ประวัติของผม พระพยับ ปญฺญาธโร
พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3
ตอน 16
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(23).png)
พระผู้เขียนหลักสูตรมรรคผล
เมื่อผมได้เขียน "หลักสูตรมรรคผล" ขึ้นอย่างสมบูรณ์ แล้ว ก็เป็นที่พอใจของผมเอง พอใจว่า ภาระหน้าที่เฉพาะของผมได้เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว การตอบแทนบุญคุณแห่งพระพุทธศาสนาก็ถึงระดับที่สมบูรณ์ เป็นที่พอใจของผมเองแล้ว อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับหลักสูตรมรรคผล นี้ ยังมีรายละเอียดหลายอย่างที่ต้องการ กล่าวถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความพิเศษ ของคำแนะนำที่ใส่ไว้ในหลักสูตรมรรคผลนี้ ที่คนทั่วไป ยังคงมองแล้ว ไม่เห็นว่ามีความหมายอะไรอยู่ ก็มีมาก จึงยังจะมีการอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ที่อธิบายขยายความอธิบายเป็นส่วนประกอบ ขยายให้เกิดความเข้าใจดีขึ้น ยังมีอีกมาก และเป็น เรื่องราวที่จะเล่าได้ไม่มีการสิ้นสุดเลย
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง.png)
เป็นคนไม่พูดมาแต่เด็ก ๆ
ในวันนี้ ผมจะหวลมารำลึกชีวิตวัยเด็กอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เห็นว่าคนที่เขียนหลักสูตรมรรคผล ขึ้นมานี้ ได้สร้างชีวิตมาอย่างแปลก พิเศษ ไปกว่าชีวิตคนอื่น ๆ ทั้งหลาย อย่างไร
ประการที่ 1 ผมเป็นคนไม่พูดมาแต่เด็ก ๆ
ผมเป็นคนไม่พูดมาแต่เด็กๆ แม้เมื่อมาเรียนกรุงเทพแล้วก็ยังไม่พูด จำได้ว่าเมื่อพี่ ๆ น้อง ๆ มาชุมนุม กัน พวกเขาจะพูดกันจนผมไม่ต้องพูด พอผมทำท่าบ้าง พี่สาว(อาจารย์ประทิ่น แก้วจันทรา) ก็จะชิงพูดแทนและขึ้นต้นว่า "อาตมาภาพ...." เขาคงนึกว่าผมเหมือนพระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงเป็นชีวิตที่มีแต่การคิดและ ดิ่งลงไปลึก ๆ จนเป็น โลกของการคิดและตรึกตรองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่อมาผมจึงเข้าใจว่า นี่คือลักษณะของฌาน ระดับหนึ่ง ซึ่งมันได้เกิดเป็นมาพร้อมกับการเกิดของผม
ผมเป็นเด็กที่ไม่พูดไปเนิ่นนานตลอดวัยเด็ก แม้เข้าเรียนชั้นประถมแล้วในห้องเรียน ผมก็ยังไม่พูดกับใคร และการเรียนสมัยนั้นครู พาอ่านพาออกเสียงและก็ไม่ได้สอนให้พูด มีแต่สั่งให้ทำ และคอยตอบคำถาม เท่านั้น ผมมีเวลาที่ออกเสียงมาก ๆ ก็เฉพาะ ตอนเย็นก่อนเข้าห้องนอนที่ต้องอ่านและท่องหนังสือแต่นาน ๆ ไปผมก็อ่านในใจได้ ก็เลยอ่านไม่ออกเสียง ไม่ได้ฝึกการพูดไปอีก จนพ่อผมชมผมให้เพื่อนครูฟังว่าผมอ่านหนังสือในใจได้ ผมก็เลยไม่ออกเสียงอีก
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(1).png)
มาเรียนกรุงเทพก็ยังไม่พูด
จำได้ดีว่าเมื่อผมไปเข้าโรงเรียนในกรุง ที่ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา วันเปิดเทอมแรก มีพวกรุ่นพี่ ๆ 4-5 คนมาล้อมรอบผม ผมสังเกตว่าคนกลุ่มนี้พูดกันไม่รู้หยุด พูดไปหัวเราะกันไปอย่างร่าเริง ประหนึ่งว่าไม่รู้จัก ความทุกข์ยากลำบาก ผมยังจำได้ คนหนึ่งตาโตน่ารักชื่อทิพวัลย์ ถามว่าน้อง อยู่ห้องไหน ผมตอบว่าอยู่ห้อง 224 (อาคารที่2ห้อง24) เขาก็เรียกเพื่อน ๆ เขามา ได้ยินเขาเรียกเพื่อนเขา ผู้ซึ่งทำท่าเป็นหัวหน้ากลุ่มว่า ม.ร.ว. จิรประภา มานี่สิ น้องคนนี้อยู่ห้องคิงเสียด้วย (เสียงเน้นว่า มอรอวอ. จิรประภา ต่อมาผมจึงรู้ว่าเป็น หม่อมราชวงศ์หญิง จิรประภา เกษมสันต์ ญาติ ๆ ของ ม.ร.ว.สุประภาดา เกษมสันต์ อาจารย์สอนวิชาภาษาและวรรณคดีขณะนั้น ซึ่งต่อมาท่านไปเป็นราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง ซึ่ง ชื่อคนในโรงเรียนใหม่ของผมดูฟังไพเราะ ๆกันทั้งนั้น แม้กระทั่งเพื่อนชื่อ นลินี อัศวนนท์ สกุลเดียวกับดาราดังสมัยนั้นคือ อมรา อัศวนนท์ ก็มี
แล้วรุ่นพี่พวกนั้นก็มาห้อมล้อมผม คล้ายว่ารับน้องใหม่ เป็นผู้หญิงทั้งนั้น แต่ละคนก็ถามจนผมไม่รู้จะตอบใคร พวกเธอ รุมกันถามด้วยภาษาที่ผมรู้สึกว่าไพเราะ แจ่มใส เป็นผู้ดี แต่ดูจะไม่ต้องการคำตอบจริง ๆ จัง ๆ อย่างไร ถามว่าน้องมาจากจังหวัดอะไรคะ? อ๋อ ศรีสะเกษ ที่มี เขาพระวิหาร ใช่ไหมจ๊ะ? สวยไหม? น้องเคยไปไหมล่ะ? อ้าว! (เพราะผมตอบว่าไม่เคยไป) อาหารล่ะ เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ? ลาบ รู้จักใช่ไหม? อร่อยนะ พูดถึงลาบแล้ว อยากทาน น้ำลายไหลเชียว พวกพี่ ๆ พูดไปสิบประโยคแล้ว ผมยังไม่มีคำพูด ท่าทีกริยา คิดไม่ออกว่า ผมจะพูดอะไร (ในขณะนั้นชาวกรุงเทพเพิ่งจะรู้จักอาหารอีสานคือลาบนี่แหละ เป็นรายการแรก ๆ และ ถูกใจ ชาวกรุงมาก จนเพื่อนคนหนึ่งเอาไปเขียนเรียงความ เขียน ลาภ ก็มี ผมก็บอกให้ว่าไม่ใช่เขียนอย่างนั้น เขียน ลาบ แปลว่าฟัก ย้ำ ๆ ลงไป แล้วไม่กี่ปีต่อมา คนกรุงก็ติดอาหารพื้น ๆ ของชาวอีสาน คือส้มตำอย่างสนิท)
นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมเข้าวัยรุ่นแล้ว ผมก็ยังคงไม่พูดอยู่เหมือนเดิม (ผมหมายถึงพูดสนทนา สนุก สนานร่าเริงกันด้วยการเย้าแหย่ หรือหยอกล้อด้วยคำพูดตามวิสัยเด็ก ๆ ทั้งหลาย)
แต่ถึงแม้ว่าผมจะพูดน้อย ก็ดูเหมือนเพื่อนผู้หญิงจะชอบมาพูดกับผม ผมยังจำได้ดี เพื่อนหญิงชื่อพัชนี ชอบมาชวนคุย เธอมาจากจังหวัดระยอง เธอถามผมว่า ที่ภาคอีสาน ฉันรู้ว่ามีแมลงชนิดหนึ่งอยู่ในขี้ควาย เขาเรียกว่าแมลงอะไรฉันก็จำไม่ได้ ตัวดำ ๆ ชื่อแปลก ๆ แล้วชาวบ้านก็เอาไปคั่วกินเป็นอาหาร เป็น ความจริงไหม? ที่ศรีสะเกษบ้านเธอมีแมลงชนิดนี้ไหม? ผมก็นึกรู้ ผมก็บอกเธอว่า มันไม่ได้อยู่ในขี้ควายแต่อยู่ ในดินใต้ขี้ควายไปอีกที มันจะมากินขี้ควายที่ขี้ออกมาใหม่ ๆ เท่านั้น ถ้าขี้ควายที่หมักดองในคอกควายจะไม่มี คนเรียกมันว่า แมงจุ๊ดจี่ คั่วสุกแล้วกินอร่อยจริง ๆ เธอ เล่าเรื่องเมืองระยองให้ผมฟัง เล่าเรื่องเกาะแก้วพิสดาร เธอยืนยันว่ามีเกาะชื่อนี้จริงที่ทะเลระยอง เล่า เรื่อง พระอภัยมณีและเกาะนางผีเสื้อสมุทรให้ผมฟัง ซึ่งในขณะนั้นเรื่องราว เหล่านี้ผมได้รู้มาอย่างดีจาก หนังสือกวีนิพนธ์ของท่านมหากวีสุนทรภู่แล้วจึงฟังด้วยความสนใจ แล้วเธอก็ชวนผมไปเที่ยวบ้านเธอที่จังหวัดระยอง เธอว่าระยองมีเงาะโรงเรียนกรอบอร่อยมากเธอไปแล้วจะชอบ (ขณะนั้นผมไม่รู้จักเงาะโรงเรียน ผมนึกว่าเงาะที่โรงเรียนปลูก คงจะมีเยอะในโรงเรียนต่าง ๆ) ผมฟังเธอแล้วนึกไม่ออกว่าจะพูดตอบโต้เธออย่างไร ผมคิด ๆ ดูแล้วนึกว่า ผมจะไปเที่ยวบ้านเธออย่างไร ไปกับเธอสองต่อสองนั้นหรือ เขาจะไม่เรียกว่าเป็นแฟนกันหรือ ก็นึกไม่ออกก็เลยไม่ตอบไม่พูดอะไร และดูเหมือนเธอมิได้พูดเล่น ๆ เพราะวันต่อมาเธอก็ถามว่า ว่าอย่างไร จะไปหรือไม่ไป แม้หลายวันหลายเดือนจน จวนถึงปิดเทอมก็ถามอีก แต่ผมดูเหมือนจะไม่ได้ตอบว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ผมยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่ชอบมาพูดคุยกับผมสองต่อสอง คนนี้อยู่นครศรีธรรมราชเธอชื่อสวัสนี(ชื่อเธอฟังเก๋ และดูเป็นผู้ดีมีสกุลในทัศนะของผม) เพื่อนชายบางคนเขาบอกว่าเธอเป็นแฟนผม เพราะชอบพูดกันสองคน และเธอก็ชวนไปเที่ยว บ้านของเธอที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่พูดว่าอะไร
