(คอลัมน์ เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.๒๕๔๑)
ต่อต้านเอดส์ ต่อต้านอนารยธรรม
โดย คอมพิวเตอร์แมน และ บูดามี
รายการแสงธรรม
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2541 เวลา 0530-0600 น.
ของชาวไทยคาทอลิก เป็นรายการข่าวสารชาวคาทอลิก แกม ๆ ชั้นเชิงการเผยแผ่ลัทธิ คติแนวคิดของตน ในวิถีทางศาสนาที่มีพระเจ้า ที่ทรงพระนามว่า พระยะโฮวาที่มีองค์พระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูคริสต์ จึงมีคำว่า ศักดิ์สิทธิ์ อะไร ๆ ก็ศักดิ์สิทธิ์ เช่นวันนี้ก็มีโชว์ การภาวนาเคเซ่ มีกรรมการที่เรียกว่า คณะกรรมการพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ออกเทปภาวนาที่ศักดิ์สิทธิ์นี้แจกจ่ายในหมู่คาทอลิกไทย
จะเห็นว่าหลักการของศาสนาคริสต์จะไม่ตรงหลักการศาสนาพุทธ ในเรื่อง พระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่เอง แต่ต่างก็เข้าใจดีว่าศาสนาคือแนวคิดที่แตกต่างกัน และเราควรเคารพในความคิดอ่านของกันและกันให้เกียรติ์กันระหว่างศาสนา สังคมจึงจะ ไม่บาดหมาง และอยู่ไปได้ดีเมื่อต่างทำหน้าที่ของตน ๆ ไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ไปละลาบละล้วงหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น
และถ้าเราเป็นชาวคริสต์ ที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในไทย เราก็จะไม่ละลาบละล้วงไปในสิทธิของศาสนาอื่นเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ละลาบละล้วงเข้าไปในสิทธิของศาสนาพุทธ อันเป็นศาสนาที่องค์พระประมุขของชาติทรงอุปถัมภ์มาว่าเป็นศาสนาประจำชาติ
เพราะรายการแสงธรรม มักอ้างถ้อยคำที่ชาวคริสต์ไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างว่าเป็นของตน มาโดยตลอดเวลา เป็นเหตุให้เกิดความหมางในชาวพุทธ โดยไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรม และ ไม่ยุติธรรมต่อพระพุทธศาสนา มาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วทั้ง ๆ ที่อยู่ ใจกลางแผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนา ฉะนั้นเพื่อเห็นแก่ภราดรภาพในหมู่นักบวชนักสอนศาสนาด้วยกัน จึงจะขอวิเคราะห์คือลองพูดถึงปัญหานี้อย่างกันเองดูสักหน่อย ใน ทัศนะสากลแห่งศาสนา ว่า ที่เอ่ยอ้างคำว่า สงฆ์ เช่นที่คุณพ่อ เจ้าอาวาส วัดนักบุญมิคาเอะ พูดขึ้นในรายการวันนี้ว่าในวัดของท่านมี หมู่สงฆ์ คอยดูแลต้อนรับเอาใจใส่ญาติโยมที่ไปวัด หรือคราวที่แล้ว อาทิตย์ก่อนก็เหมือนกัน เจ้าอาวาสวัดที่ มาออกรายการก็พูดว่าวัดที่ตนปกครองอยู่มี หมู่สงฆ์ เอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี นั้น พูดในลักษณะถือเอาของ ๆ คนอื่นไปเป็นของตัว เหมือนการลักขโมย ผิดวิสัยนักบวช และดูเหมือนวัดคริสต์มีเจตนาจะเรียกนักบวชของตนว่าเป็นสงฆ์หรือ หมู่สงฆ์ โดยไม่คำนึงความชอบธรรมใดใด
คำว่าสงฆ์ นี้ ถึงจะเป็นชาวคริสต์ แต่ก็เป็นชาวไทย ชาวไทยที่ย่อมรู้ หลักวัฒนธรรมไทย รู้หลักไทย และรู้กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องการงานที่ทำอยู่บ้าง จึงน่าจะรู้ว่า สงฆ์ เป็นคำเฉพาะสำหรับศาสนาพุทธ เป็นเทคนิกเทอม หรือ ศัพท์ทางวิชาการ เป็นศัพท์เฉพาะความหมายของพระพุทธศาสนา หากเอาศัพท์นี้ไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า คือใช้โดยไม่รู้ความหมายหรือความสำคัญ โดยไม่คำนึงจรรยาบรรณ หิริโอตตัปปะ เลยก็ควรถือว่าไร้จิตสำนึกของความเข้าใจ ของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
