รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ

 

เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ

รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ

 

 7.  ปลุกระดมเอาประเทศไทยของเราคืนมา

 

รายงานบทที่ 7  รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[7]  รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล 7    ทวงคืนประเทศไทย,   26  ก.พ.  49 ณ  สนามหลวง,  ASTV 1 และ 3 วันอาทิตย์   ที่ 26 ก.พ. 2549 เวลา 18.00 น.ถึงเช้าตรู่วันที่ 27 ก.พ. 2549  จึงสลายตัว

 

 Research on Propaganda Aspect 1

การศึกษาวิจัยบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย

เราจำเป็นต้องบันทึกเรื่องราวต่อไปนี้ ให้ปรากฏไว้  ในเชิงวิชาการการสื่อสารมวลชน

การชุมนุมของกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล  ณ ท้องสนามหลวงวันที่ 26 ก.พ. 2549 เริ่มช้า  กว่าจะรวมตัวเปิดการแสดงบนเวทีได้ก็เข้าเวลาประมาณ 18.00 น.  แต่การชุมนุมก็ยืดเยื้อไปตลอดคืน  มีเหตุการณ์ตื่นเต้น 2 เหตุการณ์ระหว่างนั้น  ภาพที่เห็นก็คือกลุ่มชนฝ่ายต่อต้าน เดินตามผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งของสำนักข่าวไอทีวี  ที่ถูกตำรวจกันตัวออกมาจากที่ชุมนุม  เธอทำให้กลุ่มชนไม่พอใจในการรายงานข่าว  ที่ไม่ตรงกับความรู้สึกของพวกเขา  และต้องการเฉพาะพวกเดียวกันที่มีความรู้สึกตรงกัน   และมีอุบัติเหตุรถยนต์ที่ขนอุปกรณ์เสียงเกิดไฟไหม้ขึ้น  พลุ่งโพลงเป็นควันมืด  เกือบเกิดการอลเวงไปทั้งกลุ่ม  จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้ารักษาความสงบ  ให้การดำเนินการชุมนุมและกิจกรรมของพวกเขาดำเนินไปตลอดคืน จนถึงเช้าเวลาประมาณ 07.00 น. จึงได้เลิกราไป  และนัดการประชุมใหม่เวลาเย็นของวันที่ 27 ก.พ.2549

ประเด็นสำคัญของเราในวันนี้ก็คือ   การปลุกระดมมวลชน  (Mass agitation)

การปลุกระดมมวลชน  ตรงกับศัพท์ทางวิชาการวารสารศาสตร์(Journalism) ว่า Mass agitation  ตามหลักทฤษฎีแล้ว  หมายถึง  การปลุกเร้าให้กลุ่มชน หรือ  Audience เกิดอารมณ์และความรู้สึกร่วมกันขึ้นมา   เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งกลุ่มทั้งหมู่ทั้งมวล  โดยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)  นั่นคือบิดเบือนข้อเท็จจริง  จริงบ้าง  ไม่จริงบ้าง  ผสมผสานไปให้เกิดอารมณ์ร่วมกันของหมู่ของกลุ่ม  หมายถึงการเน้นทางอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริงเลย  หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งที่เอามาพูดกันนั้น มีข้อเท็จจริงอยู่มากน้อยเพียงใด  

และอารมณ์ร่วมที่ต้องการก็คือ  ความเกลียดชังผู้ปกครองประเทศ  รัฐบาล หรือหัวหน้ารัฐบาลอย่างรุนแรง

ซึ่งการปลุกระดมมวลชนตามนัยความหมายนี้  มีกำเนิดมาจากรัสเซีย ยุคคาร์ลมากซ์ และสตาลิน 

ที่มีการปฏิวัติ ที่โลกได้บันทึกว่าโหดร้ายและนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์การปฏิวัติของโลก  และยุคนั้นได้ก่อเกิดการศึกษาทางการสงครามนอกแบบตามมาอีก 2 ชนิด คือ  สงครามเย็น(Cold war)  และสงครามจิตวิทยา (Psychological warfare)

และการปลุกระดมมวลชน  เป็นเครื่องมืออันสำคัญอย่างหนึ่งของสงครามนอกแบบเช่นนั้น 

ชาวไทยรู้จักการปลุกระดมมวลชนนี้ดีมาก ในสมัยที่มีการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์  ซึ่งรัฐบาลและประชาชนไทยร่วมมือกันปราบปรามอยู่หลายสิบปี  จึงนำมาสู่ความสงบ

และบัดนี้  น่าที่ประชาชนไทยจะได้ระลึกย้อนหลังไปดูว่า  ยุคการก่อการร้ายนั้น พวกเขาทำงานด้านการปลุกระดมมวลชน(Mass agitation) อย่างไร

ถ้ายังนึกภาพไม่ชัดเจน  ก็ควรจะได้ลองศึกษา หรือสังเกตพินิจพิจารณาจากการชุมนุมและทำกิจกรรมของกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล ที่กำลังทำการอยู่ในขณะนี้  อย่างเปิดเผย ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร และปรากฏให้ชาวไทยทั่วประเทศเห็นผ่านทางทีวี 2 ช่อง  คือ ASTV 1 และ 3

เป็นโอกาสอันดีมากที่จะได้กลุ่มการศึกษาที่อยู่ในสายตาที่ชัดเจน สามารถใช้เครื่องมือการศึกษาได้อย่างง่าย ก็คือกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลขณะนี้นี่เอง  แต่ก่อนอื่นเราต้องมีพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า

กรรมวิธีอย่างนี้แหละที่เราเรียกกันทั่วไปและง่ายแก่การเข้าใจว่า  การล้างสมอง (Brain washing)   ซึ่งเมื่อล้างสมองได้สำเร็จ  สมองก็จะกลับกัน  จากความรักกลายเป็นความเกลียดชังอย่างรุนแรง จากความเมตตาเป็นความดุร้าย  จากความมีเหตุผล เป็นไร้เหตุผล  จากคนดี ๆ กลายเป็นผู้ก่อการร้าย

ซึ่งในกรณีของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์  ก็คือ  เปลี่ยนความคิดให้ใหม่ทั้งหมด  เปลี่ยนสายตาใหม่ทั้งหมด  ดังปรากฏว่า ชาวนาและ เยาวชนไทยยุคนั้น  ได้ถูกนำไปล้างสมองในค่ายฝึกอบรมเป็นจำนวนมาก  จนสามารถจับอาวุธขึ้นเข่นฆ่า ต่อต้านรัฐบาล  และแม้กระทั่งเครือญาติบิดามารดาของตนเอง ได้

และเราต้องศึกษาและต่อสู้กับขบวนการก่อการร้ายที่มีเครื่องมือคือการปลุกระดมมวลชนนี้เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะเอาชนะได้

  สิ่งที่เราเห็นที่ท้องสนามหลวงวันนี้ และแม้แต่แรกเริ่มที่มีการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากทีวีช่อง 9 อสมท.   แท้จริงก็คือแผนการอันแนบเนียนที่เป็นขั้นเป็นตอนเพื่อการล้างสมองมวลชนนั่นเอง

โดยมีเป้าหมายให้เกิดความเกลียดชังหัวหน้ารัฐบาลเพื่อการทำลายล้างอย่างสิ้นเชิงโดยอาจเป็นเพียงการสนองความแค้นส่วนตัวของผู้นำต่อต้านคนหนึ่ง

