ASTV วันนี้ยังคงไร้สาระ
กรณีศึกษาเปรียบเทียบ
ASTV วันนี้ยังคงไร้สาระ มีกรณีตัวอย่างเพื่อนำมาศึกษา ASTV ก็คือเมื่อประเทศไทยยุคที่มีปัญหาคอมมิวนิสต์อยู่ มีงานของการปิดล้อมโฆษณาชวนเชื่อ ทุกแห่งหนทุกภูมิภาคในประเทศไทย ทางฝ่ายนั้นจะเอาชาวบ้านธรรมดาจบป.3-ป.4 นี่เองไปอบรมล้างสมอง แล้วปล่อยออกไปทำงานการปลุกระดมมวลชน-โฆษณาชวนเชื่อ ทางรัฐบาลไทยโดย กอ.รมน.เมื่อจับตัวนักปลุกระดมเหล่านี้มาได้ แล้วให้นำไปเข้าศูนย์ซักถาม(ศถ.) เพื่อเก็บข้อมูลไปทำการวิจัยดูเรื่องราวต่าง ๆ ในตอนแรกก็พบด้วยความประหลาดใจว่า พวกนี้พูดกันเก่งมาก เมื่อให้เขาพูดให้ฟังว่าพูดอย่างไรและลีลาท่าทางการโฆษณาปลุกระดมทำอย่างไร เขาจะมั่นใจ ภาคภูมิใจ ไม่มีความลังเลระย่อ จะอวดจะพูดให้ฟังทันที พบว่าแต่ละคน มีความสามารถในการพูดปลุกระดมได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด มีพลัง ไม่ว่าจะให้พูดนานแค่ไหนก็ตามก็พูดไปได้ไม่ติดขัด พบว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นนักพูดชั้นเยี่ยม ขนาดที่ทึกทักเอาแต่แรกว่า เก่งเสมอเหมือนนักวิชาการที่สอนการเมืองในมหาวิทยาลัย ขนาดนั้น ต่อมาเมื่อมีการวิจัยในรายละเอียดไปอีกจึงพบว่า พวกนี้พูดเก่งก็จริง แต่ก็พูดได้เฉพาะทาง มีความรู้คับแคบมาก และพวกนี้จะพูดในทางเดียวกัน แนวเดียวกัน สำเนียง สุ้มเสียงแบบเดียวกันหมด เหมือนแผ่นเสียง ที่ก๊อปปี้มากี่แผ่น ๆ ก็คงเป็นเสียงเดียวกัน ไม่ว่าพูดกี่คน ๆ ก็พูดแบบเดียวกัน พูดทางเดียวกัน ด่ารัฐบาลได้เก่งเหมือน ๆ กัน อ้างเหตุและผลเพื่อการปฏิวัติได้เหมือน ๆ กัน ซึ่งนั่นเป็นพยานถึงผลที่เกิดจากการถูกอบรมล้างสมองในค่ายกักกันมานานพอ จนสามารถเปลี่ยนความคิดแบบหนึ่ง ไปสู่ความคิดอีกแบบหนึ่งของคนได้ ทำให้คนทั้งค่ายเปล่งเสียงสำเนียงและความหมายออกมาเหมือน ๆ กันได้ และแท้จริงองค์กรก็ไม่ต้องการให้คนเหล่านี้รับรู้อย่างอื่น ต้องการให้รับรู้ทางเดียว และเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเอง ซึ่งคนทั้งหลายมีจิตวิทยาว่า การพูดเชิงผรุสวาทหรือการพูดด่าคนเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย เพราะจะสามารถหาเรื่องด่าได้ง่ายกว่า เยอะกว่า หาเรื่องอะไร ๆ มาใส่ไคล้ใส่ความ เป็นเรื่องง่าย หากไม่คำนึงเรื่องการละเมิดแล้วก็ด่าได้อย่างแรง รุนแรงอย่างกับเป็นอาวุธชนิดหนึ่งเลยทีเดียว และอาวุธชนิดนี้แหละที่ ม็อบสนธิ-จำลอง ได้นำมาใช้อย่างถี่ยิบ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยคนทั้งหลายไม่ทราบถึงพิษร้ายของมัน
ASTV วันนี้ ก็มีพนักงานข่าว นักวิเคราะห์ข่าว(หรือที่จริงนักการด่า) ที่มีคุณภาพต่ำ เป็นคนพื้น ๆ ที่นายจ้างผู้เฉลียวฉลาดสามารถเก็บมาได้จากข้างถนน แล้วนำมาอบรมนิด ๆ หน่อย พอให้รู้จักวิธีการด่าอย่างเป้นหลักเป็นเกณฑ์มากขึ้น ก็สามารถทำงานให้ ASTV ได้อย่างดี คนเหล่านี้ถูกสอนให้เข้าใจธรรมชาติพื้น ๆ ของคนว่าโดยปกติคนแต่ละคนจะมีความไม่สมบูรณ์อยู่ในตัวเอง กล่าวคือสัจธรรมที่ว่า ไม่มีคน 100 %นั่นเอง คนก็มีความบกพร่อง ทุกคนมีความหลังกันทั้งสิ้น นักด่าจะสามารถขุดคุ้ยเอาเรื่องราวของใคร ๆ มาด่าเมื่อไรก็ทำได้ การด่าจึงทำได้อย่างเป็นกอบเป็นกำไปเรื่อย ๆ ได้อย่างถึงอกถึงใจคนฟัง เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงในวันนี้ ASTV เป็นโทรทัศน์ที่ต่ำทราม ที่มีแต่การด่า ไม่มีขณะหนึ่งขณะใดที่คนในโทรทัศน์แห่งนี้จะไม่มีการด่า และยังดัดแปลงเป็นการละเล่น(เช่นงิ้ว) ดนตรี คำร้องที่เต็มไปด้วยการด่าอย่างอึกกะทึกครึกโครมไปอีก(เช่นเพลงไอ้หน้าเหลี่ยม เป็นต้น) โดยสามารถเข้าไปพิศูจน์ทราบได้ด้วยตนเอง จะพบคนบนเวทีม็อบ ทำการด่าคนอื่นอย่างหน้าดำคร่ำเครียดด้วยคำหยาบคาย หรือผรุสวาท กันตลอดวันตลอดคืน โดยให้พวกของตนที่นั่งฟังข้างหน้าเวทีฟัง หรือร่วมกันด่าทั้งหมู่ม็อบไปพร้อม ๆ กัน มีปรบมือ กระทำจังหวะอย่างครื้นเครงโดยออกท่าทางหยามเหยียด ดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นไปด้วย นอกจากผรุสวาทแล้วก็มีคำส่อเสียด เยาะเย้ยถากถางรัฐบาล คนของรัฐบาล รวมทั้งคนที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามตน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างบุคคลต่อบุคคล และที่สุดสร้างความร้าวฉานแตกแยกของประชาชนไทยทั้งประเทศ ให้เกิดแบ่งเป้นฝักเป็นฝ่าย เป็นก๊กเป็นเหล่า ให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง เริ่มแต่ความรู้สึกดีๆต่อกันมาเป็นเริ่มระแวง เริ่มไม่ไว้วางใจ เริ่มเกลียดชังไปทีละน้อย ๆ จนในที่สุดเป็นการเกลียดชังอย่างมากจนเข้ากระดูกดำ
นี่เป็นข้อเท็จจริง จาก ASTV ที่ออกอากาศได้อยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวันนี้ และยังมีรายการพิเศษพบแกนนำม็อบทั้ง 5 คน เป็นระยะ ๆ ตลอดวัน โดยเฉพาะเวลาหัวค่ำ ๆ แกนนำแต่ละคนจะด่าเก่งทุกคน โดยเฉพาะนายสนธิ ลิ้มทองกุล เขาด่าเก่งมาก ด่าอย่างฉลาด และเป็นตัวแบบของงานเอเอสทีวี เขากล้าด่าอย่างรุนแรงมาก จนทุกคำพูดของเขาเหมือนกระสุนปืน เป็นอาวุธได้เลยทีเดียว แต่เขาก็พลาด แพ้คดีความศาลชั้นต้นไปหลายคดีแล้ว แต่ถึงแม้จะพลาดไปแล้วก็ตะลุยด่าต่อ (แต่ในช่วงหลังมาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อาจจะเอ่ยนามหรือแตะต้องคำว่า ทักษิณ ชินวัตร มีอาการแหยง หวาดเพียงดังสุนัขได้กลิ่นสาบของเสือใหญ่) จนกระทั่งมีคดีเพิ่มขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนขณะนี้ เขาเองบอกว่าเกิน 60 คดีไปแล้ว เขาก็ยังคงด่า คำด่าระยะหลังสุดที่แรงก็คือ ด่าว่า รัฐบาลสมัคร เป็นรัฐบาลสัตว์นรก ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังคงด่าว่ารัฐบาลสัตว์นรก ซึ่งที่จริงการด่าแรงเกินไปอาจจะเป้นผลร้ายต่อม็อบเอง เพราะมีแรงสะท้อนกลับ (แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจที่ว่ารัฐบาลและคณะรัฐบาลนายสมัคร ซึ่งมีจำนวนมากถึงกว่า 30 คน ก็ยังทนทำหน้าตาเฉยแฉ่งอยู่ ไม่กล้าดำเนินการเอาผิดแต่อย่างใด ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะในการทำศึก สงครามครั้งสุดท้ายนั้น เราต้องจ้องคอยหาโอกาสที่จะเผด็จศึกอยู่ตลอดเวลา เหมือนนักมวยชกกัน เมื่อมีโอกาสจะปล่อยไปไม่ได้ รัฐบาลก็มีรัฐมนตรีหลายคน แต่ไม่ทำอะไรเลยเช่นนี้ เท่ากับไม่ช่วยป้องกันภัยตนเอง แล้วใครจะมาป้องกันให้ นี่ก็เป็นทางแห่งความเสื่อมศรัทธารัฐบาลไปได้อีกประการหนึ่งเหมือนกัน) นอกจากนี้นายสนธิ ผู้นี้ ด่าพวกเดียวกันเองได้อย่างเจ็บแสบ ถึงไส้ถึงพุงได้เด็ดมาก (ด่าแบบจิกหัวด่า เห็นแกด่า ดร.