ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


สากลจักรวาลสากลศาสนา ตอนที่7

สากลจักรวาลสากลศาสนา

ธรรมสามีวินิจฉัย (7)

 

 

 

 

ถ้าเราสามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมมนุษย์จึงต้องมีศาสนา ? ทำไมมนุษย์จึงขาดศาสนาไม่ได้ ? นั่นจะเป็นทางแห่งความเข้าใจเบื้องต้นของ การศาสนาสากล และจะสามารถวิเคราะห์การศาสนาสากลได้อย่างไม่มีอคติ

และถ้าเราสามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลาย คือมนุษย์ที่มิได้ทรงคุณสมบัติแห่งพระอริยบุคคลตามความหมายแห่งพระพุทธศาสนา มีพระโสดาบัน เป็นต้นไปถึง พระอรหันต์ เป็นที่สุด จึงมีชีวิตที่ปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียมิได้ นั่นจะเป็นทางแห่งความเข้าใจเบื้องต้นของ การศาสนาสากล และจะสามารถวิเคราะห์การศาสนาสากลได้อย่างไม่มีอคติ เช่นเดียวกัน

 

 

      ในปัจจุบันนี้ วงการศาสนาสากล ไม่มีวงการศาสนาใดที่กระตือรือร้น เอาเป็นเอาตาย ในการเผยแผ่ศาสนาเท่าคริสต์ศาสนา เห็นได้ชัดเจนในประเทศไทย ที่องค์กรคริสต์ศาสนาพยายามที่จะให้อิทธิพลคริสต์ศาสนาหลากท่วมทับสังคมไทย เห็นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยุคอยุธยา ในครั้งนั้น คาทอลิกใกล้ชิดกษัตริย์ถึงขนาดกล้ายื่นข้อเสนอต่อกษัตริย์ไทยขอให้ทรงมาเข้ารีตคริสต์ศาสนาเสียเถิด แต่กษัตริย์ไทยทรงพระปรีชาญาณเท่าทันในความคิดอ่านชนต่างศาสนาจึงตอบโต้กลับไปได้อย่างถนอมน้ำใจดี และด้วยวิธีปฏิบัติแบบถนอมน้ำใจนี้เป็นหลักการของชาวพุทธโดยปกติอยู่แล้ว แม้ไม่มีรัฐธรรมนูญกำหนดให้ไว้เหมือนปัจจุบัน ชาวต่างชาติต่างศาสนาก็สามารถเผยแผ่ความคิดความเชื่อของตนได้ เพราะชาวพุทธย่อมให้โอกาสเสมอ จนดูดั่งว่าเป็นการท้าทายมาตลอด ตราบมาสู่ยุคปัจจุบันคาทอลิกแห่งรัฐสันตะปาปา ในอิตาลี ได้เร่งมือขึ้นในการที่จะพลิกแผ่นดินไทย อันเป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนา ให้เป็นคริสตให้ได้ คริสเตียนได้ลงทุนลงแรงและความพยายามอย่างมากมายมหาศาล ในการเผยแผ่ศาสนาของตน ด้วยกลอุบายทุกอย่าง ภาพที่เห็น จึงเห็นเกินงาม เห็นเจตนาโลภะ หยาบใหญ่ มุ่งหมายการเอาแพ้เอาชนะเหมือนดั่งมิใช่การศาสนา เพราะถึงกับนำวิธีการที่เผยแผ่ไปโดยไม่คำนึงว่าถูกต้องมีคุณธรรมตามแบบธรรมเนียมศาสนาสากลหรือไม่ แม้กระทั่งความสังวรในจรรยา มารยาท หรือสมบัติผู้ดีของคนดีในสังคมเท่าที่ควรอันสมกับความเป็นศาสนา ก็ขาดไปอย่างสิ้นเชิง ที่น่าสนใจก็คือ การเผยแผ่เอกสาร พบว่าคาทอลิกได้กระทำมาไม่ขาดตลอดระยะเวลาประมาณศตวรรษมาแล้วนี้ มีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในระหว่างปีพ.ศ.2515-16 ที่คาทอลิกได้ลงทุนจัดพิมพ์เอกสารอย่างมากมายมหาศาล มีทั้งประเภทที่เป็นเล่ม ใบปลิว และ แผ่นพับที่ใช้โปรยจากเครื่องบินลงไปในตำบลหมู่บ้านทั่วประเทศ เหมือนหว่านเมล็ดพืชพันธ์ไม้ลงสู่ผืนดินกว้างใหญ่ทั่วประเทศไทย ไม่ว่าคนในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานคร หรือชาวไร่ชาวนาในชนบทชายแดนแห้งแล้ง ล้วนได้เคยพบเอกสารเหล่านี้ จนแตกตื่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นในราชอาณาจักรไทย ทั้งได้พบข้อความประหลาด ๆ ในหนังสือ ใบปลิว และแผ่นพับเหล่านั้น เช่นข้อความว่า "พบแล้ว พบแล้ว พบแล้ว " ซึ่งหมายถึงพบพระเจ้าแล้ว แต่คนอ่านไม่เข้าใจว่าใคร พบอะไร ที่ไหน อย่างไร ก็กลายเป็นเรื่องที่คนทั้งประเทศอมยิ้มไปตาม ๆ กัน เพราะอ่านแล้วเขาเห็นเป็นเรื่องน่าขำ เอกสารเหล่านี้ บางครั้งก็เห็นเกลื่อนไปในงานเทศกาลต่าง ๆ แม้กระทั่งกองกระจัดกระจายอยู่บนดินและคนเดินเหยียบย่ำไปมาก็มีบ่อย ๆ ในปีพ.ศ.2542 นี่เอง อยู่ ๆ เช้าวันหนึ่ง ก็ปรากฎว่ามีป้ายขนาดใหญ่ขึ้นตามต้นไม้สูงสองข้างทางหลวงทุกเส้นทางทั่วประเทศไทย ประกาศนามพระเยซู มีข้อความประหลาด ๆ เช่นข้อความว่า พระเยซูคือพระเจ้า องค์พระผู้ไถ่เสด็จมาแล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก พระเจ้าจะทรงชำระโทษคนบาปในวันพิพากษา พระเยซูคือพระบุตรองค์เดียว มนุษย์เป็นคนบาป ผู้มีความเชื่อในพระองค์จะไม่พินาศน์ ผู้ลบหลู่จะถูกโยนลงนรกเพลิง เป็นต้น ซึ่งฟังแล้วก็ประหลาดใจ ทั้งน่าขำเหมือนการแสดงตลก เพราะอยู่ ๆ ก็ขึ้นป้ายมาข่มขู่คนทั้งหลายเหมือนเขาเป็นข้าต่างด้าวท้าวต่างแดนของตน และด่าว่าคนไทยว่าเป็นคนบาป ไม่มีทางรอดจากพระพิโรธของพระเจ้าได้ ไม่มีทางรอดจากวันพิพากษาได้ ไม่มีทางรอดจากนรกเพลิงได้ ฯลฯ และที่สำคัญทำการละเมิดทรัพย์สินของรัฐของประชาชน เจ้าของต้นไม้ในที่ไร่ที่นาของเขาอย่างไม่นึกละอาย หรือคำนึงมารยาท สมบัติผู้ดีของสังคมเสียเลย โดยไม่สมกับความเป็นศาสนาอย่างไร

 

