พญาโคร่งดำโพธิสัตว์
· โดยจักร สุธาธรรม

·
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระเจ้าจักรพรรดิราชพระองค์หนึ่ง เพิ่งเสร็จสงครามมาใหม่ ๆ มีพระทัยฟูฟ่องผยองในพระราชอำนาจราชศักดิ์ของพระองค์ยิ่งนัก ทรงโปรดกีฬาล่าสัตว์เป็นชีวิตเป็นพระกมลสันดาร ทรงสร้างสวนสัตว์ขนาดใหญ่มหิมา แล้วรวบรวมสัตว์ป่าทุกชนิดมาไว้เป็นจำนวนมาก
มีเสือโคร่งดำหนุ่มขนาดใหญ่มากตัวหนึ่ง ลักษณะท่าทางองอาจห้าวหาญ มันถูกเลี้ยงไว้ในกรงใหญ่แห่งนี้ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างพระราชาจริง ๆ และได้รับพระราชทานศักดินาชั้น พระยา มีนามจารึกในใบลานทองว่า พระยาโคร่งดำ ราชาแห่งสรรพสัตว์
เนิ่นนานมาหลายสิบปี เสือดำมิเคยมีความสุข วันหนี่งมันจึงตัดสินใจด้วยแผนการณ์อันเด็ดเดี่ยวและแตกหัก มันสามารถฟังและพูดภาษาคนได้แต่มันเก็บความลับนี้ไว้ตลอดมา เย็นวันหนึ่งมันจึงตัดสินใจเอ่ยปากพูดกับนายสัตวบาล ผู้ซึ่งมาเลี้ยงดูให้อาหารอย่างดีแก่มันทุกวัน ๆ ว่า
“นายสัตวบาลเอ๋ย จงปล่อยเราออกจากกรงอันคับแคบนี้เสียทีเถิด เพราะกรงทองแห่งนี้แม้อย่างไรก็มิใช่วิสัยแห่งเราที่จะอยู่”
ซึ่งเป็นเหตุให้นายสัตวบาลตกตะลึงไป แล้วกลับกลายเป็นความยินดีปรีดาอันยิ่งใหญ่ ถึงกับรีบผละจากไปบอก มหาอำมาตย์ ในพระราชวังให้ออกมาดูด้วยตนเอง ทีแรกมหาอำมาตย์ก็ยังไม่เชื่อสนิทนักว่าเสือพูดได้ ครั้นมาถึงกรงขังเสือดำแล้ว ก็ให้อาหาร แล้วจึงพูดว่า
“ราชาแห่งสัตว์ทั้งหลายมีสัญญลักษณ์อันใดหนอ จึงสมควรแก่ความเป็นราชา?”
เสือดำจึงพูดตอบเป็นภาษามนุษย์ว่า
“ท่านเสนาบดี ท่านย่อมมีเกียรติยศปรากฏไกลไปว่า เป็นผู้ทรงภูมิปัญญาอันล้ำลึก สามารถคิดอุบายต่าง ๆ จนพิชิตสงครามใหญ่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือ ผู้รักอิสรภาพ จงให้อิสรภาพแก่เราเถิด แล้วท่านจะได้เห็นความเป็นราชาแห่งเหล่าสัตว์ทั้งหลายจากเรา เมื่อเราอยู่ในกรงทอง เรามิได้มีแว่นแคว้นเป็นกษัตริย์ผู้ไร้ราชบัลลังก์ไร้แดนดินถิ่นที่อยู่ ท่านจึงมิอาจเห็นความเป็นราชาที่แท้จริงแห่งเรา เราจึงเป็นเพียงราชาผู้หลบซ่อนอยู่ ผู้ที่ปราศจากแว่นแคว้น และไร้แม้อิสรภาพอันเป็นสิทธิสามัญพื้นฐานของสัตว์ทั้งหลาย”
