รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
8. สงครามจิตวิทยา-Psychological warfare
รายงานบทที่ 8 รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[8], การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (8), ทวงคืนประเทศไทย, 26 ก.พ. 49 ณ สนามหลวง, ASTV 1 และ 3 วันอาทิตย์ ที่ 26 ก.พ. 2549 เวลา 18.00 น.ถึงเช้าตรู่วันที่ 27 ก.พ. 2549 จึงสลายตัว โดยนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 5 ก.พ. 2549
Research on propaganda aspect 2
การศึกษาวิจัยบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย
เมื่อเราได้โอกาสอันดีมาก ในการที่จะศึกษาบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อ โดยได้กลุ่มตัวอย่างในสนามหลวงคือกลุ่มม็อบผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เมื่อ 26-27 ก.พ. 2549 เป็นตัวอย่างการศึกษา รวมทั้งทางโทรทัศน์เคเบิล 2 ช่อง คือ ASTV 1 และ 3 ภายใต้หัวข้องานวิจัยว่า Research on propaganda aspect โดยให้นิยามศัพท์ตรงตามหลักวิชาทุกประการ นับตั้งแต่คำว่า สงครามเย็น(Cold war) สงครามจิตวิทยา(Psychological warfare) ว่าเป็นสงครามนอกแบบ ที่ต่อสู้เอาชนะข้าศึกด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda) ที่นำเอาเครื่องมือหลัก ๆ คือการปลุกระดมมวลชน(Mass agitation), การล้างสมอง(Brain washing) และการปล่อยข่าวลือ(Rumour) มาใช้อย่างครบเครื่อง
ซึ่งโดยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ สิ่งที่เห็นได้อย่างเห็นชัดก็คือการปล่อยข่าวลือต่าง ๆ มีออกมาไม่เว้นแต่ละวันแต่ละชั่วโมง ที่ล้วนแต่เป็นการให้ร้ายหรือโน้มเอียงไปตามสถานการณ์ที่ฝ่ายปลุกระดมต้องการทั้งสิ้น เช่นข่าวลือเรื่องการเคลื่อนกำลังพลของหน่วยรบพิเศษ ข่าวลือทหารเตรียมการปฏิวัติ ข่าวลือนายกรัฐมนตรีเตรียมอพยพ และล่าสุดข่าวลือผบ.เหล่าทัพขอให้ทักษิณลาออก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย แต่ส่อให้เห็นว่าฝ่ายที่สร้างข่าวลือเป็นฝ่ายใด และแสดงถึงเจตนา ว่ามีการปล่อยข่าวเหล่านี้อย่างมีเจตนาก่อกวนประเทศชาติ สร้างความเสื่อมเสียแด่รัฐบาล สร้างความ สับสนแด่ประชาชน สร้างสงครามประสาทขึ้น ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลและกองทัพก็รู้ทันคอยแก้กันตลอดเวลา
และนี่เป็นหลักฐานว่า มีการดำเนินการทางการปลุกระดมมวลชน เป็นกลยุทธของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างชัดเจนเช่นนั้น
หรือแม้กระทั่งเทกนิกการแอบอิงสถาบันและบุคคลสำคัญ ซึ่งตัวแทนฝ่ายม็อบก็พยามยามเข้าแอบอิง โดยอ้างว่าบุคคลสำคัญเหล่านั้นเข้าข้างตน อยู่ตลอดไป โดยคะเนว่าบุคคลส่วนใหญ่จะไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัดว่า บุคคลสำคัญนั้นพูดอย่างไรแน่ และพูดในเชิงเห็นคล้อยตามกลุ่มผู้ประท้วงจริงหรือไม่ ดังเช่นมีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจมาก ก็คือมีการแอบไปให้ข้อมูลที่ผิด ๆแด่พระสงฆ์มหาเถระผู้ทรงคุณธรรมชั้นสูงของภาคอีสานรูปหนึ่ง จนท่านเข้าใจผิดและกล่าววาทะออกมา แล้วแอบอ้างวาทะของท่านมาโฆษณาสร้างภาพให้แก่ตน โดยไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดถึงที่ไปที่มา หรือต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง ก็ก่อให้เกิดความสับสนขึ้นในส่วนของศาสนจักร ซึ่งได้ส่อถึงเจตนาร้ายยุยงให้หมู่สงฆ์แตกกัน อันเป็นอนันตริยกรรมแสนหนัก แล้วยังไปยุยงสงฆ์อีกสำนักหนึ่งให้มาร่วมชุมนุมจนได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็อ้างอดีตประธานวุฒิสภา ท่านมีชัย ฤชุพันธ์ (รายการกรองสถานการณ์ 1 มี.