บทบรรณาธิการ
ประเด็นการปฏิรูปการเมืองและร่างรัฐธรรมนูญใหม่
เราสนับสนุนการดำเนินการใดใดอย่างมีสถาบัน เอากติกาการปกครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นบรรทัดฐานของสังคม
เพราะเราสำนึกว่า เรา หนังสือพิมพ์ดี ก็มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่นเดียวกันกับสถาบันอื่น ๆ ที่มีส่วนในการร่างกันอย่างทั่วถึง เนื่องจากมีการจัดตั้งคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นอย่างเป็นเครือข่ายทั่วถึงทั้งราชอาณาจักร โดยมี สสร.ส่วนกลาง แล้วมี สสร.จังหวัดทุกจังหวัด ทำการระดมความ คิดในแต่ละจังหวัด ตั้งแต่ระดับจังหวัดลงไปทั่วประเทศ แล้วร่วมประชุมจัดการกัน โดยมีการคัดเลือกตัวแทนมาจากระดับตำบล หมู่บ้าน หรือตั้งแต่ระดับรากหญ้าขึ้นมาอย่างทั่วถึง มาแสดงความคิดเห็นในสภา สสร.จังหวัด
แล้วยังมี สสร.เคลื่อนที่ออกไปให้ความรู้ยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างทั่วถึง เช่นสายอีสานใต้ ก็มีคณะ นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธาน สสร. ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขานุการคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะที่ล้วนแต่ผู้ทรงคุณวุฒิ ไปขึ้นเวทีแนะแนวตามจังหวัดต่าง ๆ เปิดอภิปรายรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แล้วแต่ละจังหวัดก็มีสสร.จังหวัด ดำเนินการลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ตำบล แล้วทุกจังหวัด ก็สรุปผลของแต่ละจังหวัดนำส่งสสร.กลาง อย่างครบถ้วนทั่วประเทศ
ในส่วนกลางก็ยังมีคณะอนุกรรมการ ซึ่งล้วนแต่ผู้ทรงคุณวุฒิ มีความสามารถที่สุดของแผ่นดินไทยยุคนี้ ลงไปพิจารณาแยกประเด็นกันอีกเป็นเรื่อง ๆ ไป ซึ่งนับเป็นงานใหญ่ของการปฏิรูปการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ และได้รัฐธรรมนูญที่ ทุกฝ่ายยอมรับ และยินดีเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่สมบูรณ์ที่สุด
หนังสือพิมพ์ดีเราก็ได้เกิดขึ้นเป็นฉบับแรก ด้วยประสงค์เสนอประเด็นของเรา ส่วนของเราเข้าสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นับตั้งแต่เสนอข้อเรียกร้องในประเด็นที่สำคัญทางฝ่ายสงฆ์ ที่ไม่มีใครมองมาก่อน ดู ปฏิรูปการเมือง : ปัญหาประชาธิปไตย ประเด็นสำคัญที่ไม่มีผู้ใดพูดถึงเลย ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 1-2 และร่วมกับคณะเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน 19 จังหวัด และคณะสงฆ์ทั้งประเทศ เรียกร้องให้ใส่ข้อความ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย ลงในรัฐธรรมนูญ
และครั้นร่างเสร็จลงเราก็ได้เตือนว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยาวไป ระวังจะสับสน มาตราต่าง ๆ อาจจะตีกันเอง เราได้เสนอมาตรการแห่งความรอบคอบว่า
...1 ปีต่อจากนี้ ควรจะทิ้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้เฉย ๆ ก่อน อย่าเพิ่งไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร หลังเวลา 1 ปีผ่านไปแล้ว จึงค่อยนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันใหม่ อย่าเสี่ยง อย่าเอาประเทศชาติไปเสี่ยงเลยน่ะ! ขณะที่ทำนี้ดูร้อน และขาดขั้นตอนแห่งการทำงานโดยธรรมชาติของความคิดและสติปัญญาไปในประเด็นที่ว่าควรเว้นไปก่อนเวลาหนึ่ง จึงค่อยนำมาวิจารณ์ใหม่ เหตุผลก็คือหากไม่มีการเว้น ระบบความคิดที่ยังเป็นไปในแนวเดิม ก็จะปักใจลงไปในแบบเดิม ๆ โดยไม่มีการหยุดปรับกระบวนการที่เป็นกลางให้เรียบร้อยเสียก่อน ก็จะเกิดการลำเอียงขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์..... (บท บก. ดี อินเทอเนต เล่ม 4 พ.ศ. 2540)