“ท่านพญาเสือโคร่งดำ ท่านกล่าวคำเหล่านี้ ฟังความหมายแปลกไปกว่าสัตว์อื่นทั้งหลาย เพราะเหตุใดสัตว์อื่นทั้งหลาย จึงไม่ปรารถนาเช่นเดียวกับท่าน เราเห็นพวกเขาอยู่อย่างมีความสุข มีที่อยู่อันปลอดภัย มีอาหารเหลือเฟืออิ่มโดยมิพักออกแรงไล่ล่าเทียวหาเหมือนแต่ก่อน นอกจากนั้น ยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนน้ำขุนนางเท่าเทียมกับมนุษย์”
“จงดูพญานกอินทรีเถิด แม้จะอยู่ในกรงทอง แต่ก็ไม่เหมือนอยู่ในฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล สิงโต เสือ หมี ช้างทั้งหลายต่างก็ปรารถนาเช่นเดียวกับข้าพเจ้านี่แหละ หากแต่พวกเขาพูดไม่ได้เหมือนข้าพเจ้า แม้กระทั่งกวาง ฟาน นกยูง สัตว์เล็กน้อยทั้งหลายก็มีความปรารถนาเช่นนั้น”
“ก็ทำไม่สัตว์บางพวกปล่อยแล้วก็ยังคงหวลกลับคืนมาเล่า ?”
“พวกมันเหล่านั้น มีอุปนิสัยเพียงดังข้าทาส ผู้โลภและโง่เขลา เท่านั้นเอง ส่วนข้าพเจ้าเป็นราชา เรามิได้พอใจในความเป็นทาส ฉะนั้น นี่คือ สัญลักษณ์แห่งความเป็นราชา ผู้รักอิสระภาพ ผู้รักความเป็นไทเท่านั้นจึงจะสมควรแก่ความเป็นราชา”
มหาอำมาตย์ผู้นั้น มีความปลาบปลื้มใจเป็นอันมาก เชื่อแน่อย่างไม่สงสัยว่า ราชาเสือดำ พูดภาษามนุษย์ได้ คิดในใจว่าเมื่อเล่าให้พระเจ้าจักรพรรดิฟังแล้ว จะต้องทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง และอาจทรงปูนบำเหน็จรางวัลหรือราชอิสริยยศให้เป็นพิเศษ จึงรีบนำความเข้ากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ แต่ พระเจ้าจักรพรรดิทรงตรึกด้วยความสงสัยตามวิสัยบัณฑิต ว่า
“แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยปรากฏว่า สัตว์พูดภาษาคนได้ แต่มหาอำมาตย์ ผู้เคยร่วมรบศึกเคียงไหล่เรามาตลอดยุคสมัยก่อตั้งจักรวรรดิบอกชัดเจนเช่นนี้ น่าจะมีอะไรแอบแฝงอันยิ่งใหญ่ อย่าเลยเราจะพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง”
พระเจ้าจักรพรรดิจึงเสด็จไปป้อนอาหารแด่พระยาเสือดำตัวนั้น แล้วทรงถามอย่างเดียวกับมหาอำมาตย์ถามว่า
“ราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย มีสัญลักษณ์อันใดหนอจึงสมควรแก่ความเป็นราชา?”