ค. 49)ว่า เห็นคล้อยกับการใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญเป็นต้น(เคเบิลช่องหนึ่ง 2 มี.ค. 49) ซึ่งแท้จริงท่านพูดอย่างเป็นกลางมากและมีเหตุผลมาก และไม่ได้พูดอย่างนั้น คล้าย ๆ กับที่ฝ่ายค้านทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอสนับสนุนเสียงของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เพียงพอไปเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรีเคยพูดไว้ว่าจะให้ ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง อ้างไม่ตรงตามเงื่อนไขที่นายกรัฐมนตรีพูดไว้ ในรายการถึงลูกถึงคนช่อง 9)
ซึ่งนี่คือแง่มุมหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อโดยแท้จริง ตรงตามที่ชาวบ้าน ๆ พูดกันว่า เล่นกันสกปรกจริง ๆ นั่นเอง
สิ่งที่ควรสังเกตอย่างยิ่งก็คือ การปลุกระดมมวลชน จะมีลักษณะต้องตรงตามนิยามที่ว่า
การปลุกระดมมวลชน (Mass agitation) หมายถึง การปลุกเร้าให้กลุ่มชน หรือ Audience เกิดอารมณ์และความรู้สึกร่วมกันขึ้นมา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งกลุ่มทั้งหมู่ทั้งมวล โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ผสมผสานไปให้เกิดอารมณ์ร่วมกันของหมู่ของกลุ่ม หมายถึงการเน้นทางอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริงเลย หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งที่เอามาพูดกันนั้น มีข้อเท็จจริงอยู่มากน้อยเพียงใดและอารมณ์ร่วมที่ต้องการก็คือ ความเกลียดชังผู้ปกครองประเทศ รัฐบาล หรือหัวหน้ารัฐบาลอย่างรุนแรง
กรณีวันนี้ก็คือ ให้เกลียดชังนายกรัฐมนตรีเฉพาะคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรอย่างรุนแรง
ดังปรากฏอย่างชัดเจนว่าขณะนี้ ม็อบปลุกระดมเน้นไปที่ตัวบุคคลอย่างขนาดหนัก และปลุกระดมให้เกลียดชัง สร้างภาพขนาดเลวร้ายที่สุด คือเป็นโจรมหาโจร โดยอ้างเอากรณีขายหุ้นเป็นประเด็นหลักในการโจมตี ซึ่งไม่เป็นธรรม เพราะกรณีนี้ได้ผ่านการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาแล้วทั้ง2สถาบันว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่นายกรัฐมนตรีบริสุทธิ์ทุกประการ แม้ว่าโดยกฎหมายและจริยธรรมของการธุรกิจการค้า
แต่โดยกลวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ที่พยายามเน้นอารมณ์(Emotion), ความรู้สึก(Feeling) มากกว่าเหตุผล(Science), ข้อเท็จจริง(Fact) และสัจธรรม(Truth) และอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของหมู่ชนที่มีความคิดล้าหลังในเชิงการเศรษฐกิจยุคใหม่(แม้กระทั่งนักวิชาการรัฐศาสตร์-นิติศาสตร์บางคน ยังไม่เข้าใจเรื่องการทำมาหากินเชิงธุรกิจแนวใหม่ ๆ เช่นนี้ในโลกยุคไร้พรมแดน) จึงนำไปปลุกระดมไส่ไคล้ป้ายสีได้ โดยคนไม่เข้าใจว่าที่เขานำมาพูดนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จเพียงไร แต่เมื่อถูกปลุกอารมณ์ด้วยกลการล้างสมอง(Brain washing) ก็พลอยเชื่อตามไปอย่างแน่นแฟ้น แม้กระทั่งไปอย่างสุด ๆ ที่ว่า นายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร โกงบ้านโกงเมือง มีเหลี่ยมมีคมรอบด้าน อย่างโจรมหาโจร ผู้ขายชาติมาตลอด เพื่อเป็นเครื่องมือขับไล่ จนกระทั่งไม่มีทางเลือก มีทางออกทางเดียวคือหนีไปเสียจากประเทศไทย เท่านั้น
ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมเสียเลย
เพราะแม้คนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ที่มีเพียงความสำนึก ก็ย่อมรู้ได้ว่านายกรัฐมนตรีได้ทำประโยชน์มหาศาลแด่ประเทศชาติและประชาชนไทย เพราะท่านมีความเมตตากรุณาและมีความสามารถเฉพาะตนอันสูงเยี่ยม หาใครเท่าเทียมยาก (แม้แต่สนธิ ลิ้มทองกุลยังเคยฟันธงว่าทักษิณเป็นนายกที่ดีที่สุดของไทย.-Manager online) ถ้านายกรัฐมนตรีไปเสียจากการเมือง นักการเมืองฝีมือธรรมดา ๆ ก็สู้กันสบายขึ้นมาก ก็เท่านั้นเอง แต่ประเทศไทยยุคนี้ ต้องการยอดฝีมือมากกว่าธรรมดา ประชาชนเขาต้องการอย่างนั้น
และนี่คือการตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมมวลชนโดยแท้จริง และผลก็คือ เกิดการล้างสมองจนสำเร็จถึงขั้นที่มืดบอดในการรับฟัง จนไม่รับรู้ถึงความมีอยู่เป็นอยู่ของสถาบัน คือขื่อแปของบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง
จนเกิดความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ)ไปว่า กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งประเทศไทย ประชาชนไทย และคณะผู้บริหารประเทศไทยไม่อาจจะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้ อย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ การปลุกระดมมวลชนและข่าวลือ จึงเป็นงานที่ชั่วร้ายจริง ๆ เพราะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีผู้ใดผู้หนึ่ง ให้เป็นที่เกลียดชังของคนอื่นหรือของมวลชนอย่างรุนแรงโดยไม่มีมูลความจริงเลยนั่นเอง และการปล่อยให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมมวลชนและปล่อยข่าวลือไปทำร้ายผู้อื่นอยู่ฝ่ายเดียวโดยเขาไม่มีโอกาสต่อสู้ตอบโต้เลย นั้น จึงเป็นความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งและไม่ชอบด้วยกฎหมายและจริยธรรม
และทั้งไม่ชอบด้วยวิถีทางของระบอบการปกครองประชาธิปไตยเป็นที่สุด
เพราะ เป็นวิธีการที่ขัดต่อความเป็นมนุษย์ผู้มีเสรีภาพทางความคิดคือเสรีภาพของการตัดสินใจของตนเองใน การที่จะปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
และสิ่งที่น่าสังเกตอีกประการสำคัญ และประเด็นสำคัญก็คือ นักวิชาการก็ดี และนักการศึกษา ที่มาปรากฏตัวตามคำเชิญของสื่อโทรทัศน์ แม้กระทั่งนักจัดรายการที่มีวิชาชีพการสื่อสารมวลชนอยู่เอง ก็ล้วนแต่ละเลยการมองในมุมของความไม่เป็นธรรม ด้านการโฆษณาชวนเชื่อไปตาม ๆ กัน ทำให้เกิดจุดบอดขึ้นในการพิจารณาสถานการณ์อย่างรอบด้าน ที่ให้ความเป็นธรรมแด่สังคมและประเทศชาติโดยสมบูรณ์ จนเพียงพอจะสรุปลงได้ว่า นักวิชาการ นักการศึกษาและนักจัดรายการเหล่านี้ ยังไม่เคยเอาใจใส่เท่าที่ควรในด้านวิชาการสื่อสารมวลชน ในประเด็นของการก่อการร้ายเชิงการสื่อสารมวลชน ตามนัยของสงครามนอกแบบ จนขาดการนำประเด็นที่ไม่ชอบธรรมนี้มามีส่วนของการประเมินน้ำหนักและเหตุผลเพื่อการตัดสินใจอย่างรอบด้านดังกล่าว