นั่นคือความใบ้เบื้อของผมสมัยเป็นเด็ก ๆ และใช่ว่าเมื่ออยู่ในบ้านผมเองผมจะพูด ก็เปล่า อยู่บ้านยิ่งไม่พูดและนี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมชอบพูดกับหนังสือคนเดียวเงียบ ๆ มากกว่าและความตรึกตรองจึงกินลึก เจ้าความ "ตรอง"กับ "ตรึก" นี้เองคอยทำหน้าที่ถามแต่ว่า ทำไม? และ ทำไม? อยู่เสมอ
ผมมารู้จักพูด ก็เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว และสิ่งที่บันดาลให้รู้จักพูดขึ้นมาก็ไม่ใช่สิ่งไรเลย คือ ความรัก นั่นเอง เพราะดูเหมือนผมจะดูขี้อายเป็นใบ้เท่าไร ก็ดูเหมือนผู้หญิงจะชอบมาพูดด้วย และ เรื่องราววัยหนุ่มของผมก็ได้เล่าไปแล้วว่าเป็นอย่างไร ผมได้ต่อสู้กับตนเองในเรื่องอารมณ์รัก ความรักอย่างไรบ้าง ชีวิตวัยรุ่นที่ผมประสบ มีค่าอย่างยิ่งที่ผมไม่เคยลืมความขอบคุณต่อชีวิตช่วงนั้น และจริง ๆ แล้วผมแอบขอบคุณสตรี ๆ ที่ผมได้พบในวัยแรกรุ่นผู้ล้วนแต่งามงดหมดจด หาที่ติไม่ได้ในแต่ละคน ที่ได้เข้ามาก่อเกิด การเรียนรู้อย่างยิ่งใหญ่ในเชิงธรรมะในชีวิตช่วงนั้นของผม และทำให้ชีวิตผมได้พบศึกใหญ่ ในสงครามนามธรรมคือ ธรรมา-ธรรมะ สงคราม มาอย่างเหน็ดเหนื่อยทรหดอดทน ซึ่งเป็นสงครามที่ผมจะแพ้ไม่ได้ และกลายเป็นศึกที่ยืดเยื้อยาวนาน จนอ่อนใจว่าสงครามคงจบลง ในแบบที่ผมเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ มิใช่ความปรารถนาที่แท้จริง
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(2).png)
ไม่เคยมีของเล่นเหมือนเด็ก ๆ ทั้งหลาย
ประการที่ 2 ที่ผมขาดไปในวัยเด็กก็คือ ตลอดวัยเด็กของผมไม่เคยมีของเล่นเหมือนเด็ก ๆ ทั้งหลาย และทั้งพ่อ แม่ผมก็ไม่เคยถามว่าอยากได้อะไรบ้างไหม และไม่เคยทำของเล่นอะไรให้ผมด้วยซ้ำ เมื่อผมบวชมา แล้ว บังเอิญวันหนึ่งโยมที่นับถือร้านถ่ายเอกสาร เอารูปปั้นขนาดจิ๋ว รูปแมวกับ หมา 2 ตัว ถวายให้ ขณะเดียวกันก็มีโยมถวายบ้านเล็ก ๆ ให้ 1 หลัง ในขณะนั้นผมมอง ๆ แล้วนึกว่า จะเอาไปทำอะไรได้ ก็เอาไปวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ มาวันหนึ่งบังเอิญมอง ๆ ดู ก็รู้สึกว่าหมากับแมวมีชีวิตและบ้านเล็ก นั้นดูน่าอยู่ น่ารัก มีชีวิตชีวา ผมจึงค่อยเข้าใจความหมายของของเล่น และเมื่อระลึกย้อนหลังไป จึงพบว่า ผมได้ขาดชีวิตวัยเด็กไปแทบทั้งหมด
ในสมัยนั้นลูกคนมีฐานะ บ้านใกล้เรือนเคียงผม เช่นบ้านของตระกูล หาญบาง อำนวย กับ นงลักษณ์ สองพี่น้องรุ่นเดียวกับผม ดูจะมีของเล่นมากมายเอามาอวดเพื่อน ๆ อยู่บ่อย ๆ ที่ทันสมัยก็คือรถยนต์ เล็ก ๆ สีฉูดฉาดผมเห็นเพื่อนของผมเอาเชือกผูกลากไปลากมา แต่ผมเองดูแล้วก็ไม่เห็นว่าสนุกอย่างไร และดูเหมือนว่าผมจะมีความหยิ่งจนไม่อยากไปแตะต้องหรือขอเล่นของคนอื่น จึงไม่ ได้ขอเอา กับพ่อ แม่ผม และพ่อแม่ผมก็ไม่เคยพูดถึงเลย
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(3).png)
ผมเคยชอบฮบไก่
ผมพอมีเรื่องที่อยากเล่นกับเขาบ้างก็ครั้งหนึ่ง ในฤดูหนาว เช้า ๆ แถวบ้านชนบทของผม จะนิยม การตีไก่ จะมีเด็กหนุ่ม ๆ อุ้มไก่ชนเดินเลาะไปตามบ้านหลังนั้นหลังนี้ พอพบไก่ผู้ก็ปล่อยไก่ลงไปตีกัน ภาษา อีสานว่า ไปฮบไก่ พอโยนไก่ลงไป ไก่ก็แสดงความห้าวของมัน ก็สยาย ปรบปีกขันแจ้ว ๆ ท้าทายกันแล้วเผ่นเข้าตีกัน คนก็มาล้อมดู โห่ฮากันอย่างสนุกสนาน เจ้าของไก่ก็ไม่ว่าอะไร และไก่ก็ไม่ได้ตีกันจนเลือดตกยางออกอย่างไก่ชนในสังเวียนชนไก่ ผมก็อยากได้ไก่
ในขณะนั้นพ่อผมมีไก่ตัวโต ๆ ตัวโต้ง ๆ คือพวก ไก่โรด ไก่เล็กฮอน(ในขณะนั้นผมดูไม่ออกหรอกว่า พ่อผมเป็นคนทันสมัยมาก ๆ เป็นผู้นำทางด้านการเศรษฐกิจและการเกษตรรอบด้าน) วันหนึ่งพ่อผมก็คงรู้สึกขึ้นมาว่าน่าจะตามใจผมบ้างก็ บอกว่าจะจับไก่ให้ผม ทำให้ผมดีใจมาก เวลาที่ผม อยากได้ไก่นั้น ผมนึกไม่ออกว่าผมทำกริยาอย่างไร เพราะผมไม่ได้พูดและดูเหมือนจะไม่ได้แสดงกริยาอะไรแรง ๆ ออกมาเลย แต่แม่คงดูออกว่าผมอยากได้ไก่ และให้พ่อจับให้ พ่อก็ทำบ่วงที่รูดได้ (แบบของพวกคาวบอย ตะวันตกนั่นเอง)ก่อน แล้ววางบ่วงลงกับพื้นดิน แล้วเอาข้าวเปลือกหว่านลงไปที่บ่วงนั้น ไก่ก็มากิน แล้วก็ก้าวขา เหยียบ ลงที่บ่วง พ่อผมก็ กระตุกเชือก บ่วงก็รัดเท้าไก่ ไก่มันร้องฮก ๆ ๆ ๆ แล้วพ่อก็เอามาให้ผมอุ้ม มันตัวโตพอ ๆ กับผมนั่นแหละ ท่านบอกว่าถือเชือกไว้ให้ดีก็แล้วกัน พอพวกเด็กตีไก่เลาะมาถึง ผมก็ทำท่าว่า ให้มาตีไก่ผม ไก่ ผมก็ร้องฮก ๆ ๆ ๆ ในเชิงท้าทายไก่พวกนั้น พวกนั้นมอง ๆ ดู แล้วไม่สนใจ พากันเดินหนี ไปที่อื่น เพราะไก่ของเขาเป็นไก่พื้นเมือง ตัวเล็กกว่าไก่โรดของพ่อผมทั้งน้ำหนักก็เบากว่าเหมือนมวย คน ละรุ่น ของเขาไลท์เวท ส่วนของผมเฮฟวีเวท เขาก็ไม่กล้ามาตีด้วย และผมก็ไม่เคยเห็นคนพวกนี้ปล่อยไก่ พวก เขาลงตีกับไก่พ่อผมเลย นั่นดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์เดียว ที่พ่อและแม่ผมเอาใจผมบ้าง แต่ที่จริงผมก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพ่อแม่ผม นาน ๆ ครั้งจึงมีบ้างเท่านั้น
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(4).png)
ชีวิตที่ไม่มีวัยเด็ก
แต่สิ่งที่บอกว่าผมมีแต่ความเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็คือ ผมกับพ่อผมปฏิบัติต่อกันเหมือนไม่ใช่ พ่อกับลูก เวลาไปด้วยกัน พ่อจะเป็นคนออกคำสั่ง และผมก็ปฏิบัติตามทุกคำสั่ง เท่านั้นเอง นั่นแปลว่าผมไม่เคยขัดขืนคำสั่งพ่อผมเลย แม้ว่าผมจะรู้สึกว่าการปฏิบัติตาม เป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อย ยากลำบากและไม่สนุกเสียเลย นั่นเป็นเพราะผม เข้าใจเจตนาของท่าน ว่าท่านมิได้มีเจตนาร้ายเลย และผมก็ดูจะมีความเป็นตัว ของตัวเอง ที่ไม่ต้องการให้ ใครมาบังคับให้ทำอะไร ผมมีความรับผิดชอบด้วยตนเอง
เมื่อผมนึกย้อนหลังไปดูก็ พบเหตุการณ์ที่บ่งถึง ความเป็นผู้เคารพตัวเอง มีความรับผิดชอบดีของผม แต่สิ่งที่ท่านสั่งผมให้ผมทำมากที่สุดและผมไม่อยากทำที่สุดก็คือสั่งให้มานั่งใกล้ ๆ ขณะที่มีการ ล้อมวงคุยกัน ระหว่างท่านกับเพื่อนครู ข้าราชการ ที่บ้านผมเป็นประจำแทบทุกเย็น โดยที่ขณะนั้นผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าพ่อผมต้องการอะไร
ภายหลังมาย้อนระลึกดูจึงทราบว่า ท่านต้องการให้ผมได้รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากการสนทนาของคนหลาย ๆ ประเภท นั่นเอง แต่ใน ขณะนั้นผมไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายอยู่เหมือนกัน เพราะผมต้องคอยฟัง ว่าท่านกับเพื่อนครูของท่านพูดคุยอะไรกัน และอยู่จนดึกบ่อย ๆ ผมก็ทนนั่งฟัง อย่างไม่บ่นว่าอะไร จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้ไปได้
มีครั้งหนึ่ง เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ท่านให้ผมมา นั่งฟังการพูดคุยกัน เช่นนี้ มีตอนหนึ่งของการสนทนา ครูไพบูลย์ งามล้วน ได้เล่าเรื่องท่านไปดูหนัง อินเดียเรื่องรามายณะให้ฟัง(เวลานั้น ไม่ค่อยมีใครได้พบได้ดู ภาพยนต์ นอกจากนาน ๆ จะมีฉายในเมือง) แล้วท่านเล่าเรื่องตอนทศกัณฑ์มาลักนางสีดา ท่านว่า พระลักษมณ์ ขีดเส้นลักษมันไว้แล้วไปตามพระราม พอทศกัณฑ์เดินมาจะข้ามเส้นลักษมัน ไฟก็ฟู่ขึ้น ทศกัณฑ์ก็ไม่สามารถ จะข้ามไปได้ จึงออกอุบายหลอกนางสีดาให้ออกมาจากเส้นลักษมัน นางสีดาไม่เชื่อพระลักษมณ์ จึงถูกทศกัณฐ์ เอาตัวไป