ดังจะเห็นจากรัฐพิธีกรรมทำบุญประเทศในอุโบสถวัดพระแก้ว  ที่กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาติบ้านเมือง แล้วขยายความออกไปอย่างแยบยล จนสรุปลงว่าคนเลวชาติขนาดนายกรัฐมนตรีไทยไม่มีอีกแล้ว   จนคนไทยตกใจว่านายกรัฐมนตรีมีความเลวขนาดนั้นเทียวหรือ และทำท่าว่าจะลุกฮือขึ้นขับไล่นายกรัฐมนตรี   แต่พอทางฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายเลขาธิการสำนักพระราชวังออกมาอธิบายให้ฟังอย่างกระจ่างแจ้ง คนทั้งหลายจึงเข้าใจ ว่าแท้จริงเป็นเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อที่ให้เสียหายอย่างร้ายแรงแก่คนอื่น   แต่ประชาชนก็ให้อภัยเขามาแล้ว  ครั้งหนึ่งครั้งที่สำคัญที่สุด  

ครั้นมาถึงบัดนี้ ประชาชนผู้ที่ยังไม่เห็น ก็จะค่อยเห็นชัดเจนขึ้นไปเรื่อย ๆ  ว่าวิธีการของกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลนี้  ได้นำทฤษฎีการปลุกระดมมวลชน(Mass agitation),  การล้างสมอง(Brain washing),  การโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda)  และการปล่อยข่าวลือ(Rumour)  มาใช้  อย่างครบเครื่อง

พวกเขาต้องการผลเยี่ยงเดียวกับการอบรมล้างสมองตามวิธีการของการปฏิวัติรัสเซีย ยุคนั้นนั่นเอง

นอกจากสนามหลวงเองแล้ว  ยังมีสถานีข่าว  โทรทัศน์เคเบิลบางช่อง  ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อและปล่อยข่าวลือ  เป็นการสนับสนุนแนวทางการปลุกระดมมวลชน  ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผยได้ โดยประชาชนไม่เข้าใจว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง  และเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของสถาบันการข่าว เพราะไม่ตั้งอยู่บนจุดยืนว่าด้วยข้อเท็จจริง(Fact) และสัจธรรม(Truth) ซึ่งเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาการการสื่อสารเช่นนี้เรียกว่าทำลายสถาบันและจะอยู่ในอาชีพนี้ได้ไม่นาน เพราะคนจะขาดความเชื่อถือ เนื่องจากเป็นเพียงเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อ   ดังจะเห็นจากการปล่อยข่าวว่าบัดนี้พรรคชาติไทยได้ตกลงร่วมบอยคอตการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นต้น ซึ่งการโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมมวลชนย่อมมีนัยที่อาจพิจารณาได้ว่าผิดกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ  ที่หากรัฐบาลละเลยเสียแล้ว ย่อมถือว่าตกอยู่ในความประมาทอย่างแรง

แต่จุดอ่อนของงานปลุกระดมมวลชนมีอยู่หลายประการ

ประการที่ 1  ยุคดั้งเดิมการสื่อสารยังไม่ทันการณ์ ทันสมัย  สร้างข่าวลือได้ง่ายดายมาก  และคนในยุคเดิมก็ค่อนข้างอ่อนการศึกษาและความเป็นตัวของตัวเอง  แต่ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย  ยุคที่คนไทยมีการศึกษาดีขึ้น  มีวิสัยทัศน์และการข่าวสารต่าง ๆ ดีขึ้น มีนวัตกรรมทางการสื่อสารและเทกโนโลยีทันสมัยทั่วถึง  สามารถตรวจสอบข่าวสารได้ง่าย  ไม่มีใครเชื่ออะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว  ทุกคนมีวิจารณญาณค่อนข้างสูง  มีความเป็นประชาชนผู้อาจปกครองตนเองตามวิถีทางประชาธิปไตย

ฉะนั้น  นี่คือจุดอ่อนที่หากพลาด แล้ว อาจได้รับการพิจารณาว่าดูหมิ่นดูแคลนประชาชน  นำไปสู่การลงโทษของประชาชนในภายหลังอย่างเจ็บปวดได้ ในประเด็นว่า เป็นบุคคลที่หลอกลวงประชามหาชนอย่างยิ่งใหญ่ 