เมื่อมีการวิเคราะห์สถานการณ์ของนักวิชาการ นักการศึกษา จึงมักเป็นเพียงการมองในมุมเดียวมุมหนึ่งเกินไป คือมักเน้นอยู่ที่เรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งสอดคล้องเหลือเกินกับขบวนการต่อต้านรัฐบาล จนไม่มองเรื่องเศรษฐกิจ ลืมสัจจธรรมไปอย่างสนิทว่า สิทธิเสรีภาพกินไม่ได้ แต่เศรษฐกิจกินได้ และแม้ในเรื่องเดียวกันก็มองเพียงมุมเดียว มองเพียงสิทธิ ไม่มองหน้าที่ และไม่มองความจริงว่า การใช้สิทธิเสรีภาพของตนเองก็มีข้อจำกัด โดยที่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของคนอื่นด้วย จึงจะเป็นความชอบธรรมตามหลักการปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยและระบอบประชาธิปไตยที่แท้ ที่เป็นการปกครองตนเองของประชาชน จึงมองไปที่วุฒิภาวะ ที่สามารถมองเหตุการณ์ด้วยตนเอง และสามารถตัดสินใจเองได้ โดยไม่ถูกชี้นำ หรือถูกสนตะพาย และจะต้องไม่มีบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดอาจไปชี้นำหรือสนตะพายมวลชนได้
แต่ในระบบการจัดการของกลุ่มฝ่ายต่อต้านไม่เป็นเช่นนี้ แต่มีการตัดสินใจโดยเผด็จการมีการแบ่งชนชั้น มีชนชั้นผู้ตัดสินใจสูงสุด 5 คนอยู่เบื้องหลังเวที คอยกำกับแผนงานการปลุกระดมมวลชน ให้เป็นไปตามประสงค์ของผู้นำสูงสุดตามทฤษฎีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างเต็มที่ มีชนชั้นปฏิบัติการที่ทำตนเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของการปลุกระดมมวลชนบนเวที มีกลุ่มบุคคลที่คอยเป็นแนวร่วม ปรากฏตนบนเวทีเพื่อการสร้างภาพ และมีชนชั้นล่างสุดคือประชาชนซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ จำนวนนับหมื่น ๆ คน ที่นั่งติดกับพื้นดิน ที่ถูกหลอกล่อเอามาร่วมขบวนการได้ ด้วยกลวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองมาตามลำดับ ๆ แล้วยังคงอยู่ในกระบวนการล้างสมองต่อไป เพื่อให้แน่นแฟ้น ไม่เปิดโอกาสให้กลับใจใหม่ได้ จนที่สุดก็จะเข้าแบบเดียวกับการล้างสมองเยาวชนผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดภาคใต้ของไทย หรือแม้กระทั่งได้ขนาดนักระเบิดพลีชีพ ในอิรัค และปาเลสไตน์ ปัจจุบันนั่นเอง
และนี่เองคือเจตนาอันร้ายแรงที่ซ่อนแฝงอยู่อย่างลึกเร้น และค่อยเผยโฉมหน้าออกมาตามลำดับ ๆ
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อได้ผ่านกระบวนการที่เป็นขั้นเป็นตอนมาเป็นลำดับ บัดนี้ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญ เมื่อมีการล้างสมองกลุ่มชนได้แล้วจำนวนหนึ่ง พอเป็นแกนหลักของการชุมนุมจำนวนหนึ่งแล้ว ก็มาถึงขั้นที่อาจทำการได้อย่างยืดเยื้อ จากการพูดปลุถกระดมคราวละชั่วโมง มาเป็นหลายชั่วโมง
จาก 1 วัน มาเป็น 2 วัน และพยายามจะให้เป็นขั้นการชุมนุมยืดเยื้ออย่างถาวร ไม่รู้จบ จนถึงขั้นแสดงจุดยืนได้อย่างทะนง หลง เหลิง ลืมตนว่า ไม่ชนะไม่เลิก อันเป็นแนวต้านที่สำคัญของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะต้องฝ่าแนวต้านนี้ไปให้ได้ นั่นคือ ไปสู่การชุมนุมที่ยืดเยื้อไม่รู้จบให้ได้
ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขามีโอกาสใช้เทกนิกอันสำคัญที่สุดอันเป็นเทกนิกสากล นั่นคือ การโฆษณาซ้ำ ย้ำหัวตะปูบ่อย ๆ ถี่ ๆ ในเรื่องที่เป็นประเด็น ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ที่ตอกย้ำเข้าไปไม่รู้หยุดหย่อน