แต่หามีใครฟังไม่ กระนั้นเราก็ยอมรับและเห็นดีด้วยมาตลอดจนทุกวันนี้
เพราะเราเชื่อในกฎการแข่งขันอย่างมีกติกา เมื่อกำหนดกติกาอย่างนี้แล้ว ก็เสมอภาคกัน ทุกฝ่ายต้องเคารพ
แต่บัดนี้ ในเมื่อมีคนเพียงหยิบมือหนึ่งมาตำหนิขึ้น แล้วก็เกิดกระแสขึ้น จนลืมความหลัง ลืมคุณงามความดีที่เคยร่วมกันทำมา ไปฟังข้อกล่าวหาอันหยาบคาย ไม่มีการให้เกียรติ์ใคร ฟังคำพูดที่มัน สะใจในอารมณ์ แล้วหลงลืมความงามความดีของคนทั้งหลายที่ตั้งใจทำมาอย่างดี ภายหลังไป ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจอย่างสาหัส และค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่าเอาแต่ใจ ใช้อารมณ์เป็นหลักแทนที่จะใช้เหตุผลค่อยพิจารณาไป อย่างมีการมองความหลังกันบ้าง
เพราะแม้ปัจจุบันนี้ คนที่ร่างรัฐธรรมนูญยุคนั้นก็ยังคงมีตัวตนอยู่ น่าจะระลึกได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างมาอย่างน่าภาคภูมิใจอย่างไร
เราน่าจะคิดบ้างว่า แม้คณะสงฆ์ไทยทั้งหมดทั่วประเทศ ก็ได้มีส่วนในการร่วมร่างและเสนอแนะในการสร้างสรรค์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ โปรด อย่าลืมว่ามีข้อเรียกร้องของหมู่สงฆ์ข้อที่ฉกรรจ์ ก็คือ ขอให้บัญญัติว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย มีการระดมชื่อพุทธศาสนิกชนเพื่อเรียกร้องข้อนี้ร่วม 2 ล้านเสียง แต่หาฟังไม่ ก็เห็นอยู่ว่าทุกส่วนมีความภูมิใจในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะฝ่ายสงฆ์ก็ยอมรับในที่สุด
บางทีเราอาจจะลืมตัวแปรบางตัวไป คือ เรื่องความสามารถเฉพาะตนของนักการเมือง ที่สร้างความนิยมของประชาชนเกินความคาดหมาย
เราคงจะลืมพิจารณาตรงนี้ไป แต่เมื่อมีขึ้นเราก็น่าจะพิจารณาด้วยจิตใจที่เป็นธรรม ไม่อิจฉาริษยา หรือมีอคติ และเมื่อมองที่ประโยชน์ส่วนรวม ก็จะพบว่าน่าจะถือเป็นเรื่องที่ดี ทีมีบุคคลในการเมืองเรามีความสามารถทำงานการเมืองได้ตรงเป้าหมายชนะใจประชาชนท่วมท้นขนาดนี้
ไม่น่าจะกล่าวว่าเป็นเผด็จการเชิงรัฐสภา หรือเป็นความบกพร่องอย่างฉกรรจ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และเมื่อมองโดยรอบคอบอีกทีหนึ่งแล้ว ก็น่าจะเห็นว่าเป้นสิ่งที่ดี ดังมีท่านผู้ใหญ่ออกมาพูดว่า รอไปสัก10 ปีก็ไม่นานเกินไป(โปรดฟังท่านอุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภาหลายสมัย) เหมือนดั่งประเทศที่เจริญแล้ว ก็รอ ๆ กันอยู่ต่อไป เช่นอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ของเขาถ้ารัฐธรรมนูญไม่บัญญัติเรื่อง 2 สมัยไว้ ก็น่าจะยาวนานเหมือนกัน จึงเป็นโอกาสของประเทศชาติที่จะเจริญร่งเรือง ส่วนฝ่ายที่ต้องรอ ก็ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทางการสร้างตนสร้างตัว สร้างภูมิปัญญาให้มากขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะมีเพียงสติปัญญาคอยจับผิดคนอื่น ก็หัดศึกษานโยบาย และสร้างนโยบายเตรียมไว้เพื่อเสนอประชาชนเมื่อมีช่องทางหรือโอกาสอันเหมาะสม นี่จะเป็นประโยชน์กว่าจะมาแสดงออกแบบรำไม่ดีโทษปีโทษกลอง อย่างแน่แท้ เพราะเช่นนี้น่าเบื่อและไม่สร้างสรรค์อะไรเลย
และในเรื่องนี้ ยังมีประเด็นที่สำคัญมาก ๆ อยู่อีกประเด็นหนึ่งก็คือ บางที เราเรียกร้องอะไรเกินไป เพราะเรียกร้องในสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นไปได้ ขณะนี้เราเรียกร้องรัฐบาลที่ดีพร้อม เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ดีพร้อม เรียกร้องการเมืองที่ดีพร้อม
แต่เราลืมไปว่า โดยความเป็นโลก เป็นโลกียะ นั้น ไม่มีอะไรที่ดีพอ ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ ตามสัจจะองค์บรมศาสดาว่า โลกย่อมพร่องอยู่เป็นนิจ นั่นคือสภาวะทุกข์ของโลก
