สากลจักรวาลสากลศาสนา4
ธรรมสามีวินิจฉัย (4)
ข้อพิพาทระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนาสากล
เนื่องมาจากความขัดแย้งในวิถีทางการเมืองของศาสนาสากล เพราะบัดนี้ ศาสนาสากลได้เดินไปในทิศทางที่เบี่ยงเบนไปจากอุดมการณ์ที่ควรเป็นไปของศาสนาสากล เป็นเหตุอุบัติกระแสพลังที่ขัดแย้งกันขึ้นเองของศาสนาสากลในโลก
เมื่อคาทอลิกชูธงประชาธิปไตย อันเป็นวิถีทางการเมืองระบบใหม่ขึ้น จึงขัดกับวิถีการเมืองในระบบเดิมของศาสนาอิสลาม ศาสนาซึ่งวิถีชีวิตทั้งหมดถูกกำหนดโดยศาสนา อันเป็นเหตุให้รูปแบบเผด็จการก่อกำเนิดขึ้นเหนียวแน่นในรัฐอิสลามทั้งหลาย
ศาสนาสากลจึงมีแนวโน้มไปในทางที่กระทบกันเองแรงขึ้น และผลองกระแสที่ขัดแย้งระหว่างศาสนาสากลนี้เอง แท้จริง เป็นสาเหตุอันยิ่งใหญ่ที่สุดของสถานการณ์อันปั่นป่วนของโลกในปัจจุบันนี้ จึงจำเป็นเหลือเกินที่มวลมนุษย์ จะต้องหันมามองทางมุมศาสนาสากลเพิ่มขึ้นและเริ่มต้นการศึกษาและวิเคราะห์ศาสนาสากลกันอย่างจริงจังกันเสียแต่บัดนี้
ปัญหาทั้งหลายเริ่มมาจาก เมื่อศาสนามิเดินตามอุดมการณ์ศาสนา แต่เอาการเมืองมาเป็นอุดมการณ์แทนเสียดังนี้ ในที่สุดก็จะเกิดผลเสียหายแด่การศาสนาสากลเอง ในลักษณะการกระท้อนกลับของเหตุการณ์ที่เกิดจากแรงเหวี่ยงออกไปของตนเอง แล้วกระท้อนกลับมาสู่ตนเองอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือในที่สุดโลกการเมืองก็จะย้อนกลับคืนสู่ศาสนาสากล เป็นการปฏิบัติตอบโต้ศาสนาสากลอย่างการเมืองเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมามองถึงเหตุสำคัญของการที่ศาสนาคาทอลิกเปลี่ยนจุดยืน จากอุดมการณ์คริสต์ศาสนาแท้แต่ดั้งเดิมมาเป็นการเมืองนั้น ก็พบว่ามีมาจากสาเหตุหลายประการ ประการสำคัญเนื่องมาจากหลักคำสอนของศาสนาคริสต์เองมีจุดอ่อนอยู๋ทั่วไป
ในยุคที่วิทยาศาสตร์เริ่มเจริญขึ้นนั้น ได้เกิดการปะทะขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มพระในศาสนาคริสต์กับนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงขณะนั้น จนเป็นผลให้นักวิทยาศาสตร์ถูกลงโทษอย่างหนัก มีการคว่ำบาตรเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ศาสนาสากลและมีการเนรเทศไปอยู่ต่างแดนทนทุกข์ทรมานในต่างประเทศตลอดชีวิต แต่แล้วในที่สุด ก็ได้มีข้อพิศูจน์โดยชัดแจ้งว่าประเด็นที่มีข้อพิพาทกันระหว่างศาสนาคริสต์กับนักวิทยาศาสตร์นั้น นักวิทยาศาสตร์เป็นฝ่ายถูกต้อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้หลักคำสอนอันสูงส่งในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ศาสนาด้อยลงไปจนไม่น่าเชื่อถือ เพราะกรณีที่พิพาทเป็นกรณีที่เป็นประเด็นหลักทั้งทางธรรมและทางโลก คือเรื่องการสร้างโลก หรือต้นกำเนิดของโลกมนุษย์
