที่ยกมาปลุกใจหมู่โจรด้วยกันให้ฮึกเหิมในการปล้นฆ่าต่าง ๆ ตามเนื้อเรื่องในหนังสือกามนิต และ นั่นคือที่มาแห่งสงครามใหญ่ทุ่งกุรุเกษตร เมื่ออรชุนยอมจำนนด้วยชั้นเชิงแห่งวาทะ จนถูกกล่อมล้างสมอง โดยราบคาบ จากกฤษณะ นายสารถีรถศึก จนถึงกับออกปากว่า

"ข้าแต่องค์กฤษณะ! ข้าหายสงสัยแล้ว! เวลานี้จิตใจของข้าปลอดโปร่งขึ้นมาก! ข้าพร้อมแล้วที่จะกระทำตามคำสั่งของพระองค์" (หน้า 120)

และคำสั่งขององค์กฤษณะก็คือทำสงคราม และที่สุดเกิดสงครามใหญ่แห่งทุ่งกุรุเกษตร มีการเข่นฆ่าล้างผลาญกันจนเลือดนองมหาทุ่ง

ภควัทคีตา จึงเป็นเพียงหนังสือที่ท้าวความถึงวาทะที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การสงครามของชนเผ่าในอินเดีย และความสำคัญของวาทะนั้น อยู่ที่ การเป็นบทปลุกใจแม่ทัพ นักรบที่ยิ่งใหญ่ ให้กล้ารบและในที่สุดสามารถเอาชนะสงครามใหญ่ได้ เท่านั้นเอง โดยมิได้คำนึงว่าวาทะนั้นเป็นสัจธรรมหรือไม่

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาสากลชนิดที่ไม่มีเงื่อนไข การรบ การสงคราม การฆ่า การประทุษร้าย หรือการผิดศีลข้อใดใด รวมทั้งการใดใดที่เป็นไปในลักษณะการจองเวร ในหลักการแห่งศาสนาพุทธ ถือว่าบาป ไม่ว่าโดยเงื่อนไขใดใด และเมื่อเป็นบาป ๆ ย่อมปิดกั้นเสียแต่แรกแล้วซึ่งทางสู่นิพพาน ย่อมเป็นไปตามกรรม คือการกระทำกรรมอย่างไม่มีข้อยกเว้น เห็นได้จากประวัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเอง ทรงเห็นความจริงนี้แต่ต้นแล้ว จึงทรงปฏิเสธ ความเป็นจักรพรรดิ์ เพราะการที่จะได้เป็นจักรพรรดิ์ยุคนั้นต้องเป็นได้ด้วยสงครามเช่นนี้เท่านั้น ทรงเห็นว่านั่นคือบาปมหันต์ ที่จะปิดกั้นวิถีทางแห่งพระโพธิญาญ เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า จึงทรงสละเสีย โดยออกมาสู่ความเป็นสามัญชนในป่า เพื่อทรงมีโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรมอันบริสุทธิ์ล้วน

 

แต่เมื่อภควัทคีตา สอนว่า การฆ่ามนุษย์เป็นการกระทำต่อสิ่งว่างเปล่า ย่อมไม่มีการฆ่า หรือ ผู้หนึ่งผู้ใดถูกฆ่า หรือการตัดศีรษะคนเป็นการฟันไปในช่องว่างของปรมาณู ไม่เป็นบาป สภาวะแห่งอาตมัน ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ไม่มีใครเป็นผู้ฆ่า ไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกฆ่า เพียงแต่เป็นการแทงไปในช่องว่างของปรมาณูเท่านั้นเอง เมื่อรู้แจ้งแล้วย่อมไปสู่โมกษะ หรือนิพพานได้ เช่นนี้ ก็เห็นอยู่ว่าไร้เหตุผลที่ชอบธรรมโดยสิ้นเชิง

 

ภควัทคีตา จึงเป็นเงื่อนไขสำหรับคนชั่ว เช่นหมู่โจรเอาไปกระทำบาปในกาลต่อมา จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ใดประพฤติตามย่อมมิอาจไปสู่โมกษะ มีแต่ย่อมนำไปสู่อบาย ทุคติ นิรยภูมิ อย่างแน่นอนเที่ยงแท้

สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญยิ่งอีกประเด็นหนึ่งใน ภควัทคีตา ก็คือ ประเด็นที่ยืนยันว่า ฮินดูเป็นศาสนาแห่งอวิชชาที่ยังมืดไม่กระจ่างอยู่ ดังปรากฎในภควัทคีตาเล่มนี้เองว่า

 

"มันคืออาตมัน มันสิงสู่อยู่ในร่างกายมนุษย์ มันคือภาวะนิรันดรเหนือการพิศูจน์หยั่งรู้

ใครก็ตามที่คิดว่าอาตมันนี้เป็นผู้ฆ่า หรืออาตมันนี้เป็นผู้ถูกฆ่า คนผู้นั้นไม่รู้ความจริง เพราะอาตมันนี้ไม่เคยฆ่าใคร และใครฆ่าไม่ได้

อาตมันนี้ไม่เกิด ไม่ตาย เป็นสภาวะนิรันดร เที่ยงแท้ไม่มีแปรเปลี่ยน
เมื่อร่างกายของคนถูกฆ่า อาตมันหาได้ถูกฆ่าตามด้วยไม่"
(หน้า11)

คำว่า "เหนือการพิศูจน์หยั่งรู้" ย่อมหมายถึง อวิชชา คือ ความไม่รู้ คือความลับดำมืด ที่ฮินดูไม่สามารถพิสูจน์หยั่งรู้ได้ และสาวกทั้งหลายของฮินดูก็ไม่อาจจะศึกษาตามไปพิศูจน์หยั่งรู้ได้เช่นเดียวกัน และนี่คือการยอมรับของฮินดูเอง ว่าโดยศาสนาฮินดู ๆยังไม่รู้อะไรอยู่อีกมากมายหลายอย่าง ฮินดูมิได้พ้นไปจากวิจิกิจฉา พุทธองค์ทรงทราบอยู่เช่นนี้ จึงมิทรงหยุดความพยายาม ในการแสวงหาความจริงที่ยิ่งไปกว่า จนกระทั่งทรงพบธรรมะที่ยิ่งไปกว่า จึงทรงประกาศศาสนาที่ยิ่งด้วยวิชชากว่าฮินดู

 

ฉะนั้น ฮินดูจึงยังมีคำว่า "เหนือการพิศูจน์หยั่งรู้" อยู่ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับหลักการศาสนาพุทธ ที่ย่อมพิศูจน์หยั่งรู้ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ จึงกล้าเรียกตนเองว่า ศาสนาพุทธ คือศาสนาของผู้รู้ ฉะนั้น ในศาสนาพุทธ จะไม่มีคำว่า "เหนือการพิศูจน์หยั่งรู้" เพราะทางของพุทธเริ่มด้วย ผู้รู้ คือพระบรมศาสดา ทรงตรัสรู้ และพระสาวกอรหันต์ทั้งหลายก็รู้ตาม ชาวพุทธคือบุคคลใดใด ไม่จำกัดเชื้อชาติ ชั้นวรรณะ ผู้มีความพากเพียรเป็นเบื้องต้น แล้วศึกษาพระพุทธธรรม ย่อมบรรลุการรู้แจ้งโลกเสมอเหมือนกันหมด และสามารถรู้จนแจ้งกระจ่างสิ้นความสงสัยหรือวิจิกิจฉาใดใด และพ้นจากอวิชชาทั้งปวง เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

 

คำ "เหนือการพิศูจน์หยั่งรู้" แท้จริง จึงน่าจะบอกให้รู้ด้วยซ้ำว่า เป็นคำแก้ตัว ของท่านผู้ประพันธ์เรื่องนี้ กล่าวคือ มหาฤาษีกฤษณะ ไทวปายนวยาส แม้ท่านเอง ท่านก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ท่านพูดถึงสิ่งไร อะไร กันแน่ และสิ่งที่ท่านพูดถึงนั้น มีความหมายว่าอย่างไร เพราะท่านแสดงเหตุ และ ผล ไม่สอดคล้องกัน เมื่อท่านพูดถึงเรื่อง กรรม บ้าง ศรัทธา บ้าง ชีวภูติ บ้าง ประกฤติ บ้าง อาตมัน บ้าง "ความไม่ยึดมั่นถือมั่น" บ้าง และ "ชญานอันลึกลับยิ่งกว่าสิ่งลี้ลับใดใด" บ้าง ทำให้คนอ่านทั้งหลายสิ้นเปลืองเวลาไปตามโดยเปล่าประโยชน์

