รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
3. ข่าวลือยุคอุตสาหกรรมข่าวมาพร้อมอันตราย
รายงานบทที่ 3รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[3] บทวิเคราะห์พิเศษ (3)รายการชุมนุม กู้ชาติ 11 ก.พ. 49 ปิดบัญชีทักษิณณ ลานพระบรมรูปทรงม้า, ASTV 1 และ 3
สถานการณ์ขณะนี้ อะไรเป็นอะไร ใครบ้างกำลังคิดการทำอะไร และ อย่างไร? ยังสับสน ไม่กระจ่างชัด
แต่ถ้าพินิจพิจารณาให้ดีแล้ว สถานการณ์ อะไรเป็นอะไร ใครทำอะไร และอย่างไร... นี้ เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างสับสนมานาน ในสังคมไทย อันเนื่องมาจากช่องทางการสื่อ มาสู่อายตนะ6 เพิ่มมากขึ้น และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเปิดโอกาสให้คนทั้งหลายไม่จำกัดในการแสดงความคิดเห็นและการสื่อสารซึ่งจะได้มองเห็นปัญหาชนิดนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามนวัตกรรมของเทกโนโลยีการสื่อสาร
แต่วงการสื่อสารไทยเอง และสถาบันการศึกษาด้านการสื่อสารเอง ต่างพากันเฉยเมยเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ หาได้รู้สึกไม่ว่า จะนำมาพร้อมอันตราย อันเนื่องมาจากการโฆษณามากมายผ่านสื่อที่มากมายหลายหลากเหล่านี้ จึงมิได้มีการติดตามศึกษาและวิจัยไว้แต่อย่างใดเลย
ฉะนั้น เมื่อมีการโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda) หรือข่าวลือ(Rumor)เกิดขึ้น จึงมักมีคนกลุ่มหนึ่งที่ตามไม่ทันเสมอ และผลก็คือ กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของของนักตกเบ็ดด้วยการโฆษณาชวนเชื่อนั้น ๆ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เรากำลังมองประเด็นเรื่องการสื่อสาร ว่าเป็นประเด็นต้นเหตุสำคัญของสถานการณ์ความสับสนขณะนี้
เมื่อวิชาชีพการสื่อสารและวิถีทางการสื่อสารมวลชนเพิ่มมากขึ้นอย่างหลายหลาก และมีช่องทางคือเทกนิกชั้นสูงเพิ่มขึ้นอย่างหลายหลาก ก็มีอาชีพ ที่ทำมาหากินในวงการสื่อสารมากขึ้นด้วยอย่างมหาศาล พวกเขาก็ทำอาชีพกันหลายหลากออกไป แต่การดูแลเอาใจใส่ในส่วนของคนมีอาชีพทำมาหากินด้วยการสื่อสารมวลชน กลับแทบไม่มีเลย
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ มีสิ่งที่เรียกว่า อุตสาหกรรมข่าว เกิดขึ้นอย่างมากมาย นั้นคือการวิพากษ์วิจารณ์สังคม ซึ่งโดยความหมายตามหลักวิชาก็คือ การหยิบนำเอาเนื้อข่าว แม้แต่คำหนึ่งคำเดียว ประโยคหนึ่งประโยคเดียว วลีเดียว ไปจนถึงหลาย ๆ หน้ากระดาษ ไปวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไม่มีจำกัด สุดแต่เอาไปจำหน่ายกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหน คนไหน และใครมีสติปัญญาอย่างไร เท่าใด ก็ขยาย ตีความออกไปได้ตามใจชอบ เท่าที่สติปัญญามี โดยไม่มีการคำนึงวุฒิปัญญา วุฒิภาวะ และเมื่อข่าวนั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญของชาติบ้านเมือง และมีความละเอียดอ่อนไหวง่าย(Sensitive) ก็ย่อมก่อความสับสนแด่สังคมแด่ประชาชนและประเทศชาติ ไปถึงก่อความเข้าใจผิดเป็นอันตรายในเรื่องราวที่เป็นประเด็นสำคัญของประเทศชาติ
และ นี่ก็คือสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ นั่นเอง
อันเป็นสถานการณ์ที่คน ประชาชนทั้งหลายมีความสับสนอยู่ ว่าอะไรเป็นอะไรในชาติบ้านเมืองของเรา
และในสถานการณ์อย่างนี้ ขณะนี้ ย่อมมีหนทางพิจารณาเพื่อการตัดสินใจต่อปัญหาความสับสน ของข้อมูลข่าวสารก็คือ