จากกรณีพิพาทนี้พระคัมภีร์คริสต์ศาสนาอ้างว่า พระเจ้าทรงสร้างโลก แต่โลกที่พระเจ้าสร้างเป็นโลกที่มีสัณฐานแบน มิได้กลมเหมือนผลส้มอย่างโลกที่เราอยู่นี้เลย และ พระเจ้าตรัสว่ามีโลกเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดาวอื่น ๆ ทั้งหมดต่างโคจรไปรอบ ๆ โลก แต่นักวิทยาศาสตร์ กาลิเลโอ ผู้ซึ่งทำการศึกษาอย่างมีเหตุมีผล แย้งว่าโลกมีสัณฐานกลม และมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โลกเราต่างหากที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งปัญหานี้สมัยนี้ แม้นักเรียนชั้นประถมศึกษาก็อาจสามารถชี้ได้ว่า ผู้ที่ตอบถูกก็คือนักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่ตอบผิดได้แก่พระเจ้า ผู้ทรงอวดอ้างว่าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งมากับพระหัตถ์ของพระองค์นั่นเอง
เมื่อพระคัมภีรอันศักดิ์สิทธิ์กล่าวถ้อยคำอันสำคัญยิ่งเช่นนี้ ไม่ถูกต้อง จึงเป็นเหตุให้คนทั้งหลายมีความสงสัยในพระคัมภีร์ และไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศอย่างไร คนยุคที่มีการอักษรศาสตร์เจริญเต็มที่บัดนี้ ก็เริ่มจะเห็นจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่า แท้ที่จริงพระเจ้ามิได้ตรัสสิ่งใด มิได้ทรงสร้างสิ่งใดใด หากแต่คน คนผู้เขียนพระคัมภีร์นั่นเอง คิดคำต่าง ๆ ใส่พระโอษฐ์ของพระเจ้า และพระปัญญาของพระเจ้าก็เท่ากับปัญญาของคนที่เขียนพระคัมภีร์เท่านั้นเอง ฉะนั้น จึงทำให้ประเด็นความเชื่ออันสูงสุดคือ อานุภาพของพระเจ้าที่มีมากมายมหาศาล เพราะทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างและทั้งทรงมีพระเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่จะลงโทษมนุษย์หรือทำลายสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ก็พลอยเลอะเลือนไปด้วย
ประเด็นเรื่องพระเจ้าอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ก็คือเรื่องการปรากฎตัวของพระเจ้า แม้องค์พระเยซูคริสต์ ศาสดาของคริสต์ศาสนา ที่พระคัมภีร์ระบุว่า เป็น พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งหมายถึง ทรงเป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง หากแต่เป็นองค์อวตาร คือพระเจ้าแบ่งภาคมาเกิดในร่างมนุษย์ธรรมดา เสมือนพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิดเป็นพระรามของฮินดูนั่นเอง หากแต่ แม้เป็นถึงบุตรพระเจ้า เป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่งแล้วก็ตาม พระเยซูคริสต์ก็มิได้เคยเห็นพระเจ้า องค์พระบิดาผู้สูงสุดนั้นเลย ไม่ปรากฎในพระคัมภีร์ใดใดว่าพระเยซูได้พบ หรือได้เห็น หรือได้ยิน พระยะโฮวาห์ ที่ไหน เวลาใดใด เลย
