บทบก.1 ปรารภเรื่องเศรษฐกิจ ระบบที่สร้างภูมิคุ้มกันให้แด่ไทย
ข้อพิจารณา วัตถุนิยมกีฬาเมื่อบอลโลกมาไทย
นี่คือ หนังสือพิมพ์ดี : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก ฉบับ เทศกาลเข้าพรรษา พุทธศักราช ๒๕๔๔ ประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน-กรกฎาคม-สิงหาคม-กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ นับเป็นปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒๔ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้
เราจะบินบินบินและบินไป สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
ในบทบรรณาธิการ ดี ฉบับนี้ เราจะเริ่มเรื่องเศรษฐกิจ เสียก่อน แล้วเราจะพูดถึงเรื่องการศึกษา-การกีฬา ก่อนจะถึงประเด็นบางประเด็นเกี่ยวกับการศาสนาสากล โดยสืบเนื่องจากกรณีตาลีบัน อาฟกานิสถาน ที่เราได้วิเคราะห์ไว้อย่างกว้างขวางในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ดี ฉบับที่ ๒๓ แล้วเราจะลองมองปัญหา การก่อวินาศกรรมในอเมริกา และพูดถึงอเมริกา เป็นเรื่องใหญ่ แนวการมองปัญหาเหล่านี้ เรามองจากวิสัยทัศน์แห่งศาสนธรรมเป็นหลัก กล่าวคือ เอาสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสัจธรรม ที่มีอยู่ในการศาสนามาเป็นเกณฑ์การวิเคราะห์ อาศัยหลักการอื่น ๆ ประกอบ สำหรับตรวจสอบซึ่งกันและกัน เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะเราเชื่อในหลักการศาสนาว่า เป็นหลักการแห่งความสัจจริง และเป็นอมตะ มีความจริงยืนนานกว่าหลักทฤษฎีทางโลก
ต้องยึดเศรษฐกิจหลักคือ เศรษฐกิจแบบพอเพียง
ในเรื่องเศรษฐกิจ เรายังคงจะต้องย้ำเน้นว่า การเศรษฐกิจระบบที่ได้สร้างภูมิคุ้มกันแด่ชาติไทยเราอยู่ทุกวันนี้ มิใช่เศรษฐกิจในระบบที่เราจัดทำอยู่ขณะนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเศรษฐกิจแบบไทยดั้งเดิมมา หรือแท้จริงก็เป็นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั่นเอง ในวันนี้ เรายืนยันว่า รัฐบาลจักดำเนินเศรษฐกิจแบบไหนก็ตามแต่ แต่จะต้องให้เป็นเพียงระบบที่เอื้อและเสริมแก่ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเศรษฐกิจแบบพอเพียงต้องเป็นหลัก หรือเป็นตัวนำ ระบบอื่นเป็นเพียงตัวเสริม ตัวสำรองเท่านั้น เราไม่ยอมให้เศรษฐกิจทุนนิยมหรือเศรษฐกิจตามทฤษฎีโลกสมัยใหม่นี้มีความสำคัญถึงระดับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของชาติ ก็เพราะว่าทฤษฎีนี้จักไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจได้เลย แต่จักเป็นโทษแก่โลกมนุษย์ในองค์รวมยิ่ง ๆขึ้นไปตามลำดับ ในระยะยาว เศรษฐกิจระบบนี้จะก่อปัญหาไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะการแก้ปัญหาของเศรษฐกิจระบบนี้ เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายปัญหา จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นแล้วนับวันฟักตัวปัญหาเดิมนั้นเองให้เติบโตไปเรื่อย ๆ จนขณะนี้เติบโตขึ้นจวนท่วมโลก ผลของปัญหาเศรษฐกิจก็คือ ศีลธรรมจริยธรรมของมนุษย์หย่อนลงไป เริ่มด้วยวัฒนธรรมการเอารัดเอาเปรียบ แม้ในประเทศไทยเราเอง เช่นกรณีนายบุญช่วย คชสิทธิ์ ชาวกาญจนบุรี เอาอุจจาระราดตัวเอง หน้าธนาคารออมสิน เพื่อประท้วงกองทุน ธ.