แต่กลับปรากฏว่าเสือโคร่งดำ ไม่มีกริยาส่อว่าฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง พระเจ้าจักรพรรดิทรงเสด็จมาป้อนอาหารแด่เสือโคร่งดำต่อมาอีกจนครบวันที่ 7 และได้ถามคำถามเดียวกันนั้นทุกวัน ๆ แต่ก็ไม่ทรงได้ยินคำตอบของพญาโคร่งดำ อย่างที่มหาอำมาตย์ไปเพ็ดทูลเลย ให้บังเกิดความสงสัยในพระทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเข้าพระทัยไปว่า จะต้องเป็นแผนการร้ายของมหาอำมาตย์คบคิดกับพวกพ้องก่อกบฎคิดคดต่อราชบัลลังก์อย่างแน่นอน เมื่อทรงปักพระทัยชัดลงไปเช่นนั้น ก็ทรงพระโมหะเกลื่อนกลุ้ม มีพระพิโรธแรงร้ายสุดหักห้ามพระทัย ทรงบัญชาให้จับตัวมหาอำมาตย์และนายสัตวบาล พร้อมโคตรวงศ์ 7 ชั่วโคตร กับพรรคพวกบริวารทั้งสิ้นของมหาอำมาตย์นั้นไปประหารชีวิตเสียโดยพลันทันที มิพักต้องฟังข้อกล่าวหาหรือให้โอกาสอุทธรฎีกาใดใดทั้งสิ้น อันเป็นธรรมเนียมกวาดล้างเสี้ยนหนามแห่งราชบัลลังก์ในยุคนั้นสมัยนั้นอย่างถอนรากถอนโคน โดยบารมีอันยิ่งใหญ่ของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นเผด็จการสมัยนั้น ยังความเศร้าโศกตื่นตะลึงไปทั่วทั้งแผ่นดิน แล้วทรงตั้งมหาอำมาตย์คนใหม่ และ นายสัตวบาลคนใหม่ไปดูแลพญาโคร่งดำแทน
ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่มหาอำมาตย์คนใหม่มาป้อนอาหารแด่พญาเสือดำ ได้ดำริในใจว่า มหาอำมาตย์องค์ก่อนถูกประหาร 7 ชั่วโคตรเพราะอะไรหนอ…? เพราะคำถามนี้ มิใช่หรือ คำถามที่ว่า “ราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย มีสัญลักษณ์อันใดหนอจึงสมควรแก่ความเป็นราชา ?”
เพียงรำลึกในใจเท่านั้นเอง หากแต่พญาเสือโคร่งกลับเอ่ยคำตอบออกมาโดยชัดเจน เป็นภาษาคนว่า
“ท่านเสนาบดี ผู้ทรงภูมิปัญญาสุขุมล้ำลึก ราชาแห่งสัตว์ทั้งหลายคือผู้รักอิสรภาพ จงให้อิสรภาพแด่เราเถิด แล้วท่านจะได้เห็นความเป็นราชาแห่งเรา ท่านจะได้เห็นเราพร้อมแว่นแคว้นอันสง่างามของเรา”
มหาอำมาตย์ ก็ต้องตกตะลึงไป ดำริว่า เป็นความจริงหนอ ๆ ๆ !!! แล้วก็ตั้งคำถามเอากับพญาโคร่งดำต่อไปอีก เช่นเดียวกับมหาอำมาตย์คนก่อนว่า ทำไมสัตว์จำพวกอื่นจึงมิคิดแสวงหาอิสรภาพเฉกเช่นเดียวกับท่านบ้าง พญาโคร่งดำก็ให้คำตอบเสมือนเดิมที่เคยตอบมหาอำมาตย์คนก่อนไปแล้ว พร้อมกับสรุปว่า
“ส่วนพวกมันที่ปล่อยแล้ว ยังกลับคืนมาอีก พวกมันเหล่านั้น มีอุปนิสัยเพียงดังทาส ผู้โลภและเขลาจัดเท่านั้นเอง แลพวกมัน ย่อมพอใจในความเป็นทาสเช่นนั้นไปชั่วชีวิต ส่วนเรา เป็นราชา ย่อมมิพึงพอใจ ย่อมดิ้นรนเพื่อพ้นไปเสียจากความเป็นทาส ฉะนั้น นี่คือสัญลักษณ์แห่งความเป็นราชา ผู้รักอิสรภาพผู้รักความเป็นไทเท่านั้น จึงจะสมกับความเป็นราชาแห่งหมู่สัตว์ทั้งหลาย”