วุฒิพงศ์ เพียบจริยวัฒน์ ที่มาร่วมงานต่อสู้แรมปีเพื่อล้มรัฐบาลทักษิณ ดร.วุฒิพงศ์ เพียบจริยวัฒน์ คนนี้ เป็นนักพูดนักโฆษณาชวนเชื่อที่มีระดับการศึกษาคนหนึ่งในยุคทักษิณ จนกระทั่ง ดร.วุฒิพงศ์ อับอายขายหน้าประชาชน จนต้องหลบหน้าหนีไปจนกระทั่งทุกวันนี้(กรณีขัดผลประโยชน์ในบริษัทการบิน สนามบินสุวรรณภูมิ มี พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตรเป็นคู่กรณี) เราคิดจะเตือนเพื่อนแกนนำของเขา และพนักงาน ASTV ทุกคน ๆ ให้ระวังว่าทำอะไรอยู่กับใคร วันหนึ่งเมื่อเขาไม่พอใจ โดยโดนนายสนธิ ลิ้มทองกุลจิกหัวด่าเข้าให้ จักอับอายเจ็บแสบขนาดไหน ขอให้ลองคิดดูกรณี ดร.วุฒิพงศ์ เป็นตัวอย่าง
ASTV. วันนี้ได้เผยแผ่ข่าวสารร้ายและเป็นต้นแบบวัฒนธรรมอันต่ำช้ามาก และบัดนี้มีนักเรียนเยาวชนถูกหลอกลวงมารับการอบรมเผยแผ่วัฒนธรรมอันต่ำช้าไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นนักเรียนหญิง ร.ร.สาธิตมัฆวาน ที่ขึ้นเวทีม็อบเมื่อคืนวานนี้ (9 ก.ย.2551) ได้กล่าวคำด่าว่ารัฐบาล นายสมัครพร้อมคำเสียดสีเยาะเย้ยนายสมัคร หัวหน้ารัฐบาล ตามแบบอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลไปไม่มีผิดเลย นานไปเด็ก ๆ เยาวชนเหล่านี้ก็จะหลงทางไปแอ๊บสอบ(absorb)เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวทรามต่ำช้าทางวัฒนธรรมไปจากแกนนำม็อบเหล่านี้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยการค่อยถูกล้างสมองไปตามลำดับ ซึ่งการที่เป็นไปได้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นักเรียนเยาวชนเข้าใจผิดในฐานะของตัวเอง กับฐานะของแกนนำม็อบ ไม่เข้าใจว่าพวกแกนนำนั้นเขาเป้นผู้กระทำความผิดที่ต้องคดีหมิ่นประมาทมากมายท่วมหัวไปทุก ๆ คน จนในที่สุดโดนคดีกบฏเข้าให้ทั้ง 9 แกนนำแล้ว นอกจากคดีหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นผลจากการพูด การใช้ภาษาต่ำทราม ส่อเสียดให้ร้ายทำลายชื่อเสียงของคนอื่นด้วยวาจา ส่วนนักเรียนยังบริสุทธิ์ และยังไม่มีความรับผิดอะไรทางกฎหมาย เพราะพวกเขาเหมือนแก๊งค์โจรที่หลอกลวงหลอกใช้ประชาชนคนบริสุทธิ์มาร่วมกิจกรรมอันผิดกฎหมายด้วยกัน เมื่อหลวมตัวไปเข้าข้างผู้กระทำผิด และก่อกระทำความผิดไปเสียแล้วก็ยากที่จะถอนตัวหาทางกลับไปเป็นคนดีเหมือนเดิมได้ จำต้องตกกะไดพลอยโจนไปกับพวกโจร จึงเป็นเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงที่ชั่วร้ายมาก นักเรียน-เยาวชนน่าจะได้รับทราบเรื่องราวเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะได้กระทำสิ่งที่สายเกินตัวออกไป และครูอาจารย์ สถานศึกษา หรือมหาวิทยาลัยก็น่าจะให้การอบรมสั่งสอนให้เข้าใจอย่างจริงจัง
อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ยังไม่เหมาะสมกับผู้เยาว์ เพราะผลกระทบทางการเมืองมีมาก อย่างสูงสุดก็ถึงขั้นต้องหนีตาย ซมซานไปต่างประเทศพลัดถิ่นพลัดแดนไปได้ ดังจะเห็นนักการเมืองหลายคนหลายครั้งในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย แม้กระทั่งกรณีอดีตนายกรัฐมนตรีคนสุดท้าย ๆ ก็ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร และอย่างยากลำบากที่เป้นไปได้ก็คือ หลงกระทำความผิดไปกับพวกโจรแล้วพบว่าเป็นการสายเกินที่จะแก้ ก็ต้องกลายเป้นโจร และเบื้องหน้าก็คือคุกตะราง นี่เป็นด้านการเมืองและวัฒนธรรม