ออมสินที่ฉลาดแกมโกงเอารัดเอาเปรียบประชาชน(ข่าวสด 18 ส.ค.2544 หน้า 1) เป็นต้น จนถึงภาวะที่มนุษย์พร้อมที่จะทำสงครามทุกขณะ ในขณะนี้ มีข้อสังเกตทางเศรษฐกิจที่ว่า เมื่อเรามัวเพ่งมองตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเรามองเข็มวัดความเจริญทางเศรษฐกิจอยู่ว่าจะมีความเติบโตเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับความวิตกว่าตัวเลขต่ำ ในเมื่อเรายินดีกับตัวเลขที่สูง และพยายามจะทำให้ตัวเลขสูงขึ้นนั้น พึงเข้าใจว่า นั่นเป็นเพียงมาตรการวัด มาตรการหนึ่งของทฤษฎีวัตถุนิยมเท่านั้น ซึ่งจะไม่เป็นความจริงโดยตลอดไป เพราะความจริงตัวเลขทางเศรษฐกิจของโลกจะไม่มีวันสูงขึ้นไปได้อีก มีแต่จะลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ ทั่วโลก ในญี่ปุ่นก็จะลดลงไป ในอเมริกาก็จะลดลงไป ในอังกฤษและยุโรป ก็จะลดลงไป ถึงแม้จะมีตัวเลขขึ้นสูงในชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ตามในที่สุดย่อมลดต่ำลง
ตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่ควรเป็นระดับยุทธศาสตร์
ฉะนั้น การที่ตัวเลขความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงหรือต่ำ จึงไม่น่าจะให้ความสำคัญมากจนเกินไป จนถึงขั้นยกให้เป็นระดับยุทธศาสตร์การเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากการมองตัวเลขขณะนี้ เป็นภาพที่เกินความเป็นจริงตามธรรมะ แต่ควรจะเป็นเพียงเครื่องชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า นี่เป็นวิถีทางวัตถุนิยม เป็นเศรษฐกิจแบบวัตถุนิยม ซึ่งในที่สุดจักก่อความหายนะอย่างใหญ่หลวง แต่เศรษฐกิจแบบที่จักช่วยเราได้ตลอดไป ให้ร่ำรวยมั่งคั่งได้ ไม่ตกต่ำนั้น มีเพียงระบบเดียวคือระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงเท่านั้น และควรดำเนินยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแบบพอเพียงอย่างจริงจัง ก่อนประเทศใดอื่น
ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรจักให้ผู้ที่ได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศได้ทราบว่า การเศรษฐกิจแบบต่างประเทศคือทุนนิยม(Capitalism) และ ฯลฯ นั้นเป็นการเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายไปสู่วัตถุนิยมล้วน ๆ และวิธีการแก้ปัญหาของระบบเศรษฐกิจแบบนั้นก็ใช้วัตถุนิยมเป็นเครื่องมือ ในเมื่อเราได้ข้อสรุปแล้วว่า วัตถุนิยมเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ไม่ว่าเอามาเป็นเป้าหมายทางไหน ก็เกิดอันตรายต่อทางนั้น ไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม แม้ในศาสนาเอง ถ้าวัตถุนิยมมามีส่วน มาเป็นเป้าหมาย มาเป็นเครื่องมือแล้ว นั่นหมายถึงความเสื่อมและ อันตราย ถ้ามาสู่ศาสนา ก็จะสร้างความเสื่อม อันตรายแก่ศาสนา สิ่งที่เห็นในขณะนี้ที่ยืนยันถึงความเสื่อมก็คือ สถานการณ์รูปรวมในญี่ปุ่น อเมริกา และ ยุโรป เป็นสถานการณ์ที่บอกถึงความเสื่อม และการฟื้นตัวนั้นจะยากลงไปตามลำดับ ซึ่งเมื่อมาสู่สถานการณ์เช่นที่ว่านี้คือ สถานการณ์ที่การฟื้นตัวจะยากไปตามลำดับแล้วนั้น ประเทศมหาอำนาจเช่นอังกฤษก็มักจะคิดถึงการสงครามขึ้นมาทันที เพราะหวังจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลายด้าน จากการสงครามที่ตนคาดว่าจะเป็นฝ่ายชนะ
การโฆษณาความดีของวัตถุนิยม จึงเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ
ฉะนั้น การโฆษณาความดีของวัตถุนิยม จึงเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะประเทศเหล่านั้นมุ่งแสวงหาประโยชน์ พวกเขาสอนเรื่องวัตถุนิยมแก่โลก แก่ประเทศที่ล้าหลัง ก็โดยประโยชน์ที่จะได้โอกาสเข้าไปสำรวจทรัพยากรในประเทศต่าง ๆ ว่ามีอยู่เท่าไร เขามีช่องทางอย่างไรที่จะปล้นจะชิงเอาทรัพยากรจากประเทศที่ด้อยวัตถุนิยมกว่า เท่านั้นเอง ประเทศวัตถุนิยมจึงอยู่ด้วยความคิดที่โลภ เบียดเบียน เห็นแก่ตัว มือยาวสาวได้สาวเอา โดยมุ่งขยายอาณาจักรทางเศรษฐกิจของตนออกไปครอบงำประเทศอื่น ๆ แล้วขนเอาทรัพยากรจากประเทศนั้น ๆ ออกไป สู่ประเทศของเขา หากเขาไม่ทำโดยวิธีการแผ่จักรวรรดิ์แบบนี้ หรือไม่อาจทำได้ ประเทศวัตถุนิยมนั้นเองก็จะพลอยเสื่อมลงไปกว่าเดิมอีก ดังจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากบทบาทของอดีตผู้นำประเทศมหาอำนาจ คือประธานาธิบดี บิล คลินตั้น ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจทฤษฎีนี้ดีที่สุด จึงดำเนินนโบายการต่างประเทศอย่างฉลาดในทางที่จะครอบงำโลกทุกวิถีทาง แม้วิถีทางทหารและความรุนแรง เขาก็ได้ทำมาแล้ว ตลอดเวลา 8 ปีแห่งการครองอำนาจ แล้วสามารถแทรกแซงทางเศรษฐกิจ นำทรัพยากรต่าง ๆ จากต่างประเทศไปสู่ประเทศของตน ทำให้อเมริกามั่งคั่งมั่งมีอย่างมหาศาลจนสามารถพูดถึงโครงการอาหารและสุขภาพของประชาชนได้อย่างเต็มที่
ต่อมา เมื่อผู้นำอเมริกาคนปัจจุบันนี้ลดบทบาทการต่างประเทศลงทำให้ห่างไปจากนโยบายจักรวรรดิ์นิยมแบบนั้น เนื่องจากเหตุผลทางบุคคลิกภาพ ความสามารถเฉพาะตัวผู้นำ และเหตุผลทางมโนธรรมสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ส่วนหนึ่ง แต่กระนั้นวิถีทางของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังเป็นวัตถุนิยมเต็มที่อยู่เช่นเดิม นั่นก็คือความฟุ่มเฟือย การบันเทิง ราคะ ตัณหา วัตถุนิยมทำให้ชาวอเมริกันไม่รู้จักคำว่า ประหยัและ อดออม
การประยัดและอดออมเป็นเบื้องต้นของความเข้าใจเศรษฐกิจแบบไทยเดิม