      ในวงการพุทธศาสนิกชน ได้ทราบและรับฟังมาตลอดว่า คาทอลิกมีแผนกลืนศาสนาพุทธด้วยเล่ห์กลอุบายอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งใช่ว่าจะไร้เหตุผล เพราะได้มีนักวิชาการศาสนาทำการวิจัยออกมาบ่อยครั้งและยืนยันความจริงนี้ (ดู ดร.เดือน คำดี การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย ร.พ.โอเดียนสโตร์ กรุงเทพ 2528) แต่ชาวไทยก็ไม่เห็นว่าเขา จะทำได้อย่างไร ต่อมาจอห์น ปอล ที่ 2 แห่งประเทศรัฐวาติกันก็วางแผนบูมศาสนาคริสต์ทั่วโลก เรียกว่าแผนปีปิติมหาการุณ ที่คิดการใหญ่มุ่งหมายจะพลิกโลกทั้งโลกให้เป็นคาทอลิก ให้ได้ ในประเทศไทยแม้คนทั่วไปจะไม่ทราบชัดว่าคริสต์วาติกันพยายามจะให้ปี 2000 เป็นปีที่พลิกแผ่นดินพระพุทธศาสนาให้ได้ แต่คนไทยก็ไม่ได้หวั่นไหวสะดุ้งอะไรกับแผนการของพวกคาทอลิก เพราะชาวไทยนับถือศาสนาด้วยใจอิสรภาพ ถึงวันที่ 25 ธันวาคม ทุกปี ชาวพุทธก็พลอยร่วมสนุกกับชาวคริสต์ไทยได้ในเทศกาลคริสมาสเหมือนเดิม ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เขาก็สนุกกับวันวาเลนไทน์ของชาวคริสต์ได้ ซ้ำยังสามารถประยุกต์เอาแนวคิดนี้มาเข้ากับวัฒนธรรมพุทธอย่างเหมาะสม ซ้ำกลับกลายเป็นว่าคริสต์คาทอลิกถูกชาวไทยกลืนให้เป็นพุทธไปเสียอีก โดยรูปแบบของวัฒนธรรมไทยแท้และหลักธรรมพุทธที่กว้างขวางลึกซึ้งรอบด้านกว่า จนกระทั่งแม้บาดหลวงคริสต์ไทยเองก็พลอยได้รับการซึมซับไปใช้เป็นหลักคำสอนในคริสตศาสนามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งไม่มีเค้าของคาทอลิกเดิมอยู่เท่าไร เป็น คาทอลิกพุทธ เหมือนกับ พราหมณ์พุทธ์ ฮินดูพุทธ์ เชนพุทธ เต๋าพุทธ ซิกส์พุทธ อิสลามพุทธ ฯลฯ เพราะกล่าวสอนธรรมะข้อใดก็ไม่พ้นไปจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อุปมาเหมือนสวนมะพร้าวที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อพ่อค้ามะพร้าวต่างถิ่นหลงเอามะพร้าวแกลบมาขายสวนก็เก้อเขินไปเอง แถมยังซื้อมะพร้าวสวนที่นี่ไปเป็นจำนวนมากมายอีกด้วย หากแต่บัดนี้ องค์กรคริสเตียนคาทอลิก รับคำสั่งไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดน วาติกัน อิตาลี คือสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 มาเร่งปฏิบัติการไปหลายรูปแบบยิ่งขึ้น ที่เห็นในระยะหลัง ก็มีการใช้เงินอามิสสินจ้าง แม้กระทั่งเอาเงินซื้อประชาชนเป็นหมู่บ้าน ๆก็มี เช่นจังหวัดศรีสะเกษ ปี พ.ศ. 2526-27 ที่บ้านฮ่องข่าน้อย อ.ราษีไศล เป็นที่รู้กันอย่างเปิดเผยว่ามีฝรั่งคาทอลิกคนหนึ่ง ประพฤติตนน่าฉงนฉงาย คือมาลงทุนแต่งงานกับลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ลงทุนตั้งโรงสีข้าวให้ 1 แห่ง ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกชายผู้ใหญ่บ้าน 3 คัน แล้วยังมีการตั้งเงินเดือนให้แกนนำหลายคนในหมู่บ้าน มีการส่งเข้าของมาให้ทางร.ส.พ.เป็นประจำเดือนประจำปีสำหรับแจกคนในหมู่บ้านเล็ก ๆ 15-16 หลังคาเรือนนั้น ฯลฯ หากแต่คนไทยยังมีความเก่ง พอเงินหมด งดจ่ายเงินเดือนให้เขาก็หันกลับมาเข้าวัดกราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าเหมือนเดิม พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหลายของพวกคริสเตียนให้ญาติ ๆชาวอีสานด้วยกันฟังอย่างสนุกสนาน นั่นก็เป็นเพราะชาวบ้านเขามองเกมออก แล้วซ่อนกลได้ถูกต้อง เขาว่าขอให้ทุ่มมาสักหมื่นล้าน จะเก็บให้หมด เหมือนกับที่เคยฝึกฝนมาบ่อย ๆ จากเกมการเมืองการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า จนนักการเมืองล่มจมไปหลายรายแล้ว

 

 

      วิธีการเผยแผ่ศาสนาหรือแท้ที่จริงวิธีการแผ่ศาสนจักร ที่คาทอลิกวาติกันทำค่อนข้างแนบเนียนเห็นได้ยากก็คือ วิธีการเมือง อันเป็นวิธีการหลักเป็นนโยบายสากลของคริสต์นิกายคาทอลิกในปัจจุบันนี้

 

      โดยทำศาสนาให้เป็นการเมือง และจัดเป็นงานระดับโลก โดยเที่ยวไปชูธงประชาธิปไตยขึ้นที่นั่นที่นี่ แล้วค่อยหนักเป็นการทหาร ปรากฎในอดีตกาลไม่นานนัก แม้กระทั่งในดินแดนพระพุทธศาสนาเช่นเวียดนามสมัยโงดินเดียมโงดินนูห์ (ที่พระสงฆ์สาวกต่อสู้อย่างองอาจถึงขนาดเผาตัวตายประท้วงรัฐบาลคาทอลิกยุคนั้น) เป็นต้น ปัจจุบันเห็นได้ชัดเจนในอินโดเนเซีย ตั้งแต่นักบวชคาทอลิกไปฝังตัวในชุมชน นอกหน้าพูดแต่สิ่งที่ดีงาม อ้างนามพระเจ้า แต่ในใจเต็มไปด้วยแผนการณ์ร้าย เริ่มด้วยการพยายามแบ่งแยกสังคมให้เป็นเขา เป็นเรา ยุให้ประชาชนแตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ทำคนที่รักกันให้โกรธกัน ทำคนที่ชอบกันให้รังเกียจกัน แบ่งแยกคนเป็นชนชั้น ๆ ยกคริสต์คาทอลิกขึ้นข่มชาวพุทธและศาสนิกอื่น ๆ จนเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น แล้วเข้าสนับสนุนประชาชนฝ่ายที่มีความคิดขัดแย้งกับรัฐบาล อ้างสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย เสรีนิยมเศรษฐกิจ ขึ้นต่อสู้กับรัฐบาล จนสามารถบีบบังคับให้เกิดการแบ่งแยกเป็นอีกประเทศหนึ่งได้ เช่นกรณีติมอร์ตะวันออก ที่เพิ่งแยกออกมาจากประเทศอินโดเนเซีย มีพิธีการเปิดประเทศใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีธงชาติใหม่ และมีศาสนาใหม่ มีพระคาทอลิกสวมหมวกแดง ๆ มาคอยป้อนข้าวให้คนในพิธีด้วย อันเป็นการแยกดินแดนของรัฐอิสลามออกไปเป็นรัฐคาทอลิก ในฟิลิปปินส์ คาทอลิกโดยบิชอบที่นั่นก็เคยเป็นตัวแกนกลางนำประชาชนโค่นล้มประธานาธิบดีมาก๊อส อย่างเป็นการเมืองโดยเปิดเผยมาแล้ว ในเวียดนาม ศรีลังกา อินเดีย แทบทุกหนทุกแห่งที่มีวิกฤติทางการเมือง จะเห็นพระคาทอลิกนี้เองนำหน้าขบวนการทหารและการเมืองอย่างเปิดเผย โจ่งแจ้ง ในประเทศไทยขณะนี้ วาติกันก็เสี้ยมสอนให้คริสต์ไทยที่ได้รับการอบรมให้เป็นแกนนำมาแล้วมาฝังตัวในชุมชนในเมือง ในป่าในเขา พยายามแบ่งแยกให้เป็นเขา เป็นเรา ค่อยยุยงชาวเขา ให้แยกเป็นฝักเป็นฝ่ายขึ้นก่อน ที่น่าระวังก็คือแบ่งชาวไทยภูเขาออกเป็นฝักเป็นฝ่ายด้วยการตั้งชื่อให้ว่า นี่พวกเราเป็นกะเหรี่ยงคริสต์ นั่นพวกเขาเป็นกะเหรี่ยงพุทธ มีคำว่ากะเหรี่ยงพุทธ กะเหรี่ยงคริสต์ เกิดขึ้น เพื่อจะให้ประชาชนชาวเขาไทยถือเราถือเขาเป็นฝักเป็นฝ่ายแล้วง่ายแก่การยุยงส่งเสริมให้ทะเลาะแตกความสามัคคีกันร้ายแรงยิ่งขึ้น จนไปถึงจับอาวุธฆ่าฟันกันเองได้ อันเป็นสิ่งผิดศีลธรรมทางศาสนา แต่บาดหลวงคาทอลิกกลับพยายามยุแยกให้เกิดเป็นเช่นนั้น บัดนี้คนไทยคงจะได้ข้อสังเกตและเห็นชัดขึ้นจากกรณี กองทัพพระเจ้า หรือ God"s army ที่ชาวไทยเริ่มตื่นตะลึงกับบทบาทของเด็ก ๆ ที่ถูกองค์กรคริสต์คาทอลิกปั่นหัวเอาไปใช้งานการทหารและการเมือง ไปจับปืนก่อการฆาตรกรรมชนชาติเดียวกันเอง อย่างผิดวิสัยเด็ก และผิดวิสัยนักการศาสนาที่จะสอนคนให้ประพฤติเลวร้ายอำมะหิตเช่นนั้น ทุกวันนี้ จะเห็นชัดว่าคาทอลิกกำลังประพฤติตนขัดกับหลักการศาสนาสากล อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะหลักการศาสนาทั้งปวงย่อมตั้งอยู่ด้วยหลักแห่งความเมตตาเสมอ และศาสนาทุกศาสนาต้องเผยแผ่แนวคิดของตนออกไปโดยหลักการสันติภาพนี้ จึงจะเป็นวิถีทางที่ชอบธรรม และคนทุกชาติศาสนาย่อมยินดีในการเผยแผ่อย่างมีความเมตตาประสงค์ดีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลงานของศาสนาใด แต่คาทอลิกมิได้กระทำด้วยเมตตา หากแอบแฝงความชั่วร้าย กระทำด้วยการหยาบช้า บาปใหญ่โดยใช้นโยบายความรุนแรง จึงเห็นชัดเจนว่าขณะนี้ องค์กรคาทอลิกมีโลภธรรมมากจนเกินไป เกินไปจากคุณธรรมธรรมดาของคนดีหรือผู้ดี คือกัลยาณชนคนหนึ่งจะพึงมีในโลกมนุษย์ และนี่เองคือสาเหตุส่วนหนึ่งที่สำคัญ แห่งความประหลาดแปร่งวิปริตของขบวนการศาสนาสากลทั้งหมด ที่ปรากฎขึ้นในโลกยุคนี้ ทำให้สถานการณ์สากลของโลกที่ร้ายแรงสำคัญ ๆ ระยะปัจจุบันนี้ มีส่วนของการศาสนาสากลอยู่แทบทั้งหมด และสำหรับคาทอลิกเราจะเห็นชัดเจนในบทบาทของศูนย์ปฏิบัติการใหญ่จากประเทศวาติกัน ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งโตเท่า ๆ กับประเทศสิงคโปร์ เท่านั้นเอง มีประมุขเป็นนักบวชคริสต์ ชื่อ สันตะปาปาจอห์นปอล ที่ ๒ ทำหน้าที่วางแผนการเมืองการทหารผสมผสานไปกับแนวคิดทางศาสนา เพื่อแสวงอาณานิคมทางศาสนา คิดการใหญ่โดยมุ่งหมายยึดครองแผ่นดินโลก ให้โลกทั้งโลกเป็นคาทอลิก เป็นคริสตศาสนจักร โดยอ้างความชอบธรรมจากหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวโลกจะต้องเชื่อทุกข้อความในหนังสือเล่มนั้น นั่นคือ พระคัมภีรไบเบิล หรือ HOLY BIBLE ซึ่งตามหลักการศาสนาสากลแล้ว พระคัมภีรไบเบิล คือคำสอนสูงสุดของคริสต์ศาสนา เป็นหนังสือที่กล่าวสัจจธรรมสูงสุด หรือ ปรมัตถธรรมสูงสุดของศาสนาคริสต์ อุปมาเหมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นบทบัญญัติอันสูงสุดในทางการเมืองนั่นเอง เมื่อวาติกันมาวางแผนการศาสนาการเมืองในประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่งของโลกนั้น ก็ได้ลงทุนมหาศาลเพื่อระดมผู้รู้ทั้งหลายในประเทศไทย ไปช่วยแปลพระคัมภีร์ไบเบิลออกมาเป็นภาษาไทย จนกลายเป็นพระคัมภีร์ปกดำขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง ชื่อที่ปกว่า พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ข้างในปกมีชื่อภาษาอังกฤษว่า THAI HOLY BIBLE จัดพิมพ์เผยแผ่โดย สมาคมพระคริสต์ธรรมไทย กรุงเทพ (Thailand Bible Soceity Bankok Thailand) ในปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ.1988) ได้แจกจ่ายออกไปตามสถาบันต่าง ๆ แทบทุกสถาบันทั่วประเทศไทย นับตั้งแต่ บรรดาโรงแรม ห้องพัก โรงพยาบาล ทัณฑสถาน ทหาร นักการศึกษา บรรดาคนที่ปฏิบัติงานในสาธารณสถาน และที่น่าสนใจก็คือ ส่งไปถวายวัดในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ ได้พบพระคัมภีร์ปกดำนี้แม้กระทั่งในวัดชนบทห่างไกล เช่น ฉบับที่ 1971 อภินันทนาการ...แด่ วัดหนองหอย ต.คอนกาม อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ 33190 จาก สมาคมพระคริสตธรรมไทย เป็นต้น