ในพระประวัติตอนสำคัญ ๆ เช่นตอนที่พระเยซูถูกมารทดสอบบนภูเขา ภายหลังทรงอดอาหารอยู่ 40 วัน มารว่าจะให้ภูเขาทั้งลูกที่เป็นภูเขาเพชรพลอยทองคำล้วน ๆ พระเยซูก็ไม่เอา บอกว่าสมบัติพระบิดามีมากกว่า มารก็ยอมแพ้ ในตอนนี้ ถ้าเป็นศาสนาฮินดู ผู้บำเพ็ญตะปะสำเร็จ ผ่านการทดสอบจากพญามารแล้ว พระเจ้าจะมาให้เห็นต่อหน้า เพราะเป็นธรรมเนียมเช่นนั้น เพื่อที่จักประทานความชื่นชมยินดีด้วย และทั้งประทานพระพร แต่ไม่ปรากฎว่าพระยะโฮวาห์เจ้าเสด็จมาชื่นชมยินดีกับพระคริสต์ด้วย
แม้ในช่วงที่วิกฤตที่สุดของชีวิต คือถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อสำเร็จโทษพระเยซู ขณะที่ทรงรับเวทนาเจ็บปวดได้เพ้อคร่ำครวญถึงพระเจ้าให้มาช่วยอยู่ตลอดเวลา แต่พระเจ้าก็ไม่ปรากฎมา ตราบเวลาล่วงไป จวนจะสิ้นชนม์บนไม้กางเขน ก่อนลมสุดท้ายจะออกจากร่างจึงได้ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังอันบ่งความโทมนัสพระหฤทัยว่า Eli, Eli, lama sabachthani ? "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (MATTHEW 27:46 - MARK 15:33)
ตลอดชีวิตของพระเยซู ทั้ง ๆ ที่อ้างว่ามาจากสวรรค์เป็นลูกชายของพระเจ้า จึงไม่เคยเห็น ไม่เคยพบ ไม่เคยได้ยินเสียงของพระเจ้าเลย
ฉะนั้น เมื่อสาวกผู้นับถือศาสนาคริสต์ บางนิกาย บางพวก ที่ถูกครอบงำด้วยกลการโฆษณาชวนเชื่อขนาดมโหฬาร หรือชาวคริสต์ไทย ซึ่งไม่เคยเข้าใจปัญหามนุษย์อย่างลึกซึ้งเลย มาอวดอ้างว่าได้พบพระเจ้า ได้เห็นพระเจ้า ได้ติดต่อพระเจ้า ได้เฝ้าพระเจ้า ได้ยินพระเจ้าตรัส แม้ในพระคัมภีร์ที่บอกว่า อีกสักหน่อยพระเจ้าจะเสด็จมา อีกสักหน่อยพระเจ้าจะทรงตรัสแล้ว จึงน่าจะเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล หรือเพ้อเจ้อไปเอง
เพราะโดยข้อเท็จจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า แม้องค์พระเยซูคริสต์เอง ตลอดชีวิตของพระองค์ท่านก็ไม่เคยได้พบ ได้เห็น หรือได้ยินเสียงพระเจ้าเลย คนธรรมดา ๆ หรือสาวกทั้งหลายจะเก่งกว่าองค์ศาสดาได้อย่างไร ที่อวดกันว่าได้ยินพระเจ้าตรัสอย่างนี้ อย่างนั้น ที่นั่น ที่นี่ จึงน่าจะสันนิษฐานได้เลยว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหาแก่นสารความจริงมิได้เลย
ฉะนั้นบทสรุปของคนทั้งหลายยุคนี้จึงมีว่าแท้ที่จริงพระเจ้ามิได้ทรงตรัสอะไรมาก่อน และทั้งมิได้ทรงสร้างโลก จักรวาลหรือสรรพสิ่งใดใดเลย น่าเชื่อต่อไปอีกอย่างยิ่งว่าพระเจ้าจักไม่ทรงตรัสอะไรทั้งสิ้น และยังจักไม่ทรงสร้างทรงทำอะไรทั้งสิ้นตลอดกาลนิรันดรข้างหน้า เพราะข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีพระเจ้า จึงอุปมาเหมือนพระเจ้าตายเสียแล้วและยังไม่ทรงฟื้นขึ้นมานั่นเอง
