42. มองตรงมองจริง ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์
สนธิ ลิ้มทองกุล คือบ่างช่างยุ ตัวอันตรายของประเทศชาติ
พราหมณ์ผู้เดียวรับใช้ไปยุแหย่
สาระแนยุแยกให้แตกฉาน
ครั้นถึงคราวศัตรูจู่ไปราน
มัวเกี่ยงกันเสียการเสียนคร
พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ที่เตือนจิตเตือนใจคนไทยมาเนิ่นนานให้ระวังคนที่ยุแหย่ หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อและโกหกพกลมเพื่อหลอกลวงคนทั้งหลายให้เกิดแตกความสามัคคีธรรมกันทั้งประเทศ นั่นคือ วาสการพราหมณ์ในอดีต และองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเป็นอุทาหรณ์ สำหรับมองอันตรายทางวาจา พอมายุคนี้ขณะนี้ดูละม้ายเหมือนขบวนการม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ที่กระทำการปลุกปั่นประชาชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมีระบบ ให้กระด้างกระเดื่องต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องเพราะกระหายอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้พ้นไปจากระบอบปัจจุบัน เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยไทย โดยมีนายตั๊บ แซ่ลิ้มเป้นประธานาธิบดี คนแรก
แผนการใช้วาจาเป็นอาวุธของนายตั๊บจึงหนักหน่วง โดยมุ่งหมายก่อเกิดความแตกแยกในแผ่นดินไทย เป็นสองฝักสองฝ่ายให้ได้ เขาเน้นคนทุกสถาบันให้เลือกฝ่าย และท้ายที่สุดเขาได้ทำการยุยงทางวาจา เพื่อให้เกิดการระแวงกันเองของกกต. 5 คน โดยทำการประณามอย่างองอาจ ซึ่งหน้า ณ อาคารที่ทำการ กกต.เลยทีเดียว ว่า มีกกต.3คนรับสินบน ทำการช่วยเหลือพรรคพลังประชาชนให้ได้เป็นรัฐบาล และกีดกันพรรคประชาธิปัตย์ให้พลาดโอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาลไปอย่างน่าเสียดาย เขาแยกกกต.ไปตามลมปากของเขาว่ามีกกต.ฝ่ายดี 3 คน และกกต.ฝ่ายชั่ว 2 คน ฝ่ายดีคือพวกที่เข้าข้างเขา 3 คน และฝ่ายชั่วคือพวกเข้าข้างรัฐบาล 2 คน และกกต 2 คนที่เข้าข้างรัฐบาลเป็นพวกหลงผิด จะต้องกำจัดออกไป
นี่คือข้อกล่าวหาอย่างไร้หลักฐาน เป็นการอุกอาจหมิ่นแคลนสถาบันสูงสุดของประชาธิปไตย ต่อหน้ากกต.โดยตรง ซึ่งแน่นอน ได้กลายเป็นหลักฐานที่ผูกมัดลงโทษตัวเองต่อไปของ สนธิ ลิ้มทองกุลอย่างหนาแน่น และล่าสุดยุแยกให้ไทย-กัมพูชาแตกทางพระราชไมตรีกันระหว่างประเทศ โดยกรณีเขาพระวิหาร นั่นเป็นความพยายามที่ชั่วร้ายที่ให้ร้ายแก่ประเทศชาติและประชาชนไทย ซึ่งประชาชนไทยน่าจะได้มาพิจารณากันอย่างมีสติต่อบทบาทของคนผู้นี้
สถานการณ์วันนี้ เมื่อมองไปที่ประชาชนผู้ที่ถูกหลอกลวงมาเป็นม็อบต่อต้านล้มล้างรัฐบาล หรือ เป็นนักรบแห่งสงครามครั้งสุดท้ายของนายตั๊บ แซ่ลิ้มผู้นี้แล้ว น่าสงสารและน่าสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง ซึ่งประชาชนไทยทั้งหลายต้องช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรจะช่วยพาประชาชนผู้หลงผิดออกมาเสียจากห้องอบรมโฆษณาชวนเชื่อของม็อบกลุ่มนี้ คือถนนราชดำเนินโดยเร็ว เพราะในความเป็นจริงแท้มหาวิทยาลัยราชดำเนินก็คือ มหาวิทยาลัยเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองประชาชน ให้เห็นถูกเป็นผิด และเห็นผิดเป็นถูก หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว โดยทำการอบรมล้างสมองประชาชนตลอดวันตลอดคืน แม้ถูกธรรมชาติลงโทษโดนฝนกระหน่ำทั้งวันทั้งคืนแต่เขาก็หลอกลวงประชาชนว่าเป้นการทดสอบ และเป็นการได้คะแนน แต่แท้จริง แผนของสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแผนหลอกลวงหลอกใช้ประชาชน โดยหวังว่าเมื่อสามารถหลอกลวงประชาชนมาร่วมชุมนุมได้มากพอแล้วมีมวลชนออกมาร่วมชุมนุมตากแดดตากฝนภายใต้การสั่งการของเขาเป็นแสนเป็นล้านคนแล้ว รัฐบาลนี้ก็อยู่ไม่ได้ ทักษิโนมิคอันกร้าวแกร่งก็ต้องยอมพ่ายแพ้ ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเขาทุกอย่าง
นี่คือแผนการเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ที่ง่าย ๆ แค่นี้เอง นายตั๊บ แซ่ลิ้มก็จะได้เป็นประธานาธิบดี คนแรกของสาธารณรัฐไทย
นึกดูแล้ว มีความหวังอยู่ที่สถาบันแห่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และประชาชนไทยทั้งสิ้นพากันตระหนักให้หนักแน่นไปกว่านี้สักหน่อย ว่า นี่คือรัฐบาลและรัฐสภา และสถาบันทั้งปวงนั้นเป็นตัวแทนของประชาชน โดยประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งขึ้นสู่อำนาจ โดยมีเป้าหมายเพื่อการจัดการบริหารประเทศไทยไปตามความปรารถนาของประชาชนผู้เลือกเขาเข้าไปเป็นรัฐบาล เป็นผู้ตรวจสอบรัฐบาลในรัฐสภา และเป็นสถาบันตัวแทนของประชาชนทั้งหลาย และสถาบันทั้งหลายของประชาชน นับแต่รัฐบาลเป็นต้น ถึงสถาบันทั้งหลายมีหน้าที่ต้องทุ่มเทการปกป้องคุ้มครองรักษาประชาธิปไตยไว้อย่างเป็นหน้าที่อันจำเป็นสูงสุดของระบอบประชาธิปไตย ตามที่รัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดได้ให้อำนาจไว้ และที่สำคัญรัฐบาลย่อมตระหนักในหน้าที่ของตนที่ต้องดำเนินการทุกประการเพื่อรักษาปกป้องคุ้มครองสถาบันประชาธิปไตยทุกสถาบันให้ยั่งยืน ปราศจากอันตรายที่มาย่ำยีโดยทุกประการ
และแน่ละ การกำจัดบุคคลผู้ทำผิดทางวาจา เป็นบ่างช่างยุ เพื่อให้ประชาชนไทยแตกความสามัคคีกันทั้งประเทศ ก็ย่อมจำเป็น และย่อมจะมองละเลยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
· สุไหงปาดี
18 มิ.ย. 2551
43 โอวาทของท่านปัญญาธโรภิกขุ
ต่อเหตุการณ์ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2551
น่าจะพอแล้ว
น่าจะมาคิดทบทวนดูการกระทำและเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตราบถึงเมื่อวานนี้
เพื่อการตั้งสติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์
การเห็นคนไทยด้วยกันเองเกลียดชัง ด่าทอกัน ยกพวกเข้าห้ำหั่น เข่นฆ่ากัน อย่างนองเลือดนั้น เป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินกว่าที่จะอภัยให้แด่ชีวิตตัวเองทั้งชีวิตนี้
เป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินที่ชาวไทยคนหนึ่งจะยอมรับได้ สำหรับประชาชาติไทยในวันนี้
และโชคชะตาหรือแท้จริง คือสามัญสำนึกอันลึกซึ้งของชาวไทยผู้มีศาสนาเป็นสรณะ ได้ให้โอกาสแด่ประชาชนไทย จึงได้ผ่านเหตุการณ์มาอย่างน่าตื่นระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2551
มาเริ่มต้นกันใหม่เถิด
ด้วยความรักสามัคคีกัน
และร่วมในการต่อสู้กับศัตรูตัวร้าย ซึ่งเป็นศัตรูตัวจริงของพวกเราทั้งหลาย
ขอให้เราคืนมาสู่สติอันสมบูรณ์
และพิจารณาการกระทำของเราเองอย่างมีวิจารณญาณอันละเอียดอ่อนสุขุม
ว่า แท้จริง เรายังมีข้าศึกศัตรูที่ร่วมกันอันยิ่งใหญ่
มิใช่ข้าศึกศัตรูที่ต้องต่อสู้ทางการเมือง เพื่อแก่งแย่งอำนาจ
มิใช่การต่อสู้เพื่อเอาชนะคะคานกัน
มิใช่เพื่ออะไรทั้งสิ้นที่พวกเราคิดไปอย่างหลงผิด
แต่เราต้องร่วมกันต่อสู้กับความยากความจน ต่อสู้กับภัยร้ายของธรรมชาติ ต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจ ที่ต้องร่วมกับประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก
และเพื่อชาวไทยทั้งหมดอยู่ร่วมกันไปได้อย่างดี และมีความสุขเพียงพอตามอัตตภาพ
แค่นี้ ก็เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว และเป็นศัตรูของเราที่โตยิ่งใหญ่เหลือเกินอยู่แล้ว
เพราะเป็นศัตรูซึ่งไร้ซึ่งความอภัย ไร้จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์
ถ้าเรามัวแต่ต่อสู้กันเอง มองคนไทยด้วยกันเองเป็นศัตรูกัน แยกฝักแยกฝ่ายกันต่อสู้ห้ำหั่นกันเองแล้ว
นั้นย่อมเหมือนกวางตัวน้อยในป่าใหญ่ ที่โกรธเกลียดชัง ทะเลาะต่อตีกันเอง
และมีเสือใหญ่เฝ้ามองอยู่ ก็ยิ่งจะเป็นเหยื่อของศัตรูอย่างง่ายดาย
ฉะนั้น จงพากันคืนสู่สติ มาคิดดูให้ดี ๆ
และอย่าได้จองเวรกันต่อไปอีกเลย
- ปัญญาธโรภิกขุ
21 มิถุนายน 2551
44 กรณีปราสาทพระวิหาร
ในทัศนะของคนศรีสะเกษแท้คนหนึ่ง
เรียน บก. นสพ.ดี