 

      มีบทสรุปย่อของพระคัมภีร์ไบเบิล ที่เรา คนไทย คนทั่วโลกจะพบอยู่ทั่วไป ปรากฎในหน้าต้น ๆ ของพระคัมภีร์ หรือหน้าคำนำหนังสือเหล่านี้บ้าง ที่อื่น ๆ บ้าง หากแต่บทสรุปเหล่านี้จะไม่ตรงกับเนื้อหาสาระหรือความหมายสำคัญ คือปรมัตถธรรมแห่งศาสนธรรมในตัวพระคัมภีร์เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะพระคัมภีรในต้นฉบับเดิมที่เป็นภาษาอังกฤษ จนกระทั่งอาจจะกล่าวได้ว่า ในคำแนะนำหนังสือ เป็นอย่างหนึ่ง แต่ตัวสาระในหนังสือกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ทำให้คนมองไปได้ว่าเป็นการจัดพิมพ์เอกสารโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงประชาชนชาวโลก ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือบทสรุปขององค์การกีเดี้ยนอินเตอร์เนชั่นแนล (The Gideons International in Thailand) ในหนังสือ พระคริสต์ธรรมใหม่ (Thai New Testament) ว่าด้วยคุณภาพของ พระคัมภีร์ไบเบิล ดังนี้

 

 

"พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ มีเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้า สภาวะของมนุษย์ ทางแห่งความรอด เคราะห์กรรมของคนบาป และความผาสุกของผู้ที่เชื่อถือ หลักธรรมก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง คำสอนก็ผูกพัน ประวัติศาสตร์ก็เป็นความจริง ข้อตกลงไม่มีเปลี่ยนแปลง จงอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์จะได้เป็นคนฉลาด จงเชื่อถือเพื่อจะได้ความรอด จงประพฤติตามเพื่อจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีแสงสว่างที่จะนำท่าน มีอาหารเพื่อค้ำชูท่านและมีคำเล้าโลมเพื่อให้ท่านชื่นใจ

 

พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นแผนที่ของผู้เดินทาง เป็นไม้เท้าของผู้แสวงบุญ เป็นเข็มทิศของผู้นำร่องทาง เป็นดาบของทหาร เป็นแผนผังของคริสเตียน ในหนังสือเล่มนี้ เมืองบรมสุขกลับสู่สภาพเดิม เมืองสวรรค์เปิดกว้าง และปิดประตูนรก

 

พระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือนี้ ท้องเรื่องก็เป็นของดีแก่เรา สุดท้ายนำไปสู่พระสิริของพระเจ้า

 

ควรจดจำไว้ให้เต็มสมอง ให้ครองจิตครองใจ จงอ่านช้า ๆ อ่านบ่อย ๆ อ่านด้วยใจอธิษฐาน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์เป็นขุมทรัพย์ เป็นแดนสุขารมณ์ เป็นย่านน้ำแห่งความพอใจ ประทานให้ในชีวิตของเรา จะกางออกอีกในวันพิพากษาลงโทษ และจะให้คนจดจำไว้เป็นนิตย์ มีเรื่องความรับผิดชอบอันสูงส่ง จะให้รางวัลแก่ผู้ที่ขยันทำงาน คนใดดูหมิ่นเรื่องราวเหล่านี้ก็จะถูกปรับโทษ"

 

 

ซึ่งสำหรับนักศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล หรือบรรดานักปราชญ์ทางศาสนาหรือทางอักษรศาสตร์ทั้งหลาย ผู้ที่ได้ศึกษาเนื้อหาแก่นแท้แห่งพระคัมภีร์ไบเบิล จะเห็นได้ว่า การสรุปนี้ไม่ตรงกับเนื้อหาความเป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็นปรมัตถสัจจะสูงสุดของคริสต์ศาสนา เช่นกล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้มีความเมตตา มีความดีอันบริสุทธิ์ พระวิญญาณก็บริสุทธิ์ แท้จริงเนื้อความในพระคัมภีร์ มิได้บอกเช่นนี้ กลับบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม เป็นต้นว่าบอกหรือสะท้อนพระปัญญาของพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร บอกถึงพฤติกรรมของพระเจ้าที่จริงว่าเป็นอย่างไร บอกความคิดความอ่านของพระเยซูว่าเป็นอย่างไร

และโปรดสังเกตคำลงท้ายบทสรุปที่ว่า "จะกางออกอีกในวันพิพากษาลงโทษ" และ "คนใดดูหมิ่นเรื่องราวเหล่านี้ก็จะถูกปรับโทษ"

 

อันสะท้อนหลักการของศาสนาคริสต์ ว่าเป็นศาสนาที่ข่มขู่และบังคับให้เชื่อ โดยโมเมเอาว่า คนทั้งโลกจะต้องเชื่อ หากไม่เชื่อก็จะถูกลงโทษในวันพิพากษา และถูกจดชื่อไว้ในบัญชีเทวทูต แม้แต่เพียงได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์แล้วไม่ยอมรับเท่านั้นพระเจ้าก็จะทรงพระพิโรธมากฐานที่ไม่เชื่อในพระบุตรสุดที่รักองค์เดียวของพระองค์และโทษสำหรับผู้ใดก็ตามที่ไม่เชื่อถือพระเยซูนั้นมีอย่างเดียวคือความตาย

 

 