เช่นเอาไปใช้เรียกพระของตนว่าเป็น สังฆราช (ซึ่งแปลว่า ราชาแห่งสงฆ์) เช่นที่รายการนี้มักเรียกคุณพ่อยอด พิมพิสาร ว่า สังฆราชยอด พิมพิสาร มักเรียกคุณพ่อมีชัยว่า สังฆราชมีชัย กิจบุญชู หรือเรียกเขตปกครองของตนว่า สังคมณฑล บ้าง อัครสังฆมณฑล บ้าง รายการแสงธรรมวันนี้ก็พูดถึงเขตมิซซังของตนว่า อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ เป็นต้น ซึ่งหากพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือเป็นการลักโขมยสิทธิของศาสนาอื่น จึงควรจะรอบรู้และเข้าใจว่าคำว่า สงฆ์ . ในศาสนาพุทธหมายถึงศาสนทายาท ที่สืบทอดมาโดยตรงจากพระบรมศาสดาเท่านั้น เป็นผู้ทรงธรรมวินัยแห่งศาสนานี้ (ถือศีล 227ข้อ) เป็นผู้รักษาพรหมจรรย์ ไม่เสพกาม และนุ่งห่มด้วยผ้าสามผืน ผ้าที่ย้อมฝาด ไม่อาลัยกามจึงโกนผมเกลี้ยงทุก ๆ วันโกน ไม่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพระเจ้า ไม่ฉันข้าวเย็น ฯลฯ ซึ่งจะแตกต่างจากนักบวชศาสนาคริสต์ ที่คนเห็นอยู่ทั่วไปในวันอาทิตย์นี่แหละ ขณะที่คุณพ่อนักบุญสอนคนอยู่ในโบสถ์ ลูก ๆ เมีย ๆ ของคุณพ่อนักบุญก็เล่นกันงอมแงมอยู่ข้างหน้าโบสถ์ อย่างนี้จะเรียกว่าสงฆ์ไม่ได้เพราะเสพกามอยู่ และหัวดำ ไม่โล้นเหมือนสงฆ์องค์จริง และไม่นุ่งห่มด้วยผ้าย้อมฝาดสามผืนเหมือนหมู่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น เมื่ออ้างว่าตนเป็น สังฆราช ก็จะหมายถึง ประธานแห่งหมู่สงฆ์ที่ ประพฤติพรหมจรรย์มีรูปคือ นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนผมโล้นเพราะไม่อาลัยในกาม ไม่ขับร้องเพลง ไม่ใช่สังฆราชหัวดำ เสพกามอย่างนั้น และจะต้องหมายถึง สังฆราช ที่กฎหมายรับรองด้วย มิฉะนั้นก็จะผิดกฎหมาย อาจต้องคดีความตามกฎหมายได้ (เช่น ฐานทำให้ สังฆราช องค์จริง ที่กฎหมายรับรองเสื่อมเสียชื่อเสียง)
เมื่ออ้าง สังฆมณฑล หรือ อัครสังฆมณฑล ก็จะหมายถึงเฉพาะเขตปกครองหมู่สงฆ์ที่ประพฤติพรหมจรรย์ บุคคลผู้นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนผมโล้นเพราะไม่อาลัยในกาม ไม่ขับร้องเพลง ไม่ใช่หมู่สงฆ์หัวดำ เสพกามอย่างนั้น เหมือนกัน
ฉะนั้น นักบวชใด หากไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา ยังหื่นกระหายเสพกาม ไม่นุ่งเหลืองห่มเหลือง ไม่โกนผมโล้นเลี่ยน บูชาเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสวดอ้อนวอนพระเจ้าเป็นสรณะ จะเรียกตนว่าสงฆ์ก็ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรม และ ไม่ยุติธรรมต่อพระพุทธศาสนา จักเป็นเหตุแห่งความบาด และความหมางระหว่างชนผู้นับถือศาสนาที่ต่างกันโดยไม่ชอบธรรม
และสิ่งที่ควรจะต้องรู้ไว้ก็คือ ในประเทศไทยนั้นมีกฎหมายเกี่ยวกับศาสนาใข้บังคับอยู่ คือ พระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
เป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์อันแน่นอน ที่ให้ความคุ้มครองหมู่สงฆ์ ที่นิยามคำว่าสงฆ์ไว้แน่ชัดตามพระธรรมพระวินัยแห่งพระพุทธศาสนา และมีบทลงโทษสำหรับผู้ละเมิดหรือกระทำผิดต่อ สงฆ์
หากผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี กลุ่มชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดก็ดี อ้างตนเป็น สงฆ์ หรือ หมู่สงฆ์ โดยที่มิได้มีความเป็นสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัยแห่งพระพุทธศาสนา ก็จะมีความผิดตามกฎหมายฉบับนี้ พวกเขาก็อาจจะถูกจับ ฐานเป็นสงฆ์เถื่อน แล้วอาจจะล่วงเลยไปเป็นความผิดทางอาญาบางลักษณะซ้ำต่อไปได้ (เช่นอ้างตัวเป็นสงฆ์หรือหมู่สงฆ์บอกเรี่ยไร หรือชักชวนประชาชนบริจาคเงิน