บทบก.2
การศึกษาที่หลงทางไปจากเป้าหมายทางพุทธิศึกษา
เป้าหมายทางการศึกษา ความรู้คู่คุณธรรม
ในเรื่องการศึกษา เรามีความเห็นว่า การศึกษาหมายถึงการศึกษาเพื่อให้รู้โลก ว่าโลกขณะนี้เป็นอย่างไร วัตถุนิยมจะทำลายโลกอย่างไร การศึกษาใดที่ส่งเสริมวัตถุนิยม โดยหลงไปสุด ๆ ว่าวัตถุนิยมเท่านั้น ที่สร้างโลกให้พัฒนาเจริญไปสู่ความมั่งคั่ง และความสุข นั่นเป็นความรู้ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง สิ่งที่ช่วยสร้างความเข้าใจต่อปัญหานี้ ก็คือปัญหากาม ราคะ ตัณหา วัฒนธรรมเซกศ์ และเศรษฐกิจทุนนิยม เป็นต้น หากมีการเรียนรู้หลักที่เป็นการศึกษาเพื่อแสวงหาความเป็นมนุษย์ ก็จะได้พบความสุขที่แท้จริง มีวัตถุก็เพียงเข้ามาเสริมเท่าที่จำเป็น กล่าวคือมีปัจจัย 4 ที่จำเป็น ก็พอเพียงแล้วสำหรับความเป็นอยู่ของปัจเจกบุคคล ส่วนที่เกินก็คือความมั่งคั่ง ร่ำรวยที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคมโดยรวม เช่นนี้สังคมก็เป็นการศึกษาที่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องขยายการศึกษาตามแนวคิดนี้ออกไปสู่โลกทั้งหมด นี่คือพุทธิศึกษาตามความหมายการศึกษาเดิมในวงการศึกษาไทย ขณะนี้ ในการปฏิรูปการศึกษา ที่น่าระวังก็คือการศึกษาของฝ่ายสงฆ์เอง ที่อาจจะไม่เข้าใจโลก ว่าการศีกษาตามแนวทางตะวันตกนั้นเป็นวัตถุนิยมอย่างไร แล้วจัดแจงจัดการให้ระบบการศึกษาฝ่ายสงฆ์ไปเป็นการส่งเสริมแก่วัตถุนิยม หรือเอาวัตถุนิยม (เงิน) มาส่งเสริมการศึกษาสงฆ์ ซึ่งจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ขัดต่อหลักการสูงสุดของพระพุทธศาสนา และไม่อาจจะเผยแผ่สัจจธรรมในพระพุทธศาสนาออกไปให้เป็นสากลได้ เพราะหัวใจการเผยแผ่คือการศึกษาสงฆ์เองไม่เป็นสิ่งที่พิศูจน์สัจธรรมในพระพุทธศาสนาเสียแล้ว หากการศึกษาสงฆ์เดินไปผิดทางเช่นนี้แล้ว ต่อไปสถาบันศาสนาสงฆ์ไทยก็คงทำได้แต่การโฆษณาชวนเชื่อพอเอาตัวรอดไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง
หลักการศึกษา ความรู้คู่คุณธรรม เป็นเพียงนามธรรมอยู่ ไม่ได้รับการพัฒนาไป
เมื่อมองประเด็นเฉพาะ เรื่องการปฏิรูปการศึกษา แท้จริงก็ได้เริ่มมาตั้งแต่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดว่า ความรู้ต้องคู่คุณธรรม (มาตรา 81) ต่อมาเมื่อมี พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 อันเป็นต้นแนวความคิดต่อมาสำหรับการรวมการบริหารปัญหาการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของชาติ โดยบัญญัติให้มี กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ทำหน้าที่ปฏิรูปการศึกษาให้ทันสมัย ดูจากเหตุผลที่ให้มีการปฏิรูปการศึกษา บอกไว้ว่า เรื่องความรู้คู่คุณธรรม เป็นเป้าหมายหลักของการศึกษาของชาติ โดยย้ำความหมายที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ ให้รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมขึ้นมา
ปัญหาทางการปฏิรูปการศึกษาไทย เท่าที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเผยออกมา ได้เห็นแต่การพูดถึงการวางแผนการศึกษา อย่างสวยหรู โดยเที่ยวไปรวบรวมความคิดความเห็นดี ๆ มาจากทุกหนทุกแห่ง แล้วเขียนเป็นแผนไปตามนั้น ก็กลายเป็นแผนที่ดีที่สุด เมื่อพูด จึงออกมาได้ภาพอย่างงดงาม สวยหรู ไม่มีข้อโต้แย้ง ข้อตำหนิใดใดเลย หากจะอุปมาก็คงมิต่างจากแผนงานในสังคมผู้บรรลุพระอรหันต์ หรือโลกอุตมะ แล้วเอาแผนนั้นมาใช้กับสังคมมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่มีกิเลส ก็จบ เพราะเดินไปไม่ได้ แล้วไม่เคยพูดถึงมาตรการการควบคุมให้เป็นไปตามแผน หรือมาตรการอื่น ๆ ที่จะควบคุม(Controlling) ให้แผนการเป็นผลสำเร็จ ทุกวันนี้ปัญหาทางการบริหารไทย ดูจะไม่ใช่ปัญหาของการปรับปรุงกฎหมายโดยตรง เพราะเรื่องใดใดก็ดูเหมือนมีบทบัญญัติของกฎหมายว่าไว้อยู่แล้ว เช่นปัญหาการจัดระบบสังคม ของ รมว.