การข่มขู่บังคับให้เชื่อ โดยอ้างโทษฑัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่เหลือจะพรรณนา จึงเป็นหลักการเผยแผ่ของศาสนาคริสต์ตามนัยะความหมายในพระคัมภีรไบเบิล ซึ่งจะเป็นการตรงกันข้ามกับหลักการเผยแผ่ของศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธมุ่งหมายให้คนพินิจสัจธรรม ท้าทายให้พิศูจน์เชิงปัญญาเห็นแจ้งโดยแท้จริง การเผยแผ่ของศาสนาคริสต์เป็นคนละหลักการกับหลักการศาสนาพุทธ ที่ยังมิให้เชื่อก่อน 10 อย่าง ดังปรากฎในกาลามสูตร ว่าดังนี้

 

 

(1) อย่าเชื่อ โดยการฟังตามกันมา

(2) อย่าเชื่อ โดยการถือสืบ ๆ กันมา

(3) อย่าเชื่อ โดยการเล่าลือ

(4) อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา

(5) อย่าเชื่อ โดยตรรก

(6) อย่าเชื่อ โดยการอนุมาน

(7) อย่าเชื่อ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

(8) อย่าเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน

(9) อย่าเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ

(10) อย่าเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

 

 

เมื่อถูกขู่ว่า "คนใดดูหมิ่นเรื่องราวเหล่านี้ก็จะถูกปรับโทษ" คนทั้งหลายก็กลัวและยอมปลงใจเชื่อ เพราะเป็นธรรมดาของคนเขลาขลาดที่มักมีคติว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่ชาวพุทธและนักปราชญ์ นักการศึกษาทั้งหลายในโลกยุคนี้ถูกสอนมาว่า ทางแห่งปัญญาที่แท้นั้น เกิดจากการพินิจพิจารณา มีธรรมวิจัยโพชฌงค์ คือต้องศึกษาพิศูจน์ทดลอง อย่าพึงเชื่อสิ่งใดโดยปราศจากการทำธรรมวิจัยเสียก่อนจึงจะเกิดปัญญาการเห็นแจ้งด้วยตนเอง เมื่อคาทอลิกมาพร้อมด้วยคำข่มขู่ให้เชื่อเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่ชอบด้วยหลักการศึกษาเพื่อการรู้อริยสัจธรรมที่แท้จริง และควรต้องศึกษาหาความชอบธรรม ฉะนั้น เมื่อมีการท้าทาย โดยส่งหนังสือไบเบิลไปสู่หมู่นักปราชญ์ทั้งหลาย โดยมีคำข่มขู่ให้เชื่อทุกข้อความในหนังสือนั้น คาทอลิกก็ควรจะคาดไว้แล้วว่า หนังสือ ไบเบิล จะได้รับการศึกษา อย่างชาวพุทธ คือศึกษาอย่างการวิจัยข้อเท็จจริง เพื่อหาภูมิปัญญาที่แท้จริงในหนังสือนั้น อันเป็นวิสัยของหมู่นักปราชญ์ทั้งหลาย และเมื่อพบความจริงความเท็จเป็นอย่างไร ย่อมป่าวประกาศออกไปสู่หมู่คนได้อย่างชอบธรรม มีเสรีภาพเต็มที่

 

 

และเบื้องต้นที่สุดที่เราพบ ก็คือ แท้จริงพระคัมภีรไบเบิล เป็นนิทาน ที่คนธรรมดาเขียนเอาไว้ โดยตั้งใจจะให้เป็นนิทานศักดิ์สิทธิ์ หากแต่จินตนาการของเขายังขาดองค์ประกอบแห่งสติปัญญาอันอุดมสมบูรณ์ ฉะนั้น เมื่อเขาเอาสติปัญญาที่ไม่สมบูรณ์ของเขาเอง ใส่ลงในหัวหรือมันสมองของพระเจ้า ภาพของพระเจ้าจึงออกมาเหมือนคนปัญญาอ่อนคนหนึ่งในเรื่องการสร้างโลกและสรรพสิ่ง และจินตนาการนั้น ไม่สมบูรณ์ มองอำนาจอันยิ่งใหญ่ออกมาเป็นความดีอันยิ่งใหญ่ จึงสร้างพระเจ้าให้เป็นจอมเผด็จการผู้อำมะหิตเพราะได้กระทำบาปอันยิ่งใหญ่ ทำให้พระเจ้ากลายเป็นมหาซาตานผู้ยิ่งใหญ่ กรณีบันดาลน้ำท่วมโลก จนไม่มีซาตานจริง ๆ ตนใดจะเทียบความโหดร้ายเท่าพระยะโฮวาห์ ด้วยสติปัญญาที่ไม่รอบคอบสมบูรณ์ของคนเขียนไบเบิลใส่ลงไปในพระเจ้า ทำให้พระเจ้ากลายเป็นมหาโจร ที่ไร้สัจจะอย่างยิ่ง กรณีให้สัญญาแก่โนอาห์หลังจากเผาเซ่นชีวิตสัตว์สังเวยไปจำนวนหนึ่งหลังน้ำลดลง และทั้ง กลายเป็นจอมลามกอนาจาร เมื่อวาดให้พระเจ้าไปสมสู่กับนางมารีย์ซึ่งเป็นภริยาของโยเซฟ อันเป็นเรื่องผิดประเวณี ลามก ฐานผิดในภริยาคนอื่น แม้กระนั้นก็ยังยกย่องเชิดชูว่าเป็นความชอบธรรม เพราะฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพราะพระวิญญาณอันบริสุทธิ์(แท้จริงเป็นวิญญาณลามกอนาจารไม่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง) จนเกิดบุตรออกมาเป็นพระเยซู แล้วทอดทิ้งพระเยซูบุตรองค์เดียวของตนให้ถูกข่มเหงรังแก ตราบสิ้นชีวิตบนไม้กางเขน

และความจริง อันเป็นปรมัตถสัจจะ ก็คือ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่มาคอยปกครองโลกและสากลจักรวาลนี้ ไม่มีใครสร้างโลกนี้ ไม่มีใครสร้างสรรพสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สร้างด้วยวิธีการแบบที่พระคัมภีรไบเบิลบรรยายไว้

 

พระเจ้าเป็นเพียงภาพหลอน เมื่อมีการปรากฎต่อ โมเสส ครั้นแล้วภาพหลอนนั้นก็เลือนหายไป และไม่สามารถช่วยใครได้อีก แม้กระทั่งโมเสสเองในที่สุดก็ต้องกล่าววาจาละลาบละล้วงต่อความเฉยเมยของพระเจ้า ด้วยความขมขื่น

 

สำหรับพระเยซู พระเจ้าคือ Illusion ความหลอน ความหลงเชื่อ ความเพ้อกับภาพอันเลื่อนลอยเหมือนความฝัน

 

ดังปรากฎในประวัติของพระเยซู ทำให้พระเยซู ต้องสิ้นชีพลงง่าย ๆ และอายุสั้น เพราะความจริงมีว่า ทรงประกาศศาสนาเมื่ออายุ 33 ปี เวลาที่ทรงประกาศศาสนามีเพียง 3 ปี เท่านั้น ก็ถูกตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์

ตลอดเวลา 3 ปี เป็นระยะเวลาที่ล้วนแต่มีศัตรูล้อมรอบ คอยจะเข่นฆ่าตลอดเวลา

 

แต่ นั่นเกิดจากองค์พระเยซูเอง ที่หลงเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระเจ้า มาโปรดโลก

พระคัมภีร์ไบเบิล ได้บรรยายชีวิตพระเยซูไว้น่าสนใจมาก ในแง่ที่ว่า ความหลอกหลอนตัวเองหรือความหลงผิด หรือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ILLUSION นี้ สามารถทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งเพ้อพกไปได้ขนาดนั้น เริ่มด้วยการเดินทางไปรับบัพติสมา คือไปขอบรรพชาเป็นนักบวชจากท่าน John : โยฮัน (เดี๋ยวนี้เขียนว่า ยอห์น) สาวกพระเจ้า ที่ทำศีลจุ่มให้คนแถวแม่น้ำจอร์แดนตะวันออก ใกล้ๆหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ เบธานี ยุคนั้น อันเป็นมุมชีวิตหักเหที่สำคัญของพระเยซู เพราะณที่แห่งนั้น พระเยซูได้ฟังคำยกยออย่างเลิศลอยของท่านโยฮัน ก็ใจแตก หลงลืมตนไปสุด ๆ กับคำเยินยอสรรเสริญที่ไพเราะของท่านโยฮัน ดังปรากฎในพระคัมภีร์ ว่าดังนี้

 

 

The true Light that illumines every person was coming into the world. He was in the world and the world came into being through Him. He came to His own home but His own people did not recieve Him. But to those who did recieve Him He granted authority to become God"s children, that is, to those who believes in His name, who owe thier birth neither to human blood, nor to physical urge, nor human design, but to God. And the Word became man and lived for a time among us, and we viewed His glory- such glory as the only begotten Son recieves from His Father- abounding in grace and truth. (John 1:9-14)

 