ประการที่ 2  เงื่อนไขที่ใช้ปลุกระดม  มักเป็นเผด็จการ  อำนาจที่กดขี่ประชาชน   ทุนนิยมเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำ  ประชาชนมีความอดอยากยากจนมาก   แต่ยุคนี้  ประเทศไทย  รัฐบาลไทยปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีการร่างมาจาก สสร.  และระดมความคิดกันจากประชาชนทุกเหล่าอาชีพ  จนได้ชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540   และสถานการณ์เศรษฐกิจของชาติก็เข้มแข็ง

จึงต้องคอยสังเกตตามทางทฤษฎีที่ว่าพวกกลุ่มเหล่านี้จะต้องพยายามก่อกวนให้ประเทศชาติเกิดปัญหาไปเรื่อย ๆ  จนแม้กระทั่งให้เกิดความล่มจมทางเศรษฐกิจของชาติไปตามลำดับ แล้วล้วนไปกล่าวโทษรัฐบาลทั้งสิ้น เพื่อสร้างความเกลียดชังแด่รัฐบาล หรือหัวหน้ารัฐบาลอย่างรุนแรง

กระนั้น นี่ก็เป็นจุดอ่อน  เพราะยุคสมัยนี้คนมีการศึกษาและรอบรู้  ไม่อาจจะตบตาประชาชนได้โดยง่าย    ฉะนั้น  พวกเขาต้องระวังว่าการซ่อนเป้าหมายของการก่อการร้ายจักไม่มิดชิด  เพราะหากประชาชนรู้เท่าทันแล้วจะอยู่ลำบาก  

ประการที่ 3  ข้อกล่าวหาของฝ่ายปลุกระดม  อ่อน  มีลักษณะไม่ชัดเจน เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ  และข่าวลือ  ข้อกล่าวหาสำคัญ ๆ จะถูกพิศูจน์โดยสถาบันการยุติธรรมของชาติ  ดังเช่น กรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟ้องข้อกล่าวหาว่าซุกหุ้น ที่มีเครือข่ายงานปลุกระดมระดับสูง ดำเนินงานเชิงประสานการปลุกระดมให้ แล้วเป็นต้นเหตุวิจารณ์สถาบันชั้นสูงที่เป็นหลักของชาติต่อไปอย่างไร้เหตุผลอย่างไม่เลิกรามาจนบัดนี้   แล้วยังแสดงการไม่ยอมรับกฎกติกาและสถาบันสูงสุดของชาติอีกด้วยแล้ว  การปลุกระดมมวลชนก็ไม่น่าจะบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดได้  เพราะขึ้นอยู่กับความเป็นธรรมและสติปัญญาความรู้เท่าทันของประชาชน

 และแม้ว่าบัดนี้  ประชาชนทั่วไปอาจจะไม่ทันสังเกตและศึกษานัยว่า  นี่เป็นการปลุกระดมมวลชน(Mass agitation)  เพื่อการล้างสมอง(Brain washing)  กลุ่มชนไปกระทำการร้ายต่อหัวหน้ารัฐบาลก็ตาม  แต่โดยความสำนึกที่ชอบธรรม  หรือความนึกคิดที่เป็นธรรมชาติธรรมดาของคนไทยมีอยู่  ฉะนั้น  เมื่อแกนนำของเครือข่ายจัดให้มีการชุมนุมครั้งมโหฬาร วันที่ 26 ก.พ.2549 นี้ จนตลอดคืนแล้ว  ก็ได้มีเสียงที่สะท้อนเข้ามา สู่จอโทรทัศน์ในทางที่เป็นผลลบแก่ขบวนการปลุกระดมอย่างมากมาย