ผมเป็นคนศรีสะเกษแท้จริง ขณะนี้มีอายุเลยเกษียณไปแล้ว ในวันที่ 15 มิถุนายน พุทธศักราช 2505 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนายถนัด คอมันต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปีที่เราเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาโดยศาลโลกที่กรุงเฮก สวิตเซอร์แลนด์ตัดสินนั้น ชาวศรีสะเกษต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะชาวศรีสะเกษมีความคุ้นเคยกับพื้นที่นั้นดุจดั่งบ้านเกิดตนเอง เมื่อถูกตัดสินไปเช่นนั้นเสียแล้วก็เหมือนแผ่นดินแยก เสียบ้านเสียเมืองให้แก่ข้าศึก ในระยะนั้นระดับประชาชนของทั้งสองประเทศเองก็ไม่ได้เกิดความแตกแยกไปตามการแตกของแผ่นดิน ก็ยังคงปฏิบัติถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนดั่งญาติ
กระนั้นเราก็มีความทรงจำที่ขมขื่นมาก และมีสิ่งที่เราไม่เข้าใจก็คือ เรื่องทนายความ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหน.พรรคประชาธิปัตย์ ว่าท่านเป็นคนอย่างไร เพราะก่อนที่จะไปว่าความนั้นท่านคุยใหญ่คุยโตเหลือเกิน ให้ความหวังพวกเราไปอย่างสุด ๆ เราได้อ่านหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวว่าประชาชนไทยอย่าห่วง ให้ร่วมกันบริจาคคนละ1บาทไปสู้ความกับเขมร รับรองชนะแน่ ๆ ซึ่งผมเองได้บริจาคไป 2 บาท โดยหวังว่าจะได้มีส่วนแห่งชัยชนะ ทางทนายความก็มั่นใจมาก และยังใช้วิธีการไสยศาสตร์ไปต่อสู้อีก ว่าทนายฝ่ายนั้นขี้แตกขี้แตนไปแล้ว แพ้เราตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว จนคนหัวเราะงอหงายไปกันทั้งแผ่นดิน พูดขึ้นมาคราวใดก็ยังหัวเราะกันอยู่ แต่เมื่อเสร็จความลง ปรากฏว่าเราแพ้เขา แล้วทางทนายของเราก็ได้แต่แก้ตัวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แก้ตัวมาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ และร้ายไปกว่านั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังจะมากล่าวหารัฐบาลอื่นเขาว่าทำให้เราต้องเสียปราสาทพระวิหาร อย่างที่นายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ (ส.ส. ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์) พูดในกลุ่มม็อบสนธิ-จำลอง เราจึงไม่เข้าใจว่า ท่านหมายความว่าอย่างไร แต่สำหรับชาวศรีสะเกษ ความอาลัยอาวรณ์ในปราสาทเขาพระวิหารไม่มีวันจบสิ้น ชาวศรีสะเกษทุกคนดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่ตรงกันอย่างลึกซึ้ง เป็นความลับในจิตใจของชาวศรีสะเกษทุกคน ที่ว่า วันหนึ่งเราจะต้องเอาของเราคืนมา
ในปี พ.ศ.2541 ได้มีการร่วมประชุมทำงานของนักปราชญ์-นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ของชาวจังหวัดศรีสะเกษครั้งใหญ่ เพื่อจัดทำหนังสือประจำจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาลขณะนั้น(รัฐบาลนายชวน หลีกภัย) ที่สั่งให้ทุกจังหวัดจัดทำหนังสือ “วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัด ...” เป็นการเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนม์พรรษา 6 รอบ ซึ่งผมก็ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการดำเนินงานด้วย โอกาสนั้นจึงเป็นการรำลึกประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นเกี่ยวกับการเสียดินแดนไทย ปราสาทพระวิหารขึ้นมาครั้งใหญ่ แม้เวลาจะล่วงไป 36 ปีแล้วก็ตาม และยังมีความคิดกันลึก ๆ ว่า จะต้องเอาของเราคืนมา ซึ่งนี่มิใช่การเสแสร้ง แต่เป็นสิ่งที่บาดลึกซึ้งในจิตใจ โดยเรามองว่า การตัดสินของศาลโลก ไม่มีความเป็นธรรม ให้ร้ายลำเอียงต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง และเราพาลเกลียดจักรพรรดินิยมฝรั่งเศสอย่างเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว
แล้วครั้นถึงปี พ.ศ. 2548 จังหวัดศรีสะเกษร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ สภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ หอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดทำโครงการประชุมสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “โครงการชำระประวัติศาสตร์เมืองศรีสะเกษในโอกาสจัดงานย้ายศาลากลางเมืองศรีสะเกษครบ 100 ปี” ในวันที่ 25-26 มิถุนายน 2548 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและรำลึกในโอกาสย้ายเมืองมาตั้งเป็นจังหวัดศรีสะเกษครบรอบ 100 ปี โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการประกอบด้วยหน่วยนงานภาครัฐ เอกชน สถาบันอุดมศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ในท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ หลายหน่วยงาน ซึ่งผมเองก็ได้รับหนังสือเชิญจากนายถนอม ส่งเสริม ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ขณะนั้นให้เข้าร่วมประชุมด้วย จึงได้พบว่า เมื่อรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ศรีสะเกษขึ้นคราวใด ก็หลีกไม่พ้นเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ในการสัมมนาครั้งนั้น เนื่องจากมีนักประวัติศาสตร์จากท้องถิ่นเข้าร่วมประชุมส่วนหนึ่ง ส่วนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับคอมมิวนิสต์บ้านคูซอด และคอมมิวนิสต์สากล และพวกหัวรุนแรงศรีสะเกษ จึงมีข้อเสนอที่รุนแรงมาก ถึงขั้นคิดทำทุกอย่างเพื่อเอาปราสาทพระวิหารคืนมาสู่แผ่นดินศรีสะเกษ ซึ่งแม้นายศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร ที่ได้รับเชิญมาเป็นผู้บรรยายพิเศษ ก็ยังคล้อยตามโดยอ้างหลักการว่า เรื่องประวัติศาสตร์เป็นของท้องถิ่น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนในท้องถิ่น เรื่องนี้จึงอยู่ที่ประชาชนในท้องถิ่น และล่าสุดก็มีการประชุมเรื่อง กัมพูชาจะเอาปราสาทพระวิหารไปเสนอยูเนสโก เป็นมรดกโลก ในวันที่ 15 มิถุนายน 2551 ตามที่เวบไซต์ของท่านได้นำเสนอไปแล้ว ซึ่งผมก็ได้เข้าร่วมศึกษาและสังเกตการณ์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งต่อมามีประชาชนชาวศรีสะเกษ กลุ่มกันทรลักษ์ศรีสะเกษจำนวนหนึ่ง ไปร่วมกับม็อบไล่รัฐบาลสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ในวันที่ 20 มิถุนายน 2551
ผมอยาจะสรุปว่า เรื่องราวที่เกิดวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ในส่วนของประชาชนชาวศรีสะเกษนั้น เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจ และน่าเป็นอุทาหรณ์ว่า คนเรารักความยุติธรรม เรามองว่าศาลโลกตัดสินความอย่างไม่ยุติธรรมต่อชาวไทยและชาวศรีสะเกษ จะต้องเอาแผ่นดินของเราคืนมา จึงน่าที่ทุกฝ่ายที่มองสถานการณ์อยู่ขณะนี้ จะได้เข้าใจ และอย่าเพิ่งกล่าวโทษประชาชนชาวศรีสะเกษ ด้วยเหตุผลดังนี้จึงหวังว่าจะได้ใช้สติตริตรองให้จงดีว่าปัญหานี้เป้นปัญหาที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ที่ไม่ควรจะบุ่มบ่าม และการแก้ปัญหาก็ให้ถือหลักการแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา และมองที่เหตุผลความจริง และความที่จะเป็นไปได้ ว่าการที่เราคิดการที่เราทำนั้นจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้เพียงไร จะได้ไม่เสียเวลาของชีวิตเราเอง เวลาของประเทศชาติ
· ศรีสะเกษรำลึก
23 มิ.ย. 2551
45 ผลการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของ
สภาผู้แทนราษฏร เมื่อ 27 มิย.51
นายยกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช 280-162-1
นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รอง นายก รมต.+รมว.คลัง 279-161-1
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายก รมต.+รมว.พาณิช 279-161-1
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย 279-162-0
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม 280-162-0
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คมนาคม 279-162-0
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม 280-162-0
นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ 278-162-1
คะแนนเกณฑ์ ไว้วางใจ 236
46 ภาพที่เห็นจากสภาผู้แทนราษฎร
ในการประชุมพิจารณารับหลักการ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2552
วันที่ 28 มิ.ย.2551 เวลา 16.00 น.