พ่อผมบอกว่า ผมอ่านเรื่องรามเกียรติ์มาทะลุปรุโปร่งแล้ว จะว่าอย่างไร ผมก็บอกว่าตอนนั้นไม่มีใน หนังสือพระราชนิพนธ์ พวกสร้างหนังอินเดียคงเติมเข้าไปเอง (ภาพยนต์เรื่องนั้นผมก็ได้ดูในภายหลัง ที่โรงภาพยนต์เทกซัส) ทำให้ทุกคนทึ่งมากที่ผมกล้าโต้แย้งขึ้นกลางวงครู และพ่อผมพอใจผมมาก ท่านให้ผมเล่าว่า แล้วทศกัณฑ์ได้นางสีดาไปอย่างไร ผมก็เล่าไปจนจบ ผมเล่าว่านางสีดาตั้งสัจจะว่าตนซื่อสัตย์ต่อสวามีและอธิษฐานให้ตัวร้อน ทำให้ทศกัณฑ์ละเมิดนางไม่ได้ ทำให้ผมได้รับการยอมรับ และพ่อผมพอใจมาก(ท่านพอใจที่ผมมี ความคิดเห็นเป็นอิสระ และอ้างหลักฐานมาโต้แย้ง)
การที่พ่อผมมักเรียกหาผมให้มานั่งร่วม วงเช่นนี้ ที่ผม ลำบากที่สุดก็คือเมื่อ คณะสรรพสามิตจังหวัด มีอาผมเป็นหัวหน้าคณะ ที่ออกมาจับเหล้า แล้วตั้งวงสนทนากัน ไปกินเหล้ากันไปนั่นเอง แต่ผมก็อดทน จึงเป็นการฝึกจิตอย่างดีที่สุด ในด้านการฝึก ให้เป็นนักต่อสู้ทั้งทางรูป ธรรมและทางนามธรรมตั้งแต่เด็ก ๆ และทั้งเป็นการพหูสุตโดยตรง
เรื่องการให้ ผมมาร่วมฟังเช่นนี้ตอนหลัง เมื่อผมไปเรียนต่อในกรุงเทพแล้ว เมื่อปิดเทอมกลับมามักพบท่านพูดคุยกับคนจีน ท่านก็ให้ผมไปใกล้ ๆ และ นั่งอยู่ด้วยเหมือนเดิม ท่านบอกคนจีนคนนั้นว่าผมเป็นลูกชายคนโตไปเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพ สมัยนั้นชาวบ้านผมเรียกคนจีนว่า เจ๊ก และเรียกคนจีนคนนั้นว่า เจ๊กกุ๊ยกี่ ซึ่งเขาก็ไม่มีท่าทีขัดใจ ไม่พอใจแต่อย่างไร เจ๊กกุ๊ยกี่ เป็นพ่อค้าสุกร อยู่ตลาดอำเภออุทุมพร พิสัย ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ ต่อมาเป็น นายหน้าค้าขายโรงสีจนร่ำรวย เรื่องที่ท่านพูดคุยกันมักเกี่ยวข้องกับครูอีกผู้หนึ่งที่บ้านสวนฝ้ายคือครูใหญ่ไพฑูรย์ พรหมภา ที่เป็นเศรษฐี และเคยโดนโจรปล้นบ้านจนตัวเองบาดเจ็บเกือบเสียชีวิตมาแล้วจนคนร่ำลือไปทั่วอำเภออุทุมพรพิสัย แม้ผมอยู่กรุงเทพก็ได้ข่าว
ผมไม่เคยทราบเบื้องหลังการลงทุนสร้างอาคารร้านค้าที่บริเวณตลาด อำเภออุทุมพรพิสัยเลย ก่อนที่จะมาทราบเมื่อหลายปี ๆ ผ่านมาว่า ครูใหญ่ไพฑูรย์ได้หมุนเงินพ่อผม ให้ดอกเบี้ยเพียง 5 % แล้วไปปล่อยกู้ให้คนจีนอุทุมพรพิสัยสร้างร้านรวงหลายคูหาที่ปรากฏเป็นตลาดอุทุมพรพิสัยยุคแรก ๆ ที่ดูหรูหรา หลังสถานีรถไฟนั่นเอง และครูใหญ่ไพฑูรย์หมุนเงินแบบนี้จนร่ำรวย
เรื่องของผู้ใหญ่ที่ผมพอจะรู้ อยู่บ้างก็คือ ท่านทั้งสอง ฝ่ายหนึ่งมีลูกชาย (คือพ่อผม กับผม) อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว(คือครูใหญ่ไพฑูรย์ กับลูกสาว) ท่านก็อยากเกี่ยวข้องเป็นดองกัน แต่ความพยายามของท่านทั้งสองไม่เป็นผลหรือมีอุปสรรคทำให้เป็นไปไม่ได้ ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ของ กัลยาณมิตรหมางเมินไปอย่างน่าเสียดาย และภายหลังต่างก็ถึงที่สุดไปตาม ๆ กัน เหลือไว้แต่เรื่องเล่าสำหรับคนรุ่นหลัง
ในด้านพ่อผม พ่อผมก็มีปกติไม่พูดคุยกับผม ไม่เคยมีการหยอกเย้า หัวเราะด้วย ผมก็ไม่เคยเรียกร้อง ความสนใจ พ่อผมก็เห็นว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ท่านก็ให้เกียรติผมแบบผู้ใหญ่คนหนึ่ง เราจึงไม่มีการพูดคุย ไม่มีการ เอาอก เอาใจ ไม่มีการสนุกสนาน ไม่มีของให้เล่น และที่ผมรำลึกไปก็คือ ดูเหมือนผมไม่เคยเอ่ยคำว่า พ่อ ให้พ่อผมได้ยินเลย ในขณะที่ผมเห็นเด็ก ๆ คนอื่นเรียกกันว่า พ่อบ้าง ลูกบ้าง ผมกลับฟังด้วยความรู้สึกไปอีกอย่างหนึ่ง คือคิดว่าเป็นลักษณะของความอ่อนแอ
ผมมักคิดว่าเงินก็เงินของพ่อผม ไม่ใช่เงินของผม ถ้าขอก็เท่ากับเป็นหนี้ ผมคิดอย่างนี้มาแต่เด็ก ๆ จึงเป็นสิ่งที่ผิดจากเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ไปอย่างมากมาย และนั่นคือ สิ่งที่ผมกล่าวว่า ผมได้ผ่านชีวิตวัยเด็กมา อย่างไม่รู้สึกถึงความเป็นเด็กเลย ในขณะนั้นผมไม่ทราบด้วย ซ้ำว่าเด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้ เหมือนผมเลย
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(6).png)
เป็นเจ้าฉบับบ้องไฟใหญ่
ครั้นผมเติบโตขึ้นมา สิ่งที่พ่อไม่ห้ามผมเลยก็คือเรื่องกระสุนดินดำ เรื่องปืนแก๊ป ประทัด และดอกไม้เพลิงจน ผมได้มีโอกาสเอาปืนแก๊ปไปฝึกยิง และต่อมาก็ติดดินปืน จึงได้เป็นเจ้าฉบับบ้องไฟใหญ่ กลายเป็น โอกาส ของการบำเพ็ญตะปะในวัยรุ่น เป็นสิ่งที่ปูพื้นฐานความเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมของสังคมและชีวิตทั้งหลาย ให้ลึกซึ้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ ความพิศมัยไหลหลงกับประเพณีงานบุญต่าง ๆ ทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเพณีบุญ บ้องไฟ มาแต่เป็นเด็กได้กลายเป็นวิถีทางบำเพ็ญตะปะ ที่ประพฤติธรรมไปอย่างอุกฤตไม่รู้ตัว
นั่นคือ ประเพณีบุญบ้องไฟ ซึ่งเป็นประเพณีของท้องถิ่นของอีสานในช่วงฤดูกาลปักดำ ซึ่งผมมองดูอย่างซาบซึ้งตรึงใจ ว่าเป็นประเพณีที่แสดงการบูชาของหมู่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยในโลกนี้ แด่องค์พระผู้สูงส่ง ทางธรรมะคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผมทำบั้งไฟใหญ่ ต้องเที่ยวตะรอนไปตามกอไผ่ กอแล้วกอเล่า เพื่อเอาอุปกรณ์ทำบ้องไฟ ปีนั้นคนเขาเล่าว่าเห็นผมอยู่บนกอไผ่ทั้งวัน ไม่กินข้าวกินน้ำ
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(7).png)
ตำบ้องไฟอยู่ 15 วัน 15 คืน
แล้วผมก็บรรจุดินดำลงในกระบอกไม้ไผ่ ต้องใช้สากตำดินดำให้แน่นจนแก่นเป็นดุจท่อนเหล็กซึ่งนั่นเป็นสูตรการตำบ้องไฟ จึงต้องตำบั้งไฟอยู่ ถึง 15 วัน 15 คืน เป็นดินดำบรรจุลงไปหนักถึง 8 กิโลกรัม
ในสมัยนั้น บุญบ้องไฟเป็นบุญประเพณีพิเศษที่ไม่เหมือนประเพณีใดใดของที่ไหน ๆ เลยทั่วโลกก็ว่าได้ เพราะเป็นเอกลักษณะของประเพณีโดยแท้จริง ที่ไม่มีใครเหมือนก็คือการแสดงออกทางอารมณ์เพศ ซึ่งเมื่อ ถึงฤดูกาลบุญบ้องไฟ ก็เริ่มแสดงออกด้วยภาพต่าง ๆ มักเป็นศิลปเกษตรคือใช้จอบขุดแต่งเป็นภาพ เครื่องหมายทางเพศ ชาย หญิง ที่ใหญ่โตสะดุดตาไว้ตามถนนหนทาง ทางเข้าหมู่บ้าน เป็นต้น คนไปมาก็จะรู้ว่าสัญลักษณ์งาน บุญบ้องไฟมาถึงแล้ว ใช้มีดฟัน เฉาะเครื่องหมายทางเพศไว้ตามต้นไม้ต่าง ๆ บ้าง ระดับที่ละเอียดประนีตขึ้นมาก็ใช้ฝีมือแกะสลักท่อนไม้ เป็นรูปเพศชายขนาดใหญ่ หรือเพศหญิงขนาดใหญ่ และระบายสีด้วยสีแดง หรือสีอื่น ๆ ให้เห็นเด่น สำหรับ ผูกด้วยเชือกควายลากไปมาระหว่างมีงานบุญ ที่นิยมกันมากและใช้เทคนิคชั้นสูงขึ้นมาอีกก็คือทำเป็นตุ๊กตาคู่ ที่แสดงการร่วมเพศ มีคันไผ่เป็นสปริงสำหรับดึง ทำให้ตุ๊กตาคู่เคลื่อนไหวขยับร่วมเพศกัน ไว ๆ ช้า ๆ แล้วแต่ผู้ดึงดึงไวก็ไว ช้าก็ช้า ซึ่งดูอุจาด แต่ในงานบุญบ้องไฟจะไม่มีใครว่าใครได้ เพราะทุกคนต้องละอัตตาตัวตนลงชั่วคราว นอกจากภาพวาดหรือตุ๊กตาดังกล่าวแล้ว ประเพณีนี้ยังอนุญาติให้กล่าววาจาในเชิง บทกลอน หรือกาพย์เซิ้งที่เกี่ยวกับเพศอย่างหยาบคาย หยาบโลนอย่างไรก็ได้ แม้กระทั่งชายหนุ่มทำท่าทะลึ่งตึงตังเข้าไปขับกาพย์ขอร่วมเพศกับสาว ๆ ที่ยืนรวมกลุ่มกันมองดูอยู่ ก็ไม่มีใครว่า แม้แต่สาว ๆ เหล่านั้นก็ไม่ว่าอะไร เพราะทุกคนจะไม่ถือเนื้อถือตัวเลย ซึ่งนับว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสังคมเดิมอีสาน ที่น่าสนใจมาก และน่ามองว่าเป็นการสนองตอบต่อสถานการณ์ทางสังคมอีกแบบหนึ่งที่มีคุณค่าต่อสังคมเหมือนกัน แต่ยุคสมัยต่อมามี คนมองว่าหยาบคายเกินไป ก็ค่อยเลิกไป อย่างน่าเสียดาย ที่ไม่มีใครมองคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตวิทยาสังคมบ้าง ทำให้สังคมไม่มีทางออก เป็นเหตุให้เกิดความกดดันและคดีทางเพศเพิ่มขึ้น บุญบ้องไฟยุคนี้จึงได้กลับกลาย ไปอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นเพียงงานพนันขันต่อชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง หาคุณค่าทางวัฒนธรรมใดใดไม่มีเลย