เสียงเหล่านี้บอกความหมายอะไรบ้าง

โปรดลองศึกษาข้อมูลต่อไปนี้ด้วยตัวของท่านเอง  ตามที่เราได้ทำการบันทึกข้อมูลทั้งก่อนการชุมนุมและหลังการชุมนุมเอาไว้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางการศึกษาทางวิชาการด้านการโฆษณาชวนเชื่อ(Research on propaganda aspect)  โปรดวิเคราะห์ศึกษาด้วยมาตรฐานการประเมินของท่านเอง

ข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ(SMS)ก่อนการชุมนุมวันที่ 26 ก.พ.2549

ช่องเคเบิลเครือข่าย ช่องหนึ่ง

ทักษิณ คุณตายแน่,   เราเคยไล่เผด็จการทหารทรราชมาแล้ว วันนี้ไล่รัฐบาลขายชาติ,  ควรยิงทักษิณ,  คุณสนธิไม่ได้เอาเงินฟาดหัวให้ไปชุมนุม ไอ้พวกโง่, บรรหารอยู่ที่ไหนฉิบหายที่นั่น,  บรรหารเหยียบเรือสองแคม, บรรหารนามสกุลศิษย์หอมหวน, ASTV 1 ถูกรบกวนแล้วระวัง ASTV 3, พระมายุ่งอะไรกับการเมือง,  เอาทักษิณไปนั่งขอทานยังดีกว่าอีก,  คนอื่นสละชีพเพื่อชาติแต่ทักษิณสละชาติเพื่อชีพ,  สนธิคือผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่, แดกจังมึงขอให้พุงแตกตาย,   ชื่นชอบคุณอัญชลีที่รายงานข่าวได้อย่างยอดเยี่ยม,   รายการนี้ไม่เป็นกลางจริง ๆ บิดกลั่นไม่น่าเชื่อถือ,  ประชาชนจะสั่งสอนทักษิณอย่างเจ็บปวด, โง่จริง ๆ ไอ้พวกเชียร์ทักษิณไม่รู้ความเลวของมัน,  ระวังหัวเกรียนจะพาคนไปตาย,  ASTV คือสถานีวิทยุยานเกราะปลุกระดม,

และต่อไปนี้เป็น ข้อมูลหลังการชุมนุม ณ เช้าวันที่ 27 ก.พ. 2549

ช่องเคเบิ้ลเครือข่ายช่องหนึ่ง

สนธิบ้าแล้ว มันบอกนั่งทางในได้,  เอางิ้วมาเล่นดูถูกคนจีนมาก ๆ นะคุณสนธิ,  หมดเวลาแล้ว ตาแป๊ะ(หมายถึงนายสนธิ),  ที่ชุมนุมอยู่ที่สนามหลวงเป็นทรราช,  พวกที่อยู่สนามหลวงกลับบ้านได้แล้ว เลิกบ้าเสียที, ศรีสะเกษมีคนมาชุมนุมไม่ถึง 100 คนเขาผ่านไปตลาด (แต่มีการโฆษณาบิดเบือนเมื่อคืนว่ามีการชุมนุมที่ศรีสะเกษกว่า 3,000คน ที่อื่นก็คงโฆษณาบิดเบือนอย่างนี้แหละ),  พวกประท้วงเลิกได้แล้ว รำคาญ,  ลาออกก็กลัวน่ะซิ ลาออกทำไม,  งิ้วมันของประเทศไหน สนธิคนไทยหรือเปล่า, เป็นคนไทยทำไมไม่เล่นลิเกหรือหมอลำ,  น่าเกลียด ไม่เคยเห็นงิ้วทุเรศอย่างนี้มาก่อน,  ขอดูงิ้ว,  สนธิออกไป,  ผมคนกทม.ผมสนับสนุนทักษิณ,  แอนตี้ธรรมศาสตร์  บอกว่ารักประชาชนจริงหรือ?,  อิจฉานายก,  เรายังคงรักนายกทักษิณเหมือนเดิมนะ,  ขอให้ฟ้าผ่ากลางเวทีม็อบ,  ฝ่ายค้านต้องการเป็นหนี้ IMF อีกแล้วสิ,  คืนอำนาจให้ประชาชนทั่วประเทศตัดสิน  ไม่ใช่สนธิตัดสิน,  ทำไมเล่นแรงกันจัง,  กองทัพธรรมหรือกองทัพนรก,  ขอดูงิ้วค่ะ สื่อกู้ชาติ,  รักทักษิณ เกียจสนธิ,  คนไทยประเภทไหนมากัดกันเอง ดูแล้วสมเพช,   ดีแต่หาเรื่อง,  หมดศรัทธามหาจำลอง,  คนไทยรัก ไทยรักไทย ฝ่ายค้านก็มีแต่ไม่มีใครดีกว่าทักษิณ พวกไม่มีความคิด,  เกลียดจำลองลัทธิอุบาทว์ เป็นพระต้องอยู่วัด,  กลุ่มพวกคุณเป็นผู้ตัดสินหรือคนไทยเป็นผู้ตัดสิน,  อย่าดูถูกประเทศไทย,  กู้ชาติหรือกู้เพื่อตนเองกันแน่ สนธิ,  รักทักษิณ,  กลัวแพ้เหรอที่จะมีการเลือกตั้ง,  พวกที่เชียร์แม้วไปหาหมอล้างตาซะนะ,  นายกอย่ายอมแพ้คนชั่ว เราฝากอนาคตไว้กับท่าน, 