ส.ส.นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า “ผมไม่ได้ยอมจำนน แต่ผมขอร้องให้เกิดความเป็นธรรม” ภาคใต้ 14 จังหวัด เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความสำคัญที่สามารถทำรายได้เป็นอันดับ 3 ของประเทศ นายนิพิฏฐ์ลำดับว่าภาคไหนมีความสำคัญอยู่อันดับ 1-2-3 อย่างไร แต่ไม่ได้เอ่ยถึงภาคอีสาน แต่คนก็ย่อมรู้ว่านายนิพิฏฐ์หมายความว่าอย่างไรในการที่ละเว้นไม่เอ่ยถึงภาคอีสาน นายนิพิฏฐ์ข่มขู๋รัฐบาลว่าให้จัดสรรงบประมาณ 1.8 ล้านล้านบาทนี้ให้ดี ให้เป็นธรรม ถ้า 14 จังหวัดได้รับจัดสรรงบไม่เป็นธรรมแล้ว รัฐบาลจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมเลยทีเดียว เขาเอ่ยถ้อยคำอุกอาจว่า “ถ้าผมเป่านกหวีดแล้ว รัฐบาลจะเข้าทำเนียบไม่ได้” จากการอภิปรายของนายนิพิฏฐ์ ส.ส.พัทลุงนี้ ทำให้น่าตกใจน่าคิดว่า ท่าทีเช่นนี้เป็นท่าทีทั้งหมดของส.ส.ภาคใต้ 14 จังหวัดหรือไม่? เพราะย่อมหมายถึงการดูแคลนไปถึงการเมืองอีสาน และแสดงถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ถูกต้องต่อประชาชนชาวอีสานด้วย คำพูดว่า ให้ฟังเสียงนกหวีดจากเขาคนเดียว ถ้าเขาเป่านกหวีดแล้ว รัฐบาลจะเข้าทำเนียบไม่ได้ กรณีที่รัฐบาลเข้าทำเนียบไม่ได้ก็มีอยู่ขณะนี้กรณีเดียว นั่นคือม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ที่ปิดล้อมทำเนียบอยู่ คำพูดของนายนิพิฎฐ์ ก็จะต้องหมายความว่านายนิพิฏฐ์ก็เป็นหนึ่งในแกนนำม็อบตัวแทนประชาธิปัตย์อีกคนหนึ่ง ถ้านายนิพิฏฐ์เป่านกหวีดแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะระดมมวลชนที่เป็นสมาชิกพรรคมาชุมนุมเพิ่มขึ้นหรืออย่างไร? ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะวันนี้ทางม็อบก็รอสัญญาณเป่านกหวีดอยู่ แต่กรณีนี้ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะป็นไปได้ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นกหวีดอาจเป็นสัญญาณตอกโลงลงอย่างสนิทสำหรับการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ในภาคอีสานเลยก็ว่าได้ แต่เราเห็นว่า การที่นายนิพิฏฐ์ระบุรายได้ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะมีปัจจัยเหตุอย่างอื่นประกอบมากไปกว่าเรื่องรายได้ด้วย เช่นปัจจัยภัยธรรมชาติ และการก่อการร้าย ในภาคใต้ ตั้งแต่วาตภัยแหลมตะลุมพุก เมื่อ ประมาณ 40-50 ปี มาแล้ว ภาคใต้เราก็ไม่เคยว่างเว้นจากภัยพิบัติ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นภัยพิบัติประจำปี และหลังสุดก็สินามิ เดือนธันวาคม2547 ซึ่งภัยพิบัติเหล่านี้ได้สิ้นเปลืองงบประมาณของชาติของแผ่นดินไปเป็นอันมากถึงต้องรื้อฟื้นแผ่นดินใต้ทั้งแผ่นดิน แล้วภาคใต้ก็มีคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะที่พัทลุงนี้เอง ที่มีคอมมิวนิสต์อย่างแรงมาก่อน แล้วต่อมาก็มีกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รัฐต้องทุ่มงบเพื่อการแก้ปัญหาอย่างมหิมา ซึ่งแตกต่างจากภาคอีสาน ที่ค่อนข้างสงบ และเราซื่อสัตย์ ไม่เคยใช้ความคิดแบบฉลาดแกมโกงสร้างสถานการณ์ร้าย ๆ ขึ้นเพื่อดึงเงินงบประมาณ จริงอยู่ ภาคอีสานมีรายได้น้อย แต่ภาคอีสานก็มิได้รบกวนงบประมาณมากเหมือนภาคอื่น เราอยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงตามทฤษฎีของในหลวง นายนิพิฏฐ์พูดอย่างนี้จึงเหมือนคนเนรคุณประชาชนไทยทั้งประเทศที่คอยช่วยเหลือท่านในคราวได้รับภัยพิบัติ (ลองพิจารณากรณีแหลมตะลุมพุก-และสินามิ ก่อนนะครับ ว่าใครมาช่วยท่านบ้าง แม้รัฐบาลอเมริกายังส่งบุชกับคลินตั้นมาดูเหตุการณ์เลย เพียงแต่รัฐบาลทักษิณขณะนั้นไม่อยากให้ไทยเป็นหนี้บุญคุณชาติอื่นรัฐบาลอื่น จึงไม่อยากรับความช่วยเหลือเพื่อแสดงว่าไทยช่วยตนเองได้เท่านั้นเอง) ณ บัดนี้เราเพียงสงสัยว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และประชาชนชาวใต้ ที่เราคิดว่าเป็นมิตรกับเราในระดับประชาชนด้วยกัน จะคิดอย่างเดียวกับนายนิพิฏฐ์คิดหรือไม่ เพราะคิดอย่างนายนิพิฏฐ์คิดเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาและขี้ขลาด และไม่สร้างสรรค์แต่อย่างใดเลย ท่านไม่เคยรู้สัจธรรมเต๋าเลยหรือว่า ฟ้ามีอายุยืนนาน แผ่นดินก็มีอายุยืนนาน ประเทศไทยก็มีอายุยืนนาน(วรรคนี้ผมว่าเองนะครับ) วันหนึ่งเมื่อน้ำท่วมแผ่นดินใต้ (เริ่มด้วยปัญหาโลกร้อนมาแล้ว) ท่านจะไปอยู่ไหน ถ้าไม่ไปอยู่ภาคอีสาน การที่ท่านคิดนี้ท่านคิดสั้นแค่หางอึ่ง แม้ขณะนี้ท่านก็ได้พึ่งพาอาศัยคนอีสานทุกอย่างอยู่แล้ว แม้ชีวิตตำรวจทหารอาสาสมัครที่ไปต่อสู้เพื่อแผ่นดินใต้ขณะนี้ ก็ล้วนเลือดเนื้อชาวอีสาน อย่าผยองนักเลย กล้านักมักบิ่นนะท่านนะ ถ้าท่านอยากเป็นรัฐบาลท่านไม่มีทางเลือก นอกจากต้องทำความเข้าใจการเมืองอีสานให้มากกว่านี้ และขอร้องเถิดเพื่อเห็นแก่ประเทศไทยและเห็นแก่สถาบันประชาธิปไตย โปรดอย่าเป่านกหวีดเลย เราชาวอีสานจะไม่ขอร้องอะไรจากท่านเลย รัฐบาลจงทุ่มทุกอย่างของงบประมาณปีนี้ ไปสู่ภาคใต้ เพียงเพื่อให้แผ่นดินสงบ ประชาชนชาวใต้เรามีความสุขเสียที เราก็พอใจและยินดีด้วยแล้ว
- บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
28 มิ.ย.2551
47 ข่าว
คณะสงฆ์เป็นห่วงชาติบ้านเมือง
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสามัคคีและเอื้อซึ่งกันและกันเพื่อช่วยชาติให้รอด
คณะสงฆ์ไทยได้แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ในประเทศไทย ได้เตือนทุก ๆ ฝ่ายให้ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทางฝ่ายคณะสงฆ์ขอให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการให้กำลังใจฝ่ายญาติโยมด้วยเนื่องเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤติ ฝ่ายประชาชนลำบากยากอย่างยิ่ง ฝ่ายญาติโยมก็ให้ระวังการแตกแยกทะเลาะเบาะแว้งกันเอง และระวังการดุด่ากันและกัน ทั้งนี้ เนื่องในการประชุมพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส ตามมติมหาเถรสมาคมที่ 143/2546 จังหวัดในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค 10 สังกัดคณะสงฆ์หนตะวันออก 6 จังหวัด คืออุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, นครพนม, ยะโสธร, มุกดาหาร, และอำนาจเจริญ ได้จัดการประชุมขึ้น ในระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ณ ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ตำบลหนองเมือง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระธรรมปริยัติโสภณ เจ้าคณะภาค 10 เป็นประธาน ในการประทานโอวาท เปิดและปิดการประชุมของพระสังฆาธิการจังหวัดศรีสะเกษวันนี้ (วันที่ 25 มิ.ย.2551)
นอกจากนั้นเจ้าคณะชั้นสูงมีพระราชโมลี รองเจ้าคณะภาค 10 ได้เรียกร้องให้หมู่สงฆ์เอาใจใส่ในอาจาระ ในฐานะพระผู้ต้องปฏิบัติธรรมกรรมฐาน โดยเฉพาะพระวิปัสสนาจารย์ ให้ประพฤติตนเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น และรำลึกเป้าหมายของการบวชของพระสงฆ์ทุก ๆ รูป คือการปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพื่อเอาชนะกิเลส จึงจะเอาตัวรอดและเชิดชูส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้ปรากฏไปในโลก
48 ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์บุกศรีสะเกษ
ยึดเวทีตลาด ถนนคนเดิน
ขบวนการม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ส่งชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บุกถึงศรีสะเกษ โดยเปิดการระดมโฆษณาชวนเชื่อที่เวทีตลาด ถนนคนเดิน หน้าสถานีรถไฟศรีสะเกษ ในช่วง19.00 น. 25 มิ.ย.2551 โดยมีพิธีกรท้องถิ่น 2 คนร่วมเปิดรายการ โดยเน้นประเด็นทวงเขาพระวิหารของเรากลับมา ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ มีคนที่รอรถไฟสองทุ่ม พากันมองดูอย่างแปลกใจและสงสัย ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร และคนดูก็หรอมแหรม ไม่ปรากฏว่านายชัยวัฒน์ สินสุวงศ์พูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก เพราะคนศรีสะเกษสนใจการทำมาหากินและเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า และแท้จริงคนศรีสะเกษก็ยังมีความเป็นมิตรกับประชาชนกัมพูชาอยู่เหมือนเดิม จึงกลับจะไม่ค่อยพอใจการเปิดอภิปรายครั้งนี้เสียอีก ฐานทำให้คนไทย-กัมพูชา และประเทศไทย-กัมพูชา หมางเมินกันและกัน
49 บอลยูโร
ถึงรอบเข้าชิงชนะเลิศ
เยอรมันชนะตุรกี 3:2 รอชิงกับคู่ สเปน-รัสเซีย ซึ่งจะดวลกันคืนนี้(26 มิ.ย.2551)
50 ASTV วันนี้ ภาพอารยะขัดขืนที่เห็นน่าสังเวชใจ
จากรายงานทีวีทั่วไป
4 ก.ค.2551, 07.30 น.