บุญบ้องไฟคราวนั้น คณะกรรมการวัดบ้านเจ้าภาพคือบ้านยางเอือด ต.สำโรง ได้ประกาศตัดสินให้ บั้งไฟของผมได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทความสวยงาม รางวัล 50 บาท ผมขึ้นขี่บั้งไฟใหญ่ และออกท่าฟ้อนไปด้วย โดยมีประชาชนของผมหามแห่ไปรอบ ๆ บริเวณวัด และออกสู่ทุ่งนากว้างใหญ่ ที่เป็นเวทีบุญจุดบ้องไฟ
เป็นภาพที่สวยงาม สง่าผ่าเผย เพราะเป็นภาพเด็กหนุ่มสวมกางเกงขายาว สวมรองเท้าหนังหุ้มส้น และเสื้อเชิตสีสวยสดแขนยาว เวลาชูขึ้นโบกไปมา ดูดี และคนเขาพูดว่าเจ้าฉบับบั้งไฟที่ชนะเลิศความสวยงามนี้ เป็นนักเรียนกรุงเทพ (แทนที่จะเป็นผู้เฒ่า เจ้าฉบับผู้เชี่ยวชาญงานบ้องไฟ) รูปร่างงดงาม สาว ๆ ก็แหงนขึ้นดู (ถ้าเป็นสมัยนี้คงกรีดลั่น) และการ ขับกาพย์เห่กล่อมของขบวนฟ้อนก็อ่อนโยน ขบวนฟ้อนก็อ่อนช้อยสลวยงามด้วยความพากพูมใจ ก็ยิ่งโดดเด่น เที่ยววนไปรอบ ๆ ทุ่ง อวดโฉมไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
นี่คือการปักใจดื่มด่ำในความงามแห่งวัฒนธรรมการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็น เบื้องต้นแห่งการเรียนรู้วัฒนธรรมสากลอย่างแตกฉานต่อมา
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(8).png)
พ่อพาไปเล่นว่าวกลางทุ่งมืดมิด
และสิ่งที่ผมจดจำมาตั้งแต่วัยเด็กอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องว่าว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอีสานที่น่าหลงไหลอีกอย่างหนึ่ง
ความประทับใจไม่รู้ลืมเนื่องมาจากเหตุการณ์ในคืนวันหนึ่ง เป็นคืนข้างแรมที่มืดสนิท ตามความรู้สึก ของผม พ่อผมชวนเพื่อน ๆ ไปเล่นว่าว ที่ท้องทุ่งฟากตะวันออก ที่กว้างใหญ่ไพศาล ขณะนั้นเป็นวัยเด็กมาก ผมเป็นเพียงเด็ก เล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดเดิน เหมือนว่าผมเพิ่งจะเดินเป็นเท่านั้นเอง ท่านพาผมไปด้วยทำไมผมก็ไม่เข้าใจ น่าจะให้ผมเข้านอนเสียกับแม่ผม แต่เมื่อท่านบอกให้ผมไปด้วย ผมก็ไปด้วยโดยดี ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่อยากไปเลย เพราะผมกลัวความมืด แล้วก็วางผมไว้ ให้ยืนอยู่คนเดียวที่คันนา แล้วพ่อผมกับเพื่อน ๆ ก็ผละไป ผมได้ยินเสียงพ่อผมห่างออกไป ๆ จนไม่ได้ยินเสียงอีก ท่านเป็นคนวิ่งว่าว อีกคนหนึ่ง เป็นคนส่งว่าวอยู่ใกล้ๆ ผมได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัว เพราะมืดมาก จนกระทั่งผมคิดว่า ท่านจะเล่นว่าวกันได้อย่างไร เพราะ ขณะนั้นลมก็ไม่พัด แต่ผมได้ยินท่านพูด ๆ กันว่าลมกำลังลงมากระแสลมว่าวอยู่ไม่สูงนัก ฉะนั้นเวลาปล่อยว่าว จึงต้องมีคน 2 คน ๆ หนึ่งทำหน้าที่ปล่อยว่าว อีกคน ทำหน้าที่วิ่ง พร้อมกับดึงเชือกว่าวไปด้วย เพื่อให้ว่าว ปะทะกับลมแล้วซัดขึ้นไปจนถึงกระแสลมข้างบน ว่าวก็จะอยู่นิ่ง และธนูว่าวที่ต้องลมก็จะบรรเลงเสียงดนตรีธรรมชาติออกมา
ในคืนวันนั้น ผมมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ข้างหน้าเลย ได้ยินแต่เสียงกู่ตะโกนกันของคนปล่อยว่าว กับคนวิ่งว่าว เขาจะเริ่มให้สัญญาณดึงเชือกให้ตึงเสียก่อน จะร้องดัง ๆ มาแต่ไกลว่า ดึง จากปลายเชือก ด้านผู้วิ่ง ซึ่งแสดงว่าคลี่ม้วนเชือกที่ฟั่นด้วยป่านไปสุดม้วนแล้วและเตรียมพร้อมที่จะวิ่ง พอได้ยินสัญญาณว่าดึง คน ปล่อยว่าวก็จะยกว่าวขึ้นตั้งมือหนึ่งจับสายรั้งข้างหลังว่าว อีกมือหนึ่งเอื้อมไปจับเชือกที่ผูกติดกับเคาว่าว และ ดึง กระตุก ๆ ให้รู้ว่าดึงอยู่ และดึง ๆ ตอบโต้กันด้วยเส้นเชือก จนกระทั่งเชือกตึง เป็นเส้นตรง แล้วต่อไปคนปล่อยว่าวจะปล่อยมือข้างที่ดึงเชือก มาหันใบธนู เพื่อให้ใบธนูพลิ้วลมเวลาปล่อยว่าวขึ้น และชั่วอึดใจจากนั้น คนปล่อยว่าวก็จะให้สัญญาณวิ่ง โดยร้องยาวสุดเสียงว่า เอิ้ว! ซึ่งเป็นภาษาอิสาณ คล้ายจะแปลว่า เอาเลย อะไรอย่างนั้น แต่เป็นภาษานักเล่นว่าวโดยเฉพาะ
โดยปกติ พอคนปล่อยว่าวบอก เอิ้ว ก้องกังวาลออกไปในทุ่งกว้าง คนวิ่งจะวิ่งไปทันที เชือกก็ดึงว่าวไปปะทะลม พุ่งขึ้นข้างบน ธนูจะพลิ้วลมและดังขึ้น บ่งบอกได้ว่าว่าวขึ้นไปแล้ว และเมื่อถึงลมบนว่าวติดลมแล้วเสียงธนูว่าวก็บรรเลงจึงจะหยุดวิ่งและเป็นการแล่นว่าที่สมบูรณ์ และจบลงด้วยเสียงบรรเลงอันเสนาะสนั่นของธนูว่าวในท่ามกลางความสงบสงัด
แต่สำหรับคืนนั้นไม่ได้สมบูรณ์อย่างนั้น ไม่ได้ยินเสียงธนูว่าว ผมได้ยินแต่เสียงตะโกนโหวกเหวกตอบโต้กันไปมา แล้วคนทั้งหมดก็วิ่งตามว่าวไป และ สาละวนอยู่กับการส่งว่าวขึ้นใหม่ ได้ยินแต่เสียงค่อย ๆ หายไปและผมก็อยู่คนเดียวในความมืด เป็นเวลานาน แสนนาน ในความเงียบสงัดน่ากลัวตามความรู้สึกของผมขณะนั้น (และแน่นอน ผมก็ไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาเลย แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดหวั่นพรั่นพรึงสักเพียงใดก็ตาม) และผมก็จำความได้เพียงเท่านี้ ผมจำไม่ได้ว่า เหตุการณ์ต่อจากนี้ไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมได้พบกับพ่ออีกเมื่อไรและกลับเข้าบ้านไปเวลาใด อย่างไร รู้แต่ว่า ไม่มีเหตุอะไรร้ายแรง ดูเหมือนผมจะป่วยเพราะตากน้ำค้างและลมนานเกินไปและแม่ผมบ่นว่าพ่อผมนิดหน่อย
เมื่อผมมานึกดูในตอนหลัง จึงพบว่า แท้จริงพ่อผมมักจะเอาผมไปทดลอง หรือทดสอบอะไรอยู่ เสมอมา ในเชิงทดสอบการเรียนรู้และวิธีการสอนของท่าน แต่วิธีการของท่านนั้นดูจะใช้ได้สำหรับผมคนเดียว ถ้าเป็นเด็กอื่นรวมถึงน้อง ๆ ของผมอีกหลายคนต่อมาแล้วก็ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ เพราะบังเอิญเด็กอย่างผมก็เข้าใจ และทนทานต่อการทดสอบ ก็เลยไปด้วยกันได้ เกิดประโยชน์ขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ในภายหลังแก่ตัวผมเอง
บางทีพ่อผม อาจจะมีความคิดอยู่เหมือนกันว่า การสอนอบรมคนให้บรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าจะทำ ได้ และท่านก็พยายามทดลองทำกับผม และผมมองเห็นเจตนาเช่นนั้น จากเรื่องพาไปเล่นว่าวกลางคืนที่มืดมิดนี่เอง ผมจึงได้ความคิดว่า ปุถุชนคนธรรมดายังสามารถสอนคนให้บรรลุธรรมได้ ทำไมคนผู้บรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว จะสอนคนให้บรรลุตามไม่ได้ (คนมีความรู้ ถึงไม่บรรลุธรรมก็สามารถสอนให้คนอื่นบรรลุธรรมได้)
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(9).png)