และการประหยัดและอดออม เป็นเบื้องต้นของการทำความเข้าใจเศรษฐกิจแบบพอเพียง อันนี้เป็นหลักการที่มาจากการศาสนา โดยเต๋า ได้กล่าวเป็นวลีอมตะไว้แต่เดิมว่า ประหยัดเพื่อแสดงจิตใจ ที่บ่งว่าเศรษฐกิจแบบพอเพียง จะต้องไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวของการพัฒนาจิตใจเป็นหลัก ต่อมา เมื่อเป็นรูปธรรมขึ้นก็มามองจากหลักปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และ ยารักษาโรค ตามหลักการศาสนาพุทธ ก็สามารถดำรงชีวิต ได้พอเพียงแล้วด้วยปัจจัยสี่อย่างนี้ แล้วมุ่งพัฒนาจิตใจไปสู่ความสมบูรณ์แห่งจิตใจ มีความสะอาด สว่างและสงบแห่งจิตใจ เป็นต้นนั้น ก็พอเพียงที่จะให้ชีวิตปัจเจกบุคคลและสังคมและโลกมีความสุขสมบูรณ์ได้ ชีวิตที่แท้จริงจึงไม่ต้องการวัตถุมากมายแต่อย่างไร แท้จริงชีวิตต้องการสิ่งที่เรียกว่า ความสุข แต่พวกวัตถุนิยมหลงไปว่า วัตถุนิยมเป็นทางมาซึ่งความสุข วัตถุนิยมจึงเป็นทฤษฏีที่หลงผิดอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นที่แน่นอนว่าในที่สุดจะทำลายตนเอง ทำลายโลกทั้งโลก โดยจะเริ่มทำลายทรัพยากรก่อนแล้วค่อยทำลายระบบสังคม ทำลายมโนธรรมสำนึกส่วนบุคคลลงไปตามลำดับ และจะรุนแรงขึ้นไปตามลำดับและไร้การต่อต้านยับยั้งเมื่อได้กลายเป็นระบบวัฒนธรรมขึ้นมา ที่เห็นชัดในวันนี้ก็คือวัฒนธรรมแห่งเศรษฐกิจ เกี่ยวกับทฤษฎี ดีมานด์-ซัพพลาย (Demand - Supply) เมื่อกลายเป็นวัฒนธรรมก็ขาดการต่อต้าน หรือต่อต้านได้โดยยาก เห็นได้จาก เมื่อมีซัพพลายเกินล้นตลาด เป็นเหตุให้ราคาตกต่ำ พวกวัตถุนิยมก็คิดแก้ไขโดยมองมุมเดียวตามทฤษฎีเท่านั้น คือลดซัพพลายลง ในประเทศไทยก็เคยมีปรากฎการณ์ชนิดนี้เกิดขึ้นกับลูกไก่ คราวนั้นลูกไก่ราคาตก ต้องเอาลูกไก่นับล้านตัวไปทิ้งทะเลในอ่าวไทย เพี่อดึงราคาขึ้น ตามทฤษฏี ดีมานด์ ซัพพลาย ทีแรกคนก็เห็นว่าไร้ศีลธรรมเกินไป ก็มีคนฟังและยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเป็นวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจขึ้นมาเสียแล้ว ก็ยากที่จะยับยั้งได้
นี่คือเหตุที่โลกจะต้องสิ้นสลายไปในวันหนึ่ง เพราะนี่คือวิถีทางที่โลกเริ่มย้อนกลับไปสู่ความป่าเถื่อนอันเป็นสันดานดิบของมนุษย์โดยธรรมชาติ ในยุโรป อเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น ทุกวันนี้ เราจะเห็นการฆ่าสัตว์เลี้ยงหลายชนิด ทิ้งเป็นจำนวนมากมายมหาศาล อย่างเป็นเรื่องปกติ เช่นแกะ โค สุกร สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ อย่างในประเทศอังกฤษก็มีการทารุณกับแกะและวัวที่เป็นโรค โดยนำไปฆ่าเผาไฟทิ้งทั้งเป็นนับล้านตัวแล้ว โดยที่คนทั้งหลายไม่สะดุ้งอะไรกับคำว่า โหดร้าย และ ป่าเถื่อน เพราะเป็นวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจวัตถุนิยมไปเสียแล้ว ทำให้มองเห็นแนวทางที่จะเป็นต่อไปได้ชัดเจนว่า ในอนาคตโลกจะไปถึงจุดนั้นอย่างไม่มีข้อสงสัย จะมีคนเรากันเองจำนวนหนึ่ง ที่จะถูกตัดสินให้เอาไปเผาไฟทิ้ง โดยเหตุผลที่ว่าคนจำนวนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ว่าจะเริ่มขึ้นกับกลุ่มผู้ก่ออาชญากรรมโหดเหี้ยมประเภทฉุดคร่าข่มขืนแล้วฆ่าปิดปาก