หลังจากที่ศาลแพ่งสั่งให้เปิดช่องทางจราจรถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลกตลอด 24 ชั่วโมง และให้งดการใช้เครื่องขยายเสียงระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร เวลา 0730 – 16.30 น. ตั้งแต่วันที่ศาลแพ่งสั่งยกเลิกคำร้องของฝ่ายม็อบที่ขอให้ถอนคำสั่ง ในวันที่ 3 ก.ค.2551 แล้วนั้น
ต่อมาในเย็นวันเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ทำการซักซ้อมความเข้าใจกับม็อบว่าตำรวจไม่มีสิทธิ์รื้อถอนเวทีปราศรัยของฝ่ายตน เพราะมาตรา 69 รัฐธรรมนูญแห่งราชมาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ให้สิทธิในการชุมนุมไว้ จะต้องใช้หลักอารยะขัดขืนอย่างเต็มที่ ซึ่ง พล.ต.จำลอง ได้ใช้เวลานานทีเดียวในการซักซ้อมบทอารยะขัดขืนนี้ โดยประชาชนจะต้องเข้าไปกอดเสาเวทีเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ปล่อยมืออย่างเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดใด โดยเน้นให้สตรีและเด็กไปกอดเสาเวทีเอาไว้ก่อนคนอื่น เพื่อตำรวจจะได้เจอข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ต่อมาเวลาดึก ก็ได้มีการปฏิบัติอารยะขัดขืนกันตามที่ซักซ้อมไว้อย่างพร้อมพรักเต็มที่ พอเห็นตำรวจแวบเข้ามาทุกคนต่างก็เผ่นเข้าไปหาเสาที่ตนจับจองเอาไว้ และปฏิบัติตามที่ซ้อมไว้อย่างเต็มที่ เห็นภาพข่าวในเช้าวันที่ 4 ก.ค.2551 ที่ทีวีเสรีแทบทุกช่องถ่ายทอดออกมาพบว่า บางคนกอดเสาร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่หลับตาปี๋ ดูน่าเวทนา แต่ตำรวจกลับบอกว่าพวกเขาไม่มีหน้าที่มาถอนรื้อเวทีม็อบแต่อย่างใด เพียงมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้เท่านั้น เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จะทำการบังคับคดี แต่ก็ได้ถ่ายรูปไว้เพื่อเป็นพยานว่ามีการขัดขืนคำสั่งศาล แม้ว่าจะเป็นการขัดขืนแบบอารยะขัดขืนก็ไม่เป้นเหตุให้พ้นความผิด
จะเห็นว่าประชาชนเหล่านี้ ที่กล้าตาย อาสามาร่วมรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลที่มาโดยชอบตามหลักการและกติกาของระบอบประชาธิปไตย ร่วมกับแกนนำตัวการคือสุริยะใส-สมเกียรติ์-สมศักดิ์-สนธิ-พิภพ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ นี้ เป็นบุคคลที่น่าเห็นใจ น่าสงสาร เพราะถูกหลอกลวงให้มาชุมนุมในเขตที่ถูกกีดกันทางความคิด แล้วมีการระดมกระบวนการอบรมล้างสมองไปทั้งวันทั้งคืน พวกเขาไม่มีสิทธิ์เสมอภาคกับประชาชนผู้เป็นเสรีไทยทั้งประเทศ เพราะถูกปิดกั้นข่าวสารกระแสอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่มีเสรีแม้จะพูดอะไรที่แตกต่างไปจากคำพูดของพวกแกนนำม็อบ มีแต่ต้องรับฟัง และเอออวยตามอย่างเต็มที่ สุดแต่คำถามนำจะนำไปทางไหน และยังได้รับการยัดเยียดข้อมูลอันสกปรก ลำเอียงที่เพิ่มความโกรธ เกลียดชัง ด้านเดียวให้ตลอดเวลา เพื่อผลทางพฤติกรรมที่ต่อต้านเกลียดชังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มิต่างจากการใส่โปรแกรมสั่งให้เกลียดชังและให้เข่นฆ่าคนอื่นๆที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเลย
ทำอย่างไร ภาพอันน่าสังเวชนี้ จักหายไปจากสังคมประชาธิปไตยไทยเสียที
- บุษบา บุญเสฏฐ์
4 ก.ค. 2551
51 วันนี้มีปัญหา ประเทศไทยจะทำอย่างไร?
53 สนธิ ลิ้มทองกุล วันนี้
ASTV1, 10 ก.ค.2551, 2000 น.
เวทีม็อบถนนราชดำเนิน
ขณะที่ครอบครัว พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร พากันชื่นมื่นรื่นรมย์ด้วยการรับขวัญความสำเร็จการศึกษาของลูกสาว น.ส.แพธารทอง ชินวัตร และขณะที่นิตยสารฟอจน์ ยังประกาศระดับมหาเศรษฐีโลก ซีงมีคนไทยหลายคนและรวมทั้งพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงติดอันดับมหาเศรษฐีโลกอยู่ บนเวทีม็อบถนนราชดำเนินสะพานมัฆวานรังสรรค์ พบสนธิ ลิ้มทองกุล ระบายความคั่งแค้น ความอิจฉาริษยาของเขารุนแรงอย่างระเบิด ภาพที่เห็นเขาคั่งแค้นเหมือนคนบ้าเสียสติ เขาตะโกนก้องลงไปสู่หมู่ม็อบที่นั่งสลอนฟังเขาอย่างลูกเล็กเด็กแดงบนพื้นถนนที่เปียกชื้นด้วยฝน อย่างกับว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นถังขยะที่รองรับอารมณ์เคียดแค้นของเขา
“ลูกจีนอย่างผม ยังมีชีวิตอยู่ผมต้องเอานายนพดล ปัทมะตายให้ได้ ..... จะไปอยู่ไหนก็ตามผมจะลากคุณมาติดคุกให้ได้.....เจอนายนี่ที่ไหนให้เรียกมันว่าไอ้ขายชาติ ...ให้มันรู้ว่าเงินทองที่มันได้มามันไม่คุ้ม.....” เขามักมีภาพหลอนที่ฝังใจว่าคนรัฐบาลทำงานด้วยเงินค่าจ้างที่ทุจริต เขาสวมเสื้อยึดสีขาวมีอักษร “ลูกจีนรักชาติ”(น่าจะเป็นลูกเจ๊กรักชาติมากกว่า)……ที่หน้าอกเสื้อ
เหมือนกับที่เคยกล่าวคำอาฆาตจองเวร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไว้ตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยคราวที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจรระยะแรกในหอประชุมธรรมศาสตร์ ว่าเขาจะคอยตามไปดู ไม่ว่าคน ๆ นี้จะไปถึงไหน เขาจะให้ทีมข่าวของเขาตามไปรายงานอย่างละเอียดทุกแห่งหนที่เขาไปอยู่ ดูว่าคนอย่างทักษิณ ผู้ขายชาติ โกงกิน โกงชาติ โคตรโกง โกงทั้งโคตร จะต้องพบกับความวิบัติล่มจม เงินที่โกงชาติไปจะต้องวิบัติฉิบหาย มันเองจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ……
วันนี้เขาเริ่มบอกมาตรการกักขละใหม่ ๆ แก่ม็อบว่าให้ถุยน้ำลายใส่หน้าคนโกง คนขายชาติ โดยเริ่มถุยใสนพดล ปัทมะ “คุณเดินผ่านมัน ให้ถุยน้ำลายใส่หน้ามัน ... หรือออกคำ ถุย ถุย ถุย ใส่มัน” (ธรรมเนียมคนจีนรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาเมืองไทยจะ ขาก...ถุย กันเป็นธรรมดา) เขาไม่เพียงระบุอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ผู้แสดงสปิริต ลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว พร้อมคำยืนยันว่าตนได้ทำคุณประโยชน์แด่ประเทศชาติโดยได้ปกป้องเขตแดนไทย มิให้สูญเสียแม้เพียงตารางเซนติเมตร (ตรงกับคำยืนยันของฝ่ายทหาร) แต่เขาอาฆาตไปถึงรัฐมนตรีทั้งคณะ เสียงของเขากึกก้องเมื่อระเบิดคำว่า “..........มันต้องติดคุกตลอดชีวิต สมควรไหมพี่น้อง ........ ทุกคนตั้งแต่นายสมัครลงไป ต้องติดคุกตลอดชีวิต .....”
