บันทึกประเทศไทย
หลงทางประชาธิปไตย
ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ประพฤติและกระทำการอย่างไม่สอดคล้องครรลองประชาธิปไตยมาแต่ต้น จนถึงบัดนี้ ยิ่งปรากฏชัดยิ่งขึ้น โดยเหตุที่ได้ประกาศทันทีอย่างชัดเจนถึงความมุ่งหมายของตนในการก่อม็อบว่า ต้องการล้มล้างรัฐบาลสมัคร ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เป็นผลมาจากการเลือกตั้ง และตามกติกาการบริหารอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศํกราช 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญตัวบทที่กำหนดกติกาประชาธิปไตยของชาติของประชาชนเจ้าของอำนาจไว้อย่างไร และทั้งที่ม็อบนี้ต้องการล้มล้างรัฐบาลโดยอ้างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ที่เป็นตัวความสำคัญของเหตุผลของการล้มล้างรัฐบาล (ว่ารัฐบาลต้องยุติการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างเด็ดขาด) แต่ม็อบกลับไม่มีความเคารพรัฐธรรมนูญ โดยไม่ยอมรับ ไม่เคารพกฎกติกาที่บัญญัติจัดการความเรียบร้อยของวิถีทางประชาธิปไตย ในรัฐธรรมนูญเลย โดยม็อบมิได้ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่เคารพองค์กรกลางผู้ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นผู้จัดการและตัดสินให้คุณและโทษบุคคลและพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง แต่ทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล ก็ประกาศต่อต้านและความมุ่งหมายโค่นล้มรัฐบาลเสียแล้ว ในครั้งหลังมาก็ได้ประกาศการเมืองใหม่ โดยมีหลักการสรรหา 70 ส่วน และหลักการเลือกตั้ง 30 ส่วน ซึ่งเป็นการขัดหลักการประชาธิปไตยสากล โดยหลักตัวแทนประชาชนส่วนที่มีเสียงข้างมาก ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตยที่ว่า Majority Rule Minority Right อันเป็นหลักการสาระหลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทางการโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมมวลชน เพื่อสร้างความเกลียดชังแด่รัฐบาลสมัคร หวังปลุกกระแสมหาชนขึ้นด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ และบัดนี้ ครั้นแผนการล้มล้างรัฐบาล ที่นำออกมาใช้ทุกวิธีการต่าง ๆ ไม่สำเร็จผล โดยหลักการบีบบังคับด้วยการระดมม็อบ บีบบังคับไม่สำเร็จก็วางแผนการใช้กำลังอำนาจ โดยแผนยึดครองสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(NBT) และสื่อมวลชนอื่น ๆ มุ่งหมายทำการปฏิวัติยึดอำนาจ เพื่อจะนำประเทศไทยไปสู่สาระอื่นทางการปกครองที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ กรณี 26 สิงหาคม 2551 ม็อบบุกเข้ายึด NBT สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในเช้าวันที่ 26 สิงหาคม 2551 พร้อม ๆ กับการแยกย้ายกำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และการใช้กำลังบุกรุกเข้ายึดที่ทำการรัฐบาล มีกระทรงคมนาคม และ สถานที่ราชการอื่น อีกถึง 9 จุด รวมทั้งการบุกรุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นฝ่ายรักษากฎหมายของชาติตามครรลองประชาธิปไตยด้วย และบัดนี้ละเมิดคำสั่งของศาลอย่างชัดเจนถึง 2 คำสั่ง คือคำสั่งให้จับกุมแกนนำทั้ง 9 คนของม็อบ และคำสั่งให้ถอนตัวออกไปจากทำเนียบรัฐบาล