หรือพวกวิปริตทางเพศ และกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเป็นกลุ่มแรกก่อน แล้วมาถึง กลุ่มผู้ติดยาเสพติด หญิงโสเภณี นักร้องนักรำ หางเครื่องที่แก่โทรมลงแล้ว เป็นกลุ่มที่สอง คนป่วยโรคเอดส์ และกลุ่มคนผู้ชราภาพ เป็นกลุ่มที่สาม จากนั้นเป็นกลุ่มกรรมกรว่างงาน ฯลฯ นี่คือวัฒนธรรมเถื่อนดิบที่จะต้องมาถึงในวันหนึ่ง ในวันที่โลกจวนเข้าสู่ความพินาศสลาย
การกีฬาเป็นวัตถุนิยมอันตรายของโลก
ที่น่าสังเกตในปัจจุบัน สิ่งที่เอื้อให้อย่างแรงต่อการขยายความคิดวัตถุนิยมก็คือ การกีฬา คนไม่รู้เรื่องภัยของวัตถุนิยมก็มองว่าการกีฬาเป็นสิ่งที่ดี โลกก็โหมกระหน่ำเรื่องการกีฬาอย่างต่อเนื่องรุนแรง โดยไม่เข้าใจว่าการกีฬาตามแนวคิดตะวันตกนั้นเป็นวัตถุนิยม เป็นเรื่องการหาเงินอย่างเดียวล้วน ๆ นักกีฬาต่างมีค่าตัว ซื้อขายกันได้ เหมือนสินค้าชนิดหนึ่ง มีการลงทุนสร้างคนให้เป็นนักกีฬาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดากันแล้ว ฉะนั้น การส่งเสริมการกีฬาในประเทศของเรา หากกระทำไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือไม่เข้าใจว่าแท้จริงพวกต่างประเทศเขามีสำนึกอย่างเดียวคือการหาเงินหาประโยชน์ส่วนตัวของเขา โดยอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่า ชำนาญกว่าแล้วมาแสวงหาเงินอย่างง่าย ๆ จากประเทศที่กำลังตื่นตัวอย่างแรงกับความเฟื่องฟูของวัตถุนิยม เช่น อินเดีย จีน ลาว เขมร ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดเนเซีย เป็นต้น นั่นก็จะเท่ากับกลายเป็นเครื่องมือของวัตถุนิยมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงจำเป็นที่คนเราต้องมองสถานการณ์ของวัตถุนิยมให้ลึกซึ้งแตกฉานเสียตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้เกิดความรอบรู้เท่าทันการณ์ และหยุดเสีย แล้วรู้จักแสวงหาจุดยืนที่มั่นคงและปลอดภัย คือเศรษฐกิจแบบพอเพียง โดยจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง ความสุขที่แท้จริงของชีวิต และสังคม ให้มากขึ้น
ลองพิจารณาสถานการณ์การกีฬาที่เห็นในเมืองไทยเร็ว ๆ นี้ มีทีมกีฬาจากอังกฤษมา2ทีมติด ๆ กัน (หงส์แดง : ลิเวอพูล กับ ปีศาจแดง : แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด) ภาพในสนาม บนอัฒจันทน์สนามราชมังคลาสถานแห่งชาติ เมื่อเห็นแล้ว คงมีคนหลายคนถึงกับอุทานออกมาว่า เมืองไทยทันสมัยแล้ว ไม่แพ้ประเทศตะวันตก ภาพการแต่งเนื้อแต่งตัว ใส่สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ตนชอบใจ เพื่อแสดงออกว่าตนรักใคร่ทีมฟุตบอลต่างชาติทีมนั้น ๆ ชอบนักฟุตบอลคนนั้น ๆ การเชียร์ที่ทันสมัย แสดงออกซึ่งความเลื่อมใสศรัทธา เช่น ที่ผู้ประกาศข่าวรายงานด้วยความตื่นเต้นว่า ทางคนดูบนอัฒจันทน์ขณะนี้เล่นเวฟกันอย่างสนุกสนานเป็นภาพที่สวยงามมาก นั้น ทำให้เห็นสีสรรบนอัฒจันทน์ แล้วดูไม่ออกว่านี่เป็นประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศสหรืออเมริกากันแน่นะ สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ คนไทยเรานั้นก็คงมีภูมิธรรมดีน่ารัก ตรงที่เอาความคิดอย่างไทยไปมองความคิดต่างชาติ มองกีฬาต่างชาติแบบไทย จึงมองเขาเป็นไทย แต่ความจริงเขาก็เป็นเขา เป็นพวกวัตถุนิยมอยู่ และในความเป็นจริงที่เห็น พวกเขาคือวัตถุนิยมเต็มอัตราศึก ความคิดของพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือ อะไร ๆ ก็เพื่อเงินอย่างเดียว สรรวิธีการมากอบโกยเอารัดเอาเปรียบ โดยพยายามสร้างสถานการณ์ สร้างโอกาสเพื่อที่เขาจะกอบโกยอย่างนิ่ม ๆ เดี๋ยวนี้โอกาสของวัตถุนิยมกีฬาในประเทศไทยจึงเปิดกว้างจนแทบไม่มีประตู เพราะเวลาในรายการโทรทัศน์ทุกช่อง ๆ ได้อุทิศให้การโฆษณาฟรี ๆ แก่การกีฬาวัตถุนิยมนี้อย่างมากมายแทรกอยู่ในรายการต่าง ๆ ตลอดวัน บางช่องถึงกับถือเป็นสิ่งที่สะท้อนความทันสมัยทันโลกของตนไปอย่างน่าภาคภูมิใจไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการข่าว ที่ค่อนข้างไร้เหตุผลก็คือ สถาบันการศึกษา ที่พลอยเห่อตามไป โดยให้คุณค่าพลศึกษา นำพุทธิศึกษาไปไกลจนพุทธิศึกษาดูไร้ความสำคัญลงไปทั้งสิ้น เพราะในรอบปีหนึ่งในสถาบันการศึกษา มีแต่กิจกรรมพลศึกษาคือการเล่นกีฬาตลอดปีทั้งในและนอกโรงเรียน ทำให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่ตลอดปี ซึ่งทำลายวิถีทางของพุทธิศึกษา ที่ต้องการความเงียบและสมาธิ เด็กก็โง่ลงไป อีกด้านหนึ่งการกีฬา ก็ไล่ต้อนแรงงานคือเด็ก ๆ คนหนุ่มคนสาว แม้กระทั่งคนแก่ออกมาเสียจากนาข้าว ลูก ๆ หลาน ๆ ผู้อยู่ในวัยฉกรรจ์พอจะช่วยการเศรษฐกิจไร่นาของครอบครัว ก็ถูกไล่ต้อนออกมาเล่นลูกกลม ๆ เสีย อย่างน่าเสียดาย แล้วก็ต้องไปจ้างแรงงานแพง ๆ มาหว่านกล้าปักดำ ขายข้าวแล้วก็เอาเงินให้แรงงาน ให้เจ้าหนี้ เจ้าของทุน รวมทั้งให้ลูก ๆ หลานไปเล่นกีฬา พอโตขึ้นพวกนี้ก็ทำไร่ทำนาไม่เป็น ไร้ประสิทธิภาพ เพราะชาวนาที่มีประสิทธิภาพ จะต้องค่อยฝึกค่อยเรียนจากแปลงนาทุ่งนาไปตั้งแต่เด็ก ๆ ต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลานาน ต้องมีเวลาอุทิศให้อย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ต่างจากการเล่นกีฬาหรือการเรียนการศึกษาในสถาบันการศึกษา เช่นเดียวกัน เมื่อเห่อออกไปเสียนอกวิถีทางเกษตรกรรมครอบครัว คือพากันไปไล่เตะลูกกลม ๆ เสียเปล่า ๆ ก็หมายถึงระบบที่ดีของเกษตรกรรมถูกทำลายลงไปอย่างตั้งใจ
