ประวัติของผม พระพยับ ปญฺญาธโร
พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ ๓
ตอน 8
เมื่อผมเล่าประวัติของผมเองมาถึงตอนที่ 7 ที่ลงพิมพ์ในดีฉบับที่แล้ว (ดี ประจำเดือน มี.ค.-เม.ย.-พ.ค.-มิ.ย.2541) ผมได้รับจดหมาย ข้างในมีเพียงกระดาษ ขาว 1 แผ่น กับข้อความ 8 บรรทัด ไม่บอกชื่อ ที่อยู่ใดใดทั้งสิ้น ข้อความ8 บรรทัด นั้น ว่าดังนี้
๑“นักปราชญ์ทั้งหลายผู้มีสติปัญญา ใครจะมาประกาศขายตัวว่าตนเป็นผู้
๒มีธรรมขั้นสูงหรือบรรลุธรรมนั้น เพราะมิใช่ปลาเน่าที่จะประกาศขาย
๓ให้แมลงวันตอมเล่น ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากผู้จะบรรลุธรรมขั้นนั้นก็
๔ต้องเป็นผู้ที่มีความฉลาดอย่างพอตัว และควรแก่ธรรมนั้นอย่างเต็ม
๕ภูมิจึงจะบรรลุได้ แล้วใครจะยอมโง่มาประกาศขายตัวให้นักปราชญ์
๖สมเพชเวทนา ให้คนพาลหัวเราะเยาะ ให้คนหูเบาเชื่อง่ายไม่มีเหตุผล
๗รับเชื่อและตื่นข่าวไปตาม ๆ กัน เหมือนกระต่ายตื่นตูมฟ้าถล่มฉะนั้น
๘(ตอบหน้า 62-63 ดีประจำเม.ย.-มิ.ย.41)”
ข้อความนี้ ทำให้รู้สึกว่าในเมืองไทยเรา ยังมีท่านผู้รู้ ฉลาดล้ำลึก ทรงภูมิปัญญาอยู่อีกมาก แต่ท่านเหล่านั้นมักจะหลีกเร้นหรืออย่างไร
ความหมายแห่งถ้อยคำจากท่านผู้ซ่อนภูมิปัญญาไว้ลึกซึ้งในตัวอักษร 8 บรรทัดนั้นเป็นอย่างไร ขอให้ท่านผู้อ่านประวัติของผมได้พินิจพิจารณาเอาเอง และผมรู้สึกว่า ข้อความข้างต้นมีคุณค่าที่ผมยินดีที่ได้มาประดับในประวัติชีวิตของผมช่วงนี้ ด้วยความขอบคุณท่านเจ้าของข้อความนั้นเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าความหมายแห่งถ้อยคำนั้นจักเป็นอย่างไร (+ หรือ -) ก็ตาม
ก่อนที่ผมจะดำเนินเรื่องประวัติของผมต่อไป ขอออกตัวก่อนว่า ผมเริ่มเขียนประวัติของผมชุดนี้ขึ้นพร้อมกับการออกหนังสือพิมพ์ดี คือปี พ.ศ.2540 อันเป็นปัจจุบันนี้เอง ผมประสงค์จะบอกว่า ผมเขียนเรื่องของผมเองอย่างคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง คนที่มีอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ๆ คนทั้งหลาย มิใช่คนพิเศษแต่อย่างใด เป็นผู้ที่มีความรู้สึก ก็ล้วนเป็นความรู้สึกอย่างคนทั้งหลายรู้สึกกันทั้งสิ้น เช่นเห็นรูปผมก็รู้ว่ารูปนั้นสวยงามหรือขี้เหร่ ผมก็รู้สึกเช่นเดียวกับคนทั้งหลายรู้สึก เห็นสตรีสวยงาม ผมก็รู้สึกว่าสวยงามเช่นกัน หูได้ยินเสียงเพลงฟังไพเราะ ผมก็รู้สึกว่าเสียงเพลงนั้นฟังไพเราะ ลิ้นก็รู้รสอาหาร ชนิดนั้นชนิดนี้ว่าอเร็ดอร่อยอย่างไร มีกันหลายหลากรสชาติอย่างไรก็รู้ ๆ พอ ๆ กับคนปกติธรรมดา ๆ ทั้งปวง ดอกไม้บานหน้าฝนฉ่ำ มีดอกพุทธา ดอกอินถวา ดอกมลิขึ้นริมรั้ว ริมฝั่งห้วย ส่งกลิ่นหอมหวลอย่างไร ผมก็รู้สึกหอมอย่างนั้นลมหนาวหน้าหนาว และร้อนอบอ้าวปานตับจะแตกในหน้าร้อนที่อีสาน ผมก็ได้รับสัมผัสที่ผิวกายอย่างนั้นเช่นเดียวกัน กล่าวโดยย่อก็คือ อายตนะทั้งหก ไม่ว่านอกหรือในของผมก็เป็นไปอย่างคนธรรมดา ๆ ทั้งหลาย ฉะนั้น ในขณะนี้ผมจึงมิใช่คนวิเศษ เช่นที่ผมเคยรู้สึกอยู่ครั้งหนึ่งว่าผมเป็นคนวิเศษ ในปี พ.