 

ช่อง 3

จำลองจำศีล เลิกได้แล้ว,  ถ้าไม่มีทักษิณจะไม่เลือกตั้ง,  จำลองสนธิหยุดได้แล้ว ดีแต่พูด,  ผู้ชุมนุมไม่ใช่คนส่วนใหญ่,  หยากถามสนธิว่าใครคือประชาชน,  ไม่รู้หน้าที่ตัวเองเก่งแต่ประท้วง,  คนที่ไปประท้วงเคยอ่านบทปลงสังขารหรือไม่,  เลือกตั้งอีกกี่ครั้งก็จะเลือกแต่นายกทักษิณ,  แพ้ชนะได้อะไร บ้านเมืองเสียหาย,  ผู้ชุมนุมควรมีเหตุผลกว่านี้,  ทหารอยู่ไหน ชาติต้องการ ด่วน,  นายกไม่ดีตรงไหน,  นายกผิดอะไรจึงให้ท่านลาออก,  สร้างเหตุการณ์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง,  ประเทศไทยมี 76 ล้านคนแค่หมื่นคนจะมากดดันไม่ได้, ประท้วงแล้วประเทศชาติเจริญไหม,  พวกคุณไม่มีงานทำหรือไงถึงได้มาประท้วง.

 

ช่อง 5

จำลองเลือกอาจารย์ผิดเหมือนองคุลีมาล,  อยากเห็นจุดจบของสุริยะใส, ไปให้กำลังใจนายกไม่ต้องจ้างหรอกค่ะ,  ปีนี้ปีมหามงคล เอาสนามหลวงมาทำอัปรีย์,  2549 อันธพาลสนธิครองเมือง,  ถ้านายกลาออกใครมาแทนก็จะก่อม็อบไม่ถูกใจเท่าทักษิณ, กองทัพธรรมหรือกองทัพอธรรม, งิ้วธรรมศาสตร์ส่อเสียดเสียดสี,  งิ้วธรรมศาสตร์พวกปัญญาเบา,  ฝ่ายค้านให้กฎหมู่ชี้นำสนตะพาย น่าเศร้า,  พวกประท้วงพูดจาไม่สุภาพ ป่าเถื่อนที่สุด,  กระสือหน้าเหลี่ยม,  คณะผู้ตัดสินใจสูงสุดคือใคร,  ทักษิณออกเถอะพาก๊วนของคุณออกไปด้วย,  ยิ่งชุมนุมยิ่งสงสารนายกและเลือกทรท.ยกทีม, คนเราต้องมีดีและไม่ดี แต่นายกมีดีมากกว่า,  สนับสนุนทักษิณ หยุดได้แล้วพวกบ้าที่เสียประโยชน์,  อิจฉาที่เขารวยกว่าเหรอพวกขี้เกียจ,  สับสนหมดแล้วใครดีใครชั่ว,  ทักษิณก็หลอกได้แต่คนเชียงใหม่นั่นแหละ,  ไม่อยากบอกว่าคนไปชุมนุมโง่ น่าสงสารจัง,  ทำไมยังมีคนตาบอดหูหนวกเข้าข้างคนโกงอยู่ได้,  ลื่นเป็นปลาไหลเลย ปชป.จบไม่ได้,  ชุมนุมประจานตนเองแท้ ๆ,  รักนายกมาก ๆ กระบี่ไม่มีใครไปรวมกับคนโง่,  สนธิเป็นใคร มาจากไหน และต้องการอะไร, คนในที่ชุมนุมไม่มีสมอง