พบชาวต่างประเทศและนักสอนศาสนาคริสต์
ในวัยเด็ก ที่เริ่มวิ่งเล่นได้แล้วนั้น ผมยังได้พบชาวต่างประเทศ ได้เห็น ก็คือ ชาวเยอรมันร่างใหญ่เนื้อตัว ใบหน้าแดงเถือกไปหมด เดินทางผ่านหมู่บ้านผมไป ผมเห็นหลายครั้งบ่อย ๆ คนเล่าลือกันว่า อีเก้าบ้านโนนน้อย เป็นเมียของฝรั่งคนนั้น และฝรั่งมาตามเมียเขา อีเก้าเป็นผู้หญิงชาวบ้าน รูปร่างสูงใหญ่พอ ๆ กับฝรั่งก็เลยได้ผัวเป็นฝรั่งเยอรมัน เดิมผมได้ยินข่าวนี้ก็อยากเห็น แล้ววันหนึ่งก็มีคนร้องบอกว่า ฝรั่งเข้ามาแล้ว มองไปก็เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งมา บนหลังม้ามีฝรั่งเยอรมันคนนั้น มีผู้หญิงนั่งคู่มาด้วย ผมเห็นว่า อีเก้า ช่างเป็นผู้หญิงที่รูปร่างสูงใหญ่จริง ๆ ผิดกับผู้หญิงบ้านเราทั่ว ๆ ไปขณะนั้น และสมัยนั้นผู้หญิงสูงใหญ่ หรือผู้ชายก็ตาม มักถูกมองว่าเป็นคนผิดปกติ คนจึงเรียกว่า อีเก้าผีบ้าไปได้ผัวเยอรมันมา แต่ผมก็เพียงแต่ได้เห็น ไม่ทราบว่าผัว เมียคู่นี้อยู่กันอย่างไรต่อไป เพราะไม่นานพวกเขาก็หายไป ผมไม่เห็นผ่านมาอีกเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ชาวบ้านตำบลผมพูดคุยเล่าลือกันอยู่นานก็คือ มีฝรั่งอีกคนหนึ่ง นุ่งห่มขาวทั้งตัว แม่ผมว่าเป็นฝรั่งเศส เดินลัดทุ่งไป ไม่เดินตามถนนหลวง ผ่านด้านหลังหมู่บ้านไปทางแม่น้ำมูล ไม่มีใครรู้ว่า ฝรั่งคนนั้นเดินทางไปไหน และทำไมจึงไม่เดินไปตามถนนหนทาง แต่แม่ผมอธิบายให้ชาวบ้านฟังว่า ฝรั่งคนนั้นเป็นพวกคริสตัง(คริสตังใช้เรียกคาทอลิก คริสเตียนใช้เรียกโปรเตสแตนท์) เป็นมิสชันนารี มาสอนศาสนาเยซู จะเดินทางไปประเทศเวียดนาม พวกนี้เชื่อในพระเจ้ายะโฮวาห์ หรือยะห์เหว่ ก็เรียก จึงทำอะไรแปลก ๆ ผมมานึกดูทีหลังจึงคิดว่าแม่ผมคงมีความรู้เรื่องศาสนาสากลพอสมควรทีเดียว และเป็นภาพที่ค่อนข้างติดตาติดใจผม คือนึกเห็นคนชุดขาวเดินข้ามทุ่งนาที่รกด้วยฟางข้าวไปคนเดียว ในมือถือคัมภีร์ไบเบิล และผมคิดตรองตรึกไปว่า เขาทำเช่นนั้นทำไม ๆ เขาไม่กลัว เขาจะกินข้าวกินน้ำและหลับนอนที่ไหน
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(10).png)
ตื่นข่าวลือคอมมิวนิสต์จีน
อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชาวต่างประเทศ ก็คือเรื่องคนจีน ที่คนบ้านผมเรียกว่า เจ๊ก ใคร ๆ ก็เรียกว่า เจ๊ก แต่พ่อผมว่า จีน(จีนเป็นคำที่สุภาพและให้เกียรติ์กว่าคำว่าเจ๊ก) คนบ้านผมเล่าว่า ที่บ้านส้มป่อยน้อย มี คนจีนมาอยู่หลายครอบครัว ผมเคยเห็นคนจีนแก่แล้วคนหนึ่ง ดูหน้าตาเขาไม่เคยเสบยเลย หาบเข่งมาขายลูก เป็ด พอโผล่เข้าเขตหมู่บ้านมาเด็ก ๆ จะเดินตาม และทำท่าตามคือเดินโซเซ พอคนจีนหาบเข่งร้องว่า ขึ้นบนฟ้าเห็นเป็ดอั้วบ่ (ขึ้นไปบนฟ้าเห็น เป็ดของฉันบ้างไหม) ซึ่งเขาหมายถึงว่า มาซื้อลูกเป็ดสวย ๆ เน้อ อะไรทำนองนั้น แต่คงมีคนสอนภาษาแกล้งบอกเขาผิด ๆ จึงกลายเป็นเรื่องตลกไปเสีย และ เด็ก ๆ ก็จะร้องตามเห็นเป็น เรื่องล้อเลียนที่สนุกสนาน ผมเองคิดติดใจมาตั้งแต่คำว่า คนเจ๊ก คนจีน จีนคืออะไร สงสัยว่าคนพวกนี้มาจาก ไหน มาอยู่ อย่างไร แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ไปเที่ยวบ้านส้มป่อยน้อย จึงเห็นว่าเป็นตลาดที่ชาวบ้านไปซื้อของเป็น ประจำ มีครอบครัวคนจีนอยู่หลายครอบครัว เอาข้าวของจิปาถะมาขาย และแม่ผมชอบปลาแห้ง ที่เรียกว่า ปลาไม้ มาจากทะเลสาบเขมร เอาไปทำแกงปลีกล้วยอร่อยกรอบมาก คนจีนขายของหลายอย่าง ขายเสื้อโหล แม้กระทั่ง เก๊าะเอี๊ย ที่ใช้ปิดฝี
ผมเห็นคนจีนแต่งตัวไม่เหมือนพวกเราเลย ที่มาเวลานั้นเป็นคนจีนรุ่นเก่า ผู้หญิงแก่ ๆ จะทำผมม้วน มีโรลม้วนผมกันทุกคน ดูแปลกและดุน่าเกรงกลัว เดินก็ดูกะเผลก ๆ ชอบถ่มน้ำลายปรี๊ด ๆ เดินไปถ่มน้ำลายไป บางคนก็ชอบขาก ถุย ถ่ม ครบเครื่อง(คือก่อนจะถ่มน้ำลายจะขากเสียก่อน เสียงจะดังจนคนตกใจ) ชอบนุ่งกางเกงแพร สีดำ ๆ กันทั้งนั้น และสวมรองเท้าไม้ ที่ เรียกว่า เกี๊ยะ กันทุกคน ๆ
ผมจำได้ว่า มีคนเฒ่าหรือปราชญ์ของหมู่บ้าน คือลุงทุม พ่อของผู้ใหญ่เสือ ในหมู่บ้านผมได้เล่าเรื่องคนจีนนี้ให้ประชาชนฟัง และผมก็เข้าไปฟังด้วย เล่าว่า ระวังเขาจะมายึดเอาบ้านเมืองเรา ผมก็กลัว และคิดว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไล่เขาหนีไปเสียจากบ้านส้มป่อยน้อย ในขณะนั้นผมไม่รู้ เรื่องการปกครอง ไม่รู้เรื่องการบริหารการจัดการสังคม อย่างไร ผมนึกว่าหมู่บ้านผมอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต่อมาก็ลือกันว่าพวกเขาหนีคอมมิวนิสต์มา
แล้วต่อมาสักสอง สามปีจากเวลานั้น ผมก็ได้ยินคนเล่าลือว่า คอมมิวนิสต์เดินทางมาใกล้จะถึงประเทศไทยแล้ว แล้วประจวบกับ ขณะนั้นรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม ได้พิมพ์หนังสือต่อต้านคอมมิวนิสต์ออกมา 3 เล่ม และว่าคอมมิวนิสต์ เป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างมหันต์ผมก็ได้อ่าน หนังสือนั้นเขียนการ์ตูนสร้างภาพคอมมิวนิสต์ เป็นรูปนกปากเหล็กปากกา เหมือนนกมาจากนรกที่คอยลงโทษคนในขุมนรก ทำให้คนแตกตื่นหวาดกลัวกันมาก (ชาวบ้านไม่คิดว่า คอมมิวนิสต์เป็นคน คิดว่าเป็นนกมาจากนรก) ผมเฝ้าแต่คิดว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเราจึงไม่เตรียมการฝึกคนในหมู่บ้านให้เตรียมสู้กับคอมมิวนิสต์ มัวแต่หวาดกลัวกันอยู่ทำไม
นี่เป็นเรื่องราวที่ฝังใจอีกอย่างหนึ่งที่กระตุ้นให้ผมเกิดความสนใจในวัฒนธรรมต่างชาติต่างศาสนา และมีความคิดในเชิงสงสัยใคร่ศึกษาการศาสนาสากล มาแต่เด็ก ๆ
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(11).png)
ชีวิตเหมือนเจ้าชาย
ชีวิตวัยเด็กของผม เหมือนเจ้าชาย เพราะผมไม่ต้องทำงานหนัก ผมไม่ต้องหาบน้ำ ไม่ต้องตำข้าวไม่เคยเอาวัวเอาควายออกจากคอกไปเลี้ยงในทุ่ง เพราะแม่ผมจัดหาคนมาทำงานพวกนี้ไว้พอเพียง เวลาหน้าทำนาผมไม่ต้องตื่นแต่เช้าเอาควายออกคอก ไปเลี้ยง หรือไปไถนา และพ่อ แม่ผม ก็ไม่เคยสอนให้ผมทำงานเหล่านั้นปล่อยให้เป็นความสมัครใจของผม ผมจึงทำนาไม่เป็นมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ฉะนั้น เมื่อผมโตขึ้น หน้าปิดเทอม ดำนา กลับมาจากเมือง ออกไปนา จึงเหมือนผมไปตรวจงานการไร่การนา คนในท้องนาจะพากันมองมาที่ผมด้วยสายตาชื่นชมยินดี เมื่อผมไปขอลองถอนกล้า หรือปักดำ ก็จะมีคนคอยบอกและหัวเราะเอาใจผม แล้วพอสมควรแก่เวลาผมก็เตร่ไปเที่ยวดูดอกขี้เหล็ก ริมฝั่งสระบ้าง เที่ยวดูกระแสน้ำในห้วยบ้าง เลยไปถึงป่าดอนแม่แก้วและปูผ้าขาวม้าลงนอนมองดูท้องฟ้าอยู่เฉย ๆ จนค่ำ ๆ มืด ๆ ก็ยังไม่กลับ ในใจผมมีแต่ครุ่นคิดถึงการบำเพ็ญ ตะปะ การศาสนา และความสงบ ที่ผมได้สัมผัสและมีความสงสัยใคร่เรียนรู้ต่อไปอย่างลึกซึ้ง
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(12).png)
เมื่ออยู่กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์
เรื่องราวของผมอีกตอนหนึ่งที่ผมยังไม่ได้เล่าเลยก็คือ ตอนที่ผมทำงานอยู่สวนรื่นฤดี หรือกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ แล้วต่อมาได้เป็นทหาร สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ณ สนามเสือป่านั้น ผมทำอะไรบ้าง?