ศ.2512 ที่ผมเผาตำหรับตำราทิ้งแล้วไปจำศีลในสวน ศึกษาธรรม แต่ห้ามตัวเองอ่านพระไตรปิฏกอย่างเด็ดขาด ในโศลกสามบท นั่นแหละที่บ่งบอกความหมายว่า ผมคิดว่าผมเป็นผู้วิเศษ ถึงกับประกาศตนว่าเรามิใช่มนุษยโลก คือ ประกาศว่า “ด้วยเรา มิใช่ชาวโลก ด้วยเรา มิได้มา เพื่อจักเอา แต่เรามา เพื่อจักให้ ดูกร เราเกิดมาเพื่อภาระอันนี้ แลวันตายได้กำหนดเพื่อเรา และเครื่องหมาย อันกำหนดเราขณะอยู่ คือแสงสว่าง และค่าแห่งเรานั้น ไม่มี….” เป็นต้น
ฉะนั้น การมองย้อนกลับไปในอดีตของผม จึงเป็นการมองแบบคนธรรมดา ๆ เอาความรู้สึกของคนธรรมดา เป็นมาตรฐานแห่งการวิเคราะห์ นี่คือสิ่งที่ผมประสงค์จะเล่า เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเจตนาที่แท้จริง ของการที่ผมเล่าประวัติของผมเอง อย่างค่อนข้างตรงไปตรงมา จนบางอย่างบางตอน บางเรื่อง ดูคล้ายว่าอวดดีอวดเด่นก็ได้ ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ประสงค์เช่นนั้น ประสงค์ให้ได้เห็นการคลี่คลาย ปรับเปลี่ยน ไปไม่คงที่แห่งพฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรมภาคภายใน หรือนามธรรม ว่าไม่เคยหยุดนิ่งตายตัวอยู่กับที่ หากแต่เปลี่ยนแปลงไป เสมอ ซึ่งบางช่วงเวลาก็เป็นไปอย่างธรรมดา ๆ บ้าง โลดโผนพิสดารไปต่าง ๆ บ้าง ฯลฯ อะไรคือตัวปัจจัยเหตุ แห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น และทิศทางที่เป็นไป เป็นอย่างไร ประโยชน์ที่ได้คืออะไร (เช่นการอยู่ในอิริยาบถ 3 ให้ประโยชน์อย่างไร หากผมไม่พูดให้ฟัง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเข้าใจหรือคาดเดาได้) นี่คือจุดประสงค์ที่ผมประสงค์จักให้ดู จากประวัติชีวิตของผม อนึ่ง ผมเองก็ได้รู้สึกเป็นหนี้เรื่องประวัติบุคคลอยู่มาก เพราะการอ่านประวัติบุคคลสำคัญ ได้ช่วยสร้างนิสัยอันยิ่งใหญ่ อนึ่ง ประวัติบุคคลนั้น ไม่ว่าคนชั่วหรือคนดี ล้วนอาจนำมาเป็นครูผู้บอกชี้เส้นทางแห่งชีวิตได้ทั้งสิ้น ฉะนั้น ประวัติของผม ผมต้องการให้เป็นประโยชน์เช่นนั้น นี่คือเจตนาที่แท้จริงในการเขียนประวัติชีวิตของผม ที่ผมเองเป็นผู้เขียนด้วยตนเอง และรับผิดชอบเอง
ผมยังข้ามเรื่องราว เมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ไปไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ขณะนั้นดูจะเป็นสิ่งที่กำหนดวิถีทางแห่งชีวิตทั้งชีวิตผมเลยก็ว่าได้ .

ดี 12