นี่คือประเด็นหลัก ๆ ที่พระคัมภีร์ปกดำที่ชื่อว่า ไบเบิลศักดิ์สิทธิ์ (HOLY BIBLE) ในคริสต์ศาสนาไม่แสดงออกซึ่งเหตุผล ขัดกันเองในประเด็นสำคัญ ๆ อันเป็นหัวใจหรือแก่นแห่งศาสนาคริสต์ ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ และมีเหตุผลพร้อมสมบูรณ์สำหรับคนยุคใหม่ที่จะมองว่า เป็นหนังสือที่มีสำนวนใกล้เคียงเอกสารโฆษณาชวนเชื่อชนิดหนึ่ง
ในปัจจุบัน มีการเห่อตื่นข่าว การทำนาย ข่าวลือทั้งหลาย อันร้ายแรงของโลกยุคนี้ เช่นข่าววันโลกแตก และข่าวร้ายต่าง ๆ แห่งวันสิ้นโลกซึ่งจะมาพร้อมกับสหัสวรรษใหม่ ซึ่งถึงกับกำหนดลงไว้เลยทีเดียวว่าเป็นเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2000 (3 พ.ค.2543) ที่จะมาถึงนี้ด้วยซ้ำ
ว่าจะเกิดคลื่นยักษ์มหึมา ที่เรียกว่า ทสึนามิ ที่อาจท่วมทำลายประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศให้จมหายไปใต้ท้องน้ำ ทำให้ญี่ปุ่นถึงหมดเนื้อหมดตัวไร้อาหารการกินต้องกินเนื้อคนกันเอง
จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่อาจทำลายล้างเมืองหลายเมืองในอเมริกา ให้พินาศไปในพริบตา เหล่านี้เป็นต้น
ล้วนเป็นผลมาจากสาวกในลัทธิคาทอลิก ผู้ที่มีจินตนาการเพ้อเจ้อ ดุจดั่งสติวิปลาส เช่น นอสตราดามุส เป็นต้น ที่หลงตีความตามพระคริสต์ธรรมคัมภีร์อย่างงมงายไปทั้งสิ้น และ สาวกรุ่นหลังต่างรู้ดีในจุดอ่อนด้อยเหล่านี้ซ้ำเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเป็นสถานการณ์ล่อแหลมแห่งความศัทธาอย่างยิ่งของคริสต์ศาสนาและพยายามแก้ไข ในที่สุดด้วยการหันเข้าหาการเมือง ทำศาสนาให้เป็นการเมือง และเลือกเข้าข้างกระแสที่มาแรงในขณะนี้ คือ กระแสประชาธิปไตย โลกจึงได้เห็นบทบาทใหม่ของคาทอลิก ที่พยายามแทรกเข้าไปในรอยร้าวทางการเมืองของประเทศต่าง ๆ และชูธงประชาธิปไตยขึ้นในรอยแยกรอยร้าวของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
แม้ในเขตชนกลุ่มน้อยทางเหนือของประเทศไทยปัจจุบันนี้ ก็ไม่เว้น
โดยหวังว่าการรับใช้การเมืองเช่นนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของศาสนาคริสต์เอง และในบทบาทใหม่เช่นนี้แหละที่เป็นไปอย่างไม่ถูกหลักการแห่งการศาสนาสากล คาทอลิกจึงกลายเป็นผู้นำในการต่อสู้ การเมือง และการสงครามในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกโดยเปิดเผยชัดเจนขึ้น อย่างมีแนวโน้มที่ทวีไปไม่หยุดยั้ง
แต่แล้ว เมื่อต้องเผชิญกับการเมืองของระบบอิสลาม สงครามศาสนาสากลก็ตั้งเค้าระอุ รุนแรงขึ้น
เพราะศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาการเมืองอยู่แต่เดิมแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ศาสนาอิสลามยังเป็นศาสนาสากลชนิดที่มีเงื่อนไข และโดยเงื่อนไขนั้น อิสลาม จึงเป็นชนชาตินักรบ และเป็นศาสนาเดียวที่มีทั้งการศาสนา การเมือง และการทหารผนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นศาสนาเดียวที่เผยแผ่ศาสนาออกไปด้วยมือที่เปื้อนเลือด อำมะหิต โดยเริ่มตั้งแต่ต้นประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามเป็นต้นมา
