ทำไมศาสนาทั้งสองคือคาทอลิกยุคใหม่ กับ อิสลาม จึงไม่แยกการเมือง กับการศาสนาออกจากกัน
นั่นก็เป็นเพราะวิถีทางที่จะนำประชาชนไปสู่เป้าหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของทั้งสองศาสนานั้น ไม่สามารถอธิบายออกมาอย่างแจ่มแจ้งสิ้นสงสัยได้ สำหรับคนยุคใหม่ ยุควิทยาศาสตร์ นั่นเอง
นอกจากนั้น อุดมการณ์ของศาสนาคริสต์เองนั้น นับวันวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น วิทยาศาสตร์นั่นเองกลับค่อย ๆ บ่อนทำลายลบล้างอุดมการณ์สูงสุดแห่งคริสตศาสนา ด้วยการพิศูจน์ว่าอุดมการทางคริสตศาสนานั้นผิดพลาดไปจากความเป็นจริงไปทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า คำพูดของพระเยซูคริสต์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมเป็นบุตรพระเจ้าเสียแล้ว
ดังเราจะเห็นได้ว่า แท้จริงศาสนาคริสต์ พระคัมภีร์คริสต์ ได้อ้างเรื่องโลกและจักรวาลผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ แม้ว่าคำอ้างนั้นเป็นคำของพระเจ้า ที่ใคร ๆ จะต้องยอมรับ ไม่อนุญาตให้แย้งได้ และทั้งเป็นศาสนาที่โอ้อวดอภินิหาริย์ อิทธิฤทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นศาสดาต่าง ๆ นานาอย่างมากมาย โดยปรากฎชัดแจ้งในพระคัมภีร์
เช่นตำนานการสร้างโลกของพระเจ้า ที่ทรงสร้างขึ้นเป็นโลกที่แบนราบเหมือนความเชื่อของฮินดูดั้งเดิม เป็นต้น
ตราบมาสู่สมัยพระเยซูคริสต์ ๆ มีอิทธิฤทธิชุบคนตาย ที่เขาเอาไปฝังในถ้ำ ให้ฟื้น ลุกเดินออกมาจากก้นถ้ำได้ เอาน้ำลายทาตาคนตาบอดให้เห็น สั่งให้น้ำธรรมดากลายเป็นเหล้าองุ่น ห้ามพายุฝนกลางท้องทะเลขณะนั่งเรือไปกับสาวก แจกปลากับขนมปังให้ประชาชนได้ทั้งภูเขา และที่ทำบ่อยทำเป็นปกติ ทำมากครั้งก็คือการใช้อภินิหาริย์รักษาคนป่วยไข้ แม้กระทั่งคนป่วยเป็นโรคเรื้อน พระคัมภีร์ก็รับรองไว้ว่าพระเยซูสามารถทำได้
แต่ความสามารถ อภินิหาริย์เหล่านี้ ไม่มีพระสาวกใดอาจรับรอง ไม่มีสาวกใดสามารถทำได้ตาม และไม่ปรากฎว่าองค์ศาสดาสอนสาวกให้ทำตามได้ สอนให้เก่งทำอภินิหาริย์เหมือนองค์ศาสดาไม่ได้ ในกาลต่อมาคำสอนจึงค่อยลดความศักดิ์สิทธิ์ลงไป ๆ ทำให้คนสงสัยในความถูกต้องของพระคัมภีร์ อภินิหาริย์และฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นเพียงข่าวลือหรือข่าวโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น
และที่สำคัญถูกลดทอนลงไปโดยวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งทุกวันนี้คริสต์ศาสนา หาสามารถสอนตรง อวดอ้างตรงไปตามพระคัมภีร์ได้ไม่ ในที่สุดกระแสหลักแห่งคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะคาทอลิก ภายใต้การปกครองของรัฐศาสนาวาติกัน มีจอห์น ปอล ที่ 2 เป็นประมุข จึงเบี่ยงเบนมา ทำศาสนาให้เป็นอาณาจักร เป็นการเมืองขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบ แทนที่จะชูธงอันเป็นอุดมการณ์ทางศาสนา ก็กลับชูธงการเมือง และเลือกปฏิบัติเฉพาะหมู่กลุ่มของตน ไม่เป็นสากลอีกต่อไป
โดยเลือกเข้าข้าง ประชาธิปไตย ฝ่ายเดียว
จึงมิสะท้อนความเป็นธรรมสากล ไม่มีเมตตา หรือพรหมวิหารธรรมที่จะให้แด่มวลมนุษย์ในระบอบการปกครองระบอบอื่น อันเบี่ยงเบนไปจากหลักสากลศาสนา ที่ประทานความเมตตาเป็นอัปมัญญา คือไม่จำกัดแด่คนทั้งหลาย
เมื่อศาสนามิได้ถือหลักอัปมัญญาเมตตาที่จะต้องแผ่ไปในที่ใด ประเทศใด ในโลกโดยทั่วถึงไม่จำกัด จึงเป็นเบื้องต้นเป็นต้นกำเนิดแห่งความยุ่งยากของสันติภาพของโลกขึ้นมาในบัดนี้แล้ว