นั่นคือปลุกระดมตอกย้ำอุดมการณ์ร้ายเข้าไปสู่สมอง ความคิดอ่านของมวลชนผู้ตกเป็นเหยื่อตลอดวันตลอดคืน จนไม่มีความเป็นตัวของตัวเหลืออยู่เลย
โดยได้พยายามย้ำเรื่องที่ง่าย ๆ ไปก่อน นั่นคือ ..........ขายชาติ, ...........มหาโจร, ...........,ออกไป ...........,ออกไป ........,ออกไป ..........,หน้าเหลี่ยม โดยไม่พูดมากถึงเรื่องเหตุและผลอีกต่อไป กล่าวคือ อุปมาเหมือนการฉีดยาเปลี่ยนสมอง กลับความคิดได้แล้ว ก็สามารถจะจูงจมูกไปทางไหนก็ได้ทันที
และพวกก่อการก็จะพยายามเพิ่มบุคคลชนิดที่จูงจมูกได้นี้ ให้เพิ่มมากขึ้น ๆ โดยกระบวนการล้างสมอง (Brain washing) ก็จะเพิ่มความสามารถในการต่อรองยิ่งขึ้น ดังจะเห็นข้อเรียกร้องต่อรองของกลุ่มม็อบเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นไม่ยอมให้มีการต่อรองต่อไปอีก นายกรัฐมนตรีจะต้องออกไปจากวงการเมืองโดยสิ้นเชิง หรือมิฉะนั้น เหตุการณ์ก็จะลำดับไปจนถึงการก่อความรุนแรงประการต่าง ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลแก้เกมส์ ด้วยการยุบสภา โดยพระปรมาภิไธยองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามที่ กกต.กำหนดวันที่ 2 เม.ย. 2549 อันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมทางการเมืองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง
จึงเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายรัฐบาลจะได้พูดแถลงความจริง เพราะความจริงย่อมสลายความเท็จ
และการหาเสียงเลือกตั้งที่ติดต่อไปเป็นระยะยาวนาน จะเป็นประโยชน์ในการลบล้างการโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการม็อบฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เพื่อเน้นย้ำเข้าไปในความชอบธรรมจากการถูกกล่าวหาอยู่ข้างเดียวมาโดยตลอด ให้เกิดความกระจ่างและมั่นใจของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนรัฐบาล จนสามารถซักฟอกตนเองได้อย่างขาวสะอาด บริสุทธิ์และยุติธรรมจริง ๆ
เราหวังแต่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายค้าน ซึ่งบัดนี้ได้ยืนยันอย่างแน่นอน ด้วยการไม่ส่งผู้สมัครของพรรคลงแข่งขันเลือกตั้งตามกติกาของรัฐธรรมนูญ จักดำรงศักดิ์ศรีของสถาบัน มีความเป็นตัวของตัวเอง มีการต่อสู้ตามอุดมการณ์ของตนเอง ไม่เอนเอียงไปใช้กลยุทธนอกแบบคือการโฆษณาชวนเชื่อและปลุกระดมมวลชน ไม่เอนเอียงเข้าข้างม็อบฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซึ่งใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรมด้วยเหตุผล ดังกล่าวมา
เพราะวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ-ปลุกระดมมวลชน เป็นวิธีการของบุคคล-กลุ่มบุคคลผู้ขาดความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง ผู้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่และไม่หวังดีต่อประเทศชาติ
การเรียนรู้เท่าทันการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมมวลชน เป็นการสร้างความเป็นธรรมแด่ประเทศไทยขณะนี้อีกวิธีหนึ่ง โดยแท้จริง .
บานไม่รู้โรย
http://www.newworldbelieve.com/
3 มี.ค. 2549
มีต่อ คลิก