จากวันนั้นเป็นต้นมา มหาอำมาตย์ก็มาป้อนอาหารแด่พญาโคร่งดำเป็นประจำ เพราะได้รู้ธรรมะจากพญาโคร่งดำ ๆ มีภูมิธรรมปัญญาอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ และยิ่งถามไปเท่าไรก็ไม่จนปัญญาที่จะตอบ เพียงดังพญาโคร่งดำโพธิสัตว์ ก็ไม่ปาน และแล้วไม่นานก็เป็นที่สังเกตของคนทั้งหลาย จนเกิดเสียงเล่าลือกันไปว่ามหาอำมาตย์ถึงแก่สติวิปลาสไปแล้วเพราะออกมาพูดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวข้างกรงเสือดำทุกวัน ๆ พระราชาทราบข่าว จึงทรงแปลกพระทัย แอบมารอซุ่มฟังคำสนทนาระหว่างมหาอำมาตย์กับพระยาโคร่งดำ อยู่ต่อมาหลายราตรี จึงนึกรู้ว่า นี่มิใช่เสือธรรมดา หากแต่เป็นพญาโคร่งดำโพธิสัตว์ เมื่อทรงทราบความจริงว่า พญาโคร่งดำเป็นสัตว์ที่พูดภาษาคนได้จริงก็ทรงพระกรรแสงโศกเศร้าพระราชหฤทัยเป็นอันมาก กับการที่ทรงสั่งประหารอำมาตย์ผู้ซื่อสัตว์เพื่อนร่วมรบในสงครามหลายต่อหลายครั้ง โดยพรากมาถึง 7 ชั่วโคตรโดยไม่มีความผิดแต่อย่างใดเลย นอกจากนั้นก็ยังทรงสั่งประหารนายสัตวบาลผู้ซื่อสัตย์พร้อมโคตรวงศ์ 7 ชั่วโคตรตายตกไปตาม ๆ กันอย่างไม่ยุติธรรมอีก ทรงรำลึกความบาป ทรงเห็นบาปจากผลกรรม ที่ได้กระทำไปอย่างไร้คุณธรรมใดใดเช่นนั้นแล้วทรงนึกละอายพระทัยและทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก
และแล้วก็มาทรงดำริด้วยเชาวน์ปัญญาว่า “เหตุที่เราได้ประกอบกรรมบาป มีความผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ไปเช่นนั้น ก็เพราะเราเป็นเพียงราชาปุถุชนเท่านั้นเอง เรามิใช่ราชาโพธิสัตว์ อย่างพญาโคร่งดำโพธิสัตว์ตนนั้น”
“พระพุทธองค์ตรัสไว้ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน อันเป็นปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ว่า “อมนฺตยามิโว ภิกฺขเว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ : ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เราตถาคตขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” ตราบที่เราเป็นปุถุชนอยู่ยังไม่สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลอรหันต์ในพระพุทธศาสนาตราบใด เราย่อมได้ชื่อว่า ดำรงชีพอยู่อย่างประมาทอยู่ตราบนั้น เราจึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นในอำนาจราชศักดิ์ ที่เรามีอยู่ อันไม่ใช่สัจธรรมนำไปสู่ความไม่ประมาทเสียได้”
นี่เป็นคำพูดของเสือตนนั้น ที่พระเจ้าจักรพรรดิแอบฟังแอบได้ยินแล้วบังเกิดหวั่นไหวในพระทัย โดยทรงดำริว่าคำสอนเหล่านี้มีแต่คำสอนของเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น พระเจ้าจักรพรรดิทรงดำริเช่นนั้นแล้ว จึงทรงออกจากที่หลบซ่อน สำแดงพระองค์ให้ปรากฏ ทรงน้อมพระองค์คารวะแด่เสือดำโพธิสัตว์ตนนั้น แล้วตรัสด้วยคำอ่อนหวานเป็นปิยวาจาว่า