นี่คือการปลุกระดมมวลชน โดยหวังเพิ่มพูนความศรัทธาจากประชาชนต่อเขา และเพิ่มความเกลียดชัง พยายาทอาฆาตจองเวรแด่คนอื่นโดยไม่ชอบธรรม กระนั้นภาพของสนธิ ลิ้มทองกุลวันนี้ เหมือนดูหมิ่นดูแคลนประชาชน เขาเห็นประชาชนข้างล่างของเวที เป็นที่ระบายอารมณ์อันรุ่มร้อนที่เคียดแค้นพยาบาทฝังใจอันสาหัสฉกรรจ์ของเขาซึ่งเป็นภาพความน่าสังเวชของประชาชนเหล่านั้น
แต่วันนี้ เขามิกล้าเอ่ยออกชื่อคน ๆ หนึ่ง คือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อันลดทอนสถานะวีรบุรุษลูกเจ๊กลูกจีนรักชาติของเขาลงไปเป็นผู้ระย่อระยอบ (เหมือนสุนัขได้กลิ่นสาบของเสือใหญ่) แต่กระนั้นวันนี้เขายังไม่ละหันหลังพิงสถาบันกษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่เคารพบูชาของประชาชนไทย โดยหลักการโฆษณาชวนเชื่อว่า The Sun Also Rises (ดวงอาทิตย์ก็พลอยส่องแสงจ้ากับหมู่ดาวทั้งหลายด้วย)
เขาเคยกล่าวคำยุยงส่อเสียด ให้ประชาชนเข้าใจผิดจนเจียนเกิดการแตกแยกอย่างแรงมาแล้ว คราวรัฐบาลทักษิณจัดพิธีกรรมทำบุญประเทศไทยในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) โดยพูดให้ประชาชนทั่วประเทศตะลึงมาแล้วในยุครัฐบาลทักษิณนั้นว่า นายกรัฐมนตรีไทยกระทำการลบหลู่หมิ่นแคลนพระมหากษัตริย์ เพราะกระทำการเสมอกษัตริย์และเกินไปกว่าที่กษัตริย์ทรงกระทำ นับแต่สวมรองเท้าเข้าไปในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ในอุโบสถวัดพระแก้ว อันเป็นการกระทำเสมอพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ความเคารพด้วยการสวมเสื้อแขนสั้นไปร่วมพิธีกรรม และจัดที่นั่งของตนทับที่พระมหากษัตริย์ เป็นต้น จนแทบอลเวงกันไปทั้งประเทศ คนทั้งประเทศแทบลุกขึ้นมาปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งสำนักพระราชวังต้องออกมาอธิบายว่า การทำบุญประเทศไทยคราวนั้น ทางรัฐบาลจัดพิธีกรรมไปถูกต้องตามแบบแผนประเพณีทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เป็นการดูแคลนพระมหากษัตริย์เลย จึงสงบลง
วันนี้ ในขณะที่สถานการณ์ฝ่ายม็อบได้เปรียบอย่างยิ่ง เขาจึงมิละเว้นที่จะฉวยโอกาสเอาจากสถาบันกษัตริย์ มายุยงส่งเสริมโดยหวังให้เกิดแตกแยกอย่างเป็นเสี่ยง ๆ ในฉับพลันทันที อีกครั้งหนึ่ง โดยกล่าวว่า “ ...... การเมืองกำลังร้อนแรง กำลังจ้องทำลายพระมหากษัตริย์ ..........คุณรู้หรือเปล่าว่าสถาบันกษัตริย์กำลังอยู่ใต้อันตราย...” เขาจูงจมูกม็อบไปทุกอย่าง แน่ละม็อบในที่นั่น เชื่อเขาทุกถ้อยคำ ด้วยผลของการโฆษณาชวนเชื่อล้างสมองม็อบซ้ำแล้วซ้ำอีกในที่นั้นมายาวนานกว่า 45 วันแล้ว
วันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล หลวมตัวเบ่งอำนาจคับแผ่นดิน เขาทำการกล่าวหา และตัดสิน ทุกคน ทุกสถาบันที่เขารังเกียจ ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา ทุกอย่างผิด และถูกบนปลายลิ้นของเขาแต่เพียงคนเดียว
แต่เราเองต้องการความเป็นธรรม และเรารู้ความจริงจึงต่อสู้ เพื่อให้เห็นว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวอันตรายของประเทศชาติในยุคนี้โดยแท้จริง
เขาคือขบวนการบ่างช่างยุ ผู้ทำลายสามัคคีธรรมของประชาชนไทยทั้งชาติ และเขาคือขบวนการเข่นฆ่าประชาธิปไตย ผู้ตามล้างตามผลาญสายเลือดประชาธิปไตยไทยมิให้ผุดให้เกิด เพราะแท้จริง เขาต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อเขาได้เป็นใหญ่ในฐานะ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไทย นายตั๊บ แซ่ลิ้ม ลูกเจ๊กลูกจีนผู้อ้างว่ารักชาติ คนนั้น
และวันนี้ เรายังมีความหวังที่ไม่สิ้นสุด กับวิถีทางประชาธิปไตย เมื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงแข็งแกร่งขึ้นมา ขบวนการบ่างช่างยุนี้ก็จะต้องสิ้นไปทันที
สุไหงปาดี
10 ก.ค.2551
54 การเมืองวันนี้
ฟังเสียงสาวน้อยการศึกษาแค่มัธยมต้นบ้าง
ให้ช่วยสรุปเอาเองนะคะ บก.นสพ.ดี
1. อย่ายุบสภาเลย ประชาชนเบื่อหน่าย และเสียเวลาทำมาหากิน เสียงบประมาณของแผ่นดิน
2. ให้ตั้งรัฐบาลผสม เอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลด้วย ทุกพรรคต้องละเลิกความเห็นแก่ตัว ต้องทำเพื่อชาติ
3. อย่ายุบพรรคการเมืองเลย ให้คนผู้ทำผิดรับผิดไปแต่เพียงคนเดียว เพราะพรรคไม่ได้ทำความผิดด้วย
4. เรื่องใดใดในระดับชาติควรให้มีการประชุมร่วมกันทุกฝ่ายทุกสถาบัน เช่นให้ ฝ่ายค้าน, กกต., ศาลรัฐธรรมนูญ ,ศาลปกครอง และสถาบันการศึกษา รวมทั้งเอาคนเก่ง ๆ มาร่วมประชุมด้วย
5. เห็นแก่ประเทศไทยเถอะนะ ควรเลือกคนดี คนดียังมีอีกเยอะในประเทศไทย และให้ เอาเศรษฐกิจ ในหลวงมาบริหารประเทศ ประชาชนพออยู่พอกินก็ไปรอดได้
6. อยากขอร้องว่า ไม่ว่าเขาจะถอดถอนรัฐบาลอย่างไรอย่าให้ยุบสภาและไม่ให้นายกสมัครลาออก
7. ไม่อยากให้นายกสมัครและรมว.เฉลิม อยู่บำรุงวางตัวแข็งเกินไป หรืออ่อนเกินไป ขณะนี้รัฐบาลวางตัวแข็งเกินไปไม่ดูแลพรรคฝ่ายค้านเลย
8. เห็นใจคุณนภดล ปัทมะ ถึงท่านจะลาออก อย่าได้คิดว่าท่านทำผิด ถ้าต่อไปพิศูจน์ได้ว่าท่านไม่ได้ทำผิด ควรคืนอำนาจให้ท่าน
9. ขอร้องคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอย่าได้ยื่นถอดถอนรัฐบาลทั้งคณะ เลย งานรัฐบาลกำลังเดินหน้า ถ้ามีคณะใหม่มางานจะชงัก เป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน
10. ฝ่ายคณะรัฐประหาร(คือม็อบสนธิ-จำลอง)ขอร้องอย่าได้ขออะไรเยอะเลย ควรจะพอ อย่าได้คืบเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา ประเทศอื่นดูประเทศไทยอยู่ อายเขา ควรจะร่วมมือกันเป็นสามัคคีทั้งประเทศดีกว่า
11. ไม่ว่าพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาประชาธิปไตย หรือพรรคพลังประชาชน ขอร้องว่าอย่ายุบพรรคเลย ไม่มีผลดีทั้งสิ้น ขอบอกเลยว่า เลือกตั้งอีกรัฐบาลก็ได้อีก อย่าให้บอกเลยว่าได้เพราะอะไร ไม่อยากให้ทำการยุบสภายุบพรรค
