หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่37

               เราจะบินบินบินและบินไป
               สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
               แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา
               ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย

          ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า
          ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
          มหาสมุทรสุดสายลมไกว
          จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน

               ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย
               แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
               สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน
               กว่าจะสิ้นกัปป์กัลป์พุทธันดร

เล่มที่ 37

เดือน พ.ค.-มิ.ย.-ก.ค.-ส.ค.-ก.ย.-ต.ค. 2549

เรื่องเด่น

· วิเคราะห์ร่างกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับล่าสุดเสนอรัฐบาล

· บทบรรณาธิการ สัญลักษณ์สังคมด้อยพัฒนา

· เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

พุทธทำนาย

สถานการณ์เดือนสี่ปีกุน

เรื่องพุทธทำนายนี้มีปรากฏอยู่ในภาษาบาลีพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 27 หน้า 24 ขึ้นต้นว่า อุสุภา รุกฺขา คาวิโย ฯลฯ และอธิบายไว้ในอรรถกถาเอกนิบาต ภาค 2 และเคยแปลเป็นภาษาไทยไว้ในชาดก ฉบับหอสมุดวชิรญาณ เล่ม 1 อาจารย์ศิลา วีรวงศ์ ได้แต่งเป็นกลอนลำอีสาน ประมาณ พ.ศ. 2490”

มีข้อความตอนสำคัญดังนี้ :-

“๑๑. ข้อสิบเอ็ด

พระฝันเห็นท่อนไม้แก้วแก่นจันทน์แดง ของมันราคาแพงค่าสูงแสนตื้อ เขาเลยเอาไปซื้อขายกินแลกไก่ เอาจันทน์แดงใส่กระชาน้อยแขวนห้อยเที่ยวขาย อันนี้แล้วเพิ่นว่าภายหน้าพู้นเคิ่งศาสนาพุทธ มนุษย์มีโลภามืดมัวเมากุ้ม ชุมหมู่ถือศีลสร้างเป็นจัวเจ้าหัวบ่าว เห็นผู้สาวแล้วเอิ้นเสินเว้าดั่งสหาย นอกจากนั้นกะซิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนาพุทธ เอาพระธรรมลงมุดจายขายกินจ้าง ตั้งเป็นตึกเป็นห้างขายกินปิ้นไป่ ทังพระสูตรพระวินัยเอาลงใส่กระช้าโซนผ้าเที่ยวขาย นี้จั่งแม่นต่อนฮ้ายขายฮูปพุทธองค์ สงฆ์บ่ถือวินัยไพร่เมืองบ่อยำอย้าน มีแต่คนพาลกล้าโกธาเขี้ยวขุ่น ศาสนาเกิดวุ่นสูญเส้ามุ่นทะลาย สงฆ์ซิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนากู สัพพัญญูเล็งเห็นหน่ายสะอางผางฮ้าย คันแม่นกายไปหน้าศาสนาของเฮาจั่งสิฟื้นขึ้นใหม่ ในปีกุนล่วงแล้วซิแววขึ้นลื่นหลัง ครั้งนั้นแหล้วคนสิอยู่เป็นสุข จั่งสิหายความทุกข์หมู่ภัยไกลเนื้อ ใผผู้ยังเหลือค้างซิเห็นทางฟ้าล่วง คนสิพ้นจากห่วงฝูงหมู่มารบาปฮ้ายเมื่อฟ้าอยู่กะเสิม เริ่มแต่ค้าเดือนสี่ปีกุน ใผมีบุญจั่งสิเห็นหน่อพระธรรมเดอป้า พากันถือศีลห้าภาวนาเดอแม่ หยังกะเห็นเที่ยงแท้บ่มีเว้นหว่างใด๋”

จาก กลอนลำเรื่องพุทธทำนาย ชมรมวรรณกรรมอีสาน จัดพิมพ์ โดย ร.พ.ไพศาลศิริ ท่าพระจันทร์ กทม. 2527 หน้า 7

หมายเหตุ บก.

นับแต่ปี 2541 ปีขาลถึงเดือนสี่ปีกุน (ตรงกับ พ.ศ. ๒๕๕๐) ตามพุทธ ทำนาย เราก็มีเวลาอยู่ ๙ ปีเศษ สำหรับเตรียมการรับความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา แต่หากว่าผลอันประเสริฐใดพึงปรากฏขึ้น จักมิใช่โดยโชคชะตาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิบันดาล แต่ต้องด้วยมือเรา ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย ที่จะบริหารไปด้วยเหตุด้วยผลอันชอบธรรม ฯ

หนังสือพิมพ์ดี : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก

วัตถุประสงค์ : เพื่อนำความคิดไปสู่ความดีงาม เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา

เล่มที่ ๓๗ : ประจำเดือน พ.ค.-มิ.ย.-ก.ค.-ส.ค.–ก.ย.–ต.ค. 2549

บทบรรณาธิการ

นี่คือ หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก ฉบับปกติประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน-กรกฎาคม-สิงหาคม-กันยายน-ตุลาคม พุทธศักราช 2549 ฉบับนี้เป็นเล่มที่ 37 และเป็นปีที่ 10 ของหนังสือพิมพ์ดี

เราจะบินบินบินและบินไป สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า

สำหรับเรื่องราวในหนังสือพิมพ์ดีเล่มนี้ แท้จริงแล้วเราได้เผยแผ่ไปทางอินเทอเนตhttps://www.newworldbelieve.net และhttp://newworldbelieve.com ของเราไปแล้ว เราคิดว่าบัดนี้เราเป็น ดีอินเทอเนตโดยแท้จริง และในวันนี้ เราก็ยังคงทำหนังสือพิมพ์ดี อินเทอเนตอย่างเต็มรูปแบบของอินเทอเนต เรายังคงเฝ้ามองสถานการณ์ทุกชนิดต่อไปและสะท้อนออกโดยตรงทางอินเทอเนตช่องของเราคือ https://www.newworldbelieve.net และhttp://newworldbelieve.com

และดีฉบับนี้ เราให้สมญาว่า ฉบับปฏิรูปการปกครอง เพราะตรงกับช่วงปฏิวัติผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ มีรัฐบาลใหม่ โดยรัฐบาลเก่าของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรผ่านพ้นไป มีรัฐบาลใหม่ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์เข้ามาแทน ด้วยอำนาจการปฏิวัติ โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดยพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน

การจัดทำเล่มนี้ เราได้เลือกเอาเพียงบางเรื่องที่เราออกในอินเทอเนต และเพื่อเป็นตัวอย่างว่า เราได้ตามทันสถานการณ์อยู่ตลอด และเราวิเคราะห์ให้ข้อคิด เพื่อความเป็นธรรมแด่สังคมตลอดมาและตลอดไป โดย มีจุดยืนอย่างมั่นคงบนข้อเท็จจริง(Fact) และสัจจธรรม(Truth)

อย่างที่เราเป็นมาแล้ว เป็นอยู่ขณะนี้ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

สำหรับหนังสือพิมพ์ดีฉบับนี้ เป็นฉบับที่เพิ่งผ่านเทศกาลออกพรรษาไป และก่อนที่จะผ่านเทศกาลออกพรรษา ประเทศไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลเก่าของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในวันที่ 19 ก.ย. 2549 แล้วมาเป็นรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ในเดือนตุลาคม 2549

คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 มีบทบัญญัติจำนวน 39 มาตรา เพื่อกำหนดลักษณะอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน และแนวการบริหารสำหรับรัฐบาลใหม่ของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ใช้เป็นแม่บทบริหารประเทศต่อไป ส่วน หน.คปค. ก็มาสู่ตำแหน่ง ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ อยู่เบื้องหลังรัฐบาลปฏิรูปต่อไป

ทำไมจึงมีการปฏิรูปการปกครองเกิดขึ้นในวันที่ 19 ก.ย. 2549 ก็มีเหตุผล

ทำไมคณะปฏิรูปฯ(คปค.)เร่งรีบสลายตัว และให้รัฐบาลใหม่ของพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ บริหารประเทศต่อไปตามแนวรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ก็มีเหตุผล

แต่คำถามสำคัญในวันนี้ก็คือ ในที่สุดประชาธิปไตยไทยก็พิศูจน์ตัวเองว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศไทยได้ด้วยตนเองด้วยวิถีทางประชาธิปไตยหรือ?

คำตอบไม่ได้โดยคำพูด แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิรูปการปกครอง น่าจะเป็นคำตอบ และคำตอบก็ชัดเจนคือ ไม่ได้

เพราะต้องอาศัย คปค.มาแก้ให้จนได้

ข้อสรุปก็คือ ประชาธิปไตยอย่างไทย ๆ ก็เป็นเช่นนี้ คือมีแต่ความจอมปลอมและคนไร้วัฒนธรรมทางการเมือง เห็นจากบทบาทของคนและสถาบันหลายกลุ่ม นับตั้งแต่สถาบันการศึกษาเอง นักวิชาการ ครูอาจารย์ในสถานศึกษา วุฒิสภา สถาบันการเมืองเอง ตลอดไปถึงพรรคการเมืองเอง ถึงการสื่อสารมวลชนโทรทัศน์ ที่บ่งบอกประชาธิปไตยแบบด้อยพัฒนาในประเทศของเรา ที่เป็นเหตุปัจจัยปิดกั้นมิให้บ้านเมืองเราเจริญไปได้

ก็ยังต้องด้อยพัฒนา(underdeveloped)ต่อไป จนกว่าจะรู้อะไรอะไรเกี่ยวกับการเมืองและวัฒนธรรมการเมืองดีขึ้น และสังคมเราคงต้องได้รับการอบรมเรื่องการเมืองและวัฒนธรรมการเมืองไปเป็นระยะ ๆ โดยคณะปฏิวัติ หรือคณะปฏิรูป ซึ่งจำเป็นต้องมาเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน จึงเป็นการอบรมแบบหนึ่งที่จำเป็นสำหรับสังคมแบบไทย จึงจะพอช่วยให้กระเตื้องขึ้นได้

การพัฒนาหลักก็โดยมีรูปธรรมที่ปรากฎชัดขึ้นในรูปกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มต่าง ๆ จะต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตน โดยการเลือกนโยบายอย่างไร

การเมืองของประชาชนจะต้องมีความเข้าใจตรงกันว่า นั่นก็คือสิทธิในการเลือกนโยบาย นี่คือการตัดสินใจทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยมีสิทธิอันสูงสุดที่การเลือกนโยบาย เพราะโดยวิธีนี้ ย่อมทำให้ความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองสามารถรอมชอมกันได้โดยการมีสิทธิเลือกนโยบาย และยอมรับโดยวัฒนธรรมประชาธิปไตยในการมีสิทธิเลือกนโยบาย และทุกฝ่ายในระบอบ จะต้องเคารพกฎกติการเมือง โดยสิทธิของการเลือกนโยบายที่แตกต่าง หลายหลาก และยอมรับในสิทธิและความชอบธรรมของการเลือกนั้น

หมายความว่าเรื่องความคิดเห็นหรือความต้องการทางผลประโยชน์ที่แตกต่างจะจบลง เมื่อการเลือกเสร็จสิ้นลงโดยชอบธรรมตามกติกาที่ตกลงกันแล้ว ต้องมีกติกา ต้องยึดกติกากันทุกฝ่าย

แบบนี้ประเทศชาติจึงจะเจริญไปได้ โดยอาจอุปมาอุปไมยอย่างง่าย ๆ ได้ว่า ถ้าปล่อยให้เด็กอมมือมาเถียงกันไม่รู้จบ อวดดีอวดฉลาดอย่างไร้หลักการ และไร้ความเคารพในกติกา ทั้งไม่รู้แน่ชัดในสัจธรรมการเมืองเอาแต่ดื้อดึงไม่ฟังเหตุฟังผลแล้ว บ้านเมืองก็พินาศ

พรรคการเมืองที่ทำนโยบายไม่เป็น ก็ควรเร่งเรียนเพื่อให้รู้และเร่งศึกษาเพื่อทำให้เป็นเสียก่อน เพียงแค่นี้ก็ต้องการเวลาอีกนานทีเดียว

สำหรับเรื่องของเรา หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) ก่อนเกิดการปฏิรูป มีเหตุการณ์ที่เราได้ติดตามศึกษาวิจัยไว้สะท้อนความด้อยพัฒนานี้หลายเหตุการณ์ ทั้งด้านการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม แม้กระทั่งโหราศาสตร์ โปรดติดตามต่อไปในช่องเวบของเรา ตามที่เพื่อนสหธรรมิกทราบล่วงหน้ามานานว่า ดีอินเทอเนต กำลังจะมาแทนดีวารสาร และในที่สุดเราคงหยุดงานด้านวารสารลงเสีย ขอได้ติดตามในเวบไซท์ของเรา ในนาม ดี(อินเทอเนต) ต่อไป จะเป็นการทันอกทันใจ ทันสถานการณ์กว่า

สำหรับดีฉบับนี้ เราได้เปลี่ยนโฉมรูปแบบเป็นแบบสบาย ๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ออกทันสมัยแบบเอกสารวิชาการสักหน่อย และคล้าย ๆ เป็นไกด์ หรือรายการเมนูสำหรับเที่ยวชมเวบไซท์ของเรา ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อให้โอกาสแด่ท่านผู้อ่านหนังสือพิมพ์ดี ได้เข้าไปเยี่ยมชมโดยง่ายดาย โปรดดูรายการท้ายเล่มนี้

ถัดจากบทบรรณาธิการนี้ท่านผู้อ่านจะได้พบการรายงานข่าวสั้น ๆ เรื่องราวของการปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้รายงานทางเวบไซท์ของเรานับแต่เกิดการปฏิรูปฯ แล้วมีบทวิเคราะห์สั้น ๆ ตามมา รวม 4 บท ในเชิงเสนอให้ข้อคิดแด่ คปค.และรัฐบาลใหม่พิจารณาต่อไปด้วย

เรื่องสำคัญที่เราต้องการเน้นในดีฉบับนี้ก็คือ บทวิเคราะห์พิเศษ เรื่อง ร่างพรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ..... กับ ร่างพรบ.คณะสงฆ์(ฉบับที่...)พ.ศ.... ฉบับสุดท้าย ที่ได้มีการดำเนินการร่างและแก้ไขปรับปรุงมาตามลำดับในรัฐบาลทักษิณ ก่อนที่รัฐบาลทักษิณ จะถูกยึดอำนาจ ซึ่งเราหนังสือพิมพ์ดีได้ติดตามและเสนอแนะการร่างมาตลอดจนถึงฉบับสุดท้ายดังกล่าวนี้ และขอเสนออย่างแข็งแรงให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาดำเนินการต่อไป อย่าได้เมินเฉยเป็นอันขาด

เรื่องอื่น ๆ เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว มีเรื่องเกี่ยวกับการศาสนาสากลที่น่าสนใจมาก 2 เรื่อง ท่านผู้อ่านและเพื่อนสหธรรมิกไม่ควรพลาด เรายังเอามาจากดีฉบับก่อนมาอีก 2 รายการ เป็นการทบทวน