"แสงสว่างแท้จริงที่ยังคนทั้งหลายให้ประสบความสุขนิรันดรได้กำลังจะมาเยือนโลกนี้. พระองค์ทรงเสด็จมาสู่โลกนี้และโลกได้เป็นไปเพราะเหตุที่มีพระองค์เสด็จมา พระองค์ทรงเสด็จกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์เอง แต่ประชาชนของพระองค์เองหาได้ต้อนรับไม่ แต่สำหรับผู้ที่ยินดีเต็มใจต้อนรับพระองค์ พระองค์ก็โปรดให้คนเหล่านั้นมีตำแหน่งเป็นบุตรของพระเจ้าทุกๆคน นั่นก็คือ สำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ที่ได้ยอมรับเชื่อถือนามชื่อของพระองค์แล้ว ผู้ซึ่งล้วนเป็นหนี้ชีวิตที่ได้กำเนิดขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่กำเนิดจากสายเลือดปุถุชน ไม่ใช่กำเนิดจากความปรารถนายิ่งทางรูปกาย ไม่ใช่กำเนิดจากแบบพิมพ์รูปมนุษย์ หากแต่กำเนิดใหม่โดยเดชของพระเจ้า และพระพจนารถของพระเจ้านั้นได้กำเนิดมาเป็นมนุษย์และอาศัยอยู่ชั่วเวลาหนึ่งในระหว่างพวกเราทั้งหลาย และพวกเราได้มองเห็นความรุ่งเรืองของพระองค์นั้น อันเป็นความรุ่งเรืองเฉกเช่นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าที่ทรงรับถ่ายทอดมาจากพระบิดาของพระองค์ที่พร่างพราวไปด้วยความสง่างามและสัจจะ"

 

 

ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านยอห์น มีเจตนายกพระเยซูขึ้นอย่างเลิศลอยสูงส่งยิ่ง จึงได้กล่าวชมเชยพระเยซูอย่างเลิศจนถึงขั้นรับรองให้ว่า พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้าเสด็จลงมาสู่ดิน

 

และอีกตอนหนึ่งของคำยกย่องอันเลิศลอยของท่าน ยอห์น แม้กระทั่งท่านเองผู้อยู่ในฐานะ the Prophet:ศาสดาพยากรณ์แห่งยุค ก็ยังไม่อาจไปสัมผัสความสง่าราศีของพระเยซูได้ แม้กระทั่งจะแก้เชือกผูกรองเท้าของพระองค์ก็ไม่บังควร ปรากฏในพระคัมภีร์ว่า

 

I baptize with water, but there is One who stands among you, whom you do not recognize, the One who will come after me and whose sandal strings I am not fit to untie. (John 1:26-27)

: ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีพระองค์หนึ่งซึ่งประทับอยู่ในหมู่พวกท่านนั้น ท่านไม่รู้จัก พระองค์นั้นแหละมาภายหลังข้าพเจ้า แม้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ไม่บังควรที่จะแก้"

 

 

The one who has the bride is the bridegroom . But the bridegroom"s friend, who stands near and listens to him is very happy over the bridegroom"s voice; so this joy of mine is complete. He must increase but I must diminish. [John 3 :29-30]

 

: ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปิติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพระองค์ต้องด้อยลง

 

 

 

ซึ่งถ้อยคำเยินยอของยอห์น ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งไปอีกหลายแง่มุม น่าศึกษาทางภาษาและวรรณคดี และแม้แง่มุมแห่งศาสนาและความศรัทธาเอง ก็น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น น่าสรุปลงได้ว่าเป็นคำที่ปลุกจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ โดยแผนการณ์อันลึกซึ้งของท่านยอห์น เห็นได้จากข้อความที่ยกพระเยซูเป็น the only begotten Son พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า และคำว่า the One who will come after me and whose sandal strings I am not fit to untie. (พระองค์นั้นแหละมาภายหลังข้าพเจ้า แม้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ไม่บังควรที่จะแก้) และฝังใจ จึงเริ่มด้วยการหลงผิด คิดว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรพระเจ้า มาจากองค์พระบิดาบนสวรรค์จริง ๆ จึงทรงประกาศถ้อยคำอันยิ่งใหญ่ เป็นต้นว่า No one has gone up to heaven except He who came down from heaven, the Son of Man whose home is heaven (John 3:13): ไม่มีผู้ใดเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากบุตรมนุษย์ ผู้ลงมาจากสวรรค์ ผู้ที่มีสวรรค์เป็นบ้านอยู่ For I came down from heaven , not to do my Will but the Will of Him who sent Me. (John 6 :38) : เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา บ้าง ตนเป็นพระบุตรองค์เดียวที่พระบิดาทรงรักมาก For God so loved the world that He gave His only-begotten Son, so that whoever believes in Him should not perish, but have everlasting life. (John 3 :16-17) เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ จนที่สุดหลงว่าพระองค์ทรง เป็นพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า โดยกล่าวข้อความว่า I and the Father are one. (John 10:30): เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (พระองค์ก็คือพระเจ้า และพระเจ้าก็คือพระองค์)

 

 

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชั่วชีวิตของพระเยซู มิได้เคยอ่านพระคัมภีร์เยเนซิส หรือพระคัมภีรใดเลย และน่าจะทรงมีการศึกษาน้อยมาก เพราะพระเยซูมิได้รู้ด้วยซ้ำว่าพระยะโฮวาห์ตามที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์เยเนซิสเป็นอย่างไร

 

 

เห็นได้จากตอนที่พระเยซูทรงโอ้อวดว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า และสนทนาตอบโต้กับพวกพ่อค้าในกรุงเยรูซาเล็มในเรื่องของซาตาน คราวที่เสด็จไปครั้งแรกหลังจากรับบัพติศมาจากท่านยอห์นแล้ว เริ่มจากพวกพ่อค้ากล่าวหาว่าพระองค์ถูกผีสิง ทรงตรัสตอบดังนี้

 

You have the devil for your father and you wish to practice the desires of your father; he was the murderer from the beginning and he could not stay in the truth because there is no truth in him. When he tells a lie he talks naturally; for he is a liar and its father ; but because I speak the truth, you do not believe Me.He who is from God listens to the words of God. Because you are not from God, you do not listen.[John 8:44-47]

 

ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาลและมิได้อยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา แต่ท่านทั้งหลายมิได้เชื่อเรา เพราะเราพูดความจริง มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำความผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง]

 

 

จะเห็นว่า พระเยซูทรงบริภาษคนเหล่านั้นว่าเป็นลูกของซาตานผู้ชั่วร้าย แล้วทรงประณามซาตานไปอย่างน่าเจ็บปวด

 

คำว่า he was the murderer from the beginning = มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล มิได้ทรงเฉลียวใจว่า murderer หรือฆาตกรใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพระยะโฮวาห์ ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนทั้งโลกด้วยการทำน้ำท่วมโลก ตามหลักฐานในพระคัมภีร์เยเนซิส และประโยคที่ว่า and he could not stay in the truth because there is no truth in him. = และมันมิได้อยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ ก็มิได้ทรงเฉลียวใจอีกเช่นกันว่า ไม่มีผู้ใดที่ไร้สัจจะเท่าพระยะโฮวาห์ ที่ให้สัญญาไว้อย่างหวานหยาดเยิ้มในเรื่องภยันตรายและน้ำท่วมโลก ว่าจะทรงรักษาสัญญานี้เอาไว้ตลอดกาล ตราบใดที่ยังคงมีรุ้งกินน้ำจากขอบเมฆอยู่ในโลกก็จะทรงรักษาคำมั่นสัญญานี้ไว้ตราบนั้นตามหลักฐานพระคัมภีร์เยเนซิสอีกเช่นกัน  และยังมิทรงเฉลียวใจว่าพระยะโฮวาห์มีการประพฤติลามกอนาจาร โดยการถอดพระวิญญาณบริสุทธิ(HOLY SPIRIT) ซึ่งไม่บริสุทธิ์ในขณะนั้น เพราะลอบไปสมสู่กับนางมารีย์มารดาของพระองค์เองซึ่งขณะนั้นเพิ่งแต่งงานกับโจเซฟ จนกระทั่งเกิดบุตรคนแรกคือองค์พระเยซูเอง ต่อมาเมื่อทรงหน่ายในรสรักแล้ว พระเจ้าก็หนีไปปล่อยให้โยเซฟอยู่กินกับนางมารีย์ย์แทนจนเกิดบุตร น้อง ๆ ของพระองค์อีกหลายคน อันเป็นหลักฐานพยานบุคคลที่ชัดเจนว่าพระเจ้าประพฤติลามกอนาจารกับมนุษย์ ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ใหม่

 

 

เมื่อทรงสำคัญพระองค์ว่ายิ่งใหญ่ ถึงขนาดเป็นพระบุตรโทนของพระเจ้าและเป็นแม้กระทั่งอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าเช่นนั้นแล้ว ในแคว้นยูเดีย สมัยนั้น คนทั้งหลายนับถือลัทธิต่าง ๆ ที่มีพระเจ้าหลายองค์ รวมทั้งพระเจ้าตามที่หนังสือของโมเสส (Law of Moses) ระบุไว้ด้วย และพระเจ้าเป็นสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุดของประชาชนขณะนั้นที่ใครจะละเมิดมิได้ กฎของพระเจ้าก็ไม่มีใครอาจละเมิดได้ เช่นเดียวกัน แต่พระเยซูมิได้คำนึงเพราะหลงว่าพระองค์เป็นใหญ่กว่า ฉะนั้นพอเริ่มต้นชีวิตนักบวชและพอเริ่มเผยแผ่ศาสนา แม้เพียงคำพูดคำแรก ก็ก่อศัตรูที่แรงร้ายขึ้นมาทันที อันแสดงให้เห็นว่ามิได้ทรงธรรมแห่งสัตบุรุษ ทรงรอบรู้เรื่องศิลปศาสตร์ต่าง ๆ และทรงอักษรศาสตร์ต่าง ๆ น้อยมาก ไม่ทรงเอาพระทัยใส่เรื่องวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมมนุษย์ แล้วไม่ใช้สติ ปัญญาให้ถูกต้องตามกาละเทศะและสถานการณ์