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน. เจ้าของยุทธการกรือเซะที่ผิดพลาดมหันต์เพราะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาในอดีต วันนี้ได้ประกาศโดยเปิดเผยว่าจะเข้าไปดำเนินงานความมุ่งหมายของม็อบ ให้สำเร็จโดยเร็ว ตามวิธีที่ตนมีความชำนาญ คือเชิงรุกและเชิงความรุนแรง นี่ก็ยิ่งเป็นตัวอย่างหลงทางประชาธิปไตยไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังแยกประเด็นไม่ออก จัดระดับความสำคัญของปัญหาไม่ได้ไม่เป็น นั่นคือไม่เข้าใจว่าว่าอะไรเป็นเพียงเรื่องส่วนตัว อะไรเป็นเรื่องของประเทศชาติ และอะไรสำคัญกว่า ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องของประเทศชาติ เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องของประเทศชาติ (ท่านผู้นี้อ้างว่าได้สัญญากับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เพื่อนร่วมรุ่นไว้แล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน) สติปัญญาเช่นนี้จะสร้างสรรค์อะไรแก่ประเทศชาติได้ และจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ประชาธิปไตยไทย และแท้จริงหมู่ม็อบเขาก็คงไม่ต้องการเพราะสติปัญญาเช่นนี้มีแต่จะทำพังและพัง
สาวิตร์ แก้วหวาน รองประธานสหภาพแรงงานการรถไฟ และซึ่งบัดนี้ได้รับตำแหน่งแกนนำหนึ่งในสามแกนนำรุ่นที่ 2 ในหมู่ม็อบอนารยะไปเรียบร้อยแล้ว โดยการประกาศแต่งตั้งของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กลางหมู่ม็อบบริเวณทำเนียบรัฐบาล วันนี้ได้ให้สัมภาษณ์โดยเปิดเผยว่า ทางสหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ตนเป็นผู้นำอยู่ ได้ประกาศหยุดเดินรถทุกสายตั้งแต่ 28 ส.ค. 2551 ว่าเป็นมาตรการหนึ่งของม็อบฯที่ต้องการบีบให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การหยุดเดินรถโดยพลการของตนเองโดยไม่คำนึงความชอบธรรม เช่นนี้จะชอบด้วยครรลองประชาธิปไตยอย่างไร???? เพราะได้สร้างความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ซ้ำเติมไปสู่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจและเจ้าของประเทศในระบอบประชาธิปไตย (จนถึงกับรํฐบาลจัดรถไฟฟรีให้โดยสารกันทั่วประเทศ) เช่นนี้ นับว่าไม่สอดคล้องครรลองประชาธิปไตยเลย ในเมื่อการสไตรค์หยุดทำบริการสาธารณูปโภคเช่นนี้ โดยไร้เหตุผล เป็นมาตรการที่สร้างความเดือดร้อนแด่ประชาชนเจ้าของประเทศและเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง (ท่านไม่เข้าใจหรือความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย ปรัชญาการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศและเป็นเจ้าของอำนาจ และรัฐบาลที่มาโดยกฎกติกาที่กำหนดไว้อย่างไรในรัฐธรรมนูญนั้นเป้นตัวแทนอำนาจของประชาชน)
นี่ ล้วนเป็นการหลงทางประชาธิปไตย
และที่สำคัญ ยังมีคนอีกไม่น้อยที่พลอยหลงทางประชาธิปไตยตามไปกับม็อบเหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยจึงยังคงวุ่นวาย อย่างไม่สมเหตุสมผลเลย นั่นเพราะอวิชชาและความไร้สติแท้ ๆ
ฉะนั้น ในวันนี้ สิ่งที่คนไทยทุกระดับของสังคม ทุกองค์การของสังคมจึงควรกลับคืนมาสู่สติสัมปชัญญะอันดี และเร่งพิจารณาด้วยปัญญาว่า เรากำลังหลงทางประชาธิปไตยอยู่หรือเปล่า
และควรพิจารณาว่าทางออกมีทางหนึ่งที่เป็นทางสายประชาธิปไตยโดยแท้จริง นั่นคือ ในเมื่อเราต้องการประชาธิปไตยแล้ว เราต้องร่วมมือร่วมใจกันอย่างเป็นสามัคคีธรรมร่วมดำรงครรลองประชาธิปไตยเอาไว้ให้ถึงที่สุด ต้องพร้อมกันระงับยับยั้งการกระทำทุกประการที่ไม่สอดคล้องครรลองประชาธิปไตย ให้หยุดลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น คนที่เขาเจริญในต่างประเทศ ที่เขาจะเย้ยหยันว่า หน่อมแน้ม เขาอาจจะคิดไม่ถึงเมื่อประชาชนไทยได้เบนหันกลับมาสู่ครรลองประชาธิปไตยได้อย่างเข้มแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง และนั่นเป็นวิถีทางแก้ปัญหา และเป็นวิถีทางที่สร้างชาติระยะยาวนานไปสู่เส้นทางวิวัฒนาการของประชาธิปไตยของประชาชนอย่างยั่งยืน จำเริญตลอดไป
ฉะนั้น จึงต้องร่วมมือกันในวันนี้ และเดี๋ยวนี้
- ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร.
29 ส.ค. 2551