ประชาธิปไตยไทยต้องมียุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถ
อย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบ
ระบอบหมายถึงระบอบประชาธิปไตย การก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย หมายถึงการพัฒนาการหรือวิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นไปอย่างมีขั้นมีตอน และเมื่อเรามาถึงขั้นตอนไหนแล้ว เราก็ไม่ควรที่จะถอยกลับลงไป ควรจะต้องพยายามรักษาระดับพื้นฐานแห่งประชาธิปไตยเอาไว้ให้ได้ และพยายามเดินหน้า หรือก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นไปอีก นั่นจึงจะหมายถึงความเจริญของประเทศไทยและประชาชนไทย
อธิบายอย่างง่าย ๆ ก็คือ ขณะนี้ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยที่เราได้สถาปนารัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เราได้สถาปนารัฐสภาที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เราเพิ่งได้ยกระดับการเมืองของเราจากเผด็จการครั้งล่าสุดขึ้นมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งแล้ว ใหม่ ๆ อย่างสมบูรณ์ โดยการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2551 นี่ถือว่าเป็นการก้าวขึ้นมาจากจุดศูนย์ เราหมายความว่า เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย ตั้งแต่นี้ไปยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบ
เพราะในอดีตกาล 75 ปีที่ผ่านมาแล้วของระบอบประชาธิปไตยไทย ระบอบถูกกระชากลากถึง ตรึงให้เข้าสู่เผด็จการครั้งแล้วครั้งเล่า โดยครั้งล่าสุดมีขบวนการนอกระบอบกระทำให้เกิดเหตุเป็นไส้ศึกให้แก่เผด็จการ มาทำลายระบอบประชาธิปไตยไป จนกระทั่งสัจธรรมคือเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ที่บันดาลให้ ไทยเราได้ประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังคงมีกลุ่มบุคคลผู้ทำตนเป็นใส้ศึกให้แก่ระบอบเผด็จการ ทำการลดทอนประชาธิปไตยไทยอยู่ในขณะนี้ เมื่อเราก้าวเดินไปไม่ได้ แต่กลับถอยหลังลงไปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นหมายถึงความสับสน หลงทาง และไร้ยุทธศาสตร์ ฉะนั้นเราต้องมียุทธศาสตร์ โดยหลักการทางทหารก็คือ เราจะเอาชนะ หรือไปสู่เป้าหมายไม่ได้หากไม่สามารถเดินรุกเข้ายึดพื้นที่และครอบครองรักษาไว้อย่างมั่นคง แม้จะต้องลงทุนหรือสูญเสียไปเท่าไรก็ยอม นั่นคือยุทธศาสตร์ทางทหาร
ทางการเมือง ที่ว่าเป็นยุทธศาสตร์ก็หมายความว่า จะอย่างไรเราต้องยึด ครอบครองรักษาระดับตรงนี้เอาไว้ให้ได้ นั่นคือ เมื่อเรามาสู่ประชาธิปไตย คือสถาบันอำนาจการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนได้แล้ว เราก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ต้องทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจของประชาชนนี้ไว้ให้ได้ อย่าให้หวลถอยลงไปสู่จุดศูนย์ หรือจุดเริ่มต้นอีก นั่นคือจุดที่ปลอดจากประชาธิปไตย หรือที่ร้ายแรงก็คือเผด็จการโดยการปฏิวัติ ยึดอำนาจ หรือโดยการล้มล้างรัฐบาลของระบอบประชาธิปไตยโดยวิธีใด ๆ
ฉะนั้น เมื่อเรามาเข้าใจร่วมกันถึงยุทธศาสตร์ประเทศไทย เพื่อการมีประชาธิปไตยแล้ว เราคือสถาบันและประชาชนทั่วประเทศ ก็ควรร่วมมือกัน ว่าอย่างไร ๆ ก็ตามจะต้องร่วมมือกันพิทักษ์มิให้ประเทศไทยถอยกลับลงไปอีก