การที่ศาสนาสากลเข้าไปผูกพันใกล้ชิดกับการเมืองและถูกครอบโดยการเมือง แล้วนำวิถีทางอย่างการเมือง-การทหารมาใช้ในการศาสนานั้น
ฉะนั้น เมื่อศาสนาการเมืองใดไปเผชิญกับศาสนาอื่น ไม่ว่าฮินดู ซิกส์ เต๋า พุทธ หรือแม้อาณาจักรใดหนึ่ง ที่มีระบบการเมืองไม่สอดคล้องกัน ผลก็นำไปสู่ความขัดแย้ง เกิดความรุนแรงความไม่สงบขึ้นในที่แห่งนั้น
นั่นเป็นเพราะศาสนา มิใช่ศาสนาบริสุทธิ์เสียแล้ว มิใช่ศาสนาแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์ หากเป็นศาสนาที่มีการเมืองการทหารแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่
สำหรับอิสลาม หากอิสลามยังคงยืนอยู่บนจุดยืนดั้งเดิม โดยฐานะแห่งศาสนาสากลที่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำการทหารมาใช้นำหน้าการศาสนา หรือผนวกกับการศาสนาอย่างแนบแน่น แล้วนั้นแหละอันเป็นเหตุกำเนิดขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงกลุ่มต่าง ๆ รวมไปถึงสิ่งที่อเมริกา ประกาศเมื่อก่อนสิ้นปีแห่งสหรรษวรรษ คือ ค.ศ. 1999 ปีที่แล้ว ว่าเป็น ขบวนการก่อการร้ายสากล
สิ่งที่ชาวโลกน่าจะจับตามองก็คือ ท่าทีของศาสนาอิสลามต่อขบวนการก่อการร้ายเหล่านี้ หากศาสนาอิสลาม เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขแห่งศาสนา เห็นเป็นสิ่งที่ชอบธรรมของระบบศาสนาอิสลามแล้ว นั่นจะนำไปสู่ปัญหาความยากลำบากของวงการอิสลามเอง ไม่น้อยไปกว่าก่อความยากลำบากแด่โลกทั้งหมด เพราะสังคมโลกยุคใหม่ ยุคของสิทธิเสรีภาพ ความเป็นมนุษย์และยุคที่คนชื่นชมในความหมายของคำว่าสันติภาพแล้ว จะไม่อาจยอมรับเงื่อนไขดั้งเดิมของอิสลาม(คือการเผยแผ่ศาสนาด้วยสงครามหรือด้วยความรุนแรง) ได้อีกต่อไปอย่างแน่นอน
และโดยสัจธรรม มนุษย์ทั้งปวงย่อมมีทิฏฐิ และ มานะ เมื่อมีพระเจ้า ๆ นั่นเองที่เป็นเหตุให้มนุษย์เพิ่มความมีทิฏฐิและมานะมากยิ่งขึ้น การประนีประนอมในระหว่างศาสนาสากล จักหาเกิดขึ้นได้ไม่ หากปราศจากการลดลงเสียซึ่งทิฏฐิและมานะ วิถีทางจึงย่อมจะมีแต่ความขัดแย้งและสงครามเสมอและตลอดไป ดังจะเห็นในประวัติศาสตร์สงครามศาสนาที่น่านิยามว่าเป็นสงครามทิฏฐิ-มานะ ก็คือ ครูเสด 300 ปี ระหว่างคริสต์ กับ อิสลาม
และยุคปัจจุบันนี้ แม้ศาสนาเดียวกันก็ทำสงครามกัน เห็นได้จาก คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ กับ คริสต์นิกายคาทอลิก ในประเทศที่มีชื่อเป็นทางการว่า United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland ที่เรารู้จักว่าประเทศอังกฤษนั่นเอง มีการต่อสู้กันมาร่วมร้อยปีแล้วที่ไอรแลนด์เหนือ จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ต่อสู้กันอยู่ และมีการสิ้นชีพของทั้งสองฝ่ายอยู่เป็นประจำวัน