12. หากไปไม่รอดจริง ๆ ให้เป็นรัฐบาลผสมได้ไหม อยากขอร้องคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่นับถือจริง ๆ ว่าท่านพูดดีพูดน่าฟังมีเหตุผลมาก ๆ แต่ท่านจะทำอย่างที่พูดได้หรือเปล่า ทำกับพูดไม่เหมือนกันนะ
13. เรื่องเหล้า บุหรี่ ขออย่าให้มีในประเทศ ถ้ามีขอให้ยึดทรัพย์เหมือนรัฐบาลทักษิณที่ยึดทรัพย์พวกขายยาบ้า ไม่เห็นดีด้วยเรื่องได้ภาษีจากเหล้าและบุหรี่มามาก ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมไม่รณรงค์ว่าให้ประชาชนดื่มเหล้ากันมาก ๆ ทั่วประเทศเป็นการสนับสนุนรายได้ของรัฐบาล
14. ถ้าเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง เขาได้เป็นรัฐบาลอีก จะมีการถอดถอนเหมือนเดิมหรือไม่ รับรองได้เลยว่ามีการเลือกตั้งอีกเมื่อไรรัฐบาลก็กลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน
15. ให้ทุกพรรคการเมือง ทุก ๆ ฝ่ายจับมือกันเถิด ประเทศไทยเราบอบช้ำไปมากแล้ว ขอร้องอย่าให้ถอดถอนรัฐบาลเลย
16. อยากให้ครูบาอาจารย์ตั้งใจสอนศิษย์ อย่าให้มีการข่มขืน ไม่อยากให้มีการรับน้องใหม่อย่างเจ็บปวด เช่นเอาไปเกลือกหนาม เอาน้ำมันราดแล้วเอาไฟจุดกลางหลังตามที่เป็นข่าว อยากถามว่าอาจารย์ไหนเป็นต้นคิดนี้ พ่อแม่ทุก ๆ คนเขาก็รักลูกเขาทั้งนั้นแหละ เมื่อมีการจับกุมกันไปก็ทำให้เสียความรู้สึกกันไปทั่วหน้าทำให้แตกสามัคคีกันไปเงียบ ๆ
17. ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน แต่เราไม่ว่าใครไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่เรื่องการขึ้นค่าแรง อยากให้ถามก่อนว่าโรงงานเขาสู้ได้หรือเปล่า ถ้าเขาสู้ไม่ได้เขาก็ยุบโรงงาน ไม่รู้หรือขณะนี้โรงงานยุบไปแล้วเท่าไร จะขึ้นค่าแรงก็ขึ้นพอให้ทุกฝ่ายอยู่ได้ ถ้าโรงงานอยู่ไม่ได้คนงานก็ตกงาน และนับวันตกงานไปมากขึ้น ๆ ให้ขึ้นค่าแรงพออยู่ด้วยกันไปได้ไม่ดีกว่าตกงานหรือ ถ้าโรงงานยุบตัวเองไปแล้ว ก็ต้องตกงาน แล้วว่างงานแล้วไม่มีรายได้ จะกินอะไร จะอยู่อย่างไรต่อไป ทุกฝ่ายจึงควรประนีประนอมกันให้พอดี
18. ชาวนาก็ลำบากเพราะข้าวของแพง อยากให้รัฐบาลทำปุ๋ยชีวภาพ อยากให้นักเรียนเกษตรไปช่วยชาวนาทำปุ๋ยชีวภาพ แต่จะทำอะไร ๆ ก็ต้องใช้เงิน รัฐบาลจ่ายเงินไปในโครงการใดควรติดตามไปดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ตามไปดู อบต.ว่าเขาใช้เงินถูกต้องหรือเปล่า เขาทำอะไรจริงตามที่ขอเงินไปหรือเปล่า
19. เรื่องอบต. มีปัญหาเพราะมีตำแหน่งหลายตำแหน่ง กว่าจะเซ็นหนังสือกันเสร็จก็เสียเวลานาน งานก็ซ้อนกันอยู่ มีประธาน อบต. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน พวกนี้ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ได้แต่เดินโต๋เต๋ไปมา ไม่เห็นมีใครทำงานจริง ๆ สิ้นเดือนก็ไปรับเงินเดือนกลับไปนอนสบาย พวกนี้เลียแข้งเลียขาเจ้านายเก่งทุกคน ๆ เลย ทำไมไม่เอาไว้แค่ประธานอบต.และ อบต. ไม่ต้องมีกำนันผู้ใหญ่บ้านให้สิ้นเปลืองงบประมาณ
20. วัฒนา อัศวเหม ลงข่าวเยอะไป น่าสงสารแก เพราะแกแก่ผมหงอกแล้ว ถ้ารู้ว่าแกทำผิดทำไมราชการจึงไม่ทำการห้ามปรามและกล่าวโทษเสียตั้งแต่แรก ๆ ราชการไม่มีความรู้ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยหรือ?
21. อยากให้นายกสมัครลงไปดูธนาคาร ธกส. ให้ผ่อนปรนเรื่องหนี้ 5 ปีได้ไหม เพราะการให้ 1 ปีไม่พอช่วยอะไรได้ เพราะการลงทุน 1 ปี ไม่พอที่จะเกิดผลอะไร เช่นเลี้ยงโค โคก็ยังไม่โตพอที่จะขาย แต่ถ้าให้เขาค้างชำระได้ 3-5 ปี ให้ชำระแค่ดอกเบี้ยในปีแรก ปีที่ 2 พอถึงปีที่ 3 ชำระทั้งต้นและดอก ถึงปีที่ 5 ก็เสร็จ รับรองว่าชาวนาไม่โกง หนี้ทั้งต้นและดอกจะได้คืน 100 % มั่นใจว่าเขาทำได้ รับรองว่าชาวนาตั้งใจดี เขาไม่ทิ้งแผ่นดินไปไหนหรอก เขาซื่อสัตย์ เพียงแต่เปิดโอกาสให้เขาอย่างเพียงพอเท่านั้น ก็จะช่วยรัฐบาลได้เยอะ เพราะเมื่อประชาชนมีงานทำ มีอยู่มีกิน อะไร ๆ ก็ดีขึ้น
22. การรักเขาพระวิหาร ใคร ๆ ก็รัก แต่เราควรจะคิดว่า ถ้าเราเสียอะไรไปนิดหนึ่ง ในวันหน้าเราสะดวกในเรื่องความร่วมมือกันกับกัมพูชาดียิ่งขึ้น เป็นมิตรกันยิ่งขึ้นก็น่าจะร่วมมือกัน อย่าคิดว่าเสียแม้แต่นิดหน่อยก็ไม่ได้ เพราะเราต้องมีการยืดหยุ่นได้บ้าง ไม่ยืดหยุ่นเลยไม่ได้หรอก แบบว่ายอมไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างยอมไม่ได้เช่นนี้ก็จบไม่เป็น ไม่อยากให้วางอำนาจข่มขู่เขา อยากให้มีมิตรไมตรีกันมากกว่า เพราะถึงอย่างไร ๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ประชาชนเขมรก็ไม่เห็นเขารังเกียจประชาชนไทย และยังอาจร่วมมือกันทางการท่องเที่ยวด้วย มองทางการทำมาหากินร่วมกันจะไม่ดีกว่าหรือ
- จากสาวน้อยชนบทบ้านนา นครราชสีมา
13 ก.ค.2551
55 กรณีปราสาทพระวิหารวันนี้
จงรักเพื่อนบ้านยิ่งกว่ารักตนเอง
คนเราเป็นสัตว์สังคม นี่เป็นสัจธรรมทางรัฐศาสตร์ โดยการรับรองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ซึ่งมีความหมายถึงชีวิตที่ต้องสัมพันธ์เป็นอันดีกับคนอื่น บ้านอื่น เมืองอื่น ประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดเรา ยุทธศาสตร์ชายแดนเพื่อนบ้านจะต้องยืดหยุ่นเสมอ วันนี้คนไทยต้องคำนึงถึงลาว พม่า มาเลเซีย และกัมพูชา ว่าเป็นเพื่อนบ้านของเรา
แต่สัจธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อนในเรื่องนี้ ได้มีมาก่อนยุครัฐศาสตร์ โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงเทศนาสั่งสอนให้รักศัตรูของเราและเพื่อนบ้านไว้หลายประการ ดังต่อไปนี้
1. ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
You have heard that it was said, “An eye for an eye and a tooth for a tooth”
But I tell you not to resist an evil person. But whoever slaps you on your right cheek, turn the other to him also.