ในขณะเดียวกันกับที่มีคริสต์สาวกในบางส่วน เมื่อไม่อาจสอนอวดอ้างตรงไปตรงมาตามพระคัมภีรได้ ก็กลับหันมาสู่แนววิทยาศาสตร์มากขึ้น ที่น่าสังเกตก็คือชาวคริสต์ไทยในสังคมไทยส่วนหนึ่ง ที่กลับประพฤติตนไปได้อย่างดีกับแนวทางคำสอนของพระพุทธศาสนา สามารถซึมซับเอาคำสอนในพระพุทธศาสนา ส่วนที่เป็นหลักกรรม หลักความศรัทธา และ หลักวิทยาศาสตร์เบื้องต้น ๆ ไปใช้ได้ คริสต์ในไทยแท้ที่จริงจึงเป็นพุทธอีกแบบหนึ่งนั่นเอง หากแต่เป้าหมายนโยบายและอุดมการณ์ ถูกควบคุมให้เป็นไปในแนวการเมืองแบบคริสต์ใหม่ คือพร้อมที่จะชูธงประชาธิปไตย ไปสนับสนุนการเมืองที่ใดก็ได้ หากแต่ชาวคริสต์ไทยหาได้รู้ถึงแผนการณ์ทางการเมืองชนิดนี้ไม่ นอกจากนี้แล้ว อุดมการณ์ที่แท้จริงของคริสต์ศาสนา ตามพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนาจริง ๆ เป็นเช่นใด ดูเหมือนชาวไทยคริสต์จักหามีความเข้าใจโดยลึกซึ้งไม่
ฉะนั้น ปรากฎการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น คือปรากฎการณ์ที่ศาสนาและการเมืองเริ่มเข้ามารวมตัวกัน และมีแนวโน้มว่าจะเหนียวแน่นแยกกันไม่ออก โดยระบบของศาสนาดั้งเดิมเอง เช่นอิสลาม หรือโดยเหตุที่เปลี่ยนอุดมการณ์ทางศาสนาใหม่ เช่นคริสต์คาทอลิก ก่อเกิดกระแสพลังที่ขัดแย้งกันอย่างแรงของศาสนาสากลขึ้นในโลก อันจะเป็นเหตุให้โลกปั่นป่วนอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปในวันข้างหน้า ฉะนั้น โลกจะต้องมองหาพลังอีกพลังหนึ่งที่เป็นกลาง ที่สามารถดำรงคำสอนของศาสนาสากลไว้ได้ มาเพื่อประสานพลังส่วนที่ขัดแย้งของศาสนาสากลนี้ ให้บังเกิดสันติภาพของโลกขึ้นมา
และนั่นก็คือบทบาทที่เหมาะสมของศาสนาพุทธ
และสำหรับศาสนาพุทธ อย่างที่ปรากฎอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ แม้จะกำลังเผชิญจุดเสื่อมที่คล้ายคลึงกันกับศาสนาอื่น คือค่อยละอุดมการณ์ที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาไป แม้จะยังไม่ถึงขนาดที่อาจเรียกได้ว่าเปลี่ยนอุดมการณ์ใหม่เป็นอย่างเดียวกับการเมือง ก็ตาม แต่ก็เริ่มกลายเป็นพุทธราชการไปส่วนหนึ่ง ที่ค่อยลิดรอนวิถีทางแห่งอุดมการณ์ดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาลงไปตามลำดับ นั่นหมายความรวมไปถึงการลิดรอนวิถีทางพรหมจรรย์ไปตามลำดับด้วย และมีแนวโน้มว่าจะเข้าไปรับใช้ราชการยิ่งขึ้นมากกว่าการรับใช้อุดมการณ์ทางศาสนาเอง
การที่เกิดการรวมอุดมการณ์ทางศาสนาเข้ากับอุดมการณ์ทางการเมืองนี้ ในที่สุดแล้วศาสนาก็จะถูกครอบโดยการเมือง รับใช้อุดมการณ์ทางการเมือง คือการแสวงหาอำนาจของชาวมนุษย์ ที่มีจุดมุ่งหมายทางโลกธรรมคือการสนองตัณหาและสำนึกเถื่อนของมนุษย์
แล้วจะค่อยก่อเกิดการเผชิญหน้าและการขัดแย้ง ระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างที่ได้มีอิทธิพลของศาสนาเข้าหนุนหลังทั้งสองฝ่าย และจะมีขนาดและน้ำหนักที่ยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในโลก จนท้ายที่สุด การแตกหักจึงเป็นที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น และ อาจจักกลายเป็นสงครามศาสนาล้วน ๆ ไปได้ แต่แล้วในที่สุดศาสนาสากลก็จักถูกทำลายลง สิ้นสภาพความเป็นศาสนา อันเป็นเหตุให้ศาสนาสากลย่อยยับลง ตราบไปสู่ความสิ้นสภาพความเป็นศาสนาไป
เพราะยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับอุดมการณ์การเมืองแบบใหม่ของประเทศมหาอำนาจ เพื่อการบั่นทอนทำลายศาสนาสากลหรือทำลายอุดมการณ์ของศาสนาต่าง ๆ ทุก ๆ ศาสนาในโลกโดยตรงอีกแรงหนึ่งนั้นก็คือ วัตถุนิยม ซึ่งมีต้นเหตุมาจาก วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่เจริญไป วัตถุก็ เจริญเติบโตไปตาม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีแต่สร้างความเจริญทางวัตถุล้วน ๆ วัตถุจึงมีแต่มโหฬารยิ่งขึ้น แนวคิดของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง โดยมองสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่ารูปธรรม หรือ นามธรรม เป็นวัตถุไปหมด คนก็หลงและตื่นไปตาม ๆ กันจนยากที่จะฉุดรั้ง
เมื่อกลายเป็นศาสนาขึ้นมา ชื่อว่า ศาสนาวัตถุนิยม ก็จักกลายเป็นศาสนาใหม่ที่มีสถานภาพเป็น ศาสนา ทุกประการ ก็จะค่อยบ่อนทำลายศาสนาสากลไปตามลำดับ และนำมนุษย์ไปสู่ความป่าเถื่อน อนารยธรรมยิ่งขึ้นไป
เราจะหวังการกลับคืนมาของศาสนาสากลได้อย่างไร นั้น นับว่าเป็นสิ่งที่หวังได้ยากยิ่ง เพราะตัวมนุษย์เองที่เขลา ด้อย มีอวิชชา สำหรับศาสนาพุทธ น่ามองดู ลองมองสาระสำคัญในตัวศาสนาเองที่เป็นวิทยาศาสตร์ และในฐานะที่เป็นศาสนาสากล ย่อมยืนอยู่บนจุดหนึ่ง ที่มนุษย์ทุกยุคสมัย ทุกลัทธิความเชื่อ และทุกศาสนา อาจเข้าถึงได้ด้วยสาระสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้โดยธรรมชาติ
ที่สามารถยืนอยู่ได้ทุกกาลสมัยโดยไม่อิงการเมือง
นั่นคือพระพุทธศาสนา ที่สามารถดำรงเมตตาพรหมวิหารธรรม อันเป็นอัปมัญญาแด่ชนทั้งหลายไม่จำกัดเชื้อชาติ ไม่จำกัดประเทศ ไม่จำกัดระบอบการปกครอง หรือระบบการเมืองใดใด
ที่นำคนทั้งหลายไปสู่ความรู้แจ้งพร้อมความพอ อันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับที่องค์พระศาสดาสอนอย่างไร บรรลุอย่างไร พระสาวกก็อาจรู้ตาม บรรลุได้ตามไปอย่างนั้น ได้ความพอ ได้ความอุดมสมบูรณ์สูงสุดจึงสามารถแยกจากการเมืองได้โดยเด็ดขาด
นั่นคือเป็นโลกอีกโลกหนึ่งของตนได้ อย่างปลอดล้วนจากการเมืองใดใดในโลก และบุคคลผู้รู้แจ้งเหล่านั้นก็เป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ศาสนาพุทธระบุว่า มนุษย์อรหันต์ หรือ พระอรหันต์ ที่รู้แจ้งไปหมดทุกปัญหาของชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ โลกเราน่าจะมีความหวังอยู่ที่การกลับคืนมาของอุดมการณ์ที่แท้จริงของศาสนาพุทธก่อน แล้วศาสนา ลัทธิธรรมเนียมสากลอื่นค่อยฟื้นตามมา ศาสนาพุทธ หลักธรรมของศาสนาพุทธ นี่เอง ที่น่าจักทำหน้าที่ประสานการศาสนาสากลทั้งหลาย ด้วยสติปัญญาพุทธ มิให้สงครามศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ในโลกบังเกิดขึ้น
หากแต่คนไทย ชาวพุทธ หรือพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ได้เข้าใจความสำคัญของศาสนาพุทธเพียงไหนหรือไม่ ในระบบหมู่สงฆ์ปัจจุบัน มีการบำเพ็ญเพียร ที่ตรงเป้าหมายและอุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุก่อกำเหนิดบุคคลผู้รู้ คือมนุษย์อรหันต์หรือไม่
ได้มีชาวพุทธจำนวนสักเท่าไร ที่ทรงภูมิปัญญาเบื้องสูงที่อาจจะมองไกลไปถึงวิกฤตศาสนาสากลในโลกนี้
จนเห็นข้อสรุปชัดเจนว่า มีแต่สร้างอุดมการณ์แห่งพระพุทธศาสนาที่แท้ให้รุ่งเรืองขึ้นเท่านั้น และ คณะสงฆ์ จะต้องรับใช้อุดมการณ์อันสูงสุดของพระพุทธศาสนา มิใช่รับใช้ราชการ หรือเพียงรับใช้ผลประโยชน์ของสงฆ์ หรือหมู่สงฆ์เอง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
จึงจักอาจระงับยับยั้งหายนะแห่งโลก อันเนื่องมาจากวิกฤตทางศาสนาสากล ได้.