สุดท้ายนี้ มีหนังสือ 2 เล่มที่น่าอ่านและหนังสือพิมพ์ดีขอขอบคุณไว้อย่างสูง ก็คือ

ปาฏิหาริย์แห่งการเจ็บป่วย โดย แม่ชีศรีวรรณ กันทาสุวรรณ แห่งศูนย์ศึกษาปฏิบัติแก่นพุทธศาสนา 2/6 ซ.ราษฎรเจริญ ถ.หนองบัว ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 กับ

กาลามสูตรสิบ ยอดสุดของการพัฒนาปัญญาธรรม โดย สิริวรุณ(แม่ชี ดร.ไพเราะ ทิพยทัศน์) แห่งอาศรมมาตา ต.ภูหลวง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา 30150

ซึ่งผู้เขียนทั้ง 2 ท่านนี้อยู่ในวงการปัญญาชน เรื่องราวที่เขียนเกี่ยวกับระดับภูมิปัญญาชั้นสูง ทันสมัย เป็นวิทยาศาสตร์ เป็น 2 เล่มหนังสือธรรมะเล่มใหม่สุดของท่านทั้ง 2 นี้ ที่ชาวพุทธและปัญญาชน นักบวช ไม่ควรพลาด

สุดท้ายเราหวังว่าท่านผู้อ่านโดยเฉพาะท่านผู้สนใจเชิงการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน นักปฏิบัติธรรมและเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย จะไม่พลาดการติดตามคอลัมน์ การศึกษาโลกลี้ลับ คือการศึกษาสมาธิวิปัสสนาระดับอภิญญา ที่รายงานการปฏิบัติจริง ผลจริงที่เกิดขึ้น ในเวบไซท์ของเรา คือ https://www.newworldbelieve.net และ http://www.newworldbelieve.comซึ่งกำลังเพิ่มความหมายอันเข้มข้นไปทุกขณะ แต่เรื่องราวมีความยาวและละเอียดมาก เกินที่จะเอาลงในหนังสือพิมพ์ดีเล่มนี้ได้ จึงอยู่ในเวบไซท์แล้วอย่างสมบูรณ์ไปถึงตอนที่ 8 แล้ว และยังจะมีตอนที่9ที่จะเข้มข้นยิ่งขึ้น

สวัสดี พบใน ดี(อินเทอเนต) ฉบับหน้า

บรรณาธิการ

29 ต.ค. 2549

ข่าวและบทวิเคราะห์พิเศษ เกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง

1. ข่าวการปฏิวัติ 1

ข่าวด่วนและสำคัญมากในขณะนี้คือข่าวการปฏิรูปการเมือง เมื่อเวลา 21.00 น.วันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 ได้มีการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน โดยมีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมเป็นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

คณะปฏิรูปได้ทำการยึดและควบคุมสื่อมวลชนโทรทัศน์ทุกช่อง รวมทั้งเคเบิลทีวีทุกช่อง ให้หยุดรายการปกติลงทุกรายการด้วย โดยให้รอคำสั่งและนโยบายการสื่อสารมวลชนจากคณะปฏิรูป

การยึดอำนาจปราศจากเหตุการณ์รุนแรง จนกระทั่งเวลา 24.00 น. จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้คณะปฏิรูปเข้าเฝ้าทูลรายงานเหตุการณ์

ต่อมาได้มีประกาศของคณะปฏิรูปและคำสั่งออกมาตามลำดับ ๆ

ที่สำคัญ ๆ ก็คือ ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 สิ้นสุดลง ให้วุฒิสมาชิกภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัธธรรมนูญ สิ้นสุดลง

ให้หน้าที่ใดเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เป็นหน้าที่ของหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ หน้าที่ใดเป็นของรัฐมนตรี ให้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวง หรือตามที่หัวหน้าคณะปฏิรูปจะสั่งการ ฯ

เหตุผลสำคัญในการปฏิรูปฯ ตามประกาศของคณะปฏิรูปก็คือ ความวุ่นวายของบ้านเมืองไม่มีที่สิ้นสุด เกิดการแตกแยกในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางไม่เคยมีมาก่อนเพราะต่างฝ่ายต่างพยายามเอาชนะคะคานกัน ไม่คำนึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ มีคนในวงกว้างสงสัยว่าการบริหาราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ แฝงไว้ด้วยทุจริตอย่างกว้างขวาง

และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ มีสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยตลอดมา และยังคงไม่เห็นว่าจะระงับลง

คนจำนวนมากเห็นว่า ไม่มีทางออกโดยเด็ดขาด จึงต้องทำการปฏิรูปฯ และเมื่อปฏิรูปแล้ว ก็จะไม่ยึดอำนาจไว้ แต่จะคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด

และการณ์จะเป็นไปอย่างใดก็ต้องติดตามไปสักระยะหนึ่งก่อน พอให้เห็นเค้าว่าจะเรียบร้อยดีงาม เพราะหากมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่อ้างตนว่าเป็นตัวแทนประชาชนอย่างไร ออกมาพูดอย่างไร อ้างประชาธิปไตยอย่างไร ออกมาเคลื่อนไหวขึ้น ซึ่งจะขัดต่อคำสั่งของคณะปฏิรูปหรืออย่างไร

นั่นจะเป็นประเด็นสำคัญต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะถ้าแก้ปัญหาประชาธิปไตยจอมปลอมในการเมืองไทยไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งจะเสียหายไปอีก การปฏิรูปก็จะเสียเปล่า

· 20 ก.ย. 2549

2. ข่าวการปฏิวัติ 2

วันพุธที่ 20 ก.ย. 2549 ทั้งวัน คณะปฏิรูปฯได้ทะยอยออกคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปไปตามลำดับ ๆ

มีการให้ เพรสคอนเฟอเรนซ์ คือแถลงข่าวแด่สื่อมวลชน เปิดโอกาสให้ถามข้อสงสัยต่าง ๆ ประเด็นสำคัญ ที่หัวหน้าคณะปฏิรูปตอบเอง ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ก็คือ จะยึดอำนาจไว้นานสักเท่าไร ท่านตอบว่า ราว 2 สัปดาห์เท่านั้น ในระหว่างนี้ท่านจะจัดการให้มีรัฐบาลพลเรือนขึ้นมารับช่วงการบริหารไป ให้มีรัฐธรรมนูญชั่วคราวออกมา และให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540

ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าประหลาดใจ ที่ว่าคณะปฏิรูปฯให้เวลาตัวเองเวลาทำงานของคณะปฏิรูปฯ เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น

หัวหน้าคณะปฏิรูปถูกตั้งคำถามสำคัญว่า ท่านมีท่าทีว่าจะไม่เอาทหารออกมาปฏิวัติและยืนยันด้วยคำพูดตนเองตลอดมาว่าจะไม่มีทหารปฏิวัติ-ปฏิรูป-ยึดอำนาจ แต่ทำไมจึงขัดคำตัวเอง ท่านตอบว่า การปฏิรูปฯครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญ เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ปัญหาเฉพาะหน้านี้คืออะไร คณะปฏิรูปฯมองว่าหมายถึงอะไร และในเมื่อได้เกิดการปฏิรูปฯขึ้นแล้ว แต่กลับแสดงท่าทีว่าคณะปฏิรูปฯจะมิได้คิดจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านี้ ที่เป็นอยู่ขณะนี้ด้วยตนเองและด้วยอำนาจการปฏิรูปฯ ให้เสร็จเด็ดขาดลงไป เมื่อหมดภาระคณะปฏิรูปฯไปแล้ว หากปัญหาเฉพาะหน้าอันเดิมนี้เกิดกลับมาอีก เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีกครั้ง จะแก้ไขอย่างไร ฉะนั้นประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่คณะปฏิรูปควรขบให้แตกและเรียบร้อยเด็ดขาดลงเสียก่อนภายใน 2 สัปดาห์นี้ เหตุการณ์จึงจะไม่กลับไปเป็นประเด็นอย่างเดิม ๆ เช่นรัฐบาลทักษิณอีกต่อไป

เรามีข้อเสนอว่า ควรนิยามให้แน่ชัดถึงการแสดงออกซึ่งสิทธิของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์ การชุมนุมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และบทบาทของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ในที่สาธารณะ

และการแอบอ้างสถาบันโดยไม่ชอบธรรมไปทำการโฆษณาชวนเชื่อ น่าเป็นข้อต้องห้ามเด็ดขาดและมีความผิดร้ายแรง

· 21 ก.ย. 2549

3. ข่าวพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ข่าวสำคัญวันนี้ก็คือ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย ทั้งนี้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549

โดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หน.คปก.(หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) เป็นผู้อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง เมื่อ 1 ต.ค. 2549 เวลา 16.55 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล

พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2486 ขณะนี้มีอายุ 63 ปี 2 เดือน มีประวัติน่าสนใจตอนหนึ่งว่า เมื่ออายุ 6 ขวบ บิดาคือ พ.ท.พโยม จุลานนท์ ได้หนีเข้าป่าไปร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อเป็นนายทหารยศร้อยตรี ได้ไปศึกษาวิชาการรบนอกแบบและการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาขณะที่บิดาเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นที่รู้จักกันว่า สหายคำตัน

เกษียณอายุราชการเมื่อพ.ศ.2546 มีประวัติว่า ได้อุปสมบทและออกธุดงค์ในภาคอีสานอยู่เป็นเวลา 1 พรรษาจึงลาอุปสมบท และเป็นองคมนตรีสืบมาจนถึงปัจจุบัน

พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน กล่าวถึง พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ว่า "คนที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีมีมาก มีทั้งเสนอตัวเข้ามาหลายคน ผมพิจารณาดูแล้วก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี จึงตัดสินใจเพียงไม่กี่วัน เพราะคนดี ๆ อย่างพล.อ.สุรยุทธ หาได้ยาก เนื่องจากคนที่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องเสียสละอย่างแท้จริง เพราะปัญหาหลังจากนี้ต่อไปต้องมีเยอะแน่นอน ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ประเทศชาติต้องเดินหน้าไปด้วยความมั่นคงอย่างแท้จริง" (จากข่าวการเมืองไทยรัฐออนไลน์ 2 ต.ค.49)

หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) ได้ยกย่องเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2545 มาแล้ว(ดูดีอินเทอเนตเล่มที่ 28 หรือ คอลัมน์บุคคลแห่งปี พ.ศ.2545)

เรามีบันทึกพิเศษในคอลัมน์ ดวงชะตาผู้นำชาติและดวงเมืองยุคปัจจุบัน ของเวบไวท์นี้ โดยชลัมพุช โหรชนบท จะได้คำนวณดวงชะตาของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ และหมายเหตุการพยากรณ์ไว้โดยประเด็นสำคัญ ๆ คร่าว ๆ ถ้าสนใจก็โปรดติดตามไปดูได้เลย

บ้านเมืองเราจะเป้นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามต่อไป

· 1 ต.ค. 2549

4. บทวิเคราะห์พิเศษ

ควรปฏิวัติการฟังเป็นอันดับแรก โดย ธรรมาชีพ ธรรมาชน

การฟังหมายถึงการศึกษาจากเสียงที่ได้ยิน ที่สำคัญ การศึกษาของคนศึกษาจากเสียงของคำสอน คำพูด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์

ในยุคสมัยนี้การฟังมีความสำคัญมาก เพราะอาจหมายถึงความเจริญและทั้งความเสื่อมของประเทศได้ ดังเช่นที่ปรากฎในประเทศไทยตลอดมา

เพราะคนชอบฟังเรื่องสิทธิเสรีภาพมากเกินไป เมื่อมีคนมาพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพให้ฟัง จะมีคนไทยชอบฟัง จนลืมไปว่าสิทธิเสรีภาพนั้นกินไม่ได้ แต่เศรษฐกิจนั้นต่างหากที่กินได้ นี่สัจธรรมของชีวิตเป็นเช่นนี้

ยุคนี้ ยุคปฏิรูปการปกครอง ควรปฏิรูปการฟังด้วย ควรให้ฟังเรื่องการเศรษฐกิจ การตลาด เทคโนโลยี และหาคนเก่งในเรื่องนี้มาพูดให้ประชาชนฟัง แต่ถ้าอยากฟังเรื่องดี ได้ประโยชน์ทางการตลาดจริง ๆ ก็ต้องลงทุนจ้างคนที่มีความรู้มาพูดเรื่องการตลาดให้ฟัง เพราะเขาจะไม่มาพูดให้เราฟังฟรี ๆ ของเขารู้จริง เอาไปทำมาหากินได้จริง เขาหวงวิชาของเขา พวกนี้รู้อะไรไม่พูดพร่ำเพรื่อ เขาหวงวิชา ต้องจ้างเขามาพูด

ส่วนการพูดเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิเสรีภาพ ควรดูที่ข้อเท็จจริง ว่า เราดูเหมือนมีคนเก่งมากมาย เดินชนกัน รู้ดีกันทุก ๆ คน หาฟังที่ไหน ๆ ก็ได้ ราคาถูก ๆ ไม่จำเป็นต้องจ้างเขามาพูด ดูลึก ๆ แล้วส่วนมากไร้ราคาค่าวิชาการ เพราะไม่ได้รู้จริงอะไร แค่พูดได้ และแทบทุกครั้งที่มีการรวมกลุ่มฟัง ต้องจ้างคนไปฟังต่างหาก ดังเช่นพวกม็อบต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว

ถ้าเราไม่เปลี่ยนอุปนิสสัยการฟังใหม่ มาฟังเรื่องการตลาด ฟังเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ฟังเรื่องการบริหารการเงิน ฟังเรื่องทุนและการลงทุน ฟังเรื่องเทคโนโลยี ฟังเรื่องฮาว(how?) ฟังเรื่องออนไลน์ อีเมล อินเทอเนต อีเอ็ดยุเคชั่น ฯลฯ แล้วละก็ ประเทศไทยอาจทำมาหากินไม่เป็น สินค้าโอท็อบ จะไม่มีที่วางขาย จะค่อย ๆ รีดิวส์ การค้าเสรีจะเสียเปรียบดุลการค้า ชนิดที่ไม่มีวันเงย จะทำมาหากินไม่ทันประเทศญี่ปุ่น อเมริกา ลาว เวียดนามเขา

และหากมัวคิดอยากฟังแต่กลุ่มพวกนั้น พวกที่พูดเป็นแต่เรื่องเดียว ๆ คือสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่คนพูดก็ไม่ได้รู้จริง ๆ อะไร พูดเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพจอมปลอม ประชาธิปไตยจอมปลอมไปทั้งนั้น ก็จะได้ฟังแต่เรื่องประชาธิปไตยจอมปลอมไปทั้งนั้น ไม่มีวันรู้หรอกว่าประชาธิปไตยจริง ๆ เป็นอย่างไร

บางคนเป็นหมอ เป็นนักฎหมายระดับครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นวุฒิสมาชิกด้วยซ้ำ แต่พอฟังศาลตัดสินความไม่ถูกใจตนเอง กลับพาพวกไปคัดค้านประนาม ทำร้ายบุกรุกศาล ด้วยซ้ำที่เป็นตัวอย่างเลว ๆ ประชาธิปไตยเลว ๆ เห็นกันมาแล้ว

คือพูดแบบโฆษณาชวนเชื่อ จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่เอามาพูดได้ทั้งปีทั้งชาติ พูดแบบคนรู้ไม่จริง รู้อย่างเดียว แคบ ไร้วิสัยทัศน์ แล้วละก็

เราระวังอาจจะมีไอเอ็มเอฟยุคที่ 2

แล้วพวกที่ชอบพูดชอบฟังเรื่องสิทธิ ประชาธิปไตยจอมปลอมก็จะไม่มีปัญญาแก้ไขอย่างใด เพราะพวกเช่นนั้นก็เคยล่มจมมาแล้ว แต่ยุคไอเอ็มเอฟคราวก่อน

ไม่รู้หรือ ???