มหาดไทย ท่าน ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ซึ่งท่านเองก็ยอมรับ เป็นต้น แต่การบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้ทำ แล้วหลงประเด็น มามองที่แผนงาน(Planning) อย่างเดียว พอใจอยู่เพียงการได้ร่างแผนดี ๆ ออกมา ตามที่คนดี ๆ ทั่วประเทศเสนอแนะให้มา ก็จบ
ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 81 ดังกล่าวว่า ความรู้คู่คุณธรรม แม้บัดนี้ ผ่านมาถึง 4 ปีแล้ว ก็ไม่เคยมีใครไปควบคุมดูแลให้ครู อาจารย์ ซึ่งต้องทำตัวเป็นแบบอย่างของนักเรียน มีคุณธรรมขึ้นมา ครูอาจารย์สตรี แม้การแต่งกาย นุ่งห่มก็เห็นอยู่ว่า ไร้คุณธรรม ประเจิดประเจ้อ ไร้สำนึกแห่งคุณธรรมไปแทบทุกสถาบันทั่วประเทศ ครูอาจารย์ชาย นิยมเข้าบาร์คลับ กินดื่มเที่ยวฟุ่มเฟือย นิยมมีเมียน้อยกันทั่วไป เงินเดือนจึงไม่พอใช้ ตัวเองต่างสร้างปัญหาทางคุณธรรมขึ้นมา แล้วกลายเป็นปัญหาสังคมที่ไร้คุณธรรมขึ้นมา ก็เพราะไม่มีการดูแลควบคุมให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดด้วยซ้ำ จึงคงมีแต่แผนการที่ตั้งใจเขียนขึ้นมาดี ๆ เท่านั้นจริง ๆ เดี๋ยวนี้ เมื่อมีการพูดถึงแผนการศึกษาแผนใหม่ ก็พูดได้อย่างไม่มีที่ติ แต่เมื่อถามว่าการจะควบคุมให้แผนเป็นผลสำเร็จขึ้นมา ทำได้อย่างไร ก็ไม่มีคำตอบที่ให้ความมั่นใจได้
ในพระราชบัญญัติการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม พ.ศ.2542 คำว่าศาสนาคืออะไร เมื่อไม่เข้าใจว่าศาสนาคืออะไร แล้วก็คงจบลง จึงเห็นได้ว่า สังคมเรายังเป็นสังคมที่เอาเรื่องระดับชาติมาลองทำกันอยู่ เท่านั้นเอง
ประเด็นเพศศึกษายังไม่ยอมหาข้อยุติ
ในประเด็นคุณธรรมอันเดิม ก็ต้องมองไปถึงการสอนเพศศึกษา ก็พบว่า วงการศึกษาไทย ไม่ยอมศึกษาหาข้อยุติ โครงการชนิดที่สอนแบบวัตถุนิยม ให้เห็น ให้ดู ให้รู้ของจริงนั้น คือการกระตุ้นความคิด ความอยาก ใฝ่ใครทดลอง ทำความรู้สึกทางกามารมณ์ให้เกิดขึ้นแก่เด็ก ๆ เป็นเหตุให้ใฝ่ในกามารมณ์กันแต่เด็ก ๆ น่าจะเป็นข้อยุติกันได้แล้วว่าเป็นวิธีการที่ผิด ไม่ควรให้มีขึ้น ขณะนี้ดูเหมือน เมื่อจนปัญญา ก็เริ่มมาสู่คติว่า ปล่อยให้เด็กเสพกามกันแต่เด็ก ๆ ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร นี่คือความคิดวัตถุนิยมเต็มตัว ยิ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ หมายความว่า ยิ่งจะก่อปัญหาทวีขึ้นไปอีก สิ่งที่นักการศึกษาไทยไม่เฉลียวใจคิดก็คือ เรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์และวิธีการแก้ไขเรื่องนี้ พระสงฆ์ท่านรู้ดี เพราะท่านอยู่ในศาสนาพรหมจรรย์ ท่านมีวิธีการทางศาสนาที่ป้องกันแก้ไขปัญหาทางกามารมณ์ได้ น่าจะมองดูแบบอย่างจากทางศาสนา เอาแบบอย่างทางศาสนาเป็นตัวหลักในการประเมินวิธีการสอนเพศศึกษาที่ถูกต้อง แต่ก็จะเห็นว่าไม่ค่อยสนใจวิธีการของศาสนา กลับเลื่อมใส เอาแบบอย่างวัตถุนิยม โดยหาเข้าใจไม่ว่า นั่นเป็นเหตุที่สร้างปัญหายิ่งขึ้นไปไม่จบสิ้น นี่ก็คืออีกลักษณะหนึ่งที่บ่งถึงความไม่เข้าใจคำว่า ศาสนา (โปรดดูบทวิเคราะห์เพิ่มเติมหน้า27คอลัมน์ เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว)