{คอลัมน์ประชาธิปไตยสงฆ์}
จะปฏิรูปการปกครองสงฆ์ไปทำไม ?
ปัญหา หากระบบการคณะสงฆ์ได้รับการปรับใหม่ตามโครงสร้าง วัด สงฆ์ และ สภาสงฆ์ โดยหลัก 4 ประการคือ หลักประโยชน์ส่วนรวม หลักอุปัชฌาย์-อาจารย์ หลักกัลยาณมิตร และหลักประชาชน ในบัดนี้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น เหตุการณ์จักดำเนินไปอย่างไร ผลที่หวังไว้จักเป็นไปดั่งหวังหรือไม่ อาจจะมีอุบัติเหตุหรือสิ่งที่ผิดพลาดไม่เป็นไปตามแผนได้เพียงไรหรือไม่ ?
จะปฏิรูปการปกครองสงฆ์ไปทำไม ? (ต่อ)
ภาพจำลองสถานการณ์เมื่อเริ่มระบบสภาสงฆ์(ตอน 2)
นี่คือภาพจำลองสถานการณ์ ตามแนวความคิดของหนังสือพิมพ์ดี เมื่อมีการปฏิรูปการคณะสงฆ์ไทยบรรลุผลสำเร็จลงแล้ว การพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นจักดำเนินไปอย่างไร ตอน 2 ต่อจากฉบับที่แล้ว
ตามรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ดีฉบับที่แล้ว เดือน มี.ค.-เม.ย.-พ.ค.-มิ.ย.2541 รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการพระพุทธศาสนา พุทธศักราช 2545 เป็นเหตุให้สถานการณ์สงฆ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่ เพียงพลิกแผ่นดิน และตามพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดสถาบันสงฆ์ที่สำคัญ 4 สถาบันคือ สภาสงฆ์ระดับตำบล สภาสงฆ์ระดับจังหวัด สภาสงฆ์ระดับชาติ และสภาสงฆ์ระดับสากล
และแล้ว การประชุมสภาสงฆ์ครั้งแรก ซึ่งเป็นการประชุมสภาสงฆ์ระดับตำบลทั่วราชอาณาจักร ก็ได้เริ่มขึ้น เราได้นำท่านผู้อ่านไปเยี่ยมชมการประชุมสภาสงฆ์ตำบลโคกคำ และได้พบว่าสภาสงฆ์แห่งนั้นได้ดำเนินการประชุมสภาสงฆ์และดำเนินการใดอันเป็นกิจพึงทำตามที่กฎหมายใหม่กำหนดไปโดยเรียบร้อย น่าชื่นชม และแล้ว พระอุปัชฌาย์แสง กับพระอุปัชฌาย์ชัย แห่งสภาตำบลสงฆ์ตำบลโคกคำก็เตรียมตัวไปเข้าประชุมสภาสงฆ์ระดับจังหวัด ในฐานะสมาชิกสภาสงฆ์ระดับจังหวัด ต่อไป แต่การณ์กลับปรากฎว่า สภาสงฆ์ระดับจังหวัด ยังไม่สามารถจัดการประชุมขึ้นได้ จำต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
อันเนื่องมาจากยังมีสภาสงฆ์ระดับตำบลอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังดำเนินการประชุมไม่เรียบร้อย
เพราะมีความสับสน ไม่เข้าใจในสาระสำคัญที่กฎหมายใหม่กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงฆ์ในเขตเมือง และกรุงเทพมหานครเอง ที่สงสัยและสับสนในฐานะของตัวเอง ตามข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน
โดยสาระสำคัญของกฎหมายนั้น ได้กำหนดให้สงฆ์ทุกรูป ขึ้นชื่อว่า สงฆ์แล้ว ต้องเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับตำบลแห่งใดแห่งหนึ่งเสมอไป ไม่มีข้อยกเว้น และครั้นมีการนัดหมายประชุมสงฆ์ระดับตำบล พระสงฆ์ทุกรูป ไม่ว่าจะเป็นพระสังฆาธิการระดับไหน ครองสมณศักดิ์ชั้นใด ตามกฎหมายเดิมก็ตาม ถือว่าเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับตำบลทั้งสิ้น และมีหน้าที่ต้องไปประชุมสภาสงฆ์นัดแรก อันเป็นการประชุมสภาสงฆ์ระดับตำบล ทุก ๆ รูป ฉะนั้น พระสงฆ์รูปหนึ่ง นอกจากจะเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับตำบลอยู่รูปละ 1 ตำแหน่งแล้ว ยังอาจจะเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับจังหวัดด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง และอาจจะเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับชาติอีกเป็นตำแหน่งที่ 3 ในขณะเดียวกัน และหากเป็นเช่นนั้น ท่านที่สังกัดทั้งสามสถาบัน ก็ต้องไปประชุมทุกครั้งทุกสถาบันด้วย
ตัวอย่างเช่นสงฆ์ระดับเจ้าคณะจังหวัดขึ้นไปถึงกรรมการมหาเถรสมาคมตามกฎหมายเดิม จะสังกัด 3 สถาบัน คือ
(1) เป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับตำบล
(2) เป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับจังหวัด และ
(3) เป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับชาติ ทั้งนี้ตามสาระสำคัญของกฎหมายใหม่
แต่ท่านไม่มีสิทธิ์เป็นประธานสภาสงฆ์ระดับตำบล เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายใหม่ ประสงค์กันมิให้ความรู้สึกของอำนาจครอบสงฆ์ระดับพื้นฐานอันเป็นประชากรสงฆ์ส่วนใหญ่ กฎหมายจึงกำหนดให้พระสังฆาธิการระดับ เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบล ตามกฎหมายเดิมเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิ์ครองตำแหน่งประธานสภาสงฆ์ระดับตำบลวาระแรก ทั้งนี้โดยตำแหน่งและเงื่อนไขตามบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติการพระพุทธศาสนา พุทธศักราช 2545
สภาสงฆ์ระดับตำบลในกรุงเทพมหานคร ก็คือเขต และแขวง นั่นเอง แต่ตามพระราชบัญญัติใหม่นี้ให้เรียกคำเดียวกันหมดคือ สภาสงฆ์ระดับตำบล(ไม่ใช่สภาสงฆ์ระดับแขวง) เช่นสภาสงฆ์ระดับตำบล ในเขต แขวงพระนคร พระสงฆ์ทุกรูปทุกชั้นบรรดาศักดิ์ถือว่าเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับตำบลพระนครทั้งสิ้น เมื่อมีการประชุมพระสงฆ์ในแขวงนั้นก็ต้องลงประชุมหมด และแน่นอนว่าพระบางรูปคงต้องสังกัดมากกว่าสถาบันเดียว คืออาจเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับจังหวัดกรุงเทพมหานครด้วย เป็นสมาชิกสภาสงฆ์ระดับชาติด้วย ทั้งนี้ตามเงื่อนไขของกฎหมายใหม่
รูปแบบของสภาสงฆ์ 3 ระดับนี้ จะไม่เป็นรูปแบบของสายการบังคับบัญชา เมื่อเขียนเป็นแผนภูมิออกมา จะไม่เหมือนสายการบังคับบัญชาของระบบบ้านเมืองเขา แต่จะเป็นวงกลม 3 วง
วงที่ 1 คือสภาสงฆ์ระดับตำบล จะครอบครองเนื้อที่ทั้งหมด
วงที่ 2 เป็นสภาสงฆ์ระดับจังหวัด ซึ่งจะอยู่ภายในวงสภาสงฆ์ระดับตำบลและ
วงที่ 3 สภาสงฆ์ระดับชาติ ซึ่งจะอยู่ภายในวงสภาสงฆ์ระดับจังหวัดอีกทีหนึ่ง
ซึ่งทั้งหมดนี้จะบอกความหมายอันเป็นสาระสำคัญก็คือ ภราดรภาพ ซึ่งจักไม่มีความหมายของ ชนชั้น จึงไม่มีลักษณะเป็น ชั้นการบังคับบัญชาหรือ Chain of command อย่างทางทหารหรือทางโลกเขา นี่แหละความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างแนวคิดฝ่ายโลกและแนวคิดฝ่ายธรรม และซึ่งจำต้องเน้นลงไปว่า เมื่อเราเป็นฝ่ายธรรม ก็ต้องเดินไปในวิถีแห่งธรรม ย่อมไปในทางตรงข้ามกับโลก วิถีโลก จึงจักสามารถดำเนินไปบรรลุเป้าหมายฝ่ายธรรมได้ อันอาจอ่านความหมายจาก แผนภูมิสภาสงฆ์ ๑ ได้ดังนี้
แผนภูมิสภาสงฆ์ ๑
สภาสงฆ์ระดับชาติ ๑
สภาสงฆ์ระดับจังหวัด สภาสงฆ์ระดับจังหวัด ๒
สภาสงฆ์ระดับตำบล สภาสงฆ์ระดับตำบล สภาสงฆ์ระดับตำบล ๓
คำอธิบาย :
๑ วงกลมเล็ก คือสภาสงฆ์ระดับชาติ
๒ วงกลมกลาง คือสภาสงฆ์ระดับจังหวัด ซึ่งครอบสภาสงฆ์ระดับชาติด้วย
๓ วงกลมใหญ่ คือสภาสงฆ์ระดับตำบลซึ่งครอบสภาสงฆ์ระดับจังหวัดด้วย
แผนภูมินี้แสดงความเสมอภาคด้วยหลักภราดรภาพ ไม่แสดงสายการบังคับบัญชา เพราะไม่มี การบังคับบัญชา แต่แสดงความกลมกลืนด้วยภูมิปัญญา แสดงพื้นฐานสำคัญว่า การวินิจฉัยสั่งการใดใดอยู่ที่สภาสงฆ์ระดับตำบล การวินิจฉัยปัญหาทางพระธรรมวินัยทั้งสิ้นจะอยู่ที่สภาสงฆ์ระดับตำบล ทั้งนี้จึงสอดคล้องความจริงที่ว่าสงฆ์เสมอกันด้วยศีลสามัญญตา และด้วยทิฏฐิสามัญญตา ที่ให้ความชอบธรรมแด่สภาสงฆ์ทุกระดับสามารถตัดสินโดยพระธรรมวินัยได้เลย ทั้งนี้ด้วยภูมิปัญญา-คุณธรรมล้วน.
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การประชุมสภาสงฆ์ระดับจังหวัด และสภาสงฆ์ระดับชาติ ยังคงต้องรอภาคพิธีกรรมการเปิดประชุม ที่เกี่ยวข้องด้วยสถาบันชั้นสูงของชาติ ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลยังเตรียมการไม่พร้อม เพื่อให้การณ์เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ศาสนูปถัมภก และพระบรมราชวงศ์ ที่ทรงมีฐานะเป็นชาวพุทธ และทรงเป็นมหาอุบาสก องค์อุปัฏฐากที่สำคัญยิ่งใหญ่ และทรงเป็นองค์พระประมุขของแผ่นดิน ว่าจะทรงมีพระราชวินิจฉัยอย่างไรในส่วนของพระราชพิธีเปิดสภาสงฆ์แห่งชาติครั้งประวัติศาสตร์นี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลักการบริหารการพระพุทธศาสนา ตามกฎหมายใหม่นี้ ได้ให้ความสำคัญระดับพื้นฐานทั้งสิ้นไว้ที่สภาสงฆ์ระดับตำบล กล่าวคือการเดินไปแห่งวิถีนักบวชพุทธทั้งสิ้น จักเป็นไปได้ทันทีที่สภาสงฆ์ระดับตำบลเปิดดำเนินการแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะถือเอาพระธรรม และพระวินัยเป็นบรรทัดฐานแห่งการตัดสินใจ อันเป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวกันหมดทุกสภาตำบลสงฆ์ และทุกระดับแห่งสภาสงฆ์ เมื่อมีกรณีปัญหาใดเกิดขึ้น สภาตำบลสงฆ์ใดก็สามารถวินิจฉัยไปได้เลยและสั่งการเด็ดขาดไปได้ด้วยหลักพระธรรมวินัย แต่หากเกิดกรณีที่ทิฏฐิไม่ลงรอยกัน หรือภูมิปัญญาไม่ลงกัน(ซึ่งจะเป็นปัญหาอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนจริง ๆ) แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของสภาสงฆ์ระดับจังหวัด และหรือสภาสงฆ์ระดับชาติ ซึ่งในระดับนั้นเราคัดเอาบุคคลากรที่ล้วนมีระดับภูมิแห่งปัญญารู้แจ้งในธรรมในวินัยจากสภาล่างคือสภาตำบลสงฆ์ทั่วประเทศมารวมไว้ ที่จะช่วยตัดสินปัญหาอันละเอียดอ่อนขนาดไม่ธรรมดานั้น และเมื่อตัดสินแล้วสภาสงฆ์ทุกระดับทุกแห่งก็จะสามารถยึดหลักการตัดสินนั้นเป็นแนวทางแห่งการวินิจฉัยกรณีที่คล้ายคลึงกันนั้นได้ต่อไปทันทีที่มีอธิกรณ์เกิดขึ้น(คล้ายคำพิพากษาของศาลฏีกานั่นเอง)
นอกจากนั้น สภาสงฆ์ระดับจังหวัดและสภาสงฆ์ระดับชาติยังมีภาระสำคัญเกี่ยวกับการวางนโยบายการศึกษาคณะสงฆ์ทั้งระดับปริยัติศึกษา ปฏิบัติศึกษา และปฏิเวธศึกษาออกมา เป็นระดับที่จะต้องมีการประสานงานกับฝ่ายบ้านเมืองในด้านนโยบายการศึกษาและนโยบายทั่ว ๆ ไป อันจักเป็นประโยชน์ในการกำหนดแนวทางให้การพระพุทธศาสนาเดินไปได้ ตามเส้นทางแห่งพระธรรมวินัยอันบริสุทธิ์ได้ทุกขั้นตอน การประชุมของสภาสงฆ์ระดับจังหวัดและระดับชาติ จึงจะเป็นการประชุมที่มีฝ่ายบ้านเมืองเข้าร่วมด้วยเสมอ ในฐานะอุบาสก-อุบาสิการะดับจังหวัดและระดับชาติ และแน่ละมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นขัดแย้งในกรณีที่เห็นว่าไม่ถูกธรรมถูกวินัยได้เช่นเดียวกัน
สภาสงฆ์ระดับจังหวัดจะสามารถเปิดการประชุมได้เมื่อไร และดำเนินการไปอย่างไร หรือยังมีอุปสรรคปัญหาอะไร เราจะติดตามมารายงานต่อในฉบับหน้า
ปัญหา : ที่มาที่ไปของหลักการปฏิรูป 4 ประการ เช่นหลักว่าด้วยการทำประโยชน์แด่ พระพุทธศาสนาในส่วนรวม หลักครูอาจารย์ เป็นต้น ?
เคยมีคำถามมาก่อนและได้ตอบไขข้อข้องใจไปบ้างแล้ว โปรดดู วิเคราะห์ข่าว เดือน กรกฎาคม 2540 หน้า 19 ดังจะขอยกมาให้ดูอีกครั้งหนึ่ง
คำถาม : ให้อธิบายที่มาที่ไปแห่งหลักปฏิรูปสงฆ์ 4 ประการ คือ(1) หลักว่าด้วยการทำประโยชน์แด่พระพุทธศาสนาในส่วนรวม (2) หลักว่าด้วยครู-อาจารย์ หรืออุปัชฌาย์ (3) หลักเพื่อน หรือ กัลยาณมิตร และ (4) หลักประชาชน
คำตอบ : มาจากหลักอริยสัจ 4 วิเคราะห์ปัญหาหรือทุกข์ในวงการสงฆ์แล้วเนื่องมาจาก ความเห็นแก่ตัว ทำอะไรเพื่อเอา เพื่อมี เพื่อได้ทั้งสิ้น ดูองค์กรพื้นฐานคือวัด ดูว่าวัดเป็นที่ ๆ สำหรับพระสามเณรทำอะไร จะพบว่าทำเพื่อประโยชน์ตนทั้งสิ้น แท้ที่จริง วัดควรจะเป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย เป็นสถานสังคมสงเคราะห์สำหรับผู้ยากไร้ ตามหลักพระพุทธศาสนา แต่ไม่เป็นเช่นนั้น หากแต่เป็นเพียงสถานการอาชีพชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ดูตัวอย่างเรื่องการฌาปนกิจศพ วัดก็เรียกค่าบริการเมรุเผาศพ พระที่สวดศพก็ได้ค่าตอบแทนอย่างทำเป็นอาชีพ และเป็นล่ำเป็นสันอย่างดีในปัจจุบันนี้ พระได้เงินทองเพราะการสวดศพเป็นจำนวนมาก จึงหวงแหน ยึดมั่นถือมั่นว่าวัดของกู ๆ ๆ พระอื่นใดเข้ามาไม่ได้ เพราะนั่นก็คือการแย่งอาชีพกันชัด ๆ พระ-สามเณรบวชมาก็เพื่ออาศัยวัดเป็นที่เล่าเรียนทางอาชีพ เรียนจบได้วุฒิก็ลาสิกขา พระในวัดที่ไม่รู้จะไปไหนก็แสวงหาลาภยศ ไปตามระบบสงฆ์เจ้าขุนมูลนายต่อไป ก็ทำลายวิถีทางแห่งการสังคมสงเคราะห์ กลายเป็นระบบประเพณีที่เห็นแก่ตัว ที่ไม่เอื้อต่อมรรควิถี ก็ไม่มีพัฒนาการทางจิตเกิดขึ้น พัฒนาการทางจิตก็ล้มเหลว วัดก็ไม่มีลักษณะเป็นสากลตามหลักพระพุทธศาสนา(เพราะขึ้นชื่อว่าวัดย่อมไม่มีเจ้าของ) เราจึงต้องแก้ปัญหาด้วยหลักว่าด้วยการทำประโยชน์ส่วนรวม ให้มีระบบสังคมสงเคราะห์ มีการดูแลประชาชนคนยากคนไร้ มีการให้เปล่าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใดบ้าง นั่นคือวิถีทางมรรคผลนิพพาน ที่จะต้องมีครูอาจารย์หรือกัลยาณมิตรผู้รู้ทางคอยประคองชี้แนะจนกว่าจะไปถึงปลายทาง ที่รอดพ้นแล้วนั่นแหละเป็นประโยชน์สูงสุด ที่จะหว่านลงในนาแห่งประชาชนทั้งหลาย นาที่เลี้ยงอุปการะมรรคผล