ธรรมาชีพธรรมาชน
27 ก.ย.2549

บทความ:เทศนาธรรมพิเศษ

คนบ้า ๘ จำพวก

โดย พระราชวรรณเวที *

เมื่อพูดถึงคนบ้าเรามักเข้าใจว่าคือ คนที่เสียสติหรือวิกลจริตหรือคนที่เป็นโรคประสาทอย่างรุนแรง จนไม่สามารถจะควบคุมพฤติกรรมของตนได้ คนที่มีความเครียดและจิตฟุ้งซ่านก็เข้าลักษณะคนบ้าด้วย

ในคัมภีร์เวสสันตรทีปนี ภาค 1 ได้กล่าวถึงคนบ้าหรือความเป็นบ้าไว้ 8 จำพวก ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดังต่อไปนี้

1. กามะอุมมัตตะโก บ้าเพราะกามารมณ์ เช่น การติดแน่นรักใคร่พอใจอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ จนเกินไป คนบ้าประเภทนี้ย่อมทำอะไรตามใจโดยไม่ยั้งคิด มีการข่มขืนชำเรา พรากผู้หญิง เจ้าชู้ ทำลามกอนาจาร และฆ่ากันตาย การบ้าอำนาจ บ้ายศศักดิ์ บ้าตำแหน่งหน้าที่ ก็อยู่ในจำพวกนี้ด้วย

2. โกธะอุมมัตตะโก บ้าเพราะโกรธ คือพวกโทสจริต มีความขุ่นเคืองใจ มุ่งร้ายหมายขวัญ อาฆาตจองเวร ร้ายกาจและมีความโหดเหี้ยม สามารถทำลายหรือฆ่าบิดามารดาของตนเองได้

3. ทิฏฐิอุมมัตตะโก บ้าเพราะทิฏฐิ คือความเห็นที่ดิ่ง ยึดเอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ คนอื่นมีความเห็นถูกอย่างไรไม่ยอมรับ เรามักจะพูดว่าเป็นคนมีทิฏฐิมานะ บ้าจำพวกนี้สามารถจะทำลายหมู่คณะและประเทศชาติได้

4. ยักขะอุมมัตตะโก บ้าเพราะผีสิง คนบ้าประเภทนี้ย่อมตกอยู่ในอำนาจภูตผีปีศาจ พูดจาเลอะเลือน ตามแต่สิ่งลึกลับจะดลบันดาลใจ บ้าจำพวกนี้ไม่ค่อยเป็นอันตรายต่อคนอื่น เป้นบ้าประเภทน่าสงสาร

5. โมหะอุมมัตตะโก บ้าเพราะอวิชชา คือความหลงใหลโง่เขลา เชื่อง่าย ไม่มีเหตุผล จิตฟุ้งซ่าน เห็นชั่วเป็นดี เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นคนเลอะเลือนและโลเล ขาดสติปัญญาและรับผิดชอบ

6. ปิตตะอุมมัตตะโก บ้าเพราะดีเดือด คือดีหรือบีกำเริบ ถ้าน้ำดีกำเริบผิดปกติจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน พูดจาไม่เป็นภาษาคน น้ำดีภายในตัวคนมีส่วนทำให้เป็นบ้าได้ ดังที่เรามักพูดว่า บ้าดีเดือด คือบ้าเพราะน้ำดีกำเริบนั่นเอง

7. พะยะสะนะอุมมัตตะโก บ้าเพราะประสบเหตุ คนบ้าประเภทนี้ย่อมตกอยู่ในอำนาจของความเสียใจ มีอาการเศร้าโศก บ่นเพ้อ ซบเซา ทอดอาลัยตายอยากในชีวิต สิ้นหวัง สามารถจะฆ่าตัวตายได้

8. สุราอุมมัตตะโก บ้าเพราะสุรายาเสพติดให้โทษ คนบ้าประเภทนี้ย่อมตกอยู่ในอำนาจของความเมา ไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตนเอง เช่น พวกดี่มน้ำเหล้าเมาสุราและยาเสพติดให้โทษประการต่าง ๆ ทำให้เกิดอุบัติเหตุและประทุษร้ายผู้อื่นได้

ในทางการแพทย์ถือว่า บ้าหรือความเป็นบ้าเป็นอาการของโรคอย่างหนึ่ง และเมื่อพูดถึงคำว่าโรค ในทางพระพุทธศาสนาได้อธิบายไว้ละเอียดดีมาก คือ

1. โรคทางกาย ได้แก่ความเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บหัว เจ็บท้อง ร่างกายเป้ฯบาดแผล ผดผื่นคัน ร่างกายเน่าเปื่อย ร่างกายอ่อนแอ และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง

2. โรคจิตประสาท ได้แก่สมองประสาทผิดปกติ คิดมาก นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม จิตฟุ้งซ่านรำคาญ ตกใจกลัว คิดทำลายตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

3. โรควิญญาณต่ำ ได้แก่คนที่ไม่ได้พัฒนาจิตใจให้มีศีลธรรม เต็มไปด้วยโลภะโทสะ และโมหะ ทำการทุจริตคอรัปชั่น เป็นแก่ตัวและพรรคพวก ฉ้อราษฎร์ บังหลวง กอบโกย โกงกิน แย่งผลประโยชน์ จนฆ่ากันตาย เป็นต้น

โรคทางกายและโรคทางจิตประสาท มีโรงพยาบาล มีแพทย์หรือหมอรักษาทั่วไปทุกจังหวัดมีตัวยาสามารถรักษาให้หายได้ แต่โรคทางวิญญาณหรือโรควิญญาณต่ำ ยังไม่มีโรงพยาบาล ยังไม่มีแพทย์มีหมอรักษา เห็นแต่ธรรมโอสถ ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่รักษาโรควิญญาณต่ำได้ มันสำคัญอยู่ที่คนเป็นโรคนี้จะยอมรักษาหรือเปล่า ที่บ้านเมืองหรือสังคมมันวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะมีแต่คนโรควิญญาณต่ำ ไปทำให้เดือดร้อนมิใช่หรือ?

* พระราชวรรณเวที

ปัจจุบันคือ ดร.พระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กัลยาโณ)

เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ

บทวิเคราะห์พิเศษเสนอรัฐบาลใหม่

1. ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ....

2. ร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่....) พ.ศ. ....

ของคณะกรรมการการศึกษา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร

ซึ่งเป็นร่างพรบ.เกี่ยวกับการคณะสงฆ์ ฉบับสุดท้าย

ก่อนที่รัฐบาลทักษิณ จะถูกยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย. 2549

บทวิเคราะห์

ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ......

1. กำหนดให้มี คณะกรรมการพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามมาตรา 8

ซึ่งกำหนดให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็น ประธาน

2. กำหนดให้มีสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามมาตรา 10

ซึ่งกำหนดให้มีเลขาธิการเป็นหัวหน้าสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

3. ให้มีกองทุนพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามมาตรา 12 และกำหนดที่มาของกองทุนจากแหล่งเงินทุน 5 รายการ ตามมาตรา 13 มี

3.1 เงินอุดหนุนจากรัฐบาล

3.2 ศาสนสมบัติกลาง

3.3 เงินหรือทรัพย์สินที่วัด หรือผู้มีจิตศรัทธาบริจาค

3.4 ดอกผลของกองทุน

3.5 เงินหรือทรัพย์สินที่เกิดจากการบริหารกองทุน

4. ให้มีคณะกรรมการกองทุนพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามมาตรา 14

4.1 มีพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์จำนวนสามรูปเป็นที่ปรึกษา

4.2 มีเลขาธิการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นประธาน

4.3 มีกรรมการมาจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ

5. ให้มีสำนักงานกองทุนพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามมาตรา 16 โดยมี

5.1 เลขาธิการสำนักงานกองทุนพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแล

5.2 ผู้จัดการกองทุนสำนักงานกองทุนพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้บังคับบัญชา บุคคลากรของสำนักงานกองทุน

ข้อสังเกต การออกพระราชบัญญัตินี้ นับว่าเป็นการตรงความต้องการของพุทธบริษัท นับว่ามีความจำเป็นอยู่แล้ว ควรรีบเร่งออกโดยเร็ว

ข้อพิจารณา
สำหรับหนังสือพิมพ์ดี เราพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับแล้ว มีความพอใจ

อย่างไรก็ตาม ในด้านการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนานั้น ควรจะมีบทบัญญัติปรามหรือป้องกันลัทธิ พิธีกรรมหรือความเชื่อที่งมงาย ไว้ในมาตราใดมาตราหนึ่งด้วย เพราะเดิมมาตลอดถึงเวลานี้นั้น เรามักจะมีข้อกำหนดควบคุมเฉพาะชาวพุทธหรือหมู่สงฆ์ฝ่ายเดียว เมื่อทำผิดก็เป็นความผิดของประชาชนและหมู่สงฆ์ แต่ลัทธิ พิธีกรรมงมงายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิทรงเจ้าและพิธีกรรมไสยศาสตร์ต่างๆซึ่งแอบแฝงมาในรูปของวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นและต่างชาติได้มีมากขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้ หากปล่อยให้เป็นไปอยู่ตามปกติอย่างนี้แล้ว ก็เท่ากับไม่อุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา เพราะปล่อยให้สิ่งที่ผิดธรรมของพระพุทธศาสนาเจริญไปได้ โดยไม่มีการปราบปรามเลย คนก็จักไหลไปเข้าข้างฝ่ายผิด ฝ่ายงมงายไปหมด เราจึงขอให้คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร, สภาผู้แทนราษฎร, รัฐสภา หรือรัฐบาล ได้กรุณาพิจารณาเพิ่มเติมไปอีกหนึ่งประเด็นสำคัญด้วย

บทวิเคราะห์

ร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่...) พ.ศ. .....

1. กำหนดโครงสร้างการปกครองของคณะสงฆ์

1.1 ให้มีสมเด็จพระสังฆราช

1.2 ให้มีมหาเถรสมาคม

1.3 ให้มีมหาสังฆสมาคม

1.3.1 สังฆสมาคมจังหวัด

1.4 ให้มีมหาคณิสสร

1.4.1 มี ภาค จังหวัด อำเภอ และ วัด (ไม่มีตำบล)

1.5 ให้มีมหาวินัยธร

1.5.1 วินัยธรจังหวัด

1.6 ให้มีกองงานหลักหรือสำนักงานเลขาธิการกลางเพื่อบริหารจัดการเรื่องราวของคณะสงฆ์ตาม นโยบาย คำสั่งหรือ แผนงานของคณะสงฆ์ ได้แก่

1.6.1 คณะกรรมการพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

1.6.2 สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ

1.6.3 กองทุนพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

2. การบริหารวัด มีหลักการตามมาตรา 40

“มาตรา 40 การบริหารวัดให้จัดในรูปคณะกรรมการ ต้องเป้นไปตามพระธรรมวินัย มีความ โปร่งใส และตรวจสอบได้ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในสังฆาณัติ โดยคำนึงถึงการสร้างบริเวณวัดให้เป็นรมณียสถาน”

3. การบรรพชาอุปสมบท

4. อื่น ๆ

ข้อพิจารณา

1. เดิมก่อนที่จะมีการร่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ มีร่างที่เคยผ่านการพิจารณามาแล้ว

3 ฉบับ คือ

1.1 ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ....

ร่างของกระทรวงศึกษาธิการ

1.2 ร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่....) พ.ศ. ....ร่างของกระทรวงศึกษาธิการ

1.3 ร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่....) พ.ศ. ....ร่างของมหาเถรสมาคม

ซึ่งทั้ง 3 ร่างนี้ได้มีการทำประชาพิจารณ์ และได้บทสรุปว่ายังไม่เหมาะสม จึงยังไม่ถึงขั้นเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร รอคอยการปรับปรุงให้เหมาะสมต่อมา ตราบคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร มี ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ได้นำมาปรับปรุงใหม่ เป็นครั้งล่าสุด และมีหลักการเปลี่ยนไปจากของกระทรวงศึกษาธิการอย่างสำคัญ ครั้นเมื่อได้ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับแล้วก็เริ่มนำออกให้มีการประชาพิจารณ์ โดยได้นำสู่การประชาพิจารณ์ของหมู่สงฆ์และประชาชนครั้งแรก ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี

ตามที่เรา หนังสือพิมพ์ดีได้รายงานข่าวในหน้าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ดีฉบับที่ 34 พร้อมคำวิจารณ์ของเรา ไปแล้ว และยังรอผลการปรับปรุงอยู่ตราบในที่สุดเกิดการปฏิวัติรัฐบาลทักษิณเสียก่อน ทำให้น่าเสียดายที่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการคณะสงฆ์ทั้ง 2 ฉบับใหม่นี้ไม่ทันเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาอนุมัติออกมาเป็นกฎหมาย

2. ผู้ร่าง คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร นำโดย ร.ท.กุเทพ ใส กระจ่าง ประธานคณะกรรมาธิการฯ โดยนำเอา ร่างพระราชบัญญัติเดิมของกระทรวงศึกษาธิการ ชื่อเดิมทั้ง 2 ฉบับ มาปรับปรุงแก้ไขใหม่ โดยแก้โครงสร้างระบบอำนาจในร่างเดิม และเพิ่มระบบคุณธรรมเข้าไปอีก(ดูบทวิเคราะห์ใน นสพ.ดีเล่ม 34 และดูบทวิเคราะห์ในเวบไซท์ https://www.newworldbelieve.net)

3. สำหรับหนังสือพิมพ์ดี เราพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับแล้ว มีความพอใจ และเห็นว่าร่างทั้ง 2 ฉบับนี้ตรงกับความต้องการของหมู่สงฆ์และตรงเป้าหมายของพระธรรมวินัยอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว มีประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความหมายประชาธิปไตยในหมู่สงฆ์ก็คือ การกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าสู่ตำแหน่ง ทั้งในระดับมหาเถรสมาคม มหาคณิสสร มหาสังฆสมาคม และมหาวินัยธร มีเหตุมีผลสอดคล้องทันยุคสมัย