 

 

เพราะในระหว่างเทศกาลปัสกาของชาวยิว ซึ่งมีคนไปร่วมงานมากมาย พอเสด็จเข้าไปสู่กรุงเยรูซาเล็ม ก็ตรงไปที่พระมหาวิหารใหญ่ พอไปถึงก็ก่อเรื่องวิวาทกับคนที่นั่นทันที ตามพระคัมภีรเล่าไว้ว่า ในบริเวณพระมหาวิหารมีพ่อค้าขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ คนก็ท่องเที่ยวเต็มไปหมด พระเยซูมองว่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นทำพระมหาวิหารสกปรก และทรงคิดว่ามหาวิหารนั้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของพระองค์ก็ทรงพระพิโรธ ไม่ทันพูดอธิบายว่าอะไรเลยก็คว้าเอาแซ่ทำด้วยเชือกที่เขาเอาไว้ตีม้า วัว ควาย แพะ แกะ ไล่ตีคนเหล่านั้นทันทีพร้อมทั้งไล่ตีวัว นก แพะและแกะของพวกพ่อค้าแตกหนีออกไปนอกกรุง ทั้งยังเทกระจาดใส่เงินทองทรัพย์สินของมีค่าของพวกพ่อค้าเหล่านั้นทิ้งกระจัดกระจายไปกับพื้น คว่ำโต๊ะเก้าอี้ของพนักงานรับแลกเปลี่ยนเงินตราลงโดยพลการตนเอง แล้วประกาศว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า วิหารนี้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ไม่ใช่ที่ค้าขายของพ่อค้าคนใด ๆ แล้วทรงออกคำสั่งเฉียบขาดว่า Take these outside ; do not make My Father’s House a house of business [John 2:16= จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำ พระนิเวศของพระบิดาเรา ให้เป็นแหล่งค้าขาย]

 

คนทั้งหลายก็โกรธและเกิดวิวาทะกันขึ้นเพราะพวกเขาไม่รู้เหตุผล ว่าทำไมอยู่ ๆ ชายคนนี้จึงมาทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินของพวกเขา

 

 

ชาวเมือง : What sign will You show us for Your doing these things. [John 2:18] ท่านจะแสดงนิมิตอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีอำนาจกระทำการเช่นนี้ได้ (คือเอาแซ่ม้าไล่ตีพวกพ่อค้าเหล่านั้นและคว่ำโต๊ะเงินทองของพวกเขา)

 

พระเยซู : Destroy this temple and in three days I will rebuild it. [John 2: 19] จงทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน

 

 

ชาวเมือง : This temple has been in process of building for 46 years, and will You rebuild it in three days.[John2:19] พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?

 

พระเยซู : ไม่ตรัสตอบ เสด็จหนีไป

 

 

 

การกระทำทรัพย์สินของเขาเสียหาย ทำร้ายร่างกายคนอื่นด้วยแซ่ อวดอ้างตนเป็นบุตรพระเจ้า อวดอภินิหาริย์ว่าจะยกโบสถ์ขึ้นใหม่ได้ในสามวัน จนเกิดการวิวาทวันนั้น ทำให้คนทั้งหลายโกรธแค้นเพราะพระเยซูมิได้สำนึกว่าตนกระทำความผิดต่อทรัพย์สินและร่างกายของคนอื่นเขา ไม่เคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ไม่แสดงออกซึ่งมารยาท สมบัติผู้ดี และมนุษยสัมพันธ์ที่ดีงาม ตรงกันข้ามกลับแสดงอำนาจ โดยยกตนเหนือหมู่มนุษย์ ว่าตนเป็นพระบุตรองค์เดียวที่พระเจ้ารักมาก และโอ้อวดอภินิหาริย์

 

 

ทุกครั้งที่มีการเทศนาสั่งสอน ก็จะโอ้อวดตนเองว่าเป็นบุตรพระเจ้า ลงมาจากสวรรค์ แม้กระทั่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าซึ่งหมายความว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ทุกครั้งไป และทั้งมีถ้อยคำคมคายช่างพูดช่างเปรียบเปรย เช่น

 

If I told you earthly things and you do not believe, how will you believe if I tell you heavenly things. No one has gone up to heaven except He who came down from heaven, the Son of Man whose home is heaven. [John 3:12-13]

ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกแล้วท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร ไม่มีผู้ใดขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์

 

 

และแสดงอำนาจเพราะไม่เคารพกฎกติกาของบ้านเมือง โดยเฉพาะกฎของวัน สะบาโต ตามลัทธิยูดายของชาวเยรูซาเล็มยุคนั้น และผลร้ายก็คือพอกพูนศัตรูมากยิ่งขึ้น และในที่สุดคนทั้งหลายก็เชื่อว่าพระเยซูเป็นคนวิกลจริตมีผีสิง คนเหล่านั้นก็รวมตัวกันเป็นขบวนการแห่ตามไปสังเกตการณ์ไม่ขาดระยะ จนกระทั่งในที่สุดถึงขั้นมุ่งหมายตามฆ่าเอาชีวิตพระเยซูเพราะทนต่อการยกตนขึ้นเสมอพระเจ้าที่พวกเขาบูชาไม่ได้ ดังปรากฎในพระคัมภีร์ว่า For this the Jews were more eager than ever to kill Him, since He not only broke the Sabbath but also called God His own Father and thus made Himself equal to God. [John 5:18] เหตุฉะนั้นพวกยิวยิ่งแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ มิใช่เพราะพระองค์ล่วงกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นพระบิดาของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า

 

 

ในขณะนั้นชาวเมืองส่วนหนึ่งก็ซุบซิบกันว่า Is not this Jesus, the son of Joseph, whose father and mother we know? Now how can He say, "I have come down from heaven?" [John 6:42 ] คนนี้เป็นเยซูลูกของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า เราได้ลงมาจากสวรรค์?

 

ชาวเมืองยูเดียส่วนหนึ่งก็สงสัยในถ้อยคำที่ลึกซึ้ง คนบางคนก็ถามกันว่า How does this person know the scriptures without an education? [John 7 :15] คน ๆ นี้รู้พระธรรมได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย

 

ซึ่งพระเยซูตรัสตอบเองว่า My teaching is not Mine but His who sent Me....Why are you seeking to kill Me? [John 7 :16,19] คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา..... ท่านทั้งหลายหาโอาสที่จะฆ่าเราทำไม

 

ชาวเมือง : You have a demon ! Who is seeking to kill You ? [John 7 : 20] ท่านมีผีสิงอยู่ ใครเล่าหาโอกาสจะฆ่าท่าน?

 

 

โดยประการที่ยกตนเป็นพระเจ้าเช่นนี้ พระเยซูจึงทำหน้าที่นักบวชของตนไปอย่างไม่ราบรื่นกลับมีแต่คนเป็นศัตรูเพิ่มขึ้น จนในที่สุดต้องหลบหนีจากเยรูซาเล็ม ไปอยู่กับมารดาและน้อง ๆ ของพระองค์ ในแคว้นกาลิลี หยุดพูดชั่วขณะหนึ่งเพื่อให้พ้นโอษฐภัย

 

ในปีสุดท้ายคือปีที่ 3 นับแต่เป็นนักบวช พอถึงเทศกาลปัสกาคือเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวน้อง ๆ ของพระองค์ซึ่งก็มิได้เลื่อมใสพระองค์เลย ก็ไล่พระองค์ไปเมืองเยรูซาเล็มอีก ด้วยเหตุผลว่า หากจะทำงานเพื่อพระเจ้าก็จงออกไปสู่คนทั้งหลาย อย่ามาหลบซ่อนอยู่เช่นนี้ ในพระคัมภีร์ว่า

 

So His brothers told Him, "Get away from here and go off to Judia, so that Your disciples will see the works You do; for no one who seeks to be in the limelight does things where they are not observed. Since you do these things show Yourself to the world. For His brothers had no faith in Him either. [John 7:3-5]

 

 พวกน้อง ๆ ของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า "ท่านจงออกจากที่นี่ไปยังแคว้นยูเดีย เพื่อให้เหล่าสาวกของท่านได้เห็นกิจการที่ท่านกำลังกระทำอยู่ เพราะว่าไม่มีผู้ใดแอบทำสิ่งใดเงียบ ๆเมื่อผู้นั้นอยากให้ตัวปรากฎ ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้ ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฎแด่โลกเถิด" แม้พวกน้อง ๆ ของพระองค์ ก็มิได้วางใจในพระองค์

 

 

แต่พระเยซูทรงรีรออยู่ระยะหนึ่งจนแม่และน้อง ๆ ของพระองค์ พากันเดินทางล่วงหน้าไปจูเดียกันหมดแล้ว จึงค่อยตามไปภายหลัง คราวนี้ก็ไปที่ พระมหาวิหารกลางกรุงเยรูซาเล็มที่เดิมอีก คนก็ยังจำได้ดี ว่าคนผีสิงมาอีกแล้ว พวกเขาก็ถามย้ำเรื่องเดิมอีก ดังนี้

 

 

ชาวเมือง : Where is Your Father? [John 8: 19] พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน?