(คือท่านมหาฤาษีกฤษณะ ไทวปายนวยาส ผู้รจนาหนังสือเล่มนี้ ท่านก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ว่าท่านเขียนเรื่องอะไรกันแน่ คนอ่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนอ่านเรื่องอะไร มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ เข้าทำนองตาบอดจูงคนตาบอดเท่านั้นเอง)

 

และนี่คือฮินดู หรือพราหมยุคใหม่ นี่คือศาสนาสากลชนิดที่มีเงื่อนไขอีกศาสนาหนึ่งนั่นเอง เมื่อมองด้วยสัจธรรม นี่คือความเหลวไหลอย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง และนั่นคือ อันตรายอีกอย่างหนึ่งจากความเชื่อที่ผิด ๆ ตามหลักการสูงสุดที่หนังสือภควัทคีตาเขียนเอาไว้

ในยุคนี้ ปัจจุบันนี้ ขณะที่อินเดีย มหาอำนาจปรมาณูฮินดู กำลังฮึ่มฮั่มจะทำสงครามกับปากีสถาน มหาอำนาจปรมาณูอิสลาม อยู่ ถ้าฝ่ายอินเดียที่เคร่งในคำสอนของภควัทคีตา และพระเวท ที่ย่อมมีความคิดลึก ๆ อยู่ว่าคนมาจากปรมาตมัน การรบไม่มีใครฆ่าใคร ไม่มีใครเป็น ไม่มีใครตายจากการรบ เพราะอาตมันเป็นอมตะไม่ตาย ไม่มีใครฆ่าได้ แม้เผามุสลิมไปทั้งหมู่บ้าน หรือแม้ปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ไปถล่มปากีสถานทั้งประเทศ อินเดียก็ไม่มีความผิด ไม่มีความบาป เพราะทฤษฎีของพระกฤษณะที่สอนอรชุนให้รบนั้น กล่าวถึงการฆ่าว่ามิใช่การฆ่าคนผู้หนึ่งผู้ใด แต่เป็นการฆ่าอาตมัน และอาตมัน ไม่มีการตาย ไม่มีการเกิด จึงไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีผลบาปเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เพียงเชื่อว่า ฆ่าคนเพื่อบูชาพระกฤษณะ หรือโวหารในภควัทคีตาว่า ประสานใจอันบริสุทธิ์เข้ากับพระกฤษณะแล้วฆ่าคนได้ไม่เป็นบาป (โดยเฉพาะอย่างยิ่งฆ่าคนที่เป็นศัตรูของฮินดู เช่นคริสต์ อิสลามกลับจะเป็นการบูชากฤษณะด้วยซ้ำ) เช่นนี้ก็เห็นอยู่ว่าไม่เป็นธรรม ชาวโลกคงยอมรับไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว อย่างงมงายไร้เหตุผลอย่างยิ่ง หากฮินดูอินเดียเชื่อตามไปจริง ๆ เช่นนี้ ชาวโลกรู้เข้า ก็คงตื่นตระหนกโกลาหนกันทั่วโลกอย่างแน่นอน และไม่อาจจะยอมรับเหตุผลที่งมงายในหนังสือเล่มนี้ได้ พอ ๆ กับที่ไม่อาจยอมรับฝ่ายปากีสถานอิสลามได้ว่า การสงครามเป็นจีฮัด ระเบิดพลีชีพก็เป็นจีฮัด มุสลิมที่ถูกฆ่าในสงครามจะได้ไปอยู่กับอัลเลาะห์ พอร้องว่า โก จิฮัด ก็ลุกกันสะพรึบพร้อมโดยไม่คำนึงความชอบธรรมใดใดทั้งสิ้นนอกจากเชื่อตามหนังสือไปเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างไร้เหตุผล ที่งมงาย ที่โลกจะยอมรับไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน อันเป็นผลของการรจนาคัมภีร์ขึ้นมาด้วยวิสัยทัศน์ที่แคบจนกลายเป็นคำสอนที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในศาสนาสากล

และ บัดนี้ก็จะเห็นแล้วว่า หลักโมกษะหรือนิพพานของฮินดูย่อมแตกต่างจากหลักโมกษะหรือนิพพานของพุทธเป็นอย่างมากหากกล่าวบทสรุปก็คือ โมกษะ หรือนิพพานในความหมายของพุทธ เป็น อนัตตา หลักกรรมและหลักโมกษะ มีความเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ โดยหาข้อโต้แย้งไม่ได้ทั้งในเชิงทฤษฎี และภาคปฏิบัติ แต่โมกษะหรือนิพพานในความหมายของฮินดู เป็นเพียงจินตนาการหรือภาพเพ้อฝัน (เพราะหลักการที่ว่าด้วย "เหนือการพิศูจน์หยั่งรู้") และเป็นจินตนาการหรือภาพเพ้อฝันแห่งอัตตา ที่จะต้องพิศูจน์โดยการหาความสอดคล้องที่เป็นเหตุเป็นผลกันกับหลักกรรมของฮินดูเอง ซึ่งจะเห็นในภควัทคีตาแล้วว่ามีความขัดแย้งกันอย่างแตกหักระหว่างหลักกรรมของฮินดูกับหลักอาตมันอันสูงสุด กล่าวอีกนัยหนึ่งหลักปรมัตถธรรมของฮินดูไม่สอดคล้องหลักศีลธรรม อันเป็นกรรมเบื้องต้นเช่น การรู้จักให้อภัย, มีใจใสสะอาด, รู้จักเจือจาน, ความซื่อสัตย์, มีเมตตาในสัตว์ทั้งปวงเสมอกันหมดสิ้น ฯลฯ (หน้า 103) แต่หลักอาตมันกลับรับรองว่า ไม่มีผู้ฆ่า ไม่มีผู้ถูกฆ่า เป็นการกระทำต่อความว่างเปล่า จึงไม่มีผู้ใดรับผลเป็นบาป หรือโดยวาทะสูงสุดที่ว่า "เพราะเหตุนี้แล อรชุน จงสลัดกรรมทั้งปวงของท่านมาไว้ที่เราแล้วประสานใจอันบริสุทธิ์เข้ากับอาตมัน จงขจัดความกังวลแล้วจับอาวุธขึ้นรบเถิด" (หน้า23-24) จึงไม่แสดงความสอดคล้องกันระหว่างหลักการเบื้องต้นและหลักการอันสูงสุด เป็นเพียงความเพ้อเจ้อ ย่อมมีทางไปทางเดียวคือ นรก อเวจี นิรายนะ เท่านั้น หากโลกฮินดูยังมีความเชื่อวาทะอันเพ้อฝันเช่นนี้ สงคราม การรบ การฆ่า ก็ย่อมเกิดขึ้นโดยง่ายดาย โลกศาสนาสากลในปัจจุบันจึงเสี่ยงต่อความอลเวงและความรุนแรงเพราะเหตุผลที่งมงายเป็นมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้

ที่บรรยายมาแล้วนี้ก็คือตัวอย่างของการสอนศาสนาพุทธ ที่ผู้สอนก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธตามความเป็นจริงนัก และแม้เมื่อพูดถึงศาสนาอื่น ก็พูดไม่ตรงตามความเป็นจริงตามหลักฐานในพระธรรมคัมภีรของศาสนานั้น ๆ อีกด้วย ย่อมไม่เป็นความชอบธรรมต่อการศาสนาที่แท้จริง และทำให้ความหมายแห่งสัจธรรมแท้อันล้ำเลิศสูงส่งแห่งพระพุทธศาสนาเลอะเลือนไปอุปมาเหมือนวานรได้แก้ว ไก่ได้พลอย เห็นค่าของแก้วไม่ดีไปกว่ากล้วยลูกหนึ่ง เห็นค่าของพลอยไม่ดีไปกว่าข้าวสุกข้าวสารหนึ่งเม็ด เท่านั้น แล้วทำให้การปฏิบัติธรรมในศาสนาไม่ตรงธรรมตรงวินัยในพระคัมภีร์โดยแท้จริง จึงไม่ได้รับผลของการประพฤติที่สมบูรณ์