นอกจากนั้น เมื่อมองจากกรอบความคิดของการออกร่าง พรบ.ใหม่นี้ เห็นว่า เจตนาของการออกพรบ.ทั้ง 2 ฉบับนี้ ตามกรอบความคิดหลักของคณะกรรมการฯ มีไว้ดีนับว่าตรงหลักการพระพุทธศาสนา ตรงหลักธรรม มีจุดมุ่งหมายตรง ที่อาจเอื้อให้การนำหมู่สงฆ์ไปสู่โลกุตตระมรรค ผลนิพพาน ตามเป้าหมายของพระพุทธศาสนา ควรดำรงกรอบความคิดนี้ไว้ตลอดไป ได้แก่

“(๑) ให้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์เป็นกลไกสำคัญในการบริหารงานคณะสงฆ์ภายใต้กรอบของพระธรรมวินัย จึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเขียนบทบัญญัติในลักษณะขัดต่อหลักธรรมวินัย และมีบทบัญญัติเชิดชูคุ้มครองพระธรรมวินัยไว้ด้วย

(๒) ให้อำนาจการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ประชุมสงฆ์ตามพระธรรมวินัย จึงหลีกเลี่ยงการเขียนบทบัญญัติกำหนดตายตัวให้บุคคลใดมีอำนาจกระทำการใดโดยพลการ

(๓) มุ่งส่งเสริมการศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัดและสม่ำเสมอตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงกำหนดเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหารงานคณะสงฆ์ที่ต้องถือเป็นนโยบายให้พระภิกษุและสามเณรได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรราวินัยอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ยังครองเพศบรรพชิต

(๔) มุ่งส่งเสริมให้คณะสงฆ์ได้ประชุมกันเนืองนิตย์ตามหลักอปริหานิยธรรม จึงมีบทบัญญัติให้มีที่ประชุมสงฆ์เป็นการถาวร ทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด

(๕) มุ่งส่งเสริมให้คณะสงฆ์สามารถพิจารณาอธิกรณ์ของพระภิกษุซึ่งละเมิดพระธรรมวินัยให้จบเสร็จอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ จึงมีบทบัญญัติให้มีกลไกพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด

(๖) มุ่งให้คณะสงฆ์ทั่วไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานคณะสงฆ์ จึงมีบทบัญญัติให้มีการอุปโลกน์ผู้เหมาะสมตามพระธรรมวินัย

(๗) ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่ามีส่วนร่วมในการอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา จึงมีบทบัญญัติให้มีเวทีที่พุทธศาสนิกชนจะได้แสดงบทบาทในการสนับสนุนการบริหารงานคณะสงฆ์อย่างเป็นระบบ

(๘) มุ่งเห็นการป้องกันและลงโทษอลัชชีอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีบทบัญญัติเน้นเรื่องการศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ระบุโทษผู้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดของพระอลัชชี จึงมีบทบัญญัติให้คณะสงฆ์ทำหน้าที่ผู้สอนผู้เผยแผ่อย่างแท้จริง

(๙) ส่งเสริมให้มีการนำพระพุทธธรรมไปแก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงมีบทบัญญัติให้คณะสงฆ์ทำหน้าที่ผู้สอนผู้เผยแผ่อย่างแท้จริง”

4. พิจารณาในรูปรวมถึงหลักการที่สำคัญในร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับ คณะกรรมการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ดังนี้

4.1 มีเป้าหมายการศาสนาที่สอดคล้องพระธรรมวินัย เช่นกำหนดไว้ในมาตรา 5 ร่างพรบ.อุปถัมภ์ฯและมาตรา 7 ร่าง พรบ.คณะสงฆ์ฯ ว่า

มาตรา 5 การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องเป็นไปเพื่อความมั่นคงสถาพรแห่งสถาบันพระพุทธศาสนาตามแนวทางส่งเสริมและพัฒนาพุทธศาสนิกชนให้เจริญในหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

มาตรา 7 การบริหารงานคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย และสังฆาณัติ มีเป้าหมายสำคัญในการทำให้พระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติเหมาะสมกับสมณสารูปเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาและทำให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าเจริญในหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

4.2 มีระบบสภาสงฆ์เกิดขึ้น สภานี้เองจะเป็นผู้บริหารอำนาจให้เป็นไปโดยถูกต้องตาม พระธรรมวินัย

ข้อเสนอแนะในประเด็นหลักสำคัญ

5. อย่างไรก็ตามในร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่...)พ.ศ. เราได้มีข้อพิจารณาในส่วน โครงสร้างนี้ไว้แล้วใน หนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 34 ขอเสนอย้ำอีก ณ ที่นี้ว่า

5.1. สายการบังคับบัญชาของมหาคณิสสร ที่มีถึง 7 ระดับ ค่อนข้างยาวไป จะไม่สอดคล้องกับมหาสังฆสมาคม ที่มีเพียง 2 ระดับ การที่มีระดับยาวเกินไปจะขัดหลักการมหาสังฆสมาคมอยู่ในตัวเอง ที่เน้นความเสมอกันในคุณธรรม ความรู้และวิชาการ มากกว่าจะไปเน้นระบบอำนาจ และ ไม่รับกับการบริหาราชการฝ่ายบ้านเมือง จึงควรตัดระดับหรือสายการบังคับบัญชาของมหาคณิสสรลงไปอีก ให้เหลือ น้อยลงไปอีก โดยให้ประสานกับฝ่ายบ้านเมืองได้พอดีกัน เพื่อลดระดับอำนาจลงมาอีก

5.2. ควรจะให้ความสำคัญกับงานฝ่ายวิปัสนาธุระอย่างสูงพอ ๆ กับมหาคณิสสร ในที่นี้เราขอ เสนอให้เพิ่มเติม โดยอยู่ในสายงานของมหาสังฆสมาคมไปพลาง ๆ ก่อน และให้มี 2 ระดับคือ

5.2.1 ศูนย์วิปัสนาธุระระดับชาติ โดยมีคณาจารย์ใหญ่วิปัสนาธุระระดับชาติ เป็

ผู้บริหาร

5.2.2 ศูนย์วิปัสนาธุระระดับจังหวัด โดยมีคณาจารย์วิปัสนาธุระระดับจังหวัด เป็น ผู้บริหาร

เพราะหากไม่มีหน่วยงานฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน 2 ระดับนี้ขึ้นแล้ว ก็จักนำกรอบความคิดกรอบที่ (๓) ที่ว่า “มุ่งส่งเสริมการศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัดและสม่ำเสมอตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงกำหนดเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหารงานคณะสงฆ์ที่ต้องถือเป็นนโยบายให้พระภิกษุและสามเณรได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ยังครองเพศบรรพชิต” ไปใช้ได้อย่างไร อย่างเป็นมาตรฐาน และถาวร

การรับรองความสำคัญของงานฝ่ายวิปัสนาธุระเท่ากับเป็นระบบอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาโดยตรง ที่มีความหมายถึงปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ แห่งพระพุทธธรรมทั้งสิ้น ทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการจัดระบบงานทางพระพุทธศาสนา ที่จะอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาได้ตรงประเด็นขึ้น

นอกจากนั้นยังต้องระวังว่า ในระบบงานวิปัสสนากรรมฐานนี้ควรระวังการแบ่งชนชั้นโดยระบบอำนาจให้ดีด้วย

บทสรุป

เรามีความหวังว่า ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ร่างนี้ จักได้รับความเห็นชอบจากหมู่สงฆ์ไทย รัฐบาล และรัฐสภาเห็นชอบดำเนินการต่อไป ภายในหลักการนี้

บรรณาธิการ

ดี(อินเทอเนต)

https://www.newworldbelieve.net

22 ต.ค.2549

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว

ต่อต้านเอดส์ต่อต้านอนารยธรรม

โดย คอมพิวเตอร์แมน และ บูดามี

ล่าสมบัติซากเทวดา ภาพยนตร์

ช่อง 58 เคเบิลทีวี

25 ต.ค.2549 12.00- 13.25 น.

ดูไม่ทันว่าชื่อภาษาอังกฤษว่าอะไร (The Body) ฟังชื่อภาษาไทย คล้ายเรื่องธรรมดา ๆ แต่เนื้อเรื่องไม่ธรรมดาเลย เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากในเชิงการศาสนาสากล และมีความหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับศาสนาคริสต์ทั้งหมด เพราะซากเทวดา ในชื่อภาพยนตร์นี้ คือซากที่เชื่อว่าเป็นซากของพระเยซู คริสต์ ศาสดาผู้ซึ่งชาวคริสต์ถูกบังคับให้เชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้า ได้เสด็จไปจากโลกขึ้นสู่สวรรค์ไปตั้งแต่ครั้งมรณกาลของพระองค์ จากการตรึงกางเขน และสถิตณสวรรค์เคียงข้างพระหัตถ์ด้านขวาของพระบิดามาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นภาพยนต์อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้สร้างสามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างไรโดยปราศจากการต่อต้านขององค์กรคริสต์ และชาวคริสต์ นอกจากความหมายของเสรีชนแห่งยุค ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์เผด็จการเทพเจ้าเช่นยุคคาทอลิกครอบงำยุโรปยุคต้น ๆ นั้นได้หมดสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้ว และมนุษย์มีอิสระโดยสิทธิ์เอกชนโดยสมบูรณ์ที่จะแสวงหาความจริงได้อย่างเต็มที่ อันเป็นเหตุผลที่ต้อนชาวคริสต์กลุ่มแกนหลักของศาสนาไปสู่มุมอับทางการต่อสู้เชิงวาทะยุควิทยาศาสตร์ และภาพยนตร์แอนตี้ศาสนาเช่นนี้สามารถตีแผ่ออกมาได้เรื่อย ๆ

ความจริงภาพยนตร์เรื่องนี้เคยเข้ามาฉายในเมืองไทยไปครั้งหนึ่งแล้ว ย้อนกลับมาอีกครั้งก็ยังน่าติดตามชม โดยเฉพาะเชิงการศาสนาสากล

ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ตามท้องเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้ ซากเทวดา นี้คือ โครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์ของคน ๆ หนึ่ง มีที่ขาดหายไปคืออัฏฐิส่วนหนึ่ง โครงกระดูกนี้มีการค้นพบอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งนอกกรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล มีบันทึกว่าค้นพบถ้ำแห่งนี้ใน ค.ศ. 70 มีเสียงลือกันตลอดมาว่า เป็นศพพระเยซูบ้าง ศพสาวกบ้าง มีการพิศูจน์กันด้วยประการต่าง ๆ แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นโครงกระดูกของผู้ใด ตราบกระทั่งมาถึงยุคหลังนี้ เมื่อมีหลักฐาน การพิศูจน์ของนักวิทยาศาสตร์ยุคนี้ จึงค่อนข้างชัดเจนขึ้นว่า น่าจะเป็นศพพระเยซูจริง ๆ ทางวาติกันจึงตื่นตัวขึ้น และเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ โดยถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของศาสนาคริสต์โดยตรง

ถ้าคนชมไม่ค่อยจะเข้าใจรอบรู้นักในเชิงศาสนาสากล ก็จะดูสนุก ๆ ไปเป็นภาพยนตร์แปลกแหวกแนวไปอีกเรื่องหนึ่ง ที่ให้รสชาติประหลาด ๆ เนื่องจากพระเอกในเรื่องเป็นบาทหลวงหนุ่ม ผู้ได้รับคำสั่งจากวาติกันให้ติดตามเรื่องซากเทวดานี้ แล้วไปพบนางเอกสาวสวยอารมณ์ร้อนแรง ที่จำเป็นต้องอาศัยพึ่งพากันอย่างใกล้ชิดในการตามพิศูจน์ซากเทวดานี้ว่าเป็นซากของพระเยซูคริสต์จริงอย่างความสงสัยของคนทั้งหลายหรือไม่ ทางฝ่ายหญิงต้องการข่าวสดและต้องเป็นความจริงที่พิศูจน์โดยวิทยาการสมัยใหม่และต้องการเสนอข่าวอย่างตรงเผงไม่มีการเบี้ยวอ้อมค้อม ซึ่งนั่นค่อนข้างตรงกับแนวคิดของบาทหลวงหนุ่ม เลยไปด้วยกันได้ดี หากแต่ขัดความประสงค์ของวาติกันและพระคุณเจ้าหัวเก่าที่ยึดพระคัมภีร์เป็นสรณะอย่างเหนียวแน่น

กระนั้น นักวิทยาศาสตร์ยุคนี้ ก็เป็นที่ยอมรับและยกให้เป็นสถาบันตุลาการที่ชี้ขาด ในเรื่องนี้ ดร.คราสปราวส์ กับ ดร.โกลดแบน 2 ผู้เชี่ยวชาญเชิงมานุษยวิทยาและโบราณคดี ซึ่งน่าจะมีตัวตนจริงอยู่จริงและได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซากของพระเยซูจริง ได้ถูกเปิดเผยออกมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ชี้ขาดออกมาว่าโครงกระดูกนั้นเป็นโครงกระดูกของพระเยซูจริง

โดยพิศูจน์ได้ว่า เสียชีวิตด้วยการถูกแทงด้วยหลาวแหลม ที่สีข้าง(ตามที่เห็นในภาพยนตร์เรื่อง จีซัสไครส์ แทงเข้าสีข้างเลือดกระฉูด ซึ่งตรงกับข้อความในพระคัมภีร์หลัก มีมัธธาย มาระโก ลูกาและโยฮัน) มีสนิมเหล็กที่หูที่ถูกแทงด้วยหอกเหล็กจริง และสนิมเหล็กที่กระดูกข้อมือที่ถูกตอกตะปูตรึงกางเขน โดยปกตินักโทษฉกรรจ์ที่ถูกตรึงกางเขนจะถูกทุบที่กระดูกขาเหลวแหลกเพื่อเร่งให้ตายเร็วเข้า แต่พระเยซูทรงสมบูรณ์ไม่ถูกทุบ กระดูกขายังดีสมบูรณ์ ซึ่งตรงกับเรื่องราวในพระคัมภีร์มัธธาย มาระโก ลูกาและโยฮันว่าไว้ ได้พิศูจน์ความสูงต่ำของโครงกระดูก ก็ตรงกับลักษณะของพระเยซู และยังมีประเด็นสำคัญก็คือ การพิศูจน์ได้ว่าส่วนของโครงกระดูกที่หายไป เป็นส่วนที่ค้นพบในค.ศ. 32 ล่วงหน้ามาก่อนพบโครงกระดูกใหญ่ ถึง 28 ปี ใส่ไว้ในโถโบราณ มีคำจารึกที่โถนั้น มีการพิศูจน์ล่วงหน้าไว้แล้วว่ามีอายุอยู่ในเวลาใกล้เคียงกับที่พระเยซูมีชีวิตอยู่ และเมื่อเอามาใส่ลงในส่วนที่ขาดไปจากโครงกระดูกใหญ่ ก็พอดีกันเลย ลงพอดีกับส่วนที่หายไปจากโครงกระดูกส่วนใหญ่ ข้อสรุปก็ออกมาทันทีว่า เป็นซากของพระเยซูคริสต์ ทำให้บาดหลวงเจ้าสำนักโบสถ์ใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็มโดดตึกตายทันที่ที่รู้ข่าว ก่อนกระโดดตึกตายเพ้อว่าสาระของศาสนาไม่ได้อยู่ที่การพิศูจน์ แต่อยู่ที่ความศรัทธามหาศาลของมนุษย์ต่อพระเยซูคริสต์ แล้ว วาติกันเตรียมทำสงครามแย่งชิงโครงกระดูก หวิดเกิดสงครามศาสนาครั้งใหญ่