ประการที่ 1 พิจารณาว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ การโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda) นั่นคือความไม่จริงใจในการปล่อยข่าว บิดเบือนข้อเท็จจริง เอาข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนไปบิดเบือนกล่าวร้ายผู้อื่นโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตนหรือหมู่กลุ่มของตน ตลอดไปถึงการโฆษณาเท็จ โดยเอาเรื่องที่ปราศจากความจริงโดยสิ้นเชิง มาโฆษณาหลอกลวงประชาชน ตลอดไปจนถึงระดับสุดยอดของการโฆษณาชวนเชื่อก็คือ โฆษณาดำเป็นขาว โฆษณาขาวเป็นดำ ว่าดีเป็นชั่ว ว่าชั่วเป็นดี ว่าบุญเป็นบาป ว่าบาปเป็นบุญ ปั้นปอยอยกปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งให้เป็นพระเจ้าได้ เป็นต้น
ประการที่ 2 ข่าวลือ(Rumor) ซึ่งเป็นเทกนิกชนิดหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ก่อเกิดการพลิกผันอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการปล่อยข่าวลืออย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมหมายถึงการทำร้ายบุคคลใดหรือสถาบันใด โดยประสงค์ให้ก่อเกิดเหตุการณ์มวลชนอย่างฉับไวขึ้น เพื่อทำการโค่นล้มหรือทำลายอย่างรวดเร็วฉับพลัน โดยไม่ให้ทันตั้งตัวได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เพื่อสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่บุคคลอื่น สถาบันอื่น อย่างสาหัสชนิดที่แก้ตัวไม่ได้เลย ทั้งนี้โดยหามูลความจริงไม่ได้เลย
ดังตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่มีผู้ทำคำสั่งปลอมของสำนักนายกรัฐมนตรี มีข้อความว่ากองทัพบกให้โอนย้ายหน่วยทหารในจังหวัด ไปขึ้นกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ต้องรีบออกมาแถลงความจริง เป็นต้น
ซึ่งหากได้พบว่ามีบุคคลใดกระทำการดังกล่าวแล้ว นั่นย่อมสามารถใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจได้ทีเดียว และพิจารณาไปถึงความจริงใจของบุคคลนั้นต่อประเทศชาติและประชาชน
ซึ่งกรณีเช่นนี้ ในวงการสื่อสารมวลชน ก็ยังไม่มีมาตรการลงโทษแก่บุคคลที่กระทำการโฆษณาชวนเชื่อ หากสามารถกำหนดได้ บุคคลผู้กระทำความผิดควรได้รับโทษอย่างหนักมาก พอ ๆ กับระดับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐเลยทีเดียว
แต่เมื่อมีคำถามว่า ทุกวันนี้ มีการโฆษณาชวนเชื่ออยู่หรือไม่ ?
นี่คือคำถามที่มีประโยชน์ และคำตอบก็คือ มีการโฆษณาชวนเชื่ออยู่อย่างเต็มที่ สามารถพิจารณาได้เอง โดยพิจารณาจากกลวิธีการของบุคคลและกลุ่มชน ผู้ทำการโฆษณาอยู่
จะพบชั้นเชิงที่รู้จักกันดีในหมู่นักโฆษณาชวนเชื่อและเอามาใช้อย่างแพร่หลายและมักจะได้ผลก็คือชั้นเชิง The sun also rises. นั่นคือ พระอาทิตย์ก็พลอยเปล่งแสงกับเขาด้วย
โดยเห็นได้จาก พยายามอ้างอิงสถาบันชาติ โฆษณาว่า กู้ชาติ กู้ประชาธิปไตย พยายามอ้างอิงสถาบันกษัตริย์ โฆษณาว่า ต่อสู้เพื่อในหลวงของเรา ถวายฎีกา พยายามอ้างอิงสถาบันศาสนา อ้างว่าตนเป็นศิษย์วัดบ้านนั้นบ้านนี้ ว่าตนต่อสู้เพื่อสังฆราชองค์นั้นองค์นี้ พยายามยุแยกหมู่สงฆ์ให้แตกกัน
และกรณีที่พาหมู่พวกเดินทางไปยื่นหนังสือแด่กองทัพบกเมื่อ 4 ก.พ. 2546 แล้วกลับมาพูดโอ้อวดว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัฐกลิน ผบ.ทบ.ให้การต้อนรับอย่างดีมาก พูดคุยกันรู้เรื่องและเข้าใจประชาชนที่ต่อสู้ พูดกันอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง แล้วท่านยังเดินออกมาส่งถึงประตูบ้านสี่เสาเทเวศ พร้อมรับรองว่ากองทัพบกจะร่วมการต่อสู้กับประชาชนด้วย แต่ในความจริง ผบ.ทบ.พูดด้วยเพียง 2 คำว่า เชิญนั่ง เชิญดื่มน้ำเย็น เท่านั้นเอง ท่านให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า ที่อยู่รอก็เพราะเกรงจะเกิดเหตุวุ่นวาย และทหารย่อมมีมารยาท ให้เกียรติ์แม้กระทั่งศัตรู เรื่องการชุมนุมนี้เป็นเรื่องไร้สาระ
อย่างนี้เรียกว่ากลยุทธ์ พระอาทิตย์ก็พลอยเปล่งแสงกับเขาด้วย แต่กรณี ผบ.ทบ. ท่านรู้เท่าทันและแก้ไขด้วยการพูดคำจริง จึงมีคนที่รู้ความจริงไม่พอใจผู้นำการชุมนุม ที่ดูแคลนความเป็นมนุษย์ของเขาและถอนตัวออกมาจากการชุมนุมเพราะเหตุที่รู้ความจริงนี้จำนวนมาก(ดู หน้าสำรวจความคิดเห็นของ น.ส.พ.ไทยโพสต์ 5 ก.พ. 2549)
กลยุทธ์ที่2 All that glitters is not gold. ที่เปล่งแสงเจิดจ้านั้น ไม่ใช่ทองคำหรอก(เป็นของเก๊) นี่ก็คือ การสร้างภาพ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปแล้วนั่นเอง คือ ยกตัวเองให้สูง ถีบคนอื่นลงต่ำกว่าตน เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เช่นโฆษณาว่า "คน ๆ นี้กลัวจนกล้า ส่วนคน ๆ นี้กลัวจนบ้า" ซึ่งประโยคแรกยกย่องตัวเอง วาดภาพตัวเองให้สูงส่ง สง่างาม ส่วนประโยคหลังถีบคนอื่น(นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย)ลงต่ำกว่าตน วาดภาพให้ต่ำทรามน่าสมเพช ก็เข้าหลักการโฆษณาชวนเชื่อแบบนี้ สมตามสุภาษิตนิติคำโคลงว่า
โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา, ปองติฉินนินทา ห่อนเว้น, โทษตนเท่าภูผา หนักยิ่ง, ป้องปิดคิดซ่อนเร้น เรื่องร้ายหายสูญ
หรือการโฆษณาโอ้อวดตนเองเกินที่จะเป็นจริงได้เช่น "ในอดีตผมมีความผิดชั่วร้ายอย่างไรขอขมาโทษต่อพ่อแม่พี่น้องในวันนี้ แล้วสนธิจะปกป้องแผ่นดินให้พ่อแม่พี่น้องเอง" เพราะงานปกป้องแผ่นดินเป็นงานใหญ่มาก ต้องร่วมมือกันทั้งทุกสถาบันของชาติ จะอวดตนเองคนเดียวได้อย่างไร ฉะนั้นการพูดนี้จึงผิดความจริง และย่อมเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ
ซึ่ง ทั้งหมดนี้คือการดูหมิ่นดูแคลน ที่หลอกลวงประชาชน โดยมองประชาชนมิใช่มนุษย์ ไม่ให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน ตามการรับรองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นการอาจเอื้อมไปสนตะพาย ชักจูง เพื่อหลอกลวงหลอกใช้ประชาชนให้ทำประโยชน์ส่วนตน หรือให้ทำอะไร ๆ ก็ได้
เช่นที่พากันตะโกนกันลั่นตลอดคืนว่า "....................., ออกไป"
จนเสียงแหบเสียงแห้ง ซึ่งผู้เจริญพึงพิเคราะห์เหตุผล ว่าสิทธิเสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ ย่อมเท่าเทียมกันในฐานะของความเป็นคน ไม่มีผู้ใดบังอาจสนตะพายจูงจมูกได้
หากมีความสามารถพูดได้เพียงคำเดียว ตามที่เขาสั่งให้พูด สั่งให้ทำ
นั่นหรือคือ เสรีชน?แล้วจะสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไร? ทั้งยังถือว่าเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติในมาตราที่ 28 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ฐานประพฤติตนไม่สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
กระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง แล้วจะกู้ชาติ กู้ประชาธิปไตยอย่างไรได้?
และเมื่อขณะนี้ สถานการณ์ยังไม่นิ่ง เพราะมีการเคลื่อนไหวของหมู่กลุ่มต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อมุ่งสู่การชุมนุมในวันที่ 26 ก.พ.2549 อีกครั้งหนึ่ง และเริ่มมีภาษาโฆษณาที่แปลก ๆ เข้ามาอีก เช่นมี คำว่า อารยะขัดขืน ที่ฟังดูหรูเท่ห์มาก ๆ แล้วยังมีข่าวการเคลื่อนกำลังพลของ กองทัพธรรม ซึ่งฟังดูหรูเท่ห์มาก ๆ พอ ๆ กัน
แต่ก่อความสับสนไปหมด เพราะไม่มีใครเข้าใจตื้นลึกหนาบางของถ้อยคำเหล่านี้
เราจึงขอเสนอแนวพิจารณา ด้วยใจเป็นธรรมและเป็นกลาง ๆ เพื่อประโยชน์โดยแท้จริงของประเทศชาติ และประชาชน ให้ประชาชนพิจารณาโดยมองจากหลักกลยุทธ การโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวมาแต่ต้น ถ้าฟังดูดีแต่ไร้ความหมาย น่าคิดเลยว่านั่นเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ตามหลัก All that glitters is not gold. ที่ออกประกาย ๆ นั้น ไม่ใช่ทองแท้หรอก ทองเก๊
และโปรดคำนึงในความเป็นมนุษย์ของเราเอง ตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้แล้วนั้น.
ธรรมาชีพ ธรรมาชน, ป.ธ.ร.
http://www.newworldbelieve.com/
20 ก.พ. 2549