 

พระเยซู : You know neither Me nor My Father; if you knew me, you would know My Father as well. [John 8:19] ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย

 

 

ชาวเมือง : Do we not say rightly, that you are a Samaritan and have a demon? [John 8:48]

: ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้นไม่จริงหรือ?

 

พระเยซู : I have no demon, but I honour My Father, and you dishonour Me. I do not desire My own glory; there is One who investigates that and who judges. With assurance I tell you, everyone who observes My teaching will never see death.[John 8:49-51]

 

:เราไม่มีผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่เกียรติเรา เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้ และพระองค์นั้นจะทรงพิพากษา เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเราผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย

 

 

ชาวเมือง : Now we know that You have a demon.[John8:52]

: เอาล่ะ เรารู้แล้วว่าท่านมีผีสิง

 

: You are not superior to our father Abraham, who died,are you? And the prophet died. Whom do you make Yourself? [John8:53]

: ท่านเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเราผู้ทรงเป็นศาสดาพยากรณ์ ที่ตายไปแล้วหรือ ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นผู้ใดเล่า?

 

พระเยซู : If I should ascribe glory to Myself, My glory whould be worthless. My Father whom you call "our God" ascribes glory to Me. You do not know Him, but I know Him, and if I said, "I do not know Him" I would be a prevaricator like yourselves. But I know Him and observe His word. [John8:54-55]

: ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเองเกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระองค์ผู้ทรงให้เกียรติแก่เรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกท่าน ท่านไม่รู้จักพระองค์แต่เรารู้จักพระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์

 

 

ชาวเมือง : You are not yet 50 years old and Have You seen Abraham ? [John 8 : 57]

: ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ ?

 

พระเยซู : Truely before Abraham"s birth I am. [John 8:58]

: เราขอบอกความจริงแด่พวกท่านว่าเราเกิดก่อนอับราฮัม

 

 

 

จะเห็นว่าพระเยซูพูดข้อความใดล้วนท้าทายให้พิศูจน์ทั้งสิ้น เช่นข้อความที่ว่า everyone who observes My teaching will never see death ผู้ใดประพฤติตามคำของเราผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย เป็นเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การพิศูจน์ด้วยความตายของพระเยซูเอง เพราะคนทั้งหลายอยากรู้ว่าจะจริงตามที่พูดประโยคนี้หรือไม่ แต่คราวนั้น เมื่อพระเยซูกล่าวว่าพระองค์เกิดก่อนอับราฮาม ศาสดาพยากรณ์ บรรพบุรุษของชาวยิว คนก็โกรธจัด Then they picked up stones to hurl at Him : but Jesus concealed Himself and passed out of the temple.[John8: 59]

: คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบและออกไปจากบริเวณพระวิหาร และหนีไปหลบซ่อนพระองค์

 

 

จนกระทั่งเวลามาถึง คือเวลาที่ทางการเยรูซาเล็มประกาศจับตัวพระเยซูฐานทำให้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในหมู่ประชาชนและทั้งมีผู้ฟ้องร้องในข้อหาต่าง ๆ

ในที่สุด ด้วยการจ้าง ยูดาสอิสคาริโอท สาวกคนที่13 ของพระเยซูเอง ด้วยเงิน 30 เหรียญ ให้บอกที่ซ่อนของพระเยซู ยูดาส ก็พาทหารไปหาพระเยซูในถ้ำ ที่แวดล้อมด้วยสาวก 12 คน บอกทหารว่า คนไหนที่เขาจูบ คนนั้นแหละพระเยซู ให้จับกุมตัวเอา เขาจึงจับพระเยซูมัดตัวไป ที่บ้านคายาฟัส ที่พำนักของมหาปุโรหิต มหาปุโรหิตก็ทำการสอบสวน

 

 

ข้อกล่าวหาก็คือทำทรัพย์สินประชาชนเสียหาย ทำร้ายร่างกายคนอื่น อวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษและดูหมิ่นพระเจ้า อวดอภินิหาริย์ว่าสามารถยกพระมหาวิหารขึ้นใหม่ได้ในสามวัน โดยฝ่ายบ้านเมืองมีพะยานบุคคลเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ที่ถูกพระเยซูไล่ตีเอาด้วยแซ่ และทำสัตว์ ทรัพย์สินเงินทองของเขาเสียหายที่วิหารใหญ่เมืองเยรูซาเล็ม คราวที่พระเยซูเข้าเมืองมาก่อเรื่องแต่คราวแรก

 

พะยาน : This fellow said, I have power to destroy God"s temple and to build it again in three days. [Mattew 26:61]

: คนนี้ได้กล่าวว่าเขาสามารถจะทำลายพระวิหารของพระเจ้าและจะสร้างขึ้นใหม่ ในสามวัน"

 

พระเยซู : ทรงนิ่งอยู่

 

มหาปุโรหิต : Have you nothing to say ? What about their evidence against you? [Mattew 26:63]   : ท่านจะไม่แก้ตัวในข้อหาที่พะยานเขาตั้งมานี้หรีอ?

 

พระเยซู : ทรงนิ่งอยู่

 

มหาปุโรหิต : I charge You on oath by the living God that You tell us whether You are the Christ, the Son of God. [Mattew26:63]

: เราให้ท่านสาบาญโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่า ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่?

 

พระเยซู : As you say. Besides. I tell you that shortly you will see the Son of Man seated at the right hand of the Almighty and coming upon the cloud of heaven. [Mattew 26]

: ท่านว่าถูกแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้อง หน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นพระบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์

 

มหาปุโรหิต : (ลุกขึ้นฉีกเสื้อของตน) He has blasphemed! What further need do we have to witnesses? You have now heard His blasphemy. What do you think? [Matthew 26:65]

: เขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว ท่านทั้งหลายก็ได้ยินเขาพูดหมิ่น ประมาทพระเจ้าแล้ว ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร?

 

ชาวเมือง : He deserves death! [Mattew 26: 66]   : ควรปรับโทษถึงตาย

 

 

จะเห็นว่า คนทั้งหลายจ้องจะหาทางทำร้ายพระเยซูทุกวิถีทาง นี่ก็คือวิธีการกล่าวหาโดยหลอกล่อให้พระเยซูหลุดคำพูดที่เป็นหลักฐานมัดตัวเองออกมา โดยกล่าวอวดว่าอีกไม่นานคนทั้งปวงจะเห็นพระองค์นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ เลื่อนลอยมาบนเมฆสวรรค์ แล้วพวกศัตรูของพระองค์ก็ได้หลักฐานพยานคำพูดของพระองค์อย่างชัดแจ้ง สำหรับกล่าวอ้างในข้อหาหมิ่นประมาทตามกฎหมายขณะนั้น คนทั้งหลายก็ได้ยินได้ฟังพร้อมกันจริง ๆ ในเวลานั้น และผลก็คือ โทษถึงตาย แล้วเขาถ่มน้ำลายรดพระพักตรและตีพระองค์ และบางคนเอามือตบพระองค์" ครั้นมัดพระองค์นำตัวไปหาปีลาต(Pilate)เจ้าเมืองเยรูซาเล็ม ได้แจ้งข้อหาดูหมิ่นพระเจ้าของพระเยซู ต่อปีลาต ตามการสอบสวนและประจักษ์พยาน

 

 

ปีลาต : Do you not hear how much they testify against You ? [Mattew 27:13]

: ท่านดูหมิ่นพระเจ้าตามที่เขาปรักปรำกล่าวหาจริงหรือไม่ ?

 

พระเยซู : นิ่งไม่ตอบโต้

 

 

ปีลาต : Then what shall I do with Jesus ? [Mattew 27:22]

: ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรกับพระเยซูดี ?