 ซึ่งจะเห็นว่า  ความคิดเห็นส่วนหลังเหล่านี้มาจากความรู้สึกที่จริงใจ   แตกต่างจากพวกที่มีนัยว่าได้รับการล้างสมองมาแล้ว  และหากประชาชนทั่วไปได้ลองศึกษาวิเคราะห์ด้วยตนเอง เพื่อทราบเจตนาที่แท้จริงของกลุ่มผู้ต่อต้าน ที่เป็นเครือข่ายงานนี้  อย่างตรงตามหลักวิชาดังกล่าวมาข้างต้น ด้วยข้อสมมติฐานว่า  นี่คือการปลุกระดมมวลชนขนาดใหญ่ (Mass agitation)  โดยมีเจตนาล้างสมองมวลชน(Brain washing)ให้เกลียดชังหัวหน้ารัฐบาล โดยการนำหลักการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) มาใช้ทุกรูปแบบ  มีเล่ห์เหลี่ยมป้องกันตนเองโดยอิงกับสถาบันชั้นสูงของชาติมาตลอด   สร้างภาพอันงดงามแด่ตนเอง(โปรดสังเกตหัวหน้าขบวนการถึงกับลดตัวลงบนเวทีและประคองมือทั้งสองกราบขอบคุณผู้มาชุมนุม แม้แต่กราบพระก็ไม่นิ่มนวลเท่า)  สร้างภาพอันเลวร้ายแด่หัวหน้ารัฐบาล  และหากการล้างสมองสำเร็จ คนก็จะมองตรงข้ามกับความจริง โดยมองใหม่ว่า หัวหน้ารัฐบาลขายชาติ  โกงกินบ้านเมือง   เลวร้ายเกินกว่าโจรมหาโจรจริง ๆ ได้   และนั่นย่อมเป็นการง่ายที่จะชี้นำเพื่อเคลื่อนไหว หรือก่อการใดใดเพื่อล้มล้างขับไล่หัวหน้ารัฐบาลต่อไป

จริงหรือไม่?

และหากผู้รู้เท่าทันในหน่วยงานของรัฐบาล ไม่จนปัญญาแก้ไขไปตามนัยข้อเท็จจริงทางวิชาการนี้

สถาบันการเมืองดำรงศักดิ์ศรีแห่งสถาบัน

สถาบันประชาชนสามารถพิศูจน์และทราบความจริง(Fact)และสัจธรรม(Truth)  ตลอดทั้งทราบเบื้องหลังของพวกเขาเท่านั้นเอง  ขบวนการนี้ก็สลายลง และนำความเป็นธรรมมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง .

 

บานไม่รู้โรย
http://www.newworldbelieve.com/
27     ก.พ. 2549

 

มีต่อ สงครามจิตวิทยา คลิก