“เราขอคารวะแด่พญาโคร่งดำหน่อเนื้อเชื้อไขพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย เราได้แอบฟังการแสดงธรรมะของท่านก็จริง แต่เราก็ได้เข้าใจทราบซึ้งในพระธรรมอันลึกซึ้งที่ท่านแสดงนั้น จนทำให้เราได้รู้และสำนึกในบุญและบาป และเราได้พบสัจธรรมแห่งเราเองว่าดั่งนี้ ท่านพญาโคร่งดำโพธิสัตว์ เราได้พบสัจธรรมว่า เรานั้นแท้จริงเป็นแต่เพียงราชามหากษัตริย์เจ้าปุถุชน ย่อมมิอาจพ้นไปจากธรรมะแห่งความประมาท อันเป็นที่มาแห่งอวิชชา อาจพาก่อโทษภัยบาปอันมหันต์ได้ เฉกเช่นเดียวกับที่เราได้กระทำบาปอันยิ่งใหญ่ไปแล้วกับมหาอำมาตย์และนายสัตวบาลผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีของเราเอง โดยเขลาอวิชชาสั่งประหารโคตรวงศ์พร้อมทั้งบริวารทั้งหลายของพวกท่านเหล่านั้น ด้วยโมหะด้อยปัญญาด้วยถืออำนาจเป็นใหญ่ อย่างไร้ความเป็นธรรม น่าอับอายยิ่งนัก เพื่อตอบแทนพระคุณท่านที่ได้แสดงธรรมให้เราได้รู้ชั่วและดี ได้รำลึกบาปอันยิ่งใหญ่ เราขอตอบแทนด้วยการคืนอิสระภาพให้แก่ท่าน เราจักคืนความเป็นราชาให้แด่ท่านพญาโคร่งดำ พร้อมทั้งบริวารของท่านทั้งหลายในสวนสัตว์แห่งนี้ สัตว์เหล่าใดปรารถนาความเป็นอิสระภาพ จงไปเถิด กระนั้นเราก็จักมิพึงพอใจในเหล่าสัตว์ผู้เป็นทาส ทาสที่ปล่อยแล้วยังกลับคืนมาสู่คอกทาสเหมือนเช่นเดิม ท่านพญาเสือดำโพธิสัตว์ เราจะขอล้างบาปที่ได้ทำไว้แด่มหาอำมาตย์และนายสัตวบาลของเราอย่างไรดี ?”
“ขอพระองค์ทรงให้แผ่นดิน ป่าและภูเขา เพื่อข้าพระองค์และบริวารทั้งสิ้นได้อยู่อาศัย และประพฤติธรรมตามรอยโพธิวงศ์พุทธเจ้า เพื่อพระพุทธศาสนางอกงามจำเริญสืบต่อไปตราบกัลปาวสาน”
จักรพรรดิราชเจ้าได้สดับแล้ว ทรงชื่นชมเป็นอันมาก ทรงดำรัสในทันใดว่า
“พญาโคร่งดำ เราขอให้คำมั่นสัญญาว่า การณ์ย่อมจักเป็นไปตามที่ท่านประสงค์ทุกอย่าง และเราขอปวารณาเป็นพุทธศาสนิกไปตราบแต่นี้ ขอให้เราจงได้อาศัยใบบุญกุศลครั้งนี้ ได้ร่วมในพุทธวงศ์ ร่วมในพระพุทธศาสนาไปทุกชาติ ๆ ตราบเท้าเข้าสู่มหานิพพานตามรอยบาทพระพุทธเจ้าบรมศาสดา เทอญ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พญาโคร่งดำและบริวารก็ได้อยู่อาศัยในป่าพระราชทานตลอดไปอย่างมีความสุข
ภิกฺขุ วิสฺสาสมาปาทิ อปฺปตฺโต อาสวกฺขยํ
ภิกษุ ! เธอยังไม่ถึงความสิ้นอาสวะแล้ว อย่าได้ถึงวิสสาสะ.{คือความนอนใจ}
- จาก ขุ.ธ. 25/51. สำนวนแปล สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ดู ธรรมวิจารณ์ ส่วนปรมัตถปฏิปทาและส่วนสังสารวัฏฏ์ มหามกุฏราชวิทยาลัยจัดพิมพ์ครั้งที่ 20/2501 หน้า 74 - 75