ความจริง นั่นเป็นระยะที่ผมเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์ อยู่ก่อน แล้วเพื่อนชักชวนมาอยู่วังสวนกุหลาบ (ขณะนี้เป็นที่ประทับของพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายา) ซึ่ง เป็นงานของ คณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ ในขณะที่สอบเข้าทำราชการไปพร้อม ๆ กัน ผมสละ ตำแหน่งงานราชการไปเสียทั้ง 2 แห่ง แล้วไปอยู่สวนรื่นฤดี ดังกล่าว ต่อมาจึงได้เป็นทหาร ณ กองบัญชาการ ทหารสูงสุด สนามเสือป่า
ในขณะนั้นผมเป็นเพียงลูกจ้าง ชั่วคราว เท่านั้นเอง แต่ผมก็ไม่รู้สึกอะไร ที่ผมรู้สึกคือ ความรับผิดชอบในงานที่ผู้บังคับบัญชามอบให้ แรก ๆ ก็ให้ผมสรุปและวิเคราะห์ข่าวต่าง ๆ เสนอผู้บังคับบัญชา และป้อนการประชุมของคณะกรรมการฯ และคณะบุคคลต่าง ๆ เป็นงานประจำวันในขณะแรก ๆ ต่อมาก็มอบ งานสำคัญให้ คือ งานสร้างห้องปฏิบัติการจิตวิทยา หรือ Psychological Operation Room ซึ่งไม่เคยมีการสร้างมาก่อน ผมดำเนินการตั้งแต่ ไปดูงานห้องปฏิบัติการของฝ่ายยุทธการทหาร
หัวหน้าผมบอกว่าให้ไปดูตัวอย่างที่ห้องยุทธการชั้นสาม ผมไม่ทันนึกรู้อะไรก็ไปดู เห็นห้องไม่ได้ล็อคประตูก็เปิดเข้าไป ไม่มีคนอยู่ ผมก็ชักผ้า ม่านออกก็เห็นแผนที่สถานการณ์ทางทหารอย่างละเอียดยิบ กำลังดูอยู่นายทหารเสนาธิการ ยศพันตรีนายหนึ่งก็ เข้ามา เขาคงเห็นว่าผมเป็นคนแปลกหน้า ก็ทำท่าขุ่นเคือง ถามผมว่ามาแต่ไหนนี่ ไม่รู้หรือว่านี่เป็นเขตหวงห้ามจะต้องควบคุมตัวไว้ก่อน แต่เมื่อผมอธิบายเหตุผล เขาเชื่อและปล่อยตัวกลับไป และภายหลังได้มาขอความ ร่วมมือในการจัดทำห้องปฏิบัติการจิตวิทยา และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
การสร้าง Psyopt Room นี้เริ่มตั้งแต่วางโครงสร้างของห้อง ให้เพียงพอเหมาะแก่สถานการณ์ที่จะจัดแสดงลงไว้ แล้ว ต่อมาก็ลงแผนที่ขนาดใหญ่ ที่ เรียกว่าแผนที่สถานการณ์ มีขนาดมาตราส่วน 1: 60,000 ที่กรมแผนที่ทหารทำไว้ เมื่อติดตั้งแผนที่แล้ว บุ ด้วยแผ่นใสอาคิเตก แล้วถึงขั้นลงสถานการณ์ต่าง ๆ
ในระยะนี้แหละที่ผมมีผู้ช่วยสาวสวย เพิ่งจบเพาะช่างมา ยัง จำเธอได้เสมอ เธอชื่อ จันทร์เพชร ฝ่ายช่างศิลป มาช่วยงานการสร้างสถานการณ์พื้นฐานและสถานการณ์ปัจจุบันทำงานกัน 2 คนในห้องประมาณ 2 เดือนจึงแล้วเสร็จ และเธอก็จากไป
ได้ห้องทำงานเสมือนห้องปฏิบัติธรรมเฉพาะตัว
การที่ผมได้รับความไว้ วางใจให้บริหาร งานของห้องนี้ นับว่าเอื้อประโยชน์แก่ผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับว่าผมได้ห้องทำงานพิเศษ ขนาดใหญ่มี ความสบาย ปรับอากาศ และแวดล้อมด้วยการข่าวที่ทันสมัย ทั้งยังเป็นห้องลับ ที่แสดงสถานการณ์การข่าวปฏิบัติการจิตวิทยา สำหรับผู้บังคับบัญชา ใช้ประกอบการวางแผน ยุทธศาสตร์ด้านนี้โดยเฉพาะ ที่เฉพาะผมผู้ถือกุญแจห้องเท่านั้น จะสามารถเข้าไปใช้ได้ ผมได้ใช้ห้องนี้เองปฏิบัติธรรม มาตลอดเวลาที่อยู่สวนรื่นฤดี 7 ปี
แต่ในขณะนั้น ผมได้ใช้เป็น ห้องทำสมาธิ และฝึกสร้างภวังคจิต ในขณะนั้น ผมได้มีสิ่งวิเศษอยู่ในห้องหัวใจสิ่งหนึ่งคือ เทพธิดาประจำใจ ที่ผมได้เล่าให้ฟังแล้ว และเมื่ออยู่คนเดียวสงบ ๆ ก็จะมองเข้าไปดูเทพธิดา ผู้สถิตอยู่ในห้องหัวใจของผม และพูดคุยกับเทพธิดาประจำใจสองต่อสอง ผมจะเรียกเธออกมาจากห้องหัวใจ และเธอก็ออกมายืนที่ฝ่ามือของผม แล้วกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ห้อง แล้วผมก็ถามเธอ ถึงเรื่อง ราวต่าง ๆ เกี่ยวกับสวรรค์ และเกี่ยวกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมร้อนใจในเรื่อง การเดินทางในวิถี มรรคผล ที่ผมล่าช้าอยู่เหลือเกิน และผมรู้ว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องเดินทางไปให้ถึงมรรคผลนิพพานภายในชาตินี้และเร็ว ๆ นี้ อย่างเป็นหน้าที่ที่ขาดไม่ได้ จึงได้เทพธิดาประจำใจ ผู้มีนามกรว่า เทพธิดาดอกบัว ปุละ อูชานะ แห่งสรวงสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นที่ปรึกษามาโดยตลอด
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(13).png)
เทพธิดาประจำใจ
เรื่องราวของเทพธิดาประจำใจ เป็นปรากฏการณ์วิเศษ ที่เกิดกับผมในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ 2514 เป็นต้นมาถึง พ.ศ. 2518 ถ้าผมไม่อธิบาย ท่านจะไม่เข้าใจว่าเป็นของวิเศษอย่างไร และหมายถึงธรรมปฏิบัติอะไร อย่างไร
ที่ว่าเป็นของวิเศษ ก็เพราะการที่ผมมี ผู้หญิงสวยงามคนหนึ่ง งามถึงขั้นที่ควรชื่อว่า เทพธิดา อยู่ภายในห้องหัวใจนั่นเอง ที่วิเศษเพราะสามารถมองเห็นได้ เห็นความสง่างาม เห็นความงาม รอยยิ้ม และความปรีชาญาณของเธอ อย่างคนเป็น ๆ คนหนึ่ง และพูดคุยกับเธอได้ ได้ยินเสียง และเธอสามารถออกมาข้างนอกมาพูดคุยกัน อย่างคน ๆ หนึ่ง และภาพที่เห็นก็ชัดเจน โดยเฉพาะเวลากลางคืน นี่เป็นผลของธรรมปฏิบัติฝ่ายสมาธิ กสิณและฌาน ระดับที่คมชัดมาก และระดับปัญญา ยังคงเป็นโมหะอยู่ ไม่กระจ่าง และเมื่อระดับปัญญาแจ่มแจ้ง ขึ้นแล้ว เทพธิดาประจำใจก็อันตรธานหายไปโดยอัตโนมัติ หรือโดยภาษาของเธอก็คือ เธอหมดหน้าที่ลงเมื่อ ช่วยเหลือผม ช่วยชี้ทาง ปลอบใจ และให้ความหวังอยู่ตลอด จนไปถึงระดับปัญญาญาณชั้นสูงสุดแล้ว
ความหมายของเทพธิดาประจำใจนั้น แม้เป็นของวิเศษ แต่ก็เป็นเพียงขั้นต้นของการพัฒนาของผมใน ด้านกสิณและฌานระดับหนึ่ง ที่อยู่บนพื้นฐานของสมาธิระดับอุปจารสมาธิแล้ว ในรูปธรรมจะตรงกับพระนักธุดงค์หรือพระนักปฏิบัติสายอีสาน ที่มักเข้าใจผิดว่าตนมีพรายหรือภูติคอยกระซิบบอกเรื่องราวต่าง ๆ แม้กระทั่งการ ใบ้หวยเบอร์ นั่นเอง และครั้นพูดไปมาก ๆ เข้า คนโง่ ๆ ก็ตกเป็นเหยื่อ ก็เชื่อ หลงยกว่าเป็นพระผู้สำเร็จญาณ ชั้นสูงขึ้นมา เป็นผู้วิเศษต่าง ๆ เป็นหลวงปู่หลวงตามีตาทิพย์ หูทิพย์บ้าง ฯลฯ โดยไม่เข้าใจว่า นี่เป็นเพียง ธรรมปฏิบัติชั้นต้น ๆ เท่านั้นเอง คือแค่ระดับสมาธิและทำกสิณได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง และพระส่วนมากก็มักจะได้สัมผัสอย่างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนอะไร เพียงได้มีผัสสะด้วยใจ ไม่เป็นรูปธรรมชัดเจนเช่นนี้ ก็เอาไปคุยโอ้อวด ต่าง ๆ เพื่อหวังลาภ หวังสรรเสริญ หวังบริวาร และเมื่อไม่เข้าใจเชิง วิปัสนาเสียแล้วก็จะติดอยู่ ยึดมั่นอยู่กับ ของวิเศษเหล่านี้ และหลงทางไป แต่สำหรับผม ๆ เป็นนักวิจัย อยู่แล้วก็ไม่หลงไป สามารถวิเคราะห์อย่างเป็น เหตุเป็นผล ที่ไปที่มาของปรากฎการณ์แปลก ๆ เหล่านี้ได้ ก็สามารถกำหนดแนวทางการฝึกชั้นสูงได้โดยถูกต้อง ด้วยตนเองต่อไป
และกลายมาเป็นของวิเศษอย่างอื่นที่มีระดับที่สูงส่งขึ้นและนั่นคืออำนาจทางจิต และการทำมายาทางจิต ไปประการต่าง ๆ การเนรมิต ด้วยอำนาจมโนมยิทธิ คืออำนาจจิต เช่นเนรมิตเครื่องไม้เครื่องมือและอาวุธวิเศษ สำหรับทำสงครามสวรรค์ ซึ่งผมได้เล่าไว้แล้วว่าเป็นปรากฏการณ์การปฏิบัติธรรมขั้นสำคัญยิ่งอีกครั้งหนึ่ง และผลของสงครามสวรรค์ก็คือ ชัยชนะของมนุษย์เหนือเทพเจ้า เหนือโลกสวรรค์ทั้งสิ้น คือชนะสามโลกนั่นเอง แต่สิ่งที่ปรากฏในขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะยิ่งใหญ่ และผมยังไม่ได้อธิบายไว้ เพียงแต่เล่าให้ฟังพอทราบว่า ผมทำอะไร ในระหว่างนั้น ขณะที่ผมทำงานอยู่กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ ขณะเป็นฆราวาสอยู่
และเรื่องราวของสงครามสวรรค์นี้ เป็นขั้นตอนของการพัฒนาไปอย่างสูงสุดฝ่ายธรรมปฏิบัติของไตรสิกขาแนวที่สมบูรณ์ด้วยอัปปนาสมาธิแล้ว มีอัปนาสมาธิเป็นพื้นฐานของงานระดับนี้ ที่ผมยังไม่ได้เล่า ด้วยเหตุผล หลายประการ และประการหนึ่งก็คือ ต้องการอุบเอาไว้ เพื่อดู ๆ ว่ามีผู้ใดอื่นอีกหรือไม่ที่มีประสบการณ์มาอย่าง เดียวกับผม และมีหรือไม่ที่พูดโอ้อวดไปโดยทุจริต โดยเจตนาหลอกลวงประชาชน และการที่ผมไม่พูด มีนิสสัยไม่พูดมาแต่เด็ก ก็เกิดผลดีขึ้น เมื่อในที่สุดนำผมไปพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วิเศษกว่านั้นไปอีก นั่นคือ การพัฒนาไปสู่กระแสปราณ โดยไปถึงโคตรแห่งปราณ ทำให้ถึงสภาวะของ คนผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3 ขึ้นมา (ขณะนั้นผมยัง เป็นนายทหารอยู่)