 

ชาวเมือง : Let Him be crucified! [Mattew 27:23]

: ให้ตรึงเสียที่กางเขนเถิด

 

 

 

ปีลาตก็ตัดสินให้ตรึงกางเขน ซึ่งจะเห็นว่า ปีลาต ตัดสินไปตามเสียงของประชาชน ภายหลังพิจารณาหลักฐานพยานและให้โอกาสแด่จำเลยแก้ข้อกล่าวหาแล้ว แต่พระเยซูไม่มีคำพูดแก้ข้อกล่าวหาใดใดเลย ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่

 

 

คนก็เยาะเย้ยว่า

 

You destroyer and reconstructer of the temple in three days, save Yourself if You are the Son of God, and come down from the cross! [Matthew 27:40]

 

"เจ้าผู้จะทำลายพระวิหาร และสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด"

 

 

 

พวกมหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า

 

He saved others but He can not save Himself. Is He King of Israel? Let He now come down from the cross and we will believe in Him. He trusts in God? Let Him rescue Him now, if He wants Him; for He said , "I am the Son of God."[ Mattew 27: 42-43]

 

"เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลรี? ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อถือบ้าง เขาไว้ใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็ให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด ด้วยเขาได้กล่าวว่า เขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า"

 

 

ประชาชนก็คอยดูว่า พระองค์จะมีพระเจ้า หรือพระบิดาที่ทรงรักลูกถึงขนาด มาช่วยชีวิตพระองค์หรือไม่ แต่ตลอดเวลาที่ถูกตรึงกางเขนตั้งแต่สามโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงเย็น ไม่ปรากฎว่ามีพระเจ้ามาแสดงอภินิหาริย์ ช่วยชีวิตพระองค์ลงมาจากไม้กางเขน ตามที่มหาปุโรหิตท้าทายไว้ แท้จริงพวกเขาก็คงไม่พูดเล่นเมื่อพูดว่า Let He now come down from the cross and we will believe in Him. ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อถือบ้าง ถ้าพระเยซูลงมาจากไม้กางเขนได้จริง ๆ คนทั้งหลายก็คงเชื่อจริงว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ จนกระทั่งเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง จนถึงบ่ายสามโมงแล้ว พระเยซูทรงขอน้ำดื่ม แล้วตะโกนสุดเสียงร้องเรียกหาพระเจ้าเป็นคำพูดสุดท้ายที่บ่งบอกความระทมพระหฤทัยอย่างยิ่งใหญ่ ว่า

 

Eli, Eli, Lama sbachthani ? [MATTHEW 27:46-MARK 15:33 = เอโลอี เอโลอี ลามาสะบักธานี : พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย

 

Matthew มีคำอธิบายต่อไปอีกประโยคหนึ่ง ความเต็มว่า

 

…and about three o"clock Jesus cried out with a loud voice, Eli, Eli, Lama sbachthani ? that is, "My God, My God, why have You forsaken me ? [MATTHEW 27:46 = ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า เอลี เอลี ลามาสบักธานี แปลว่า พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย ?

 

 

 

ภายหลังสิ้นพระชนม์คนก็พากันเดินหนี แต่ก็ยังมีบางคนยังชวนกันเฝ้าอยู่ โดยยังหวังว่าพระเจ้าจะมาช่วยพระองค์ คนเหล่านั้นก็พูดว่า Hold on ! Let us see if Elijah comes to save Him. [Matthew 27:49 = อย่าเพ่อก่อนให้เราคอยดูซิว่า เอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่?]

 

แต่จนแล้วจนรอดพระยะโฮวาห์ก็ไม่มา

 

 

 

เรื่องราวของพระเยซู จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุมาจากคน ๆ หนึ่งประกาศตนว่าเป็นบุตรพระเจ้า และ เป็นพระเจ้า ลงมาจากสวรรค์ มาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด แต่คนทั้งหลายเห็นอยู่ว่าเป็นลูกชายโยเซฟ กับนางมารีย์ย์แห่งหมู่บ้านนาซาเรธ จึงไม่เชื่อ และคิดว่าเป็นคนผีเข้า จะต้องจับกุมตัวไปลงโทษ พระเยซูได้พยายามให้คนเชื่อด้วยการแสดงอภินิหาริย์ต่าง ๆ หรือแสดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ เพื่ออ้างว่าการที่แสดงอภินิหาริย์ หรือการอัศจรรย์ต่าง ๆ ได้นั้นเนื่องมาจากพระเดชวิญญาณของพระเจ้าเบื้องบน คนก็ยังไม่เชื่ออีก กลับต้องการพิศูจน์ความจริงที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก จนที่สุดพวกเขาต้องการพิศูจน์ด้วยชีวิตของพระเยซูเอง จึงได้จับบุตรพระเจ้าไปตรึงกางเขน เพื่อดูว่าหากเป็นบุตรพระเจ้าจริง พระเจ้าต้องลงมาช่วยชีวิตพระเยซู ดังคำกล่าวของมหาปุโรหิตที่ว่า

 

He saved others but He can not save Himself. Is He King of Israel? Let He now come down from the cross and we will believe in Him. He trusts in God? Let Him rescue Him now, if He wants Him; for He said , "I am the Son of God."[ Mattew 27: 42-43]

 

"เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลรึ ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อถือ เขาไว้ใจในพระเจ้ารึ ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็ให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด ด้วยเขาได้กล่าวว่า เขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า"

 

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นแด่ชีวิตพระเยซูทั้งสิ้นนี้ อาจอธิบายได้ทั้งสิ้น โดยหลักธรรมแห่งธรรมดา คือหลักความเป็นธรรมดาอย่างนั้น และอาจสรุปได้ว่า แท้จริงหลักการแห่งศาสนาโดยวาทะขององค์พระเยซูคริสต์ นั้นมิได้มีแก่นแห่งสัจธรรมใดเลย แท้จริงเป็นความเพ้อ ความสับสนภายในจิตวิญญาณ และความวิปลาสแห่งอารมณ์ (EQ.วิปริต=ถูกคุมด้วยอารมณ์ฌานฝ่ายดำ) แต่เมื่อมีเหตุการณ์ขึ้น คือ แพะตัวน้อยถูกสิงโตทั้งหมู่รุมรังแกเข่นฆ่า โดยบริสุทธิ์ ก็เกิดความสะเทือนใจ ความสะเทือนใจอันยิ่งใหญ่ เป็นที่มาของการมีคริสตศาสนาขึ้นในโลกโดยแท้จริง และเพราะเหตุนี้ ผู้เขียนพระคัมภีร์ในภายหลัง จึงลงความตรงกันว่าควรให้เกียรติแด่พระองค์สมกับความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในฝันของพระองค์ จึงให้สมญาพระองค์ว่า แพะรับบาป แทนมนุษย์ทั้งหลาย และยกพระองค์ให้เป็น พระผู้ไถ่ หาใช่ว่ามีหลักปรมัตถธรรมที่เป็น อริยสัจธรรมอย่างใดไม่

 

 

 

ถ้าองค์พระเยซูคริสต์มากำเนิดใหม่ในโลกนี้และประกาศตัวว่า ทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ มาตามคำสั่งของพระเจ้า ผู้ทรงรักโลกมากเหลือเกินจนกระทั่ง... แล้วเที่ยวเอาแส้ม้าไล่ตีคนผู้ใดก็ตามที่เดินไปมาหรือทำอะไรอยู่ตามอำเภอใจ หรือเที่ยวทำลายรูปปั้นศิลปกรรมต่าง ๆ ของชาวเมืองทั้งหลาย เพราะถือว่าตนเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ดูแลทรัพย์สินของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกแล้ว ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าคนสมัยนี้จะบันดาลโทสะและเป็นเหมือนคนสมัยนู้น คงยากที่คนสมัยใหม่จะเชื่อว่าพระองค์ลงมาจากสวรรค์เป็นบุตรชายคนเดียวที่สุดรักสุดหวงแหนของพระเจ้า หากไม่มีการพิศูจน์ กันด้วยชีวิต คงไม่แคล้วมองพระองค์ว่าทรงเป็นพระโรคจิตชนิดหนึ่ง หรือที่คนสมัยนั้นว่า ผีสิงพระองค์นั่นเอง และน่าเชื่อว่าคนจะไม่ปล่อยพระองค์พูดอยู่นานปานนั้น คงช่วยกันจับพระองค์ส่งโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หรือศรีมหาโพธิ์เสียโดยเร็ว เพราะแม้แต่พระองค์ที่ทรงกล่าวประนามซาตานว่าเป็นฆาตกร เป็นผู้ไร้สัจจะ แต่หาทราบความจริงไม่ว่าแท้ที่จริงพระเจ้าชื่อยะโฮวาห์นั่นเองที่เป็นมหาฆาตกร และไร้สัจจะอย่างยิ่ง ตามหลักฐานในพระคัมภีร์เยเนซิส กรณีพระยะโฮวาห์บันดาลฝนตกติดต่อกันถึง 40 วันจนน้ำท่วมโลกเหนือยอดภูเขาที่สูงที่สุดถึง 20 ฟุต และท่วมอยู่ถึง 150 วัน จนกระทั่ง every creature that moved on earth- birds, cattle, wild beasts, swarming things and men, everything that have breath and lived on dry land, perished. [Genesis 8:21= บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน คือนก สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า กับบรรดาฝูงสัตว์เล็ก ๆ ที่อยู่บนแผ่นดิน และมนุษย์ทั้งปวงก็ตายสิ้น"]

ดังได้กล่าวมาแล้ว.

 

 

                                                                        ธรรมสามี

                                                                        มิ.ย.-ต.ค. 43

 

 

 

 




หนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 23

จดหมายถึงบรรณาธิการ จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ใดมีภูมิธรรมอย่างไร ทราบพระอริยบุคคลระดับต่างๆ โสดาบัน ถึง อรหันต์อย่างไร
ประชาธิปไตยสงฆ์ จะปฏิรูปอย่างไร?(ต่อ)
หน้าบอกสถานะของเรา ในเดือนเมษายน 2544
บทบรรณาธิการ:วาระรัฐบาลทักษิณ-ยอร์ชบุช,สว.ข่มขืนเด็ก ,อาฟกานิสถานถล่มพระพุทธรูปมรดกโลก,
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
ประวัติของผมตอนที่ 11



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----