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาต่อตาและฟันต่อฟัน
ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
[Holy Bible; Matthew 5:38-39]
2. บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตน ย่อมขาดสามัญสำนึก
He who despises his neighbour lacks good sense and a man of understanding will hold his peace.
บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตน ย่อมขาดสามัญสำนึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะอยู่อย่างสงบ
[Holy Bible; Proverbs 11:12]
3. อย่าพูดคำว่าจะให้พรุ่งนี้กับเพื่อนบ้าน ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว
Say not to your neighbour, “Go and come back and tomorrow I will give;” when you already have it.
อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า”ไปเถอะแล้วกลับมาอีก พรุ่งนี้ฉันจะให้ ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว
[Holy Bible; Proverbs 3:28]
4. อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า
Do not devise harm against your neighbour, for trustingly he lives beside you.
อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า ผู้อาศัยอย่างไว้วางใจอยู่ข้าง ๆ เจ้า
[Holy Bible; Proverbs 3:29]
5. อย่าโต้แย้งกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล
Strive not with a man without cause,when he has done you no wrong.
อย่าโต้แย้งกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล ในเมื่อเขามิได้ทำอันตรายอย่างใดแก่เจ้า
[Holy Bible; Proverbs 3:30]
6. คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้าน คือคนบ้า
Like a madman who hurls firebrand, arrow and death, so is the man who deceives his neighbour and says,”Was I not joking?”
คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขาและกล่าวว่า “ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง” ก็เหมือนกับคนบ้าที่โยนดุ้นไฟ ลูกธนู และความตายออกไป เพราะขาดฟืนไฟก็ดับ
[Holy Bible; Proverbs 26:18-19]
7. ที่ไหนที่ไม่มีคนซุบซิบการทะเลาะวิวาทก็หยุดไป
For lack of wood the fire goes out, and where there is no whisperer, contention ceases.
และที่ไหนที่ไม่มีคนซุบซิบการทะเลาะวิวาทก็หยุดไป
[Holy Bible; Proverbs 26:20]
8. คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อการวิวาทฉันนั้น
As charcoal to hot embers, and wood to fire, so is a contentious man for keeping a strife aflame.
ถ่านเป็นเชื้อเพลิง และฟืนเป็นเชื้อไฟฉันใด คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อการวิวาทฉันนั้น
[Holy Bible; Proverbs 26:21]
9. ถ้อยคำของคนปากบอนเป็นอาหารอร่อย
The words of a whisperer are like delicious morsels; they go down into the inner parts of the body.
ถ้อยคำของคนปากบอนเป็นอาหารอร่อย มันลงไปในส่วนข้างในของร่างกาย
[Holy Bible; Proverbs 26:22]
10. ริมฝีปากกับใจที่ชั่วร้ายเหมือนน้ำยาเคลือบที่อาบอยู่บนภาชนะดิน
Fervent lips and a wicked heart are like an earthen vessel overlaid with silver dross.
ริมฝีปากที่ราบรื่นกับใจที่ชั่วร้ายก็เหมือนน้ำยาเคลือบที่อาบอยู่บนภาชนะดิน
[Holy Bible; Proverbs 26:23]
11. บุคคลที่เกลียดผู้อื่น ก็สอพลอด้วยลิ้นของตน
He who hates, pretends with his lips, but he harbours deceit within;
บุคคลที่เกลียดผู้อื่น ก็สอพลอด้วยลิ้นของตน และตอแหลอยู่ในใจ
[Holy Bible; Proverbs 26:24]
12. อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่ง ๆ จะนำอะไรมาให้บ้าง
Do not boast about tomorrow for you do not know what a day will bring forth.
อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่ง ๆ จะนำอะไรมาให้บ้าง
[Holy Bible; Proverbs 27:1]
13. จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง
Let another praise you , and not your own mouth; a stranger, and not your own lips.
จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง
[Holy Bible; Proverbs 27:2]
ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก่อน แต่ถ้าท่านนำคำสอนนี้ไปปฏิบัติในบัดนี้แล้ว ประเทศไทยและคนไทยจะได้รับความนับถือ ศรัทธาและความรักความไว้วางใจจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้เป็นอย่างดี และปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเรื่องปราสาทพระวิหารวันนี้ก็จะจบลง
- Edwards L. Peterson
July 15,2008
56.กรณีปราสาทพระวิหารวันนี้ [2]
จงรักศัตรู และรักเพื่อนบ้านยิ่งกว่ารักตนเอง
กรณีกัมพูชาและไทย ต้องนับว่าเป็นกรณีญาติสนิท เพราะมีปราสาทหินโบราณเป็นจุดที่เชื่อมโยง และมีพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อหนึ่งเดียวกันฝังอยู่ลึกซึ้งในปราสาทโบราณนั้น เราจึงควรมองการศาสนาให้เป็นสากล หมายความว่า ศาสนาพุทธมิใช่เพียงของคนไทยแต่เป็นของชาวกัมพูชา และมิใช่เพียงของไทยและกัมพูชา แต่เป็นของทั้งโลกและเป็นสากล นั่นหมายถึงความเมตตา ต้องไม่มีจำกัด พระสงฆ์หมายถึงผู้มีเมตตาไม่จำกัด
และความเมตตาอันไม่จำกัด จักเห็นได้จากคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า จงน้อมรับเอาไปปฏิบัติเถิด
1. จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
You have heard that it was said, ‘You shall love your neighbor and hate your enemy.’
”But I say to you, love your enemies, bless those who curse you, do good to those who hate you, and pray for those who spitefully use you and presecute you.
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู
ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน จงอำนวยพรแด่ผู้ที่ด่าท่าน จงทำดีเพื่อผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
[Holy Bible; Matthew 5:43-44]
2. จงอย่าตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน
Do not speak evil of one another, brethren. He who speaks evil of a brother and judges his brother, speaks evil of the law and judges the law. But if you judge the law, you are not a doer of the law but a judge.
There is one Lawgiver, who is able to save and to destroy. Who are you to judge another?
ท่พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อธรรมบัญญัติ และตัดสินธรรมบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน
มีผู้ทรงตั้งธรรมบัญญัติและผู้ทรงพิพากษาตัดสินแต่เพียงองค์เดียว คือองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้ แต่ท่านเป้นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน
[Holy Bible; James4:11-12]
3. ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่เท่าผู้สละชีพเพื่อเพื่อนของเขา
Greater love has no one than this, than to lay down one’s life for his friends.
ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของเขาเพื่อมิตรสหายของตน
[Holy Bible; John 15:13]
4. จงละความชั่วทั้งปวง และคำพูดส่อเสียด
Therefore, laying aside all malice, all deceit, hyprocricy, envy, and all evil speaking.
เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่าง ๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย
[Holy Bible; Peter 2:2]
July 21,2008
57.บทกวี 23 ก.ค.2551
:ม็อบแค้นกำศรวล
วันนี้ม็อบแค้นกำศรวล
ล้วนน้ำตาริน
ทหารเสือทั้งสิ้น
ผินเป็นทหารแมว
ก้มหน้าโศกา
ผวาทั้งแถวทั้งแนว
ยามใหญ่ตายเสียแล้ว
พากันสะอื้นฮักฮัก!!!!!
ฝ่ายว่ามหาจำลอง
กับผองพวกพลังผัก
ก็พลอยสะอื้นฮักฮัก!!!!!