ฉะนั้น นี่ล้วนเป็นผลเสียหายจากกีฬาวัตถุนิยมทั้งสิ้น และซึ่งฝ่ายวางแผนปฏิรูปการศึกษามองไม่เห็น บัดนี้ เราต้องการให้สังคมยั้งคิด และเรียนรู้เรื่องวัตถุนิยมจากการกีฬา จากประเด็นที่ว่าพวกอเมริกัน อังกฤษ ยุโรป เหล่านั้นเขาไม่ได้นึกคิดอย่างคนไทยที่เข้าไปเต็มพลาญอัฒจันทร์เชียร เขาคิดอย่างเดียวว่าจะได้เงินเท่าไร พอจะได้มากไปกว่าคราวก่อนหรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะดูดจะล้วงจะค่อยดึงเงินจากกระเป๋าคนไทยโดยไม่ให้คนไทยรู้ตัว พวกเขาคิดอยู่แค่นี้ และในระบบรวม การกีฬายุโรปก็คือวัตถุนิยมเต็มตัว คือเป็นการหาเงินหาทอง และพวกเขาก็สามารถกอบโกยอย่างมากมายมหาศาลจริง ๆ จนสามารถตั้งค่าราคาให้นักฟุตบอลได้เป็นพันล้านได้ อย่างเช่นที่มาไทยครั้งนี้ นักฟุตบอลราคาค่าตัวสูงที่สุดในโลกก็มาด้วยคือ ฮวน เวรอน มิดฟิลด์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซื้อตัวมาร่วม 2,000 ล้านบาท เมื่อคนดูเพิ่มขึ้น ๆ ในโลก เขาก็ได้เงินได้ทองเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์โดยตรงต่อพวกเขา และแต่ละคนในวงการต่างร่ำรวยอย่างมหาศาล จากพวกเราที่แย่งกันตีตั๋วเข้าไปดูพวกเขาอย่างคลั่งไคล้ และเป็นเหตุให้คิดสร้างกีฬาชนิดต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นไปอีก แม้กระทั่งกีฬาที่ผนวกเอาความคิดทางเพศ พวกอเมริกันก็คิดขึ้นมาหาเงินหาทอง เช่นกีฬาระบำใต้น้ำ วอลเลย์บอลชายหาด ที่เปลือยเสียจนแทบว่าเห็นทุกส่วนสัดของเพศ และที่เคยเปลือยอยู่เดิมคือยิมนาสติก ก็ยิ่งเน้นให้ชัดเจนไปอีก อันเป็นการเน้นวัตถุนิยมคือเพื่อการหาเงินอย่างเดียว ในแบบอย่างวัตถุนิยมอเมริกัน ตามที่รู้จากภาพยนต์ฮอลลีวู๊ดที่มีฉากร่วมเพศให้คนทั้งโลกดูอย่างหน้าตาเฉย และประเทศอเมริกาเองก็ไม่ยอมพูดถึงปัญหาลามกอนาจารเช่นนี้เลย นั่นก็เพราะพวกเขาได้ประโยชน์
ทุกวันนี้ เรากำลังพยายามทำให้เยาวชน และสังคมเราคลั่งไคล้กีฬา โดยไม่พยายามแยกปัญหาวัตถุนิยมนี้ออกมาดู ออกมาให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ของเรา ไม่ให้ความสำคัญความเด่นแก่พุทธิศึกษา ในระยะยาว เราก็ต้องตกเป็นทาสของการกีฬาบันเทิง ผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง ประเทศชาติต้องคอยควักกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา แล้วพ่อแม่ของเด็กหนุ่มในท้องไร่ท้องนา ก็จะต้องหมั่นเดินขบวนร้องเรียกแก้ปัญหาเกษตรกรรม จากรัฐบาลถี่ขึ้น เพราะต้นทุนการเกษตรเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยไม่มองความจริงว่า เพราะเด็กหนุ่มสาวเยาวชนที่พอช่วยงานในไร่ในนาได้ต่างละทิ้งท้องนาไปหมด เพราะโรงเรียนส่งเสริมให้เล่นกีฬาแบบที่ฝรั่งเล่นกัน ทางที่ถูกก็คือ พาเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ของเราลงท้องนา เล่นกีฬาในท้องไร่ท้องนา กลับมาสู่วัฒนธรรมการเกษตร วัฒนธรรมแห่งเศรษฐกิจแบบพอเพียงกันเสียที ภาพที่บอกความเห่อเหิมจนเกินตัวในวัตถุนิยม ภาพที่ดูขัดความที่ควรจะเป็นแห่งสถานภาพการเศรษฐกิจแบบพอเพียง เช่นแย่งประมูลเสื้อ 2 ตัวของนักฟุตบอลต่างชาติ ตัวละ1แสนกับ 2 แสนบาท พอ ๆ กับที่คณะกรรมการกีฬาของประเทศอย่างเรา เสนอตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิค น่าจะเรียกได้ว่า เกินตัว บัดนี้คงจะเป็นสิ่งช่วยคิดว่า วัตถุนิยมคือความคิดแบบใด อย่างไร ?