ในความเป็นจริงโครงกระดูกของพระเยซูคริสต์ก็จะถูกซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกเรานี้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งทางวาติกันย่อมรู้ดี แต่จำเป็นที่วาติกันต้องเก็บไว้เป็นความลับอย่างยิ่ง เพื่อคงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเอาไว้ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้แม้จะเป็นความเท็จก็ตาม และผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ยังผ่อนปรน โดยได้พยายามให้ความร่วมมือกับวาติกัน เพื่อรักษาศาสนาคริสต์เอาไว้ และถือว่า ศาสนาไม่ได้อยู่ด้วยการพิศูจน์ จึงได้เบี่ยงเบนเรื่องไปว่า พอพิศูจน์ได้ว่าเป็นโครงกระดูกของพระเยซูคริสต์ ยูเรฟ ผู้เคร่งศาสนายิวก็รีบพาพวกไปขโมยกระดูก เอาใส่กระเป๋าใหญ่ขนไปจะขึ้นเครื่องบินไปซีเรียเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เยรูซาเล็มกลายเป็นสมรภูมิเลือดระหว่างคริสต์ อิสลาม อิสราเอล แต่หนีไม่ทันพวกคริสต์ อิสลาม ยิว ตามไปแย่งคืน สู้รบกัน ไปจบลงที่ยูเรฟจนมุม แต่ไม่จนความคิดก่อนที่จะเอาลูกระเบิดทิ้งลงไปในกระเป๋าที่บรรจุอัฏฐิพระเยซู ระเบิดกระดูกแหลกเป็นจุลสูญหายไปจากโลกพร้อมกันกับชีวิตของเขา และครั้นมีการระเบิดถ้ำที่พบโครงกระดูกทิ้งอย่างไม่เหลือร่องรอยไปแล้ว วาติกันก็พอใจและให้เยรูซาเล็มเป็นเป็นเยรูซาเล็มที่ไม่ถูกแบ่งแยกเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลมาตั้งแต่เวลานั้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นการเปิดเผยความจริงออกมาว่า พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ก็มิได้ฟื้นคืนชีพแล้วเหาะขึ้นไปอยู่สวรรค์ นั่งเบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์พระบิดา ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ และนี่เท่ากับการเปิดเผยความจริง และความเท็จคือการหลอกลวงประชาชนโลกมาเป็นเวลา 2006 ปี ว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า ได้เสด็จสู่สวรรค์ทั้งรูปกายไป ภายหลังฟื้นคืนพระชนม์ต่อหน้าสาวกทั้งหลาย และประทับอยู่สวรรค์เคียงข้างพระบิดามาตราบปัจจุบันนี้ โดยไม่มีผู้ใดเฉลียวคิดว่าแท้จริงศพพระเยซูคริสต์ได้ถูกฝังลืมไว้ในถ้ำนั้น ภายใต้แผ่นดินโลกมนุษย์นี้เอง นั่นคือความจริง ศพพระเยซูยังอยู่บนโลกนี้ พระเยซูตายแล้วก็ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่บนโลกนี้สืบมาเป็นเวลาถึง 2006 ปีแล้ว นี่คือความจริง

นั่นแปลว่า การเกิดของศาสนาคริสต์เกิดขึ้นด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างแท้จริง เอาเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์มาโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงชาวโลกจนสามารถสร้างคนธรรมดาให้เป็นพระเจ้าได้ โฆษณาชวนเชื่อจนทำให้ชาวโลกหลงเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าได้ และนั่นคือเหตุที่ได้เกิดศาสนาขึ้นมาได้ทั้งศาสนา

เมื่อมีการค้นพบศพพระเยซูขึ้นมาและพิศูจน์ได้จริงว่าเป็นพระเยซู นั่นเท่ากับบอกว่า ศาสนาคริสต์ทั้งศาสนาได้หลอกลวงประชาชนโลกมาเป็นเวลานานนักถึง 2006 ปีแล้ว วาติกันซึ่งรู้เรื่องพระเยซูดี จึงตกใจเห็นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ระดับความเป็นความตายของศาสนาคริสต์ทีเดียว นั้นน่าเป็นความจริง เพราะนอกจากประเด็นสำคัญนี้แล้ว ภาพยนต์เรื่องนี้ยังบอกประเด็นของการกล่าวความเท็จของพระคัมภีร์ไบเบิลอยู่อีกมากมายแทบทั้งพระคัมภีร์ จนอาจกล่าวได้ว่า ไบเบิลคือหนังสือต้นตำหรับการโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda)ของโลกเล่มสำคัญทีเดียว จึงตรงกับคำในวิชาการสื่อสารมวลชนว่า Newspaper can make man King, Bible can make man God หนังสือพิมพ์สามารถทำคนธรรมดาให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ แต่ไบเบิลสามารถทำคนธรรมดาให้เป็นพระเจ้าได้

แต่วาติกันก็ยังกล้าแข็ง ที่พยายามต่อสู้ต่อไปในวิถีทางเดิม โดยยืนยันว่า ความจริงมีสองด้านเสมอไป คือความจริงด้านวิทยาศาสตร์ และความจริงด้านศาสนา วาติกันว่า นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจความจริงด้านศาสนา

แน่ละ นี่คือคำปลอบใจ และแนวการโฆษณาชวนเชื่อแนวใหม่ของวาติกัน ต่อจากเวลานี้

เพราะความจริงก็คือ พระเยซูเป็นบุตรที่เกิดจากมารดาคือ มาเรีย มนุษย์ แต่งงานกับ โจเซฟ นายช่างไม่ผู้เป็นบิดา เป็นมนุษย์ และทั้งสองร่วมสมรสกันแบบธรรมดามนุษย์ จึงเกิดบุตรออกมาเป็น เยซู

มิใช่อย่างพระคัมภีร์ว่าไว้ที่ว่า เกิดด้วยพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ลงมาเสพสมกับนางมาเรีย

และเมื่อสิ้นพระชนม์พระเยซูก็มิได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีก มิได้มีเรื่องราวการฟื้นคืนพระชนม์ (resurrection) ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้

และ พระเยซูมิได้เสด็จขึ้นสวรรค์และประทับร่วมอาสน์กับพระบิดาบนสวรรค์แต่อย่างใด นั่นเป็นการโฆษณาและปล่อยข่าวลือในระยะแรก ๆ ของการก่อตั้งศาสนาคริสต์ แล้วกลายเป็นการเขียนพระคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงชาวโลก ตามที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำมาเปิดเผยให้รู้ความจริงไปแล้ว

โป๊ปปลอม

ภาพยนตร์ ช่อง30 เคเบิลทีวี

4 ก.ค.2549 03.30-04.40 น.

เราจะตามไปดูภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง ออกทางเคเบิลช่อง 30 เมื่อ 4 ก.ค. 2549 เวลา 03.30-04.40 น.

ซึ่งเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ฝรั่งสร้าง โดยสิทธิเสรีชน ผู้แสวงหาความชอบธรรมอย่างอิสรชนยุคใหม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วาติกันน่าจะได้เพียงอ้าปากดูเฉย ๆ ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

ตามท้องเรื่องของภาพยนตร์นี้ไม่แน่ใจว่าเป็นโป๊ป จอหน องค์ไหน ในประวัติศาสตร์วาติกัน โดยในเนื้อเรื่องระบุชื่อว่า สันตะปาปาจอห์น เรื่องเกิดในแผ่นดินที่เป็นฝรั่งเศสในปัจจุบันนี้ แต่ในขณะนั้นยุโรปยังรวม ๆ กันอยู่ ไม่ทันได้ปักปันเขตแดนแน่ชัดอย่างปัจจุบันนี้ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมันใกล้ชิดกันด้วยอำนาจศาสนจักร ดั่งว่าเป็นแดนเดียวกันใต้อำนาจโป๊ป สันตะปาปาในเรื่องนี้ เดิมเป็นแม่ชี ได้ดีเพราะเข้าข้างจักรพรรดิฝ่ายชนะ แต่ไม่นานต่อมามีปฏิวัติซ้อนกลายเป็นฝ่ายแพ้ แม่ชีก็ปลอมตัวเป็นบาดหลวงหนุ่ม หนีภัย ตอนนี้มีชายผู้ดูแลโบสถ์มาช่วยอารักขา พาหลบหนีศัตรู ระหว่างนั้นก็เกิดพิศวาสกันได้ลักลอบร่วมรักกันมาตลอด แต่แม่ชีไม่ยอมลาสิกขาไปอยู่อย่างสามีภริยา เพราะใฝ่สูง จึงมุ่งหมายจะไปให้ไกลข้ามแดนฝรั่งเศส แต่ที่ชายแดนนั้นกลับพบกองทัพใหญ่ขวางอยู่ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน บังเอิญในสนามรบขาดพระที่จะสวดส่งวิญญาณศพ แม่ทัพใหญ่ให้หาพระ ก็ได้พระปลอมนี้ไปทำพิธีกรรมสวดส่งวิญญาณทหาร ในขณะนั้นคนยากจนมีมาก แม่ชีได้ทำงานการกุศลในนามสาวกพระเจ้าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยปรากฏผลงานน่าเลื่อมใส และใหญ่โต ประชาชนแซร่ซ้องว่าเป็นนักบุญจุติมาสืบศาสนา จนเลื่องชื่อไปถึงวาติกัน วาติกันจึงส่งเลขานุการมาดูผลงานและให้การชมเชย ยกย่อง และอยากให้ใกล้ชิดโป๊ป ช่วยงานโป๊ป จนที่สุดได้รับคำสั่งจากโป๊ปให้เข้าวิหารเซนต์ปีเตอร์ และให้เป็นเลขานุการส่วนตัวของโป๊ปก่อน อ้างว่าต้องการคนหนุ่มเพื่อทำงานเชิงรุก บังเอิญโป๊ปแก่มากแล้ว งานทุกอย่างจึงอยู่ในกำมือของเลขานุการคนใหม่ของโป๊ป ก็มีอำนาจขึ้น

ขณะนั้นพวกสาระเซน มุสลิมกำลังกล้าแข็ง โป๊ป มีหน้าที่โดยตรงในการอำนวยการทำสงครามกับพวกสาระเซน และในที่สุดการอำนวยการทำสงครามนี้ก็อยู่ในมือของเลขานุการโป๊ป ทางยุโรปขณะนั้นพระเจ้าหลุยแห่งฝรั่งเศสได้รับคำสั่งโปปให้ไปรบต้านทานพวกสาระเซน ที่รุกเข้ามาทางตุรกี แล้วก็ถึงคราวที่โป๊ปจะถอนตัวเองจากตำแหน่ง โดยเหตุผลส่วนตัวเพื่อเปิดโอกาสให้เลขานุการส่วนตนคนใหม่นี้เป็นโป๊ปหรือสันตะปาปาแทน และมีคำสั่งให้พระเจ้าหลุย มาทำพิธีสวมมงกุฎ ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ ณ วิหารเซนต์ปีเตอร์

ฝ่ายพระเจ้าหลุยมีข้อกังขาว่า โป๊ปองค์ใหม่เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยกันมาก่อนเลย เหตุใดไม่ตั้งบาทหลวงคนรองเป็นโป๊ป นึกว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล จึงยกทัพไปวิหารเซนต์ปีเตอร มีคำตอบของโป๊ปว่า เป็นความประสงค์ของพระเจ้า และทั้งบาดหลวงคนใหม่ก็มีผลงานเด่นเป็นนักบุญที่คนเลื่อมใสและมาแรงมาก และเป็นความประสงค์ของพระเจ้าโดยตรง ผู้ใดไม่ยอมรับจะเท่ากับไม่ยอมรับพระเจ้า มีโทษหนัก กษัตริย์หลุยแห่งฝรั่งเศสต้องยอมจำนน และจำต้องลดพระวรกายลงจูบรองเท้าของโป๊ปปลอมคนใหม่ และคุกเข่าลงน้อมรับการสวมมงกุฎจากโป๊ปปลอม ทำให้เห็นรองเท้าของโป๊ปคนใหม่ ก็ทรงสงสัย จึงตามโป๊ปเข้าไปในพระที่นั่งส่วนพระองค์ กษัตริย์หลุยก็ทำการพิศูจน์โดยแยบคาย พบว่าเธอเป็นผู้หญิงปลอมมา ก็ถามว่าปลอมมาเพื่อประสงค์อะไร แม่ชีผู้ซ่อนเร้นตอบอย่างอาจหาญไม่หวาดหวั่นว่า เหตุการณ์ที่เป็นมาทั้งหมดเป็นความประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้ามีประสงค์โดยตรงให้โป๊ปเป็นผู้หญิง เธอเป็นโป๊ป เพื่อชัยชนะในสงครามกับพวกสาระเซน และเพื่อชี้นำพระเจ้าหลุยโดยตรงในการทำสงครามให้ชนะพวกสาระเซ็น หากพระเจ้าหลุยขัดขวางไม่ยอม เท่ากับขัดขวางพระเจ้า ๆ จะพิโรธ จะได้รับโทษจากพระเจ้าอย่างหนัก การสงครามก็จักพ่ายแพ้ พระเจ้าหลุยก็ทำเป็นยอมจำนนและเกรงกลัวพระเจ้า และแล้วการสงครามก็เสร็จลงโดยฝ่ายกองทัพยุโรปนำโดยพระเจ้าหลุยประสบชัยชนะเหนือพวกสาระซน สาระเซนถอยทัพกลับไปอย่างบอบช้ำ

ทางโป๊ปหรือสันตะปาปาก็เตรียมจัดงานต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ มหาชนหลั่งไหลมาแน่นขนัด มหาศาล และเรียงรายรอพระเจ้าหลุยและโป๊ปจะเสด็จมาพบกัน และดูชมการต้อนรับผู้ชนะสงครามของพระเจ้า เรื่องจบลงตอนนี้เอง โดยที่คนชมก็ไม่ทันนึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ โป๊ปออกเดินยุรยาตรไปตามทางเดินเพื่อไปต้อนรับพระเจ้าหลุยส์ เห็นโป๊ปออกอาการเจ็บปวดแสนสาหัส บิดตัวไปมา แล้วค่อยทรุดตัวลงกลางถนนใหญ่ท่ามกลางสายตาคนจำนวนมหาศาล ปรากฏว่าโป๊ปปวดครรภ์จะคลอดบุตร จึงค่อยทรุดตัวลงกับพื้นและคลอดบุตรออกมาระหว่างนั้นเอง และคนทั้งหลายเห็นแก่ตาอย่างเต็มตา และรู้อะไรเป็นอะไร ก็จบลงด้วยภาพคนจำนวนมหาศาลโถมทะยานเข้าหาโป๊ป เห็นแต่ภาพที่ชุลมุนวุ่นวายเพราะคนทั้งหลายรุมเข้าไปอย่างโกรธแค้น ภาพยนตร์ก็ขึ้นคำบรรยายตอนจบบอกอะไรเป็นอะไร นั่นจึงหมดสงสัยว่าคนเขาทำอะไรกัน คือ พอคนรู้ว่าเป็นโป๊ปปลอม และเป็นผู้หญิงด้วย มาความแตกเอาต่อหน้าประชาชนด้วยการคลอดบุตรออกต่อหน้าต่อตา คนก็โกรธแค้นแสนสาหัส เข้ารุมทึ้งด้วยความโกรธ จนกระทั่งโป๊ปและลูกอ่อนไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี คำบรรยายว่าอย่างนั้น

คนชมต้องเปล่งอุทานว่า มีประวัติศาสตร์เช่นนี้ในศาสนาคริสต์หรือ? และคำตอบก็คือ แน่นอน มิฉะนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จะอยู่มาฉายให้คนชมได้ทั่วโลกอย่างไร

เราเกรงว่า ภาพยนตร์เรื่องโครงกระดูกพระเยซูคริสต์ ตามภาพยนตร์เรื่องล่าสมบัติซากเทวดา ที่เปิดเผยความจริงเรื่องพระเยซูนี้จะเป็นเหตุให้ชาวโลกลุกขึ้นพร้อมเพรียงกันสาปแช่งคริสต์ศาสนา และมาถึงกาลอวสานโดยไม่รู้ตัว เพราะการดูหมิ่นประชาชน โดยการนำเอาเรื่องเท็จเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์และการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูมาหลอกลวงชาวโลกอยู่ได้ถึง 2006 ปีเข้าแล้ว พอ ๆ กับแม่ชีโป๊ป ที่ในภาพยนตร์ออกนามว่า สันตะปาปาจอห์น ที่ถูกรุมทึ้งอย่างไม่มีชิ้นดีในภาพยนตร์เรื่องหลังนี้

รายการท่องโลก

ไอทีวี

27 ต.ค. 2549 09.00 น.

พาเที่ยวเมียนม่า เจดีย์ชะเวดากอง เขาทำรายการนี้ได้กะทัดรัด ได้เนื้อความเต็มสมบูรณ์ คม และภาพที่เห็นล้วนบ่งความหมายชัดเจนดีมาก เจดีย์ชะเวดากองสูงเสียดฟ้า มีเพชรก้อนใหญ่อยู่ยอดเจดีย์ ครบปีกษัตริย์จะนำลงมาทำความสะอาด 1 ครั้ง เสมอไป และทองประดับทั้งองค์พระเจดีย์ และเจดีย์บริวารที่แวดล้อมล้วนอลังการไปด้วยทอง เป็นสิ่งที่ผูกพันชาวพม่าทั้งราชอาณาจักรอย่างแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา มาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยไม่มีใครอาจแบ่งแยกได้ แม้จะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมานานเกือบศตวรรษก็ตาม

เขาพูดถึงการสำรวจคนที่มาเจดีย์ ว่ามากันทุกวัน ๆ มากมาย เป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นชาวพุทธของชาวพม่าอย่างแนบแน่น ทุกคนมาด้วยความศรัทธาและความหวังในความใกล้ชิดพระพุทธศาสนาช่วยบำรุงจิตใจให้พ้นทุกข์ ให้เย็น พ้นไปจากความเศร้าโศก ไม่มีเค้าของความเป็นอาณานิคมอังกฤษเลย เรื่องราวมีแต่ความประทับใจ

เขาเล่าเรื่องเมืองไทยเสียเอกราชให้พม่า ชาวพม่ารู้เรื่องราวครั้งนั้นดี ซึ่งอาจจะต่างจากที่ชาวไทยรู้ คือชาวพม่ารู้ดี ว่ากษัตริย์พม่าเอาเจ้าชายไทยมาเลี้ยงไว้พระองค์หนึ่ง เลี้ยงอย่างดี อย่างบุตรแท้ ให้ความรักเอ็นดู ให้การศึกษาอย่างดีทุก ๆ อย่าง เท่าเทียมกับโอรสองค์หนึ่งจนเติบใหญ่จึงมีวิชากล้าแข็ง แล้วกลับไปกอบกู้เอกราช จนมีการชนช้าง พม่าว่าเขาไม่โกรธ เพราะเท่ากับเป็นธรรมดาของการรบ ย่อมมีแพ้และชนะ สัจธรรมเป็นธรรมดาดั่งนั้น ก็รู้แล้ว จึงมีน้ำใจเป็นนักกีฬา และเขาว่า เป็นการดีที่แสดงถึงว่าเจ้าชายได้เก่งกล้าขึ้นเพราะมีการอบรมสั่งสอนอย่างดีจากกษัตริย์พม่า นี่ก็น่าเชื่อว่าจริง เพราะออกพฤติกรรมของชาวพุทธผู้กอปรด้วยเมตตา ปราศจากอาฆาตขุ่นแค้น และด้วยความเคร่งครัดในพุทธธรรม

มีการนำเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายเรื่อง รวมทั้งพระราชวังในปารีส ที่มีประวัติศาสตร์ว่าในยุค ร.4 ให้ราชทูตเดินทางไปฝรั่งเศส ได้เข้าเฝ้า นโปเลียนที่ 3 ที่พระราชวังแห่งนี้ เห็น ที่ประทับนโปเลียน ห้องนอน

เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ทบทวน
(คอลัมน์ เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว พ.ศ.๒๕๔๐

ต่อต้านเอดส์ ต่อต้านอนารยธรรม

โดย คอมพิวเตอร์แมน และ บูดามี

รู้ธรรมนำชีวต

ช่อง 9
๑๒ พ.ย.๒๕๔๐ เวลา ๐๕๓๐-๐๕๕๐ น.

จินตคณิต ต่อเป็นวันที่๓ วันนี้ท่านอาจารย์นักธรรมประยุกต์ระดับสากล คือท่านอาจารย์วิเชียร ไตรวงศ์ไพศาล ได้นำลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ มาด้วย ๔ คน อายุ ๗-๘-๑๐-๑๑ ปีตามลำดับ มาให้คุณอภิชาติ หาลำเจียก ผู้ดำเนินรายการ และ พระมหาต่วน สิริธมฺโม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ได้พิศูจน์และศึกษา ผลการพิศูจน์ก็ยืนยันความฉลาดความมีประสิทธิภาพที่รวดเร็วแม่นยำและถูกต้องไม่มีผิดพลาดในการคำนวนโดยวิธีจินตคณิต โดยประการที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือสามารถเอาชนะคอมพิวเตอร์ได้

จินตคณิตนี้ ได้เคยมีรายการโทรทัศน์ชั้นนำนำมาเผยแพร่แล้วครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอะไร ๆ โดยมีการพิศูจน์กันชัดเจน ในครั้งนั้นได้นำนักการธนาคาร นักการขาย แม่ค้าที่คิดเงินอยู่เป็นประจำวันมาแข่งคิดด้วย และพิเศษได้นำ นักเรียนระดับมัธยมปลาย ๒+๓ คนที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์โลกมาแล้วมาร่วมแข่งขันกับเด็กนักจินตคณิตจำนวน ๑ ชั้นเรียน ประมาณ ๒๐ คนด้วย ซึ่งผลปรากฎว่าขณะที่นักเรียนทั้งชั้นจินตคณิตได้คำตอบไปแล้วและเหมือนกันทุกคน ถูกต้องทุกคนไปแล้ว โดยไม่มีคนใดผิด พร้อม ๆ กับการอ่านโจทก์ของกรรมการสิ้นสุดลงก็ได้คำตอบขึ้นมาทันทีนั้น

แม้นักเรียนที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิคมายังดูงุ่มง่ามอยู่นานกว่าจะได้คำตอบออกมา แม่ค้าแม่ขายนักธนาคารการเงินบางคนก็คิดได้คำตอบผิดเสียอีกนั้นเป็นที่น่าตื่นเต้น และวงการศึกษาคงตื่นตัวกันอย่างมโหฬาร ต่อมาได้มีหนังสือพิมพ์ฉบับที่ก้าวหน้ามีวิสัย ทัศน์ฉบับหนึ่งได้นำมาเผยแพร่ต่อ

สิ่งที่ผู้ประดิษฐวิธีการจินตคณิ ตขึ้นมานี้ ท่านเหล่านั้นเองได้บอกคนทั้งหลายไปว่า ได้ใช้หลักการของสมาธิในพระพุทธศาสนา ซึ่งวันนี้กลับแกล้งถามพระว่า “ความอัศจรรย์ของสมาธิเป็นอย่างไรในทัศนะพระพุทธศาสนา?” (คล้ายจะเลียบลองภูมิพระ ว่าอยู่กับพุทธศาสนาแท้ ๆ รู้จักอะไร ๆ อย่างที่โยมเขารู้จักหรือไม่?)

เรื่องจินตคณิตนี้ เห็นได้ว่าผู้ปกครองเด็ก ประชาชนทั่วไปตื่นตัวกันมาก และรู้สึกว่าเป็นเรื่องภูมิปัญญาเอเซียหรือพุทธศาสนา ต้องสรรเสริญท่านอาจารย์ที่ฮ่องกง ที่นำเอาหลักสมาธิในพระพุทธศาสนามาฝึกทดลองและประสบผลสำเร็จขึ้นมาและชาวไทยผู้รู้ในชั้นเชิงการศึกษาและธรรมะก็หยิบนำมาใช้ต่อ โดยโรงเรียนที่ก้าวหน้าทางความคิดปัญญาให้ความร่วมมือพิศูจน์ ทดลองจนให้ความมั่นใจและซาบซึ้งในหลักการหรือเหตุผลแห่งความเป็นไปได้ จนได้ข่าวว่าแม้สถาบันการศึกษาของอเมริกาเองก็ตื่นตัวได้จัดส่งบุคคลทางการศึกษามาติดตามศึกษาดูวิธีการจินตคณิตนี้

ถามว่าเป็นหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ตอบว่า เป็นหลักการธรรมชาติที่อาจอธิบายได้โดยทะลุปรุโปร่งโดยผู้เชี่ยวชาญทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนา (ต้องผู้เชี่ยวชาญทางปฏิบัติ ผู้รู้ทางทฤษฎีจะไม่สามารถเข้าใจได้) และสำหรับอเมริกาเขาคงจะก้าวหน้าเร็วในเชิงจินตคณิตนี้ เพราะเขารู้ว่าอะไรดีเขาก็จะเร่งส่งเสริม ผิดกับเมืองไทย ที่ขณะนี้รัฐบาล หรือผู้บริหารวงการศึกษาระดับชาติยังไม่มีทีท่าว่าจะมองดูบ้างว่าจินตคณิตนี้คืออะไร จะพอลองแสวงหาประโยชน์เพื่อประเทศชาติจะได้ก้าว เป็นผู้นำเขาบ้างได้ไหม รัฐบาลไทย วงการบริหารไทยช้า ก็เพราะส่วนสติปัญญาช้านั่นเองเป็นเบื้องต้น

จินตคณิต หากใช้เป็นสากลในความหมายว่า จินตนาการในเชิงเหตุผลแล้ว ก็อาจจะใช้ได้ในทุกวงการ ในอเมริกาเห็นมานานแล้วว่า จินตคณิต เป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งชาติอเมริกาใช้อยู่เป็นปกติประจำวัน ประเทศชาติเขาจึงมีพลังทางสติปัญญาสูงอันส่งผลให้เจริญก้าวหน้ามาก ในวงการเมืองเห็นได้ชัดเจนจากผู้นำนักบริหารของชาติ สังเกตจากการพูด การปราศรัย การใช้คำพูดของผู้นำของเขา โดยเฉพาะการกล่าวปราศรัยและการพูดของประธานาธิบดีคลินตั้น ที่เป็นอย่างสุด ๆ ของจินตคณิตในการพูด กล่าวคือ มี จินตนาการนำไปจนสุดแล้วคำพูดก็ติดตามร่องรอยแห่งจินตนาการไปไม่ผิดร่องรอยนั้น แล้วเปล่งเป็นเสียงออกมา นั่นก็คือคำพูดทุกคำพูดเหยียบย่างตามรอยฝีก้าวแห่งจินตนาการไปทุกรอย และทั้งหมดนี้มีสมาธิ เป็นตัวขึงบรรยากาศทั้งหมดให้นิ่ง ให้สงบสงัด(ในจิตใจ) ฉะนั้นจึงเกิดจินตนาการและเกิดการกลั่นกรองคำพูดให้สอดคล้องกับจินตนาการ ดูรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐซึ่งเป็นผู้หญิงก็ได้ มีจินตคณิตในดวงใจ เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เลยไปถึงระบบภาษาของอเมริกันเขา ทีมีตัวอักษรน้อยตัว เพียง ๒๖ ตัวเท่านั้น แต่สามารถสร้างความหมายแห่งภาษาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ การพูดของชาวอเมริกันจึงเป็นภาษาที่มีการนำโดยจินตคณิต คือระบบภาษาพูดของเขามีจินตนาการนำไปเสมอ ไปสุดความหมายก่อนแล้วเสียงจึงเปล่งตามมาเสมอ เป็นเหตุให้เขาฉลาดมาก ผิดกับหลักการภาษาไทย หรือที่แย่กว่าก็คือระบบการเรียนการสอนภาษาบาลีในวัด ทีเต็มไปด้วยหลักการแห่งความยึดมั่นถือมั่น และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจินตคณิตอยู่ในระบบภาษา ขาดเหตุผลในเชิงที่สร้างสรรค์หรือการทำให้เกิดหิตานุหิตประโยชน์อยู่ในระบบภาษาเท่าที่ควร (ควรจะปฏิรูปภาษาไทยกันได้แล้ว ซึ่งคงจะต้องเริ่มที่พจนานุกรมกันก่อน โปรดดู พจนานุกรมไทย ของมานิต มานิตเจริญ มีแนวคิดในการปฏิรูป ภาษาไทย ในหลายประเด็นที่ทันสมัยถูกหลักการไม่ยึดมั่นถือมั่น อันเป็นหลักการของศาสนาบริสุทธิ์)

จินตคณิต ของท่านอาจารย์วิเชียร ไตรวงศ์ไพศาล จึงเป็นปรากฎการณ์ที่น่าจะเรียกว่ายิ่งใหญ่ในวงการศึกษาวันนี้ เพราะอาจสามารถพัฒนาประยุกต์ใช้ได้กับวิชาหรือกิจกรรมการงานอื่น ๆ ใดใดได้ทั้งสิ้น

สมาธิเป็นตัวการ นั่นถูกต้องแล้ว แต่จินตนาการ เป็นขั้นการพัฒนาการไป สมาธิจึงเป็นสิ่งที่เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ร้าย สิ่งที่ต้องระวังก็คือ จินตนาการ นั่นเอง การเรียนการสอนในระบบนี้จะต้องระวังว่า นิสัยอย่างไร ที่จะอาจป้องกันจินตนาการฝ่ายร้ายได้ ให้มีแต่จินตนาการฝ่ายดีอย่างเดียว จะต้องมีระบบการสร้างนิสัย นั่นถูกต้องแล้ว

อธิบายให้เป็นรูปธรรมชัดขึ้นในประเด็นนี้ก็คือ ท่านจะสร้างภาพวีรบุรุษอย่างไรให้เกิดขึ้นในจินตนาการของเด็ก ๆ นักจินตคณิตระดับก้าวหน้า ?