นี่คือสงครามทิฏฐิ-มานะ ของหมู่คนที่ต่างก็บูชาพระเจ้าสูงสุดพระองค์เดียวเท่านั้นไม่มีพระเจ้าอื่นใดยิ่งใหญ่ไปกว่า
และศาสนาพุทธหรือศาสนาใดที่มีประวัติศาสตร์แห่งสันติภาพ และการประกาศวุฒิภาวะแห่งปัญญาบริสุทธิ์ น่าที่จะมีความหมายขึ้นในโลกยุคสากลศาสนากำลังปั่นป่วนอยู่ขณะนี้ เพราะสิ่งที่จะนำมาแก้ไขปัญหาศาสนาสากลนั้นก็คือ การถอนตัวจากการเมือง การทหาร และละลดทิฏฐิ มานะ ของศาสนาสากลเอง
หากศาสนาสากลก้าวไปข้างหน้าด้วยทิฏฐิและมานะที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ นั่นคือการก้าวไปสู่ปัญหาความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ หากแต่ศาสนาสากลจะแก้ไขปัญหาทิฏฐิ-มานะ ได้อย่างไร เมื่อต่างก็ถือพระเจ้าสูงสุดคนละองค์กัน
ศาสนาสากลที่นับถือพระเจ้าสูงสุดพระองค์เดียว ไม่มีองค์อื่นใดยิ่งไปกว่า จักสามารถทำความเข้าใจความหมายของพระเจ้าที่แท้จริงได้อย่างไร ?
ฉะนั้นโลกจึงจำเป็นต้องศึกษาศาสนธรรมที่นำไปสู่ความเข้าใจเรื่องศาสนาอิสระ คือศาสนาที่เป็นศาสนาล้วน ๆ ที่ไม่อิงการเมือง และการทหารเลย เป็นศาสนาสากลชนิดที่ไม่มีเงื่อนไข หากแต่ได้เสนอการศึกษาศาสนาที่เคารพในความเป็นมนุษย์ อิสรภาพแห่งมนุษย์ ความประเสริฐแห่งความเป็นมนุษย์ที่แท้ และผลแห่งการนับถือศาสนาที่ย่อมบันดาลสิ่งที่ดีที่ประเสริฐสูงสุดให้แก่มนุษย์ และผลนั้นบังเกิดขึ้นในขณะนี้ ในขณะที่เราเป็นมนุษย์ชาติปัจจุบันนี้เอง ไม่จำเป็นต้องเป็นโลกหน้าหรือโลกอื่นใดเลย
การเข้าใจถึงทิฏฐิ และ มานะของมนุษย์ และของอมนุษย์ทั้งหลาย(รวมถึงพระเจ้าด้วย)ตามที่ศาสนาพุทธศึกษาในเรื่องอัตตา อนัตตา เป็นเบื้องต้น ที่อาจลดปัญหาการเผชิญหน้าอันเป็นต้นเหตุแห่งความปั่นป่วนแห่งศาสนาสากลอันอาจนำไปสู่สงครามใหญ่ในโลกยุคนี้ได้
นี่คือรูปโฉมของสถานการณ์ปั่นป่วนของโลก โดยเหตุที่สลับซับซ้อน ทั้งที่เกิดจากประการที่เกิดจากความเสื่อมถอยจากอุดมการณ์แท้จริงแห่งศาสนาสากล กลับไปเชิดชูการเมือง ฝ่ายคาทอลิกประการหนึ่ง และโดยเหตุประการที่ไม่เข้าใจเงื่อนไขแห่งจุดยืนดั้งเดิมของตนที่ไม่อาจจะรับได้สำหรับโลกยุคใหม่ ของฝ่ายอิสลาม คือการใช้การทหาร-ความรุนแรงนำหน้าศาสนา อีกประการหนึ่ง
ที่จำเป็นที่โลกจะต้องหันมามองดูอย่างพินิจพิจารณาโดยลึกซึ้ง และวงการศาสนาสากลเอง ควรจะต้องหยุดมองดูด้วยสายตาของคนยุคใหม่ยุคที่เจริญด้วยอักษรศาสตร์และวิทยาการใหม่เสียก่อน
และถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องมองหาหลักธรรมคำสอนที่เป็นกลางมาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนอันน่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งของศาสนาสากลยุคนี้