พระเหลียวหลัง
· โดยจักร สุธาธรรม
ในยุคเศรษฐกิจแร้นแค้น กุฏิหลวงพ่อสุภา มักมีคนเข้าออกหลายหลากอาชีพ ทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย หากแต่เข้ามาขออาหารบ้าง ขอสบู่ยาสีฟันบ้าง ขอเงินค่ารถบ้าง เป็นประจำ หลวงพ่อก็อนุเคราะห์ไปเท่าที่ทำได้ อาหารบิณฑบาตที่เหลือเฟือสำหรับพระรูปเดียวนั่นแหละพอแจกจ่ายได้อยู่เป็นประจำวัน นอกจากนี้ก็มีคนอีกประเภทหนึ่งที่สิ้นไร้ไม้ตอกแม้กระทั่งหัวคิดสติปัญญา มาปรึกษาหารืออยู่เป็นประจำเหมือนกัน ก่อนจังหันเช้าวันนั้น หลวงพ่อสุภาได้ต้อนรับหญิงสาวผู้หนึ่ง หน้าตาเขิน ๆ ตกแต่งดี เรียบร้อย พอมาถึงก็กราบ ๆ ๆ ๆ เห็นได้ว่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับวัดวาอารามเท่าไรนัก ท่าทางก็ดูรีบร้อน ถวายอาหารพร้อมทั้งถุงที่ใส่มาแล้วพูดเร็วปรื๋อ
"หนูกำลังจะเดินทางไกล หลวงพ่อ หนูอยากรู้ว่าไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง หนูกลัว ไม่อยากไปเลย"
"แกกลัวแล้วแกจะไปทำไมวะอีหนู" หลวงพ่อบ่น ใจก็นึกไปว่าเจอปัญหาซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีกแล้ว ไอ้พวกนี้คอยมากะเกณฑ์ให้ฉันเป็นหมอดูจำเป็นอยู่เรื่อย หลวงพ่อเริ่มใช้สมองหนัก คิดหาวิธีที่จะทำนายทายทักให้ดูขลังน่าเลื่อมใส น่าเชื่อถือ
"เอ้าบอกวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากมา ให้ข้าผูกดวงชาตาเสียก่อน" พลางหยิบกระดานชนวน ราวกับเตรียมตัวมาล่วงหน้าหญิงสาวยื่นแผ่นกระดาษที่เขียนวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากให้ หลวงพ่อคลี่ออกดู เขียนเลขลงตามช่องจักราศีในกระดาน ทำเป็นอ่านนิ่งดูอยู่ครู่ใหญ่ ทำสีหน้าคล้ายว่าดวงชาตานี้อ่านยากเย็นจริง
"ชาตาเองเป็นลูกกำพร้า ลำบากมาแต่เด็ก ๆ บัดนี้มาอยู่ต่างถิ่นต่างแดน ........." แล้วทำเป็นครุ่นคิด หญิงสาวทำหน้าผิดหวัง บอกค่อย ๆ
"ถูกอยู่หลวงพ่อ แต่หนูไม่ใช่ลูกกำพร้า หนูมีพ่อแม่และน้อง ๆ หลายคน เป็นครอบครัวที่มีความสุขค่ะ ตราบกระทั่งมาถึงต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก็มาประสบเคราะห์กรรมค่ะ เดี๋ยวนี้ หนูกลุ้มใจแทบไม่อยากอยู่เป็นคนแล้วหลวงพ่อ ชาตาหนูเป็นอย่างไรบ้างคะ ?"
"เอ็งถามมาเป็นข้อ ๆ ซีวะ! เล่นให้ทายครอบจักรวาลอย่างนี้ที่ไหนจะตอบได้วะ!"
"หนูจะได้เดินทางไปต่างประเทศไหมหลวงพ่อ?"
"วาสนาอย่างเอ็งไปก็แค่ลาว พม่า มาเลเซีย ฮ่องกงแหละวะ!"