นักจินตคณิตในระดับก้าวหน้านั้น ก็หมายถึงแนวทางพัฒนาไปแห่งสมาธิ จากจุดเริ่มต้นที่วางไว้ถูกทางแล้วในวันนี้นั่นเอง จากการฝึกโดยจินตคณิตนี้จะมีโอกาสพัฒนาด้านสมาธิไปได้มากแม้ว่าหากมองจากมุมของนักบวชแล้วสมาธิระดับเด็กนักเรียนใช้อยู่นี้ แท้จริงก็เป็นเพียงสมาธิธรรมดา ๆ ของเด็ก ๆ ทั่ว ๆ ไปใคร ๆ ก็ทำได้เท่านั้นเอง(ระดับที่ใช้เพียง ความตั้งใจ และเด็กทั่ว ๆ ไปก็เรียนได้) แต่โดยวิธีการเรียนแบบนี้จะสามารถสร้างสมาธิก้าวหน้าไปได้เร็ว จนสู่นักจินตคณิตระดับก้าวหน้าดังกล่าว และสิ่งที่ทั้งเป็นเหตุและเป็นผลไปด้วยกันก็คือจินตนาการนั่นเอง แต่จินตนาการตัวนี้แหละที่ต้องระมัดระวังให้ดี

ซึ่งโดยสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ยากเหลือเกินที่เราจะป้องกันจินตนาการฝ่ายร้ายไม่ให้เกิดขึ้น และในความเป็นจริงปัญหาอาชญากร อาชญากรรม ต่าง ๆ ที่มีถี่ขึ้นไปตามสภาวะเศรษฐกิจยุคยากไร้ เช่นฆ่าหั่นศพ ฆ่าเผา ฆ่าข่มขืนหรือ ที่โหดเหี้ยมรุนแรงผิดมนุษย์ทุกวันนี้ ล้วนมาจากจินตนาการฝ่ายร้าย ที่ผิด ที่มองภาพวีรบุรุษแบบอย่างในดวงใจผิดพลาดทั้งสิ้น อันเนื่องมาจากเราขาดแบบอย่างวีรบุรุษที่ดีในสังคมนั่นเอง ท่านลองมองดูวงการเมือง ท่านจะเห็นว่าน่าจะเป็นแบบอย่างที่ง่ายดายเหลือเกินสำหรับนักจินตคณิต ผู้มีจินตนาการอันถูกปลุกเร้าขึ้นสำเร็จแล้ว เรามีแบบอย่างอะไรในวงการเมืองไทยปัจจุบันนี้บ้าง ที่พอจะเรียกได้ว่า เป็นแบบอย่างที่ดี ที่สร้างสรรค์ เรามีแบบอย่างอะไรในรัฐสภา สถาบันอันสูงสุดของชาติ ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีที่สร้างสรรค์ เรามีแบบอย่างอะไรในวงการสงฆ์ ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างแห่งนักบวชสันโดษ นักบวชผู้รู้ภาระหน้าที่ที่แท้จริงของตนเอง นักบวชผู้ดำรงชีพถูกต้องตามเป้าประสงฆ์แห่งการพระพุทธศาสนาคือเพื่อการบรรลุมรรคผล นิพพาน เรามีแบบอย่างอะไรในวงการสื่อมวลชนของชาติ อันเป็นสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นระบบประสาทหรือมันสมองที่ดี ที่สร้างสรรค์ ที่จริงใจ เรามีแบบอย่างอะไรในครอบครัว ในโรงเรียน และในสังคมโดยรวม เรามีเหตุการณ์หรือมโนภาพใดช่วยสร้างจินตนาการฝ่ายดีขึ้นบ้าง แต่เมื่อมองดูไปแล้วก็น่าเหนื่อย เมื่อได้เห็นความจริงว่าสังคมเราทุกวันนี้หาตัวอย่างแห่งวีรบุรุษฝ่ายดี ฝ่ายขาว บริสุทธิ์แทบไม่มีเลย ราวกับสังคมถูกม่านดำแห่งจินตนาการร้ายครอบคลุมอยู่ทั่วไปหมด

เพราะเมื่อวิชาจินตคณิตเจริญก้าวหน้าไป จินตนาการจะถูกสลัดหลุดพ้นไปจากกรอบวงการคณิตศาสตร์ หรือกรอบใดกรอบหนึ่งที่เป็นมาแต่เดิมไปสู่จินตนาการอื่น ๆ อันหลายหลากรอบด้าน เขาต้องไปพบจินตนาการอันรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ๆ และไปสู่มโนภาพอันแจ่มแจ้งชัดเจน (ไปตามทิศทางแห่งธรรมชาติของจินตนาการตามหลักศาสนานั่นเอง) เขาจะต้องไปแตะไปสัมผัสกับจินตนาการสองชนิด(จินตนาการฝ่ายดี และฝ่ายร้าย)ดังกล่าวมานั้นจนได้ ในวันนี้ จึงขอให้ระวังในเรื่องของจินตนาการฝ่ายร้าย ให้สร้างนิสัยใฝ่ในความดี ให้เข้าสู่จินตนาการฝ่ายดีให้ได้ (วงการพระนักบวช อริยบุคคลทั้งหลาย จึงจัดสมาธิอยู่ต่อระดับศีลไปแล้ว เพื่อให้ความดีอยู่ตัวหรือได้นิสัยดีเสียก่อน จึงคืบเข้าไปหาเรื่องจินตนาการ อันจะถูกกำหนด ถูกสร้าง ถูกนำพาไปด้วย สมาธิ กระนั้นก็จะเห็นได้ว่ามีพฤติกรรมอันเฉเบี่ยงเบนไปต่าง ๆ มากมายในวงการสมาธิของฝ่ายพระสงฆ์) แล้วให้หมั่นศึกษาพระพุทธธรรมฝ่าย “วิปัสนาธุระ” (ระดับปัญญาในพระพุทธศาสนา) เพื่อพบสิ่งที่จินตนาการชั้นสูงสุดนำพาไปพบ และพบโลกใหม่ที่ล้วนแล้วไปด้วยวีรบุรุษแห่งความดี ความสะอาด ความมีปัญญาอันบริสุทธิ์ อันเป็นจินตนาการที่สุดแห่งโลก ที่สุดแห่งธรรม ที่สุดแห่งความสงสัย และที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่จะช่วยตัวเอง ช่วยสังคมประเทศชาติและศาสนาเป็นสากลได้โดยแท้จริง

รักษ์มนุษย์

ช่อง 9
ศกร์ ๑๔ พ.ย.๒๕๔๐, ๐๗๐๐ -๐๗๓๐ น.

พระครูอาทรประชานาถ(พระอธิการอลงกต ติกฺขปญฺโญ) วัดพระบาทน้ำพุ อ.เมือง จ.ลพบุรี บรรยายทุกวันศุกร์

จนกระทั่งบัดนี้ เรายังไม่ได้รู้สึกเลยว่า เอดส์ในไทยลดน้อยถอยลงไป มีแต่เพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มที่น่าวิตกว่าจะกลายเป็นปัญหาอันดับสำคัญยิ่งของประเทศไทย ในขณะนี้เอดส์ได้ซ้ำเติมเข้าไปในปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัว ของสังคม และของประเทศชาติไปแล้ว อย่างหนักอึ่งเงียบกริบ กลายเป็นปัญหาสังคมระดับครอบครัว และระดับชาติอย่างใหญ่ไปแล้ว ในด้านเศรษฐกิจ เรามีแต่สูญเสีย ไม่มีรายได้อันเนื่องมาจากเอดส์ เรามีแต่จ่าย ๆ ๆ ๆ ๆ และจ่ายอกไป ทั้งระดับครอบครัวและระดับชาติ ครอบครัวไหนมีคนเป็นเอดส์ครอบครัวนั้นมีปลายทางที่หวังคือความยากจนอย่างแน่นอน ในด้านสังคม เราจะคะเนได้เลยว่าประเทศชาติเราคงต้องยากจนลงไป ๆ ๆ ๆ เพราะต้องใช้จ่ายในปัญหาเอดส์นี้อย่างทวีมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ๆ

แน่นอน คนหลายฝ่าย หลายระดับ ได้แอบมอง ได้รู้และเข้าใจปัญหาและวิตกอยู่อย่างลึกซึ้งเพราะเราไม่อาจตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาชนิดนี้ได้อย่างเฉียบขาด ชัดเจนเราคิดว่า คนที่เป็นเอดส์ นั้น น่าจะพูดอะไรบางถ้อยคำที่เราอยากจะได้ยินบ้าง

คือพูดออกมาหน่อยว่าเขามีความเสียใจ

“ผมขอสารภาพว่า ต้นเหตุก็เนื่องมาจาก ผมเป็นผู้ดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดเอง ได้ประพฤติตนด้วยความคึกคะนอง ไม่คำนึงศีลธรรมอันดีงาม โดยเฉพาะไม่เชื่อฟังพระสงฆ์องค์พระเจ้า ละเมิดศีลข้อที่ ๓ อย่างจงใจเจตนา ไม่เคยคำนึงลูกใครเมียใคร แม้ความเห็นอกเห็นใจที่จะให้ใครก็ไม่มี เอาแต่กามารมณ์เป็นที่ตั้ง และผมไม่เคยมีความเข้าใจลูกเมียของผมเองเลย ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวจริง ๆ ต้นเหตุก็คือความไม่ซื่อตรงต่อภริยา(สามี) ต่อลูกของผมเอง ต่อศีลธรรม และต่อพระศาสนา ผมเสียใจจริง ๆ”

เราคิดว่า สำหรับคนเป็นเอดส์ สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งในพวกเขา ก็คือสิ่งนี้ คือคำสารภาพผิดอย่างตรงไปตรงมาของพวกเขา กล้าสารภาพผิดเถิดคนจะได้เมตตา พระเจ้าจะสงสารให้อภัย แล้วความช่วยเหลืออุปการะก็จะดีขึ้น

เราไม่อยากให้คนทั้งหลายทั้ งแผ่นดินมองภาพเอดส์ว่า เกิดขึ้นเพราะคนไร้เดียงสา หรือโดยเข้าใจผิดว่าคนเป็นเอดส์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ หากแต่จริง ๆ แล้ว พวกเขาได้กระทำบาปและได้รับผลของความบาป เอดส์เป็นผลจากคนบาป คนเหล่านั้นเขาประกอบกรรมบาป ผิดศีลธรรม เขาจึงได้รับผลกรรมบาปเช่นนั้น และเราอยากเห็นความสำนึกและความสารภาพบาปของพวกเขา ให้ปรากฎออกไปในสังคม

เพราะทุกวันนี้ ยังมีคนบาปจำนวนมากมายมหาศาลในสังคม ที่ประพฤติตนผิดศีลธรรม ที่หมกมุ่นและทำแต่ความบาปโดยหารู้ถึงความบาปของเขาไม่ และแน่นอนพวกเขาไม่สำนึกถึงผลแห่งความบาปเลยว่าจะต้องไปเป็นเช่นคนป่วยเอดส์ทั้งหลาย ที่เป็นภาระของสังคมอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง เพราะพวกเขาหลงไปในอวิชชา หลงไปในความหลง มิผิดอะไรกับสุภาษิตว่าไว้ พวกลืมตัวเหมือนงัวลืมตีน นั่นเอง

เราอยากได้คำสารภาพของคนป่วยเป็นเอดส์ทั้งหลาย ให้เป็นสิ่งเตือนใจคนบาปในสังคม

ที่เตลิดไปในความประพฤติบาปอย่างไม่เกรงกลัวต่อผลกรรมอันร้ายแรง อย่างที่คนเอดส์ได้รับผลกรรมอยู่ทุกวันนี้ อย่างที่ซ้ำเติมสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ของสังคม และประเทศชาติอยู่ขณะนี้

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้บริหารประเทศชาติของเราอ่อนแอ ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ชอบธรรม ที่ชอบต่อหลักการพระพุทธศาสนา ที่ชอบต่อหลักเบญจศีลเบญจธรรม ที่ชอบด้วยหลักการศาสนาสากล

ต้องจัดการเรื่องการเที่ยวกลางคืน สถานบริการทางกาม สถานบริการทางอบายมุขต่าง ๆ สถานบริการอันแอบแฝงค้าขายหรือเสพกาม โสเภณีเด็ก ฆ่าข่มขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาสิ่งผิดศีลธรรมเช่นโฆษณาเหล้าเบียร์วิศกี้ บุหรี่ อะไร ๆ จากเมืองนอกเมืองนาฯลฯที่เห็นทางจอแก้วอย่างท่วมท้นจอ อยู่ทุกวัน (ผิดศีลข้อที่ ๕ จ้ะ!โคตร-ตระกูลเดียวกับพวกยาบ้า ผงขาวเฮโรอีน กาว นั่นแหละ ต้องฆ่าล้างทั้งโคตรจึงจะพ้นภัยโดยเด็ดขาด และเราไม่ควรเปิดโอกาสแก่สิ่งที่ผิดศีลธรรมเลย)

ต้องจัดการวัฒนธรรมกาม ที่แพร่มาอย่างเป็นตาข่ายคลุมสังคมไทยไปทั้งหมด จากอเมริกา เพลง และ ภาพยนต์ ซึ่งบัดนี้ครองตลาดบันเทิงไทยทั้งหมด ในหนังแต่ละเรื่องของอเมริกา(โดยเฉพาะในหนังเช่าวีดิโอ)ล้วนมีฉากรักฉากร่วมเพศ อย่างโจ่งแจ้ง อยู่เป็นส่วนหนึ่งในเนื้อหาภาพยนต์แต่ละเรื่อง ๆเสมอไป ซึ่งคนชอบและหลงเสพจนแทบจะกลายเป็นวัฒนธรรมการเสพความบันเทิงอันชั่วร้ายไปแล้ว และที่สำคัญจะพาลหลงเอาตัวอย่างดาราอเมริกัน ชายหญิง ว่าเป็นแบบอย่างแห่งวีรบุรุษวีรสตรี อันมีเกียรติยศในสังคม ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว พวกเขาเป็นเพียงนักแสดงลามกอนาจาร เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายร่วมเพศให้คนดูในที่สาธารณะ อย่างหน้าไม่อาย ยิ่งกว่าหญิงนครโสเภณีเสียอีก

แต่นี่แหละเป็นชั้นเชิงการบริหารการจัดการผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวจัดของวงการธุรกิจเอกชนอเมริกัน ที่ดูเหมือนรัฐบาลเขาหนุนหลังอยู่ เพื่อกอบโกยเงินตราเข้าประเทศเขาเพราะ นี่คือสาเหตุของเอดส์ที่แท้จริงทำไมเราจึงไม่กล้าหาญในการกระทำสิ่งที่เป็นความดีเล่า ?