ฉะนั้นจึงน่าที่โลกยุคใหม่ยุควิทยาศาสตร์จะต้องมีการมอง การศึกษาโดยละเอียดลงไปจริง ๆ ว่าศาสนาแต่ละศาสนาสอนอย่างไร มีเหตุผลแห่งความเป็นไปได้เพียงไหน หรือไม่ วิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายของอุดมการณ์สูงสุดของศาสนาแต่ละศาสนา น่าเชื่อถือได้ มีเหตุมีผล ทั้งระดับปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างไร มีการพิศูจน์ทดลองเป็นผลเพียงใด มีทิฏฐิที่ผิดที่ถูกหรือมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรอาจจะเกิดโทษภัยขึ้นได้อย่างไรต่อมวลหมู่มนุษย์ ?

และบัดนี้ จะเห็นแล้วว่า ความหวังของชาวโลก น่าจะอยู่ที่ศาสนาพุทธนี้แทบทั้งหมด เพราะในศาสนาพุทธ ในพระคัมภีร์ไตรปิฎก มีแนวคิดส่วนหลักส่วนสำคัญที่ไปพ้องต้องกันอยู่กับหลักการของฝ่ายวัตถุนิยม นั่นคือ ความเป็นวิทยาศาสตร์ และได้ท้าทายตลอดมาให้คนทั้งหลายพิศูจน์หลักธรรมแห่งศาสนาพุทธ ว่าเป็นสัจธรรมหรือไม่ ซึ่งจะต่างจากศาสนาคริสต์ หรือฮินดู ที่ยิ่งพิศูจน์พระคัมภีร์ไบเบิล ภควัทคีตา หรือ พระเวท ไปเท่าไรยิ่งเห็นความเหลวไหลไร้เหตุผลไปเท่านั้น จึงจำเป็นเหลือเกินที่หลักการของศาสนาพุทธจะต้องได้รับการรื้อฟื้นและเผยแผ่เข้าไปให้ถึงบุคคลเจริญล้ำยุคนี้ให้จงได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว โลกย่อมเป็นอันตราย โลกย่อมพินาศลง ด้วยเหตุผลคือ ปราการศาสนาด้านอื่น ๆ มีความบกพร่องอยู่ในตัวศาสนาเอง จึงไม่มีข้ออ้างอิงพอให้คนสมัยใหม่เชื่อถือได้ และทั้งความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ไปถึงแค่ความเจริญทางวัตถุเท่านั้น ในวันหนึ่งวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างระเบิดที่มีอำนาจทำลายดวงดาวได้เป็นดวง ๆ ก็จะทำลายหรือฆ่าตัวเองตายไปเพราะความโง่เขลา เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ลึกซึ้งกว้างไกลออกไปถึงความเจริญทางวิทยาศาสตร์อันสูงสุดของศาสนาพุทธ คือวิทยาศาสตร์ที่มาสู่ความจบสิ้นของจินตนาการทั้งปวง ไม่ว่า จินตนาการแห่งอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ย่อมจบสิ้นลงอย่างสิ้นเชิง อันเป็นที่มาแห่ง ความเป็นอรหันต์ในมนุษย์ หรือ โมกษะ ที่เป็นอนัตตา คือ ชีวิตที่หยุดและมีความสุขความพอใจอันสูงสุด ชีวิตที่หยุดการดิ้นรนหยุดการสร้างภัยแก่ตนเอง ไม่ว่าชีวิตปัจจุบัน ก่อนการตาย หรือชีวิตอนาคตภายหลังการตายลงไปของคนๆหนึ่งแล้ว.

  • ธรรมสามี
    3 มี.ค. 2545 






Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----