แต่สถานการณ์การเมืองที่เห็นอยู่ทุกวันนี้(ล่าสุดการชุมนุมกลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ เมื่อ 25 เม.ย.2551) เห็นได้ว่าเดินไปอย่างขัดแย้งยุทธศาสตร์ประเทศไทยที่ควรเป็น นั่นคือพยายามที่จะดึงฉุดกระชากประเทศไทยให้กลับไปสู่จุดเดิม จุดเริ่มต้นอีกครั้งแล้ว โดยเหตุผลที่ไม่สามารถจะเป็นไปได้
นั่นคือข้อกล่าวหาที่ว่า เราต้องได้รัฐบาลที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง มือสะอาด ต้องไม่มีรัฐบาลที่โกงชาติ โกงแผ่นดิน เราต้องได้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม อย่างเต็ม 100 % อย่างนี้เป็นต้น แล้วไม่ยอมให้ก้าวเดินต่อไปบนวิถีทางประชาธิปไตย
ซึ่ง นับว่าเป็นการเพ้อฝัน หากเราดำเนินนโยบายแบบนามธรรมที่เพ้อฝันเช่นนี้ไป กี่ปีกี่ชาติ เราก็ไม่อาจจะบรรลุความเป็นประชาธิปไตยที่ดี ที่มีเสถียรภาพมั่นคงได้เลย
เพราะสัจธรรมมีว่า สังคมมนุษย์เป็นสังคมอวิชชา เป็นสังคมของคนบาป ไม่ใช่สังคมของพระอริยเจ้า ซึ่งมีความดีบริสุทธิ์ แต่สังคมมนุษย์ แทบหาพระอริยเจ้าสักหนึ่งองค์ก็ยังไม่มีอยู่แล้ว (มีแต่สังคมเพ้อฝันที่หลงตนเอง ฝันว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า อย่างสันติอโศก หรือ จำลอง ศรีเมือง) เราจึงต้องดำเนินไปแบบสอดคล้องวิถีมนุษย์ หรือวัฒนธรรมมนุษย์ในโลก มิใช่การยึดมั่นถือมั่นในนามธรรมหรือสร้างกฎเกณฑ์ที่ล้ำเลิศเหนือความเป็นมนุษย์ปุถุชน แต่เพื่อให้มนุษย์ปุถุชนหรือมนุษย์ที่มีกิเลสเดินตามไป(ก็จะเดินไปไม่ได้ ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน เพ้อเจ้อได้เท่านั้น)
ดังที่เห็นกลุ่มต่อต้าน ล้มล้างรัฐบาล กลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถ้าเขาเคลื่อนไหวได้สำเร็จ สามารถบีบบังคับให้รัฐบาล ลาออก สิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดตามมาก็คือได้รัฐบาลใหม่ และรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็จะเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกัน นั่นคือ จะมีกลุ่มบริสุทธิ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้าน โดยเหตุผลเช่นเดียวกันนี้ ไม่รู้สิ้นสุด ก็วนไปวนมาอยู่เช่นนี้ ซึ่งเป็นการพร่าเวลาที่ทำลายประเทศไทย หรืออย่างร้ายแรงที่สุด ผลงานของกลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ นี้ก็คือใส้ศึกที่เปิดทางให้เผด็จการทหารเข้ามา เหมือนคราวที่แล้วที่ล้มรัฐบาลทักษิณ(ซึ่งเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย)แล้วเปิดทางให้เผด็จการคมช.ของ สนธิ บุณยรัตกลินเข้าครองอำนาจ ซึ่งนี่เป็นปรากฎการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉุดดึง ตรึงประชาธิปไตยไทย มิให้ก้าวออกไป