เรื่องปราณนี้เป็นสิ่งที่ผมเองมองว่าเป็นสุดยอด และยุคนี้ น่าจะไม่มีอีกแล้ว แต่วิถีทางฝึกฝนนั้นทำได้ โดยต้องฝึกมาแต่เด็ก ๆ อย่างผม และ การพูดน้อยหรือไม่พูดเลย เป็นวิถีทางการสะสมปราณที่มีประสิทธิภาพสูงและจำเป็น ปราณเป็นพื้นฐานของฤทธิ์ และฌานระดับละเอียดลุ่มลึก และด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงได้วางเป้าหมาย ของการบวชไว้แต่แรกแล้วว่า จะออกสู่ป่า เพื่อการฝึกฝนไปตามวิถีที่ปราณชี้บอกไว้แล้ว แต่ชะตากรรมได้วาง ให้ผมมาสู่เมือง ซึ่งย้อนวิถีทางความปรารถนาของผมเองไปทั้งสิ้น เพื่อสร้างรังสรรค์งานในอีกแบบหนึ่ง จากความคิดดั้งเดิมของผม ตราบกระทั่งผมได้มีโอกาสอันงาม ที่ได้เขียน หลักสูตรแห่งมรรคผล ขึ้นมาสำเร็จ และผมมีความหวังว่าจะได้เห็นการฝึกเริ่มขึ้นแต่วัยเด็ก ๆ ลำดับไปอย่างผม จึงจะมาถึงจุดเดียวกับผม และเพื่อการ ฝึกสิ่งที่เหนือไปกว่าผม สิ่งที่ผมทำค้างเอาไว้ เพราะไม่ได้ไปสู่ป่าในขณะที่วัยยังฉกรรจ์อยู่ตามเจตนารมณ์เดิม
เป็นนักวิเคราะห์ทุกอย่างที่ขวางหน้า
ขณะนั้นผมยังได้รับมอบหมายงานชนิดหนึ่ง คือสรุปและวิเคราะห์ข่าว โดยทำออกมาเป็นเอกสาร การประชุมชื่อว่า วิเคราะห์ข่าวปฏิบัติการจิตวิทยา ออกเป็นเล่มทุก ๆ เดือน ที่ต้องออกทุก ๆ เดือนก็เพราะมีการประชุม กอ.ปค. กันทุก ๆ เดือน ผมก็ออกหนังสือวิเคราะห์ข่าวนี้ทุกเดือนเพื่อแจกจ่ายกรรมการท่าน เหล่านั้น นับตั้งแต่ จอมพลประภาส จารุเสถียร ลงมา (ขณะนั้นท่านเป็น ผอ.ปค.) และแจกจ่ายไปในสายงานข่าวทุก สาย ฉะนั้น ในเรื่องงานการข่าวและวิเคราะห์แล้ว ผมจัดเป็นสายงานที่ชำนาญพิเศษเฉพาะตัวมาเลยทีเดียว ได้ ฝึกมาและวิเคราะห์แหลกมาตั้งแต่นั้นแล้ว เพราะวิเคราะห์ทุกเรื่องที่ขวางหน้า ผมวิเคราะห์มาตั้งแต่เรื่องสนามบินหนองงูเห่า ซึ่งขณะนี้สร้างจวนจะเสร็จแล้ว เป็นท่าอากศยานแห่งเอเซีย และกระทั่งคอคอดกระ ก็วิเคราะห์ไว้ แต่ที่ถูกใจคณะกรรมการ กอ.ปค.มากที่สุด คงจะเป็นเรื่องที่ผมวิจัยสรุปการโฆษณาชวนเชื่อของพวกคอมมิวนิสต์ผ่านวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ผมสรุปว่าได้พบ หลักการโฆษณาของพวกเขาอย่างไร เช่น การย้ำ ตะปูหัวเห็ดบ่อย ๆ การให้สมญานามอย่างเสีย ๆ หาย ๆ เช่นให้สมญาแด่อเมริกาว่า จักรพรรดินิยมอเมริกานายทุนอเมริกา เป็นต้น ล้วนเป็นเทคนิคหลักของ การโฆษณาชวนเชื่อของพวกคอมมิวนิสต์ขณะนั้น ปรากฏว่า มีนายทหารเสนาธิการมาถามหางานวิเคราะห์นี้ภายหลังจากการประชุมหลายคน จนกระทั่งหัวหน้าผมมีความ ภูมิใจในผลงานวิเคราะห์ของผมเป็นอย่างมาก
ในขณะนั้น ที่โต๊ะผมเป็นที่ ๆ ข่าวเข้ามาหา มากองอยู่ต่อหน้า เพื่อให้ผมวิเคราะห์ มาจาก ศขร. สี่เหล่าทัพ มาจากกรมประมวลข่าวกลาง(กรมประมวลข่าวกลางติดตามวิทยุ เสียงประชาชนแห่งประเทศไทยโดยตลอด และส่งสำเนามาให้ผม) แม้กระทั่งใบปลิวต่าง ๆ ของเหตุการณ์ทุก ชนิด และผมมีหน้าที่บันทึกสถานการณ์ข่าวเหล่านี้ลงในแผนที่ปฏิบัติการจิตวิทยา ในห้องปฏิบัติการ Psyopt Room และสรุปวิเคราะห์ลงในหนังสือวิเคราะห์ข่าวปฏิบัติการจิตวิทยารายเดือน ดังกล่าว
นอกจากนั้น ก็มีทั้ง พระคัมภีรศาสนา ที่ส่งมาให้ผมอ่าน ที่ผมจำได้ก็คือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ชุดปกสีเขียวมีภาษาอารบิกกำกับ เล่มละบท ๆ แต่ไม่ครบชุด ผมมาอ่านเพิ่มเติมในภายหลัง ส่วนพระคัมภีร์ไบเบิลนั้น ผมได้ศึกษามาก่อนบ้าง แล้ว โดยเฉพาะ แมททิว มาร์ค(มาระโก) ยาโกโบ และ โยฮัน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดที่เป็นอุดมการณ์ของคริสต์ศาสนา จากพวกสอนศาสนาทางไปรษณีย์ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นการเฉพาะตัว รวมทั้งพระคัมภีร์มอร์มอน คือคริสต์ใหม่ ที่อ้างว่า พระเจ้าให้โยเซฟ(ชื่อโยเซฟนี้ เป็นชื่อบิดาของพระเยซู คล้ายว่าให้พ่อกลับมาทำหน้าที่ศาสดาองค์ใหม่แทนลูก)มาสืบศาสนาคริสต์ยุคใหม่ เป็นศาสดาองค์ใหม่ ให้ชาวคริสต์ทั้งหลายนับถือศาสดาองค์ใหม่นี้แทนพระเยซู สำหรับไบเบิลแล้ว มีบทการศึกษาที่พวกคริสต์โฆษณาได้อย่างเปิดเผย และอึกทึก ครึกโครมมากในยุค ค.ศ.2000 อันเป็นเป้าหมายของวาติกันที่จะพลิกประเทศไทยให้เป็นคริสต์ (ซึ่งผมมารู้ทีหลัง) เสนอสอนทางไปรษณีย์กันอย่างมากมายขณะนั้น ก็คือ The Gospel according to John พระคริสตธธรรม คัมภีร์ที่บันทึกโดยท่านโยฮัน และเป็นชื่อบทหนึ่งในไบเบิลว่า โยฮัน (สมัยนั้นอ่านคำว่า จอห์น เป็น โยฮัน อ่านตามภาษาเดิมเขา) ผมศึกษาทางไปรษณีย์ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จนได้ประกาศนียบัตรทั้งไทยและ อังกฤษ แล้วผมยังเรียนซ้ำเรื่องเดิมนี้ไปอีกถึง 3 ครั้ง จนได้ประกาศนียบัตรซ้ำมาอีก เป็น 3 ใบ ในเรื่องเดียวกันอันแสดงว่าผมมีความกินใจพอใจในสำนวนพระคัมภีร์ The Gospel according to John เป็นอย่างมาก จน หลงไหล เพราะยิ่งอ่านยิ่งลึกซึ้ง ซึ่งในขณะนั้น ผมอ่านศึกษาไป ก็ไม่เห็นว่าศาสนาคริสต์ หรือ องค์พระเยซู จะ เป็นบุคคลที่น่าตำหนิแต่อย่างใด กลับน่าเทอดทูนบูชาในอุดมการณ์ของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง
จนต่อมาเมื่อผม ศึกษาศาสนาพุทธไปแจ่มแจ้งแล้ว จึงกลับมามองใหม่ และได้เห็นความเป็นไปของคริสต์และพระ เยซูไปอีกแบบ หนึ่ง ต่างจากที่เคยมองมา โดยมองเห็นความวิกลทางจริตของศาสดาแห่งศาสนานี้ชัดเจนขึ้น นี่เองที่สร้างความ ชำนาญ ก่อนที่ต่อมาผมก็ออกหนังสือ วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด และกลายเป็น หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต)ออกมาในปัจจุบันนี้ และผมทำออกมาด้วยความเข้าใจในเชิงการข่าว บนพื้นฐานอริยสัจธรรมอันเป็นภูมิปัญญาแห่งพระพุทธศาสนา และให้เอื้อแด่บุคคล และหน่วยงานในระดับสูงที่จะจุดชะนวนการตัดสินใจ ได้อย่างมั่นใจ ต่อมา ด้วยการวิเคราะห์ในวงกว้างขวางรอบด้านและลึกซึ้งถึงรากเหง้าของสถานการณ์นั่นเอง ซึ่ง เสมือนว่าผมได้ช่วยงานราชการ งานสังคมวัฒนธรรมของชาติบ้านเมืองโดยตรงโดยการกุศลส่วนตัวผมฟรี ๆ โดย ไม่มีคำว่า ขอบใจ ตอบแทน โดยผลงานยิ่งกว่าเดิมเมื่อผมทำราชการอยู่เสียอีก
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(15).png)
เป็นนักวิจัยปัญหาคอมมิวนิสต์
ต่อมาผมก็เพิ่มงาน โดยไปจับงานวิจัยสถานการณ์เฉพาะบางสถานการณ์ ร่วมกับอาจารย์ วีรพันธ์บัวทอง ซึ่งท่านเป็นผู้มีความชำนาญงานวิจัยมากของกอ.ปค.ขณะนั้น เริ่มแต่งานชิ้นแรกที่สุดที่ ท่านพาผมไปวิจัยปัญหาคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดพัทลุง ในปี พ.ศ. 2514-15 ติดตามศึกษากรณีตัวอย่างของ สุพร อ่อนเรือง นักพัฒนาชุมชนที่เป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งขณะนั้นคอมมิวนิสต์ที่นั่นกำลังแรง
มีคราวหนึ่งอาจารย์วีรพันธ์ กับผม นั่งไปในรถสองแถวปนไปกับผู้โดยสารทั่วไป จากนครศรีธรรมราชไปพัทลุง ถึงช่วงทางหนึ่งทั้ง ๆ ที่อยู่นอกเมืองปรากฏว่าเกิดรถติดขนาดหนักจนรถหยุดนิ่งกันเป็นขบวนยาวตลอดทั้งสายทาง ได้ยินแว่ว ๆ จากตำรวจที่ผ่านไปว่า ผู้ก่อการร้ายปิดถนนค้นคน แว่ว ๆ อย่างนั้น ด้วยความระแวงระวังอยู่ก่อนแล้ว พวกเราก็ตกใจ ครั้นนาน ไปไม่มีการเคลื่อนไหวก็ยิ่งระแวง กลัวว่าพวกนั้นจะค้นหาคนที่มาจากกองอำนวยการป้องกันและปราบปราม คอมมิวนิสต์ ผมเห็นอาจารย์วีรพันธ์ ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว พยายามสงบใจหลับตาว่าคาถาอยู่ตลอดเวลา หน้าตาตื่นตระหนก (ท่านบอกภายหลังว่าท่านพร่ำภาวนาพระคาถาชินบัญชรอยู่ตลอดเวลา) จนที่สุดถนนคล่องไป ถึงพัทลุงที่พัก ต่อมาจะเข้าไปในพื้นที่ โดยเฉพาะตำบลป่าพะยอม จึงต้องมีรถยีเอ็มซีทหารนำและตามตลอดจนเสร็จสิ้นงาน