หลักเบญจศีลเบญจธรรม อันคนไทยรู้กันอยู่ทุกคน แต่ทำไมรู้แล้วจึงไม่ทำ ? เมื่อเรากล้าทำเรื่องยาเสพติด เราก็ควรกล้าทำเรื่องวัฒนธรรมกามารมณ์ด้วย ถ้าไม่กล้าหาญทำความดีในวันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับผลกรรมที่ดีในวันนี้และในวันข้างหน้า

เอดส์กำลังซ้ำเติมทำลายเศรษฐกิจของสังคมไทยอยู่อย่างหนักในทุกวันนี้ และจะทวีทำลายสังคม-เศรษฐกิจไทยอย่างย่อยยับต่อไปในวันข้างหน้า ไม่ช้าไม่นานเลย ฯ หากไม่แก้ไขตัดตอนที่ต้นสายปลายเหตุเสียตั้งแต่บัดนี้ ฯ

ต่อต้านเอดส์ ต่อต้านอนารยธรรม

มีอะไรในเวบไซท์ของเรา

เรื่องราวในดีฉบับที่ 37 นี้ เราได้นำขึ้นบนเวบไซท์ เรียบร้อยแล้ว

โปรดติดตามใน http://newworldbelieve.net และ http://newworldbelieve.com

มีอะไรในเวบไซท์ของเรา?

https://www.newworldbelieve.net

รายการพิเศษ อัลบั้มรูป คลิ๊กที่รูปเล็ก ขยายเป้นรูปใหญ่เต็มจอ ดูสวย งามเต็มตาน่าชมมาก ๆ

ต่อไปนี้เป็นรายการเมนูใน https://www.newworldbelieve.net

เมนูย่อย

1. สุดยอดสมาธิวิปัสสนา-ศึกษาโลกลี้ลับ

1.1 โลกลี้ลับภาค 1 เตรียมออกธุดงค์

1.2 โลกลี้ลับภาค 2 การเดินทางและธุดงค์ขาไป

1.3 โลกลี้ลับภาค 3 การฝึกอบรมขนาดหนักตามโครงการ 20 วัน

1.4 โลกลี้ลับภาค 4 การเดินทางและธุดงค์ขากลับ ท่องป่า 7 วัน 7 คืน

ร่ายเวทเรียกพระภูมเจ้าที่ที่ห้วยคุ้มมาอารักขา

1.5 โลกลี้ลับภาค 5 การเดินทางและธุดงค์ครั้งที่ 2 เทพเจ้าอิศวร นารายณ์ พรหม พิฆเณศร

นำขบวนเทวดาทั้งสวรรค์มาเยี่ยมเยียน

1.6 โลกลี้ลับภาค 6 การเดินทางและธุดงค์ภาคพิเศษ ได้ทิพยเนตรเห็นยักษ์เจ้าป่าที่ศูนย์ฯภาค 10

1.7 โลกลี้ลับภาค 7 พิศูจน์บ้านผีสิง

1.8 โลกลี้ลับภาค 8 บันทึกการปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาปีพุทธศักราช 2549

1.9 โลกลี้ลับภาค 9 ประเด็นปัญหาการปฏิบัติธรรมของคนยุคใหม่

2. ข่าวและวิเคราะห์ข่าวสำคัญ

2.1 ข่าวการปฏิวัติ

2.2 ข่าวการปฏิวัติ 2

2.3 ตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่แล้ว

2.4 www.mict.go.th

2.5 เสนอปฏิวัติการฟัง

3. บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 10 ปี

4. โหราศาสตร์ ดวงชะตาผู้นำชาติและดวงเมืองยุคปัจจุบัน

4.1 ดร.ทักษิณ ชินวัตร 1

4.2 ดร.ทักษิณ ชินวัตร 2

4.3 ดร.ทักษิณ ชินวัตร 3

4.4 ดร.ทักษิณ ชินวัตร 4

4.5 ดร.ทักษิณ ชินวัตร 5

4.6 ดร.ทักษิณ ชินวัตร 6

4.7 พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน

4.8 พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์

5. เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ในหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 ถึงปัจจุบัน 12 รายการ

6. เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว สำนวนพัชรา กอปรทศธรรม 10 รายการ

7. รายงานสถานการณ์และงานวิจัยการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย ปีพ.ศ.2548-2549

ศึกษาจากการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบต่อต้านรัฐบาลทักษิณ 14 รายการ

8. สากลจักรวาล สากลศาสนา บทวิเคราะห์สถานการณ์ศาสนาสากลปัจจุบัน

9. นิทานธรรมะแสนสนุก

10. บทความพิเศษของพระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กลฺยาโณ) เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ

10.1 บ้านเมืองมันวุ่นวายจริงหนอ

10.2 พระขี้แกลบ

11. รายชื่อคณะกรรมการมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)

12. กวีนิพนธ์ ศาสตร์และศิลปะแห่งการกวีนิพนธ์

13. กวีนิพนธ์ : เบื้องต้นแห่งกวีนิพนธ์

14. English : My world view in English foe anyone reads English

15. หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 36

16. ประมวลบทวิเคราะห์กฎหมายคณะสงฆ์

16.1 กม.คณะสงฆ์ปัจจุบัน

16.2 แนวคิดพื้นฐานกม.คณะสงฆ์

16.3 เสนอแนวคิดต่อรัฐบาล

16.4 ดูร่างพรบ.ใหม่ 2 ฉบับ

16.5 กม.กับการปฏิรูประบบสงฆ์

16.6 ร่างกม.ฉบับมหาเถรสมาคม

16.7 บทบก.วิเคราะห์พรบ.สงฆ์

16.8 พรบ.สงฆ์กับประชาพิจารณ์

16.9 ผลการสำรวจความคิดเห็น

16.10 แผนภูมิประกอบพรบ.สงฆ์

16.11 แผนผังอุทธยานพุทธเกษตร

16.12 จม.เปิดผนึกถึงวุฒิสมาชิก

16.13 ประชาพิจารณ์กม.คณะสงฆ์

16.14 วิพากษ์แม่บทการเผยแผ่

16.15 ร่างกม.สงฆ์ฉบับล่าสุด

เมนูหลัก มีดังนี้

1. ประวัติของผม

2. ประวัติของผมตอนที่ 16

3. ประชาธิปไตยสงฆ์

4. หลักสูตรมรรคผล

5. กระดานถามตอบ

6. 200บทกวีเพื่อ200ปีกรุงรัตนโกสินทร์

หน้าบอกสถานะของเรา

http://newworldbelieve.net

http://newworldbelieve.com

วัตถุประสงค์

- เพื่อการนำความคิดไปสู่ความดีงาม

- เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา

- For all good For all thought

ประจำเดือน มี.ค.- มิ.ย. 2549

คณะที่ปรึกษา ดร.นันทสาร สีสลับ

บรรณาธิการ พระพยับ ปญฺญาธโร

(อดีต ร.อ.พยับ เติมใจ กองบัญชาการทหารสูงสุด)

ผู้อำนวยการเวบไซท์ พระพยับ ปญฺญาธโร

ผู้จัดการเวบไซท์หน้าเก่า สมจิตร กอปรทศธรรม

ผู้จัดการเวบไซท์หน้ากลาง วีรวัฒน์ ภูสมหมาย

ผู้จัดการเวบไซท์หน้าใหม่ พระพยับ ปญฺญาธโร

กองบรรณาธิการ - แสงทอง มลิวงษ์ - ทศพล ใยมุง - สมจิตร กอปรทศธรรม

- พัชรา กอปรทศธรรม - จรรยา ศรีสุโมโร

เจ้าของ/พิมพ์ที่ มูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร) วัดมหาพุทธาราม ถ.ขุขันธ์ อ.เมือง

จ.ศรีสะเกษ ๓๓๐๐๐ โทร. (๐๔๕) ๖๒๒๔๕๕

ภายหลังติดตามศึกษาโลกลี้ลับ

ทางสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมา 9 ภาคแล้ว

โปรดอย่าพลาดติดตามอ่าน ศึกษาโลกลี้ลับภาค 10

แผนงานการธุดงค์ข้ามชาติของพระพยับ ปญฺญาธโร

พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3

รายงานวันต่อวัน ณ เวบไซท์นี้

www.newworldbelieve.net

และ

www.newworldbelieve.com

โปรดติดต่อเราที่ newworld_believe@hotmail.com

หรือใช้กระดานถามตอบ : ปุจฉาวิสัชนา ในเวบฯของเราก็ได้

ปกหลัง = วาทะเปิดประชุมสภาสงฆ์ระดับชาติ

              ฉะนั้น ในวันนี้ พวกเราได้มีโอกาสวันนี้ขึ้นมา จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงระบบชีวิตคณะสงฆ์เราใหม่ ให้ชีวิตและหมู่ของเราหวลกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนเสียที ผมหมายถึงการกลับคืนสู่ธรรมชาติและเดินไปโดยวิถีทางแห่งธรรมชาติ อย่างที่พวกเราได้เริ่มสัมผัสในชั่วเวลาผ่านมาระยะหลังที่เราได้มี พระราชบัญญัติการพระพุทธศาสนาขึ้นมากำหนดระบบที่เป็นไปนำพวกเรากลับคืนสู่ธรรมชาตินี้
          ผมเกริ่นมาเนิ่นนาน ก็เพื่อให้พวกเราได้รับทราบว่า แท้ที่จริงระบบสภาสงฆ์ โดยเฉพาะระบบระดับ ชาตินี้ ได้เปิดโอกาสให้เราได้มีอิสระมากขึ้นกว่าเดิม งานของพวกเรา ในส่วนที่ไร้สาระ จะลดน้อยลงไป หรือลดไปแทบทั้งหมด และเราจะได้รู้สึกเอา ณ บัดนี้เองว่า พวกเราได้ไปวุ่นวายอยู่กับภาระการงานอัน ไร้สาระมาเป็นเวลาเนิ่นนานเป็นศตวรรษเลยทีเดียว โดยที่เราไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระ และเราไม่รู้ว่าเราถูก ครอบงำเพียงดังตาข่าย จึงไม่มีอิสรภาพ เราเหมือนปลาที่อยู่ในร่างแหหรือคอกเลี้ยงของชาวประมง ทำให้ชีวิตอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไร้กำลังวังชา ไร้สุขภาพแข็งแรง เรามุดไปมุดมาอยู่แต่ในตาข่าย ไร้ความหวังไร้พลังที่จะฝ่าจะฟัน และจำยอมเป็นทาสความอ่อนแอของเราเอง จึงไม่อาจหาญพอที่จะกล้าคิดถึงสิ่งที่ประเสริฐเช่นมรรคผลนิพพาน เลย แม้ว่าโดยแท้จริงแล้ว เรามีภาระหน้าที่ทั้งทางกายกรรมวจีกรรมและมโนกรรมที่จะคิดจะทำจะใฝ่ไปทางมรรคผลนิพพานที่ประเสริฐนั้น บัดนี้เราได้สะสางตาข่ายทั้งสิ้นแล้ว และพวกเราก็พลันได้สัมผัส ด้วยตัวเอง ณ บัดนี้ ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้เองว่า เรามีความหวังเกิดขึ้นแล้ว คือความหวังที่เกิดขึ้นพร้อมสุขภาพกายและสุขภาพใจอันสมบูรณ์ เมื่อเราได้กลับคืนมาสู่ธรรมชาติอันเป็นบ้านเกิดบ้านใหม่ของเราอีกครั้งหนึ่งอยาก สรุปดั่งนี้ เมื่อเราพูดถึงระบบการคณะสงฆ์ใหม่ของเรา เป็นระบบที่กลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนเดิมของเรา คือระบบธรรมชาตินั่นเอง
          ฉะนั้น เมื่อมาอยู่ด้วยกันที่นี่ เราเป็นไปตามธรรมชาติ เช้าก็ออกหากิน ด้วยบิณฑบาต เหมือนนก เหมือนปลา เอาพอเพียงแก่การที่จะมีกำลังแรงเดินตามรอยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอแล้ว พอได้กลิ่นแห่งมรรคผลนิพพานไปตาม ๆ กันอยู่แล้ว เพราะระบบธรรมชาติที่เหมาะเจาะ ที่ได้ออกแบบไว้อย่างพร้อมสมบูรณ์ ณ ที่นี้ ได้ทำให้ได้ลิ้มกลิ่นของมรรคผลนิพพานอยู่บ้างแล้ว อาศัยความคงแก่เรียน ความ มีวิสัยปราชญ์อยู่ในหัวจิตหัวใจของทุก ๆ ท่าน อาศัยความทรหดอดทนพากเพียรอุทิศชีวิตแด่พระพุทธศาสนามาตราบชั่วชีวิต ตั้งแต่เด็ก ๆ เท้าถึงแก่ชรา เมื่อธรรมชาติเปิดออกให้แล้วเช่นนี้ ก็น่าจะได้สัมผัส ได้เห็นได้ลิ้มรสพระนิพพานที่แท้จริงได้โดยไม่ยากเย็นอะไร อุปมาเหมือนหมู่ปลาที่พ้นจากตาข่ายชาวประมงไปได้แล้ว ทะเลเบื้องหน้าอันกว้างใหญ่ไพศาลย่อมเป็นที่หวังได้ เมื่อถึงมรรคถึงผลถึงนิพพาน นั่นก็หมายถึงชีวิตได้จบลงอย่างมีคุณค่า อย่างมีความอิ่มความปราโมทย์อย่างมีความเย็นสบาย ไร้ศัตรูไร้กิเลสของชีวิตอีกต่อไปแล้วไม่พึงหวังพึงพูดถึงสิ่งอื่นใดในโลกอีก
          ผมพูดมาดั่งนี้ ก็เพื่อสรุปให้ทราบว่าระบบสงฆ์ใหม่ของเรามีทางเดินไปอย่างนี้ ซึ่งพวกเราจักได้รู้สึกเองว่าเราเปรียบเสมือนได้ชีวิตใหม่บ้านใหม่
          ชีวิตที่ปลอดโปร่งสบาย และระบบสงฆ์ทั้งสิ้นจะเป็นวิถีทางแห่งความสุข การงานที่ทำไปจักเป็นการงานแห่งความสุข ความพยายามที่ลงไปจักเป็นความพยายามที่เป็นสุข การแบกการขนภาระใดใด จักเป็น การแบกการขนที่เป็นสุข การอุทิศ การเสียสละใดใดจักเป็นการอุทิศการเสียสละที่เป็นสุข การงานทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีความสุขอยู่ในตัวเองเสมอ แม้กระทั่งการต่อสู้กับศัตรูคือกิเลสไม่ว่ากิเลสภายนอกกิเลสภายในก็จัก เป็นการต่อสู้ที่เป็นสุข และในที่สุดความกล้าหาญในการต่อสู้กับอธรรม และกิเลสใดใดก็จักเป็นความ กล้าหาญที่เป็นสุข และแม้ความตายก็เป็นความตายที่เป็นสุข

สมเด็จพระพุทธปรานีอริยวงศ์ ประธานสภาสงฆ์ระดับชาติ,
ดี
สมเด็จพระพุทธปรานีอริยวงศ์ = ชื่อสมมติ ในเค้าโครงนิทานประกอบการบรรยายเรื่อง สภาสงฆ์แห่งชาติ

« Back

----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----