ทางเราได้ทำการวิเคราะห์แล้ว พบว่า เพื่อความก้าวหน้า ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปของประชาธิปไตยไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันศึกษายุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง นั่นคือ ทำยุทธศาสตร์ประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปตามครรลองของประชาธิปไตยให้ได้ก่อน อย่าให้ล้มลงกลางคัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม โดยจะต้องทำการรักษาหรือตรึงยุทธศาสตร์ประเทศไทยนี้เอาไว้ให้ได้ก่อน ซึ่งหมายความว่า ประการแรก ให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีรัฐสภา ที่ประกอบด้วยตัวแทนของประชาชน และองค์ประกอบแห่งอำนาจสูงสุด เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย อย่างที่เราได้มาแล้วในขณะนี้ เรารักษายุทธศาตร์อันนี้เอาไว้ ทุกวิถีทาง
ซึ่งตามยุทธศาสตร์นี้ การจะเดินไปอย่างไรก็ตาม ไม่พึงถือเป็นความสำคัญมากนัก คือหมายความว่าถึงจะเป็นประชาธิปไตยอ่อน ๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวมากนักหรือกล่าวอย่างนามธรรมว่าไม่ค่อยจะดีนัก เหมือนลูกปูหัดเดินอยู่ เปาะ ๆ แปะ ๆอยู่ ก็ไม่พึงจะถือสาหาความกันมาก เพราะประชาธิปไตยไทย มิใช่สันดารของประชาชนไทย แต่เป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่คุ้น จะต้องให้เวลาสำหรับการเรียนรู้ และความค่อยเป็นค่อยไป ต้องต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน ต่างต้องช่วยประคับประคองไปด้วยกัน ไม่ให้ล้มเสียก่อนจึงจะถูกต้อง เพราะไม่มีงานใด ประชาธิปไตยชาติไหนที่พอเริ่มต้นก็ก้าวถึงระดับขั้นที่สมบูรณ์ทันที 100 % โดยปราศจากข้อตำหนิ (โดยรูปธรรมก็คือ ไม่มีใครพ้นไปจากการนินทาได้ ตามสุภาษิตจากวรรณกรรมไทยว่า แม้องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะพ้นคนนินทา) แต่ต้องมีเวลาสำหรับการเรียนรู้ ใช้เวลาสำหรับการวิวัฒนาการ และหากการวิวัฒนาการชงักแล้วชงักอีก ประชาธิปไตยไทยก็ไม่ไปถึงไหน ก็คงจะอยู่ในวังวนแห่งความป่าความเถื่อนต่อไปชั่วนิรันดร
ฉะนั้น ประชาชนไทยและประเทศไทยจะต้องมียุทธศาสตร์ของประเทศสำหรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และนี่คือ ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวขึ้นไปตามระดับขั้นตอนของระบอบ และในการดำเนินยุทธศาสตร์นี้ จะต้องมีรัฐบาลเป็นผู้นำดำเนินการ รัฐบาลพร้อมสถาบันอำนาจสูงสุดอื่น จะต้องนำประเทศไทยเดินไปตามยุทธศาสตร์นี้ และต้องขจัดอุปสรรคปัญหาทุกประการ ด้วยการระดมเครื่องมือของรัฐทุกชนิดทุกอย่างทุกสรรพกำลัง เพื่อขจัดสิ่งกีดขวางของยุทธศาสตร์นี้
หากมีบุคคลหนึ่งใดหรือกลุ่มบุคคลใดมากระทำการใด โดยที่การกระทำการนั้นไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทยนี้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและสถาบันอำนาจสูงสุดของประชาธิปไตย ที่ต้องดำเนินการให้ยุติลงเสียโดยพลัน โดยใช้เครื่องมือทุกชนิดของรัฐ เพื่ออำนวยให้ยุทธศาสตร์ประเทศไทยไม่ก้าวถอยหลัง แต่ต้องให้เดินไปให้จงได้ ประชาธิปไตยไทยจึงจะตั้งขึ้นได้และบังเกิดความมั่นคง และมีการก้าวหน้าไปตามครรลองของประชาธิปไตย นั่นคือการเดินหน้าไปสู่ความมีรัฐบาลโดยนโยบายที่ประชาชนยินยอมแล้ว และนั่นหมายถึงนำประเทศไทย และประชาชนไทยไปสู่ความสุขสงบและเจริญงอกงามทางเศรษฐกิจ การกินดีอยู่ดีโดยนโยบายของรัฐบาลของประชาชน ด้วยระบอบประชาธิปไตยได้เสียที
- บุษบา บุญเสฏฐ์
27 เม.ย. 2551
* แฟ้ม: ยุทธศาสตร์ประเทศไทย ประเทศ