เราได้ไปดูสถานการณ์การสู้รบที่นั่น รบกันอย่างดุเดือดมาก จนกระทั่งตำรวจต้องใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ ร้ายมาร้ายไป แม้กระทั่งตัดเอาหัวกระโหลกโจรไปเสียบไว้ให้โจรเห็นเห็นตำรวจก็ทำ บอก เป็นยุทธวิธีหนึ่ง คือต้องตัดไม้ข่มนามบ้าง เพื่อผลทางด้านจิตวิทยาและกำลังใจ แต่ที่เห็นปัญหาขณะนั้นน่าจะเป็นปัญหาทาง สังคมวัฒนธรรมมากกว่าปัญหาอย่างอื่น โดยเฉพาะตำรวจเองนั้นเป็นตัวปัญหา นับแต่การข่มเหงประการต่าง ๆ ตลอดไปถึงการย่ำยีจิตใจ โดยชอบมีภริยาหลายคน มีอย่างสูงสุดถึง 9 คนก็มีจนกระทั่งมีคำสั่งให้ตำรวจไปรายงานตัวและแจ้งจำนวนภริยาของแต่ละคน ๆ พร้อมรายละเอียดอาชีพ และที่อยู่อาศัย นั้นเป็นงานวิจัยระดับต้น ๆ ของผม แล้วต่อ ๆ มาผมก็ทำงานวิจัยเป็นงานหลัก โดยไปร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหารส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นโครงการที่ผมทำเองก็มี การสำรวจขวัญและกำลังใจของทหารไทย มีแผนการต่อเนื่องจะทำทุก ๆ ปี ๆ หนึ่งก็ออกสำรวจครั้งหนึ่ง แล้วเป็นเอกสารลับ ขึ้นไปถึงผู้บังคับบัญชาสูงสุด ถ้าผมไม่ออกบวช ก็คงได้ทำงานวิจัยในวงกว้างขวางออกไปอีก
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(16).png)
การบวชเพื่อพิสูจน์ธรรมะ
ในขณะที่ผมออกบวชนั้น เป็นขณะที่ภาคภายในและภายนอกสมบูรณ์ ผมวางแผนไว้ในใจว่า จะเดินป่าทันที ภายหลังการพิสูจน์ปราณระดับสมบูรณ์ที่สุด และฌานที่นิ่งสงัดสงบ ที่แสดงการประสานระหว่างปราณกับฌานอย่างแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว กล่าวคือ ไปทางฌานถึงปราณ หรือจะไปทางปราณก็ถึงฌานได้ด้วย กันทั้งสองวิธี บนพื้นฐานนี้ ผมประสงค์จะฝึกปรือทางฤทธิ์ต่าง ๆ และหวังว่าเมื่อสำเร็จทางฤทธิ์แล้ว จะช่วยงานการเผยแผ่ได้เร็วขึ้นและเป็นทางลัด แต่โชคชะตา ไม่อนุญาตให้ผมได้เดินไปทางนั้นเสียแล้ว แต่เมื่อมาอยู่เมืองอยู่ในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่โง่เขลา ไร้สาระ และที่ครึกโครม หาความสงบสันโดษไม่ได้แล้ว อะไร ๆ ก็ค่อย ๆ เสื่อมทรามลงไปตามลำดับ แต่สิ่งที่ไม่มีการเสื่อมลงไปคือความรู้ที่ได้มาแล้ว เป็นภาคปฏิเวธธรรมแห่ง ปัญญาสิกขา ที่ยังคงกระจ่างแจ้งเหมือนเดิม ไม่มีการเสื่อมลงไป มีแต่ทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(17).png)
อยู่เพื่อคนอื่นล้วน ๆ
และเมื่อผมออกบวชแล้ว แม้ว่าตั้งใจจะตัดโลกเสียอย่างเด็ดขาด แต่ก็กลับต้องมาดูโลกอยู่ต่อไปอีก และเมื่อผมมาอยู่ในระบบสงฆ์ ความที่เป็นนักวิจัยที่ติดตัวตามมาด้วย จึงทำงานของมันโดยอัตโนมัติ
จึงเท่ากับเป็น การฟักตัวดู รู้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง เท่ากับเป็นการฝังตัววิจัยระบบสงฆ์อย่างลึกซึ้งต่อมาโดยอัตโนมัติ ในฐานะผู้มีจิต วิญญาณการข่าวและงานวิจัยต่อมา แล้วผลงานก็ปรากฏออกมา ๆ ตามลำดับ นั่นคือ
-เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
-วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก
–หนังสือพิมพ์ดี และเวบไซต์ www. newworldbelieve.com
นี่คือ ผลงานที่ออกต่อเนื่องกันมาตามลำดับ ในเชิงการวิเคราะห์และการวิจัยล้วน ๆ และแม้ขณะนี้ผมก็ยังคงทำงานวิจัยต่อไป ดังปรากฏในสื่อหนังสือพิมพ์ดี เพราะแท้จริง สิ่งที่ลงในหนังสือพิมพ์ดีก็คือผลงานวิจัยทั้งสิ้น ซึ่งเป็นงานวิจัยระบบสงฆ์ กฎหมายคณะสงฆ์ การศาสนา และศาสนาสากลล้วน ๆ และ แล้วก็มาถึงจุดสุดยอดของงานวิจัย ในชีวิตนักวิจัยของผม ที่เป็นผลงานชิ้นสำคัญก็คืองานวิจัยมรรคผล โดยออกมาเป็น หลักสูตรมรรคผล ตามที่ได้เสนอออกไปแล้วในหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 32 เล่มล่าสุด นั่นเอง
ซึ่งผมเชื่อว่า นี่เป็นปรากฏการณ์สำคัญของงานวิจัย เพราะเป็นการวิจัยภาคภายในล้วน ๆ และไม่มี เทคนิคงานวิจัยใดจะทำได้นอก จากเทคนิคของมรรคผล ที่จะใช้วิจัยเรื่องของมรรคผลเองโดยเฉพาะ
(อย่างเช่น ท่านจะวิจัยเรื่องสมาธิได้อย่างไร หากท่านไม่สามารถนั่งสมาธิได้ไปถึงอัปนาสมาธิ ฯลฯ ส่วนผมมีความเป็น พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3 เป็นหลักประกันอยู่แล้ว จึงสามารถวิจัยทุกเรื่องราวของศาสนาสากลได้)
การเขียนหลักสูตรมรรคผล เชิงงานการวิจัยโดย Research Methodology ของโลกยุคใหม่ จึงมีผมคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ นี่คือความสำคัญของ งานครั้งล่าสุด (หลักสูตรมรรคผล) ที่ผมได้บอกว่า มาถึงจุดอันสูงสุด ของภาระหน้าที่ของผมแล้ว (เพราะหากผมไม่ทำ ก็ไม่มีผู้ใดจะทำแทนได้)
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(18).png)
งานส่วนตัวที่ค้างอยู่มีเพียงสิ่งเดียว
งานส่วนตัวของผม ที่ค้างอยู่ก็คือ ผมยังต้องวิจัยชีวิตตนเองหลังการตายลงไปแล้ว ซึ่งผมพอจะรู้ สมมติฐานและเทคนิคการวิจัยอยู่แล้ว
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้ก็คือ พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า การเสด็จมาจุติ ในครรภ์ของพระนางมายา พระราชชนนีนั้น ทรงมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ขณะที่เสด็จลงสู่ครรภ์มารดา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่สนับสนุนสมมติฐานของผมเองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
รองานวิจัยชิ้นสุดท้ายคือความตายของตนเอง
ฉะนั้นสำหรับผมเอง ความตายเป็นสิ่งที่ผมรอคอยอยู่ เพื่อที่จะใช้ เป็นสนามงานวิจัยชิ้นสุดท้ายของตน เอง แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ก็เป็นงานที่ยาก เพราะไม่ใช่งานเพื่อตนเอง ผมเองสามารถบังคับบัญชาผมเองได้ แต่เพื่อคนอื่น เราไม่อาจบังคับบัญชาเขาได้ หรือถึงบังคับได้ก็บังคับให้บรรลุมรรคผลไม่ได้
และทางแห่งประโยชน์ที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ก็เป็นได้ก็ด้วยเขาสามารถบังคับบัญชาตัวเขาเองได้ด้วยตนเอง เขาต้องบรรลุด้วยตน เอง ผมเป็นเพียงตัวอย่าง
ฉะนั้นประวัติของผม ก็เป็นสิ่งที่ตั้งใจให้เป็นตัวอย่าง ยืนยันว่า การบังคับบัญชาตน เอง ให้ได้ด้วยตนเอง อิสรภาพตนเองเท่านั้น จึงจักสามารถนำไปสู่อุดมการณ์สูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาอันหมายถึงชีวิตอันสมบูรณ์ได้ ครูผู้สอนเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้เดิน จงพิสูจน์ด้วยการเดินไปตามทางที่ชี้ให้นั้น
บทบาทที่เหลือของผมจะเป็นเช่นไร
ผมคงจะไม่มีเวลาพอที่จะปรากฏตัวออกมาทำงานชนิดที่เปิดเผยต่อหน้าสาธารณะ เพราะงานที่ผม จำเป็นต้องทำล้วนเป็นงานสร้างวินัย ที่ต้องทำในความโดดเดี่ยว ที่มีสมาธิตั้งมั่นสม่ำเสมอ แต่สำหรับงานเผยแผ่และสื่อสารยุคนี้เอื้อให้ผมทำบทบาทการเผยแผ่ที่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องปรากฏตัว การปรากฏตัวทำให้เสียเวลามาก
และงานที่ผมมองไปข้างหน้าเป็นงานใหญ่ เพราะต้องไปเชื่อมกับโลกสากลโดยตรง ด้วย ภาษาสากล นั่นคืองานในภาคภาษาอังกฤษ และการติดต่อระดับสากลโลก เป็นสิ่งที่ผมต้องใช้สมองอย่างหนัก ต่อไปในระยะ 2-3 ปี ต่อไปนี้
ทั้งนี้เพื่อนำเอา หลักสูตรมรรคผล ออกไปสู่สากลโลกให้ได้ทั่วถึง.
- ดีเล่ม 33
- พ.ย.2547- เม.ย.2548
- ปีที่ 9 : 2548
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(20).png)
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(21).png)
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/บัวแดง(22).png)
![](https://www.newworldbelieve.net/images/1191747002/40197413_2330830973610383_6516216504797626368_n - Copy.jpg)