"โอ ! แม่นจริง ๆ หลวงพ่อ เขากำลังจะส่งหนูไปอยู่พอดี แต่คงไม่ใช่ลาวพม่าหรอกค่ะ แต่หนูอยากรู้ว่าไปแล้วจะดีไหม จะได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนอีกไหม?"
"เองจะไปตายหรืออย่างไร จะไม่กลับมา บ้านเกิดเมืองนอนอยู่เมืองไทยเอ็งก็ต้องกลับมาซี รวยแล้วจะลืมบ้านเกิดเมืองนอนหรืออย่างไรวะอีหนู?"
หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามือ ร้องไห้
"หนูเห็นหลวงพ่อออกบิณฑบาตทุกวัน อยากใส่บาตรหลวงพ่อ แต่ไม่เคยมีโอกาสใส่บาตรหลวงพ่อสักที หนูกำลังมีเคราะห์นะหลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยดูให้ดี ๆ เคราะห์ใหญ่มากนะ......"
"เอ็งก็หัดทำบุญตักบาตรบ้างซีวะ เช้า ๆ เอ็งว่าเห็นหลวงพ่อทุกวันแต่ก็ไม่เคยตักบาตรหลวงพ่อ บ๊ะ ! ไม่เข้าท่า ต่อไปต้องหัดตักบาตรบ้างนะ จะได้บรรเทาเคราะห์หามยามร้ายลงไปบ้าง"
"จ้ะ หลวงพ่อ" เธอบอกกลั้นยิ้มทั้งน้ำตา
พอดีมีเสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น หญิงสาวมีอาการตระหนกหน้าเสีย รีบกราบลาหลวงพ่อไปทันที
"เฮ้อ !!! เสร็จสิ้นไปอีกราย หน้าที่หมอเดานี่อาตมาอึดอัดเสียจริง ๆ แต่อีนางนี่ ใคร ๆ เขาอยากไปเมืองนอกเมืองนา มันกลับไม่อยากไป มันอะไรกันหว่า"
วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อออกบิณฑบาตตามปกติ ครั้นมาถึงมุมด้านหลังของโรงแรม 9 ชั้น ที่มีชื่อเสียงของเมืองนั้น ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นหญิงสาว ๆ วัยรุ่น3-4คน ยืนรอตักบาตรอยู่ และหนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวที่ไปหาที่วัดวันวานนี้ หลวงพ่อสังเกตว่าดูไม่เหมือนคนถิ่นนี้ ใกล้ๆ เห็นชายฉกรรจ์หลายคนจับกลุ่มกันคอยดูอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่เกิดความสงสัยอะไร พอตักบาตรเสร็จ หญิงสาวพูดเบา ๆ กับหลวงพ่อว่า พรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปต่างประเทศแล้ว แต่จะพยายามออกมาตักบาตรหลวงพ่อให้ได้ในตอนเช้า หลวงพ่อก็นึกดีใจ เมื่อรู้สึกว่าที่ตนแนะนำสั่งสอนได้รับการปฏิบัติตาม ครั้นให้พรออกเดินไปได้สี่ห้าก้าว ได้ยินเสียงคล้ายคนดุด่าและตบตีกัน หลวงพ่อเกิดความสงสัย ลืมสมณปฏิปทา เหลียวหลังไปดู เห็นผู้ชายตัวโต ๆ สามสี่คนกำลังยื้อยุดฉุดหญิงสาวคนนั้นกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้าไปในประตูด้านหลังของโรงแรมนั้น ได้ยินเสียงลั่นดาลประตู ฉับใหญ่