ด้วยรักเจ้านายมานาน
ฝ่ายว่าพล.อ.ปฐมพงษ์
ทำท่าองอาจหาญ
ขึ้นหน้านำบริวาร
ทหารแมวกล้าตาย
หมอนี่ดึงฟ้าต่ำ
ทำตนต่ำอัปยศหลาย
แต่งเครื่องแบบไปกรีดกราย
รับใช้ทรชนคนทรพี ฯ
· กวีซีลายส์ส์ส์ส์
24 ก.ค. 2551
58. วุฒิสมาชิกและวุฒิภาวะ วันนี้
ข่าว น.ส.รสนา โคสิตระกูล ส.ว.กทม.กับพวก 2-3 คน ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ทำให้เสียความรู้สึกต่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยไทยหลายประการ
1. แสดงถึงหลักการว่า แม้ตนเองก็เป็นสถาบันประชาธิปไตยสถาบันหนึ่ง แต่ก็ตั้งหน้าห้ำหั่นกันเอง แม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พาลถือเอาเป็นเหตุสำคัญที่ต้องทำอะไรเพื่อตนเองได้ประโยชน์ทางการฉกชิงผลประโยชน์ทางชื่อเสียง ความเด่นและดังขึ้นในสังคมไทย ในสถานการณ์ที่ประชาธิปไตยไทยอ่อนแออยู่ ซึ่งมิได้เป็นการสร้างสรรค์แต่อย่างใดเลย
2. แสดงถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจของฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายนิติบัญญัติไม่กลมกลืนกันในวัตถุประสงค์และนโยบายที่จะสร้างสามัคคีธรรมให้เกิดขึ้นในส่วนรวมระหว่างสถาบันประชาธิปไตยเองและระหว่างความหมายของประชาชนเจ้าของอำนาจ
3. แสดงถึงความคิดอันตรายอย่างยิ่งคือความอิจฉาริษยา ในเมื่อรัฐบาลเพิ่งประกาศมาตรการ 6 มาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนและกอบกู้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำดิ่งลงสู่ความหายนะ ซึ่งพอประกาศมาตรการนี้แล้วได้ปรากฏว่าความนิยมของนายกรัฐมนตรีได้เพิ่มขึ้น จากการสำรวจของเอแบคโพลที่ได้พบเร็ว ๆ นี้ว่า มีความนิยมของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวชเพิ่มขึ้น ในระหว่างปี 2551 โดยชัดแจ้งดังนี้คือ เดือน มีนาคม 30.7 %, มิถุนายน 52.0 % และเดือนกรกฎาคม 57.1%
เพราะเหตุว่า ประชาชนไทยยังว้าเหว่ เพราะมีความหวังจากสถาบันประชาธิปไตยเองยังไม่ได้นั่นเอง และ เพราะส.ว.แห่งวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งนี้ ก็คือสถาบันเดียวกันกับรัฐบาล น่าที่จะช่วยทุ่มเทประคับประคองสถาบันประชาธิปไตย โดยมองจากกาลเทศะ เหตุ ผล บุคคล เวลา อันเหมาะสมอย่างไร หนักนิดเบาหน่อยก็ควรจะอภัยกันไปก่อนเพื่อความเติบโตของระบบประชาธิปไตยไทย และมองจากสถานการณ์องค์รวมของประเทศว่าเป็นอยู่อย่างไร ผู้ใดจักเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยได้บ้าง เหมือนเรือลำเดียวกันกำลังจมสู่ความหายนะ แต่เมื่อตั้งใจขัดแย้งกันเองเช่นนี้ มุ่งหมายทำลายกันเองให้พินาศไปเช่นนี้ จึงย่อมแสดงถึงวุฒิภาวะอย่างไร ในเมื่อความพยายามเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อความวิบัติของประชาธิปไตยไทย ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่เติบโต และที่สำคัญย่อมกีดกันขัดขวางการบริหารงานของรัฐ ในความหมายของการเร่งกอบกู้ประเทศและประชาชนไทยที่กำลังจมดิ่งลงไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจของโลกอย่างน่าหวาดหวั่นอยู่ในขณะนี้
วันนี้ จึงชอบที่จะถามถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ วุฒิสมาชิก ท่านมีวุฒิภาวะอยู่อย่างไร?
59. ขอให้พยากรณ์ชาตาสนธิ ลิ้มทองกุล
เรียน บก.นสพ.ดี
ผมอยากขอร้องให้ท่านพยากรณ์ดวงชะตาคนสำคัญขณะนี้คนหนึ่งคือ สนธิ ลิ้มทองกุล จะได้ไหมครับ ชลัมพุช โหรชนบทพยากรณ์แม่นอย่างเทวดาตาทิพย์ขอชมเชย
จากผม
จาน ประครองจิต/24 ก.ค.2551
60. ดวงชะตาสนธิ ลิ้มทองกุล
61 บันทึกกรณีเขาพระวิหารศรีสะเกษ
เหตุเกิดในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่บ้านภูมิชรอล ต.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
วันที่ 17 กรกฎาคม พุทธศักราช 2551 เป็นวันอาสาฬหบูชา วันสำคัญของพระพุทธศาสนา ประชาชนทั่วประเทศต่างเข้าวัดทำบุญทำทานต่าง ๆ นับแต่ภัตตาหาร ผ้าอาบน้ำฝน และเทียนเข้าพรรษาเป็นต้น นักเรียนนักศึกษา ครูอาจารย์ก็เข้าวัดเวียนเทียนกันทั้งวันทั้งคืน อันเป็นประเพณีสำคัญในเทศกาลเข้าพรรษาทุกปี ๆ ที่จะต้องจัดทำอย่างยิ่งใหญ่ เช่นอุบลราชธานีมีประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นต้น
ในเช้าวันนั้น ที่วัดมหาพุทธาราม อำเภอเมืองจังหวัดศรีสะเกษ เนืองแน่นไปด้วยพุทธบริษัทนำโดยนายเสนีย์ จิตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็มิได้ละเลยในการทำหน้าที่ของชาวพุทธ พากันมาเข้าวัดฟังธรรมกันในเช้าวันนั้น แต่แล้วขณะที่ประกอบการบุญการกุศลอยู่นั่นเอง ก็ได้มีข่าวเรื่องราวที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นที่ชายแดน หมู่บ้านภูมิชรอล ตำบลเสาธงชัย(บึงมะลู) อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ต้องรีบเร่งออกไปจากวัดมหาพุทธาราม แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ปะทะกันที่บ้านภูมิชรอล
ข่าวท้องถิ่นรายงานว่า มีฝ่ายม็อบจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์ เดินทางมาจากกรุงเทพฯตามแผนแบ่งแยกแบบดาวกระจายของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง นำโดยนายวีระ สมความคิด ทนายความคนหนึ่งของม็อบฯ เป็นหัวหน้าพาเคลื่อนขบวนมาตามถนน สาเหตุจริง ๆ ก็คือชาวบ้านมีความไม่พอใจอยู่แต่เดิมหลายประการ ตั้งแต่ม็อบกลุ่มนี้มาเคลื่อนไหวในศรีสะเกษในวันที่ 15 มิถุนายน 2551 โดยเปิดการประชุมขึ้นที่สะพานขาว อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เป็นต้นมา ทำให้พวกเขาตกงาน พวกนี้ไปซ้ำเติมการเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองชักหน้าไม่ถึงหลังของประชาชนให้ยิ่งลำบากไปอีก นอกจากนี้แล้วพวกม็อบยังไปด่าเพื่อนบ้านชาวเขมร ลำเลิกมาตั้งแต่สมัยพระยาละแวก ทำให้ชาวกัมพูชาและชาวศรีสะเกษเสียไมตรีที่เคยแนบแน่นมาแต่เดิม และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือชาวบ้านเอือมระอาและเบื่อหน่ายม็อบเชื้อสายสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์นี้ที่เอาแต่ด่า ด่าประชาชน ด่าคนทั้งประเทศ ด่ารัฐบาลของประชาชน ด่าคนของประชาชน ฯลฯ ฉลาดในเรื่องการยั่วยุให้เกิดการแตกแยกในแผ่นดิน ไม่เคยพูดถึงเรื่องการทำมาหากินของประชาชน ในขณะที่ประชาชนต้องการคำแนะนำชี้ช่องทางร่ำรวย มีแต่พูดถึงเรื่องสิทธิของตน จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ม็อบไม่เคยพูดถึงสิทธิของคนอื่น และไม่เคยรู้ว่าสิทธิจริง ๆ ที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร จึงเป็นม็อบอนารยชนโดยแท้จริง เพราะสิทธิจะต้องหารส่วนท้องถิ่นั่วหน้า ไม่มีใครปรารถนาทุบหม้อข้าวตนเองชาชนเป็นอย่างดืมีความหมายถึงการเคารพสิทธิของคนอื่นด้วย การใช้สิทธิของเราจะต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่นจึงจะเป็นสิทธิที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย และยังมีเหตุปัจจุบันทันด่วนก็คือเรื่องการถูกยั่วยุอารมณ์ให้โกรธแค้น เพราะเป็นช่วงที่ประชาชนขัดเขิน ระกำลำบากเพระความอดอยากยากจน และความหิว คนกำลังโมโหหิวก็ย่อมทำอะไรก็ได้ คนกำลังโมโหหิวอยู่มีใครพูดผิดหูไปนิดเดียวก็อาจจะถึงฆ่ากันได้ นี่เป็นสัจธรรม จึงเกิดเรื่องขึ้นเป็นธรรมดา ผลก็คือ ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ต้องเปิดกลับไปกรุงเทพตั้งแต่คืนนั้น(สำนวนชาวบ้านว่ามาทางไหนก็ไปทางนั้น)
นายไมตรี อินทสูต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้เล่าให้ญาติโยมฟังที่วัดมหาพุทธาราม เนื่องในโอกาสที่มาทำบุญเช้าวันเข้าพรรษา วันถัดไปนั่นเอง ว่าเหตุการณ์เรียบร้อยลงแล้วตั้งแต่วันนั้น ความจริงกลุ่มที่ต่อต้านม็อบมาจากต่างถิ่น ไม่ใช่ชาวบ้านศรีสะเกษ เป็นพวกที่ตามกำจัดม็อบจำลอง-สนธิโดยเฉพาะ ซึ่งทางจังหวัดศรีสะเกษไม่สามารถควบคุมได้ ทางจังหวัดศรีสะเกษเองกำลังเร่งพัฒนาหลาย ๆ ด้าน ด้วยความร่วมมือของประชาชนกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นอย่างดืพวกเขาสนใจการทำมาหากินกันทั่วหน้า ไม่มีใครปรารถนาทุบหม้อข้าวตนเอง
สิ่งที่ชาวศรีสะเกษต้องตั้งคำถามก็คือ ทำไมพวกม็อบจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์ จึงเดินทางมาก่อเหตุถึงที่ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการก่อกวน และรบกวนบรรยากาศแห่งความสุขสงบในการทำบุญปฏิบัติธรรมกรรมฐานของประชาชนชาวศรีสะเกษ และประชาชนทั่วประเทศ
ต้องการให้เกิดความแตกแยกทางศาสนาอีกสถาบันหนึ่งหรืออย่างไร?
- ศิรารุจิรัฐ เติมใจ รายงานข่าวท้องถิ่น
001 ผู้บันทึก/28 ก.ค.2551