ส่วนด้านกฎหมาย ก็น่าจะมีใครอธิบายให้เด็กนักเรียนทราบว่าการไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลนั้นเป็นการผิดกฎหมาย เพราะทำเนียบรัฐบาลเป้นสถานที่เฉพาะต้องหวงแหนไว้เป้นสมบัติของชาติ และเป็นสถานที่รับแขกเมือง แขกต่างประเทศ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ พวกม็อบเข้าไปบุกรุก เปรียบเสมือนบุกรุกบ้านคนอื่น ถ้าเรามีคนบุกรุกบ้านของเราเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นอย่างนั้น และอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกแกนนำม็อบล้วนเป็นคนต้องคดี เพราะคิดการใหญ่โดยไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง กล่าวอีกแง่หนึ่ง การไปร่วมชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลนั่นเหมือนการไปเข้าร่วมก๊กโจรที่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ที่ปล้นชาติปล้นประชาชน โดยมีหลักฐานอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ประการหนึ่งม็อบฯมิได้เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแต่อย่างใดเลย เขาสร้างภาพหลอกลวงคนทั้งหลายว่าเป็นประชาธิปไตย โดยอ้างสถาบันอันสูงส่งบังหน้าเป็นเกราะกำบังตนเอง ทำการร้ายโดยทางลับ ทางไม่เปิดเผยเท่านั้น แท้ที่จริงเยาวชน จะต้องร่วมกันต่อสู้ในวิถีทางที่มีแบบอย่างมาแต่กรณี 14 ตุลาคม 2516 มาแล้ว นั่นคือต่อต้านเผด็จการเชิดชูประชาธิปไตย น่าจะมีการอธิบายอย่างกว้างขวางเป็นวิชาการว่าม็อบสนธิ-จำลองนี้ มิได้มีความเป็นประชาธิปไตยเลยแม้แต่นิดเดียว(แม้ในต่างประเทศเขาก็มิได้เรียกว่าเป็นม็อบประชาธิปไตย เขาเรียกว่าม็อบข้างถนน เพราะพวกเขารู้ดีว่าประชาธิปไตยเป็นอย่างไร) ดังจะเห็นจากข้อเสนอการเมืองใหม่ ซึ่งมิได้มีหลักการปกครองที่มาจากประชาชน เพราะประชาธิปไตยนั้นต้องเคารพกฎกติกาที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ต้องเคารพเสียงของประชาชน เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ และสิทธิของประชาชนคือสิทธิของความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ และโดยหลักการนี้จะเห็นได้เลยว่าม็อบฯ นี้มิได้เป็นประชาธิปไตย แต่ใช่เล่ห์กลแอบอ้างเพื่อหลองลวงประชาชน อ้างเอาสถาบันประชาธิปไตย และสถาบันสูงสุดของชาติบังหน้า และครั้นเมื่อประชาชนตามทันเขาก็เลื่อนไหลแก้ตัวไปอีก นั่นคือการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงประชาชน เพื่อประโยชน์ลับสุดยอดเฉพาะตนและพวกพ้อง โดยหวังว่ากว่าประชาชนจะรู้สึกตัว ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ฉะนั้นแท้จริงประชาชนทั้งชาติจึงควรที่จะลุกฮือขึ้นขับไล่ต่อต้านขบวนการก่อการร้ายแห่งประชาธิปไตยไทยนี้ ซึ่งขณะนี้เป็นกลุ่มโจรที่บุกรุกทำเนียบรัฐบาล มีประชาชนเป็นตัวประกันอย่างเหนียวแน่น และเป็นผู้ต้องหาคดีกบฏคิดล้มล้างรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยไทย ประชาชนทั้งประเทศจะต้องลุกขึ้นมาร่วมสามัคคีธรรมช่วยกันจับกุมแกนนำทั้ง 9 คนไปลงโทษให้สาสม นี่แหละสามัคึคีธรรมที่ชอบธรรมของปวงประชาชนชาวไทยในวันนี้.
- เผด็จด้าว แดนไทย
11 ก.ย. 2551