"หรือว่าเด็กหญิงเหล่านี้ถูกหลอกมาขายตัวที่โรงแรมแห่งนี้ ?" หลวงพ่อครุ่นคิดไปตามทาง นึกทบทวนคำพูดของหญิงสาวแล้วก็ไม่สบายใจ ยิ่งฉุกคิดไปไกลอีกว่าพวกคนร้ายคงจะคุมตัวไปขายต่อในต่างประเทศ เราไม่เข้าใจ ก็นึกว่าไปต่างประเทศจะต้องดี ไม่ทันเฉลียวคิดในเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้ ก็แล้ว ทำไมหลวงพ่อไม่สำรวจเอาจากดวงชาตา อ๋อ !! หลวงพ่อจะทำได้อย่างไร ในเมื่อที่แท้แล้วหลวงพ่อมิได้มีภูมิรู้ในวิชาโหราศาสตร์เลย เป็นเพียงหมอเดาเอาตัวรอดไปเป็นคราว ๆ เท่านั้นเอง แล้วหลวงพ่อจะทำอย่างไร หลวงพ่อจะทำอะไรได้เล่า บอกตำรวจหรือ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นที่ระแวงอยู่ รอดูไปก่อนสักนิดเถอะน่า หลวงพ่อคิด ๆ ๆ ๆ ไปจนตลอดวันตลอดคืน จนจำวัดไม่ลง "หรือว่านี่มิใช่กิจของสงฆ์?" หลวงพ่อพร่ำถามตัวเอง
แล้วถึงคราวออกบิณฑบาตเช้าตรู่วันต่อมา เมื่อมาถึงที่เดิม หลวงพ่อก็เดินผ่านไปตามปกติเพราะไม่มีคนรอตักบาตร คล้อยหลังไปจนถึงสี่แยก พลันได้ยินเสียง เรียก "หลวงพ่อนิมนต์รอก่อน" หลวงพ่อเหลียวหลัง เห็นเด็กหญิงผู้นั้นอุ้มขันเงินใบใหญ่มา ดูการแต่งตัวทมัดทแมงคล้ายเตรียมเดินทางไปไหน หลวงพ่อยืนรอ เปิดฝาบาตรให้ตักบาตร เธอใส่จนของหมดในภาชนะนั้น นั่งลงรับพรพระพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ถามว่า "หลวงพ่อ ในดวงชะตาของหนูวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ? พ่อแม่พี่น้องของหนูสบายดีไหม ? พวกเขาคิดถึงหนูบ้างไหม ?"
หลวงพ่องง และตกใจ ที่นึกระแวงอยู่กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วหรือนี่ ?? พอดีเห็นชายฉกรรจ์สูงใหญ่หน้าเหี้ยมคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา พวกนักเลงแน่ !! มันเกรงจะหลบหนีจึงตามมาควบคุมตัว แม้กระทั่งเวลาทำบุญตักบาตรพระพวกมันก็ไม่ยอมให้คลาดสายตา "รีบวิ่งไปโรงพักนะลูกนะ ทางนู้น ๆ " หลวงพ่อชี้บอก เธอก็ออกวิ่งไปทันที เธอวิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ สุดเร็วของฝีเท้าทั้งคู่ ไปได้ประมาณ 50 เมตร พอถึงสี่แยกข้างตึกแถวก็หยุดกึก เพราะมีรถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน โผล่ออกมาดักขวางทางไว้ เธอหันวิ่งกลับมาทางเดิม ก็เจอรถยนต์มีประทุนคันหนึ่งแล่นมาขวางเอาไว้แล้วมีชายฉกรรจ์ 3 คนกระโดดลงมาช่วยกันจับกุมหญิงสาวผู้ดิ้นรนสุดชีวิต และลากตัวเธอไปขึ้นรถ ๆ กดแตรดังลั่น วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อเหลียวหลังค้าง มองตามไปดูจนรถเลี้ยวโค้งหายไป
หลวงพ่อสะอื้นในอก รำพึงแผ่วเบากับตัวเองว่า
"ประชาชนผู้ยากแค้นแสนสาหัส ไร้ที่พึ่งเทียวหนอ !!!"
"รัฐบาลผู้ปกครองประเทศไปอยู่เสียที่ไหน ? และพวกเขาทำอะไรกันเล่า ?"
"โลโก ปตฺถมฺภิกาเมตตา เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก
บัดนี้หมด ไปจากหัวใจคนแล้วหรือไฉน ?"