ที่ดิน ทรัพย์สิน หรือ ทำบุญกฐิน ผ้าป่า เพื่อสร้างโบสถ์ หรืออาคารสถานที่ที่มิใช่พระพุทธศาสนาเป็นต้น) ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่เฉพาะชาวไทยคริสต์ ในรายการนี้ควรรู้เท่านั้น แต่องค์กรบริหารสูงสุดของศาสนาคริสต์ วัดคริสต์ต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรไทยก็ควรจะรู้ ควรจะดำเนินกิจการศาสนาไปตามบารมีศักดิ์ศรีของศาสนาของตน ไม่ควรอ้างบารมีศักดิ์ศรีของศาสนาอื่นโดยไม่ชอบธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมายบ้านเมือง ให้การประสานงานระหว่างมนุษย์ผู้แตกต่างทางความคิด ได้ประสานงานกันไปอย่างมีความเข้าใจ และเคารพในสิทธิของความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน ความบาด และ ความหมางใจกันก็จะไม่เกิดขึ้น มิตรภาพอันสนิทก็จะเกิดขึ้น และปล่อยให้คุณธรรมของแต่ละความคิด แต่ละศาสนธรรม ได้รับการพิศูจน์แต่โดยวิถีแห่งสันติธรรม
อนึ่ง ยังมีสิ่งที่ควรรู้ที่ลึกซึ้งไปอีก ในหลักธรรมอันสูงสุดของชาวพุทธ์ สงฆ์นั้นหมายถึง ผู้ทรงธรรมทั้งสิ้นทั้งปวงแห่งพระพุทธศาสนา คือ หมู่พระอริยบุคคลที่สิ้นกิเลส 8 จำพวก มิใช่คนธรรมดา แต่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สูงสุดหมายถึงพระอรหันต์ ซึ่งจะไม่มีในศาสนาอื่นใดเลยนอกจากศาสนาพุทธ ชาวพุทธ์จึงถือคำว่า สงฆ์ เป็นคำที่ประเสริฐและนับถือบูชา และเป็นกลุ่มชนผู้สูงสุดประเสริฐที่สุดของชาวพุทธ หากใครคนใดคนหนึ่งลักโขมยเอาไปใช้เรียกตนเอง ที่ไม่ได้ทรงธรรมอย่างศาสนาหรือคติแห่งระบอบพรหมจรรย์(มิได้มีหมู่พระอริยบุคคล8ในศาสนานั้น) จึงไม่เป็นความชอบธรรมอย่างแน่นอน จะเป็นการละเมิดสิทธิและสร้างความบาดหมางในจิตใจของผู้นับถือบูชาสงฆ์เพียงไหน หมู่นักบวชเหมือนกันจึงควรจะมองซึ้งถึงเหตุการณ์ภาคภายในของกันและกัน รู้ในความชอบและความชังของกันและกันได้โดยหลักคุณธรรมที่มีอยู่
ถ้าชาวไทยคริสต์แอบ ๆ ไปฟังพระสวดมนต์ หรือฟังเด็กนักเรียนสวดมนต์เย็น ๆ วันศุกรก็คงจะได้ยินคำสวดคำบูชาพระรัตนตรัย ดังต่อไปนี้
สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสงฺโฆ
ญายปฏิปันโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปันโน ภควโต สาวกสงฺโฆ
ยทิทัง จัตตาริ ปุริสยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณญโย อัญชลีกรณีโย
อนุตตรัง ํ ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
แปลว่า
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น หมู่ใด เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดเป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว คือคู่แห่งบุรุษทั้งหลาย 4 บุรุษบุคคลทั้งหลาย 8 นี่แหละพระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ท่านเป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ ท่านเป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน ท่านเป็นผู้ควรแก่คนทั่วไปกระทำอัญชลี ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาอื่นยิ่งกว่า ข้าพเจ้าขอบูชาโดยยิ่ง ซึ่งพระสงฆ์หมู่นั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อม ซึ่งพระสงฆ์หมู่นั้น ด้วยเศียรเกล้า.
คำว่า คู่แห่งบุรุษทั้งหลาย 4 บุรุษบุคคลทั้งหลาย 8 นั่นแหละคือ สงฆ์ ที่เป็น อริยบุคคล และไม่มีในศาสนาอื่น ๆ จึงไม่ควรละเมิด เพราะเราควรจะเคารพในสิทธิของกันและกันจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันของมวลมนุษย์
ต่อต้านเอดส์ต่อต้านอนารยธรรม
บูดามี ผู้วิเคราะห์