เราอาจจะลืมไปด้วยซ้ำว่า นักรัฐศาสตร์ถึงกับสรุปว่า ระบอบการเมืองใดใดนั้นหามีคุณภาพพอที่จะเรียกว่าดีได้ไม่ ทุกระบอบมีความเลวพอ ๆ กัน หากแต่ระบอบประชาธิปไตยนั้นมีความเลวน้อยกว่าระบอบอื่น ๆ เท่านั้นเอง
นักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์เขาย้ำสัจธรรมคำว่า เลวน้อยกว่า
นี่ก็ไม่น่าจะลืมเสีย จนเรียกร้องอะไรเกินจะเป็นไปได้ตามใจตนเอง อุปมาจะเหมือนเด็ก ๆ ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ร่ำเรียกจะเอาเดือนเอาตะวันฉะนั้น
เรื่องราวที่เรา หนังสือพิมพ์ดี(The Good Paper) ประสงค์ เป็นเรื่องที่เราพยายามให้ข้อคิดเห็นในการสร้างความเป็นธรรมขึ้นแด่สังคม มองที่ความเป็นธรรมและสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์และสถาบัน และระวังเรื่องการเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ระวังว่าหากตามไม่ทันไม่ระมัดระวังแล้วอาจจะพลิกสถานการณ์ทุกอย่างให้ยุ่งยากไปอย่างใหญ่โตได้ เราต้องการคนที่เก่งจริงในเรื่องนี้มาสร้างพื้นฐาน หรือมาตรฐานทางเศรษฐกิจให้ได้ระดับที่เป็นระบบและวัฒนธรรมที่เป็นสากลให้ได้เสียก่อน
เรามองว่าเรื่องราวเกิดขึ้นเนื่องจากการข่าวสาร เป็นปัญหาการข่าวสารยุคใหม่ ที่เราเองได้เคยให้ข้อสังเกตเอาไว้ และได้เสนอรัฐบาลให้ตั้งกระทรวงข่าวสารขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ตั้งแต่ดีฉบับที่แล้ว
และเรายังมีสมมติฐานว่า การต่อสู้กัน เป็นการต่อสู้ในเชิงสงครามนอกแบบ ที่ประชาชนและนักวิชาการทางข่าวสาร มักไม่เคยประสบมา นั่นคือ สงครามการโฆษณาชวนเชื่อ คือสงครามจิตวิทยา(Psychological warfare) แง่หนึ่งนั่นเอง
เราพยายามชี้ข้อสังเกต และพยายามเอาประโยชน์จากสถานการณ์มาทำการวิจัยในเชิงการโฆษณาชวนเชื่อบางลักษณะ และได้สรุปผลการวิเคราะห์นำเสนอไปตามลำดับวันต่อวัน จนเป็นบทวิเคราะห์ถึง 12 บทในดีอินเทอเนตแล้ว
(โปรดติดตามบทวิเคราะห์ทั้งหมดได้ในดีดินเทอเนต www.newwo rldbelieve.com)
ซึ่งเราคัดเอามาเพียงบางบท ที่จะเป็นเรื่องสำคัญในดีฉบับนี้
เรามีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้ออกในดีฉบับนี้ แต่ได้ออกไปแล้วทางอินเทอเนต หรือ ดี(อินเทอเนต) เช่นเรื่อง ดวงชะตาผู้นำชาติและดวงเมืองยุคปัจจุบัน(4) โปรดติดตามจากอินเทอเนตของเรา
เราออกดีฉบับนี้อย่างค่อนข้างเร่งด่วน เพื่อรณรงค์ร่วมกันในการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิหน้าที่เพราะตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน หากไม่ไปเลือกตั้งมีบทลงโทษตามเงื่อนไข และมีตัวอย่างมาแล้ว คือ ไม่ไปเลือกตั้ง แต่ไปสมัคร สส. กกต.จับได้แล้ว ก็ไล่ออก เช่นกรณี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขณะนี้ นั่นเอง
และเราขอเสนอต่อหมู่สงฆ์ทั้งปวงว่า เมื่อมีสถานการณ์การปรับปรุงรัฐธรรมนูญกันอีกครั้ง ได้โปรดช่วยกันต่อไปอีกด้วยตามสมควรแก่กรณี และแก่สถานะ ความเป็น ความอยู่ ของสงฆ์ ให้ดูงามตามสถานะของสงฆ์ของเรา และแม้สถานการณ์ขณะนี้ ก็น่าจะติดตามดูในส่วนที่มาเกี่ยวข้องกับศาสนจักร อย่างไรอย่างใกล้ชิดด้วย
และในดีฉบับนี้ หวังว่าท่านจะไม่พลาดการอ่านเรื่องสำคัญ ดังมีรายละเอียดในสารบาญ ตามอัธยาศัยเรื่องอื่นๆทันกาลสมัยโปรดติดตามเวบไซท์ของเราคือ www.newworldbelieve.com
ในที่สุดเราขอขอบคุณทุก ๆ ส่วนทุกสถาบัน ผู้จะไปทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ คือการออกเสียงเลือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน 2549
บรรณาธิการ
22 มี.ค. 2549